คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2018 เรื่อง “การกิน การอยู่ก็สำคัญ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2018

เรื่อง “การกิน การอยู่ก็สำคัญ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง จะมาฝากข้อเตือนใจ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหมด มันเหลือล้นมาก อันนี้ไม่ต้องพิสูจน์นะ เป็นความเชื่อที่เห็นชัดเจน ที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตายเพื่อมนุษย์ทั้งหลาย  เพื่อเราทั้งหลาย มันพิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทรงรัก เมตตา หวังดีต่อเราจริงๆ จริงใจ

คราวนี้ ความหวังดี พระองค์ก็ทรงกระทำตามที่แผนการของพระองค์ทรงวางไว้ ซึ่งเป็นกฎ เป็นระเบียบหมดเลยนะ พระองค์ฝืนกฎระเบียบของพระองค์เองก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นพระเยซูถูกส่งมาบนโลกใบนี้ เพื่อมนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ถูกไหม? รอดจากนรกใช่ไหม? แล้วถามว่าทุกคนต้องทำอย่างไร? ทุกคนก็ต้องทำตามกฎระเบียบ คือต้องไปใช้สิทธิของเขา พระเจ้าไม่มาบังคับ บีบคอเขาให้เขาเชื่อ อย่างนี้ ยกตัวอย่าง มันเป็นกฎระเบียบ

พระเจ้าคงน้ำตาไหลมากเลย ถ้าคนไม่ใช้สิทธิของเขา ไม่เชื่อในพระเยซู ไม่รู้ทำอย่างไร? นี่เราก็รู้ๆ กันอยู่ แล้วเรื่องอื่นล่ะ เหมือนกันแหละ เรื่องพรก็เหมือนกัน  พรหลายๆ อย่างที่เราขอ  พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ามันมีกฎ มีระเบียบของมัน พระเจ้าอยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด ก็เลยประทานถ้อยคำของพระองค์ สอนเราในพระคัมภีร์ ทั้งเรื่องโลกวิญญาณ เรื่องโลกวัตถุ

โลกวิญญาณก็จะมีกฎของโลกวิญญาณเอง  ยกตัวอย่างโลกวิญญาณ เชื่อพระเยซู แล้วได้รับความรอดแล้ว ได้รับการอภัยจากบาป  100%  ได้รับแน่นอน  อภัยให้แน่นอน ได้รับความรอดแน่นอน ได้บังเกิดใหม่แน่นอน นี่คือกฎของโลกวิญญาณ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามใบโลกใบนี้ ถ้ากฎของโลกวิญญาณ คือคุณเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน เพื่อคุณ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คุณได้เกิดใหม่แน่นอน ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ เห็นไหม? นี่คือกฎ

ในทำนองสลับกัน คือไม่ว่าคุณเชื่อในโลกวิญญาณอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าคุณทำอะไร บนโลกใบนี้ ตามกฎของโลกใบนี้ มันมีอยู่ว่าคุณทำอะไร? คุณก็ต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งนั้นเหล่านั้น พระเจ้าอยากจะช่วยเราเต็มที่ ก็ประทานถ้อยคำให้กับเรา สอนเรา เพื่อให้เราเป็นอิสระ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท

เกริ่นมาตั้งเยอะ ทุกคนคิดว่าจะพูดอะไรน่า? จะพูดว่าพระเจ้าสอนเราหลายๆ อย่าง ให้เรากระทำ แล้วมันจะเป็นพรกับชีวิตของเรา คือการบังคับเนื้อหนัง กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายของเรา ซึ่งยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราบังคับมันได้มาก เราก็ได้พรมาก ถ้าเราบังคับมันได้น้อย เราก็ได้พรน้อย  เราก็เสียประโยชน์ไป

อย่างเช่นเปาโลบอกว่าอะไรที่มันเป็นประโยชน์ เป็นการเสริมสร้าง ก็จงทำไปเถอะ  เป็นคริสเตียน ไม่มีกฎข้อห้าม คืออยากจะทำ เชิญเลย แต่คิดดูให้ดีๆ ว่าที่ทำไป มันมีประโยชน์หรือเปล่า? ถ้ามันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำเลย ถ้าทำแล้วทำไม? ตกนรกหรือ? ไม่ตกหรอก ถ้าทำแล้ว ไม่มีความสุข ไม่ได้รับความรอด หรือเหมือนรอดด้วยไฟ ทรมาทรกรรม

ยกตัวอย่าง สำคัญมาก วันนี้มากเตือนให้ ทุกๆ ปี ก็พูดเตือนตรงนี้แหละ แล้วก็เตือนอยู่เรื่อยๆ ทุกคนก็ยังอยู่ในกิเลสตัณหาตรงนี้มากที่สุด  แล้วทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนมากขึ้นทุกวันๆ ในยุคปัจจุบันนี้ เยอะขึ้นทุกวันๆ พูดเพื่อเตือนทุกคน แล้วเตือนตัวเองด้วย เตือนคนรักด้วย บางครั้ง เราเตือนมากไป ก็หาว่ายุ่งนะ แต่มันต้องเตือน ก็คือเรื่องของสุภาษิต 23:2 ใครจำได้บ้าง?

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าตะกละเห็นแก่กิน ก็จงเอามีดจ่อคอหอยตนเองไว้”

 

ถ้าเจ้าตะกละ ก็คืออยากกิน ใช่ไหม? จำได้ใช่ไหม? เตือนแล้วใช่ไหมว่าง่ายๆ ที่จำได้ง่ายๆ ไม่ใช่มาเรียนเรื่องสุขลักษณะ หรือว่าสุขภาพในปัจจุบัน อะไรเป็นอะไร? ยากเย็นเข็ญใจ ง่ายๆ จำไว้เลย เตือนไว้บอกว่าเป็นผลสรุปเรียบร้อยแล้วว่าแป้งและน้ำตาล มันอันตรายต่อชีวิตเรามาก มันคือยาเสพติด ยิ่งกินยิ่งติด แล้วมันบ่อนทำลายร่างกายเรา ทำให้แก่ และตายก่อนวัยอันควร มันทำให้เราต้องทรมานกับสุขภาพร่างกาย โรคหลายโรค ทุกโรคเลยล่ะ มันทำให้เราอ่อนแอลง และโรคเหล่านั้น ก็รุมเราได้ เชื้อโรคอะไรต่างๆ ความเสียหายของร่างกาย อย่างนี้เป็นต้น

ก็ต้องเตือนทุกปี พอเดือนมกราคมก็ทำได้อยู่ พอเดือนธันวาคมฉ่ำเลย กินหมด อะไรที่มันหวาน สำหรับร่างกายแล้ว อย่างที่บอก มันไม่มีคำว่าแป้ง มันมีแต่น้ำตาลกับน้ำตาล  กินน้ำตาลมันก็เป็นน้ำตาล กินแป้งไป ร่างกายมันบอกไม่รู้หรอกว่าเป็นแป้ง มันก็คือน้ำตาล จะกินอะไรเข้าไป มันคือน้ำตาลหมด และสิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายต่อชีวิตเรามาก เตือนแล้วหลายครั้ง

เชตใหม่ ปีหน้าเริ่มต้น อยากลดความอ้วน ก็ลดน้ำตาล แป้ง แล้วก็คอยสังเกตอันหนึ่งที่เคยบอกไว้ มี 3 อันทีชัดๆ คือแป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธี นี่เขาก็พิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพิษ มันเป็นพิษ สนใจหน่อยเถอะ กินน้ำมันมะพร้าวดีๆ ไม่อยากกิน มีกลิ่นบ้างล่ะ กลิ่นไม่หอม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่อร่อย กลับไปกินน้ำมันพืชเหมือนเดิม น้ำมันถั่วเหลืองเหมือนเดิม แล้วมันก็เป็นพิษต่อร่างกาย

นี่แหละคือที่ตะกี้นี้บอก “ถ้าเจ้าตะกละ” ตะกละ หมายถึงมันอยาก เราต้องสู้กับมันด้วยสติปัญญา ถ้อยคำพระเจ้า และคำอธิษฐานด้วย  และความรู้อย่างนี้ เรามาเล่าสู่กันฟัง เป็นแบบพี่น้องง่ายๆ  ไม่ต้องเรียนสูง ก็รู้แล้วว่าน้ำมันผ่านกรรมวิธี ตามซุปเปอร์มาเก็ตที่วางอยู่ อะไรที่มันใส อยู่ได้เป็นปีๆ หลายๆ ปี ก็ไม่เสีย พวกนั้น แล้วจะไปหาข้อมูลเหล่านี้ เดี๋ยวนี้หาง่ายจะตายในอินเตอร์เนต เยอะแยะไปหมด

สนใจสิ่งเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ประโยชน์ ได้การเสริมสร้างขึ้นในชีวิตของเรา และคนที่เราดูแลอยู่ ในครอบครัวเรา อาจจะมีสามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ หลาน คนที่เราดูแลอยู่ อย่างที่โบสถ์ ตั้งแต่แนะนำไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน เดี๋ยวนี้สะอาดหมดจด ทุกคนรับประทานอย่างมีความสุข อาจจะยังมีแป้งบ้าง แต่อย่างที่บอกว่าให้เอาไปลดส่วนตัว เราไม่ได้บังคับ แต่ให้รู้ ค่อยๆ ลดลง กินให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่กินไม่ได้ แต่กินให้มันน้อยๆ หน่อย แต่น้ำมันไม่มีแล้ว น้ำมันที่นี่ น้ำมันมะพร้าวตลอด แถมบริการให้สมาชิกในราคาถูกอีกต่างหาก พยายามยัดเยียดให้ไปกินให้ได้  หลายคนก็ติดเป็นนิสัย แล้วก็ได้ผลไปแล้ว ก็ดีใจด้วย แต่หลายคน รวมทั้งวัยรุ่นต่างๆ เตือนไว้ พยายามเตือนไว้ วัยรุ่นวันนี้ วันหน้า ก็คือเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง หรือเจ็บป่วย  อ่อนแอ ก็อยู่ตรงนี้  การกินสำคัญ

จากประสบการณ์และเห็นชัดๆ เลย ดูผู้คนหลายๆ คน ผมให้การกินเป็นเบอร์หนึ่ง ออกกำลังกายเป็นเบอร์ 2 เบอร์ 3 เบอร์ 4 ไม่ออกกำลังกายยังได้เลย  กินให้ถูกต้อง กินให้ดีๆ เพราะกินให้ถูกต้อง กินให้ดีๆ สุขภาพแข็งแรง มันอยากจะออกกำลังกายเอง ทำงานโน้นทำงานนี้ อยากจะออกกำลังกายเอง มันเป็นไปเอง แต่บังคับให้ออกกำลังกาย ไปออกกำลังกาย แต่กินไม่ดี วันนี้ลดไป 1 ขีด กินไป 1 กิโลฯ มันจะไปรอดได้อย่างไร? ในที่สุด ป่วย ต่อให้อยากออกกำลังกาย แต่ป่วย มันก็ไม่ไหวแล้ว ออกกำลังกายไม่ได้  เห็นไหม? เสียผลประโยชน์ เสียสุขภาพ ได้รับความรอดไหม? คนละเรื่องกัน รอด ไปสวรรค์ แต่ไปแบบเหมือนถูกรนด้วยไฟ เหมือนผ่านไฟไป  ร้อนรนเลย อย่างนี้  เลยอยากจะเตือน และเตือนอีก เตือนทุกๆ ปี

