วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1440 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่  เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่  ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะข้าแน่ใจ แน่ใจ  พระองค์ทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่า องค์พระคริสต์ทรงอยู่”

            และวันนี้ตอนที่ 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

            “การพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” วันนี้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ต้องจำไว้นะว่าการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้าย หลังความตาย  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมาแล้ว เมื่อถึงกำหนดตายจากโลกนี้แล้ว จะต้องเข้าสู่การพิพากษาหลังความตาย ครั้งเดียว ไม่ใช่ ตายแล้วมาเกิดใหม่ๆ แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียวหลังจากนั้น จะรับการพิพากษาลงโทษ

            –  มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เหนือน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำอันมหึมา

            –  มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            นี่คือความจริงที่พระเจ้าบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ทั้งปวงได้เห็นว่าในขณะที่มนุษย์จ้องมองอยู่กับโลกวัตถุ คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่มองเห็นอยู่ แต่พระเจ้ามองที่โลกวิญญาณ  คือความรอดในวิญญาณ หรือที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

            ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ เล็งถึงโลกวิญญาณ ในเรื่องของความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะมนุษย์มองไม่เห็น แต่มันเป็นฐานของความวุ่นวายและความตายนิรันดร์ของมนุษยชาตินั่นเอง มนุษย์มัวแต่มองเอาสิ่งที่มองเห็นได้ บนโลกใบนี้ แล้วก็ตัดสินตามความคิดของตนเอง แต่ลืมคิดไปว่าความจริงที่เรามองไม่เห็นนั้น คือความจริงแท้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณ นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ และวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดมา มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณที่ได้ถูกพิพากษาตัดสิน ลงโทษ ให้เป็นคนบาป ตรงนี้มันสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นผลเนื่องมาจากการถูกสาปแช่งตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ที่ล้มลงไปในความบาป วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ที่เกิดมาหลังจากนั้น  จึงต้องถูกเข้าสู่การพิพากษาว่าเขาเป็นคนบาปหรือไม่? ซึ่งเขาเป็นคนบาปแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป การทำบาป เป็นผลจากการที่วิญญาณเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป  เพราะว่าเกิดมา แล้วไปทำบาป แต่เป็นคนบาป ตั้งแต่ก่อนกำเนิด เพราะว่าติดเชื้อมาจากบรรพบุรุษ แล้วเชื้อนี้ทำให้เขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป

            อาการแรกของการเป็นคนบาปของมนุษย์ คือความกลัว พระเจ้าถือว่าความกลัวเป็นความชั่วชนิดหนึ่งนะ  การกระทำชั่ว ไม่ใช่ไปยิงนก ตกปลา ฆ่าคนตาย  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่พระเจ้าถือว่าอะไรก็ตามที่เป็นความคิด หรืออะไรก็ตามที่เป็นอาการ ที่ปฏิบัติออกมา  ที่ตรงกันข้ามกับบุคลิก ธรรมชาติของพระเจ้า เรียกว่าความชั่วทั้งสิ้น หรือความบาปทั้งสิ้น บาป คืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระเจ้าไม่มีความกลัว  พระเจ้าเป็นความรัก  ความกลัวมาจากไหน?  ก็คือความบาป ความชั่วนั่นเอง  และความกลัวนี้เป็นต้นเหตุของการกระทำชั่วอื่นๆ ต่อไป เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งถึงสุดท้าย คือความอิจฉา ริษยา ความไม่เชื่อฟัง ความอกตัญญูต่างๆ เหล่านี้ เป็นอาการเริ่มต้น มาจากความกลัวในใจ หรือในวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้บอกเราว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท และเป็นอิสระจริงๆ  เพราะฉะนั้น คำว่าเป็นไท เป็นอิสระจริงๆ นั้น ก็คือเป็นไทและเป็นอิสระจากความกลัว ในทุกสิ่งด้วย  ซึ่งเป็นชื่อของซีรี่ย์นี้  ก็คือเป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกความจริง ที่พระองค์นำมาประกาศ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ก็คือพ้นจากความบาปนี้นั่นเอง

            และสิ่งที่จิตสำนึกของมนุษย์กลัวมากที่สุด คืออะไร? มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความบาป และอาการ คือความกลัว สิ่งแรกที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือกลัวเผชิญหน้าพระเจ้า  ไม่กล้าเจอหน้าพระเจ้า  เพราะว่าเข้ากันไม่ได้เลย  เมื่อกลัวพระเจ้า ก็คือกลัวความตายนั่นเอง    เกิดมาก็กลัวตาย  และมนุษย์เป็นวิญญาณ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เบอร์หนึ่ง กลัวตาย เบอร์สอง ก็เลยกลัวการถูกพิพากษา สำเร็จโทษ ลงโทษหลังความตายนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า กลัวตาย ทั้งจากร่างกายนี้  และสองกลัวตายจากวิญญาณที่ต้องตาย ก็คือถูกลงโทษ นี่คือจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่กลัวที่สุด ความกลัวที่สุดตรงนี้ จึงทำให้เกิดอาการทำชั่วอื่นๆ อีกมากมาย เหตุจากความกลัวตรงนี้ เหมือนเราได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะ พวกเราเองในแถบเอเชียจะได้ยินบ่อยๆ เพลงที่เราคุ้นๆ หูตั้งแต่เด็ก …

                        “พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาตดับชีวี               สุวรรณตรวจดูบัญชี ใครทำดีให้ไปสวรรค์

                        ทำชั่ว (พญายมว่าไง)                                    ส่งไปนรกโลกันต์นะสิ

                        ต้นงิ้วกระทะทองแดง                                  เอาหอกแหลมแทงทุกวัน ทุกวัน”

            ทำชั่วลงนรกโดยพลัน ติดปากเลย ไม่ใช่ติดปากอย่างเดียว มันติดใจด้วย และคนรุ่นใหม่ ไม่เอาเนื้อเพลงนี้แหละ แต่ความคิด เป็นลักษณะเนื้อเพลงนี้ อยู่ในใจตลอดเวลาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว อันนี้ติดปาก ติดใจ ติดอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มองเห็นๆ อยู่ ทำชั่ว ต้องได้ชั่วสิ ทำดี ต้องได้ดีสิ  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าตรัสไว้ และอธิบายให้เราได้รู้ว่าความจริงนั่นเป็นเช่นไร?

            ครั้งที่แล้ว เราได้เริ่มต้นบรรยายซีรี่ย์ชุดนี้ ในตอน “อิสระจากความกลัวตาย” กลัวอันดับหนึ่ง ก็คือกลัวตาย วันนี้เราจะมาดูต่อในเรื่อง “อิสระจากความกลัวการถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสักคนหนึ่งเลยในโลกใบนี้  ที่ทำดี ได้สมบูรณ์ครบถ้วน และเมื่อตะกี้เราบอกเรากลัว และอยู่ในจิตใจเราตลอดว่าเมื่อตายไปแล้ว เราจะได้รับการพิพากษาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว สุวรรณตรวจดูบัญชี ทูตสวรรค์ตรวจดูบัญชี ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วล่ะ ลงนรกโดยพลัน

            นี่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งปวง  พระองค์ทรงทราบดี  พระองค์บอกเรา ความจริงในโลกวิญญาณว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครทำดี สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีคนใดเป็นคนดีสักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป หลงเจิ่นไปตามทางของตน  ไม่มีใครดีเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีคนใด ไม่เคยทำบาปเลย นี่เราจะหนีไม่พ้นเลยว่าทุกคนหลงเจิ่นไปตามทางของตน ก็คือหลงไปตามความคิดของตัวเอง พึ่งพาตนเองว่า …

            “ถ้าทำดี ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะตัดสินเอง”

            แต่พระเจ้าบอก … “เธอเป็นคนบาป อย่างไรเธอก็ไม่มีทางเป็นคนดีพร้อม ที่จะมาอยู่ในสวรรค์ได้หรอก  เพราะว่าเธอเป็นคนบาป จากกำเนิด ไม่ใช่จากการกระทำ” นี่คือความจริง

            ผมจะยกตัวอย่างให้ มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ ให้ตาย เหมือนถูกขังอยู่ในเรือนจำ นึกภาพนะ เป็นนักโทษที่คอยการประหารชีวิต ถูกควบคุมการประพฤติทุกอย่าง เหมือนเป็นทาสอยู่ในเรือนจำ รอวันสำเร็จโทษ ประหารชีวิต ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ในไม่ช้านี้

            นี่คือภาพของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้  แต่พระเจ้าประทานอภัยโทษให้กับมนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยความรัก 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ไถ่บาป อภัยโทษให้กับมนุษย์ทั้งปวง ได้หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่านักโทษคนนั้น จะได้ยินประกาศเรื่องข่าวดีนี้หรือไม่? หรือได้ยินแล้ว เชื่อในข่าวดีนี้หรือไม่ว่ามีการอภัยโทษแล้ว ให้ไปลงชื่อรับสิทธิของตัวเองเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ นักโทษคนนั้นจะเชื่อ หรือยอมรับข่าวดีนี้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับตัวของนักโทษผู้นั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ประกาศ  คือพระเจ้า

            ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศนั้น จะทำให้ท่านที่ได้ยินได้ฟังเป็นอิสระ เป็นไท ถ้าท่านยอมรับ เป็นอิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้  รวมทั้งมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทราบดีว่าความจริง เกี่ยวกับเรื่องมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? พระองค์ประกาศความจริงแก่มวลมนุษย์บนโลกนี้ ประกาศความจริงของพระองค์ มีทั้งเป็นข่าวดีและเป็นข่าวร้าย มาพร้อมๆ กัน เวลาเราคุยกันเล่นๆ บอก …

            “ฉันจะมีข่าวดีมาบอก  แต่ก็มีข่าวร้ายด้วย อยากจะฟังข่าวอะไรก่อน”

            พระเยซูบอกว่ามีทั้งข่าวดีมาบอก และมีทั้งข่าวร้าย สำหรับมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  พระองค์ประกาศให้ฟังเอาอะไรก่อนดี เอาข่าวร้ายก่อนแล้วกัน ข่าวร้ายจะได้ผ่านๆ ไปสักที

            ข่าวร้าย คือมวลมนุษย์ตกในความพินาศนิรันดร์ ความตายนิรันดร์ ตั้งแต่ก่อนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป นี่คือข่าวร้าย ไม่มีใครช่วยได้เลย

            ข่าวดี คือแค่เชื่อและวางใจในเรา คือพระเยซูคริสต์พูดนะ ก็ได้รับการช่วยให้รอด  ได้หลุดพ้นจากความพินาศนิรันดร์นี้แล้ว แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ดีไหม?

            พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณแก่มวลมนุษย์ ในยอห์น 3:16-18 มันชัดเจนมากเลยว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จริงๆ แล้วพระองค์ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านั้น  ก่อนหน้าที่จะทำให้สำเร็จ  ตอนที่จะอ่านนี้ คือตอนที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว  ก็คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในบาป  เห็นไหม? มาช่วย เพราะว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาปนิรันดร์ แต่เมื่อเขาวางใจ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เกิดใหม่เลย เมื่อไร? ในนี้ไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อไร? บอกว่าได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเขาวางใจ คือวางใจปุ๊บ ได้รับการบังเกิดใหม่เลยทันที เป็นลูกของพระเจ้า  มีชีวิตนิรันดร์  ที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้  เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ข้อ 17 ได้บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเยซูไม่ใช่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะมาพิพากษาลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น  ก็คือที่ถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เกิดนั้น พระเยซูมาเพื่อช่วยให้เราหลุดพ้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  โดยผ่านทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น ซึ่งเป็นข่าวดี ที่ตะกี้นี้เราอ่านกัน ข้อ 18 บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  ครั้งสุดท้าย หลังความตาย ให้พินาศ”

            คนที่เชื่อ ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษหลังความตาย  เพราะเขาได้รับการอภัยโทษ จากการถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า นั่งอยู่ที่นี่ขณะนี้ หรือนั่งอยู่ที่บ้าน  ที่ฟังอยู่ในขณะนี้ ที่เปิดใจต้อนรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้วนั่นเอง ยอห์น 5:24 …

        ยอห์น 5:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา (ครั้งสุดท้าย หลังความตาย) แต่ได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว”

            พระเยซูประกาศความจริงบอกว่า … “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” ทำไมพระองค์ต้องย้ำตรงนี้ “เราบอกความจริง” นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง … “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา ก็คือวางใจในพระเจ้า คนนั้น ก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย  แต่ได้ผ่านพ้นความตายสู่ชีวิตเรียบร้อยแล้ว  คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            คือใคร? คือผู้ที่วางใจในพระเจ้าพระบิดา  ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อช่วยเรา คนไหนวางใจในพระบิดา ก็จะวางใจในพระบุตรด้วย คนไหนวางใจในพระบุตร ก็เชื่อในพระบิดาด้วยเช่นเดียวกัน และคนที่วางใจในพระเจ้านั้น ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย  เพราะว่าได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว หมายถึงว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ได้ผ่านพ้นความตายไปแล้ว  ไม่ตายตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  อย่างที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์และวางใจในพระเจ้าแล้ว  เราได้รับความรอดแล้ว เราก็จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็หลับ แล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิต โดยร่างกายเปลี่ยนแปลงใหม่ รับร่างกายใหม่  เราไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เพราะเราไม่ต้องตายอีกแล้ว  เรามีชีวิตอยู่ตลอดไป เอเมน

            คือใครที่วางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดและความตาย มาสู่อาณาจักรของความสว่าง และชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ หลังความตายเลย

            การได้รับการยกโทษบาป การได้รับอิสรภาพจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายนั้น ได้รับตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คือความตาย หรือการถูกพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่เกิดนั้น ก็ถูกยกออกไป ตั้งแต่ตอนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักษากฎระเบียบของพระองค์ไว้อย่างเคร่งครัด แม้ลูกของพระองค์กระทำผิด  ก็ต้องรับผิดไปตามกฎหมาย และเป็นกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแก้ไขเลย  เพราะว่าผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น พูดคำไหน เป็นคำนั้น ไม่มีการเส้นสายทั้งสิ้น แม้ว่าจะรักดังแก้วตาดวงใจก็ตาม แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เป็นพ่อเรา และเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น พระองค์จำเป็นต้องรักษากฎเหล่านี้ไว้ แม้ว่าจะเป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้กระทำ คือมนุษย์ก็ตาม อ่านดูใน 2 เปโตร 2:9  ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน …

        2 เปโตร 2:9 “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง จงมั่นใจเถิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรมให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ และพ้นจากการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้ายหลังความตาย (โดยผ่านทางการวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานมาให้) และปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การถูกพิพากษาลงโทษให้ตาย (ทั้งร่างกายและวิญญาณ) ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ จนถึงวันพิพากษาสำเร็จโทษครั้งสุดท้ายหลังความตายทางร่างกาย และให้วิญญาณตายนิรันดร์ด้วย”

            “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง” ก็หมายถึงว่าในข้อก่อนหน้านี้ ได้พูดถึงความยุติธรรมของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงดูแลกฎของพระองค์อย่างไร? ใครเชื่อฟังสิ่งที่พระองค์อธิบายให้ฟังและทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ไว้ พระองค์บอกว่าให้ทำอย่างนี้ๆ ถ้าทำตามก็จะได้รับความรอด  ถ้าไม่ทำตาม ก็ไม่ได้รับความรอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการมีเส้นมีสาย  รวมทั้งมนุษย์ด้วย

            ถ้าทั้งหมดเป็นจริงอย่างนี้ คือถ้าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมจริงๆ อย่างนี้  เราก็สามารถมั่นใจได้เลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย ด้วยกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ ก็คือด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วย  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามของพระองค์

            นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ แล้วพระองค์ทรงกระทำตามอย่างนี้แน่นอน  เรามั่นใจได้เลยว่ามันเป็นตามนี้ เพราะพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสามารถมาเปลี่ยนแปลงความจริงเหล่านี้ได้ พระองค์ทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            มนุษย์เกิดมา ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่งให้ตายอยู่ในวิญญาณ และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงวันกำหนดหลังความตายทางร่างกาย วิญญาณก็คงสภาพตาย แต่พระเจ้ารู้วิธีว่าจะทำอย่างไร? ถึงช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความตายและตายได้ ก็คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วย  เพื่อมนุษย์จะได้รอด ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอดจากความตายฝ่ายร่างกายและรอดจากความตายฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            และข้อต่อมา สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ “และวิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ตาย” เห็นไหม?  ปล่อยคนอธรรม หมายถึงพระองค์ตั้งใจจะปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นหรือ? พระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดผู้หนึ่งพินาศ ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือยอห์น 3:16 ใช่ไหม? พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก มนุษย์ทั้งปวง ใครก็ตาม ผู้ใดก็ตามที่วางใจในพระบุตร ก็คือมนุษย์คนใด ที่วางใจในพระเยซู ที่พระบิดาทรงส่งมาช่วยนั้น ก็คือพระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์ทุกคนเลย แต่จำเป็นจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ คือประทานอภัยโทษให้ ประทานพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดให้  ประกาศให้ แต่มนุษย์จำเป็นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยอมรับความช่วยเหลือนี้หรือไม่?

            ข้อความนี้จึงบอกว่าพระองค์ทรงรู้วิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ จนถึงวันพิพากษาลงโทษสุดท้าย หลังความตาย ก็คือปฎิเสธความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ หลังความตาย ก็ไม่สามารถมีใครมาช่วยได้

            คนชอบธรรม ก็คือคนที่ยอมรับข่าวดี เป็นอิสระจากการพิพากษาลงโทษให้ตาย และการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายด้วย เป็นอิสระเดี๋ยวนี้เลยทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ นี่คือคนชอบธรรม ก็คือผู้เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

            และคนอธรรม ก็คือคนที่ปฏิเสธข่าวดี ยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษให้ตาย บนโลกใบนี้  และยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตายด้วย  ถูกพิพากษาเดี๋ยวนี้เลย และถูกพิพากษาหลังจากตายด้วย  เราจะเห็นได้เลยว่าจากถ้อยคำนี้ พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย  พระองค์เป็นผู้วางแผนการ วิธีการต่างๆ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอด แล้วจากนั้น พระองค์ก็ไม่ทำอะไรเลย แค่เป็นผู้พิพากษา ดูแลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ คือส่งมาช่วยให้รอดแล้ว ทำตามกฎนี้ ได้รอดทุกคน  ถ้าไม่ทำ ไม่รอดนะ  ประกาศแล้วประกาศอีกมนุษย์มีหน้าที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเคารพ ยำเกรงกฎเหล่านี้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องรู้กฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ และเชื่อฟัง ยอมรับ เคารพ ยำเกรงกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งควรจะเคารพยำเกรง เชื่อฟังมากยิ่งกว่ากฎหมายทางโลกวัตถุด้วยซ้ำไป  ขนาดกฎหมายทางโลกวัตถุ คือกฎหมายการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังรู้เลย ระมัดระวัง กลัวกฎหมายเหล่านี้ เคารพยำเกรงกฎหมายเหล่านี้ แล้วกฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้เลย มันอยู่นิรันดร์ด้วย ทำไมเราจึงไม่เคารพ ยำเกรง

            เวลาพระคัมภีร์เขียนว่าจงเคารพ ยำเกรงพระเจ้าด้วยตัวสั่น มันแปลว่าอย่างนี้นะ มันไม่ได้แปลว่าเราไปยืนแล้วเรากลัว หมายถึงท่านขับรถเร็ว แล้วผมก็ไปบอกท่านบอกว่า …

            “ท่านควรจะเปลี่ยนแปลงนิสัยท่านใหม่ จงเคารพ ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง การฝ่าไฟแดงอะไรต่างๆ จนตัวสั่นเลยนะลูกเอ๋ย”

            คือให้เคารพ ยำเกรงต่อกฎหมายอย่างนี้เป็นต้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าคนชอบธรรม ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า คือผู้พิพากษา คือพระเจ้าที่ขวามือของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่คริสตจักรขณะนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่บ้านขณะนี้ ท่านผู้เชื่อวางใจ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรมแล้ว คริสเตียนแล้ว ทางวิญญาณท่านนั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  นั่งถึงเมื่อไร? จนถึงหลังความตาย  เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมนี่แหละ  เพราะฉะนั้น หลังความตายเรายังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และเป็นผู้พิพากษาหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน เห็นภาพแล้วนะ

            ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา เราผู้วางใจในพระเจ้าบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม ที่เรียกว่าผู้เชื่อ คริสเตียนแล้วนั้น หลังความตายบนโลกใบนี้  ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้น เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าบัลลังก์รอรับการพิพากษาลงโทษ สำเร็จโทษ แต่เราอยู่ข้างๆ พระเยซู

            นึกถึงศาลในปัจจุบัน ศาลอยู่บนบัลลังก์ คนที่ได้รับโทษตัดสินอยู่ข้างหน้า เห็นภาพไหม? แต่เราผู้ที่เชื่อ เรายืนอยู่ข้างๆ พระเยซูข้างบนนี้ เห็นภาพชัดเจนขึ้น ข้างล่าง คือคนที่ไม่เชื่อ ถูกพิพากษา เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากความตาย  เพราะฉะนั้น การพิพากษาหลังความตาย จึงไม่ต้องกลัวเลย เพราะนี่คือถ้อยคำพระเจ้า ชัดเจนเลย บอกว่าตั้งแต่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้แล้ว  และบอกไว้ด้วยว่าหลังจากความตาย การพิพากษาครั้งสุดท้าย มันเป็นอย่างไร?  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวเลย

            พระเจ้าไม่ได้โกรธเคืองหรือเป็นศัตรูกับคนบาป คนอธรรมเลย ตรงกันข้าม พระองค์ทรงห่วง ทรงรักมนุษย์ทุกคนดั่งแก้วตาดวงใจ พระประสงค์ของพระองค์ คือต้องการให้ทุกคนได้รับความรอดเตือนแล้วเตือนอีก ประกาศข่าวดีแล้วประกาศข่าวดีอีก รอแล้วรอเล่า …

            “เมื่อไรหนอๆ เขาจะเชื่อสักที เมื่อไรหนอๆ เขาจะเปิดใจต้อนรับความจริงเหล่านี้สักที เขาจะได้กลับมาหาเราสักทีหนึ่ง” … นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าบึงไฟนรก ที่เราแปลกันว่าที่อยู่ของวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ หลังความตาย บึงไฟนรก ไม่ใช่เป็นสถานที่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับซาตานและวิญญาณชั่วต่างหาก มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ก็จะบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นลูกที่เชื่อฟัง เหมือนพระคริสต์ทันทีทันใด ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย  พูดถึงใคร? พูดถึงฉัน เพราะฉันเชื่อแล้ว ฉันวางใจแล้ว ฉันเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นอย่างนี้ตั้งแต่บนโลกใบนี้แล้ว และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกตรงนี้ไว้ …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์” เมื่อเราเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบพระเจ้า ก็เกิดขึ้นสมบูรณ์ในวิญญาณของเรา วิญญาณมีความคิดอยู่ในนั้นด้วย ความคิดและวิญญาณของเราก็สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ความคิดและวิญญาณในจิตใจของเรา เกิดความมั่นใจในวันพิพากษา

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นที่ไหน? ความมั่นใจนี้อยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังความตาย  ที่เรามีความมั่นใจในวันพิพากษาหลังความตาย  ก็เพราะว่าวิญญาณและใจใหม่ของเรา ที่ได้รับตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู ไม่มีไหวหวั่นอะไรเลย แล้วทำไมเราคิดกลัว นั่น ไม่ใช่ตัวเรา ก็คือมาจากภายนอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงมีความหวัง ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในความชอบธรรมของเรา ที่เราได้พ้นจาการถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ จนถึงหลังความตาย เพราะความรอด ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น มีค่า หรือมีคุณภาพของความรอดที่เราได้รับมานั้น มีเท่าๆ กันกับพระเยซู เหมือนพระเยซูตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ

            คำว่า “ความชอบธรรม” หรือ “ผู้ชอบธรรม” คือการไม่มีใครมากล่าวหาเราได้แล้วว่าเราเป็นคนบาป คนชั่ว คนผิด คนเลว ไม่มีใครสามารถพูดได้เลย ไม่มีใครชี้เราได้เลย เพราะการชี้นิ้วกล่าวหาเรา ก็เท่ากับกำลังชี้นิ้วกล่าวหาพระเยซู เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซู ใครจะมาว่าหน้าของผม เขาก็ว่าทั้งตัวผมด้วยแหละ  เขาจะไม่บอกว่า …

            “เจ้าเป็นคนเลว เฉพาะใบหน้า  แต่ตัวโอเค”

            มีใครพูดอย่างนี้บ้าง? มีแต่บอกว่า … “แกมันเลว”

            เลว แปลว่าอะไร? ทั้งหมดทั้งตัวนั่นแหละ 1 ยอห์น 4:18 …

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด(ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

            เพราะว่าไม่มีความกลัวอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เพราะความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นตัวเราแท้ๆ ไม่มีความกลัวอยู่ในนั้นเลย แล้วมีอะไรอยู่ในนั้น ตรงกันข้าม มีพระเจ้า …

                        “พระเจ้าเป็นความรัก           พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก”

            เพราะฉะนั้น วิญญาณและจิตใจของเราที่เป็นเหมือนพระเยซู มันก็เลยเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นความรัก  จิตใจฉันก็เป็นความรัก ฉันเป็นความรัก ความรักในนั้น จึงไม่มีความกลัวอยู่เลย   เกิดขึ้นทันที หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นความรักออกมาเลย และความรักนั้น เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว  เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูนั่นเอง ใน 1 โครินธ์ 6:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? …”

            ไม่ใช่เรา ไม่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายเท่านั้น แต่เรายืนอยู่ที่ข้างๆ พระเยซู ซึ่งเป็นผู้พิพากษา และพระเยซูนับเราว่าเป็นพวกเดียวกับพระองค์ พูดง่ายๆ พระองค์นับเราเป็นคณะผู้พิพากษา เข้าใจคำว่า “คณะ” ใช่ไหม? เราเป็นผู้พิพากษาร่วมกับพระองค์ในวันนั้น  ไม่ใช่เฉพาะว่าเราไม่ต้องเข้าสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายเท่านั้น  แต่เราจะเป็นผู้พิพากษาเขาเหล่านั้น  เขาเหล่านั้น ก็คือมารซาตานและใครก็ตามที่ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าผู้ที่ไม่วางใจในพระเจ้าจะเป็นเช่นไร?

            เพราะฉะนั้น ถ้าเราซึ่งเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เรายังคงมีความคิด ความกังวล ความกลัวในเรื่องการถูกพิพากษา ลงโทษหลังความตายอยู่ มีใครคิดอย่างนี้อยู่ไหม? มี ยังมีคริสเตียนหลายคนยังคิดอย่างนั้นอยู่ ผมเองหลายปีก่อนโน้น ตอนเชื่อใหม่ๆ ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากพิจารณาตามถ้อยคำของพระเจ้าแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย ถ้อยคำพระเจ้าพูดชัดเจน มากว่าเราไม่ต้องเข้าไปสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายแล้ว ไม่มีแล้ว

            แต่ที่เป็นคริสเตียน แล้วยังกังวล กลัวการพิพากษาหลังความตายว่าตายไปแล้ว หรือว่าล่วงหลับไปแล้ว ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่ไหม? ยังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังค์ของพระเจ้า พิพากษาว่าเป็นคริสเตียนอยู่ก็จริง  จะทำดีไหม? ถ้าทำดี ก็จะได้ไปอยู่คฤหาสน์ในสวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ นี่เป็นนักประกาศยอดเยี่ยม ทำดีมาก นี่อธิษฐานเยอะ  นี่เป็นนักถวายมาก  เพราะฉะนั้น ไปอยู่แมนชั่น ก็คือคฤหาสน์ อยู่ร่วมกับบิลลี่ แกรแฮม แต่คนนี้ไม่ค่อยประกาศ ไม่ค่อยอธิษฐานเลย เป็นแม่บ้านอยู่ เป็นชาวสวน ทำงาน ทำการทั้งวัน  ฉันคงแย่ ฉันขอแค่ไปสวรรค์ แล้วก็ขอนอนคอนโดเล็กๆ ก็พอแล้ว แค่อยู่ในสวรรค์ก็พอแล้ว มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ นะ หรือท่านกำลังคิดอยู่ก็ตาม แต่ความจริง คือไม่มีการพิพากษาแล้ว ทุกคนได้รับเท่าๆ กัน ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลังความตายก็ได้รับเท่ากัน ไม่มีการมาพิพากษาอีกแล้ว จบแล้ว จากนี้ไป ก็มาพิพากษาคนนี้เชื่อแล้วก็จริง เป็นคริสเตียนแล้วก็จริง ทำดีเยอะไหม ตอนอยู่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์ ทำบาปไว้เยอะหรือเปล่า? ช่วยงานโบสถ์มากไหม? มาโบสถ์พอเพียงไหม? อธิษฐานพอเพียงไหม? กระทำดีหรือไม่ดี มามากขนาดไหน? ตัดสินกันได้รางวัลมาก ได้รางวัลน้อย คนนี้เอาไป 10 ไร่ในโลกสวรรค์ คนนี้เอาไปไร่เดียวพอ คนนี้เอาไปแค่ 2 วาพอ  ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  แต่คนก็คิดไปได้เนอะ เพราะอย่างที่ผมบอกว่าโลกใบนี้มันยังคงอยู่ ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย ระบบของโลกนี้ยังอยู่

            เพราะฉะนั้น เมื่อตะกี้เราบอกว่าเมื่อเขาบังเกิดใหม่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณและใจใหม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นความรักแล้ว หลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ หลังความตายแล้ว หลุดพ้นจากความกลัว ไม่มีความกลัวแล้ว แต่ทำไมเขายังกลัวอยู่ แล้วยังกังวลอยู่ ก็แสดงว่าความคิดและความกังวลนั้น มันไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเขา ก็คือไม่ได้มาจากในวิญญาณ ในใจของเขาที่เหมือนพระคริสต์อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความมั่นใจในความรอดนิรันดร์

            ตามที่ตะกี้เราอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:17-18 ถ้าเช่นนั้น ความคิดและความกังวลเหล่านี้ ของคริสเตียนเหล่านี้ มันมาจากไหน? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนยังรู้ว่ามาจากวิญญาณข้างใน ความคิดเขาคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่แล้ว เกิดใหม่แล้ว แล้วทำไมยังคิดอย่างนั้นอยู่

            คำตอบ ก็คือมันมาจากเนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำไปใช้ นำไปในทางเป็นศัตรูต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทั้งสิ้น ทั้งมวลเลย

            ทำไมผมใช้คำว่ามันมาจากเนื้อหนัง  เพราะผมต้องการเน้นให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ตัวท่าน มันแสดงว่าอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในตัวท่าน มันไม่ใช่ตัวท่าน  แต่มันมีอิทธิพล อิทธิพลของเนื้อหนัง ระบบของโลก ที่เป็นศัตรูยังอยู่ และทำงานอยู่ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้  ต่อความคิดและร่างกายของเรา  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  โดยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย เนื้อหนังเหล่านี้ กระทำงานผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรานั่นเอง มันส่งเข้ามา “มัน” คืออิทธิพลนี่แหละ

            โปรแกรมของความคิดเดิมๆ ของเรา  ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเชื่อพระเยซู ก็ยังคงเหลืออยู่ในความคิด ในสมองของเรา สมอง ไม่ใช่วิญญาณ จิตใจนะ ในสมองของเรา  ซึ่งหากถูกกระตุ้นด้วยอิทธิพลของเนื้อหนังนี้  ก็อาจทำให้เกิดความกลัว ความกังวล เหมือนชีวิตเดิม ก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่ใช่กลัวเฉพาะการพิพากษาลงโทษอย่างเดียว  กลัวทั้งอย่างอื่นด้วย  ทั้งๆ ที่วิญญาณและจิตใจนั้น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าตรงไหนรู้ไหม? แต่ความคิดและความกังวล และกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือระบบของโลกนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริง ทางโลกฝ่ายวิญญาณได้  พูดง่ายๆ ความคิดกลัว ความคิดกังวลของเรา คิดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆ ที่ไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในทางโลกวิญญาณได้เลย  เพียงแต่ทำให้เกิดความทุกข์  ไม่มีสันติสุข ไม่ได้รับการพักผ่อน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่าที่ควรเท่านั้นเอง

            พอจากไป เข้าสู่โลกวิญญาณ เข้าสวรรค์ปุ๊บ โอ้โห! รู้อย่างนี้ไม่กังวล ไม่ทุกข์ใจขนาดนั้นหรอก เป็นอย่างนี้เองหรือ? ไม่ต้องเข้าไปรับการพิพากษาลงโทษ โอ้! กลัวแทบตาย กลัวว่าจากโลกนี้ไป เจอหน้าพระเยซู อายพระเยซูมากเลย ทำอันนั้นผิด ทำอันนี้ผิดไป อายมากเลย แถมบางคนพูดอย่างนี้ ยิ่งน่ากลัวใหญ่เลย พอไปถึงหลังความตายปุ๊บ พอถึงตาพิพากษาคริสเตียน คริสเตียนออกมา นาย ก. ออกมาปุ๊บ พิพากษานาย ก. หน่อย เชื่อพระเจ้าแล้วทำอะไรบ้าง? อธิษฐานอย่างนั้นๆ นาย ก. อายมากเลย เพราะว่าเขาจะฉายหนังของนาย ก. ตอนที่เป็นมนุษย์ อยู่บนโลกนี้ ไปทำอะไรมาบ้างเยอะแยะไปหมด ผู้คนทั้งหลายในที่ประชุม ในห้องพิจารณาคดีได้เห็นหมด  อายเขาตายเลย  ไม่มี ไม่มีอย่างนั้นเลย มันหมดไปแล้ว  ใช่นั่นมันความคิดแบบโลก

            และความจริงที่สำคัญที่สุด ก็คือเรา ผู้เชื่อ หรือคริสเตียน เราไม่ได้เอาโปรแกรมความคิดสกปรก  บาป ต่อต้านพระเจ้า กิเลสตัณหา ความรู้สึกสงสัย ไม่เชื่อ ความวิตกกังวล ความกลัว ติดตามตัวเราไปด้วย ในวันที่เราเข้าสู่สวรรค์ เพราะมันอยู่ในร่างกายและความคิดในสมองของเรา ที่มันสูญสิ้น ที่มันทิ้งไปแล้ว  เราเข้าสวรรค์ด้วยวิญญาณ และใจใหม่เท่านั้น  แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ นี่คือความจริงที่เลิศประเสริฐศรีเลย  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าอย่างชัดเจน  เราเข้าสู่สวรรค์ด้วยวิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนร่างกายพระเยซู เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศีนิรันดร์ เอเมนไหม?