3 สิ่งนี้ ง่ายๆ เอาง่ายๆ ก่อนเลย 3 สิ่งนี้ที่ควรลดให้มันน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็คอยสังเกต คอยหาความรู้เรื่องเกี่ยวกับ 3 สิ่งนี้ คือ …

(1) แป้ง

(2) น้ำตาล

(3) ไขมันต่างๆ

แป้ง น้ำตาล และน้ำมันที่ใช้ น้ำมันผัดข้าว อย่างคุณไปสั่งอาหารตามสั่ง ตามร้าน ตอนเที่ยงหรือตอนเย็น

“ผัดกะเพราะไก่จานหนึ่ง”

คิดในใจเลย 3 สิ่งนี้ มีอยู่ในนั้นหรือเปล่า? มีเยอะน้อยเท่าไร? คิด ถ้าคิดได้ปุ๊บ ไม่รอดแน่ หิว แต่น้ำมันเห็นเลย น้ำมันถั่วเหลือง มันคงจะดูดลงไปในข้าว ข้าวก็เป็นแป้งอีกต่างหาก มีไก่อยู่นิดเดียว คิดสะระตะ จำได้วันนั้น พาสเตอร์เตือนแล้ว เพราะฉะนั้น อดทน แทนที่จะสั่งไก่ผัดกะเพรา กลายเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง รองท้องได้ไหม? ไข่ต้ม 2 ฟอง หมดเลย หายไปเลย ข้าวหายไป น้ำมันไม่ดีหายไปแล้ว สมมติตอนนั้น เราไม่มีทางเลือก ไปเจอร้านนี้ แล้วก็หิวแล้ว และไม่มีอย่างอื่นให้เลือก ไข่ต้มก็ยังได้ เห็นไหม? มันต้องใส่ใจไง ไม่ใช่ผมทำได้ทุกอย่างนะ ผมก็พูดเหมือนเปาโล …

“ไม่ใช่ข้าพเจ้าได้ทุกอย่าง แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าต้องทำอะไร?”

ทุกวันนี้ก็พยายามอยู่ และจนตาย ก็คงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก ไม่เหมือนวิญญาณที่สมบูรณ์แบบแล้ว เนื้อหนังมันไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็พยายามทำ ให้มันได้ทรมานน้อย มันจะได้ทุกข์น้อยๆ หน่อย เอเมน

จำได้ไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ท่านก็ไปดัดแปลงเองว่าไปเจออะไร? ที่ไหนอย่างไร? ท่านระวัง 3 สิ่งนี้ให้ดีๆ ไปในร้านอาหาร หรือว่าไปในร้านสะดวกซื้อ จะไปซื้อน้ำกินขวดหนึ่ง มองไปเลย แป้งและน้ำตาล ไม่เอา มองไป แป้ง น้ำตาลๆ ไม่เอา มันหิวน้ำ  ไม่เอาๆ อันนี้เย็นๆ หยิบได้ เป็นอะไร? น้ำเปล่า ซึ่งคนหยิบน้อยที่สุดเลย หารู้ไม่ว่าน้ำเปล่า เป็นพิษน้อย บางคนบอกไปซื้อทำไมน้ำเปล่า ที่บ้านก็มีกิน แต่ไหนๆ จะมาซื้อทีหนึ่ง ก็ซื้อที่มันหวานๆ หน่อยสิ เอาพิษเข้าตัว ลืมไปว่า 5 บาท 10 บาท ที่เราไปซื้อน้ำขวดหนึ่ง  มันเพิ่มความสุข หรือเพิ่มความทุกข์ให้กับเรา เราจะเสีย 10 บาทอยู่แล้ว ไม่ใช่เสีย 10 บาทแล้ว ต้องซื้อน้ำหวานๆ สิ ที่บ้านไม่มี อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยน  นี่คือหนึ่งในจำนวนการเปลี่ยนความคิด จะรู้สึกหิวข้าว จะทานอะไร จะจับอะไรใส่ปาก นึกถึง 3 สิ่งนี้ให้ดีๆ แป้ง น้ำตาล น้ำมัน มีไหม? กรอบๆ ฉีกออกมากรอบๆ นั้น มันทำมาจากอะไร? คิด เราจะกินอะไรเข้าไป คิด อย่า ทำตามที่พระคัมภีร์บอกตะกละ แล้วจ่อคอหอยไว้เลย ก็เพราะอะไร? เพราะมันคือความตายกำลังเข้ามา เราไม่ได้กลัวตายหรอก แต่เรากลัวความตาย  พระเจ้าไม่ได้ให้เรากลัวความตาย ความตายเราไม่กลัวเลย เราไปสวรรค์แน่ แต่เราไม่อยากให้ชีวิตมันต้องเป็นภาระคนอื่น แล้วตัวเราเองก็ทุกข์ทรมานด้วย ไม่จำเป็น

ความจริงถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  เพื่อเราจะได้รักษาชีวิตเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เหมือนกับอันอื่นๆ ที่เราอยากจะทำให้มันดีๆ อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิตเรา ซึ่งเราปล่อยปละละเลย เราไม่นึกว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะสนใจ สนใจหมด แต่ในพระคัมภีร์บอกหมดเลย อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรเป็นประโยชน์ก็จงทำไปเถิด อะไรเสริมสร้าง ก็จงทำ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ไม่เสริมสร้าง ก็จงอย่าทำ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท นี่คือความจริงที่เขาพิสูจน์มาแล้ว ที่เขาวิจัยมาแล้ว ทั่วโลกยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ คือถูกต้อง สุขภาพดี ไม่ใช่ ท่านทดลองๆ เอาทดลองสักปีหนึ่ง จากอีก 2 วันข้างหน้า  ขึ้นปีหน้าปุ๊บ  ทั้งปีเลย ลองงดน้ำตาลหมดเลย ดูสิว่ามันเป็นอย่างไร?  กินน้ำมันมะพร้าวดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น พิสูจน์ได้ใน 2 เดือนยังได้  ดูว่ามันจริงไหมว่าสุขภาพมันดีขึ้นหรือไม่? เอเมน

ปีหนึ่ง มาคุยกันครั้งหนึ่ง อย่าหาว่ามายุ่งเรื่องส่วนตัว ฉันจะกิน แต่อยากจะเห็นท่านมีสุขภาพที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดา และพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับเรา ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป นิดหนึ่ง หน่อยหนึ่ง อดทน ลด ละ กิเลสของเราไปบ้าง ความอยากอะไรต่างๆ ไม่ใช่ชีวิตทรมาน แต่เป็นชีวิตที่มีสติ ไม่ใช่ไม่ทานเลยขนมหวาน ทานบ้าง แต่อย่าเยอะ สติของเรา กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน กินเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งก็ทิ้งร่างกายนี้ แล้วแต่พระเจ้าจะใช้มานานเท่าไร? กินเพื่ออยู่ กินเดะเลย  อันนี้ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองตะกละไป เอเมน

 

*****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2018 เรื่อง “เหตุจากวันคริสต์มาส เราจึงได้บังเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  ธันวาคม  2018

 เรื่อง “เหตุจากวันคริสต์มาส เราจึงได้บังเกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

Merry Christmas ครับ … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์  ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

วันนี้เป็นวันที่เราจะมาระลึกถึงวันประสูติของพระเยซู ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อเยซูคริสต์ ถามว่าทำไมพระเยซู ซึ่งมีสภาพเป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? เหตุผล ก็คือเพื่อมาไถ่มนุษย์ ก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป ซึ่งคือความตายในวิญญาณ และได้รับการบังเกิดใหม่

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ตายในวิญญาณ ไม่รู้จักกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ นี่คือโทษหรือคำสาปแช่งของบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในบาป พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษนี้ได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่

บังเกิดใหม่ เป็นคำภาษาโบราณ เขาเขียนพระคัมภีร์มาตั้งหลาย 100 ปีแล้ว ใช้คำว่า “บังเกิด” หนทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์รอด ก็คือต้องเกิดใหม่ เหมือนกับใครที่ต้องทำอะไรยากๆ บางคนอยากจะเป็นนักร้อง ร้องก็เพี้ยนๆ หรืออาจจะร้องดีบ้างนิดหน่อย แต่อยากจะเป็นนักร้องดังๆ ที่เขาร้องเพลงเก่งๆ เหมือนโอเปร่า ซึ่งทำอย่างไรก็ไม่ได้ คนรอบข้างก็รู้ เขาเลยบอกว่า …

“อย่างนี้ เธอต้องไปเกิดใหม่ซะ”

บางคนชัดเจนเลยนะ อยากเป็นนักกีฬา รูปร่างไม่ไห้

“ฉันอยากเป็นๆ”

คนรำคาญ เลยพูดไป “โน่น อย่างเธอ ถ้าเป็นได้ ต้องไปเกิดใหม่ซะ”

ยิ่งนิสัย ยิ่งชัดเจน บางคนขี้เกียจจนเป็นนิสัย หรือขี้เกียจจนเป็นสันดาน ผู้คนรอบข้างจึงบอกว่า …

“ถ้าจะไปเปลี่ยนนิสัยเขานะ ให้เขาไปเกิดใหม่เถอะ”

มันเป็นไปไม่ได้ เป็นสำนวนที่ทำให้เรารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะทำได้แล้ว เราเรียกว่าไปเกิดใหม่ซะ มนุษย์อยากไปสวรรค์ แต่ไปไม่ได้ พระเยซูบอกว่าไปเกิดใหม่ซะ พระเยซูไม่ได้พูดประชด พระองค์พูดจริงๆ ว่าเพื่อมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่ ไปสวรรค์ได้นั่นเอง

เช่นเดียวกัน มนุษย์ที่เป็นคนบาป ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ในวิญญาณตายอยู่ คือเกิดมาไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความมืด แต่อยากจะเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด และอยากจะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องไปเกิดใหม่ซะ แล้วในพระคัมภีร์บอกไปเกิดใหม่ได้จริงๆ ความสำคัญของคริสตมาส คือตรงนี้ มนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้แล้ว พระเยซูมาแล้ว

และเพราะตัวการที่ทำให้มนุษย์ต้องกลายเป็นคนบาป ก็คือมนุษย์ด้วยกันเอง คืออาดัมและเอวาต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง บรรพบุรุษของเรา  ซึ่งตกลงไปในความบาป และนำพาเอาลูกหลานเหลนโหลนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ลงไปในคำสาปแช่งของความบาปนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนี้ได้ ก็คือมนุษย์ด้วยกัน พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า จึงจำเป็นต้องมาเกิดในร่าง ในชีวิตที่เป็นมนุษย์เหมือนๆ กับเราทั้งหลาย พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงมาเกิด เพื่อร่วมชาติพันธุ์กับเรา ร่วมเป็นมนุษย์กับเรา เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของเรา  ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้นั่นเอง

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? ก็เพื่อไถ่มนุษย์ เผ่าพันธุ์เดียวกันนั่นเอง

“วันคริสตมาส คือวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ สามารถลงมาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ โดยลงมา เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้เข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้”

เขาอธิษฐานกันมาอย่างนี้ตั้งแต่สมัยโบราณ อธิษฐานขออะไร?  “พระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์สถาน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่ยกย่องสักการะบูชา ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ สวรรค์เป็นอย่างไร? ขอให้เป็นอย่างนั้น บนโลกใบนี้”

ขอมาเป็นพันๆ ปีเลย จนกระทั่ง พระเยซูมาบังเกิดในวันคริสตมาส เมื่อ 2,000 ปี นั่นแหละ พระเยซูบอกสวรรค์มาแล้ว ที่ขอกันมาตลอด รอกันมาตลอด ตั้งหลายพันปี บัดนี้สวรรค์มาที่นี่แล้ว สวรรค์อยู่ในใจของเธอ  ใจคือในวิญญาณของเธอ เพราจะให้เธอบังเกิดใหม่ พระเจ้าจะลงไปสถิตอยู่กับเธอ เธอจะเป็นสวรรค์ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เอเมน

พอท่านไปไหนวันคริสตมาส ท่านจะได้เห็นภาพว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ บ้านในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์จะพูดถึงโลกวิญญาณอย่างเดียวเลย อ่านพระคัมภีร์ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องมองทะลุไปถึงว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

ถามว่าโลกวิญญาณ คืออะไร? คือโลก โลกหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ เหมือนกับที่เราเห็นอย่างนี้ เพียงแต่ความสามารถของตาของเรา ถูกทำให้เสียหายไป เนื่องจากคำสาปแช่งของความบาป ทำให้มองไม่เห็นเท่านั้นเอง เหมือนมันมีหมอกบังอยู่ แค่นั้นเอง

ถามว่าภูเขามีอยู่จริงไหม? มีอยู่ มองไปไม่เห็นภูเขา ทำไมไม่เห็น เพราะว่าหมอกหนา มันบัง ช่วงนี้ยิ่งเห็นชัดเลย หมอกมันบังอยู่ แต่ภูเขามีไหม? มี บ้านมีไหม? มี แต่ทำไมมองไม่เห็นบ้าน เพราะว่ามันมืด ดวงอาทิตย์ลับโลกไปแล้ว ดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น ผมเลยมองไม่เห็นว่ามีบ้าน แต่จริงๆ มันมีบ้านอยู่ไหม? มีอยู่

ในทำนองเดียวกัน พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ เพียงแต่เรามองไม่เห็น เพราะตาเราไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณได้ แต่มีอยู่จริงๆ เพียงแต่เหมือนกับลายแทงหรือว่าแผนที่ให้บอกว่าอะไรบ้างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

เรามาเรียนรู้ต่อที่บอกว่าวันคริสตมาส คือวันที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ ในโลกวิญญาณนี้ ลักษณะเป็นอย่างไร? ภาพมันเป็นอย่างไร? ที่ตาเรามองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธเท่าไร? ก็ตาม ถ้ามีอยู่จริง มันก็เป็นจริง ถ้าบ้านมันมีอยู่จริง มันก็เป็นจริง แม้ว่าตาเรามองไม่เห็น เราบอกว่าไม่มีๆ แต่มันก็มี เพราะมันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่เรามองไม่เห็น พระคัมภีร์จึงบอกว่านี่คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่บังเกิดขึ้น และเกี่ยวพันกับวันคริสตมาสอย่างนี้แหละ ผมนำมาแค่นิดเดียวเอง เลือกเอาเฉพาะ 22 ข้อที่ต่อเนื่องกัน เรื่องเดียวเลย อ่าน แล้วท่านจะเห็นภาพเลย โลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้นในวันคริสตมาส หนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ทั้งบทนี้ เริ่มข้อ 1 – 3 ก่อน

เอเฟซัส 2:1-3 “1 ส่วนท่านทั้งหลาย ได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิด และในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) และทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ และไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

นี่คือสภาพของโลกวิญญาณ  ก่อนที่มนุษย์จะสามารถได้รับการบังเกิดใหม่ คือก่อนที่มีวันคริสตมาสแรกของโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับที่ไม้กางเขน คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง  พระเยซูคริสต์เกิดเป็นมนุษย์ พออายุประมาณ 33 ปี พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด สภาพเป็นอย่างนี้ สภาพก่อนมนุษย์ได้รับการบังเกิดใหม่ วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นวิญญาณที่ตายอยู่

ตายในที่นี้ ก็คือตายต่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ในบาป เพื่อมาร คือเป็นทาสมาร คอยรับใช้มาร ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าเป็นขาว เราก็เป็นดำ พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เป็นความมืด ไม่มีอะไรที่เหมือนพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้เลย อยู่ในโลกของความมืด ที่มีมารคอยควบคุม เป็นทาสมารตลอด นั่นคือวิญญาณของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สภาพเป็นเช่นนี้

ที่เราอ่าน บอกว่า  “ซึ่งวิญญาณ บัดนี้ทำการงานอยู่ในบรรดาคนที่ไม่เชื่อ” ก็คือมาร ในนี้บอก “ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนผู้คนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อ” นี่กำลังพูดถึงคนที่เชื่อว่าสมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เรายังไม่ได้ถูกไถ่ เรายังไม่ได้รับสิทธิของเรา  เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทำตามตัณหา คือความอยากของวิสัยบาป

“วิสัยบาป” คือธรรมชาติบาป เนเจอร์ของบาป หรือพูดตามภาษาไทยดั้งเดิม ซึ่งไม่หยาบ แต่คนเอามาทำเป็นหยาบ ก็คือคำว่า “สันดาน” ตามสันดานของเรา เป็นอย่างนั้น เหมือนที่ตะกี้เราพูดกันใช่ไหม? สันดาน แก้ไม่ได้หรอก มีทางเดียว ต้องเกิดใหม่ มันเรื่องจริงๆ วิญญาณเราเป็นสันดานบาป วิสัยบาป เนเจอร์หรือธรรมชาติบาป เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย เพราะข้างใน เหมือนที่พระเยซูบอกต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว นี่เราเป็นต้นไม้ไม่ดี รากมันมาจากวิญญาณของเราไม่ดี  สกปรกอยู่ เป็นบาปอยู่ อย่างไร เดี๋ยวก็บาป ยังไง เดี๋ยวก็ทำไม่ดี ไม่มีผลดีเลย ข้อพระคัมภีร์บอกไว้ว่า … “แต่เพราะความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นชีวิตที่ตายต่อมาร ตายต่อบาป และมีชีวิต อยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า รับใช้พระเจ้า

เห็นไหมว่าตรงข้ามกันเลย  ตะกี้นี้เราตายต่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่ในบาป เพื่อมาร ตอนนี้กลับกัน พอเรามารู้จักพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตที่ตายต่อบาป ตายต่อมาร แต่มีชีวิตอยู่ในพระเจ้า เอเฟซัส 2:4-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 2:4-7 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป … คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ” 6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ … และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์”

 

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ความรักของพระเจ้า คือความเมตตาของพระเจ้าที่เห็นลูกๆ ของพระองค์ที่เสียศูนย์ เสียชีวิตดีงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในความตาย อยู่เป็นทาสของมาร ทำอะไรก็ไม่ได้ มีแต่ความชั่วร้ายตลอด เพราะข้างใน หัวใจเขา คือวิญญาณของเขาเป็นความมืด เป็นความบาป เป็นทาสของมาร ทำอะไรไม่ได้เลย พระเจ้าเมตตา รัก วางแผนมาตั้งนาน เพื่อจะช่วยนั่นเอง  ช่วยด้วยวิธีที่เราอ่าน เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เปี่ยมด้วยพระคุณอันอุดม ได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ คือทำให้วิญญาณเรา เกิดใหม่นั่นเอง มีทางเดียวเท่านั้น ต้องเปลี่ยนหัวใจใหม่ พระเจ้าเปลี่ยนให้เราจริงๆ โดยผ่านทางพระเยซู ผ่านทางวันคริสตมาสแรกของโลก จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตกับพระคริสต์ หลุดพ้นจากคำสาปแช่ง ให้เกิดใหม่ เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระคริสต์ พระเจ้าให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ ก็คือให้เรามีตำแหน่ง ความบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระองค์ มีสิทธิ์เท่าๆ กันกับพี่ชายของเรา ก็คือพระเยซู ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าของวันคริสตมาส  ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไร? ยิ่งลึกซึ้งและซาบซึ้งในความรัก ความเมตตา และเข้าใจถึงความหมายของวันคริสตมาสอย่างถ่องแท้ ลึกเข้าไปข้างใน มันซึ้งมากเลย มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้  ก็โดยความเชื่อ พระคัมภีร์บอกเชื่อด้วยใจ และพูดด้วยปาก เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนมนุษย์ ยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษของบาป ให้กับมวลมนุษย์ และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ซึ่งคือข่าวประเสริฐนั่นเอง

“ข่าวประเสริฐ” คือข่าวดี มาสำหรับมนุษย์ว่าบัดนี้ มนุษย์ทุกคนสามารถหลุดพ้นจากความบาป ความตายในวิญญาณได้แล้ว ก็คือโดยการเชื่อในพระเยซู เพื่อว่าจะได้บังเกิดใหม่ แต่ก่อนพูดเล่นๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้ เกิดได้จริงๆ เขาถึงเรียกว่าข่าวดี

เมื่อใดที่ความเชื่อนี้ หยั่งรากลึกลงไปในวิญญาณของใครก็ตาม คนนั้นก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเขา วิญญาณจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนที่พระเจ้าบอก ได้รับชีวิตใหม่ หัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ สถานที่อยู่ใหม่ อาณาจักรใหม่ ซึ่งเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม  เพราะตามองไม่เห็น พระคัมภีร์กำลังบอกถึงสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกวิญญาณ เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อและรู้ว่าสิ่งนี้เป็นจริง ก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ ใครที่ไม่เชื่อ ซึ่งมันมีเป็นจริงอยู่แล้ว ก็เสียประโยชน์ไป และเสียหายอย่างสูงสุดด้วยในชีวิตนี้ รวมถึงชีวิตหน้า ตลอดไปด้วย นี่คือข่าวดี พระเจ้าจะให้หัวใจใหม่ให้กับเรา จะให้วิญญาณใหม่กับเรา  ซึ่งเรียกว่าบังเกิดใหม่ แต่เป็นการยากมากสำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยการบังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ยิ่งบอกไม่ต้องทำอะไร ยิ่งยากใหญ่ เพราะว่าไม่ต้องทำอะไรไง เพราะมนุษย์ตกอยู่ในความบาป จึงมีความคิดแบบความบาป ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าเย่อหยิ่ง

“เฮ้อ! เป็นไปได้อย่างไร? ได้มาฟรีๆ อย่างนี้เหรอ”

ยิ่งได้เยอะ ยิ่งมีความรู้สึก “ฉันไม่สมควรจะได้ ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน ถามจริงๆ มีอะไรแอบแฝง วางแผนไว้ในใจหรือเปล่า?  มาให้ฉันตั้งเยอะขนาดนี้”

เราไม่เคยคิดว่า “เป็นไปได้  แล้วมีคนทำให้เราได้อย่างนี้จริงๆ ยิ่งไม่เชื่อใหญ่ เป็นไปไม่ได้หรอก มีแต่เขาโกงกันทั้งนั้นแหละ เขาหลอกลวงทั้งโลก อยู่ดีๆ จะมีคนมาตายเพื่อฉันที่ไม้กางเขน เพื่อให้ฉันได้ชีวิตใหม่ ไม่ต้องทำอะไร? ก็สามารถไปสวรรค์ได้ อย่างนี้เหรอ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้หรอก นี่เขาทำดีแทบตาย เขายังไม่ได้ไปสวรรค์เลย”

มนุษย์คิดอย่างนี้เสมอ เขาเรียกกันว่าเข้าสวรรค์ ทางมันแคบ แต่ไม่เข้าสวรรค์ ไปนรก ทางมันกว้าง เพราะเราคิดอย่างนี้  ถ้าไปสวรรค์ต้องยากๆ แต่จริงๆ ไม่ พระเจ้าบอก …

“เธอทำไม่ได้ แค่บอกอย่าทำชั่ว ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องรักษากฎระเบียบมากมายขนาดไหน?”