            นี่คือความหวังใจของเรา อย่างชัดเจน เพราะพระคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราจึงไม่กลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ ผู้เป็นศีรษะเรา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนิรันดร์  แค่เพียงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น  และเราก็ทำไปแล้ว  สำหรับคนที่ยังไม่ทำ  ทั้งหมดที่พูดมาวันนี้ ความจริงเหล่านั้น เป็นของท่านแล้ว  แค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน  มันก็เป็นของท่านจริงๆ  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            จะปฏิบัติต่อผู้อื่น ให้สมกับเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว … โดย …

                        1. ตาต่อตาฟันต่อฟัน

                                    หรือ …

                        2. ให้อภัย 70 × 7 ครั้ง

            มัทธิว 5:9 … “พระเยซูตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สร้างสันติเพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า”

            ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณใหม่ที่เป็นความรัก ชนิดเดียวกับที่เป็นของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ของเรา

            ภายในเราก็จะเต็มล้นไปด้วยพระคุณความรัก  และสันติสุขในใจ

            แล้วจะดำเนินชีวิต ท่ามกลางความมืด และความเกลียดชังบนโลกนี้ ด้วยการเป็นคนที่สร้างความสงบ สันติ แม้จะถูกข่มเหงรังแก ถูกโกงเอาเปรียบละเมิดสิทธิ ก็อดทนนาน นิ่ง ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้มีด ไม่ใช้ความรุนแรง ความเกลียดชัง สนองตอบ

            แต่ฝึกฝนสำแดงความรักจากภายใน ไปที่ไหน อยู่ที่ไหนก็สร้างแต่ความสงบสุขเกิดขึ้น มีแต่สันติภาพเกิดขึ้น นี่คือลักษณะของคนที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1439

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 1 “อิสระจากความกลัวตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ในวันนี้ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง” ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เรากลัวอะไรบ้าง?  กลัวเจ็บป่วย กลัวอดอยาก กลัวทุกข์ยากลำบาก กลัวตาย กลัวถูกพิพากษาหลังความตาย จะไปอยู่ไหนไม่รู้ กลัวอุบัติเหตุ กลัวความไม่แน่นอน คือความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้  เรากลัวไปหมดเลย เราจึงจะมาเรียนรู้จักจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูอธิบายให้เราฟัง จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวทั้งหมดเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มีสันติสุขและมีความหวัง อันมั่นคง แข็งแกร่ง สามารถเผชิญได้ทุกๆ สถานการณ์

            และหวังว่าความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ ฉะนั้น ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ เริ่มวันนี้ตอนที่ 1 เลย “อิสระจากความกลัวตาย” ในที่นี้ พี่น้องที่อยู่ทางบ้านด้วย ถามจริงๆ เป็นคริสเตียนหรือยัง? เป็นแล้ว มีใครยังกลัวตายอยู่ไหม? ตอบในใจก็ได้ ตอบมีเสียงก็ได้ ลองคิดถึงตัวเราเองว่าเรากลัวตายไหม?  เราเป็นคริสเตียน  ถ้ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อเลย  อันนี้ไม่ต้องพูดถึง  เพราะพระคัมภีร์บอกความจริงว่าเพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา กลัวตาย เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของทุกคนอยู่แล้ว เพราะว่าตกอยู่ใต้ความบาปและคำสาปแช่งของความตายและความบาป ด้วยกันทุกคน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  เกิดมา ก็ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและคำสาปแช่งในวิญญาณ  เป็นบาปอยู่

            เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดความกลัวอยู่ในใจลึกๆ  อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ กลัวตาย ส่วนจะแสดงออกเป็นการกลัวตายอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่แต่ละคน แต่ละคนในใจลึกๆ กลัวตายทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งผู้ที่เป็นคริสเตียนด้วยนะ ในลึกๆ มันยังคงค้างอยู่ คงเหลืออยู่ แต่เราอาจจะอย่างที่บอก เรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า  เราไม่กลัวตาย  อันนั้นเป็นส่วนของความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า แต่ส่วนข้างในลึกๆ เรายังกลัวตายอยู่ เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความกลัวตาย  บนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม  ที่ทำให้กลัวตาย ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่ไปหาหมอ กินยาหรอก  อดทนเอา ตายก็ดี  ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่พยายามที่จะหนี หรือหาอะไรปกปิด ร่างกายเราให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง

            สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าลึกๆ เราก็ยังกลัวอยู่  แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ

            ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงสอนเราในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเรารู้ความจริงเหล่านี้ เข้าไปลึกๆ อยู่ในสมองของเราแล้ว ความกลัวมันจะหายไปจากสมอง จากความคิดของเรา ความจริงเหล่านี้จะมาเป็นตัวลบ เอาความกลัวออกจากความคิดของเรา ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ จะเป็นโล่ป้องกันความกลัวที่ส่งเข้ามาจากโลกนี้ ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งความคิดเก่าๆ ของเราด้วย

            เพราะฉะนั้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ใส่เข้าไปในจิตใจของเรา  เข้าไปในสมอง ไปล้างของเก่า ล้างความกลัวออกไปจากสมองให้มันหมด มันอาจจะไม่หมดหรอก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  เรายังได้รับอิทธิพลจากความบาปและความตาย  จากความกลัวบนโลกใบนี้อยู่ แต่อย่างน้อย มันน้อยลง  เท่าที่จะเป็นไปได้  เอเมนไหม? นี่คือความจริง

            ดังนั้น สามารถตอบเมื่อตะกี้นี้ได้ว่ายังกลัวไหม? ก็ต้องตอบไปตามธรรมชาติว่ามันก็ต้องกลัวแหละ  เพราะตามธรรมชาติอยู่บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความกลัว ก็กลัวมาก กลัวน้อยเท่านั้นเอง

            ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูบอก  ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวนี้ วันนี้จะยกมาแค่ไม่กี่ข้อความเท่านั้นเอง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดแล้ว จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวมากเลย ซึ่งมันมีถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้อีกเยอะแยะมากมาย ในหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ได้พูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อจะเป็นอิสระจากความกลัว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และเป้าหมายของเราในการพุ่งตรงไปข้างหน้า ด้วยความเชื่อศรัทธา

            ความจริงอันดับแรกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณนี้ให้กับพวกเราได้รู้ ฟังดูแล้วจะรู้สึกเลยว่ามันเกิดความฮึกเหิม เกิดความมั่นใจ  ที่เราเรียกกันว่าความเชื่อ  เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของเราแล้ว  แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอกลับมาใคร่ครวญ ไต่ตรองถึงถ้อยคำความจริงเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ในเช้าวันนี้ จะทำให้เรารู้สึกเพิ่มพูนความมั่นใจ ความหวังใจอย่างชัดเจนขึ้นในชีวิตของเรา  ทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย อย่างน้อยก็ได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            เริ่มต้นที่ยอห์น 11:25-26 พระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้พูดความจริงตรงนี้อย่างชัดเจน บอกว่าเราจะบอกความจริงให้กับท่าน นี่คือความจริง …

        ยอห์น 11:25-26 “25 พระเยซูตรัสว่า “เรา คือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา  ผู้ที่เชื่อในเรา จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป 26 และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย  เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            มนุษย์เราเกิดมา ก็รู้ๆ กันอยู่ เราเกิดมา เผชิญกับความแก่ เจ็บ และตาย หนีไม่พ้น ทุกคน แล้วจู่ๆ พระเยซูมาประกาศความจริงในโลกวิญญาณว่าเราคือผู้ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย  และให้ชีวิตกับเขา ก็คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และก็เป็นขึ้นมาใหม่  โดยพระเยซูคริสต์บอก

            “ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้เขาตายไปแล้ว” พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าสิ้นลมไป ตายของเราในที่นี้ ก็คือหมดลมหายใจ มนุษย์กลัวตาย ก็เพราะว่ากลัวหมดลมหายใจ แต่พระเยซูบอกหมดลมหายใจ แต่ไม่ตาย  เกิดอะไรขึ้น

            “และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา” ก็คือขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มีชีวิตอยู่ใช่ไหม? เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่ตายเลย  ก็หมายถึงเขาจะแค่หมดลมหายใจ และเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปอยู่อีกลักษณะหนึ่ง  ก็คือยังมีชีวิตอยู่ ด้วยร่างกายใหม่  พระองค์ถามมนุษย์ทุกคนว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            ตอบสิครับ ผมก็จะถามตามที่พระเยซูถามว่า “ท่านเชื่อตามที่พระเยซูบอกความจริงตรงนี้หรือไม่ว่าถ้าวางใจในพระองค์ ท่านเกิด แก่ เจ็บ และไม่ตาย”

            “อ้าว! แล้วสิ้นลมล่ะ”

            เดี๋ยวฟังต่อไปว่าไม่ตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น  ยังมีชีวิตอยู่ต่อ แค่นี้ก็ตกใจแล้วนะ นี่คือคำพูดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงประกาศอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์  ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ ถ้อยคำของพระองค์พูดเหล่านี้ ไม่มีสาระ มันเป็นการโกหก น่าเกลียดที่สุดเลย เกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย มันไม่ควรเชื่อเลย แต่ 2,000 ปี พิสูจน์มาเห็นชัดเจนว่ามีผู้เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่พูดไว้ตรงนี้มากขึ้นและมากขึ้น และมากขึ้นทุกวันๆ เอเมน

            ก็แสดงว่ามันต้องมีมูลเหตุแน่นอน  ที่คำเหล่านี้เป็นจริง ถ้าไม่จริง มันคงไม่เป็นเยอะขนาดนี้หรอก มนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ เป็นหลายๆ ล้านคนเหล่านี้ ใน 2,000 ปีนี้ มาเชื่อเรื่องโง่ๆ อย่างนี้หรือ? มาเชื่อเรื่องหลอกลวงแบบนี้หรือ? เป็นไปได้ไหม? พอคิดอย่างนี้แล้ว พอเราเป็น คริสเตียนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว เราสามารถตอบตรงนี้เลยว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            “เอเมน เชื่อครับ”

            ความคิด กลัวตายของเรามันจะลดลงทันทีเลย มันจะมั่นใจขึ้นทันทีเลย ที่พูดมาทั้งหมด ใช่หมดเลย ลืมคิดไป เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 20 ปี เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 10 ปี เชื่อพระเจ้ามา 1 ปี เชื่อพระเจ้ามา 4-5 วัน ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปว่าเราไม่ควรกลัวเลย ใช่ไหม?

            มาข้อต่อไป 1 เธสะโลนิกา 4:13-14 พูดถึงเกี่ยวกับคนที่หมดลมหายใจไปว่าคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว เมื่อเกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย แต่หมดลมหายใจไป เป็นอย่างไร? เขาเรียกกันว่าอะไร? แล้วเราควรจะมีท่าทีอย่างไร?  สำหรับลักษณะอาการอย่างนั้น ที่เขาสิ้นลมไป …

        1 เธสะโลนิกา 4:13-14 “13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่าน ไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซู (ก่อนหน้า) นั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น (ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซู) มากับพระองค์ (ในวันพิพากษาโลก) ด้วย”

            “แต่พี่น้องทั้งหลาย” ก็คือบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย หรือในกลุ่มของคริสเตียน  เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเรียกกันว่าเป็นพี่น้องกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่ในครอบครัวในพระเยซูคริสต์ “ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไป” สังเกตเห็นไหมครับ? พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” แทนคำว่า “ตาย” เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ล่วงหลับ เพราะฉะนั้น เป้าหมายของเรา  มองไปที่อนาคตของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเกิด แก่หรือยังตอนนี้ แก่อยู่ เจ็บมากเจ็บน้อย ก็เจ็บอยู่ เจ็บหนีไม่พ้น แต่เราพ้นความตายแล้ว เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเกิด แก่ เจ็บ แล้วเราก็หลับไป  เพราะสำหรับผู้เชื่อ คือเป็นคริสเตียนแล้ว จะไม่มีการใช้คำว่า “ตาย” อีกแล้ว นี่คือความจริง  เพราะความตาย คือโทษของความบาป เมื่อเรารอดจากโทษของความบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราก็ไม่ต้องตาย ชัดเจนเลย

            คำว่า “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็แปลว่าอยากให้ท่านทราบนั่นเอง  เป็นสำนวนที่เน้นว่านี่คือความจริงที่อยากให้ท่านรู้ “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็คืออยากมากเลย ให้ท่านทราบความจริงนี้ เรื่องเกี่ยวกับความจริงในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความตาย มันคืออะไร? เราจะเรียนรู้ต่อไป อยากให้ทราบถึงความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ว่าคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว คือคนที่มนุษย์บนโลกใบนี้บอกว่าสิ้นลมแล้ว ตายแล้ว เขาได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่หลับไป วิญญาณออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่เลย  ไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านทราบสิ่งเหล่านี้  เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า พี่น้องที่เป็นคริสเตียนเอง เราก็จะหลับไปอย่างนี้เช่นเดียวกัน

            นั่นเกิดขึ้นกับเขา ไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้เหมือนกัน  คือไม่ได้ตาย สิ้นลม หลับไปเท่านั้นเองแล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้รับความจริงอย่างนี้แล้ว  รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะได้ไม่ต้องกลัวความตาย คือเป็นอิสระจากความกลัวตาย เพราะนี่คือความจริง  เมื่อเป็นอิสระจากคาวมกลัวตายแล้ว ท่านก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินเหตุ สำหรับคนที่เรารัก จากไปก่อน สิ้นลมไปก่อน  ล่วงหลับไปก่อน  เราก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินกว่าเหตุ เหมือนกับคนอื่นๆ บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้จักเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ เขากลัวกัน เขาโศกเศร้าเสียใจ  ไม่เจอกันอีกแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่เราจะไม่โศกเศร้าอย่างนั้น  เพราะเรามีความหวังที่ชัดเจน ในความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แต่เขาไม่มีความหวังแบบนี้ เหมือนเรา เพราะเขายังไม่ได้เชื่อในความจริง ในคำพูดของพระเยซูคริสต์

            และถ้าเราได้มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา สมมติว่าพรุ่งนี้ เรายังหายใจอยู่ ยังไม่สิ้นลม พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก คนเหล่านั้น ที่จากไปก่อนแล้ว  ล่วงหลับไปก่อนแล้ว  ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว จะกลับมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  กลับมาพิพากษาโลกพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

            เห็นภาพอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าโอ้โห! ไม่มีความตาย สำหรับผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเลย ไม่มีเลย ไม่มีการตายอีกแล้ว มีแต่การเปลี่ยนแปลงมิติ เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงร่างกาย

            ข่าวดีในเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเราได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราเริ่มต้นเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณของเรา  เรียกว่าได้รับบัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซู เข้าไปเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของคนนั้น  ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเขา ชีวิตของฉันได้ถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ ติดอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ฟังถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ชีวิตของท่าน คือวิญญาณของท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์และท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเจ้า พระบิดา  และพระเจ้าพระบิดา ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้มาเป็นพี่เลี้ยงของท่าน อยู่กับท่านตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ท่านนั่งอยู่นั้น ในวิญญาณของท่านมีตรีเอกานุภาพ  คือพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ ปกคลุมอยู่ในตัวของท่านตลอดเวลา จะตายได้อย่างไร? ท่านไปไหนมาไหน ก็มี 4 บุคคลไปกับท่านตลอด  ก็คือพระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในชีวิตของท่าน

            สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ รอวันออกจากที่ซ่อน วันไหนที่ออกจากที่ซ่อน  วันที่ท่านล่วงหลับนั่นแหละ  พอล่วงหลับปุ๊บ ท่านออกจากที่ซ่อนทันทีเลย ท่านจะปรากฏโฉม เต็มด้วยสิริ สง่าราศี  งดงามเหมือนพระเยซูคริสต์เลย รอวันนั้น วันที่ภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้ ต้องการให้เรากลัว ก็คือวันที่ตาย แต่ของเราไม่ใช่  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วันนั้น คือวันที่เราล่วงหลับ  หมดลมหายใจ  เราจะปรากฏตัวของเรา ตัวตนแท้จริงของเรา ด้วยการสวมร่างกายใหม่  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู

            ข่าวดีในเรื่องพระเยซู คือพระเยซูหัวหน้ามนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่มีตาย  พันธุ์ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง พันธุ์ที่ชนะความตายแล้ว มนุษย์ที่อยู่เดิมนั้น  ก่อนพระเยซูและหลังพระเยซู ถ้าไม่ได้เชื่อพระเยซู เขายังเป็นมนุษย์พันธุ์เดิมอยู่ คือพันธุ์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย  ถ้าใครย้ายตัวเองมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาก็เกิด แก่ เจ็บ และไม่ต้องตาย  แต่ได้บังเกิดใหม่  เป็นไปตามที่ตะกี้นี้ ผมอธิบายให้ฟัง

            ข่าวดี คือพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พระเยซูเป็นพระบุตร เป็นบุตรของมนุษย์ เป็นมนุษย์แท้ๆ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะมาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าส่วนร่วมในร่างกายแบบเราอย่างนี้ เหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย  เพราะฉะนั้น  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในนามของมนุษย์ ก็หมายถึงพระเยซูทรงกระทำอะไร ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยทั้งสิ้น นี่คือข่าวดีของพระเยซู เพราะฉะนั้น พระเยซูได้รับอะไร ที่เป็นสิ่งดีๆ ที่เป็นพร มวลมนุษย์ก็จะได้รับไปด้วย  พระเยซูเป็นอะไร มนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะพระองค์ทรงเป็นตัวแทน  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ เหนือความตาย เราก็เป็นผู้มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  และเป็นตัวแทนของฉัน พระองค์ได้อะไร ฉันก็ได้ด้วย พระองค์ทรงทำอะไร เราก็ทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงกระทำแทนเรา 1 โครินธ์ 15:54-57 ยิ่งอ่านตรงนี้ ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย อ่านแล้วยิ่งชนะแบบหลุดลอยไปสู่อิสรภาพ …

        1 โครินธ์ 15:54-57 “54 เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น   สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป“  55 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ ชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กไนของเจ้า” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย” เสื่อมสลาย คือหมดไป สูญสิ้นไป เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น หมายถึงเมื่อร่างกายของเรา ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และที่สุดก็เอาไปเผาไฟ หรือเอาไปฝัง และในที่สุด ก็กลายเป็นปุ๋ย กลายเป็นดินไป  หรือจะเอาไปทำอะไรก็ตาม ที่มันสูญสิ้นไป ร่างกายที่ท่านอยู่อาศัยตอนนี้ ร่างกายที่ท่านมองเห็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ในวันหนึ่ง มันจะสูญสิ้นไป

            นี่คือความจริงที่มองเห็นอยู่ และมนุษย์ก็รู้อยู่ แต่ในโลกวิญญาณ ก็มีความจริงอีกอันหนึ่งเหมือนกัน ที่บอกถึงความจริงที่เป็นอยู่ ที่มนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มนุษย์จึงไม่เชื่อ โลกจึงไม่เชื่อ โลกจึงพยายามที่จะผลักดันเราไปเชื่อในสิ่งที่ต้องจับต้องได้ ถ้าจับต้องมองเห็นไม่ได้ อย่าเชื่อนะ นี่คือข้อมูลจากโลกนี้ แต่ข้อมูลจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน ที่จับต้องมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้นั้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง เอเมน

            เมื่อที่เสื่อมสลายได้นั้น ก็คือร่างกายที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็คือร่างกายที่ต้องตายนั้น มันสูญสิ้นไปก็ตาม แต่มันไม่สูญสิ้น เพราะว่าเมื่อมาเชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก พอหมดลมหายใจทันทีปุ๊บ สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็มีร่างกายใหม่ที่เป็นอมตะ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์สวมเข้ามาทันที  เมื่อล่วงหลับ เมื่อลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ สวมทันที สวมร่างกายที่เป็นอมตะ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี

            และในนี้อธิบายว่า … “และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตาย” เห็นหรือยัง? ร่างกายที่ตายได้ สวมร่างกายใหม่ ที่ไม่มีวันตายอีกต่อไป  ไม่มีวันสิ้นลมอีกต่อไป ไม่มีวันสูญสิ้นอีกต่อไป

            “คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง” เป็นจริงตามถ้อยคำบันทึกไว้ โดยพระเจ้านั่นเอง คือความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป  เห็นไหม? ไม่เห็นมีความตายเลย ความตายอยู่ไหน?  เกิด แก่ เจ็บ แล้วเปลี่ยนร่าง พระเยซูมาทำให้มนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่เชื่อในพระองค์นั้น แทนที่จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วตาย  กลายเป็นเกิด แก่ เจ็บ และก็เปลี่ยนร่าง เพราะฉะนั้น ก็คือความตายก็พ่ายแพ้  ถูกกลืนหายไป

            ข้อ 55 ดีมากเลย ขอบคุณพระเจ้า จำง่ายเลย 1 โครินธ์ 15:55 มี 5 กี่ตัว? 555 ห้าสามตัว ห้า สามตัวเขาเรียกว่า 555 ข้อ 55 เลยบอกว่า “555 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กในของเจ้า 555” ลองหัวเราะสิ

            เวลาที่เราเกิดความคิดกลัวตายขึ้นมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร? กลัวขึ้นมาแล้วแต่ ให้สมองเราคิด 1 โครินธ์ 15:55 ความตายเอ๋ย เจ้าพ่ายแพ้ไปแล้ว เหล็กในเจ้าอยู่ที่ไหน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่ทำให้เราต้องกลัวเหล็กในของความตาย คือความบาป  เหล็กใน คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ อำนาจความตาย คือความบาป และอนุภาพของความบาป คือบทบัญญัติ

            ความบาป เกิดมาจากการกระทำผิดบาป ตามบทบัญญัติ  ตามกฎศีลธรรม  แต่เราได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากความบาปและการผิดศีลธรรมเหล่านี้แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากความบาปนี้ เราจึงพ้นจากความบาปและอำนาจของความตาย  จึงไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราอีกต่อไป เราจึงได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ข้อ 57 “แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงประทานชัยชนะแก่เรา” ชัยชนะเหนือความตาย  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เราจึงไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไปแล้ว เอเมน

            “โดยพระเยซูคริสต์ ฉันไม่กลัวตายอีกแล้ว” เอเมน

            จากการที่พระเยซูคริสต์เอาชนะความบาปและความตาย  และได้ทำลายล้างอำนาจ หรือเหล็กในของความบาปและความตาย ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตกเป็นทาสแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง จนหมดสิ้น  พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป และที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปเหล่านี้ ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะด้วย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเพื่อเราทั้งหลาย พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป มีชัยชนะ เราจึงมีชัยชนะด้วย

            พระเยซูคริสต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิต เอาชนะความบาปและความตาย  โดยพระองค์ได้ทรงเสียสละ ยอมเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แบกรับเอาความบาป เอาคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมานไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่พวกเราบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ได้รับชัยชนะนี้มาด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  พระคัมภีร์จึงเรียกพระเยซูว่าเป็นผู้พิชิตความตาย เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราได้มาฟรีๆ แค่เปิดใจรับสิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ฮีบรู 2:14-15 …

        ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส  เนื่องจากกลัวความตาย”

            “เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร” เห็นไหมครับ? อำนาจของความตาย คือมาร ถูกทำลาย ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชีวิตตกเป็นทาส เนื่องจากกลัวความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดมาปุ๊บ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือเกิดมา ก็ต้องอยู่ในกฎของโลกใบนี้ กฎแห่งกรรมบนโลกใบนี้ ก็คือเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่ และเจ็บ และตาย สูญสิ้นไป จึงตกเป็นทาส เนื่องจากความกลัวตาย  แต่พระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้พ้นจากอำนาจนี้แล้ว  เป็นอิสระจากความกลัวตาย ความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะมันเป็นเรื่องจริงๆ  ที่เกิดขึ้นจริงๆ อย่าให้โลกนี้ ระบบของโลกนี้ ซึ่งมารใช้หลอกลวงมนุษย์ มาหลอกเราอีกต่อไป ให้เรากลัวตาย  เพราะเราไม่ได้เป็นทาสของความตายอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว  เราเป็นอิสระจากโลกนี้แล้ว เราจึงเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะเราไม่ต้องตายแล้ว เอเมน

            เราผู้เชื่อหรือคริสเตียนทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลยทันที เรียบร้อยแล้ว  จบแล้ว ที่วิญญาณของเรา คือที่วิญญาณและจิตใจของเรา ที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าวิญญาณและจิตใจภายในของเรา  ได้เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม  ได้บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนเลย เพียงแค่รอเราเปลี่ยนแปลงร่างกายที่ต้องสูญสิ้นไป หมดลมไปในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นร่างกายภายนอกที่เรามองเห็น เรียกว่าเสื้อเก่าก็ได้ เสื้อก็ได้ รอวันที่จะเปลี่ยนเสื้อใหม่ เสื้อนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ ตัวเราคือตัวเรา เสื้อคือเสื้อ วิญญาณของเรา และจิตใจของเรา คือตัวเราจริงๆ แท้ๆ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม สวมร่างกายเดิมนี้ ซึ่งร่างกายจะมีวันหนึ่งข้างหน้า จะล่วงหลับ และสูญสิ้นไป เราจะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาแทนที่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ความตาย หรือที่เรียกกันว่าหลับ หรือที่เรียกกันว่าสูญสิ้น เมื่อถึงวันนั้น ที่โลกนี้เรียกว่าความตาย การเกิด แก่ เจ็บ ตายของคริสเตียนนั้น  ความตายจึงเป็นเพียงแค่ประตูสุดท้ายแห่งชัยชนะของเราบนโลกใบนี้  คือเป็นแค่ประตูแห่งการเปลี่ยนมิติ เข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณ อย่างเต็ม สมบูรณ์แบบของเรา ก็คือวิญญาณและใจ ที่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือได้สวมร่างกายที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ครบหมดเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ครบหมด เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ทันที เต็มด้วยสง่าราศีทั้งวิญญาณ และจิตใจที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริ  เต็มไปด้วยความบรรเจิด เหมือนพระเยซูคริสต์ครบหมดเลย  และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตาฝ่ายวิญญาณ เราก็จะมีความสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ เห็นผู้คนที่อยู่ในสวรรค์ก่อนหน้าเรา หน้าต่อหน้าได้ และที่สำคัญที่สุด เห็นตัวตนแท้จริงของเราหน้าต่อหน้าได้ เหมือนเห็นในกระจก

            ทุกวันนี้ เราอยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่ในวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซู จิตใจข้างในเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์  แต่เรามองในกระจกในปัจจุบัน ท่านเห็นใครในกระจกเมื่อเช้านี้? ท่านเห็นวิญญาณของท่านไหม? ไม่เห็น  เห็นใจของท่านที่เหมือนพระเยซูไหม?  ไม่เห็น เห็นอะไร? เห็นร่างกายที่เป็นตัวเดิมของท่าน ที่แก่ลงไปทุกวัน เจ็บลงไปทุกวัน และกำลังไปสู่ความสูญสิ้น  ถูกไหม? เห็นตัวจริงๆ ของท่าน  ก็คือเห็นตามโลกใบนี้  เพราะตาท่านมีความสามารถแค่นั้น  แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว  ท่านจะเห็นตัวท่านเอง ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซู ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าตัวท่านเองเป็นอย่างนั้นแหละ เอเมน 2 ทิโมธี 1:9-10 …