มีใครที่เกิดมา ไม่เคยทำชั่วเลย ไม่มี พอบอกว่า “ถ้างั้นให้ฟรีๆ”

ให้ฟรีๆ ก็ไม่เอา ขอทำอะไรบ้างสิ มันจึงเชื่อยาก แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าให้ฟรีๆ เลย ง่ายๆ ถามว่าให้ฟรีๆ เพราะอะไร? เพราะไม่มีทางที่เธอจะทำได้ พระเยซูบอก …

“ไม่มีทางที่เธอจะไปสวรรค์ได้  วิญญาณเธอจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไปเกิดใหม่ซะ ฉันมา เพื่อพวกเธอได้เกิดใหม่ได้ไง” นี่เรื่องจริง

พระคัมภีร์ได้ย้ำยืนยันว่าความรอดนี้ เป็นพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่ จากการกระทำของเราเอง ถ้าเป็นการกระทำของเราเองแน่นอน ต้องมีบางคนทำได้ บางคนอาจจะทำไม่ได้ แต่นี่ไม่มีทางทำได้เลย สักนิดหนึ่ง ไม่มีใครรักษาความบริสุทธิ์ได้ ให้เหมือนพระเจ้า อาจจะเป็นคนดี … ดีที่สุด ในจำพวกคนทั้งหลาย ที่เป็นคนบาปด้วยกัน แต่สำหรับมาตรฐานของพระเจ้า คือเต็มร้อย เขาเรียกว่าสมบูรณ์ ดีพร้อม 100% บางคนอาจจะทำได้ 10% สอบตก บางคนอาจจะทำได้ 51% ดีใจ พระเจ้าคงรับ พระเจ้าบอก …

“ไม่ เกณฑ์ของเรา คือต้องเต็มร้อย  ต้องได้ 100% ถึงจะผ่าน แล้วมีใครทำได้ ไม่ได้เลย”

“เราทำได้  20 เราเก่งกว่านาย”

“เราทำได้ 50 เราเก่งกว่านาย”

“เราทำได้ 60 เราพยายามตลอดเลย เราเป็นผู้บริสุทธิ์ท่ามกลางมนุษย์แล้วนะ”

พระเจ้ามองมา ตกหมด ตกคือตก ไม่มีการมาสอบตกมาก ตกน้อย ไม่มี ตกที่1 ตกที่ 2 ไม่มี มีแต่ตกหมด ขึ้น ก็ขึ้นหมด ได้ 100 เท่ากัน ไม่มีใครได้มากกว่านี้ บางอย่างดูเหมือนง่าย แต่มันกลับเป็นยาก เพราะในความเป็นจริง มนุษย์ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย มนุษย์ไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ของเขาให้ได้เหมือนพระเจ้าเลย แม้แต่นิดเดียว พอบอกไม่ได้ ก็มาพึ่งพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ต้องคิด  ก็ทำไม่ได้อีก เพราะชินของเก่า ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยพระเจ้าก็ยังดี พระเจ้าบอกไม่จำเป็นเลย ให้เชื่ออย่างเดียว เธอทำไม่ได้อยู่แล้ว  พระเยซูมาทำแทนทั้งหมด เอเฟซัส 2:8-9 จึงบันทึกไว้อย่างนี้

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดี ในความรอดของตนได้”

 

ชัดไหม? โดยพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาสู่พระคริสต์ พระเจ้าพาเราเข้าไปสวรรค์ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีในสายตาของมนุษย์ หรือเป็นคนชั่ว ในสายตาของมนุษย์ก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ต้องพึ่งในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเขาจะเข้าสวรรค์ไปหาพระเจ้า และอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ จะได้บังเกิดใหม่ได้

ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวของท่านเอง แม้แต่นิดเดียว คนละเรื่องเลย ว่ากันตามจริง พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 งานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เรายังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย แต่ทำให้เราไปแล้ว คิดดู แค่นี้ ในนี้บอกว่า …

“เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด แอบอ้างในความดี ในความรอดของตน”

“เห็นไหม? ที่ฉันได้รับความรอด และมาเป็นคริสเตียนได้ เพราะฉันทำดีมาตลอด ฉันรู้ว่าพระเจ้ามองเห็น”

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระเยซูไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ให้มนุษย์ทำกันเอง ไม่ใช่ พระเยซูมาเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นคนชั่วทุกคน เป็นคนเลวทุกคน เป็นคนบาปทุกคน เราคิดเองว่าเราบาปน้อยกว่าคนนี้ คนนี้บาปมากกว่า แต่พระเยซูบอกเท่ากันหมดเลย  เพราะฉะนั้น พระองค์มาเพื่อคนบาปทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย นี่เป็นพระคุณ

บางครั้งเราพยายามหาทางกตัญญูต่อพระเจ้า ที่ช่วยเรารอดจากบาป และรับเราเป็นลูกของพระองค์ แต่ในความกตัญญูของเรานั้น มันไม่เป็นไปตามพระประสงค์ หรือความต้องการของพระเจ้า เพราะพระเจ้าต้องการจากเราเพียงอย่างเดียว คือให้เราไปอยู่ในพระคริสต์ จบ ต้นไม้ดีแล้ว เดี๋ยวมันดีเอง

ความประสงค์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระเจ้า คือให้เราเชื่อในพระบุตร ที่พระองค์ทรงส่งมาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยเหลือเรา ผู้ไม่มีแรงจะทำ แต่พระองค์ทำให้เรา คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าของวันคริสตมาส ให้เรารักษาวันคริสตมาสให้ดีๆ จบ

บางคนบอกว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คืออันโน้น อันนี้ ไม่ให้เราไปไหว้รูปเคารพ ไม่อยากให้เราทำอันนี้ ไม่ใช่เลย เอาต้นเหตุเลย ได้ต้นเหตุ เดี๋ยวข้างล่างก็ได้หมด พระเยซูจะพูดอย่างนี้เสมอ น้ำพระทัยพระเจ้า คือทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ที่ได้ส่งเรามา คือเชื่อในเราว่าเราเป็นใคร? พระองค์จะพูดอย่างนี้ เชื่อในเราๆ พระเยซูไม่ได้มาสอนคนทำความดี พระเยซูมาสอนให้เรากลายเป็นคนดีพร้อม ในวิญญาณของเรา  เมื่อเรามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คิดดูนะ เราเป็นลูกของพระเจ้า สิ่งเดียวที่พ่อเราต้องการจากเรา ก็คือให้เราอยู่กับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ว่า …

“เธอมองไม่เห็น แต่ฉันมองเห็น  ฉันจะบอกเธอ ให้เธอเชื่อ พระคริสต์แค่นั้นเอง เธอรอดจากบาปได้เพราะเขา วันคริมาสเกิดขึ้น  เพื่อ 2 สิ่งนี้” ก็คือ …

(1) พระเจ้ามีนามว่าพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน

(2) เกิดใหม่ในวันที่ 3

สองอันนี้ แค่นั้นเอง ตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำคัญกว่า ก็คือบังเกิดใหม่ การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราทั้งหลาย สามารถบังเกิดใหม่ พร้อมพระองค์ได้ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากตำหนิใดๆ เลย ในวิญญาณของเรา เหมือนหรือเท่าๆ กันกับความสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

การกระทำของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายด้วยความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่ใช่ เพื่อให้เรา หรือมนุษย์ทุกคน สามารถทำความดี สามารถสั่งสมความดีไว้มากๆ เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพื่อให้มนุษย์ทุกคน สามารถเป็นคนดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม 100% เท่ากับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากับพระเยซูคริสต์ โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น ไม่ใช่ โดยการเปลี่ยนศาสนา ไม่มีประโยชน์ โดยการเปลี่ยนนิสัย ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องเปลี่ยนวิญญาณของท่าน เพราะฉะนั้น มนุษย์เปลี่ยนวิญญาณเอง ไม่ได้ จึงต้องพึ่งพระเจ้า พระเจ้าจะเปลี่ยนวิญญาณให้กับท่าน มันหมายความว่าอย่างนี้ นี่คือข่าวประเสริฐ นี้คือข่าวดี ไม่อย่างนั้น เราก็จะวนอยู่กับการแสวงหาที่ไปไม่ถึงฝั่งเหมือนเดิม  มันจะเป็นความชอบธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ความสะอาดบริสุทธิ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเองว่าอย่างนี้สะอาด อย่างนี้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ เป็นความชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่ประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ได้

โรม 3:23-24 บันทึกไว้อย่างนี้ “23 เพราะว่ามนุษย์ทุกคนได้ทำบาป และถูกตัดขาดจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นของประทานจากพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางการไถ่ ในพระเยซูคริสต์

 

มนุษย์ทุกคนได้เป็นคนบาป และทำบาป และถูกตัดขาด จากพระสิริของพระเจ้า คือไม่รู้จักพระเจ้า ตายในวิญญาณ ตาบอดในวิญญาณ ไม่รู้เรื่องเลย อยู่กับมารตลอด โดยธรรมชาติ โดยสันดาน ต้องถูกลงโทษ แต่ได้รับการชำระให้สะอาด โดยพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางการไถ่ คือการตายที่ไม้กางเขน เหมือนกับพระเยซูคริสต์ชำระหนี้ ด้วยชีวิตของพระองค์ และซื้อพวกเรา กลับคืนมา และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ไถ่บาป สะอาดหมดจดแล้ว การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ ก็คือพระเจ้าให้เราเป็นขึ้นพร้อมกับพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน

โรม 4:5 “ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้า ผู้ทรงทำให้คนชั่วเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม”

 

ความชอบธรรม แปลว่าสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ กอดคอกับพระเจ้าได้ เป็นพ่อลูกกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คุยกับพระเจ้าได้ เขาเรียกว่านมัสการ … นมัสการ คือการมีปฏิสัมพันธ์ การรู้จัก สนิทสนม นมัสการพระเจ้า แปลว่าติดต่อกัน หรือแปลอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า การไถ่ สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า โดยที่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำ มนุษย์เราไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม แค่เชื่อเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว จะมีธรรมชาติ หรือเรียกว่าเนเจอร์ หรือเรียกว่าสันดาน หรือเรียกว่าวิสัย ก็ได้ อันเดียวเท่านั้น เมื่อเขาเกิดใหม่แล้ว คือสันดานบริสุทธิ์ เนเจอร์บริสุทธิ์ ธรรมชาติบริสุทธิ์ วิสัยบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า อยู่ในวิญญาณของเขา เป็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายที่เราเห็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น วิญญาณและความคิดจิตใจของเขาจะอยู่ตลอดไป ถ้าเขาเกิดใหม่ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ตั้งแต่เป็นมนุษย์ เขาก็จะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้น ตลอดไป เพียงแต่ว่าเปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง เขาทิ้งร่างกายเก่าไป พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเขา แต่วิญญาณ ยังเป็นวิญญาณเดิม วิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ (หรือไม่?) เท่านั้นเอง นี่คือข่าวดี

ความสะอาดบริสุทธิ์นี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “วิสุทธิชน” แปลว่าคนที่เป็นโฮลี่ ไม่ใช่เป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ที่แปลว่าบริสุทธิ์ ที่เราไม่กล้าใช้ คนนั้น ได้ถูกทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพียงแค่เชื่อและวางใจในเจ้าของคริสตมาส คือพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ และจะอยู่ในการบังเกิดใหม่นั้น นิรันดร์ ไม่กลับมาเป็นคนสกปรก ไม่อยู่ในความบาป อีกต่อไปเลย แม้แต่นิดเดียว

เอเฟซัส 2:11-13 “11 เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ คือไม่ใช่ชาวยิวโดยกำเนิด และบรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “พวกที่เข้าสุหนัต” (ชาวยิว) เรียกท่านว่า “พวกไม่เข้าสุหนัต” 12 จงระลึกว่าตอนนั้นท่านได้ถูกแยกจากพระคริสต์ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ไม่ได้เป็นพลเมืองยิว และเป็นคนต่างด้าว อยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลาย ซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกลพระเจ้า ได้ถูกนำเข้ามาใกล้แล้ว โดยพระโลหิตของพระคริสต์”

 

“เหตุฉะนั้น ท่านจงระลึกว่าแต่ก่อนท่านเป็นคนต่างชาติ” ในนี้กำลังพูดถึงผู้เชื่อที่ไม่ใช่เป็นชาวยิว แต่พระเจ้าเรียกท่านเข้ามา และแผนการของพระเจ้า คือเลือกทั้งยิว ทั้งไม่ใช่ยิว พวกยิวนึกว่าพระเจ้าเป็นของเขาคนเดียว พระเยซูเป็นของเขาประเทศเดียว ชนชาติเดียว ชนชาติอื่น ถือว่าไม่รู้จักพระเจ้าทั้งสิ้น  ถือว่าเป็นคนนอกรีต เป็นพวกต่างชาติ แต่เปาโลมาประกาศว่าพระเยซูเป็นของมนุษย์ทุกคน

ยิวก็ต้องการเหมือนกับที่คนต่างชาติต้องการ แม้ว่าเขาจะรู้จักพระเจ้ามาก่อนก็ตาม แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เขาก็จำเป็นต้องเชื่อในข่าวดี เหมือนกันกับคนที่ไม่ใช่ยิว อยู่ดีๆ เขาจะได้รับความรอด เพราะการประพฤติเก่าๆ ตามบัญญัติ ไม่ใช่ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม และการเชื่อแค่นี้ เขาก็ได้รับความรอดเท่าๆ กันกับคนที่ไม่ใช่ยิว

เอเฟซัส 2:14-18 “14 เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก  ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง 15 โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ จุดประสงค์ของพระองค์  ก็เพื่อยุบสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ เช่นนี้แหละ จึงทรงทำให้มีสันติสุข 16 และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป 17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวกสามารถเข้าถึงพระบิดา  โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

ในอดีต คนยิวเขาเกลียดพวกเรา เขาถือว่าเราเป็นคนนอกรีต ไม่เชื่อพระเจ้า แต่พระเยซูเปิดเผยให้เขา ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขนว่าแผนการของพระเจ้า คือเลือกมนุษย์เท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือต่างชาติ ทุกคนต้องผ่านทางความรอดเดียว คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน และแบกรับเอาความบาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามเท่านั้น พระเจ้าได้ทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือทำให้ 2 พวกนี้ ทั้งยิวและไม่ใช่ยิวนี้ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นประเทศเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าประเทศพระคริสต์ เรียกว่าในพระคริสต์ ในประเทศนี้ ทุกคนมีค่าเท่ากันหมด หรือคนชนชาติใดก็ตาม เป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ได้ไถ่บาป และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ผู้คนในประเทศนี้ ในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่กันทุกคน เอเมน

เอเฟซัส 2:19-20 “19 ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า 20 ท่านได้รับการสร้างขึ้น  บนฐานรากของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เอง เป็นศิลามุมเอก”

 

ท่าน คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว บัดนี้ พระเจ้าที่ยิวเขาเคารพนับถือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา ตอนนี้เป็นพระเจ้าของท่านด้วย  เป็นพ่อของท่านด้วย  และเป็นพ่อเดียวกันนั่นแหละ ท่านไม่ใช่เป็นคนต่างชาติอีกต่อไปแล้ว ท่านได้รับการทรงสร้างขึ้น บนรากฐานของเหล่าอัครทูต

การสร้างขึ้น บนรากฐานจากเหล่าอัครทูต คือผู้ที่ประกาศข่าวดีของพระเยซู วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วก็ลอยเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว และให้เหล่าอัครทูตเหล่านี้ ประกาศข่าวประเสริฐ อัครทูตเหล่านี้ ก็ไปประกาศ ให้ผู้คนทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว ได้ยินข่าวประเสริฐ พอเชื่อ ก็ได้บังเกิดใหม่ ผู้คนที่บังเกิดใหม่เหล่านี้ อยู่บนรากฐานของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ คือผู้เผยพระวจนะ ตั้งแต่สมัยโมเสสอาโรน จนถึงยอห์น บัพติศโต คนที่ให้ลงน้ำ ผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ ได้พูดถึงพระเยซูมาตลอด เป็นหลายๆ พันปีว่าพระองค์จะมาทำอย่างนี้ พูดเป็นนัยบ้าง พูดเป็นคำเผยพระวจนะ พูดเป็นความฝัน พูดเป็นนิมิต ตลอด หมายถึงอย่างนี้ และโดยมีพระเยซูคริสต์เอง เป็นศิลามุมเอก ก็คือผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ พูดมาทั้งหมดเลย รวมทั้งพอพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ ปุ๊บ มาตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อัครทูตก็พูดเรื่องพระองค์อีก  พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก หมายถึงพระเยซูคริสต์เป็นแกนหลักของเรื่องนี้

เอเฟซัส 2:21-22 “21 ในพระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์ ท่านก็เช่นกัน กำลังรับการ ทรงสร้างขึ้นด้วยกัน ให้เป็นที่ประทับของพระเจ้า ในวิญญาณ”

 

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้ ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิว ถูกประกอบกันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ที่พระเจ้ากำลังสร้างขึ้นใหญ่โต วิหารนี้ พระเจ้าใช้ชื่อว่าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ เหมือนกับอาณาจักร เหมือนกับประเทศๆ หนึ่ง ใหญ่ๆ ซึ่งตรงนี้ ภาษาไทยเรียกว่า “สวรรค์” ในพระคริสต์ ก็คือสวรรค์นั่นเอง พระเจ้าจับท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือจับท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ใครจะมาอยู่ในพระคริสต์ได้ เขาต้องบังเกิดใหม่ ใครจะบังเกิดใหม่ได้ เขาต้องเชื่อว่าผู้ที่ทำให้เขาบังเกิดใหม่ได้ คือพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ ที่พระองค์ทรงกระทำในพระเยซู ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าพระบิดาชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และเราก็เป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ ตัวแทนของเรา  ขณะที่เราตายที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระองค์ นี่คือมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งเราด้วย

แต่พระเยซูตรัสว่า … “ไม่มีใครจะเอาแกะออกจากคอกของพระองค์ได้ ไม่มีมนุษย์หน้าไหน? หรือฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ จะเอาเจ้าออกจากมือของเราไปได้”

ฟิลิปปี 1:6 บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ จอมเจ้านายของเรา”

เมื่อท่านเกิดแล้ว เริ่มต้นการงานดีแล้ว ไม่ต้องห่วง แค่นี้เอง จบ ไม่ต้องไปบังคับทำอันโน้น อันนี้ ต้องมาอย่างนั้น อย่างนี้ หนีตะเหลิดเปิดเปิงหมด ทั้งที่ยังไม่ทันไรเลย มา ย้ายจากอันนั้นมาเข้า ย้ายจากอันนี้มาเข้า เหนื่อย มาเข้าอันนี้เหนื่อยกว่าเก่าอีก รับไปฟรีๆ มันของฟรี ประทานพระคุณให้ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย จริงๆ เชื่ออย่างเดียว รักษาความเชื่อนี้ไว้ แล้วเล่าสู่กันฟัง ประกาศให้เขาฟัง มาเกิดใหม่ดีกว่า เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อน

ภาษาไทยบอกว่าอย่างไรครับ? …“ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาทองของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้บนโลกใบนี้ มากขึ้นทุกวันๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้าจริงๆ คือเทศกาลคริสตมาส

เราจะไม่มาดูเรื่องประวัติศาสตร์ว่าใช่วันที่ 25 จริงไหม? วันที่ 24 จริงไหม? ไม่ใช่สิ พระเยซูเกิดแถวๆ เดือนเมษายน อะไรต่างๆ บางแห่งเขาก็ฉลองเดือนมกราฯ ก็มี เราไม่ได้สังเกต เราไม่ได้สนใจตรงนั้น เราสนใจว่าปีหนึ่ง ทั้งโลกมีการระลึกถึงสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งพระเจ้าได้วางแผนก่อน 2,000 ปีอีก ตั้งหลายพันปีมาก่อนที่จะเกิดขึ้นว่าวันคริสตมาสจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความตาย ในวิญญาณของเขา  ในชีวิตของเขา  นี่คือข่าวดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  และข่าวดีนี้จะถูกประกาศออกไป ตั้งแต่พระเยซูกำลังจะทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์มาทำไม? เริ่มประกาศข่าวประเสริฐไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ประกาศข่าวประเสริฐนี้มาตลอด คนก็รับรู้ รับรู้ข่าวดีของพระเจ้า มี 2 พวก …

พวกหนึ่งที่รับรู้ คือรับรู้ในลักษณะเป็นประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ไม่มีผลอะไร?  สำหรับวิญญาณจิตเลย  เพราะว่าเขารู้เฉยๆ เขารู้ … รู้เรื่องพระเยซู รู้ดีกว่าคนที่เป็นคริสเตียนบางคนอีก เขารู้

ถามว่าเขารู้เพราะอะไร?  เขารู้ เพราะเขาศึกษา ก็รู้เรื่องแหละ ไม่ได้ยากเย็นอะไร? แต่ข่าวดีของพระเจ้า มันต้องใช้ความเชื่อเอา และเกิดผลทางวิญญาณ ที่พระเยซูบอก มันไม่มีทางอื่น พระเยซูมาเดินบนโลกนี้ เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้น พระเยซูเลยเตือนก่อนเลย เตือนใคร? เตือนพี่น้องของพระองค์ในทางเนื้อหนังนะ ในทางมนุษย์ พี่น้องของพระองค์ ก็คือชาวยิว พระเยซูก็เตือนชาวยิวก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างนี้แหละ ข่าวประเสริฐ เรื่องราวจะเป็นอย่างนี้ พระเจ้าบอกเรื่องราวไว้ตั้งแต่โน้น  ตั้งแต่ก่อนเราจะมาเกิด  ตั้งหลายพันปีแล้วใช่ไหม? พวกท่านก็รู้ดี ท่านคือพวกยิว ท่านก็อ่านหนังสือเหล่านี้ เยอะแยะ ศึกษา ตั้งใจ แต่พอตัวจริงมาถึง ท่านกลับไม่เชื่อ ในหนังสือยอห์น 5:39-40 ได้บันทึกเอาไว้ว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ฟังดูนะ เอาใช้กับพวกเราได้ด้วย นี่พระเยซูพูดกับชาวยิว นึกภาพนะ ชาวยิว  ในสมัยนั้น รู้เรื่องพระคัมภีร์จะตาย เพราะว่าเขาเป็นคนของพระเจ้าเลย ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ตั้งหลายพันปีก่อน ติดสนิทกับพระเจ้า รักษาบทบัญญัติ ศึกษาบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างมากมาย ใกล้ชิดพระเจ้ามาก ดูสิพูดว่าอย่างไร? …