        2 ทิโมธี 1:9-10 “9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆ ของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 10 แต่บัดนี้ ทรงให้ประจักษ์แจ้ง โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐ”

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว พระเยซูพาเปาโลไปทัวร์สวรรค์ ให้เห็นในสวรรค์ว่าเป็นอย่างไร?  แล้วก็ให้กลับมาบนโลกใบนี้  ประกาศข่าวดีให้กับชาวต่างชาติ พาไปสวรรค์ เพราะภาระของอาจารย์เปาโล มันหนักมาก พระเยซูจะใช้ให้เป็นอัครทูต ให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ คนแรก บุกเบิกให้กับชนชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว เรียกว่าทั่วโลกก็ได้ ไปใหญ่เลย แล้วต้องถูกข่มเหงรังแก ทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แสนสาหัส ต้องใช้ความเชื่อเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความจริงในโลกวิญญาณว่าในสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร? มากๆ เลยทีเดียว  ถูกไหม? ผมคิดเอาเองนะ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ  ไม่อย่างนั้นจะทนไม่ได้กับการทุกข์ทรมาน ที่คนต่อต้านข่าวประเสริฐ ตามล่า ข่มเหงอาจารย์เปาโลอย่างทารุณ

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว ใช้คำว่า “การสูญสิ้น” หรือ “การหลับไป” การเปลี่ยนร่างใหม่ เข้าสู่ร่างกายสวรรค์นั้น เป็นเหมือนกับการพักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล คือก่อนจะเปลี่ยนร่าง ทำงานมาตลอด เพราะต้องทนทุกข์อยู่ในร่างกายเดิม ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์บนโลกใบนี้  เกิด แก่ เจ็บ เห็นๆ อันนี้มันหนีไม่พ้น นี่อาจารย์เปาโลคิดอย่างนั้น แต่เราเอง เราก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นแหละ มันไม่มีความสุขแท้จริงบนโลกใบนี้หรอก  เพราะทุกคนหนีไม่พ้นการเกิด แล้วแก่  หรือใครแก่เฉยๆ สบายจังเลย แก่ สิ่งที่ตามความแก่มา ก็คือความเสื่อมโทรมของร่างกาย ซึ่งมัน คือความทุกข์ คือความเจ็บปวด คือความเจ็บป่วยนั่นเอง จะเจ็บป่วยมากหรือน้อย มันก็คือเจ็บป่วย มันคือความทุกข์ ความลำบาก

            นี่คือภาระ ความกลัวอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันคือภาระ มันคือเหนื่อย เพราะฉะนั้น การหมดลมหายใจ  การสิ้นลม การเปลี่ยนร่างเข้าสู่สวรรค์นั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำว่าเราได้ไปพักผ่อน ได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์นิรันดร์เห็นไหม? ไม่ใช่ไปพักผ่อนในสวรรค์แค่ชั่วคราว เดี๋ยวกลับมาทำใหม่ ไม่มี เกษียณแล้วเกษียณเลย เกษียณจากโลกใบนี้ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว

            เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนร่าง ช่วงเวลาแห่งการล่วงหลับ สิ้นสุด หรือภาษาของโลกใบนี้ คือช่วงเวลาแห่งการตาย จากร่างกายนี้ มันคือความสุข ความชื่นชมยินดีสุดๆ ไม่ใช่ความกลัวเลย แม้แต่น้อย แต่มีแต่ความยินดีมากๆ ต่างหาก

            อาจารย์เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว อย่างที่บอกใช้คำว่า “ออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้” ร่างกายอันต่ำต้อยนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ได้หมายถึงเกียรติ สง่าราศี แต่หมายถึงร่างกายอันอ่อนแอนี้ กระแทกทีหนึ่ง ก็เจ็บแล้ว เขาพูดมา ก็เศร้าใจแล้ว  เจอเรื่องร้ายๆ ก็เสียใจ ซึมเศร้า เจอเรื่องวุ่นวาย ก็เครียด กระเพาะอาหารก็ไม่ย่อย เจอโรคภัยไข้เจ็บ ก็ป่วยแล้ว เจอไวรัสนิดหนึ่ง ก็เป็นโควิดแทบตายแล้ว หรือเป็นโรคเยอะแยะไปหมด จากโรคนี้ก็ไปโรคนั้น จากโรคนั้นก็ไปโรคนี้ จากเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น มีแต่ปัญหาทั้งหมดเลยบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้ ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สมบูรณ์ด้วยสิริ เกียรติ และสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระองค์ ดีกว่าอยู่บนโลกที่ร่างกายอ่อนแอเป็นเรือนดินนี้ หมายถึงในที่สุด มันต้องกลับมาสู่ดิน ค่อยๆ หง่อมไปเรื่อยๆ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่ามันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เรารอคอยอยู่ ก็คือวันที่เราจะจากโลกนี้ไป แล้วไปสู่การพักผ่อนนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์ สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ กับการอยู่บนโลกใบนี้ อีกไม่นาน แล้วต้องทนทุกข์ทรมาน  แต่อาจารย์เปาโลก็บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า อยู่ที่แผนการของพระเจ้า แล้วแต่พระองค์ พระองค์จะให้อยู่บนโลกใบนี้ ทนทุกข์ทรมานต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการของพระองค์ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าให้ตัดสินใจนะ  สำหรับข้าพเจ้า อันนี้เปาโลบอกนะ ไปดีกว่าอยู่

            2 ทิโมธี 1:9-10 บอกว่าผู้ทรงช่วยเราให้รอด  และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา คือพระเจ้าเตรียมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือสวรรคสถานที่เราจะอยู่อาศัย หลังจากสิ้นลมแล้ว  เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า  ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกใบนี้อีก  พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น  พูดง่ายๆ ว่าแผนการของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขกับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ อยู่แบบพักผ่อนนิรันดร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์ผู้ช่วยให้รอดของเรา  ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงดำรงชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐมาให้กับเรา พระเยซูคริสต์ผู้ทรงทำลายความตาย ไม่มีตายอีกต่อไปแล้ว

            ผมว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แค่นี้น่าจะเพียงพอ สำหรับการที่จะทำให้เรา เป็นอิสระจากความกลัวตาย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นแสงสว่าง ที่เข้ามาในโลกนี้ คือมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย  อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด  ไม่มีใครหนีพ้นเลยสักคนหนึ่ง นี่คือความจริง ในโลกวัตถุ บนโลกนี้  แต่ข่าวดี คือพระเยซูชนะความตายเหล่านี้แล้ว ชนะกฎของความบาปและความตายแล้ว  และชัยชนะเหนือความตายนี้ เป็นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน  เพียงแค่มนุษย์คนนั้น ตัดสินใจ วางใจรับสิทธิของท่าน ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการวางใจและเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  และวางใจในพระเยซูที่ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อยแล้ว  โดยความเชื่อในการกระทำงานของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ  และผลเกิดขึ้นในเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มาแล้ว 2,000 ปี นี่คือข่าวดี และอยู่ที่ท่านตัดสินใจ ด้วยตัวท่านเองแล้ว พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสว่า … “ไฉน ท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อน

ที่​อยู่​ในตาของท่านเอง”

            มัทธิว 5:7 … “พระเยซูประกาศว่า … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน”

            คนที่มีพื้นฐานท่าทีในจิตใจที่มีเมตตาเห็นอกเห็นใจมนุษย์ ที่เป็นคนบาปด้วยกัน

            เพราะรู้ว่าต่างคนต่างก็เกิดมาเป็นคนบาปที่อ่อนแอ ป่วยทางวิญญาณเหมือนกัน ไม่ยกตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมมากกว่า เพราะถือรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมทำดีได้มากกว่า

            จึงไม่ชี้นิ้ว เหยียดหยาม แบ่งชั้นวรรณะว่าคนอื่นที่ทำผิดว่าเป็นคนบาปชั่ว เพราะยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาปชั่วเหมือนๆ กัน

            ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะต่างก็อยู่ในต้นไม้เลว ต้นตระกูลบาป คืออาดัมบรรพบุรุษเดียวกัน

            คนที่มีท่าทีในใจแบบนี้ มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เข้าสวรรค์ เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่ หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

            พระเยซูชี้ให้เห็นในมัทธิว 7:1-5 ว่า … “1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ 2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น 3 เหตุ​ไฉนท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณา ไม้ทั้งท่อนที่​อยู่​ในตาของท่านเอง  4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่​พี่​น้องของท่านว่า ‘​ให้​เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่​ดู​เถิด ไม้​ทั้งท่อนก็​อยู่​ในตาของท่านเอง  5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้​ถนัด  จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1438

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 31

โดย  วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็มาคุยเรื่องของพระเจ้าต่อ คราวที่แล้วเราอยู่ที่เอเฟซัส บทที่ 5 เราเรียนไป 2 ข้อ วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 5:3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ในหนังสือเอเฟซัส 5:1-2 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            จากการที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า  เพราะเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพระเจ้าได้เตรียมพวกเราทุกๆ คน สำหรับความรอดเหล่านี้ เมื่อเราได้รับพระคุณจากพระเจ้า ให้มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพ่อของเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

            เลียนแบบพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม  ให้เราเลียนแบบพระองค์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ แล้ววิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า พระบิดาเลย ก็คือพระเจ้าทำให้เราดีงาม ทำให้เราบริสุทธิ์  ทำให้เราสะอาด ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้นให้เราทำชีวิตของเราให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว  แค่นี้เอง  แต่แค่นี้เอง มันยากมากเลยนะ ยากมากสำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้เสริมกำลังเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  แปลว่าทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย คือมันไม่ใช่ความสามารถของเรา  หรือไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้ทำให้เราสามารถมีกำลัง ที่จะทำตาม น้ำพระทัยของพระเจ้าได้

            อันหนึ่งที่มันเกิดขึ้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง ก็คือวิญญาณเราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าพฤติกรรมของเรา การประพฤติของเราบนโลกใบนี้ อาจจะบางครั้ง ไม่เชื่อฟังก็ได้  ไม่เกี่ยวกัน  เกิดมาเป็นคน เวลาออกไปไหน เขาก็ใช้ 2 ขาเดิน แต่บางครั้ง มีคนที่ชอบทำอะไรผิดปกติ จากการเป็นคน เดินออกไปข้างนอก ไม่ใช้ขาเดิน  ก็ใช้มือไต่ไป  หรือไม่อย่างนั้น ก็ใช้หัวเข่าคลานออกไป  ซึ่งมันผิดจากการที่เราเป็นคน  ใช่ไหม? เวลาเราคลาน  มันคือเด็ก  ตอนที่เขายังไม่ได้ฝึกฝน ที่จะตั้งไข่ ไม่ได้ฝึกฝนที่จะเดิน เขาก็ใช้คลานเอา มันเป็นธรรมชาติ แต่พอเด็กโตขึ้น เขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเดิน แต่บางครั้งเด็ก ก็นึกสนุก เรามีหลาน มีเหลน  เราเห็น เด็กๆ  บางทีเขานึกสนุก เขาเดินได้แล้ว เขาวิ่งได้แล้ว อารมณ์บางวัน เขาก็อยากจะคลานเล่นเฉยๆ แต่เขาคงไม่ได้คลานตลอดเวลา คือคลานเล่นสนุก พอแล้ว เขาก็ลุกมาเดิน นี่คือธรรมชาติ

            ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ก็คือเป็นธรรมชาติเดียวกันกับพระเจ้า  เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด  เป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม แล้วเป็นผู้ที่เชื่อฟังด้วย เกิดมาเป็น ไม่ใช่อาการที่แสดงออกถึงการเชื่อฟัง แต่มันเกิดมาเป็นเลย เป็นผู้ที่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น พอเรามีธรรมชาติใหม่ตรงนี้แล้ว  พระเจ้าก็บอกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้บอกเรา ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางอัครทูตทั้งหลาย ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ที่จะมาบอกเราว่าต่อแต่นี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำอย่างไร? อันนี้ ใช้คำว่า “ควร” ไม่ใช่คำว่า “ต้อง” เมื่อมีคำว่าต้องเมื่อไร? คือบังคับ ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำ พระเจ้าจะตัดออกจากกองมรดก ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่มีตรงนี้นะ ต่อให้เราจะดื้อไม่ทำ พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่ถูกตัดจากกองมรดกแน่นอน เพียงแต่ว่าพระเจ้าก็เสียใจ

            ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งบอกว่า … “อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย”

            พระเจ้าเสียใจได้อย่างไร? เสียใจ เพราะว่าเราดื้อ แต่ว่าไม่ได้เสียใจ เพราะว่า …

            “ไม่น่าเลือกมาเป็นลูกเลย  ไม่เกี่ยวกันนะ พระเจ้าเลือกเรามาเป็นลูกแล้ว พระเจ้ารักเรามาก แต่เสียใจ เพราะไม่อยากให้เจ็บตัว ถ้าเราดื้อ เราก็จะเจ็บตัว หว่านอะไร เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นบนโลกใบนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ส่วนในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ตั้งกฎไว้เหมือนกัน ก็คือใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นถูกสร้างใหม่ เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเรากับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น ไม่มีการลงโทษแน่นอน พระเจ้ามองเรา คือเป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูเลย พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย  พระเยซูทำอะไร? เราทำด้วย  พระเยซูได้อะไร? เราได้ด้วย อันนี้คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนนี้ให้เราทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้แยกเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูแยกเราแล้ว ถวายเราให้เป็นกลิ่นหอมของพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ข้อ 3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            แปลว่าถ้าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีชีวิตใหม่แล้ว แล้วเราก็นั่งจับกลุ่มกัน คุยเรื่องพวกนี้ ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดศีลธรรมทางเพศ แล้วก็สนุกกับมัน ซึ่งพระเจ้าบอกว่าอันนี้มันไม่เหมาะสม สำหรับเรา เหมือนเราได้เสื้อใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นความดีงาม ความชอบธรรมทั้งหลาย แต่วันนี้ เราไม่อยากใส่เสื้อใหม่ เราก็ไปหยิบเสื้อเก่าที่ฟิตๆ วันนี้อยากสวย จะใส่กางเกงให้ฟิตเลย  แล้วก็หายใจไม่ออก พอตอนเที่ยง เราจะไปทานข้าว หายใจไม่ได้ หายใจเข้าไปมันปริ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่เหมาะสม มันไม่สวย ไม่งาม

            หรือบางคนจะใส่รองเท้าส้นสูง  สูงสัก 8 นิ้ว  คือสวยไง ใส่แล้วทำให้เราตัวระหงเชียว  ดูสูงไง แต่มันเจ็บ  คือมันไม่เหมาะกับเรา  ทำให้ขาหรือกล้ามเนื้อของเราต้องทำงานหนัก  ต้องแบกงานหนัก เอ็นขึ้นเลย แล้วพอยกสูงๆ มาก เอาแค่เรามาโบสถ์ 2 ชั่วโมง สวย 2 ชั่วโมง กลับไปเราไปนวดทั้งวัน ก็ไม่หายปวด  เพราะมันปวดมาก  ฉะนั้น มันเป็นความสวยงามที่เราคิดว่ามันพอดี  แต่พระเจ้าบอกไม่เหมาะกับเรา ใส่รองเท้าธรรมดานั่นแหละ ส้นแบนๆ  มันเหมาะกับเราแล้ว เราเดินสบาย  แล้วเราก็ไม่เจ็บ ไม่ถูกกัดด้วย อะไรอย่างนี้

            นี่คือลักษณะที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้เห็นว่าถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่เหมาะสมหรอกกับสิ่งเหล่านี้ ที่พูดมาทั้งหมด ก็คือไปทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา  ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ต่อไปข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 5:4 “ทั้งอย่าพูดหยาบโลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า”

            นี่เป็นข้อแนะนำ อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปทำอย่างนี้เลย มาขอบคุณพระเจ้าดีกว่า  เพราะว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำอย่างนี้ดีกว่า ให้มาสวมเสื้อใหม่ดีกว่า ให้มันเหมาะสม ดูแล้วมันสง่างาม ออกไป ทุกคนเห็น ทุกคนก็เอเมนเลย ใช่ๆ มันเป็นอย่างนั้น อะไรแบบนี้ ในข้อที่ 5 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:5 “ท่านแน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า”

            ในข้อที่ 5 นี้ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไม่ได้เป็นผู้เชื่อ อาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็น  เราจะสังเกตคำว่า “คน” คนที่ไม่บริสุทธิ์  แต่ตอนนี้เราเป็นผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว  เราไม่ได้เป็นคนโลภแล้ว  พระเจ้าเปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น คนที่เป็นแบบนี้ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ก็คือเขายังไม่ได้กลับใจใหม่  เขายังไม่ได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขายังไม่ได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ แปลว่าอยู่ข้างนอกใช่ไหม? เขายังไม่ได้เข้าวังเลย แต่พวกเราอยู่ในวังแล้ว

            พี่น้องเชื่อไหมในถ้อยคำของพระเจ้า  ในโลกวิญญาณ  พวกเราทุกคนตอนนี้  เราอยู่ในวังแล้ว วังที่พระเจ้าสร้างไว้ให้กับเรา อย่างสวยงาม คือสวรรคสถาน เราได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระบิดา ในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอก เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย  พระเยซูอยู่ในสวรรค์ เราก็อยู่ด้วยในโลกวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายเรายังนั่งอยู่ตรงนี้  ในโบสถ์โฮลี่ส์ ที่เดินทางมา ก็ยาก  แต่ขอบคุณพระเจ้า พี่น้องก็ตั้งอกตั้งใจ มานมัสการพระเจ้า  พระพรเป็นของท่าน

            ตรงนี้ มันคือโลกวัตถุ แต่ ณ โลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  และอาจารย์เปาโลกำลังแยกแยะให้ผู้เชื่อในเอเฟซัสได้รับรู้ความจริงว่าถ้าคนที่เป็นแบบนี้ เขาไม่มีส่วนเลย ในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเขายังไม่กลับใจใหม่ พระเจ้าจะช่วยเขา ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร?  เพราะเขาจำเป็นต้องตัดสินใจเองว่าเขาอยากจะให้พระเจ้าช่วยเขา  เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา  เขาอยากจะย้ายวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเขา อยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขายอมให้พระเยซู พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฆ่าวิญญาณเก่าให้ตายไปพร้อมกับพระเยซู เพื่อเขาจะได้บังเกิดใหม่ ในข้อที่ 6 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:6 “อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจาไร้สาระ   เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้น  พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

            พอบอกว่า “ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่เราแน่นอน แล้วเราอาจจะสงสัย ไม่ใช่เราได้อย่างไร? บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งข้างในวิญญาณเรารู้เลย พระเจ้าบอกว่าให้ทำแบบนี้ แต่วันนี้ไม่เอา ไม่อยากทำ ขี้เกียจ อะไรอย่างนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเลยนะ ไม่เกี่ยวกับการที่เราเป็นคนเชื่อฟัง  เป็นผู้เชื่อฟังเรียบร้อยไปแล้ว แต่เกี่ยวกับ ณ เวลานั้น  เราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง  ก็คือไม่ยอมทำตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น วันนี้เราอยากจะฉีกกฎออกไป ขอดื้อกับพระเจ้านิดหนึ่ง ก็แล้วกัน อะไรประมาณนั้น  แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา เราดื้อกับพระเจ้า อันดับแรก ก็คือพระเจ้าก็เสียใจ  พอเราดื้อปุ๊บ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของความดื้อของเรา แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงคนที่ไม่เชื่อฟัง ก็คือเหมือนเดิม คนที่ยังไม่เป็นลูกพระเจ้า คนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  พอคนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  เขาก็จะมีพฤติกรรมแบบนั้น  แล้วที่บอกว่า …

            “แล้วพระพิโรธของพระเจ้า จึงมาถึงบรรดาผู้เหล่านี้”

            คือมันอัตโนมัติ  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะโกรธเขาเป็นฟืน เป็นไฟ จะฆ่าให้ตาย ไม่ใช่ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาดัมเอวาว่า …

            “ผลไม้ทั้งหมด ในสวนนี้เจ้ากินได้ ยกเว้นต้นนี้อย่ากินนะ”

            แล้วพระเจ้าบอกเหตุผลด้วย ไม่ใช่แค่บอก “อย่าไปกิน” แล้วก็จบ บางครั้ง พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ หรือเป็นพ่อแม่ เราชอบบอก “ห้าม” แล้วเราไม่บอกเหตุผลลูกว่าห้ามเพราะอะไร? ห้ามทำไม? มันมีผลอะไร?  ลูกก็เลยไม่ยอมเชื่อไง

            “อ้าว! ห้ามเฉยๆ ฉันก็อยากลอง”

            พูดถึงอยากลอง ก็มีเรื่องเล่า เล่ามาหลายรอบแล้ว  มีผู้ชายคนหนึ่ง  เขาทำงานหนัก เป็นคนรับจ้าง ในบ้านของเศรษฐี คือต้องทำงานสารพัดอย่าง ในบ้านนี้  แล้วเขาก็ทำไปบ่นไป  เพราะมันเหนื่อยไง บ่นถึงใคร? บ่นถึงอาดัม …

            “อาดัมเอ๋ย ทำไมถึงทำอย่างนี้  ไม่น่าจะไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เห็นไหม ทำให้ผลตกมาถึงฉัน ตอนนี้ฉันต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย”

            พระเจ้าบอกต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย อยู่ดีๆ ไม่ชอบ เขาก็บ่นๆ อยู่นั่นแหละ จนเจ้านายได้ยิน เจ้านายเลยบอก …

            “บ่นทำไม ถ้าเป็นเธอ เธอก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ” คือเป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น  ก็ต้องแพ้การทดลองอยู่ดี  เขาก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ …

            “ไม่มีทางหรอกเจ้านาย ถ้าเป็นผมนะ ผมรับรอง ไม่ตกเข้าไปในการทดลองแน่นอน พระเจ้าสั่งอย่างไร? ผมจะทำอย่างนั้นเลย”

            เจ้านายเลยบอก “โอเค เดี๋ยวลองดู”

            มีวันหนึ่ง เจ้านายจะออกไปข้างนอก ก็บอก สมมติชื่อเอ  …

            “นายเอๆ ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอไปทำความสะอาดในบ้าน แล้วบนโต๊ะ ฉันมีฝาครอบของไว้ เธออย่าไปเปิดนะ ห้ามเปิดเด็ดขาดเลย เธอเช็ดไปเลยข้างๆ อย่าไปยุ่งกับตรงนี้”

            เขาก็ … “ครับๆ ไม่เปิดครับ”

            แล้วก็เข้าไปทำงาน มองไปมองมา เหมือนกับยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ถ้าเจ้านายไม่ห้าม เขาคงเช็คเสร็จก็ออกไปข้างนอกแล้ว  บังเอิญมาบอกว่าอันนี้อย่าเปิดนะ  เขาก็เช็ดไปเช็ดมา มอง มันน่าเปิดมาก อยากรู้ว่าเจ้านายซ่อนอะไรไว้ในนั้น ทำไมต้องห้ามเราไม่ให้เปิด จนที่สุด ทนไม่ไหว  ก็เลยไปเปิดฝาออกมา ปรากฏว่าเปิดฝาออกมาปุ๊บ มันไม่มีอะไร คือเจ้านายครอบของว่างเปล่าไว้  แต่ไม่รู้ว่าข้างในนั้น เจ้านายเขาใส่กลิ่นหอมของน้ำหอมเอาไว้  พอเปิดออกมาปุ๊บ กลิ่นมันโชยทั่วห้องเลย แต่เขาไม่รู้นะ  เขาก็รีบปิด ออกไปข้างนอก ทำเนียนเลย  ไม่ได้ทำผิดอะไร พอเจ้านายกลับมา เดินเข้าห้องรู้เลย พี่น้องนึกภาพออกไหม? เวลาเราอยู่ข้างในกับกลิ่นที่ปกติ เราจะไม่ได้รู้สึกว่ามันมีกลิ่น  แต่ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก แล้วเดินเข้ามาอีกที กลิ่นมันแรงมากเลย เจ้านายเขาก็รู้ไง เดินเข้ามา กลิ่นน้ำหอมฟุ้งทั่วทั้งห้อง ก็เลยเรียกนายเอมา …

            “เธอขัดคำสั่งฉันแล้วใช่ไหม? ฉันบอกว่าอย่าไปเปิดฝาไง เธอเปิดทำไม?”

            เขาก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ … “ไม่ได้เปิด เจ้านาย ไม่ได้เปิดเลย ทำตามคำสั่งเลย”

            เจ้านายบอก … “ไม่ได้เปิดได้อย่างไร? กลิ่นน้ำหอมมันฟุ้งไปหมดทั้งห้อง”

            แล้วเจ้านายก็เลยสอนเขา … “เราอย่าไปบ่นว่าคนอื่นเลย ถ้าวันนั้น เธอเป็นอาดัม แล้วก็ยินอยู่ตรงจุดนั้น เธอก็เหมือนกันแหละ เธอก็อยากรู้อยากเห็น  พระเจ้าบอกว่า “อย่า” เธอก็อยากลองสักนิด เผื่อฉันจะได้มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า มารมันหลอกไง”

            “มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า เผื่อฉันจะรู้ดีรู้ชั่ว ฉันจะได้ทำดี เพื่อทำให้พระเจ้ามีความสุข”

            แต่พระเจ้าบอกว่า “เธออยู่อย่างนี้ ฉันมีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉันสร้างเธอมาดีหมดเลย” แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็น  ก็คือพระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อให้เขามีความสุข  แล้วให้มนุษย์เสวยสุข  มาจนถึงปัจจุบัน ที่พวกเราได้เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้นำเอา สิ่งที่เริ่มต้นจากที่พระเจ้าสร้างอาดัมในสวนเอเดนกลับคืนมาใหม่ แล้วสร้างได้ดีกว่าเดิมด้วย พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนสะอาด หมดจด ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มมากกว่านี้แล้ว …

            “พวกเจ้าเป็นสุดที่รักของเรา พวกเจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเรา  พวกเจ้าดีพร้อมทุกอย่างเหมือนเรา บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด  เป็นลูกของเรา เป็นทายาทของเรา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราทำให้กับเจ้าหมด เรียบร้อยแล้ว”

            วันไหน? … “วันที่เจ้าเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            บอกพระเจ้าว่า … “ลูกอยากติดตามพระองค์ ลูกเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

            ขอพระเจ้า พระเจ้าก็เข้ามาเลย พอเราขอ พระเจ้าเป็นพระเจ้าสุภาพใช่ไหม?  ไม่ขอ พระเจ้าไม่ล่วงล้ำ ถ้ายังไม่ยอม พระเจ้าก็ยืนมองคนนั้นตาปริบๆ …

            “ฉันทำให้เธอแล้ว เมื่อไรเธอจะยอมสักที”

            เหมือนในพระคัมภีร์บอก เราเคาะอยู่ที่ประตูใจ เคาะๆ เคาะทุกวัน เคาะจนคนนั้นได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง เขาเปิดใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาในใจของเขา นั่นแหละ คือวันที่พวกเราทุกคนอธิษฐาน บอกพระเจ้าว่า …

            “พระเจ้า ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของลูก ลูกอยากมีพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”

            นั่นแหละ วันนั้นมันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน  ไม่ว่าคนนั้นจะเปิดใจ 30 ปีแล้ว 40 ปีแล้ว 60 ปีแล้ว หรือเพิ่งเปิดใจ  ก็เป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

            ในโลกวิญญาณ เรามีสถานะเท่ากัน เราเป็นพี่น้องกัน  แล้วเราก็เป็นพี่น้องร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายใหญ่ของเรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่ได้บังเกิดใหม่ คนแรก เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย  เป็นพันธุ์ใหม่เลย และพวกเราก็เป็นน้องๆ ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เหมือนกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป  ไม่มีความสกปรก ในวิญญาณของเราเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ถูกหลอก หลายครั้งเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หลายครั้งเราเผลอ วันนี้อยากสวย  จะใส่ส้นสูง 6 นิ้ว ก็ใส่ไปเถอะ เจ็บขาเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ ไม่มีทาง เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงความจริง ให้ชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าถ้าคนอย่างนี้ คนที่ไม่เชื่อฟัง พระพิโรธก็ไปถึงเขา ถึงเขาตรงที่ว่าเขาไม่รอดไง  เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  ถ้าเขาไม่ยอมเชื่อฟังกลับใจใหม่ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม  ที่เดิมตรงที่เดินทางไปสู่ความตาย ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  อย่างพวกเราทุกวันนี้ วิญญาณเรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  ก็ยังต้องเดินทางไปสู่ความตายอยู่ เห็นไหม? เราแก่ขึ้นไหม?  ไม่ใช่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่แก่เลย มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ผมเราไม่หงอก  นี่ผมหงอกแล้ว  มันไม่ใช่  ก็ยังดำเนินไปตามปกติของโลกนี้อยู่ อายุมากขึ้น ตีนกาขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะ ทำไป เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เอาธรรมชาติที่พระเจ้าให้กับเรา พระเจ้าบอกสวยที่สุดแล้ว สุดยอดที่สุดแล้ว อะไรประมาณนั้น

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอเรารู้ความจริง  เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่เป็นไร วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว ร่างกายนี้ บางทีก็เจ็บบ้าง ป่วยบ้าง  เป็นโน่นบ้าง เป็นนี่บ้าง  ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณพระเจ้า

            เราเห็นภาพหนึ่งที่พระเจ้าเมตตาเรามาก เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำอะไร?  พระเจ้าจะประทานกำลัง บางทีอยู่ข้างล่าง ใจเต้นตุ๊บตั๊บๆ พอขึ้นมาบนธรรมาสปุ๊บ  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  แล้วคนที่พูด จริงๆ ไม่ใช่เราหรอก พระวิญญาณให้พูด แล้วถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดชจริงๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช เมื่อเรารู้ความจริงของข่าวประเสริฐ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง เราต้องรับรู้ความจริงว่าตอนนี้ เราเป็นอย่างไร? ตอนนี้ เราสะอาดบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้น เราจะเอาข้อที่ 6 มาเป็นของเรา  ก็คือเราเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมใช่ไหม?  แต่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีธรรมชาติที่เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ อันนี้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราจริงไหม?  ในข้อที่ 7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:7 “ฉะนั้น อย่าเป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย”

            เมื่อก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็สวนเสเฮฮา เสวนากัน แต่พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลก็แนะนำว่าอย่าไปผสมโรงกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์บอกเราว่าอะไร คือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  อะไรคือทำตามพระวิญญาณ อะไรคือทำตามเนื้อหนัง

            พี่น้องจำในหนังสือกาลาเทียได้ใช่ไหม? กาลาเทีย 5:16-21 เป็นการงานของเนื้อหนังทั้งหมด  ที่อาจารย์เปาโลเขียนออกมาให้เราเห็นชัดๆ ส่วนกาลาเทีย 5:22-25 เป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือผลของพระวิญญาณ

            การงานของเนื้อหนัง กาลาเทีย 5:16-21 …

        กาลาเทีย 5:16-21 “16 ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป 17 เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ 18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ 19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่เป็นคนเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            การงานของพระวิญญาณ กาลาเทีย 5:22-25 …

        กาลาเทีย 5:22-25 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

            ผลของพระวิญญาณเหล่านี้ คือผลที่มันอยู่ในเราผู้เชื่อ เรียบร้อยไปแล้ว มันมีอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เทียบได้ ถ้าเรากำลังทำอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมาเป็น เหมือนในกาลาเทีย 5:16-21 แปลว่าตอนนี้เราหลุดขอบแล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง ที่เราเป็นอยู่ เรากำลังถูกหลอกให้ดำเนินชีวิตตามโลกนี้ไป  เราก็ถอยกลับไง ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่รู้ว่าไม่ใช่ ก็ถอยสิ  ไม่ใช่ ไม่เอา พอไม่ใช่ไม่เอาปุ๊บ โลกนี้ทำอะไรเราไม่ได้ บังคับเราก็ไม่ได้ด้วย แม้แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้อยู่ในเรา ก็ไม่บังคับเรา คือพระองค์ให้อิสระเรา ที่จะเลือก  แต่เราแยกให้เห็นชัดๆ เลยว่าตอนนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ลักษณะใหม่ของเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าวันไหนเราโผล่หลุดจากลักษณะใหม่ตรงนี้ อันนี้แปลว่าไม่ใช่ พอไม่ใช่ปุ๊บ ทำไง? ก็ไม่เห็นต้องทำไง ก็ไม่เอา ฉันไม่เอาด้วย ฉันก็ถอยออกมา แค่นั้นเองง่ายๆ เอเฟซัส 5:8 …

        เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

            ชัดเลย เมื่อก่อนเป็นความมืด อยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ ชาวเอเฟซัสและพวกเราทุกคน ที่นั่งอยู่ที่นี่ และที่ฟังอยู่ที่บ้าน เราเป็นลูกของความสว่างแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนลูกของความสว่าง ก็แค่นั้น  แค่ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราทำงานเต็มที่ เรายอมนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทำเต็มที่ จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ที่ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือในลักษณะว่าเราเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ พอความคิดเราเก็บสะสม สิ่งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรามากเท่าไร? ความคิดนี้จะสั่งร่างกายของเราให้ทำสิ่งนั้นออกไป คือมันต้องเริ่มต้นจากความคิด  แต่ถ้าสมมติว่าความคิดของเรา ไปจดจ่อกับโลกใบนี้ เอาขยะอะไรไม่รู้เข้ามาสุมอยู่ที่ศีรษะเรา สุมเยอะๆ ในสมองเรา มีแต่สิ่งที่มันไม่ได้เป็นของพระเจ้า แต่เป็นของโลก สมองของเราก็จะสั่งให้ร่างกายเราทำตามออกไปเหมือนกัน

            เหมือนโลกนี้เขาบอกว่าอะไร? …

            “แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้เหยียบขาเราเจ็บ เราต้องไปเหยียบกลับสัก 10 ครั้ง ให้เจ็บยิ่งกว่า”

            นี่คือโลกนี้  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าอย่างไร? …

            “อภัยให้เขาเถอะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ แล้วถ้าเขาขอโทษแล้ว  เราก็อภัยให้เขาเถอะ  ก็คือความรัก มันจะเกิด”

            แต่ถ้าในโลกนี้ มันก็จะสวนมาในความคิดของเราเหมือนกัน  … “ไม่ได้อภัยให้ได้อย่างไร? มันเจ็บนะ เขาขอโทษคำเดียว ฉันยังไม่หายเจ็บเลย มันต้องจัดการอะไรสักอย่าง ให้เขาเจ็บเท่าเรา ไม่อย่างนั้นก็เจ็บมากว่าเรา”

            นี่คือโลกนี้ เราแยกแยะออก เราอยู่ตรงกลาง ซึ่งพระเจ้าจะให้เราเป็นคนตัดสินใจ  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่วิญญาณข้างในเรา เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณแห่งความรัก มันง่ายขึ้นกว่าเดิม พี่น้องสังเกตตัวเองไหม? ง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม? เมื่อก่อนไม่ได้นะ เรื่องนี้มันต้องตายไปข้างหนึ่ง  แต่ปัจจุบัน เอาน่าๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วเราไม่ได้แกล้งทำด้วย มันออกมาเอง  มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราเห็นแล้วทึ่งๆ ทำได้อย่างไร?  แต่ทำไปแล้วไง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นี่คือผลของพระวิญญาณที่มันจะออกมา ชัดเจนมาก ข้อที่ 9 …

        เอเฟซัส 5:9 “(เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)”

            เห็นไหม ผลของความสว่าง ก็คือความดีทั้งปวง ความชอบธรมทั้งมวล และความจริงทั้งสิ้น  ความจริงตรงนี้ คือความจริง ในข่าวดีของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้ เราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น เวลาราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าออกไปข้างนอก เราต้องทำอย่างไร? ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย ใส่ชุดให้ดูดี ใส่ชุดแบบชุดความดีงาม ออกไปเลย เพราะมันอยู่ข้างในเราอยู่แล้ว ชุดของความเมตตา กรุณา ชุดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราหมดแล้ว อยู่ข้างใน  ก็ออกไป ให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัส ข้อที่ 10-11 …

        เอเฟซัส 5:10-11 “10 จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 อย่าเข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า”

            ทั้งหมดทั้งมวลที่อาจารย์เปาโลกำลังสอน ก็คือให้เราสวมเสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่าทิ้ง แค่นั้นเอง ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง  ตามที่ข้อ 1-2 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 5:1-2 “1 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            ตอนนี้เราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำตัวเลียนแบบพระเจ้าของเรา และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว ใครทำก่อน? พระเจ้าทำก่อน พระเจ้าใส่ความรักมาให้เราก่อน พระองค์รักเราก่อน เราจึงสามารถมีความรักจากข้างใน ส่งไปให้กับคนอื่น ที่เราได้พบได้เห็น  ที่พระเจ้าพาไป เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูชี้ให้มนุษย์เห็น ท่านอยากจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรมหรือ? ท่านหิวกระหายความชอบธรรมหรือ?

            มัทธิว 5:6 … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์”

            ความชอบธรรม ก็คือไม่บาป

            ผู้ชอบธรรม ก็คือคนที่รอดพ้นจากการเป็นคนบาป

            กระหายความชอบธรรม ก็คืออยากจะหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม ก็คือผู้ที่ยอมรับความจริงว่าตนเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วยในทางวิญญาณ ต้องการหมอรักษาให้หาย

            พระพรทางฝ่ายวิญญาณ หรือความสุขในวิญญาณคือสวรรค์เป็นของผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ ไม่สามารถรักษาตนให้หายจากการเป็นคนบาปได้ จึงมาหาผู้ที่สามารถช่วยเขาได้ และไม่สร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการทำตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม ทำความดี เพราะนั่นก็คือการพยายามรักษาอาการป่วยด้วยตนเอง เพราะยอมรับรู้ความจริงว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่มีทางทำได้เลย จึงแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า คือยอมให้พระเจ้ารักษาความป่วยในวิญญาณ นี่คือลักษณะท่าทีของผู้ที่จะมาวางใจในพระองค์ และเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ แพทย์ผู้ประเสริฐเข้ามาในชีวิต และจะได้รับการรักษาให้หายจากบาป โดยการบังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1437

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  ตุลาคม  2023

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” ตอน 1

โดย  ธิดารัตน์   ร่มพระคุณ

            วันนี้เราก็จะมาแบ่งปัน เกี่ยวกับไม่ใช่ด้วยฤทธิ์  ไม่ใช่ด้วยแรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคนอาจจะคิดว่าแค่ขึ้นชื่อเรื่องมา ก็รู้แล้วว่าคืออะไร? ส่วนใหญ่ก็จะบอกเราพูดซ้ำๆ อยู่ย้ำๆ แต่วันนี้ ดิฉันจะมาแจงอย่างละเอียดให้ฟัง แต่จะบอกไว้ก่อนว่าสิ่งที่ดิฉันแบ่งปัน ในเช้าวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ เราจะต้องไปประพฤติให้เป็นแบบนั้น  แต่กำลังจะมาชี้ให้เห็นความจริง เพื่อเราทั้งหลายจะสามารถที่จะมีจิตใจที่ถ่อมลง ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำงานและเคลื่อนไหวภายในเราได้อย่างชัดเจน

            ในฟีลิปปี 2:12-13 เดี๋ยวเรามาดูข้อที่ 12 ก่อน ซึ่งเป็นฉบับที่มีคำขยายความ …

        ฟีลิปปี 2:12 “ดังนั้น ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า”

            จดหมายฝากฉบับนี้ เป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลเขียนในคุก แล้วก็เขียนไปถึงชาวเมืองฟีลิปปี ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ถูกข่มเหงเป็นอย่างมาก  และเป็นช่วงเวลาที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากหลายๆ อย่าง แต่พวกเราก็ยังยึดมั่นในสิ่งที่เปาโลได้เคยสอนทิ้งไว้ หรือพูดทิ้งไว้ในเมืองฟีลิปปี

            เปาโลก็จะได้ข่าวจากการเขียนจดหมายส่งกันไปส่งกันมา ใช้ระยะเวลาในการส่ง อาจจะยาวนาน เพราะว่าสมัยก่อน คมนาคมก็จะไม่เหมือนกับทุกวันนี้ จดหมายฝากฉบับนี้ได้ไปถึงพี่น้องฟีลิปปีที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความทุกข์ยาก  แต่พวกเขากลับเป็นพวกที่อดทนในความยากลำบากเหล่านั้น แล้วก็เผชิญหน้ากับความยากลำบากเหล่านั้น ด้วยการยึดมั่นในสิ่งที่เปาโลได้ทิ้งไว้ เปาโลก็เลยเขียนมาบอกว่าพวกเขาได้กระทำสิ่งที่ ได้ฝากไว้ หรือพูดทิ้งไว้อย่างกระตือรือร้น ด้วยความเชื่อฟังทั้งตอนต่อหน้า และลับหลังก็อยากให้เขาได้ทำอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน

            “แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ จงหมั่นอดทน ฝึกฝน (ไปถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ตามผลของความรอดของท่านเอง ด้วยความรัก และเคารพยำเกรงพระเจ้า”

            เรามักจะได้ยินทั้งอาจารย์วราพรและอาจารย์นครแบ่งปันให้กับเรา บอกว่าเรารอดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เราได้รับหมดแล้ว แต่ทำไมจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลตอนนี้ กลับบอกว่าให้เราหมั่นฝึกฝน อดทน และในวงเล็บ คำขยายความ ก็คือให้ไปถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์ สมบูรณ์ในอะไร?  ในผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรักและความยำเกรงพระเจ้า อันนี้กำลังบอกให้เราทำหรือเปล่า? ถ้าเราอ่านผิวเผินและไม่พิจารณาดู เราจะรู้สึกว่านี่เปาโลกำลังบอกให้เรากระทำบางสิ่งบางอย่าง แต่ถ้ามาอ่านดีๆ จริงๆ ในหนังสือภาษาอังกฤษบอกว่าผลของความรอด ในตรงนี้เป็นอดีต หมายความว่าเป็นสิ่งที่ประทานมาให้แล้ว ผลแห่งความรอด ให้เราไปถึงเป้าหมาย ตามผลของความรอด

            เรามาดูกัน เอาคำง่ายๆ  “จงหมั่นอดทน ฝึกฝน” พระคัมภีร์ตอนนี้เปาโลกำลังบอกให้ฝึกฝนอะไร? ฝึกฝนผลของความรอด ถามว่าผลของความรอดของเรา เราได้ไปหรือยังค่ะ? รอดแล้ว ได้แล้ว

            “ในพระวจนะตอนนี้บอกว่าจงหมั่นอดทน ฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและกระทำให้สมบูรณ์) มาเน้นคำนี้ นั่นหมายความว่าเราต้องกระทำบางสิ่งบางอย่าง ถูกไหม? คำๆ นี้ เวลาเราพูดถึงคำว่า “อดทน ฝึกฝน” เราจะนึกถึงนักกีฬา

            ดิฉันก็เคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน ตอนสมัย ม.ต้น เรียกว่าซ้อมวอลเล่ย์บอลมือแตกกันเลยทีเดียว ถ้าตีไม่ถูก แตกจนกระทั่งห้อเลือดขึ้นมาทีเดียว แล้วก็ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อลงไปที่สนาม อยู่บ้านพักครูก็จริง ต้องไปที่สนาม ไปฝึก เลิกเรียนก็ต้องมาฝึกจนกระทั่งถึง 1 ทุ่ม เพราะเป็นนักกีฬาโรงเรียน ต้องไปแข่งกับโรงเรียนอื่น สมัยก่อนอยู่ต่างจังหวัด เวลาที่ฝึกกีฬาเหล่านี้เสร็จ ก็จะมีการแข่งขันระหว่างโรงเรียน  เราก็จะไปที่โรงเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง เราอยู่เสลภูมิ ต้องไปแข่งกับโพนทอง ต้องไปแข่งกับจังหวัดร้อยเอ็ด ต้องไปแข่งกับธวัชบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมเหมือนกัน แต่อยู่ต่างอำเภอ และอยู่ในระดับชั้นเดียวกัน  ก็ฝึกซ้อมหนักมากทีเดียว บางวันเหนื่อยมาก กอดวอลเล่ย์บอลแล้วก็นอนหลับ ฝันเป็นวอลเล่ย์บอลไปเลย ซึ่งสมัยนั้น ก็มีหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อ “ยอดหญิงสิงห์วอลเล่ย์บอล” เป็นซีรี่ย์ของญี่ปุ่น ตอนนั้นบ้าวอลเล่ย์บอลมาก ฝึกอย่างหนักมาก แล้วก็ไปแข่ง บางครั้งก็ชนะ บางครั้งก็แพ้  เวลาแพ้ ก็เสียใจ ทั้งทีมก็ร้องไห้กันในรถ

            ความอดทนในการฝึกยากมาก และใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แล้วก็จะต้องมีเป้าหมาย มีตารางในการฝึกซ้อม ในแต่ละครั้ง อย่างหนักทีเดียว มีการสละเวลา มีการใช้เวลา  แต่นั่นมันเป็นการฝึกของนักกีฬา เป้าหมายของนักกีฬา คือชัยชนะ

            เป้าหมายของผู้เชื่อในการที่จะฝึกการเกิดผล เป้าหมายของเรา คืออะไร? ในเมื่อจริงๆ แล้วเป้าหมายของเรามีอยู่แล้ว  เราได้รับความรอดแล้ว เราได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว เราได้ทุกอย่างแล้ว เหมือนมันไม่มีเป้าหมายอะไรเลย? เวลาพูด บอกว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับเราต้องอยู่ในโลกนี้ เหมือนกับคนไร้ประโยชน์ เหมือนกับคนไม่มีความหมายอะไรเลย อยู่ไปวันๆ หรือ? ในเมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้หมดทุกอย่างแล้ว  เราก็ดำเนินชีวิตในโลกนี้ไปวันๆ ใช่ไหม? มันก็ไม่ใช่

            ผลของความรอดของผู้เชื่อคืออะไร? เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าเราได้อะไรไป แน่นอน เราได้การลบล้างความผิดบาปทั้งสิ้นของเราไปเรียบร้อยแล้ว  ได้ผลของการที่เราได้ไถ่ถอนจากอำนาจของความบาปและความตายไปสู่ชีวิต  ผลนี้เราได้แล้วแน่นอน  เราได้ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ คือการบังเกิดใหม่ ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ก็คือเราได้ความเชื่อ เราได้ความยำเกรงพระเจ้า  เราได้ใจกล้าหาญ  เราได้ความรัก ถ้าไม่เชื่อลองคิดดู ลองพิจารณาดูดีๆ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มีใครสอนให้เรายำเกรงพระเจ้าไหม? ไม่มีนะ อยู่ๆ มันก็ยำเกรงขึ้นมาเลย  มีใครสอนให้เราให้เกียรติพระเจ้าไหม? ไม่มี อยู่ๆ ก็เกิดความให้เกียรติพระเจ้าขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เราไม่เคยมิกแอนด์แม๊กกับพระเจ้ามาก่อนเลย ทำไมถึงเกิดความเชื่อ ในถ้อยคำของพระเจ้า เวลาที่เราอ่านพระวจนะ นั่นเพราะว่ามันเกิดขึ้นอัตโนมัติ  เพราะเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกบรรจุไว้ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

            อันนี้เราสามารถที่จะสัมผัสได้ มันอยู่ในตัวเรา  มันอยู่ในประสบการณ์เรา มันอยู่ในการสัมผัสของเรา แต่เวลาที่เราพูดถึงความรอด มันยังอีกไกล มันต้องสละร่างนี้ก่อน ผลของความรอด อีกอย่างหนึ่ง ก็คือเราพ้นจากการพิพากษา อันนี้มันต้องรอการที่เราหลุดออกจากร่างนี้ก่อน เราถึงจะสามารถรับรู้ได้ใช่ไหม?  เราเป็นลูกของพระเจ้าทันที นี่คือผล เราเป็นทายาทผู้รับมรดกของพระเจ้า ร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ เรามีสิทธิอำนาจ อันนี้เราได้ทันที พี่น้องบางคนอาจจะเคยวางมือที่คนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้น ก็หายโรค มีสิทธิอำนาจในการปลดปล่อยผู้คนให้พ้นจากพันธนาการ โซ่ตรวนของความบาป และกลับมาสู่ความรอด โดยการอธิษฐานกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าเรามีสิทธิอำนาจในการถือกุญแจ

            นั่นหมายความว่าเราสามารถปลดปล่อยคนให้มาสู่ความรอดได้ จากการที่เราได้อธิษฐาน เราวิงวอน เราขอบพระคุณพระเจ้า ในการที่จะเปิดปากของเรากล่าวข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าความเชื่อเกิดจากการได้ยินได้ฟัง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า มนุษย์จึงเกิดความเชื่อ บางคนอาจจะได้รู้จักแค่นามพระเยซูคริสต์ ก็เปิดใจ บางคนก็ได้รู้ถึงเรื่องราว บางคนฟังเรื่องราวก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันอยากได้พระเจ้า เหมือนน้องหญิง หญิงไม่รู้เรื่องหรอก แค่รู้สึกว่าฉันอยากได้พระเจ้า ฉันต้องการพระเจ้า แล้วก็มีน้าพิกุลไปเปิดปาก “หญิงมาโบสถ์สิ” ซึ่งจริงๆ นี่เป็นข่าวประเสริฐไหม?

            “หญิงมาโบสถ์สิ หญิงจะได้อธิษฐานกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าสิ”

            อย่างนี้เรียกข่าวประเสริฐไหมค่ะ? อย่างนี้ไม่ใช่ข่าวประเสริฐนะคะ แค่นำเรื่องของพระเยซูไปบอก แต่หญิงไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย แล้วหญิงก็เปิดใจ เพราะต้องการผู้ใดผู้หนึ่งอยู่แล้ว ในการที่จะอยากได้รับการช่วยเหลือ

            อย่างนี้คือสิทธิอำนาจของเราพูดเปิดปาก ถ้าน้าพิกุลไม่ไปพูด หญิงจะมาถึงพระเจ้าได้ไหม?  พระเจ้าอาจจะใช้คนอื่นไปนำน้องหญิงมา ก็พลาดโอกาสที่พระเจ้าให้เกียรติเราในการไปพาผู้คนมาในแผ่นดินของพระเจ้าและได้รับความรดจากพระเจ้า

            หลังจากนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ  ความเชื่อในพระเจ้ามา หลายสิ่งหลายอย่าง เราอาจจะยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่มันมีความเชื่อ ความเชื่อแบบเด็กๆ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าใครก็ตามที่มีความเชื่อแบบเด็กๆ เขาก็จะได้รับความรอด เราไม่ต้องเข้าใจหรอก ส่วนใหญ่ผู้ชายเขาจะต้องมีเหตุและมีผล เขาจึงเกิดความเชื่อ ถ้าไม่มีเหตุและไม่มีผล เขาก็ไม่เกิดความเชื่อ  และการมีความเชื่ออยู่บนเหตุและผลก็อาจจะล้มลงได้เหมือนกัน ถ้าความเชื่อเราไม่อยู่ในหลักของข่าวประเสริฐที่แท้จริง เวลาที่เราผิดหวังอะไรปุ๊บ เราก็ปฏิเสธพระเจ้า แล้วก็ไม่เอาพระเจ้า จิตใจเราก็ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วการเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ก็จะไม่ยั่งยืนและสูญสลายไป แล้วความเชื่อที่แท้จริง ต้องวางอยู่บนพื้นฐานอะไร  แค่ต้องการพระเจ้า  รู้และเข้าใจ ที่เหลือพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้กับเราเอง แล้วผลอะไรตามมา ผลพระวิญญาณทั้ง 9 ของพระเจ้า ก็คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตัวเอง และสิ่งที่ใหญ่ที่สุด ที่บรรจุลงไปอยู่ในใจเรา ก็คือความรัก  เราจะสามารถสังเกตได้ไหม?

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ภายใน ที่เป็นพยานให้กับเราเองว่าแท้ที่จริงแล้ว อยู่ๆ เราก็เกิดความรัก รู้จักรัก รักเป็น ซึ่งแต่ก่อนนี้ เรารักไม่เป็น  เรารักด้วยวิธีการของเรา แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าปุ๊บ เรากลับถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นความรักชนิดเดียวกับพระเจ้า เราสามารถอดทนได้ เราสามารถทนนานด้วยนะ  แต่ก่อนนี้เราทนไม่นาน ทนไม่ได้ สุดท้ายก็มาถึงการแตกหัก หย่าร้าง เลิกรา ไม่อยู่ด้วยกันแล้ว แล้วก็จบความรู้สึกผูกพันกันไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความรักแบบมนุษย์ แต่ว่าในเมื่อมีความรักของพระเจ้าบรรจุอยู่ภายในเรา เราก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น นั่นก็คือผลที่เราได้ไปหมดแล้ว  แล้วทำไมมันไม่เกิดอย่างต่อเนื่อง ทำไมเดี๋ยวก็ผุดๆ โผล่ๆ  เดี๋ยวก็ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็ทนได้ เดี๋ยวก็ควบคุมได้ เดี๋ยวก็ควบคุมไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้สึกได้ เดี๋ยวก็รู้สึกไม่ได้  เดี๋ยวก็เป็นได้ เดี๋ยวก็เป็นไม่ได้  เดี๋ยวก็รับได้ เดี๋ยวก็รับไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้สึกตัดสินพิพากษา แล้วก็ต่อว่ากัน หรือคิดในใจ ในเรื่องที่ไม่ดีต่อกันและกัน ทำไมมันยังผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาล่ะ

            แท้ที่จริง สิ่งทั้งปวงเราได้รับมาแล้ว แต่เราทุกคนไม่ยอมรับรู้ว่าเรามี เราไม่ยอมรับรู้ว่าเราเป็น เราไม่เชื่อว่าเราเป็นสิ่งนั้นไปแล้ว จึงเกิดการอธิษฐานแบบที่เปาโลได้อธิษฐานเผื่อเมืองเอเฟซัส  ในหนังสือเอเฟซัส 1:17-23 …

        เอเฟซัส 1:17-23 “17 “ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์” 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19 และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพ อันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน”

            เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราเต็มบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์อย่างเต็มเปี่ยม อัดแน่นอยู่ในเรา สิ่งเหล่านี้ที่เปาโลอธิษฐานในหนังสือเอเฟซัส  ได้อยู่ในตัวเราเต็มบริบูรณ์  แต่ทำไมเราจึงไม่ไปถึงตรงนั้น ไม่ไปถึงผลแห่งความรอดของเรา  เราทั้งหลายถูกเปลี่ยนแปลงธรรมชาติใหม่แล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ในพระเจ้าแล้ว  ทำไมเรายังเป็นได้บ้าง เป็นไม่ได้บ้าง ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง  วันไหนเต็มล้น ก็สามารถที่จะขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ วันไหนไม่เต็มล้น เราก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            ทำไมเปาโลจึงห่วงและเกิดความกังวล จนกระทั่ง อธิษฐานกับพระเจ้าแบบนั้น  ทำไมเราจึงไปไม่ถึงผลของความรอดของเรา เรานึกถึงเวลาฟ้าผ่า อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง แสงมาก่อนเสียง จริงๆ มาพร้อมกันไหม? เวลาฟ้าผ่ามาพร้อมกันไหม?  แต่เวลามันเดินทางมาสู่โลกแสงมาก่อนใช่ไหม? เสียงค่อยมาทีหลัง  เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ของโลกนี้  หรือสถานการณ์ที่เรายังไม่สามารถที่จะเชื่อมตัวเอง ให้ยอมจำนนเป็นอันเดียวกัน  ยอมรับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ให้ได้จริงๆ มันจึงไม่สามารถทำให้เราเชื่อมกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง มันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า ในพระคัมภีร์ได้บอกว่าร่างกายนี้ได้ถูกชำระล้าง ความคิดจิตใจได้ถูกเปลี่ยนใหม่ วิญญาณได้ถูกเปลี่ยนใหม่  แสดงว่าทั้งหมดนั้น สะอาด บริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้า ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าประทับลงมาในเราได้ ผลของสิ่งต่างๆ ที่เอ่ยมานั้น ได้ถูกบรรจุเต็มแน่นอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            เพราะว่าเราอยู่ในโลกใบนี้ มารมันยังวนเวียนอยู่รอบ ถามว่ามารมีอิทธิพลไหม? ไม่มีอิทธิพลแล้ว เพราะว่าพระวจนะบอกว่าพระองค์ทรงเหยียบมันไว้ที่ใต้เท้าของพระองค์ และทำให้หัวของมันแหลกเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอำนาจเหนือชีวิตของเราแล้ว พระคัมภีร์บอกว่ามันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา เพื่อหาช่องทางที่จะกัดกินเรา  เมื่อไรก็ตามที่เราไม่เปลี่ยนความคิดจิตใจเสียใหม่ ตรงกลางสีเหลือง คือความคิดจิตใจของเรา พระเจ้าสร้างเรามา พระเจ้าไม่ได้สร้างให้เราเป็นหุ่นยนต์ พระเจ้าไม่ได้อยู่ๆ เข้ามาอยู่ในเรา แล้วควบคุมเรา แล้วก็บีบบังคับให้เราคล้อยตาม  เป็นไปตามพระองค์  ความคิดจิตใจยังเป็นของเรา วิญญาณรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า อันนี้ไม่มีใครแย่งชิงเราไปจากพระเจ้าได้

            ตามหนังสือยอห์น 10:28 บอกว่า “ไม่มีใครแย่งชิงแกะของพระองค์ได้”

            ไม่มี เรารอดแล้ว รอดเลย  เรารอด โดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ใช่ตัวของเรากระทำเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ แต่ทำไม? เพราะว่าเราเปิดโอกาสให้ระบบและข้อมูลของโลกนี้  มาควบคุมความคิดของเรา มากกว่าว่าความจริงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเมื่อใดก็ตามที่เรามีพฤติกรรมของโลกนี้  การกระทำของโลกนี้มาควบคุมความคิดจิตใจของเรา พฤติกรรมของเราก็ส่อออกไป ในวิถีนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราเปิดช่องโหว่ เปิดให้ความกลัวเข้ามาในหัวใจ มารมันส่งข้อมูลแห่งการหลอกลวงมาให้เราประพฤติตามมันได้ไหม? ยังได้อยู่

            ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกใบนี้ เราเหยียบโลกใบนี้แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของเรา คือไปอยู่ที่สวรรค์ เราได้อยู่ที่สวรรค์ แน่นอน คือตรงนี้ไม่ต้องเล็งเอง ถ้าเรานึกถึงการเล็งธนูของนายพราน  ไม่ได้เล็งเอง มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราเล็ง ฉะนั้น ยิงตรงเป้าแน่นอน  เมื่อเวลาที่เราเล็งไป ในพระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยแรง  แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะเล็งอย่างไร? ถูกเป้าแน่นอน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่จะดูแลเราในการที่จะให้เป้านั้น ไปถึงจุดหมาย

            จำสิ่งที่เคยแบ่งปันไปได้ไหม เรื่องพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงทำกับอับราฮัม กับอิสอัค กับยาโคบ แต่พันธสัญญาใหม่ พระองค์ทรงทำกับพระเยซูคริสต์ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยาน กลายเป็นว่าพระเจ้าทำสัญญากับพระเจ้า  โดยมีพระเจ้าเป็นพยาน ฉะนั้น ฉบับนี้ไม่มีทางล้มเหลว สัญญาแห่งความรอดนี้ไม่ล้มเหลว เพราะว่าพระเจ้าทำกับพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เซ็นต์เป็นพยาน ฉะนั้น สัญญาฉบับนี้ จึงสมบูรณ์และไม่ล้มเหลว

            ดังนั้น ไม่ว่าพฤติกรรม การกระทำของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความรอดของท่าน ถูกการันตี แล้วทำไมอาจารย์เปาโลจึงพูดถึงผลของความรอดอีก  ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ เราสมควรที่จะดำเนินชีวิตแบบคนในโลกนี้ไหม? เราถามตัวเอง เราสมควรมีพฤติกรรมแบบเดียวกันกับคนในโลกนี้ไหม? เรามีพฤติกรรมแบบคนในโลกนี้ได้  แต่พระวจนะของพระเจ้าก็บอกว่าคนทั้งหลาย ก็จะหมิ่นพระนามของพระเจ้า เพราะการกระทำของท่าน เราอย่าบอกว่าเราทำตัวเป็นคนดี เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเข้าใจผิด เพราะว่าท่านไม่จำเป็นต้องถวายเกียรติพระเจ้า พระเจ้าทรงมีเกียรติอยู่แล้ว คุณไม่ต้องทำอะไร? พระองค์ก็มีเกียรติของพระองค์อยู่แล้ว และไม่มีใครสามารถล้มล้างเกียรติของพระเจ้าได้  แต่ชื่อคุณก็เน่าเอง การกระทำของคุณ ถ้าไม่สอดคล้อง ไปกับพฤติกรรมเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนชื่อเสียงเน่าก็คือเรา ใช่ไหม? แต่มันน่าเจ็บใจตรงไหนรู้หรือเปล่า?  เขาลามไปถึงพระเจ้าเราด้วย

            เวลาเราไปประกาศข่าวประเสริฐ เป็นอย่างไร? ยากไหม? ยาก ตัวเราเองจะขัดเอง ฉันยังเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วพูดถึงเรื่องพระเจ้า เราจะรู้สึกขัดเอง แต่เขาจะรอดไหม? รอด ถ้าพระเจ้าจะให้เขารอด คุณจะพฤติกรรมอย่างไรก็ตาม เขาก็รอด

            ฉะนั้น การที่คนหนึ่งคนใดจะรอดไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนดี  ไม่ได้อยู่ที่คุณกระทำดี ให้คนอื่นเห็น คนจึงรอด แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าข่าวประเสริฐของพระองค์เป็นฤทธิ์เดชที่นำพาคนให้รอด นั่นหมายความว่ามันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราไหม? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเลย  ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่เราสมควรจะมีพฤติกรรมแบบคนในโลกนี้ไหม?  คนในสังคมในโลกนี้ แตกก๊กแตกเหล่ากัน แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน อยู่ฝ่ายนั้น อยู่ฝ่ายนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้  พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองประเทศนี้  เราควรจะมีฝักมีฝ่ายเหมือนคนชาวโลกไหม? เหมือนคนอื่นไหม? เราควรจะมีฝักมีฝ่ายไหม?  เรามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองโลกนี้อยู่ และเป็นผู้ดูแลการเป็นไปของประเทศนี้อยู่ ท่านอยากอย่างไร? ท่านก็อธิษฐาน ไม่ต้องไปแบ่งพรรค แบ่งพวกกับคนอื่น

            พระคัมภีร์บอกว่าการงานของเนื้อหนัง คือการแตกแยก คือการแบ่งพรรคแบ่งพวก คือการเป็นพวกนั้นพวกนี้ ซึ่งเราทั้งหลายมีพวกเดียว คือพวกพระเยซูคริสต์ ถ้าเปรียบพระเจ้าเป็นกาแฟทรีอินวัน เราเป็นแก้วน้ำ เป็นร่างกาย เป็นกระบอก ถ้าเราเอาน้ำเย็นชง เข้าไหม? ไม่เข้า แถมยังลอยเป็นก้อนๆ ไม่เข้ากัน  แต่ถ้าเราใช้วิธีที่เขากำหนดมา  คือเราเอาน้ำร้อนมา แล้วก็ชง มันก็เข้ากันได้ แต่ทุกวันนี้ เราใช้วิธีของเราเอง  เราใช้ความคิดของเราเอง

            แต่ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าให้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ตอนนี้พูดกันหลายรอบมาก ก็คือในโรม 12:1-2 อ้าว! เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องถวายตัวเหรอ ทำไมเปาโลบอกว่า …

            “ให้ท่านถวายตัวเป็นเครื่องบูชาอันมีชีวิตแด่พระเจ้า แล้วเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของท่านเสียใหม่ อุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่”

            เปลี่ยนแบบไหน? เปลี่ยนไปตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ขับเคลื่อนภายในเรา พยายามเปิดช่องให้เรารับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในเรา กำลังขับเคลื่อนเราอย่างไร? ในพระเยซูคริสต์เราคิดดูดีๆ นะ ในสมัยพระเยซูคริสต์พระเยซูคริสต์รู้จักพระบิดาอยู่แล้ว ชัดเจน พระองค์รู้จักสวรรค์ชัดเจน พระองค์ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ก็ได้ พระองค์ไม่ต้องรู้เรื่องในสิ่งที่พระองค์พูด พระองค์พูดโดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์กระทำ โดยที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำพาพระองค์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์กระทำ หรือพูดโดยที่พระบิดาไม่อนุญาตให้ทำให้พูด ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีคนร้อยคน พันคนมาอยู่ต่อหน้าพระองค์ พระองค์รักษาแค่ 2-3 คน ไม่ได้รักษาหมดทุกคน พระองค์ทำตามที่พระวิญญาณหรือพระเจ้าทรงบอกพระองค์

            วิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราใหม่ คือรับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา แล้วขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าคนที่รู้จักพระคัมภีร์ดีแล้ว ดียอดเยี่ยมแล้ว อันนี้สำหรับคนที่ทั้งรู้จักพระคัมภีร์ และไม่รู้จักพระคัมภีร์นะ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ สำหรับคนที่รู้จักพระคัมภีร์แล้ว ให้เอาเหล้าองุ่นเก่าวางไว้ เราเป็นเหล้าองุ่นใหม่ เหล้าองุ่นใหม่ก็ใส่ในถุงหนังใหม่ พระคัมภีร์ถูกแบ่งไว้เป็น 2 ตอน เรามักจะเอาพระคัมภีร์เดิม มาเป็นข้อประพฤติในชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ขัดกันไหม? ขัดกันแน่นอน นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านยังขัดกันอยู่ ทั้งๆ ที่ท่านเชื่อในพระเจ้า และท่านก็อ่านพระคัมภีร์เก่งมาก  รู้พระคัมภีร์เก่งมาก  รู้เยอะก็ดีนะ แต่รู้เยอะให้รู้จริง

            ถ้าเราเอาบัญญัติหรือสิ่งที่ถูกกำหนด กฎเกณฑ์ หรือพิธีกรรม หรือพิธีการต่างๆ ในพระคัมภีร์เดิม มาใช้ในชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ขัดกันแน่นอน ชีวิตใหม่ต้องดำเนินชีวิตแบบใหม่  ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา พระคัมภีร์เดิมสำคัญไหม? สำคัญ ทำไมจึงสำคัญ เพราะว่าพระคัมภีร์เดิม บอกให้เรารู้ถึงความรัก ความอดทนของพระเจ้า เรายังใช้พระคัมภีร์เดิมได้ เพราะว่าพระคัมภีร์เดิม ทำให้เรามองเห็นบุคลิกภาพของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงรักเรามากขนาดไหน? อดทนขนาดไหน? วางแผนขนาดไหน? จัดเตรียมขนาดไหน? ทรงมีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถทำอะไรได้บ้าง?  เราสามารถรับรู้สิ่งทั้งปวงต่างๆ เหล่านั้น จากพระคัมภีร์เดิม  แต่อย่าเอาข้อบัญญัติหรือข้อบังคับ มาใช้ในชีวิตใหม่ของเรา อย่าเอาวิธีการในพลับพลา มา ซึ่งวิธีการในพลับพลาสำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว วันเทศกาลต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น  เล็งถึงพระเยซูคริสต์ และเทศกาลเหล่านั้น สำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราต้องรู้ว่าจุดยืน ณ ตอนนี้ของเรา คือจุดไหน?  เรายังใช้หนังสือสุภาษิตได้ไหม? หนังสือสุภาษิตก็บอกถึงการมีสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านดี เราก็เอามาใช้ได้  เราสามารถเอาคำสรรเสริญมาใช้ได้  เรายังสามารถใช้ได้อยู่ แต่แยกแยะให้ถูกว่าเราควรจะใช้แบบไหน? ใช้อย่างไร?  ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ เพราะต้องเอามาอ้างอิงถึงสิ่งที่เราต้องแบ่งปัน

            แล้วก็สวมเสื้อตัวใหม่ สวมสภาพใหม่ เราต้องยอมที่จะสวมสภาพใหม่ ในพระวจนะของพระเจ้าในเอเฟซัส 4:24

        เอเฟซัส 4:24 TH1971 “และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

            พระองค์ได้บอกเรากระทำไหม? จงทำนั่น? จงทำดี? ไม่ได้บอก พระองค์บอกว่าสวม สวมสิ่งที่เคยพูดมาแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พระองค์ให้เรามาทั้งหมด คือความรอด ความเชื่อ ความรัก ความบริสุทธิ์ ความเต็มขนาดของพระวิญญาณที่อยู่ในเรา ฤทธิ์อำนาจที่พระเจ้าให้เรา สง่าราศี ทุกอย่างนั้น  ให้เราสวมสิ่งนั้น ให้รับรู้ว่าตัวเอง เป็นสิ่งนั้น  รับรู้อย่างจริงจังว่าเราเป็นสิ่งนั้น ด้วยความรัก และความยำเกรงพระเจ้า รับรู้ความจริงนี้ เข้าไปในวิญญาณ ถ้าไม่รู้ว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราก็ไปเปิดยูทูปของโบสถ์ดู มีพูดไว้เยอะมาก ทุกอย่างเป็นของเราหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เราต้องทำ คือยอม ยอมแล้วเชื่อฟัง รับเอา

            ในสุภาษิต 3:6 ก็เอาพระคัมภีร์เดิมมาพูดเหมือนกันนะ สุภาษิต 3:6 …

        สุภาษิต 3:6 TH1971 “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า  และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

            ถ้าเราบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว บุคลิกภาพที่เด็ดของพระเจ้า คือความรัก ถ้าเราตะคอกกัน มันใช่บุคลิกภาพไหม? แต่พอหลังจากที่เราทำเสร็จ เราจะต้องคิดว่านี่คือบุคลิกของพระเจ้าหรือบุคลิกของเรา  และถ้าเราจะคิดทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา นี่คือวิธีการคิดแบบพระเจ้า หรือเราคิดเอง

            “ฉันไม่ได้ ฉันไม่ยอม ฉันต้องอย่างนั้น อย่างนี้ มันต้องอย่างนั้นสิ มันต้องอย่างนี้สิ”

            หรือพระเจ้าบอกเราในเหตุการณ์อย่างนี้ ควรจะทำแบบไหนกันแน่ มันจะต้องแบบไหน? มันถึงจะถูก มันถึงจะเป็นไปด้วยกัน นี่คือการฝึกฝน ทำตัวเองให้เป็นไปด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันใช่ไหม? ไม่ใช่ ก็หยุดทำ  ถ้ามันใช่ เราก็ทำต่อไป  ถ้ามันไม่ใช่ เราผิดพลาดไปแล้ว ไม่เป็นไร? ล้มลง 7 ครั้ง เราลุกขึ้นมาใหม่ได้ 7 ครั้ง เราก็ต้องรู้จักอภัยให้ตัวเองด้วย

            ดิฉันมาแบ่งปันอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าดิฉันดีเลิศเลอ เพอร์เฟค 100% ไม่ใช่ ดิฉันก็ต้องมาอภัยให้ตัวเองเหมือนกัน แล้วก็มีการพลาดพลั้ง ฉะนั้น พวกท่านก็โปรดอภัยให้กับดิฉันด้วย  ถ้าดิฉันพลาดพลั้ง เพราะดิฉันก็จะตั้งหลักใหม่ทุกครั้ง  ถ้าดิฉันไม่ตั้งหลักใหม่ คุณก็เตือนดิฉันนิดหนึ่ง บอกว่า …

            “ตั้งหลักใหม่ๆๆ”

            ถ้ายังไม่ฟัง อยู่ในอารมณ์โกรธอยู่ ก็หันมาบอกว่า “ช่วยตั้งหลักใหม่” อะไรประมาณนี้ บอกกันและกัน แล้วก็มีป้ายแขวนคอว่า “ขออภัยยังสร้างไม่เสร็จ” เราจะเสร็จต่อเมื่อเราหลุดออกจากร่างนี้

            ฉะนั้น การฝึกฝนของเรา อาจารย์นครบอกว่าเราฝึกฝนไปจนกว่าตายนั่นแหละ เราก็อยากเหมือนนักโทษที่อยู่กับพระเยซู ที่พระเยซูพูด วันนี้ท่านจะอยู่กับเรา ที่เมืองบรมสุขเกษม ฉะนั้น ไม่ต้องฝึกฝน เพราะการฝึกฝนมันยากมากเลย มันต้องมีโอกาสให้อภัยกันและกัน

            ในพระคัมภีร์บอกว่าให้โอกาสกันและกัน ที่จะให้คนอื่นล้ม และผิดพลาด ให้เราเริ่มต้นใหม่  แค่มองผ่าน ล้มลง แล้วก็เริ่มต้นใหม่

            คิดดูสิว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร? เมื่อเราให้โอกาสคนอื่น เราก็จะเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ  ชีวิตของเราก็จะมีสุขขึ้นเรื่อยๆ สังคมเราก็จะงดงามขึ้นเรื่อยๆ

            เวลาที่เห็นคลิป ขนาดคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มีคนหยุดรถ แล้วให้สุนัขเดินผ่าน เราดู แล้วเรายังมีความสุขเลย ถ้าพี่น้องคริสเตียนของเราเป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าจงหนุนใจซึ่งกันและกัน เมื่อผู้ใดล้มลง ให้ช่วยพยุงกันขึ้น  เพราะว่าไม่แน่ วันใดวันหนึ่งท่านอาจจะล้มลงแบบเดียวกันก็ได้ มีวิธีแบบเดียวกันที่คุณอาจจะล้มลง ก็ได้ ถ้าหากคุณพยุงกันขึ้น คิดดูว่าสังคมคริสเตียนจะน่าอยู่ขนาดไหน?

            ที่พูดมาทั้งหมดนี้ คือข้อ 12 ฉะนั้น เราก็จะมาจบลงที่ฟีลิปปี 2:13 ทั้งหมดที่พูดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ผลอะไรก็ตาม ไม่ได้ให้ตะเกียกตะกายทำ ทั้งหมดอยู่แค่เรื่องเดียว คือ “ยอม” ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทำงานในชีวิตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา  พระองค์ไม่ได้เข้ามาควบคุมเรา เหมือนกับมาร สมัยก่อนนี้ เรายังไม่เชื่อพระเจ้า มันควบคุมวิถีชีวิตของเราเลย ดึงเราๆ ให้พฤติกรรมที่ตกต่ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดการทำลายกันและกัน และเกิดความพินาศกัน แตกแยกกัน

            แต่ว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา ถ้าเราไม่ทำ พระองค์จะชี้นำ จะเตือน จะดึง จะคอยกระซิบบอก จนสุดท้าย เราไม่ฟัง พระองค์ก็จะเงียบ ท่านก็จะไม่ได้ยินเสียงของพระองค์อีกต่อไป แต่ท่านจะได้ยินเสียงของตัวเอง ท่านก็จะกลายเป็นมนุษย์ ที่ดำเนินชีวิตในโลกนี้ โดยที่มีความรอดแหละ คุณเชื่อพระเจ้าแล้ว คุณมีความรอดแล้ว คุณไม่ถูกพิพากษาแล้ว แต่คุณจะดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบดิบๆ ไม่ใช่คริสเตียนที่สุกแล้ว  เป็นผลที่กินไม่ได้ของโลกใบนี้  เพราะอย่างไรพระเจ้าก็รับท่านเรียบร้อยแล้ว  แต่ท่านจะเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่เป็นมนุษย์ดิบๆ

            ฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเลย ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ท่านสบายมาก คนอื่นเขาจะต้องใช้วิธีถือศีล กินเจ ต้องบีบบังคับตัวเอง ต้องใช้ไม้เรียวตีลูกตัวเอง ต้องทำทุกวิถีทาง ในการที่จะให้ลูกประพฤติดี  หรือให้ตัวเองประพฤติดี บางคนต้องเอาไม้ตีเนื้อหนังตัวเอง เข้าสู่การควบคุมเนื้อหนังตัวเอง ท่านไม่ต้อง เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน ผู้ที่อ่อนสุภาพ และใจนบน้อม เป็นผู้นำพาชีวิตของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงรักท่านมาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ …

        ฟิลิปปี 2:13 “(ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง และสร้างพลัง และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ   อีกทั้งเกิดการกระทำดี   ตามพระประสงค์ของพระองค์   เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            เหมือนที่เราได้อ่านพระวจนะของพระองค์ บอกว่าเมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจเสียใหม่  อุปนิสัยของเราเปลี่ยนใหม่ เราจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรดียอดเยี่ยม  เราก็จะดำเนินชีวิตไปในวิถีทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หายเหนื่อยและเป็นสุข  พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูชี้ให้มนุษย์ เห็นความจริงในโลกวิญญาณว่า …

            “ถามใจเธอดูสิ แล้วเธอจะรู้ว่าเธอเป็นคนบาป”

            มัทธิว 5:5 …  “พระเยซูประกาศว่าความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”

            ผู้ที่ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่มีกำลังที่จะทำตามกฎบัญญัติ ศีลธรรม ทำดีละชั่ว ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าได้เขียนใส่ไว้ในจิตใต้สำนึกในใจได้

            ไม่เย่อหยิ่งทนงตน ปฏิเสธความจริง แต่ยอมรับความจริงว่าทำไม่ได้ ถ่อมใจต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูบอกว่าสวรรค์เป็นของคนที่มีท่าทีในใจเช่นนี้

            เมื่อพระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คนเหล่านี้จะเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า และรอดจากความพินาศ จากโทษของความบาป จากการพิพากษาหลังความตาย และได้รับร่างกายสวรรค์ ที่เป็นอมตะ

            สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และได้รับมรดกครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แทนโลกเดิมที่ถูกสาปแช่ง เน่าเฟะ ชั่วร้าย วิปริตในปัจจุบันนี้

            และในโลกใหม่นั้น จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีการสูญเสีย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความตายอีกต่อไป มีแต่ความสุขอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

            พระเยซูบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านเพียงแค่ถ่อมใจยอมรับเท่านั้นเองว่า…!

            “ฉันเป็นคนป่วยในวิญญาณที่ต้องการหมอ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1436

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2023

เรื่อง “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทางวิญญาณ”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ผู้ที่สำคัญที่สุดในงานวันเกิด คือผู้ที่เกิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามวันนี้ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้นสำคัญที่สุดในงานปาร์ตี้นี้ ขอบคุณพระเจ้าในวันนี้ ท่านสำคัญที่สุด พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกสำคัญขนาดไหน? ไม่ใช่เรามาฉลองกันเองอย่างเดียวนะ ในสวรรค์ปิติยินดี เมื่อมีคนๆ หนึ่งได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า นั่นแหละในสวรรค์ปิติยินดีมาก เขาจัดฉลองใหญ่โตเลยนะ  เพราะฉะนั้น วันนี้ เหมือนเป็นปาร์ตี้ ขณะเดียวกัน เล็งให้เห็นถึงปาร์ตี้ในสวรรค์ด้วย คือเหล่าทูตสวรรค์และพี่น้องที่ล่วงหลับ ไปอยู่กับพระเจ้าก่อนหน้านี้ ได้มาฉลองร่วมกันให้กับฉัน ผู้ซึ่งได้บังเกิดใหม่แล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  แล้วยังเดินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังมองไม่เห็นชัด แต่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเป็นวันที่ผมจะบรรยายนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเป็นกระสาย ให้ความสำคัญ ให้ความหมายกับวันนี้ โดยให้ชื่อเรื่องว่า “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทางวิญญาณ” คือการฉลองยินดีในการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณนั่นเอง

            การบัพติศมาในน้ำ ที่เรากำลังจะทำกันในช่วงท้ายของการบรรยายในวันนี้ คือเล็งให้เห็นถึงภาพในโลกวิญญาณ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คือเล็งให้เห็นถึงภาพวิญญาณหนึ่งวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ไปแล้ว วันนี้เป็นวันแห่งการฉลอง เหมือนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ คือฉลองวันเกิด เราฉลองวันเกิดตามธรรมชาติของมนุษย์ ก็คือคนที่เกิดแล้ว ก็มาฉลองวันเกิด เช่นเดียวกัน คนที่เกิดทางวิญญาณแล้ว มาฉลองวันเกิดด้วยการลงบัพติศมาในน้ำ ฉลองความยินดีที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นการเฉลิมฉลองที่ได้บังเกิดแล้ว เฉลิมฉลอง ยินดี ในสิ่งที่เกิดแล้ว เหมือนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ แล้วเหมือนอะไรอีก เหมือนกับครบรอบแต่งงาน ฉลองวันแต่งงาน แต่งไปแล้ว นี่มาฉลอง มาระลึกถึงวันนั้น วันที่เกิดขึ้นไปแล้วนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทางวิญญาณของเขา เขาได้บังเกิดทันทีเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เหมือนเราทั้งหลาย ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ ขณะนี้ หรือที่อยู่ที่บ้านขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วันไหนไม่รู้ เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อชั่วโมงหนึ่งที่แล้ว เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าเราเริ่มต้นได้ยินข่าวประเสริฐเมื่อไร?  และเราไม่ได้ทอดทิ้งข่าวประเสริฐนั้น แต่เราสนใจ และเราฟัง  ขณะที่ฟัง ก็คือเราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระองค์ เริ่มต้น  และถ้าเราไม่หยุด ในการแสวงหาต่อไป ไม่หยุดในการติดตามต่อไป ไม่หยุดในการที่จะยอมรับ หรือรับฟังเฉยๆ ยังไม่ได้เชื่อ เปิดใจรับฟังข่าวดีของพระเยซูว่าเขาว่าอย่างไรนะ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฟังอยู่ เขาเรียกว่าเริ่มต้นเปิดใจ แต่พระเยซูเข้าไปได้หรือยัง? ยังเข้าไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่เปิดใจครบ เราแค่เปิดความคิด มันยังไม่ลงไปในใจลึกๆ จริงๆ สักที แค่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง วันไหนไม่รู้ อาจจะเป็นชั่วโมงหนึ่งต่อมา หรืออาทิตย์หนึ่งต่อมา หรือปีหนึ่งต่อมา หรือ 3 ปีต่อมา หรือ 30 ปีต่อมา เราได้ยินอีก แล้วเราเริ่มต้นเปิดใจจริงๆ เลย เนื่องจากได้ยินมาตั้งนานแล้ว  จนกระทั่ง เอาล่ะ เปิดใจเต็มที่ นั่นแหละ วันนั้น เราได้เกิดใหม่  พอเกิดใหม่เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าทันที ทันใด ณ วันนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย  ที่ผมบอกอยู่เสมอๆ ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย อะไรก็ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลหน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้น ที่เห็นอยู่ในโลกใบนี้ มันเล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            ยกตัวอย่างง่ายๆ เริ่มต้นสร้างมนุษย์ ที่เราได้ยินได้ฟังว่าบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เริ่มต้นจากดิน ที่เรามองเห็น แต่พระคัมภีร์บอกว่าเขามีชีวิต เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้เป็นชีวิตของเขา ชัดเจนเลย แม้ว่าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ความดีและความชั่ว  ต้นไม้นี้เจ้าอย่ากิน

            เราก็งง ต้นไม้แห่งความดี ความชั่ว อย่ากิน มันคือต้นไม้อะไรหนอ? เล็งไปถึงโลกวิญญาณ  เช่นเดียวกัน เป็นต้นไม้แห่งความตาย คือต้นไม้แห่งการพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่าบาป ต้นไม้แห่งการปฏิเสธพระเจ้า …

            “ฉันไม่สนใจพระเจ้าแล้ว ฉันไม่พึ่งพระเจ้า ฉันจะทำด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะทำให้ตัวฉันเองสมบูรณ์ ดีพร้อม ด้วยตัวฉันเอง ฉันจะเป็นผู้ตัดสินใจชีวิตฉันเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี” แล้วก็ผลักพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้าออกไป

            นี่มันหมายถึงตรงนี้ ในโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ? แต่ในโลกวัตถุบันทึกไว้ว่า “ต้นไม้แห่งความตาย ก็คือต้นไม้แห่งความดีและความชั่ว วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะรู้ว่าอะไรดึอะไรชั่ว ก็คือว่าวันนั้น เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรดี อะไรชั่ว ไม่ได้อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกดี เรียบร้อยแล้ว”

            แต่เจ้าบอก “ฉันยังไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดี ฉันอยากจะดูแลตัวฉันเอง ฉันรู้สึกว่ายังไม่ดี ฉันทำได้ดีขึ้นกว่านี้”

            ก็เลยปฏิเสธพระเจ้า นี่แหละ กำลังเล็งให้เห็นถึงภาพโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร?

            เพราะฉะนั้น โลกที่เรามองเห็นอยู่นี้  เป็นภาพที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันเป็นจริงเสียยิ่งกว่าโลกที่มองเห็น มันสลับกันเห็นไหม? มนุษย์บนโลกนี้ส่วนใหญ่ หรือแม้แต่เราที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ยังมองโลกใบนี้เหมือนเดิมอยู่เลย คือเห็นอะไร? จับต้องอะไร? รู้สึกอะไร? มันเป็นจริงนะ แต่พอบอกถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าตรัสอย่างนี้ บอกอย่างนี้ เราไม่ค่อยเชื่อ เชื่อยาก มันเป็นจริงได้อย่างไร? แต่จริงๆ แล้ว จริงยิ่งกว่าโลกใบนี้

            ยกตัวอย่างง่ายๆ ชีวิตของคน มนุษย์เรามีชีวิตอยู่นิรันดร์ มีชีวิตอยู่ เพราะเป็นวิญญาณข้างใน ที่เป็นชีวิตหรือตายอยู่ เรามองดูข้างนอก เขายังเป็นอยู่  ร่างกายยังเดินอยู่ ยังหายใจได้อยู่ แต่พระเจ้าบอกตายแล้ว เราจะเชื่อใคร?  ความจริงคืออะไร? ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณตายแล้วจริงๆ แต่ในโลกวัตถุที่มองเห็น ยังหายใจอยู่ ยังเดินอยู่ อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์ จึงแนะนำให้เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะได้บังเกิดใหม่ในเรื่องพระเจ้าแล้ว ในวิญญาณแล้วก็ตาม  แต่ให้เรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ คืออะไร? ผมยกตัวอย่างให้เช่นในหนังสือโคโลสี 3:1 ได้แนะนำให้คริสเตียน คนที่บังเกิดใหม่ ที่กำลังฉลองวันเกิดในวันนี้  ที่บังเกิดแล้วว่าท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านควรดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างไร?  ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันกับโลกใบนี้  ที่จับต้องมองเห็นได้ รู้สึกได้ด้วยตัวเอง หรือสนใจความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้า ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มากกว่ากัน …

        โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

            “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือโลกวิญญาณ ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

            ในโลกวิญญาณที่พระคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็คือในสวรรค์ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าและเราได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เราจดจ่อตรงนี้  นี่คือเรื่องจริงๆ มากกว่าที่ท่านอยู่ในประเทศไทย ในเวลานี้ ที่มองเห็นได้ จับต้องได้ ชัดเจนเลย ท่านบอกว่าจริง แต่มีจริงกว่านั้น คือวิญญาณของท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ตลอดนิรันดร์ เพราะว่าความจริงในโลกวัตถุที่ท่านมองเห็นว่าท่านอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ มันไม่แน่นอน เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป พระคัมภีร์จึงไม่เรียกว่าความจริง ความจริงของพระคัมภีร์ คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเยซูคริสต์บอกเราเป็นความจริง พระเจ้าเป็นความจริง ความจริงไม่มีการเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนได้ ไม่เรียกว่าความจริง เรียกว่าความจริงประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปแล้ว

            ดังนั้น โลกใบนี้ทั้งใบ จึงไม่ใช่ความจริงทั้งสิ้น โลกใบนี้ทั้งใบ จึงเป็นโลกแห่งการหลอกลวง เพราะว่ามันต้องเปลี่ยนแปลงไป ทุกวัน ทุกวินาที มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เราไม่รู้เอง แต่พระเจ้าบอกเราอย่างนี้ อ่านข้อ 2 ต่อ โคโลสี 3:2 …

        โคโลสี 3:2 “จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            เห็นไหม? คริสเตียนต้องจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน ที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ผู้เชื่อจะดำเนินชีวิตของเขาด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น หรือรู้สึกได้ ต่อไปข้อ 3 โคโลสี 3:3 …

        โคโลสี 3:3 “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย “เพราะท่านตายแล้ว” อะไร เรายังเดินอยู่ นั่งฟังอาจารย์บรรยายอยู่ แล้วบอกว่าผมตายแล้ว ตายแล้วทางวิญญาณ วิญญาณตัวเก่าได้ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมาฉลองวันเกิดนี้ได้อย่างไร? เพราะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว จะบังเกิดใหม่ในวิญญาณได้ จะต้องตายก่อนไง วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ได้ตายไปแล้ว แล้วบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ตอนนี้ ได้ติดสนิทอยู่ ได้แปะอยู่ ได้อยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า และคราวนี้ …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า ก็เท่ากับฉันอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในฉัน ฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน” เอเมน

            นี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว ในโลกวิญญาณ  บัดนี้ ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ซ่อนไปในลักษณะใด? พระคัมภีร์ยกตัวอย่าง ตามตามองเห็นแบบมนุษย์ จะได้พอเข้าใจ อย่างที่บอกให้เห็นภาพว่าคำว่า “อยู่กับพระคริสต์” มันเป็นเช่นใด? จากกันไม่ได้เลย ก็คือเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระคริสต์ อย่างนี้ พอจะเข้าใจกันได้ เพราะเราเห็นร่างกายเรา เรารู้ว่านิ้วเราก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เซลๆ หนึ่ง ก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ลูกตาก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ ชีวิตที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า ชีวิตของท่าน วิญญาณของท่าน อยู่ในร่างกายของพระเจ้า ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เป็นเซลๆ หนึ่งที่ติดอยู่กับร่างกายของพระคริสต์ เหมือนกับที่เราดูร่างกายของเรา ดูศีรษะของเรา ดูใบหน้าของเรา เราก็รู้ว่าเป็นตัวเรา ดูที่ปลายเท้าของเรา ดูที่นิ้วก้อย ปลายเท้าของเรา ใช่ตัวเราหรือเปล่า? ก็คือตัวเรา

            “เรา” หมายถึงตั้งแต่ศีรษะ จนจรดปลายเท้า คือตัวเรา ทั้งตับ ไต ไส้ พุง ที่เรามองไม่เห็น คือตัวเราทั้งสิ้น นั่นแหละ เราถูกซ่อนอยู่  และเราอยู่ในร่างกายของพระคริสต์ และพระคริสต์ ร่างกายทั้งหมดนี้อยู่ในพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นลักษณะอย่างนี้ ข้อ 4 …

        โคโลสี 3:4 “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

            และให้เราทำอย่างไร? เราอยู่ในพระคริสต์ ลักษณะเป็นอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว  ให้เราทำอะไร? เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่าน เห็นไหม? ชีวิตเราติดอยู่กับพระคริสต์ เป็นกิ่งก้านของต้นเถาองุ่น เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์

            เมื่อพระคริสต์ปรากฏ หมายถึงเมื่อวันที่เรามองเห็นพระคริสต์  จะพระคริสต์กลับมา หรือเราไปหาพระคริสต์ แล้วแต่  เมื่อวันที่เราเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  ไม่ได้ถูกซ่อนอยู่แล้วนั้น เราก็จะโผล่จากการซ่อนอยู่แล้วนั้น ออกมา เป็นตัวเรา ซึ่งมีร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู เราก็จะมองเห็นตัวเราปรากฏเช่นเดียวกันกับพระคริสต์ มันแปลว่าอย่างนั้น

            นี่คือความหวังของผู้ที่เรียกว่าคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่ ให้จดจ่อไปอย่างนี้ 4 ข้อนี้ วันนี้ไม่เห็น เพราะถูกซ่อนอยู่ วันหนี่งฉันจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย วันที่ทิ้งร่างเก่านี้แล้ว ได้รับร่างใหม่ สวมสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ในร่างกายนี้ ตาวิญญาณฉันจะถูกเปิดออก ร่างกายสวรรค์จะสามารถมองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณได้ ฉันจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และเห็นใครหน้ต่อหน้าอีก? เห็นตัวเอง เหมือนเห็นในกระจกเงา ทุกวันนี้เรามองกระจกเงา เราเห็นพระคริสต์ไหม? ไม่เห็น เห็นใคร? เห็นร่างกายโทรมๆ เห็นร่างกายที่แก่ลงไปทุกวัน เห็นเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน แต่วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะเห็นตัวฉันเอง เป็นเหมือนพระคริสต์เลย เอเมน

            นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ สำหรับพี่น้องที่มีความสำคัญที่สุดในวันนี้ ก็คือเจ้าของวันเกิด ที่ได้เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่ลงบัพติศมาในน้ำ วันนี้ และวันก่อนๆ ที่ได้ลงมาแล้ว และโดยเฉพาะวันนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าไม่เคยได้รับการจัดงาน ทำพิธีลงน้ำ บัพติศมาเลย วันนี้ได้ลงแล้ว ก็จะได้รู้ว่ากำลังทำอะไร? ยินดีด้วยที่ได้มาฉลองวันเกิดร่วมกันฝ่ายวิญญาณ

            บัพติศมาในน้ำ เป็นหนึ่งในภาพที่เล็งให้เห็นถึงขบวนการการบังเกิดใหม่ การบัพติศมาในน้ำ คือภาพที่พระเจ้า อุปมาขึ้นมาให้ทำ เพื่อเล็งให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นลักษณะเช่นไร? คือการบังเกิดใหม่ในทางวิญญาณ ที่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่ได้ทำให้เป็นพิธี หรือสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการกระทำการลงน้ำบัพติศมา แต่เพื่อเล็งไปถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้ทำ เพื่อจะได้มีอะไรเกิดขึ้น จากการลงน้ำบัพติศมา

            บัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้ท่านรอดจากบาป แต่การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก่อนหน้านั้นต่างหากที่ช่วยให้ท่านรอดจากบาป เอเมน การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ การลงน้ำ บัพติศมาในน้ำ ทำให้ท่านเปียก  อ้าว! ไม่ใช่หรือ? งงใหญ่เลย การลงบัพติศมาในน้ำ ทำให้ท่านเปียก ทำให้ท่านอาจจะหนาวสั่น ท่านอาจจะลงน้ำบัพติศมาอีกสักครู่หนึ่ง ลงไปปุ๊บ ขึ้นมาปุ๊บ ซู่ซ่าส์ ขนลุก น้ำตาไหล เกิดขึ้นได้ไหม? ได้ เพราะมันเกิดขึ้นในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้  ความรู้สึก อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่ความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ท่านรอด  ไม่ได้ทำให้ท่านบังเกิดใหม่  แล้วดีไหมล่ะ ขึ้นมาจากน้ำ แล้วรู้สึกปิติยินดีมากเลย ซู่ซ่าส์ มีประโยชน์หรือว่าโทษ เป็นประโยชน์ แล้วลงน้ำลงไป ขึ้นมาเปียก แล้วเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันเป็นโทษเหมือนกัน เพราะมันเปียก แต่ว่าแลกกับประโยชน์ที่ได้รับ หรืออาจจะสูญเสียบ้าง อะไรหนักกว่ากัน ประโยชน์หนักกว่า เพราะฉะนั้น สรุปว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ  ถ้าไม่มีประโยชน์ หรือประโยชน์มันน้อยกว่า ก็ไม่ต้องทำ ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ มันเกี่ยวกับโลกวัตถุ รู้จักคิด รู้จักชั่งน้ำหนัก

            ยกตัวอย่างวันนี้ เผอิญๆ ติดโควิดพอดี ลงชื่อกับเขาแล้วว่าวันนี้จะมารับบัพติศมาในน้ำด้วย ติดโควิดมาพอดีเลย ลงน้ำซู่ซ่าส์ ขนลุก น้ำตาไหล ซึ้งในพระเจ้ามากเลย สิ่งที่ตั้งใจไว้ เป็นโควิดอยู่ ลงไป อาจจะอาการไข้มากขึ้น แพร่เชื้อให้คนอื่นเขาเยอะแยะ พี่น้องคนอื่นเป็น ปรากฏว่าน้ำหนักผลเสียมากกว่าผลได้ เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เป็นโทษมากกว่า ควรทำหรือไม่ควร?  ไม่ควร วันหลังค่อยมาทำ ก็ได้ เอเมนไหม?