ยอห์น 5:39-40 “39 ท่าน (คือพวกยิวนะ) ขยันศึกษาพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้น คือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเรา เพื่อจะได้ชีวิต”

 

นึกว่าการปฏิบัติเช่นนั้น การเคร่งครัดทางศาสนายิว ดูเอาจริง เอาจัง จะทำให้เขารอด พระเยซูบอกอย่างนั้น

ศึกษาเรื่องเดียวกับเราแล้ว ท่านนึกว่าการกระทำอย่างนั้น พระเจ้าจะให้ชีวิตนิรันดร์กับท่าน พอตัวจริง ก็ศึกษาเรื่องของเรา พระเยซูมาแล้ว พระเยซูบอก เรานะ พระเจ้าส่งมา  เพื่อช่วยท่าน กับไม่เชื่อ แล้วรู้ไหม? รู้เรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ขาดอย่างเดียว คือขาดความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร แค่นั้นจบ จบแล้ว

ไม่ใช่เชื่อว่าพระเยซูรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ เรียกคนง่อยให้สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป เขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ทั้งๆ ที่เขามีความรู้มากมาย

ที่มาคุยเรื่องนี้ เพราะ 2-3 วันก่อนนี้ ได้มีโอกาสคุยกับคนที่มีอาชีพ เรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นไกด์ จริงๆ ก็พอจะได้รู้เรื่องนี้บ้างพอสมควรแล้ว เวลาไปเที่ยว ชอบคุยกับคนที่เป็นไกด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไปเที่ยวแถบตะวันออกกลาง ไปอิสราเอล ก็ชอบคุยเรื่องพระเจ้าใช่ไหม? ท่านรู้ไหมว่าคนไปเที่ยวอิสราเอล ไม่ว่าเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไปเที่ยวอิสราเอล ไกด์ที่นั่นนะ เก่งมาก เก่งยิ่งกว่าด๊อกเตอร์คนที่เรียนพระคัมภีร์ที่เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ จำแม่นหมดเลย อะไรเป็นอะไร เพราะเป็นชีวิตของเขาเองด้วย ชีวิตของบรรพบุรุษของเขา  ปู่ย่าตายายเขา เป็นยิว  ส่งทอดกันมา เขาเรียนด้วย เขาไปเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วมาทำทัวร์ พูดเป็นฉาก รู้หมดเลย ถามอะไร หลักฐานเป็นอย่างไร? ปีค.ศ.ไหน? ใครมาตรงนี้? ไปตรงนั้น รู้หมดเลย แต่เขาขาดอย่างเดียว คือขาด เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีอย่างนี้จริงๆ

เอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะสังเกตว่าเอามาดัดแปลงใช้กับชีวิตคริสเตียนว่าเรามีชีวิตคริสเตียนแบบที่เราเชื่อพระเยซูจริงๆ ว่าเป็นใคร? หรือว่าเราต้องไปค้นหา แล้วถึงเอามาเป็นหลักฐานว่าเราเชื่อพระเยซู ถ้าเราเอาไปค้นหาพระคัมภีร์ ไม่ใช่ผมไม่ส่งเสริมการอ่านพระคัมภีร์  สนับสนุนให้ยิ่งอ่านยิ่งดี ยิ่งศึกษายิ่งดี แต่เป็นตัวประกอบให้กับความเชื่อของเรา ไม่ใช่เอามาเป็นตัวหลัก เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเอามาเป็นตัวหลัก ท่านตายแน่ เพราะหลายอย่างในนั้น ท่านไม่เข้าใจ มันต้องเป็นตัวรอง

เหมือนที่เราคุยกันใช่ไหม? ยายแก่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดหนึ่ง แต่เขารู้จักพระเยซู เขาจึงได้รับความรอด เขาไม่รู้เรื่องพระคัมภีร์เลย ยายแก่ๆ เขารู้จักพระเยซู ถามว่าเขารู้จักพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะเขาไปผ่าตัด

หมอมาถามว่า … “เจ็บไหม?”

“ไม่เจ็บค้า ขอบคุณพระเจ้า” นี่เขารู้จักพระเยซู

“ยาย น่าสงสารจริงเลยยาย ฟันหรอหมดปากเลย กินข้าวได้เหรอ”

ยายหัวเราะ … “ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ยังเหลืออีก 2 ซี่ และขอบคุณพระเจ้ามากกว่านั้น คือซี่หนึ่งอยู่ข้างล่าง และอีกซี่หนึ่งอยู่ข้างบน มันยังเคี้ยวกันได้ไง ถ้ามันอยู่ข้างล่างหมด เคี้ยวไม่ได้เลยนะ”

นี่ไง หาเรื่องขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าคนนี้รู้จักพระเจ้าแน่ ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่รู้เลย ข้อนี้อยู่ไหน? ข้อนั้นอยู่ไหน? หรือนั่งข้างหน้านี้ กำลังชูมือสรรเสริญพระเจ้า ร้องไปเมื่อตะกี้นี้ ฮาเลลูยา เราอยู่ข้างหลังมองไปคนนี้คงจะได้รับพระพรพระเจ้าเต็มที่ในชีวิต เลิกเสร็จปุ๊บ เดินมาดูข้างหน้า คนที่เราเห็นชูมือนั้นนะ เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ แต่ไม่มีขา พิการทั้ง 2 ขาเลย อย่างนี้แหละ คนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าพระคัมภีร์ คืออะไร? แต่รู้ว่า …

“พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน พระเจ้าให้ฉันบังเกิดใหม่ ฉันรักพระเจ้า ฉันรู้จักพระองค์”

ไม่ใช่ … “ฉันมีความรู้เรื่องพระองค์” ไม่ใช่

“ฉันรู้จักพระองค์ แต่ไม่มีความรู้เรื่องพระองค์มากมายนัก ไม่รู้ พ.ศ.ไหน? มาเกิดอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย แต่ฉันรู้จักพระเยซู เพราะพระเยซูสถิตอยู่กับฉัน คุยกันทุกวัน คุยกันอย่างไร?  เดินไป ก็คุยไป อันนั้น ก็คุยไป อันนี้ ก็คุยไป มีอะไร ฉันก็คุยกับพระเยซูทุกวัน” นี่คือการรู้จักพระเยซู

ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับโลกใบนี้ เพราะว่าทรงรักโลกนี้ พระเจ้าทรงรักโลก จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความรู้เรื่องพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

พระเยซูถูกประทานโดยพระเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากนรก แต่มนุษย์คนนั้นจะต้อง เชื่อในพระเยซูว่าเป็นใคร แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์   ที่พระเจ้าประทานให้มาช่วยเหลือมนุษย์ แค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าวันเกิดคริสตมาสวันไหน? พ.ศ.อะไร? อย่างไร? มาเกิดลักษณะเป็นอย่างไร?  เกิดแล้วมีโหราจารย์กี่คน? 3 คน หรือ 2 คน ในประวัติศาสตร์มี 3 คน แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นอย่างไร? แล้วศพตอนนี้อยู่ที่ไหน?  แล้วอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไง แล้วมันจริงหรือไม่จริง อันนั้นเป็นเรื่องประกอบ รู้ก็ดี ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แค่ที่รู้ก็พอ คือรู้จักพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่พระเจ้าประทานให้เรา แค่นี้ ก็พอแล้ว

นี่คือหัวใจของการประกาศเรื่องพระเจ้า ก็คือชีวิตที่รู้จักพระเยซูจริงๆ อย่างที่เรารู้ การประทานชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านทางพระเยซู ก็คือให้พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา มาทำให้เราบังเกิดใหม่ นั่นแหละ ไม่ใช่มาเกิดใหม่ เพราะเรารู้เรื่องพระเยซู ไม่ใช่ แต่เพราะเราเชื่อ แต่ถามว่าเราเชื่อเพราะอะไร? เพราะเราได้ยินเรื่องราวของพระเยซู อย่างนี้ถูก เราเชื่อ เราบังเกิดใหม่ เพราะเราได้ยินข่าวประเสริฐ อย่างนี้ถูก ไม่ใช่เราได้รับความรอด เพราะเราไปเรียนพระคัมภีร์ ไม่ใช่ เราได้รับความรอด เพราะมีคนมาประกาศ อย่างนี้ก็ไม่ใช่อีก เรารอด เพราะมีความมาประกาศ และเราเชื่อ … เชื่อว่าพระเยซูเป็นใคร? อย่างนี้ ไม่ใช่ คนมาประกาศ คนเชื่อ เพราะว่าจริงๆ แล้ววันนี้เทศกาลคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลกเลย ใครๆ ก็ฉลอง อย่างนี้ต้องมีพระเจ้าแน่ๆ

เพราะฉะนั้น เราเชื่อพระเยซู ไม่ใช่ แต่เราเชื่อด้วยหัวใจว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ต่อให้สัปดาห์ต่อไป  หรือปีต่อไป ไม่มีคริสตมาสในโลกนี้อีกเลย ก็จะเชื่อพระเยซู เอเมน ต้องอย่างนี้ บางทีเราพูดไป มีหลักฐานอะไรต่างๆ เราก็จะไปติดยึดกับหลักฐาน วัตถุเหล่านั้น แล้วก็บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเยซู เพราะหลักฐาน”

วันหนึ่งหลักฐาน ก็ถูกลบเลือนหายไปได้ มันสูญสิ้นไปได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าพระองค์ไม่สูญสิ้น พระองค์สถิตอยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระองค์บอกว่าถ้าเราเชื่อพระองค์ พระองค์จะมาสถิตอยู่กับเราตลอด ไม่มีใครหน้าไหนจะเอาเราออกไปพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจใด จะเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ ถ้าเราบังเกิดใหม่ในพระเยซู ด้วยความเชื่อแล้ว เอเมน

เข้าใจนะ คราวนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ เราเรียนรู้จักพระคัมภีร์ เราก็ต้องเรียนรู้ในท่าทีนี้ว่าเรียนรู้ เพื่อมาเสริม เสริมความเชื่อของเรา  เสริมความสนุกสนาน เขาเรียกว่าจรรโลงชีวิตให้มีความสุข แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้าว่าให้เรารู้ เพื่อไปบอกคนอื่นว่าการมาเชื่อพระเยซู เขาเชื่อกันอย่างไร?  อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าพระเจ้าไม่นำเราไปเรียนรู้อะไรมากมาย ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ ก็ได้เรียนรู้ปัจจุบันนั้น มันหนักกว่าเยอะ ยิ่งกว่าด๊อกเตอร์อีก เรียนรู้วันหนึ่งตื่นขึ้นมา ไม่สบายบ้าง ทำงานเจ๊งบ้าง โมโหเข้าบ้าง โกรธเขาบ้าง แล้วก็ไม่อยาก แล้วไปทำ อย่างนี้ ยิ่งกว่าเรียนตลอดชีวิตของเรา ซึ่งเป็นการเรียนรู้จักพระเยซู โดยชีวิตประจำวัน พระเจ้าสอนเราเป็นวินาที อยู่กับเราตลอดเวลา นี่แหละ คือของแท้ เอเมน