            ไม่ใช่ป่วยอยู่โรงพยาบาล จะตายอยู่แล้ว หมอบอกว่าดูแลสุขภาพให้ดีๆ ก่อนในขณะนี้ อย่าให้หนาวสั่น ไม่ได้ ต้องลงน้ำให้ได้ ถ้าไม่ลงน้ำ สัญญากับพระเจ้าไว้ เห็นอะไรบางอย่างไหม? เราเข้าใจกันผิดๆ หมดเลย หนึ่งในจำนวนพิธีกรรมต่างๆ ที่พระเจ้าบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราไปมองดูของที่มันเกิดขึ้น หรือเหตุที่มันจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ กลายเป็นโลกใบนี้ที่ตามองเห็นได้ เราถูกหลอกมากมาย ไปสู่ศาสนา ไปสู่พิธีกรรมต่างๆ ไปสู่การหลงผิดต่างๆ แทนที่จะมาดูความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราทำอย่างนี้ เพื่ออะไรๆ เพื่อใคร?

            ผู้ที่ลงน้ำบัพติศมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และยินยอม ดีใจ ที่ต้องเปียกใช่ไหม? แล้วก็ยุ่งยากนิดหนึ่งในการต้องเดินแฉะๆ และเดินไปห้องน้ำ ไปเปลี่ยนชุดอะไรต่างๆ ผมก็ยังไม่แห้ง เราก็ไม่มีไดร์ทให้ท่านเป่าผม แต่แลกกับความปิติยินดี ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว

            ที่มีการบันทึกไว้เรื่องบัพติศมาในน้ำว่าเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างไร? อาจารย์เปาโลอธิบายไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 ชัดมากที่สุดแล้วว่าเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ โรม 6:3…

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นความจริง “ท่านไม่รู้หรือว่า?” “ท่าน” ก็คือผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว แต่ยังหลงไปมองดูที่โลกใบนี้อยู่ ไปจดจ้อง จดจ่อที่ฝ่ายโลกอยู่ ยังไปให้ความสำคัญกับการลงบัพติศมาในน้ำ เกินเหตุอยู่ ตามที่เราได้คุยกันเมื่อสักครู่นี้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็คือ “ท่านควรจะรู้ว่าคนทั้งปวงที่เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นผู้เชื่อแล้ว ก็ได้บัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิในพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจนั่นแหละ  ถูกนำให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น

            ก็หมายถึงเวลาที่เราลงไปในน้ำ ในโลกวิญญาณ ก็คือเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เราเข้าไปร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เราก็ได้ตายไปพร้อมๆ กับพระเยซูด้วย เวลาท่านลงน้ำ อึกสักครู่หนึ่ง พอพร้อมปุ๊บ ผู้ประกอบพิธีจะกดท่านลง เมื่อท่านยินยอม ท่านอย่าเกร็งนะ ถ้าท่านเกร็ง เขาจะกดไม่ลง ท่านต้องยินยอมด้วย

            สมมติ ผู้ประกอบพิธีกดท่านลง แล้วท่านไม่ยอมลง ท่านฝืน มันก็ไม่ลง ที่ลง เพราะว่าท่านโอเคแล้ว ท่านพร้อมแล้ว  บางคน มือยังไม่ทันแตะ ท่านลงก่อนแล้ว อย่าเพิ่ง เดี๋ยวใจเย็นๆ ให้มือไปแตะที่ศีรษะปุ๊บลง คือท่านยินยอม  ยินยอมไปตายกับพระเยซู อ้าว! รู้แล้วนะ เดี๋ยวลงไป จะได้ทำถูก พอแตะปุ๊บ ท่านยินยอม คือฉันยอมลง ถ้าท่านฝืน ไม่ลง นั่นแหละ คือยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง ยังฝืนอยู่ ยังไม่ยอมลง เมื่อท่านยอมลงเมื่อไร? ลงปุ๊บ  ก็เข้าไปเป็นหนึ่ง นี่เล็งให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณก่อนหน้านี้ ต่อไปข้อ 4 …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย” ก็คือลงน้ำตะกี้นี้ ลงไปตายใช่ไหม? ตายพร้อมพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู น้ำก็คือตัวพระเยซู ลงไปปุ๊บ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ท่านตายพร้อมพระเยซู ยังไม่โผล่ขึ้นมา ก็คือถูกฝังอยู่กับพระเยซูในนั้น พอวันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านก็โผล่ขึ้นมาด้วย แต่ท่านไม่ต้องลงไปถึง 3 วันหรอก แป๊บเดียว นี่เล็งให้เห็นถึง … เดี๋ยวบางคนตกใจ ตอนก่อนหน้านี้ติวกันไว้ว่าลงไปแป๊บเดียว  3 วินาทีเท่านั้นเอง ตอนนี้บอก 3 วัน ไม่ไหวนะ ไม่ใช่ แป๊บเดียว เล็งให้เห็นถึงภาพลงไปอยู่ในอุโมงค์กับพระเยซู โผล่ขึ้นมา ก็คือบังเกิดใหม่พร้อมพระเยซู ซึ่งมันแปลว่าอย่างนั้น  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด จากพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงรับคำสั่งจากพระเจ้าบอกว่าชุบพระบุตรให้เป็นขึ้นจากความตาย เมื่อชุบพระบุตรให้เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ เราติดอยู่ แปะอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตายไปกับพระเยซูคริสต์ เราก็เลยพลอยเป็นขึ้นจากความตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เฉพาะแค่ศีรษะเท่านั้น แต่ทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ คือทั้งร่างกาย ทั้งหมดศีรษะและร่างกาย อวัยวะทุกส่วน เป็นขึ้นด้วย ก็คือเราทั้งหลาย ที่เป็นอวัยวะ ก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ข้อ 5 ต่อไป …

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            ถ้าเราไม่ยอมมุดลงไป อย่างที่บอกตะกี้นี้ ถ้าเราไม่ยอมให้ผู้ทำพิธีกดเราลงไป เราก็ฝืนอยู่อย่างนั้น  เราก็ไม่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในน้ำ  ถูกฝังไว้ในน้ำ เราก็ไม่มีวันที่จะโผล่ขึ้นมา พูดง่ายๆ คือถ้าเราไม่มุดลงไป  เราก็ไม่มีโอกาสได้โผล่ขึ้นมา

            ในทำนองเดียวกัน ในความเป็นจริง ก็คือวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในทางวิญญาณนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ประกอบพิธี วางพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าลงมาบนศีรษะ บนชีวิตของเรา  แล้วก็จุ่มเราลงไป ใส่เราลงไป กดเราลงไปในวิญญาณของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ให้เราได้ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ บนไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และจะได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่บังเกิดขึ้น เห็นไหม?

            ในโลกวิญญาณ มันง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากมากมายเลย ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวัตถุเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โลกวัตถุ พอเราอธิบายตามหลักการ ตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะเห็นภาพชัดเลยว่าพระเจ้ายอดเยี่ยมมากเลย อุปมาอะไรต่างๆ ชัดเจนมากเลย เมื่อเราเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ เราทำอันนี้ เพื่อจะเกิดขึ้น เราต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้ เปล่าเลย พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น แต่พระองค์ทรงบอกให้เรากระทำอย่างนี้ เพื่อเล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และต่อไปข้อ 6 …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา” “เรา” ก็คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่ได้ฉลองวันเกิดทางวิญญาณวันนี้ เรารู้แล้วว่าตัวเก่าของเรา คือตัวที่เราได้จุ่มลงไป ตายพร้อมพระเยซูนั่นนะ  อดีตอยู่ในอาดัม เป็นคนบาป ตอนนี้ ถูกตรึงที่กางเขนร่วมกับพระเยซู

            ถามว่า “ทำไมต้องถูกตรึงพร้อมพระเยซู พระองค์ทำเพื่ออะไร?” อันนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐเลยนะ เพื่อตัวบาปเก่านั้น ที่อยู่ในอาดัม ก่อนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ เราตายอยู่ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราเดินอยู่นี้ ในวิญญาณเราตายอยู่ ตัวเก่าจะได้บังเกิดใหม่ ก็ต่อเมื่อตัวเก่าที่ตายอยู่ มันได้ศูญสิ้นไป ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า “ตาย” เหมือนกัน แต่จริงๆ มันหมายถึงถูกขจัดออกไป ถูกกำจัดออกไป ถูกทำให้สูญไป  เพื่อจะได้เกิดใหม่ ฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น ตัวบาปของเรา ผู้ซึ่งเป็นคนบาปตั้งแต่กำเนิด ที่อยู่ในอาดัมนั้น ได้ตายไปแล้ว ได้ถูกขจัดไป สูญสิ้น จบไปหมด เรียบร้อยแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป

            “แต่ว่าเมื่อตะกี้เรายังรู้สึกอิจฉา ยังรู้สึกโกรธ เลี้ยวรถมาตัดหน้าเราได้อย่างไร? เมื่อวานนี้ เรายังโกหกเขาอยู่เลย ไหนบอกว่าตัวบาปเก่าเราตายไปแล้ว”

            ในโลกวิญญาณ ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  เราต้องเชื่อแบบนี้ เราต้องรู้แบบนี้ ถึงจะชัดเจน ถึงจะศึกษาเรื่องราวต่อๆ ไป

            เพราะฉะนั้น ในวันนี้อยากจะแสดงความยินดีให้กับพี่น้องของเรา โดยข้อพระคัมภีร์นี้ กาลาเทีย 3:26-27 …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            เพราะฉะนั้น ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องทุกคนที่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปีไหนก็ไม่รู้ เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วว่าท่านทั้งหลายได้เป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ก็คือได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมกับพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ยังไม่ได้ลงน้ำเลย  แต่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั้น ฟังให้ดีนะ นี่คือของขวัญจากพระเจ้าเลย ขณะที่กำลังนั่งอยู่นี้ ขณะที่กำลังฟังอยู่นี้ ตั้งแต่วันนั้น ที่ท่านบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้วนั้น  เป็นบุตรของพระเจ้าแล้วนั้น ขณะนี้ ชีวิตของท่าน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายที่ท่านเห็นอยู่ ที่ต้องตายได้ ที่อายุ 30 หรืออายุ 60 ที่อายุ 70, 80 ที่เจ็บป่วยอยู่นี้  ทั้งหมด ทั้ง 3 ส่วนนี้ ได้ถูกปกคลุมทั้งหมดเลย ได้ถูกคลุม ได้ถูกสวมใส่ไว้ด้วยพระสิริ สง่าราศี  เกียรติอันยิ่งใหญ่ ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน

            วิญญาณของท่าน เป็นวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นลักษณะเดียวกัน เป็นไข่แดง อยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ท่านเป็นจุดๆ ข้างในลึกๆ ท่านเห็นซองจดหมาย ก็คือท่านเป็นกระดาษชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน  แผ่นกระดาษชิ้นหนึ่งเล็กๆ อยู่ในซองจดหมายที่เรียกว่าพระคริสต์ และซองจดหมายที่อยู่ในพระคริสต์นี้ อยู่ในซองจดหมายใหญ่ที่เรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            ท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้? อยู่ในที่ลึกสุด ในไข่แดง เป็นที่รัก เป็นที่หวงแหนของพระเจ้า เป็นที่ปกป้อง ดูแลของพระเจ้าที่สุดเลย โอบอุ้มท่านไว้ตลอดเวลา เอเมน  ไม่มีใครเอาท่านออกไปได้ ไม่ว่าใครที่ไหน อำนาจยิ่งใหญ่ใดๆ  แม้กระทั่งตัวท่านเอง ทำอะไร ก็ไม่สามารถเอาตัวท่านเองออกไปจากที่นี่ได้เลย เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว พระเจ้าหวงแหนท่าน ยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของพระองค์ เอเมน

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ท่านเดินไปที่ไหน? ทุกอณูเนื้อของท่าน ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ไส้ พุง ทุกเซลในตัวท่านนั้น ปกคลุมอยู่ด้วยพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าตลอดเวลา เราจึงร้องเพลงว่า …

                        “ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า

                          ฉันรักคุณ ด้วยความรักของพระเจ้า”

            ท่านจะร้องเพลงนี้ได้ ก็ต่อเมื่อท่านจดจ้อง จดจ่อ มองไปที่เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่จดจ่อ จดจ้องไปที่ฝ่ายโลก จดจ่อไปที่ฝ่ายโลก คนนี้ก็น่าเกียจ คนนี้ก็นิสัยไม่ดี คนนี้ก็ไม่ได้อาบน้ำมาเมื่อเช้าแน่เลย คนนี้ก็กลิ่นตัวไม่ดี คนนี้วันก่อน ก็ตักข้าวเยอะเกินไป  นี่คือการมองด้วยตาที่อยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา โลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ  ไม่มีใครเพอร์เฟคสักคน

            นี่กำลังพูดถึงพี่น้องที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้วทั้งนั้นนะ ฉะนั้น เราต้องมองดูตามโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกไว้

                        “ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า

                          ฉันรักคุณ ด้วยความรักของพระเจ้า”

            เพราะพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในเขาแล้ว  อยู่ในท่านแล้ว ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละ ทุกอณูเนื้อ ทุกอวัยวะในร่างกายของท่าน ได้ถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน และปกคลุมมาอยู่เหนือข้างนอก  เป็นรัศมี แม้กระทั่งเส้นผมเส้นหนึ่ง ก็เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระสิริของพระเจ้า เอเมน แม้ว่ามันจะสีขาวก็ตาม แม้ว่ามันจะมีน้อยก็ตาม แต่ถึงมีน้อยหรือว่าไม่มีเลย  เป็นสีมันๆ ก็เป็นศีรษะที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเป็นเจ้า  เอเมน

            เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็นหรอก จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านได้เป็นดวงสว่าง เป็นแสงสว่าง เปล่งรัศมี ประกายเจิดจ้าบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความมืดมน ท่านเป็นความหวังของโลกนี้ เอเมน ท่านจะไปที่ไหน ท่านแบกเอาความสว่างนี้ไปด้วย ไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ข้างในทำงานของพระองค์เอง ท่านไม่ต้องพยายามเปล่งรัศมี เพราะว่าไปที่ไหน รัศมีมันก็เปล่งออกมาอยู่แล้ว ที่ท่านเปล่ง มันจะเปล่งออกมาทางฝ่ายโลกมากกว่า ท่านอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย  ผมไม่เคยเห็นดวงไฟที่บ้าน หรือที่ไหน ที่เขาเปิดมา มันพยายามเปล่งรัศมีออกมา ผมเห็นแต่เขาเปิดสวิทส์ แล้วมันก็สว่าง มันสว่างเท่าเดิมนั่นแหละ มันจะเบ่งเท่าไร มันก็เท่านั้น เพราะเขาส่งมาเท่านี้ เอเมนไหม? ไม่ใช่วันนี้เปล่งได้ 8 พรุ่งนี้เปล่งได้ 20 อันนั้นไม่ได้โทษหลอดไฟแล้ว โทษคนที่ส่งมา พระเจ้าของเราส่งมาเท่าเดิม เพราะพระองค์เป็นนิรันดร์ เอเมน

            ทั้งหมดที่พูดมานี้ ได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว พระเยซูได้กระทำให้แล้ว พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกเลย  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่ท่านได้กระทำไปแล้วนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จึงขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่จะบัพติศมาในน้ำ ฉลองวันเกิดใหม่ในทางวิญญาณในวันนี้ และพี่น้องทุกท่านที่ได้บังเกิดใหม่ในทางวิญญาณแล้ว เมื่อไรก็ไม่รู้ ก็ขอบคุณพระเจ้า ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            รู้ว่าไม่ดี ไม่อยากทำ แต่แล้วก็ทำ

            รู้ว่าดี  อยากจะทำ แต่แล้วก็ทำไม่ได้

            โอ้ย! ใครก็ได้ช่วยฉันที

            เศร้าจัง

            มัทธิว 5:4 … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาได้รับการปลอบประโลม”

            ลักษณะของคนที่เป็นดินดี เหมาะสำหรับเมล็ดพันธุ์ของข่าวดีเรื่องสวรรค์ ที่พระเยซูกำลังพูดถึงนี้ คือข้างในวิญญาณของเขารู้สึกโศกเศร้า เพราะเขาไม่สามารถรักษาบัญญัติ กฎศีลธรรมได้ครบถ้วน สมบูรณ์เท่าเทียมกับพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์ ที่เย่อหยิ่ง ยกตัวเองขึ้นว่าทำได้มากกว่า ทั้งๆ ที่ก็ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เช่นเดียวกัน พวกเขาเหมือนประชาชนชั้นสอง ชั้นสาม ยากจนไม่มีตำแหน่ง ลาภยศสรรเสริญ ถูกเหยียดหยามถูกเรียกว่าเป็นพวกชั้นต่ำ เป็นคนบาป คนเก็บภาษี สังคมชาวยิว ซึ่งมีมาตรฐานสูงรังเกียจ และดูถูกว่าคนเหล่านี้เป็นคนบาป ไม่มีทางที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ รับเข้าสวรรค์ได้หรอก

            ยกตัวอย่างเปโตรและสาวกคนอื่นๆ หรือพวกคนเก็บภาษี หรือหญิงโสเภณี ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป ชีวิตของคนกลุ่มนี้ ก่อนที่พระเยซูจะมาประกาศ เขาเศร้าโศกหมดหวัง เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความเมตตา

            พระเยซูบอกว่าคนที่มีท่าทีแบบนี้ สวรรค์จะเป็นของเขา เขาจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เมื่อพระเยซูได้กระทำให้สวรรค์มาตั้งอยู่สำเร็จ โดยการตายบนกางเขน และเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์

            และเขาเหล่านี้จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป และได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าในสวรรค์ทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1435

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กันยายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 30

โดย  วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็ยังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส เราก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  เพื่อว่าเราจะได้หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเราได้รับอะไรแล้วบ้าง? จากการที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนี้ก็มาถึงบทที่ 5 เริ่มต้นจากข้อ 1 …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            สั้นๆ  คำว่า “เพราะฉะนั้น” มันต้องมีที่มาที่ไป อยู่ดีๆ เราจะมาใช้คำว่า “เพราะฉะนั้น” ก็คงไม่ใช่ มันต้องมีเหตุเกิด ก่อนที่จะมีคำนี้เกิดขึ้นว่ามันคืออะไร? จากเพราะฉะนั้นตรงนี้ หมายความว่าอาจารย์เปาโลได้พูดตั้งแต่เอเฟซัส บทที่ 1, บทที่ 2, บทที่ 3, บทที่ 4 แล้วว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง? แผนการอันล้ำลึกของพระเจ้า แล้วก็แผนการที่ลี้ลับของพระองค์ ที่ทรงปิดซ่อนไว้ ไม่ให้ใครรับรู้ความจริงเรื่องนี้เลย จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์ ได้ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย และแผนการนี้ ก็ได้ถูกเปิดเผยผ่านทางคริสตจักร ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมแผนการนี้ไว้ ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ตั้งแต่วันที่มนุษย์คนแรกเลย ล้มลงในความบาป  คืออาดัมกับเอวา  เพราะไม่เชื่อฟัง  ฟังแค่นี้นะ ล้มลงในความบาป เพราะไม่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น คำว่า “ไม่เชื่อฟัง” เราฟังแล้วเหมือนง่ายๆ อ้าว! ไม่เชื่อฟังแค่นี้ ทำไมต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า พระเจ้าตั้งกฎไว้แล้วว่าวันใดที่มนุษย์ดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อตามที่พระเจ้าบอก มนุษย์จะต้องเจออะไร? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า  พระเจ้าไม่ได้คิดจะลงโทษมนุษย์ โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนกับพ่อแม่จะลงโทษลูก จะต้องมีบอกล่วงหน้าว่า …

            “ลูกอย่าทำอย่างนี้ ถ้าลูกทำ ลูกจะเจออย่างนี้ ลูกจะต้องถูกลงโทษ ถูกตัดค่าขนมนะ”

            อะไรก็แล้วแต่ ตามกฎของแต่ละบ้านที่มีไว้

            ฉะนั้น  พระเจ้าก็มีกฎของพระองค์ ที่ให้กับมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าให้เชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าบอก ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรว่าทำไมพระเจ้าถึงห้ามเรา มันอะไรล่ะ เราอยากจะรู้ พระเจ้าบอกไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะว่าพระเจ้าได้เตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับมนุษย์คู่แรก เรียบร้อยไปแล้ว  จากที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา ให้เป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเจ้าเลยนะ ให้ชีวิตนิรันดร์ ลมหายใจของพระเจ้าระบายลงไป แล้วทำให้เกิดชีวิตนิรันดร์ เป็นคุณภาพชีวิต แบบพระเจ้าเลย ซึ่งอาดัมกับเอวามีหน้าที่อย่างเดียว คือเดินกับพระเจ้า ติดตามพระเจ้า ติดสนิท คือเป็นธรรมชาติ แบบเหมือนพ่อกับลูกที่พระเจ้าบอก …

            “เธออยู่อย่างนี้ ดีแล้ว พ่อเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ลูกก็อยู่ให้มีความสุข เรียกว่าเสวยสุขกับทุกสิ่งที่พ่อสร้างไว้ให้”

            ก็คือมนุษย์คู่แรกไม่ต้องทำอะไรเลย  เดินไปเดินมา โฉบไปโฉบมา ในสวนเอเดน อยากกินอะไรก็ได้กิน  เพราะพระเจ้าบอกว่า …

            “ผลไม้ทุกต้นในสวนนี้ เจ้ากินได้หมดเลย เจ้าเห็นแล้วอยากกินอะไร เจ้าก็หยิบกินไปเลย แต่มีข้อแม้แค่ว่าต้นนี้ที่อยู่กลางสวน อย่ากิน พระเจ้าเตือนไว้แล้วนะ  ถ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า แล้วถ้ามนุษย์คู่แรกเชื่อฟังตามที่พระเจ้าบอก ไม่ถูกหลอกให้ไปทำเรียกว่าไม่เชื่อฟังพระองค์ จริงๆ วิญญาณของมนุษย์ พระเจ้าสร้างมา เป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย คือไม่มีความรู้สึกอยากจะกบฏกับพระเจ้าเลยข้างใน แต่ว่ามนุษย์ถูกหลอกให้กบฏกับพระเจ้า ถูกหลอกให้ไม่เชื่อฟังพระองค์ สงสัยในพระเจ้าว่า …

            “ทำไมพระองค์มาห้ามด้วย ไหนลองกินดูว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกมันเป็นจริงไหม?”

            ตอนนั้น เราไม่รู้นะ นี่ดิฉันคิดเอาเอง คิดว่าเขาต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ เลย อาดัมกับเอวา …

            “มาห้ามทำไม ไหนลองกินสิว่าสิ่งที่พระเจ้าบอก มันจะเป็นจริงไหม?”

            ผีมารซาตานก็มาหลอกนั่นแหละ … “พระเจ้าบอกเธอกินแล้วตาย ไม่จริงหรอก เธอกิน แล้วเธอจะฉลาดเหมือนพระเจ้า”

            ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าบอกมนุษย์ เป็นพระฉาย เหมือนพระเจ้า พระเจ้าฉลาดแบบไหน? มนุษย์ก็จะฉลาดแบบนั้น ฉลาดเหมือนกันเลย คือไม่มีผิดเพี้ยน พอมนุษย์ไปหลงกลมาร การล่อลวงมันเกิดขึ้น มนุษย์ก็เริ่มคิดว่าเขาสามารถที่จะดีด้วยกำลังของตัวเองได้  ซึ่งพระเจ้าบอกว่า …

            “เธอดีอยู่แล้ว  ฉันสร้างเธอสุดยอดแห่งความดี อภิมหาอัครดีเลย เธอไม่ต้องพยายามที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้”

            จะมีอะไรที่จะดีกว่าการเป็นเหมือนพระเจ้า มันไม่มีอยู่แล้ว  เพราะพระเจ้าดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์ก็พลาด พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล้มลงในความบาป” ทันทีที่มนุษย์ตัดสินใจ ที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเข้ามาสวมทันที มนุษย์ตัดสินใจปุ๊บ เอาความบาป เข้ามาทันที

            คำว่า “บาป” หมายถึงการผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งเป้าไว้ให้มนุษย์อยู่สบาย อยู่กับพระเจ้า แล้วก็เสวยสุขกับทุกอย่างที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้  แต่มนุษย์ผิดเป้า พอผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ก็คือบาป บาปเกิดขึ้นจากการไม่เชื่อฟัง พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ นำเอาความบาปเข้ามา กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเกิดขึ้นทันที  คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าทันที มันเกิดผลทันทีเลย ก็คือวิญญาณของมนุษย์กับวิญญาณของพระเจ้าแยกจากกันทันทีเลย พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็ออกจากมนุษย์  เดิมที มนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า

            เรารู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า  เพราะว่ามนุษย์คู่แรกไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลือยกายอยู่” แต่เขาไม่อายกัน ถ้าเป็นปัจจุบัน เปลือยกายน่าอายนะ ไม่มีมนุษย์คนไหน แก้ผ้า แล้วก็ออกไปเดินหน้าบ้าน  เดินถนน อย่างนั้น คือคนเขาบ้า เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่ได้รู้สึกว่าอาย เดินแก้ผ้าตามถนน แต่มันไม่ใช่ ความเป็นจริงของมนุษย์ปกติ ก็คือก่อนออกจากบ้าน อย่างไรเราก็ต้องใส่เสื้อผ้า  ไม่ว่าเราจะมีเสื้อผ้าแบบไหน? อาจจะมีเสื้อผ้าอยู่แค่ตัวเดียว ออกจากบ้าน ฉันก็ใส่ตัวนี้แหละ คนเดินออกไป …

            “ยัยคนนี้ทำไมใส่เสื้อผ้าอยู่ตัวเดียว”

            “ก็ฉันมีตัวเดียว ฉันใส่แล้วซัก ใส่แล้วซัก แล้วฉันก็เดินออกไป แม้มีตัวเดียว ฉันก็ยังพยายามทำให้ได้ เมื่อเวลาออกจากบ้าน ฉันต้องใส่เสื้อผ้า” … นี่คือปกติของมนุษย์

            ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระสิริ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของมนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าปกคลุมมันหลุดหายไป พอหลุดหายไปปุ๊บ เขาก็เลยมองเห็นตัวเองว่าฉันโป๊อยู่ สองคนอายกัน  เริ่มรู้จักคำว่า “อาย” แล้วก็ไปซ่อน หลบซ่อนจากพระพักตร์ของพระเจ้า ไปแอบ แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำครั้งแรกเลย ที่ทำให้มนุษย์คู่แรก ก็คือพระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วก็เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกายให้กับอาดัมและเอวา ตอนที่อาดัมเอวาไปซ่อนตัว พระเจ้าถามเขาว่า …

            “เจ้าอยู่ไหน?”

            เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ คำว่า “เจ้าอยู่ไหน?” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รู้ว่าอาดัมกับเอวาแอบอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เอวากับอาดัมอยู่ตรงไหน? แต่พระเจ้ากำลังถามอาดัมเอวาว่ารู้ไหมว่าตอนนี้สถานะของเขาอยู่ตรงไหน? จากการที่เป็นลูกของพระเจ้า พอล้มลงในความบาปปุ๊บ สถานะเขาเปลี่ยนไป คือเขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว เขาหลุดจากการอยู่ในพระเจ้า ไปอยู่ในบาป ซึ่งพอมนุษย์ต่อๆ มา เราก็ใช้คำว่า “อยู่ในอาดัม” เพราะอาดัมเป็นบรรพบุรุษของเราไง  เป็นคนแรกที่ล้มลงในความบาป เอาความบาปเข้ามาในโลกใบนี้ ขายสิทธิของตัวเอง ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “เธอเป็นลูกที่น่ารัก ฉันสร้างเธอมาดีพร้อม สุดยอด เธอมีหน้าที่แค่มาเสวยสุขเท่านั้นเอง” นั่นแหละ คือที่มา

            ฉะนั้น พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าก็เตรียมแผนการตั้งแต่สมัยเริ่มต้น มาจนวันที่พระเยซูคริสต์ มาเกิดบนโลกนี้ แผนการนี้พระเจ้าเตรียมไว้นานมาก เป็นหลายพันปี แล้วในพระคัมภีร์ ถ้าพี่น้องอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน คือเราอ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านเสร็จ เราก็เอามาเป็นของเรา นึกออกไหม? มันเพราะนะพระคัมภีร์เดิมดีๆ ยิ่งหนังสือสดุดี ดีๆ เราก็เอามาเป็นของเรา ซึ่งพระคัมภีร์เดิม เป็นการเผยพระวจนะ  ที่พระเจ้าได้บอกกับผู้คนบนโลกใบนี้ หรือ ณ เวลานั้น บอกกับคนอิสราเอลแหละว่าพระเจ้าจะทำอะไร? เมื่อไร? เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้

            แล้วคำเผยพระวจนะนี้ ก็ได้ถูกประกาศตั้งแต่สมัยอดีตเลย เราอ่านหนังสือปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ โยชูวา เราก็อ่านมาเรื่อยๆ เราก็อ่านแล้วเพลิน แต่สิ่งเหล่านั้น คือพระเจ้ากำลังบ่งบอกว่า ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่มา  คนอิสราเอล ถูกเลือกสรรให้มาเป็นกลุ่มคนพิเศษ  แล้วพระเจ้าก็ทำพันธสัญญากับคนอิสราเอลด้วยเลือดของสัตว์ ก็คือเลือดแกะที่คนอิสราเอลทุกปี เขาจะเอาแกะไปถวายเป็นเครื่องบูชา แล้วพระเจ้าก็เลือกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เขาเรียกว่ากลุ่มเลวี ก็คือมาทำหน้าที่ในวิหารของพระเจ้า โดยเฉพาะ พระเจ้าก็เลือกอาโรนมาเป็นปุโรหิตคนแรกของมนุษยชาติ  เพื่อที่จะถวายเครื่องบูชาแทนมนุษยชาติ  ณ เวลานั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้เลย เข้าใกล้พระเจ้าเมื่อไร มนุษย์ตาย  เพราะว่ามนุษย์กลายเป็นคนบาป พระเจ้าบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์กับความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าอยู่เฉยๆ พอมนุษย์วิ่งเข้ามาใกล้พระเจ้าปุ๊บ เด้งกลับไป ตายทันที นึกภาพออกนะ

            เหมือนที่อาจารย์นครชอบยกตัวอย่างกระแสไฟฟ้าแรงสูง เขาไม่ต้องทำอะไร? เราวิ่งเข้าไปจับ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน ไฟฟ้ามันจะวิ่งเข้ามาสู่มนุษย์คนนั้น แล้วถูกไฟช๊อตตายเลย เราเคยเห็นคนถูกไฟช๊อตตายไหม? คือไฟฟ้าไม่ได้ทำอะไร แต่โดยธรรมชาติของไฟฟ้ามันแรง ถ้ามนุษย์ไม่มีเครื่องป้องกัน เขาก็จะถูกไฟช๊อตตาย

            พระเจ้าเหมือนกัน กฎของพระเจ้าตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ ตอนนี้มีแต่ความบาปเลย เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้  พระเจ้าก็จะหาวิธีที่จะให้มนุษย์ อย่างน้อยมาเข้าใกล้พระเจ้าได้บ้าง ณ เวลานั้น ก็คือให้ปุโรหิตมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ปุโรหิตซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ยังเป็นมนุษย์บาปอยู่ แต่ถูกเลือก เหมือนคัดออกมา เพื่อที่จะทำหน้าที่นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่มหาปุโรหิต จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา เอาเลือดของคนที่เอามาถวาย เข้าไปถวาย ในห้องอภิสุทธิสถาน ปุโรหิตต้องชำระตัวเองก่อน ต้องถวายแกะ เพื่อลบล้างความผิดบาปของตัวเองก่อน ให้สะอาด ถึงจะสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ ซึ่งมันเป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แล้วถ้าปุโรหิตคนไหน ลืมที่จะชำระตัวเองให้สะอาด เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ ปุโรหิตคนนั้นตายทันที  เพราะว่าเขาไม่สะอาด

            พระเจ้าต้องกำหนดชุดปุโรหิตว่าจะต้องตัดอย่างไร? จะต้องมีแบบไหน? ปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องทำอย่างไร? เสื้อผ้าของปุโรหิต ใส่กระดิ่งไว้เต็ม รอบตัวเลย หมายความว่ามหาปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องรีบๆ ทำงานของตัวเอง เดินไปเดินมา เราจะได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ตลอดเวลา หมายความว่าปุโรหิตคนนั้น เตรียมตัวดี ได้ถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเข้าไปถวายเครื่องบูชาให้กับคนอิสราเอล แล้วเมื่อเสร็จจากการถวายเครื่องบูชา ก็ต้องรีบๆ ออกมา แต่ถ้าปุโรหิตคนไหนไม่ได้ถวายเครื่องบูชา สำหรับตัวเองก่อน เข้าไปปุ๊บ ตาย เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความบาปของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ตายทันที คนข้างนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าปุโรหิตตาย ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แล้วปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ก็คือแค่ปีละ 1 ครั้งไปถวายเครื่องบูชา

            ฉะนั้น คนข้างนอกจะไม่มีสิทธิ์ที่จะแง้มเข้าไปดูว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม? เขาสังเกตจากในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าให้โมเสสทำเชือกผูกขาของอาโรนไว้ เริ่มแรกเลยนะ คนแรก ผูกเอาไว้ แล้วระหว่างที่เข้าไปถวายเครื่องบูชา จะต้องมีเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ต่อๆ มา เมื่อมหาปุโรหิตส่งต่อทอดมา ถ้าคนไหนเข้าไปในอภิสุทธิสถาน แล้วกระดิ่งไม่ดัง แปลว่าคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอกทำอย่างไร? ก็ลากเชือกออกมา  เพราะเชือกผูกขามหาปุโรหิตไว้ ลากออกมา  เพราะเข้าไปเอาศพไม่ได้ เสร็จ ก็ต้องส่งคนใหม่เข้าไป

            สมัยก่อน มนุษย์ต้องใช้วิธีแบบนี้ ก็คือต้องถวายเครื่องบูชาตลอด เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้น ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วคนที่ไม่ได้เป็นอิสราเอล คนต่างชาติ เหมือนกับพวกเรา  ไม่มีสิทธิ์เลย หมดสิทธิ์ ที่จะไปถวายเครื่องบูชา แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะมีพิธีกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอถึงกำหนด ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มา แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเครื่องถวายบูชา เป็นแกะที่จะบูชา ถวายแด่พระเจ้า แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทำครั้งเดียวจบ หมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่มีบาป พระองค์จึงสามารถที่จะมาชำระบาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมด เมื่อพระองค์ตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด ตอนนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว คือมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า บาปในปัจจุบัน หลังจากเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วบาปในอนาคต ก็คือเชื่อแล้ว โอกาสที่จะทำบาป มีอีก เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้น พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทำครั้งเดียว จบ แล้วทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสำเร็จแล้ว ทันทีที่บอกว่าสำเร็จแล้ว พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจสูงสุดให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือให้พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเลย  ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใต้พื้นแผ่นดินโลก และในสวรรค์ พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว

            พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่อัศจรรย์ที่สุดในข้อ 1 ในคำว่า “เพราะฉะนั้น” นี่แค่เพราะฉะนั้นนะ พี่น้องนึกดูว่าอัศจรรย์ขนาดไหน? ทันทีที่มนุษย์คนหนึ่งคนใด ไม่จำเป็นจะต้องยิวแล้วนะ ตอนนี้ ก็คือใครก็ได้ บนโลกใบนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูมาทำอะไร เพื่อเขา แล้วเขาตัดสินใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันทีที่เขาตัดสินใจ บอกพระเจ้าว่า …

            “ลูกต้องการ ลูกอยากได้ความช่วยเหลือจากพระองค์”

            พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทันทีเลย มาผ่าตัดวิญญาณเรา มาบัพติศมาวิญญาณเรา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เราตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระเยซู ตรงนี้เขาเรียกว่า “บังเกิดใหม่” พอคนหนึ่งคนใดที่บังเกิดใหม่ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นอีก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย แยกกันไม่ออก เหมือนที่เราร้องเพลง เพลงนี้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ประโยคเดียววนอยู่ในหัว

                        “พระคริสต์อยู่ด้วย โลกคล้ายสวรรค์”

            มันวนอยู่ตรงนี้  พระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกับเรา อยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  โลกนี้ก็เหมือนสวรรค์แล้ว ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ยังไง มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้างในวิญญาณเราที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี มันเป็นความชื่นชมยินดีที่บอกไม่ถูกว่าทำไมเราถึงสามารถปิติยินดีได้  ทำไมเราถึงสามารถที่จะมีความสุขได้ ท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางอุปสรรคอะไรเยอะแยะมากมาย ท่ามกลางที่เราต้องเจ็บป่วย ต้องสู้กับโรคภัยไข้เจ็บของตัวเรา หรือสู้กับปัญหาเศรษฐกิจเยอะแยะมากมาย แต่ข้างในลึกๆ เราสามารถมีสันติสุขได้ ตรงนี้แหละ คือเป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุด ถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา ใครล่ะบนโลกใบนี้จะสามารถที่จะต่อต้านเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งหมด ก็ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย เพราะพระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด

            รักเราขนาดที่ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วพระเจ้าก็ยังสัญญากับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระพรนานัปการได้ให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระพรนี้มาถึงพวกเราด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร? เรามีด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย อันนี้แหละ อัศจรรย์ พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นบุตรด้วย พระเยซูเป็นทายาทของพระเจ้า เราก็เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเวลานี้ เราก็นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย ซึ่งไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ สามารถแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้เลย ก็คือรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ที่เราคุยกันเป็นแล้วเป็นเลย  เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อเราเกิด เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะกลับกลายเป็นลูกของความบาป มันไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น ตอนนี้ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เราเป็นวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เราเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่ให้ใหม่เลย เป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง ผู้เชื่อทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าหลายครั้ง พฤติกรรมของเรา ที่สำแดงออก มันไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร? แต่พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าวิญญาณของเราทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง วิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เยอะเข้าๆ มากเข้าๆ สถาปนาเข้าไปในวิญญาณของเราปุ๊บ ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถหลอกเรา ให้หลุดไปจากทางของพระเจ้าได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว เรายืนกราน ยืนหยัดอยู่ในความจริงนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของเราได้เลย

            ฉะนั้น ตรงนี้บอกว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก” เราเป็นบุตรที่รักแล้วใช่ไหม?  หลังจากนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพระเจ้า พ่อของเรา แค่นั้นเอง ง่ายๆ ก็คือพ่อเราเป็นอย่างไร? เราก็มองพ่อเรา พ่อเราทำอะไร? เป็นแบบไหน? เราก็ทำตามพ่อเรา แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อเรามีวิญญาณใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะสอนเรา

            ตอนนี้การสอนของพระเจ้าจะไม่บังคับ แต่ในพระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ต้อง” ซึ่งจริงๆ มันไม่ต้องหรอก “ต้อง” คือบังคับไง แต่ว่าความเป็นจริง คือพระเจ้าหนุนใจ  หรือพระเจ้าโน้มนำเรา บอกเราว่า …

            “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เป็นทายาทของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้วนะ เป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แล้วนะ  ลูกก็ทำตัวเองให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า”

            สมอย่างไร? ก็ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย คำว่า “แต่งตัว” ก็คือเหมือนกับเวลาเราออกไปข้างนอก  เราก็สวมเสื้อให้มันดูดีหน่อย ไม่ใช่ออกไปข้างนอก หาผ้าขาดๆ มา แล้วก็เดินออกไป มันไม่ใช่ มันไม่สวย มันไม่งาม มันไม่เหมาะกับการที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง ฉะนั้น พอเราเชื่อพระเจ้าหลังจากนั้น  เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า พ่อของเราเป็นอย่างไร? เราก็ฝึกฝนตามพ่อของเรา

            คำว่า “ฝึกฝน” เหมือนเด็กเล็กๆ เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ไม่ใช่โต แล้วก็สามารถทำได้ทั้งหมด ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ที่ตาเราคอยจ้องที่พ่อแม่เราอยู่ แล้วก็คอยดูว่าคุณพ่อคุณแม่เราทำอะไร?  แล้วเราก็เลียนแบบท่าน ทำตามพ่อแม่ของเรา เห็นไหมพ่อแม่พูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวลูกเราก็พูดจาไม่เพราะ คือลูกเรามอง ฟัง ในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เราเป็นทุกวันๆ  ฉะนั้น เราเลียนแบบพระเจ้า  เราเข้ามาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า เป็นอย่างไร? ก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ เรียนไปเรื่อยๆ พอเราเรียนได้มากเท่าไร? บุคลิกของเราก็จะเปลี่ยนแปลง ตามความจริงของวิญญาณข้างใน …

            “ตอนนี้ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันเป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันควรจะประพฤติตัวแบบไหน ให้มันสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า”

            มีพี่น้องคนหนึ่งเขาสงสัยกับคำๆ หนึ่งที่เราพูดกันบ่อยๆ ว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เคยได้ยินไหม? เราทำอะไรก็ได้ เราจะไม่หลุดไปจากทางของพระเจ้าเลย อย่างไรวิญญาณเราก็รอด

            ฉะนั้น คำว่า “เราทำอะไรก็ได้” ก็เกิดความเข้าใจผิดว่าอย่างนี้คริสเตียน ก็ไปทำบาปได้สิ คริสเตียนก็ไปทำอะไรเละเทะได้สิ”

            คำว่า “ทำอะไรก็ได้?” มันมีวงเล็บไง เมื่อวิญญาณเราเปลี่ยนใหม่แล้ว พระเจ้าให้อิสรภาพกับผู้เชื่อในการตัดสินใจ ที่จะทำอะไร? ไม่ทำอะไร? ในชีวิตประจำวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะโน้มนำเรา แล้วพระองค์ก็จะคอยเตือนเรา คอยบอกเราว่า …

            “ลูก ตรงนี้มันไม่โอเคนะ  ตรงนี้โอเค ทำได้”

            ฉะนั้น คำว่า “ทำอะไรก็ได้” หมายความว่าพระเจ้าให้อิสรภาพเราในการที่จะทำ  ในการที่จะตัดสินใจ

            ทีนี้ย้อนกลับ ถามว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เทียบกับสมัยก่อน ที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้าว่าเราทำอะไรก็ได้ ตามใจเรา เราไม่คิด เราอยากทำอะไร เราก็ทำ ใครจะเดือดร้อน เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา นึกออกไหม? มันเป็นอย่างนั้น  แต่หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว คำว่า “ทำอะไรก็ได้” มันจะมีขีดจำกัดในวิญญาณของเราเอง ที่เราจะรับรู้ว่าถ้าเราทำตรงนี้ แล้วมันจะส่งผลอะไรกับคนรอบข้างไหม?  ทำแล้วมันมีประโยชน์กับคนรอบข้างไหม?  ถ้าไม่มีประโยชน์ เราก็ไม่อยากทำ นี่คือคำว่า “ทำอะไรก็ได้” พระเจ้าให้อิสระไง

            แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าพี่น้องสามารถทำอะไรก็ได้  แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ท่านทำจะมีประโยชน์ ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ทำแล้วมันไม่เหมือนพ่อเรา ออกไปข้างนอก เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความดีงาม เป็นความรัก แต่เราไปทำตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่เราเป็นแล้ว ก็คือเราไม่มีความรัก เราไปทะเลาะกับเขา เราก็ไม่อยากทำ จริงหรือไม่จริง? คือเราจะเปลี่ยนเองโดยอัตโนมัติ พี่น้องสังเกตตัวเองนะ ดิฉันก็อธิบายไม่ถูกว่ามันจะเปลี่ยนอย่างไร? แต่ดิฉันรู้ว่าตัวดิฉันเองก็เปลี่ยน คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปลี่ยนเราเอง เปลี่ยนจากการที่ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนเห็นแก่ตัว พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารับรู้ความจริงมากๆ การเห็นแก่ตัวของเราจะลดน้อยลง  เราจะเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะให้ ให้คนอื่น

            คำว่า “ให้” หลายคนก็ไปคิด สรุปเอาเองว่าให้ ต้องให้เงินทอง  ไม่ใช่ คำว่า “ให้” มีเยอะแยะมากมายที่เราจะสามารถให้ได้  เราสามารถให้เวลากับคนอื่นได้  เราสามารถให้คำหนุนใจกับคนอื่นได้ เราสามารถที่จะให้ความรัก ให้อะไรก็ได้ที่คนรอบข้างเราต้องการ บางครั้งเราไปหนุนใจใคร เราอาจจะพูดไม่เป็น บางคนพูดไม่เป็น ก็สู้อย่าพูดดีกว่า  พูดแล้วไปกระทบกระเทือนใจคนอื่น ซึ่งถ้าเราพูดไม่เป็น เราก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้ามีพี่น้องในโบสถ์ เขากำลังเสียใจ  กำลังเศร้าโศก  เราพูดอะไรไม่ได้   เราก็ไปนั่งข้างๆ เขา จับมือเขาไว้  ทำแค่นี้พอ  คือทำแค่นี้ เขาจะสัมผัสได้ถึงความรัก จากข้างในตัวเรา ส่งไปถึงเขา หรือไม่ เราเดินเข้าไปกอดเขา  แค่นั้นเอง มันจะสัมผัสได้ พี่น้องนึกออกไหม?

            ฉะนั้น การให้มันมีหลายรูปแบบมาก ซึ่งเมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น เราก็จะเรียนรู้จักการที่จะให้คนอื่นมากขึ้น  ฉะนั้น ตรงนี้ให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

        เอเฟซัส 5:2 “และจงดำเนินชีวิตในความรัก   เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            เห็นไหม? “ดำเนินชีวิตในความรัก” ถ้าข้างในเราไม่มีความรัก เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตในความรักได้เลย  แต่ว่าเพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้นี้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เมื่อเราเป็นความรักแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรักนั่นแหละ สำแดงออกไป ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะสำแดงได้นิดหนึ่ง บางคนอาจจะยังไม่สามารถสำแดงได้เลย เหมือนทารกแรกเกิด ยังทำอะไรไม่ได้เลย พอโตขึ้นอีกหน่อย ก็เรียนรู้ที่จะทำได้ เด็กพอโตขึ้น ก็เรียนรู้ที่จะจับขวดนมเองได้ เรียนรู้ที่จะพลิกตัวเองได้  เรียนรู้ที่จะทำโน่นทำนี่ด้วยตัวเองได้

            เหมือนกัน วิญญาณของผู้เชื่อ เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น  เราก็เรียนรู้ที่จะเลียนแบบเหมือนพระเจ้า  พระเจ้าของเราเป็นความรัก ความรักอยู่ข้างใน เราก็เรียนรู้ที่จะสำแดงความรักออกไป เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  และประทานพระองค์เอง เพื่อเรา เป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ให้เราสำแดงความรัก เหมือนกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเราแล้ว อะไรมาก่อน พระเจ้าทรงรักเราก่อน  เราไม่สามารถรักคนอื่นได้หรอก ถ้าเราไม่ได้รับความรักจากพระเจ้าก่อน ก็คือพระเจ้ารักเราก่อน  หลังจากนั้น เราก็สำแดงความรักออกไป

            แล้วในนี้บอกว่าเพื่อเรา จะเป็นเหมือนของถวาย แด่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ถวายเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์  แด่พระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  คือแยกเราออกมา  เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว  แล้วก็ถวายเราเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า จำตรงนี้ไว้ พวกเราผู้เชื่อทุกคนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า เป็นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า  ไม่ต้อง พระเยซูทำให้เราเรียบร้อยแล้ว

            ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร? หรือใครจะมาว่าเราแบบไหน?  เราไม่ต้องสนใจ คำว่า “ไม่ต้องสนใจ” ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราทำตัวไม่ดีไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า แล้วคนมาเตือน เราไม่สนใจ  ฉันจะทำของฉัน มันไม่ใช่แบบนั้นนะ คนละแบบ “ไม่สนใจ” หมายความว่าถ้าใครมาบอกอะไรที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่พระเจ้าบอกเราแล้ว  เราไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าพฤติกรรมของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้ดำเนินชีวิต ให้สมฐานะการเป็นลูกของพระเจ้า ยังดำเนินชีวิตแบบเกเร ถ้ามีคนมาเตือน เราต้องสนใจนะพี่น้อง แล้วก็แก้ไข ขอกำลังจากพระเจ้า

            “พระเจ้า ขอกำลังลูกด้วย ลูกพยายามแล้ว ลูกพยายามจะไม่โกรธ พระองค์เจ้าข้า แต่มันโกรธไปแล้ว”

            อะไรประมาณนั้น ก็คือมันแยกให้ชัดเจนนะพี่น้อง บางคนไม่แยกชัดเจน  แล้วก็มาโมเม เอาทุกอย่างรวมไปหมด  มันไม่ได้ แยกให้ชัดเจนว่า ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นแบบไหน?  แล้วพระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบไหนให้สามารถที่จะส่งผลของความรักที่มันเป็นอยู่แล้ว ในจิตวิญญาณของเราออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง แล้วเขาจะสามารถสัมผัสความรักจากพระเจ้า ผ่านชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา เอเมนไหมค่ะ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คนป่วย … ต้องการ “หมอ”

            คนบาป … ต้องการ  “พระเยซูคริสต์”

            มัทธิว 5:3 “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            พระเยซูมาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์กับคนยิวในขณะนั้น ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย เพราะพระเยซูบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เร็วๆ นี้ เมื่ออาณาจักรสวรรค์มาตั้งสำเร็จเมื่อไหร่ คนที่มีลักษณะท่าทีในใจอย่างนี้ คือผู้ที่สำนึกว่าตนเองขัดสนฝ่ายวิญญาณ สำนึกว่าตนเองป่วยทางวิญญาณ คือเป็นคนบาปต้องการความช่วยเหลือ

            พระเยซูบอกว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนที่คิดว่าแข็งแรงดี ก็ไม่ต้องการ คนที่รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            ซึ่งในมัทธิว 5:3-12 พระเยซูกำลังบอกถึงลักษณะท่าทีในใจของผู้คนในยุคนั้นว่าถ้าเขามีท่าทีแบบนี้ เมื่อพระเยซูทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะกลับใจใหม่ และได้รับการบังเกิดใหม่ทันที และก็จะเข้าอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณทันที แล้วก็จะพบการข่มเหงต่อต้านจากโลก ซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืด ความบาปทันทีเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราก็ได้รับพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนเรียบร้อยแล้วในวิญญาณของเรา เราจึงไม่ขัดสนบกพร่องในวิญญาณของเราอีกต่อไป แต่เต็มล้นไปด้วยสง่าราศีบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูเลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1434

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กันยายน  2023

เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2 เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้ว แล้วว่าพระเยซูคริสต์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว ที่ผมยกตัวอย่างรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส ตั้งแต่ พ.ศ.2448 ถึงปัจจุบัน 118 ปีแล้ว ลักษณะเดียวกัน 

            เพราะฉะนั้น ใครที่อยากใช้สิทธิ์ ง่ายนิดเดียว ก็แค่เชื่อในข่าวดี เชื่อในคำพูดถึงความจริงนี้เท่านั้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มสักนิดหนึ่ง  ใครที่เป็นทาสอยู่ตั้งแต่สมัยโน้น ปี 2448  ในราชอาณาจักรไทย ได้ยินข่าวดีนี้  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลยสักนิด เขาสามารถเดินออกจากบ้านหลังนั้น ก็ได้ ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้วทันที  เพราะว่ากฎหมายได้ออกมาแล้ว และรัชกาลที่ 5 ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ประกาศใช้แล้ว ในทางวิญญาณก็เหมือนกัน พระเยซูประกาศใช้มา 2,000 ปีแล้ว มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด จากการเป็นทาส ในวิญญาณ เขาจะได้รับสิ่งนี้แหละ ตามหัวข้อเรื่องนี้ทันที เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  เขาจะได้รับที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา แปลว่าเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย

            บัพติศมา แปลว่าใส่ลงไป เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

            ใครดื่มกาแฟตอนเช้าบ้าง? ใครดื่มกาแฟ 3 อิน 1 บ้าง? 3 ใน 1 มีกาแฟ ครีม น้ำตาล  เสร็จแล้วมีใครดื่มกาแฟ แล้วใส่น้ำมันมะพร้าวบ้าง? ที่เขากำลังฮิต อันนั้นแหละ ทุกเช้า บัพติศมาทุกวัน บัพติศมาน้ำมันมะพร้าว กาแฟ 3 อิน 1 แล้วลงไปเห็นน้ำมันมะพร้าวที่ใส่ลงไปไหม? คนๆ มันก็หายไปแล้ว เหมือนกัน วิญญาณเรา เป็นทาส แต่เราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงบัพติศมาเอาเราใส่ลงไปใน 3 อิน 1 เหมือนกัน  เป็นตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าได้นำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในนี้ กลืนกันเป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ขอบคุณพระเจ้า  พยายามยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

            ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตอนที่แล้ว แล้วนะ  เราก็จะเข้าไปอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ และตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค ก็ได้เข้ามาอยู่ในเรา ผสมกัน รวมกัน บัพติศมากัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            วันนี้ จะขยายให้นิดหนึ่งว่าแล้วลักษณะมันเป็นเช่นไร? ในร่างกายของเรา ในขณะนี้ ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเรานี้ เรียบร้อยแล้ว ขณะที่เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะชีวิตของเรา ร่างกายของเรานี้เป็นอย่างไร? อยากรู้ไหมครับ? เราก็ต้องอยากรู้ เพราะว่า มันมองไม่เห็นในโลกวิญญาณ  แต่ถ้อยคำพระเจ้าได้ระบุเอาไว้ ซึ่งผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจและชัดที่สุด เท่าที่ทำได้  หนังสือโรม 8:10 …

        โรม 8:10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

            ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณ สำหรับคนที่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้บัพติศมาในวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะเป็นเช่นไร?

            “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน” ก็คือถ้าท่านเปิดใจต้อนรับ และท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กายภายนอก ก็คือกายที่เรามองเห็นนี้ กายที่ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่ากายที่มาจากเรือนดิน … เรือนดิน ก็คือถูกสร้างมาจากดิน เนื้อดินของโลกใบนี้  วัตถุ ธาตุที่เป็นของโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างมา ซึ่งโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว ต้องสูญสิ้น เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน ตามกฎ เขาเรียกว่ากฎของความบาปและความตาย กฎนี้ยังอยู่ เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ อย่างไรก็ต้องตาย แม้ว่าเราจะได้เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทางฝ่ายวิญญาณแล้วก็ตาม ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ กำลังเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน แก่ลงไปทุกวัน เจ็บป่วยไปเรื่อยๆ วิ่งไปสู่ความตายกันทุกคน ตามที่กฎของคำสาปแช่ง กฎของความตายได้ระบุเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น

            แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ที่เราเห็นในร่างกายนี้ มันต้องตาย  แต่วิญญาณของเรา ที่เราไม่เห็น แต่เรารู้ระแคะระคายมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตของเราแล้ว  เราแสวงหาสวรรค์ เราแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรากระทำหลายอย่าง พิธีกรรมเยอะแยะมากมาย ที่จะแสวงหาอะไรบางอย่าง ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระเจ้า (S) ต้องใส่ S เข้าไป คือเรื่องของพระเจ้าเยอะแยะไปหมด อ้างว่าเป็นพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เราก็ทำพิธี มีมนุษย์เท่านั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่กระทำสิ่งเหล่านี้ ก็คือกระทำพิธีทางศาสนา พิธีกรรมทางวิญญาณ หาไปเรื่อยๆ หาอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือพิสูจน์ว่าเรามีวิญญาณ

            และในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณภายในของเรา เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะเราได้บัพติศมา เราได้ตายพร้อมพระเยซู แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซูเลย ก็คือทางฝ่ายวิญญาณ ตรงนี้แหละ เหมือนพระเยซูเลย ข้อ 11 ต่อไป

        โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            “เพราะถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย” พูดง่ายๆ ว่าถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือ 1 ในตรีเอกานุภาพ  ถูกไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ตอนที่พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระเจ้าเป็นผู้ประทานการเป็นขึ้นจากความตายให้พระเยซู โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการงาน

            ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ อยู่ในท่านทั้งหลาย สถิตอยู่ภายในท่าน ก็คือหนึ่งในตรีเอกานุภาพ ที่สถิตอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู วิญญาณเราเหมือนพระเยซูไปหรือยัง? เหมือนแล้ว ตะกี้นี้ ข้อ 10 บอก

            ในข้อ 11 บอกว่าพระวิญญาณเดียวกันนี้ ที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะให้ชีวิตนิรันดร์กับเรา ที่เหมือนพระเยซู ให้กับเราตรงไหน? วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูไปแล้ว ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

            อ้าว! ตะกี้ข้อ 10 บอกว่าร่างกายของเราที่เห็นอยู่นี้  เป็นเรือนดิน แล้วมันต้องถูกสาปแช่ง มันต้องตายไปตามกฎของความบาปและคำสาปแช่ง แต่ในนี้บอกว่านั่นแหละ ร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังแก่นั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้ด้วย

            ชีวิตนิรันดร์ ก็คือสง่าราศี  พระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา  พูดง่ายๆ ก็คือพระสิริของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเรา ที่ต้องตายนี้  ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา  พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเกิดพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในใครแล้วก็ตาม ทุกอณู ทุกเซลในร่างกายของเรา  ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ไส้ พุง  ที่มองไม่เห็น หรือที่มองเห็นข้างนอก ดวงตา เซลทุกเซล จะถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา เห็นความสำคัญในร่างกายของเราไหม?

            พระคัมภีร์ถึงบอกว่าเมื่อท่านใช้สิทธิ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับที่สกปรก  สำหรับพระเจ้าแล้ว ชำระจนสะอาดหมดจด  แม้ว่าร่างกายนี้ต้องตาย เพราะคำสาปแช่ง แต่ได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว โดยพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว ตอนที่บัพติศมาท่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์

            เพราะฉะนั้น ท่านที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ตามพระคัมภีร์ต้องบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น แต่ท่านจงมองให้เห็นตามถ้อยคำพระเจ้านี่เถิดว่าท่านก็จะเป็นเหมือนดวงสว่างที่เปล่งประกาย รัศมี เจิดจ้า ด้วยพระสิริ และสง่าราศีของพระเจ้า บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ซึ่งแต่ก่อนท่านอยู่นั่นเอง เห็นภาพหรือยังว่าท่านมีค่าอย่างไร?  และท่านเป็นอะไรอยู่ตอนนี้

            กาลาเทีย 3:26-27 เสริมให้เห็นชัดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ ชีวิตของเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บัพติศมาในตรีเอกานุภาพแล้ว มันเป็นลักษณะใด ที่เราเดินอยู่ทุกวันนี้  ที่บางครั้งเราบอกเราเบื่อ ดูหน้าตัวเองเบื่อ กำลังแก่ กำลังไม่สบาย กำลังอันโน้นอันนี้ หลายสิ่งหลายอย่าง ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ประพฤติก็ไม่พร้อมแต่สำหรับพระเจ้า ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ทำอะไรให้กับท่านไปเรียบร้อยแล้ว  เสร็จแล้ว ที่พูดทั้งหมดนี้ เสร็จแล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            “ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว” เป็นบุตรพระเจ้าหรือยัง?  รอให้ตายก่อน  แล้วค่อยเป็นหรือเปล่า? ขณะที่มีลมหายใจอยู่ตอนนี้ นั่งฟังอยู่ตอนนี้ ที่บ้านหรือที่นี่ก็ตาม ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วหรือยัง? ทุกคนก็รู้ว่าเป็นแล้ว  เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ได้รับการบัพติศมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น

            “เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์” กายตัวนี้ ก็คือกายภายนอก ที่ต้องตาย เมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดถึงในโรม 8:11 กายภายนอกที่ต้องตาย ถูกปกคลุมด้วยพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  พูดง่ายๆ ว่าเดินไปไหนก็ตาม ท่านกำลังใส่เสื้อคลุมกายของท่านด้วยพระสิริ สง่าราศีของพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปที่ไหนก็ตาม ตรีเอกานุภาพนี้ ปกคลุมเป็นเหมือนเสื้อคลุม ที่คลุมกายของท่าน หมดเลย ทุกเซลหมดเลย แม้ว่าเซลนั้น กำลังเสื่อมไป กำลังแก่ก็ตาม แต่มีพระสิริ สง่าราศี ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา พระสิริและสง่าราศีของพระเจ้า ปกคลุมท่าน ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 30 หรือเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 80 ก็ตาม พระสิริปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของท่านตลอดเวลา

            เห็นไหมครับชัดเจนแล้วว่าท่านสง่าและสมฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างไร? พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว พระเยซูได้ทำให้แล้ว  สำเร็จแล้ว และพระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรกโน้น 2,000 ปีที่แล้ว แค่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกเลยจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะมันเสร็จแล้ว ท่านไม่จำเป็นจะต้อทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะให้มีสง่าราศีมากขึ้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะมีพระวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นในชีวิตของท่าน ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อจะสนิทกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อให้พระเจ้าอยู่กับท่านมากขึ้น พระเจ้าอยู่กับท่าน ทั้ง 3 พระภาค เต็มเปี่ยม บริบูรณ์แล้ว เอเมน

            ก่อนหน้านี้ มนุษย์อยู่ในความตาย ก่อนหน้าที่พระเยซูจะกระทำให้สำเร็จ คือก่อนหน้า เมื่อ 2,000 ปี มนุษย์อยู่ในความตาย วิญญาณและร่างกายได้รับผลกระทบ จากการขาดชีวิตินิรันดร์ของพระเจ้านั่นเอง ไม่มีสิ่งที่ตะกี้เราพูดเลย ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ภายใน  พระวิญญาณนี้ ก็คือพระวิญญาณผู้ทรงประทานชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะกระทำให้สำเร็จ มนุษย์อยู่ในความตาย ไม่มีตรงนี้อยู่ ไม่มีพระคริสต์คลุมกายอยู่ ก็คือพระสิริของพระเจ้า  ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ตั้งแต่แรกๆ นั้นหลุดหายไปจากมนุษย์  หลุดหายไปจากชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ วิญญาณของมนุษย์เปลือยกายอยู่  พระคัมภีร์ใช้คำนี้จริงๆ  ก็คือไม่มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเขา ชีวิตของเขา ทั้งภายในและภายนอก เรียกว่าเปลือยกายอยู่ เสื้อผ้าที่มองไม่เห็นเรียกว่าพระสิริ สง่าราศี การทรงสถิตของพระเจ้า หลุดออกไปจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แล้วพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากสภาวะนี้แหละ ซึ่งเรียกกันว่าสภาวะทาส กลับคืนสู่พระสิริอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คือมนุษย์ได้กลับคืนสู่สภาพเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้กลับมาสวมพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และประกาศใช้กฎหมาย ทางวิญญาณนี้ ประกาศไปแล้ว 2,000 ปี

            เหมือนอย่างที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว รัชกาลที่ 5ได้ประกาศสิทธิอำนาจนี้ 118 ปีมาแล้ว ได้ประกาศไว้ด้วยสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย มันต้องเป็นไปตามนั้นทุกประการ ไม่มีคำว่าแต่ ถูกไหม? เพราะว่าในหลวง รัชกาลที่ 5 มีสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย  ไม่มีคำว่าแต่ ต้องเป็นไปตามนี้ สมมติเช่น มีคนอ้าง …

            “อ้าว! ถ้าคนนี้มีความประพฤติไม่สมควรที่จะได้รับอิสรภาพ จากการเป็นทาส”

            อ้างอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเขาเลย มันเกี่ยวกับกฎหมายที่ออกมา บอกว่าเขาเป็นทาสในเรือนเบี้ย ต่อไปนี้ เขาเป็นอิสระแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี  เขาก็เป็นอิสระจากกฎหมายที่ได้ถูกประกาศออกมา ไม่มีคำว่าแต่ ทุกคนเป็นทาส ก็ได้รับสิทธินี้ทางกฎหมายทันที เท่าเทียมกัน ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของคนไหนหรือคนนั้นเลย แม้แต่นิดเดียวใช่หรือไม่? ถูกไหม? ทาสคนนี้จะเป็นคนดื้อ ขี้เกียจ ทาสคนนี้เป็นหัวขโมย  ขี้ขโมย กฎหมายนี้ไม่ได้สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าถ้าเขาเป็นทาส เขามีสิทธิ ใช้สิทธิ์นี้

            เช่นเดียวกัน การประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ก็เหมือนกัน แต่ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว  และมองไม่เห็นเท่านั้นเอง ทางโลกวิญญาณ ก็มีกฎทางโลกวิญญาณที่พระเจ้าประกาศออกมาว่าทาสทางฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นอิสระเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าการจะได้รับความรอด จากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับโทษ คือความพินาศในฝ่ายวิญญาณ จนถึงนิรันดร์หลังความตายนั้น จะได้ความรอดนี้  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติเลย กฎหมายทางฝ่ายวิญญาณนี้ ถูกประกาศใช้มาแล้ว ถ้ารู้แล้ว เชื่อไหม? แม้ว่าดูแล้วคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ประพฤติเลวหรืออย่างไร? ชั่วช้าขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย เกี่ยวแค่ว่าเขารู้ความจริงไหม? แล้วเขาใช้สิทธิของเขาหรือไม่?  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการประกาศกฎหมายใหม่นี่ต่างหาก ถูกไหม? ทั้ง 2 สมัยเลย ทั้งสมัยพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศข่าวดี ก็คือประกาศกฎหมายใหม่ทางวิญญาณ ทั้งรัชกาลที่ 5 ก็เหมือนกัน ประกาศกฎหมายเลิกทาสทางฝ่ายโลกนี้ ที่ประเทศไทย มันสำคัญตรงที่ กฎหมายใหม่ ต้องถูกประกาศให้ไปถึงหูของคนที่เป็นทาส เขาจะได้ใช้สิทธิของเขา ใช่หรือไม่? ไม่ใช่มาสอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ความประพฤติ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาจะมาใช้ชีวิตใหม่ อะไรต่างๆ เลย แต่เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องกฎหมายใหม่ว่ามันออกมาแล้วอย่างไร? แล้วเขาต้องใช้สิทธิของเขา ต้องเชื่อในข่าวดีนี้

            สอนเรื่องกฎหมายใหม่ว่ากฎหมายใหม่ระบุไว้เช่นไร? มีฤทธิ์อำนาจบังคับให้เป็นไปตามนั้นได้อย่างไร? และประกาศเชื้อเชิญให้ทุกคนมาใช้สิทธิของเขา ถูกไหม? เลิกทาส สมัย ร.5 พยายามประกาศให้ทั่วราชอาณาจักรไทย  ไปถึงสุดราชอาณาจักรไทยเลย ประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เขาบอกให้ประกาศไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นไท โดยพระคุณพระเจ้าประทานให้  เป็นอิสระใช้สิทธิเท่านั้น

            คราวนี้ส่วนการกระทำของมนุษย์ ทั้งก่อนหรือหลังการใช้สิทธิ์นี้ เมื่อใช้สิทธิของเขาแล้ว การกระทำก่อนหน้า หรือหลังการใช้สิทธินี้  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิทธิที่เขาได้ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ แม้แต่นิดเดียว ถูกหรือไม่ถูก? คนเป็นทาส ใช้สิทธิของเขา เป็นอิสระออกจากการเป็นทาสมา แล้วเขาขี้เกียจ ไปเป็นหัวขโมย  ไปปล้นเขา ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาเป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว ถูกหรือไม่? ไม่สามารถทำให้เขากลับไปเป็นทาสอีกได้ แต่เขาต้องได้รับผลของการกระทำของเขา ที่เขาไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา

            ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศอิสรภาพในการเป็นทาส ใครก็ตามที่ใช้สิทธิของเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว การกระทำก่อนหน้านั้นไม่ได้มีผลกระทบกับเขาเลย การกระทำภายหลังนั้น ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาที่บังเกิดใหม่เลย ใช่หรือไม่? ชัดไหม? เพราะอะไร? เราเห็นเหตุผลง่ายๆ เลย เพราะตอนที่เขาเป็นทาส  ภาษาไทยเขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย คือเขาเกิดมา เขาก็เป็นทาส ก็คือพ่อแม่เป็นทาสอยู่ แล้วก็มีลูก ลูกออกมาตกเป็นทาส คือเป็นสมบัติของเจ้านายของพ่อและแม่เขา เขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย  เด็กคนนั้นเกิดมาเป็นทาสเลย ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำผิดหรือเปล่า? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นทาส เพราะบรรพบุรุษทำหนี้ทำสินเอาไว้  ติดหนี้ติดสิน เราเลยเป็นทาสไปด้วย  เพราะฉะนั้น ตอนเป็นอิสระ เขาก็ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน บรรพบุรุษทำให้เช่นเดียวกัน

            มนุษย์ตกเป็นทาสของความบาปและความตาย  พินาศทางวิญญาณ ตามที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสักครูนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระคัมภีร์บอกว่าตกทอดมาจากบรรพบุรุษ อาดัมและเอวานำความบาปมาสู่มวลมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของตนเอง สู่ความตาย มนุษย์เกิดมาบาป  เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นบรรพบุรุษอีกสายพันธุ์หนึ่ง  ที่มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ทั้งปวง ให้กลับคืนสู่สภาพดีไม่ได้เป็นทาส กลับมาเป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เอเมนไหม? ทีอย่างนี้เราไม่ค่อยจะเอเมนเท่าไร? พอบอกมนุษย์เกิดมาต้องใช้เวร ใช้กรรม อยู่ในความบาป

            “ใช่ ฉันเกิดมา ก็ใช้เวร ใช้กรรม เมื่อไรจะหมดสักที”

            แต่พอไปประกาศใหม่ บอกว่า … “พระเยซูคริสต์มาปลอดปล่อยให้เธอเป็นอิสรภาพแล้ว เธอไม่ต้องเป็นทาสแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน”

            “มันเป็นไปได้อย่างไร?  คนเราจะต้องทำดี เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดี  คนเราจะต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์สิ ไม่ทำดี แล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ใช่ไหม? นี่คือโลกนี้หลอกเราใช่ไหม? แต่พอเรามาวิเคราะห์ตามถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่เป็นความจริงนี้ เราเห็นชัดเลย ตอนที่เราตกลงไปในความบาป เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เรายังยอมรับเลยว่าใช่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องทำอะไร เราก็ต้อง เอเมนสิ

            ผู้ที่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอดแล้ว ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอด  รอดโดยไม่ใช่ความประพฤติ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า  ตามกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่เคร่งครัด ชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่สุดเลย เหมือนกับตอนที่ลงโทษมนุษย์ตกลงไปสู่การเป็นทาส ก็เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ อันเดียวกันนั่นแหละ ซึ่งเราก็ยอมรับกัน ทั่วมหาจักรวาลแล้ว  เพราะฉะนั้น ในทางของพระเยซู มันก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนการกระทำของมนุษย์นั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ใช้สิทธิ์ เชื่อในข่าวดีนี้  ก็ได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำสิ่งใดๆ หรือพิธีกรรมใดๆ ของโลกนี้ก็ตาม เอเมน

            และการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทำอย่างไร? เมื่อเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าตรีเอกานุภาพที่สถิตอยู่กับเรา  ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา ที่พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเจ้ากับร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังเสื่อมนี้กับเรา จะเป็นผู้นำเรา เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เดินไปกับเรา จูงมือเรา ค่อยๆ มีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ แบบใหม่  แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเราทั้งสิ้น แม้ว่าหลายครั้ง  เราอาจจะไม่เชื่อพระวิญญาณ  แต่ขณะที่เราไม่เชื่อฟังนั้น  พระวิญญาณนำเราอยู่ไหม? ตัวนี้สำคัญ  บางคนบอกว่าพอเราดื้อ พระวิญญาณไม่นำ  พระวิญญาณไม่นำได้อย่างไร? พระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว น้ำมันมะพร้าวลงไปในกาแฟ 3 อิน 1 แล้ว เอาไม่ออกแล้ว  อย่างไรก็ไม่ออก มันก็อยู่ในนั้นแล้ว  ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณก็นำท่านอยู่ แต่ท่านไม่เชื่อเอง แต่นำอยู่ไหม? นำอยู่

            เพราะฉะนั้น ก็ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณ  และพระวิญญาณก็จะให้สติปัญญา  อะไรที่เราคิดเองได้ อย่างเช่น อะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ทำ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็อย่าทำ  เป้าหมายมีอยู่แค่นี้เอง คิดเอาเอง แต่ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ? ก็ไม่มีผลอันใดเลย เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่นิดเดียว  และไม่เกี่ยวกับความรอดนิรันดร์หลังความตายด้วย  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกแล้ว

            บางคนกลัวว่าตายไปแล้ว เข้าสู่พิพากษาแล้วจะไม่รอด ถ้าท่านรอดตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หลังความตาย ท่านก็รอดเหมือนเดิม  ถ้าท่านไม่ได้รับความรอดวันนี้ ไม่ได้เชื่อพระเจ้าในวันนี้ ตายไป ท่านก็ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดเช่นเดียวกัน  เพราะว่าความรอดนิรันดร์นี้ ที่พระเจ้าประทานให้แล้ว ให้ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนั้น ข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ สรุปแค่นี้  เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับทันที

            ดังนั้น พิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่างๆ ที่เราได้พูดกันไปเมื่อตอนที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำมหาสนิท การบัพติศมาในน้ำ ที่เรากำลังจะทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ล้วนเป็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับความรอดในพระคริสต์เท่านั้น เป็นภาพเฉยๆ ก็คือเป็นภาพของการตาย ร่วมกับพระคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอภานุภาพ ในวิญญาณของเรา ที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้เมื่อสักครู่นี้  เกี่ยวกับการบัพติศมาในวิญญาณ  การได้ถูกใส่เข้าไปในตรีเอกานุภาพ  เป็นหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ซึ่งเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า

            การกระทำทั้งหมด พิธีกรรมอะไรต่างๆ ทั้งหมด ถ้าทำแล้วเป็นประโยชน์ก็ทำ ไม่ทำได้ไหม? ได้ ไม่ทำ เราก็รอดเหมือนเดิม แต่ทำได้ไหม? ท่านคิดดู มันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ทำ จะทำหรือไม่ทำ ในโลกวิญญาณ ท่านก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้วทั้งสิ้น คือความจริงในโลกวิญญาณ ก็คือมนุษย์ได้รับการชำระบาปทั้งสิ้น เรียบร้อยแล้ว โดยพระวิญญาณพระเจ้าได้กระทำการขจัดวิญญาณเก่าของเราให้ตายไป วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปนั้น ให้มันตายไป และบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเยซูเลยทันที  เมื่อเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เพื่อจะได้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมดีพร้อมแล้ว จึงสามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้ ซึ่งจะได้รับผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  และเชื่อแล้ว ก็ใช้สิทธิของตน ทันทีที่ใช้สิทธิของตนนั้น  ก็จะได้สวมใส่พระสิริ สง่าราศีของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทันที ตั้งแต่ขณะนี้ บนโลกใบนี้เลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ปกคลุมไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระคริสต์ คือตรีเอกานุภาพทันที โรม 1:15-16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ความสำคัญของข่าวประเสริฐนี้ …

        โรม 1:15-16 “15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            พูดง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง  ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย พระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ผู้เชื่อแล้ว ข้าพเจ้า หมายถึงเปาโล ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระองค์กระตือรือร้นอย่างยิ่งเลย ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรม ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ พระเยซูไม่ละอายในข่าวประเสริฐเลย เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ไม่ใช่ให้ทุกคนที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ เอาใจพระเจ้า ทำพิธีกรรมต่างๆ ดี ไม่ใช่  เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ในข่าวดีนี้

            ข่าวดีนี้ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ได้รับความรอด คนยิวก่อน และคนต่างชาติด้วย พูดง่ายๆ ว่าทั้งโลกเลย คนยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือคนทั้งโลกนี้ ได้รับความรอด ด้วยความเชื่อ เชื่อในข่าวประเสริฐ  … ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ ที่จะทำให้เขาได้บัพติศมาลงไปในพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ  ให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอด โดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ในการประกาศข่าวดี  และทุกคนที่พระองค์ทรงใช้ มาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว นอกจากเปาโลแล้ว มาถึงพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็อยากที่จะประกาศข่าวดีนี้ กระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวดีนี้ คือมนุษย์สามารถที่จะรับฤทธิ์เดชอำนาจนี้  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า รอดพ้นจากการพิพากษาให้พินาศ นิรันดร์ได้  โดยความเชื่อในข่าวดีนี้เท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำใดๆ ของตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม  หรือกระทำสิ่งใดๆ ก็ตามเพิ่มเติมอีกเลย ไม่มีเกี่ยวข้องเลย ต่อให้ท่านไม่ทำมหาสนิท ท่านก็ได้รับความรอดนี้ไปแล้ว ด้วยการเชื่อในข่าวดี ความรอด คือการเชื่อในข่าวดี จะลงน้ำบัพติศมาหรือไม่ลงน้ำบัพติศมาก็ไม่เกี่ยว จะถวายทรัพย์หรือไม่ถวายทรัพย์ก็ไม่เกี่ยว  จะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ก็ไม่เกี่ยว จะอะไรก็แล้วแต่ ทำทุกอย่างไม่เกี่ยวเลย

            แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วอีกไม่กี่วันเราจะลงน้ำบัพติศมา เราจะลงไปทำไม?” ถามในใจใช่ไหม? รู้

            นี่พูดให้เห็นความจริงเสียก่อน แล้วจะมาบอกถึงประโยชน์ จำได้ไหมที่ตะกี้บอกว่าพระวิญญาณก็จะนำเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้ความคิดใหม่กับเราว่าอะไรที่มันเป็นประโยชน์  แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวกับความรอดในทางวิญญาณ  ก็ตาม แต่ถ้ามันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องไปทำ เสียเวลาเปล่าๆ แล้วเป็นประโยชน์ไหมล่ะ? ผมก็พยายามที่จะคิดว่ามันมีประโยชน์อย่างไร? เรามาปรึกษากันดูสิ มีอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ไหม?

            ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น จากการบัพติศมาในน้ำ  ที่เราจะกระทำกันในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  เท่าที่คิดออกนะ คือ …

            –  เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว”

            –  ทำให้เกิดความมั่นใจ ในการจะติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่หมายถึงเราติดตาม อย่างที่หลายคนเข้าใจว่าต้องมาโบสถ์ ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่ติดตามอย่างนั้น ติดตาม หมายถึง “ฉันไปไหน? พระคริสต์ไปด้วย  ต่อให้ฉันบอกว่าพระองค์ไม่ต้องไป?” พระองค์อยู่ไหม? อยู่ คำว่า “ติดตาม” หมายถึงอย่างนี้ คือเมื่อรู้ความจริงแล้ว บัพติศมาในน้ำ จะเห็นชัดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” คือคำว่าตามพระเยซู หมายถึงว่าในวิญญาณติดกับพระเยซูไปแล้ว ฉันตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจครั้งเดียวเลย ตัดสินใจ ก่อนลงน้ำบัพติศมาอีก พระเยซูอยู่กับฉันแล้ว นี่ทำให้เกิดความมั่นใจ

            –  เป็นการหนุนใจพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ได้หนุนใจตัวเองด้วย  คือพี่น้องคนอื่นๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย เขาจะชื่นใจ ชื่นชมยินดีด้วย เพราะว่าในวิญญาณข้างในเกิดความปิติยินดี ที่มีคนๆ หนึ่งได้เกิดใหม่แล้ว  ไม่ใช่เกิดใหม่ ตอนพิธีลงน้ำบัพติศมานะ ได้เกิดใหม่แล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิติยินดี  พระบิดาปิติยินดี  พระเยซูปิติยินดี  ทั้ง 3 พระภาคนี้สถิตอยู่กับคริสเตียนทุกคน คริสเตียนทุกคนก็เลยปิติยินดีไปด้วย ดีใจจังข่าวประเสริฐไปถึงคนๆ นี้แล้ว มันหนุนใจเขา  และหนุนใจตัวเอง ทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าเราได้เป็นหนึ่งในครอบครัวนี้

            –  ร่วมฉลองยินดีในวิญญาณ ฉลองร่วมกันในครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพเหมือนกัน เหมือนกับสังสรรค์กันในครอบครัว คนนี้ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวแล้ว จริงๆ เขาอยู่ในครอบครัวอยู่แล้ว เขาหลงหายไปเท่านั้นเอง ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าดีใจมากเลย  โอบกอดเขาเลย ไม่ฟังว่าเขาจะสารภาพบาป  จะขออภัยอย่างไร? ไม่ฟังแล้ว รักเต็มที่ ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่บ้านเต็มที่ พี่ๆ หลายๆ คน ก็แสดงความยินดี มันก็เกิดอะไรขึ้นบางอย่างในจิตวิญญาณ เกิดความชื่นชมยินดี ฉลองร่วมกัน

            –  และเป็นการสำแดง   การบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ที่เป็นความรัก  แบบพระเจ้า ที่ปราศจากความกลัว ความรักนี้ ปราศจากความกลัว  คือตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ยังไม่ทันลงน้ำบัพติศมาเลย เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น ทั้งวิญญาณและจิตใจ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรัก

            ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นความรักแล้ว ข้างในวิญญาณของเรามันขจัดความกลัวออกไปหมดสิ้นเลย ไม่มีความกลัวอยู่ข้างใน แต่เนื่องจากเราเคยชินอยู่กับการดำเนินชีวิต แบบโปรแกรมความคิดเดิมยังอยู่ มันก็อาจจะเกิดความกลัว กลัวในโลกนี้  เพราะโลกเป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้า กลัวเขาจะรู้ กลัวเขาจะข่มเหง กลัวเขาจะหัวเราะเยาะ กลัวเขาหาว่าบ้า กลัวเขาหาว่าคนนี้งมงาย

            เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมาที่เห็นๆ ชัดๆ คือทำให้เราตัดสินใจชัดเจน ทะลุวิญญาณข้างในออกมา ก็คือความรัก  เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ธรรมชาติของความรักที่อยู่ภายใน ก็ออกมา ชนะ ทำลายความกลัวที่อยู่ในความคิดออกไป มันก็เป็นการสำแดงความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เป็นความรักนั้น ออกมา เป็นการเบรกทรู คือการหักแอกของความกลัว เดินหน้าทันที จากนี้ต่อไป ก็เป็นอิสระในความคิด ไม่อายใคร? กล้าที่จะอธิษฐาน กล้าที่จะเริ่ม กล้าที่จะมีคนถามบอกว่า …

            “เธอเป็นคริสเตียนเหรอ”

            “ใช่ครับ”

            ใหม่ๆ ก็บอกแบบเบาๆ แต่พอรับบัพติศมาในน้ำปุ๊บ กล้าพูดเสียงดังฟังชัดเลย  มันเป็นอย่างนี้ คือหักแอก แห่งความกลัว  เพราะโลกนี้พยายามต่อต้านเรา

            –  เป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ น้อยคนนะ ที่จะมีคนจัด Happy birthday ให้ “ไม่ต้องจัดหรอกๆ” น้อยคนที่จะพูดอย่างนี้ คนส่วนใหญ่จะบอกว่า “ไม่เห็นจัดให้ฉันบ้างเลย เมื่อไรจะถึงวันเกิดฉันสักที” ตั้งแต่เด็กๆ … เด็กๆ ทุกคนก็บอก รู้จักวันนี้ไหม? วันอะไร? เราก็ลืม  ก็วันเกิดหนูไง?  ให้ฉลอง

            มันเป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ประกาศว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน กับครอบครัวของพระเจ้า เรียกว่าพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว ทุกคนชื่นชมยินดี Happy Birthday มีความสุข กินข้าวกัน กินอาหารกัน นี่มันเป็นอย่างนั้น

            –  เป็นการประกาศว่าเราเป็นพี่น้องกันในทางวิญญาณ     อาศัยอยู่ในพระคริสต์เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา  และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง คือเราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            คิดอย่างนี้ให้เห็นชัดเจนว่าเราจะมาฉลองอย่างนี้ ก่อนจะลงให้คิดอย่างนี้เลยว่า เราได้เป็นอย่างนี้แล้ว ที่เรากำลังจะลงน้ำบัพติศมา เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเฉยๆ ว่าขณะที่เราเตรียมตัว เราคิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ตามที่เรียนมาทั้งหมด  เสร็จแล้ว พอลงน้ำ เราเห็นภาพ เราเองว่าเราได้ตายกับพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในวิญญาณของพระคริสต์ นึกภาพ พอเราจุ่มลงไปปุ๊บ  เราได้ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์ตาย สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ตายด้วย เพราะฉะนั้น เราลงไปในน้ำ เราก็ตายด้วย  และเราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ขณะที่อยู่ในน้ำสักครู่หนึ่งนั้น ไม่ต้องนาน หายใจไม่ออก ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และอยู่ใต้น้ำ ก็คือเราอยู่ในอุโมงค์ ถูกฝังไว้ด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว หายใจไม่ออกแล้ว  เราก็ขึ้นจากน้ำ คือการเป็นขึ้น จากความตายของพระเยซูคริสต์ แล้วไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  เราก็อยู่ในพระคริสต์  ก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เอเมน แค่นี้เอง

            คิดแค่นี้ ถ้าเรียนรู้เรื่องนี้ไป ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่านี่คือสัญลักษณ์ ขอบคุณพระเจ้า และผลดีอีกหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้นมากมาย จากการทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้  เราคิดให้มันถูกต้อง  จะเกิดประโยชน์มากมาย เกิดกำลังใจ  และหลายๆ คนก็เกิดความรู้สึกดีๆ กับการกระทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้ ทำให้เกิดพี่น้องคนอื่นๆ ต่อๆ ไป เขาจะมาลงน้ำบัพติศมา คริสเตียนคนต่อไป  เราก็จะมาร่วมยินดี แสดงความยินดีกับเขาด้วย

            เพราะฉะนั้น ก็แสดงความยินดีกับพี่น้องที่จะบัพติศมาในน้ำ ในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  และใครที่ยังไม่ตัดสินใจ ก็ตัดสินใจซะ หรือใครที่เพิ่งมารู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างนี้เอง จะลงใหม่ ก็ได้  หรือใครที่เพิ่งรู้ความจริงว่าลงน้ำบัพติศมา เพื่ออะไร?  สัญลักษณ์เท่านั้น  มีประโยชน์อย่างไร?  ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน  และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ลงน้ำบัพติศมาได้ทุกคน  มีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิของเขาในการเกิดใหม่ทางวิญญาณ  มาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เพียงแค่ใช้ความเชื่อ ใช้สิทธิของท่านที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วมา 2,000 ปี บนไม้กางเขนทางฝ่ายวิญญาณ  ใช้สิทธิของท่านเท่านั้น  ทุกสิ่งก็เป็นของท่านอยู่แล้ว พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซู … “ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าถึงจะเข้าสวรรค์ได้”

            สาวก … “ใครจะไปทำได้ล่ะ?”

            พระเยซู … “ต้องตายแล้วเกิดใหม่งัย!”

            สาวก … “งงงงงงงง……..”

            มัทธิว 7:28-29 … “28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ (งง) ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ (ในโลกวิญญาณ) ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”

            พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องเกี่ยวกับการกินการอยู่ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ทำดี ละชั่ว  เพราะพระองค์ มองดูในใจมนุษย์ที่ฟังอยู่นั้น พระเยซูกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณให้เขารู้ว่าวิญญาณข้างในของเขา ยังตายอยู่ในบาปชั่ว เขาไม่สามารถรับรู้เรื่องของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ได้เลย  แม้แต่นิดเดียว เขาต้องการฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์ ทำให้เขาบังเกิดใหม่

            เหมือนคนกำลังตายอยู่  เพราะหัวใจวายแล้ว  เราเอาหนังสือเกี่ยวกับการกินอาหาร   ที่ทำให้มีสุขภาพดี สำหรับหัวใจ เอาไปอ่านให้เขาฟัง แทนที่จะเอาเครื่องปั๊มหัวใจ ไปปั๊มให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน

            ไม่เหมือนพวกฟาริสี ที่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติตามตามองเห็น ตามกฎบัญญัติ  แต่พระเยซูกำลังบอกความจริงนิรันดร์ในโลกวิญญาณ   ให้พวกเขาได้รู้ ได้เห็น  แล้วพระวิญญาณจะเสด็จเข้ามา  ยืนยันให้กับพวกเขาในภายหลัง

            พระเยซูตรัสว่า … “จงวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศหลังความตาย”

            ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย จนกว่าท่านจะวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์  แล้วท่านก็จะตาย   แล้วได้บังเกิดใหม่เท่านั้น

            พระเจ้าอวยพรครับ