นี่แหละ คือของแท้ ทุกคนไม่หนี ถ้าเขาได้เกิดใหม่ในพระเจ้า พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับเขา วิญญาณเขาเป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่มีทางหนีไปไหน พระเจ้าจะนำเขาไป โดยสอนเขาไปทีละวันๆ

อย่างที่บอกใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซูแล้ว เราเกิดใหม่ ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่บังเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ เป็นวิญญาณนิรันดร์ แปลว่าวิญญาณที่อยู่ตลอดกาลหรือ? ไม่ใช่ ต่อให้ไม่เชื่อพระเจ้า วิญญาณก็อยู่ตลอดกาลอยู่แล้ว แต่ตายตลอดกาล อยู่ในนรกตลอดกาล แต่วิญญาณนิรันดร์ หมายถึงวิญญาณที่เป็นแบบเหมือนพระเจ้าเลย ชนิดเรียกว่าเป็นของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เรียกว่าลูกๆ ของพระเจ้า นี่จะได้ชีวิตอย่างนั้น จะได้วิญญาณอย่างนั้น บังเกิดใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ แล้วมีความคิดจิตใจที่สะอาดและบริสุทธิ์ ชำระโดยฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน สะอาดหมดจดเรียบร้อย มีความคิดจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายที่อ่อนแอ ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ยังแพ้เชื้อโรคอยู่ ร่างกายที่ยังแพ้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังอยู่ ซึ่งมารสามารถส่งผ่านทางความบาปเข้ามากระตุ้นเราได้ ในเนื้อหนัง ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่มันไม่ใช่ตัวจริงของเรา เพราะร่างกายนี้ มันอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ตัวจริงของเรา มันเข้ามาไม่ได้แล้ว ก็คือความคิดจิตใจที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ และวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า

วิญญาณและความคิดจิตใจเราจะได้รับร่างกายใหม่ในอนาคต และมันเป็นความหวังใจนิรันดร์ของเราทั้งหลาย รอวันพระเยซูกลับมา ก็คือวันนี้แหละ วันแห่งชัยชนะของเรา ก็คือวันที่ทิ้งร่างกายนี้ไป และวิญญาณเราออกจากร่างไป นั่นแหละ คือวันแห่งชัยชนะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าตายดีกว่าอยู่ หมายถึงออกจากร่างกายนี้ดีกว่า แต่ถ้าอยู่ในร่างกายนี้ ก็ขอให้พระเจ้าใช้ไป อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ รับใช้พระเจ้าไป พระเจ้าสถิตอยู่ นำไปไหน ก็ประกาศ ให้คนเขารู้จักพระเจ้า ไปทีละวัน หมดหน้าที่ ก็กลับบ้าน กลับไปทำอะไร? กลับไปอยู่ในสวรรค์ พักผ่อน รอร่างกายใหม่จากพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่ร่างกายที่อ่อนแออีกต่อไป เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ต้องไปสู้กับบาปอีกต่อไป สบายตลอดชั่วนิตย์นิรันดร์ เอเมน

นี่คือความหวังใจของข่าวประเสริฐ และคือข้อมูลที่เราทั้งหลายควรจำไว้และเรียนรู้ ไม่ยากเลย จำแค่เรื่องราวเหล่านี้ แล้วเอาไปบอกคนเขา บอกแค่นี้ ไม่ต้องไปบอกอย่างอื่น เอเมนว่าจะเราพึ่งพระเยซูด้วยวิธีนี้ วิธีใด? ก็คือวิธีนี้ โดยความเชื่อเท่านั้น เชื่อ แล้วถึงจะได้ เชื่อเท่านั้น เชื่อแล้วได้เลย ได้เมื่อไร? ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอตาย แล้วถึงจะได้ไปสวรรค์ เชื่อปั๊บ  วิญญาณเกิดใหม่ปุ๊บ อยู่ในสวรรค์ปั๊บ เดี๋ยวนี้เลย เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมเท่านั้นเอง เอเมน

ประกาศไหม? ปีหนึ่งประกาศครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง ช่วงเดือนธันวาคมนี้ กระตุ้นกันทีหนึ่ง ก็ไปประกาศตามชีวิตของเรา ไม่ต้องเร่งรีบ แต่เป็นไปตามที่พระเจ้านำเรา เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ตื่นขึ้นมา ก็นำพาเราตลอด จนกระทั่งหลับ ในกลางคืน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018 เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2018

เรื่อง “ก่อนวันคริสตมาส” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรามา Merry Christmas กันก่อนได้ไหม? เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ ก็จะถึงวัน คริสตมาส ตอนนี้ไปที่ไหน อย่างที่บอกพระคัมภีร์ได้ถูกทำให้สำเร็จ โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไปทุกแห่ง มันมากขึ้นทุกปี ไม่มีน้อยลงไป มีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ชื่นชมยินดีกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเป็นจริงตามนั้นว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูจะต้องถูกประกาศไปทั่วโลก และจะถึงวันสิ้นสุด พระองค์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือความหวังของเรา

เพราะฉะนั้น เวลาคริสตมาสผมชอบไปเดินตามห้าง ไม่ได้ไปซื้อของและไม่ได้ตั้งใจไปเอาแอร์ เอาบรรยากาศ เดินดู แล้วมีความสุขดี เพราะขนาดคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขายังมีความสุขเลย แล้วมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เรารู้ข่าวประเสริฐ คืออะไร? มองอะไรไป ก็เห็นถ้อยคำพระเจ้าในนั้น ฟังเพลง ก็ฟังถ้อยคำพระเจ้า อยู่ในเพลงเหล่านั้นหมด เพลงที่เปิดนั้น ทั้งหมดเลย พูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ทั้งนั้น

วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? พระเยซูบอกว่าบันทึกไว้อย่างไร? มันต้องเป็นไปตามนั้นแน่นอน และมันเป็นจริงๆ แล้วมันอัศจรรย์ที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เฉพาะพระคัมภีร์ตัวไบเบิ้ลได้ถูกพิมพ์และขายออกไปแล้ว ประมาณ 5,000 ล้านเล่ม ตกแล้วคนในโลกนี้ น่าจะมีคนละ 1 เล่ม ประมาณเกือบๆ 1 เล่ม เยอะที่สุด ขายดีที่สุด  เป็นหนังสือขายอันดับดีที่สุดของโลก มาเป็นหลายปีแล้ว ตลอดเลย ไม่มีใครทำลายสถิตของไบเบิ้ลได้เลย แล้วไบเบิ้ลนี้ ท่านเชื่อไหมว่าเรื่องราวในไบเบิ้ล เป็นเรื่องทั้งหมดกี่ปี? ใครรู้บ้าง? ตั้งแต่โมเสสเป็นคนเขียนเริ่มต้น เฉพาะเรื่องที่เขียนมาถึงปัจจุบัน ที่เราได้อ่านกันในพระคัมภีร์ใหม่

พระคัมภีร์ใหม่ เขียนสำเร็จ ประมาณสัก 100 ปีในช่วงพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ประมาณนั้น หนังสือนี้ถูกเขียนถึงสมัยโมเสส ประมาณ 4,000 ปี ช่วงระยะเวลาของหนังสือเล่มนี้ ที่เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องราวนะ เรื่องราวเกินกว่าเยอะเลย ตั้งแต่ปฐมกาล ไม่มีวันเวลาด้วย นับไม่ถ้วนปี เป็นเลยล้านๆ ปี นับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระคัมภีร์เล่มต้น แต่เฉพาะเริ่มเขียน จนจบหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลา 4,100 ปี เขียนหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว ประกอบด้วยเล่มเล็กๆ 66 เล่ม

เริ่มต้นเล่มแรก ก็คือหนังสือปฐมกาล หนังสือสุดท้าย คือวิวรณ์ เป็นการสำแดงล่วงหน้าว่าจะจบโลกนี้อย่างไร? ขึ้นต้นและจบสุดท้าย 66 เล่มใช้เวลา 4,100 ปี เขียนนะ ไม่ใช่เรื่องนะ เรื่องยาวกว่านั้น แต่เขียน เฉพาะเขียนอย่างเดียว ตั้งแต่โมเสสเขียนมาถึงยอห์น 4,100 ปี ใน 4,100 ปี มีคนเขียนทั้งหมดตั้ง 40 คน ปกติหนังสือเล่มหนึ่ง เขาเขียนคนหนึ่ง หรือไม่ก็ 2 คน นี่เขียน 40 คน 4,100 ปี ปรากฏว่าเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? เขาพิสูจน์แล้ว พิสูจน์อีกว่าเรื่องนี้ คนเขียนขึ้นมาเอง คนแต่งขึ้นมาใหม่  มันพิสูจน์อย่างไรก็ไม่ออก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมาเขียน แล้วมันตรงกันได้อย่างไร? โมเสสเขียนมาตรงกันกับสิ่งที่ยอห์นเขียน เมื่อ 4,000 ปีผ่านมาแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร? แล้วไม่ได้ตรงแบบธรรมดา ตรงแบบเป๊ะๆ เลย นี่คืออัศจรรย์

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้กันมาว่าพระเจ้าแห่งอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงเป็นเหมือนกับพระเจ้ารู้อยู่แล้ว  มนุษย์ก็อย่างนี้แหละ จริงๆ ไม่ต้องใช้พระคัมภีร์ก็ได้ แต่เดี๋ยวก็ไปเถียงกัน ไปว่ากัน วุ่นวาย คนนี้ถูก ฉันว่าฉันเป็นอย่างนี้ ฉันมีพระวิญญาณอยู่ในฉัน เอาอย่างนี้แล้วกัน เอาตรงกลาง ไปพิสูจน์เอง แล้วกันว่ามันเขียนไว้ในนี้มีไหม? มีหรือไม่มี ถ้าไม่มี ก็บอกว่าไม่มี มันผิด ถ้ามี ก็บอกว่ามี อย่าไปซีซั่วใส่เข้าไป อย่าไปแต่งเติมลงไป  เห็นไหม?

พระเจ้าทรงทราบก่อนล่วงหน้า ตั้งนานแล้วจึงได้เตรียมชายคนหนึ่ง ให้ไปเรียน โดยที่เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องไปเรียน นอกจากเตรียมสติปัญญาให้เขาเรียนแล้ว เรียนเก่งๆ ในเรื่องภาษาแล้ว ไม่พอ ยังต้องให้เรียนรู้จักเรื่องวิญญาณ เรื่องจิตใจ เตรียมใจเขาไว้ เตรียมความเชื่อเขาไว้ เริ่มต้น คนนั้น ก็คือโมเสส เตรียมโมเสสตั้งแต่โมเสสไม่รู้เรื่อง เล็กๆ ออกมา เกิดเหมือนเป็นกำพร้าเลยนะ แต่เตรียมเขาไว้แล้ว ให้ไปเรียน เรียนอย่างดี แบบลูกกษัตริย์เลย ลูกฟาโรห์เลย เรียน เพื่อจะได้เรียนรู้ และได้มาเป็นคนเขียน เริ่มต้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเขียนยากที่สุด ตอนเริ่มต้น ทั้งหมด 66 เล่มเล็ก รวมเป็นเล่มใหญ่ไบเบิ้ล เขียนโดยคน 40 คนบวกกับ 1 วิญญาณ ก็คือวิญญาณพระเจ้า พระเจ้าดลใจให้คนๆ นั้น 40 คนเขียน เป็นเรื่องเดียว เพราะฉะนั้น ใครเป็นคนเขียน พระวิญญาณเขียน มันจึงเรื่องเดียวกันไง

มันจึงเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะว่าพระวิญญาณเป็นผู้เดียว แต่ผ่านทางคน 40 คนใน 40 สมัย ยุคประมาณ 4,100 ปี จึงเรื่องเดียวกันหมดเลย  อัศจรรย์ใหญ่ พระเจ้าเตรียมหมดเลย เตรียมคนแรก คือโมเสส เตรียมคนสุดท้าย คือยอห์น  เก่งด้วยกันทั้งคู่ เก่งแบบนักประวัติศาสตร์ นักจดบันทึก นักค้นคว้า นักเขียน คงไม่เตรียมเปโตรเป็นคนสุดท้าย เพราะเปโตรเป็นชาวประมง นึกออกใช่ไหม? หรือคงไม่เตรียมซาอูลเป็นแรก แต่เตรียมโมเสสเป็นคนแรก เราจึงได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

นี่พูดนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นว่าทั้งหมดนี้  เป็นเรื่องๆ เดียวที่เขียนขึ้นมา ถามว่าเรื่องนั้น คือเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับทำอย่างไรมนุษย์จะได้ไปสวรรค์ ก็คือต้องเกิดใหม่ แค่นี้เอง ทั้งเล่มบอกแค่นี้เองว่ามนุษย์จะไปสวรรค์ ต้องไปอย่างไร? และเขาต้องเกิดใหม่ ผู้ที่มาบอกคนสุดท้าย ก็คือพระเยซู

พระเยซู คือผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วพูดเรื่องนี้ คือพระเยซู หลังจากนั้น ไม่ต้องมีแล้ว เพราะหลังจากพระเยซู ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหมด ผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายไม่ใช่มาลาคี แต่เป็นพระเยซู ไม่ใช่ยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ แต่เป็นคนหลังยอห์น บัพติศโต บอกว่า …

“คนที่มาข้างหลังฉัน จะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าที่ฉันจะไปผูกเชือกรองเท้า ด้วยซ้ำไป เขา คือเยซู เจ้าของวันคริสตมาสนั่นเอง”

เห็นไหม? แค่คิดแค่นี้ ที่คิดได้ทั้งหมดนี้ ไปเดินเล่นนะ ไม่ได้ไปค้นคว้าอะไร? เราไปเดินเล่นเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลยนะ ถามว่าที่เดินเล่นนี้ คิด ใครคิด พระวิญญาณคิด เดินเล่นทำอะไร? คุยกับพระเจ้าไป คุยด้วย กินไอศกรีมไป  ไม่ได้อยู่ในห้องอธิษฐานหรอก นั่นแหละ คืออธิษฐานที่ลี้ลับของมนุษย์ ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอธิษฐานกับพระองค์ทุกเมื่อ คุยกับพระองค์ทุกอย่างได้ ไม่ใช่จะคุยกับพระองค์ ต้องเอาอย่างนี้ ท่านคิดไป พระเจ้าก็คิดตามท่าน พระเจ้านำท่าน ท่านยังไม่รู้เลย มองก็ไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? เหมือนอย่างที่ผมเคยเทน้ำร้อนลงไปในถุงชา แล้วผมถามว่าไหนล่ะ ตัวไหนชา ตัวไหนน้ำ ไม่เห็นเลย แยกไม่ออก มันเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันวิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระผู้ไถ่ของเรา ท่านทำอะไร พระเจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา อยู่ตรงนั้นแหละ จะทำผิด ทำถูก ทำอย่างไร? อยู่ตรงนั้นแหละ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ สำนึกหรือไม่สำนึก พระเจ้าอยู่ตรงนั้นแหละ รู้ไหมว่าพระองค์อยู่ด้วยตรงนั้นหรือไม่? พระองค์ก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่แล้ว ก็อยู่เลย และอยู่ตลอดไป พระองค์บอกว่าไม่มีใครหน้าไหน? ใหญ่ขนาดไหนที่จะมาเอาท่านออกไปจากมือของฉันได้ เอเมน

ขอบคุณพระเจ้านะ นี่คือวันคริสตมาสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นความหวังเดียวของมนุษย์บนโลกใบนี้เท่านั้นเอง มองไป มีความสุขในวันคริสตมาส แต่ก็แอบทุกข์ใจไม่ได้ ไม่ใช่เราทุกข์ใจ แต่พระวิญญาณทุกข์ใจ ทุกข์ใจตรงไหน? แหม! อยากให้คนอื่นได้รู้อย่างที่เรารู้นะ มันง่ายมากเลยข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้ามันง่ายๆ จริงๆ ง่ายจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ เป็นหินก้อนสะดุดให้กับมนุษย์ เพราะมันง่ายเกินไป มนุษย์ทุกคนเกิดมามีบาป อยากจะทำอะไรก็ตาม เพื่อล้างบาปตัวเอง ฟ้องผิดตลอดมาว่า …

“ฉันบาปๆ”

ก็เลย อยากจะหาอะไรทำ เพื่อจะลบบาปตัวเอง ตั้งแต่กำเนิด ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา เป็นอย่างนี้หมด มันจึงกลายเป็นประตูใหญ่ ที่พระเยซูบอก ประตูใหญ่ คือทุกคนอยากจะทำๆ มีประตูเล็กๆ ประตูเดียวที่ผ่านทางพระเยซู ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย มาเลย บาปผิดอะไรต่างๆ สกปรกอะไรต่างๆ ก็เข้าได้ เข้าสวรรค์เลย  ไม่มีใครอยากเข้า เพราะทุกคนอยากทำด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป อยากจะล้าง ล้างไม่ออก ก็ล้างใหญ่เลย พยายามไปบอกคนอื่นให้ช่วยกันล้าง ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูมาถึงเราวันคริสตมาส ก็คือไม่ต้องลาเลย ล้างอย่างไรก็ไม่หมด มาหาฉัน ง่ายนิดเดียว  เชื่อแล้ว ก็เข้าไปเลย  ไม่เอา ขอไปทำเองดีกว่า มันเป็นอย่างนี้ มันจึงน่าเศร้า

พอเรารู้ความจริงอย่างนี้  พอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจึงทำมันง่ายอย่างนี้ เราจึงขอบคุณพระเจ้า เราจึง Amazing grace แต่ Amazing สำหรับเรา คือทำไมคนเขาไม่เชื่อ ก็พระเยซูบอกแล้ว ทุกคนไปทางกว้างหมด ไปประตูกว้างหมด ประตูเล็ก ไม่ค่อยมีใครมา ใครเข้าสวรรค์ ต้องเข้าประตูเล็ก ประตูเล็กคืออะไร? ไม่ค่อยมีใครมาหรอก เพราะไม่มีใครจะยอมเชื่อพระเยซู 100% จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะไปทำด้วยตัวเอง พยายามๆ พยายามไม่ได้ ก็ไปบอกคนอื่นพยายาม พยายามจนตาย บอกง่ายๆ ไม่เอา

นี่คือความทุกข์ทรมานช่วงคริสตมาส เวลาเราคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระคัมภีร์จึงได้บันทึกว่าให้เราปกป้องคุ้มครองดูแลข่าวประเสริฐให้ดีๆ สิ่งเดียวที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือข่าวประเสริฐจะต้องถูกประกาศออกไป ข่าวประเสริฐ คือข่าวดี ข่าวดีจริงๆ นอกเหนือจากข่าวดีแล้ว มันคือข่าวร้าย ถ้าไม่มาพึ่งพระเยซูทางเดียว ถือว่าเป็นข่าวร้ายทั้งหมด อะไรที่ต้องทำด้วยตัวเอง  เป็นกฎ เป็นระเบียบอะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นข่าวร้ายทั้งหมด ข่าวดี คือประตูแคบ เล็กๆ เอง คือไม่ต้องทำอะไรเลย โจรบนไม้กางเขน ก็เข้าสวรรค์ได้ ไม่ต้องเป็นฟาริสีที่รักษาศีล รักษากฎระเบียบตั้ง 2-3 พันข้อ 500 ข้อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นเลย ใครก็ได้ที่เชื่อวางใจในพระเยซู เจ้าของคริสตมาสเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ คือหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องประกาศออกไป คริสตมาสจึงมีไว้ เพื่อประกาศ ที่เราเห็นกัน ที่แจกของ มีของขวัญอะไรต่างๆ เหล่านั้น  คือหน้าที่ที่พระเจ้านำพาผ่านมนุษย์ เพื่อประกาศ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขากำลังประกาศ เพลงเหล่านี้ ที่ถูกดลใจโดยพระวิญญาณ  เพลง Silent night, Holy night อะไรต่างๆ ที่เราฟังอยู่ทุกวันนี้ คือสิ่งหนึ่งที่เป็นการประกาศ ต้องประกาศ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พวกเราที่นี่ก็ได้อิทธิพลมาจากข่าวประเสริฐอย่างนี้แหละ จนถึงวันนี้ เรามาถึงความรอดแล้ว ก็ส่งกันต่อๆ ไป  ความรัก ความหวังดี คือการให้ ให้ที่ดีที่สุด คือให้ชีวิตกับเขา เราทำได้แล้ว เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยวิธีการบอกเขาในเรื่องข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีของพระเยซู คืออะไร? เอเมน

 

************************

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018 เรื่อง “วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2018

เรื่อง “วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่เราจัดเป็นวันพ่อ ได้มาระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน อันดับแรก ก็คือระลึกถึงพระคุณของพ่อฝ่ายวิญญาณของเรา  คือพระเจ้า ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด จะได้ถูกรับเข้ามาเป็นลูกของพระองค์เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันที่ 1 ปี ก็มาระลึกถึงวันนี้

และขณะเดียวกัน วันพ่อแห่งชาติ มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามาก คือทำให้เราระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่อีกอันหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือพ่อผู้ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพ่อที่เป็นมนุษย์ ก็เลียนแบบ มีความรัก เหมือนกับพ่อที่เป็นพระเจ้า เพียงแต่ว่าพระเจ้าใส่ความรักของพระองค์ลงมาในคนที่เป็นพ่อ เพียงแต่ว่าพ่อเป็นมนุษย์ ตกลงไปในความบาป เสียหายไป บางทีรัก อยากจะรักมาก แต่มันทำไม่ได้ เพราะว่าความอ่อนแอของเนื้อหนังร่างกาย มันทำให้ไม่สามารถที่จะแสดงความรักอย่างที่ควรจะเป็น หรืออย่างที่อยากจะทำได้

ฉะนั้น วันนี้จึงเป็นวันที่เราน่าจะมาระลึกถึงว่าจริงๆ แล้วไม่มีทางไม่รักหรอก เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าความรักของพระเจ้าใส่ลงไปในผู้ที่ให้กำเนิด ที่เป็นมนุษย์ คือผู้ที่เป็นพ่อ เพราะฉะนั้น เขาต้องรักเราแน่นอน  เพียงแต่บางทีบางอย่างเขาปฏิบัติไม่ได้ เราก็ต้องรู้ เราก็ต้องเข้าใจ ก็มาทำความเข้าใจกันในวันนี้ วันนี้คริสตจักรก็จัดเป็นวันพิเศษ เป็นความระลึกถึงพระคุณของพ่อด้วยกัน

 

*****************