คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2015 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ธันวาคม  2015

 เรื่อง “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราจะฟังคำบรรยายในวันนี้นะครับ ชื่อเรื่องว่า “พระเยซูคริสต์ มนุษย์ผู้ไม่มีบาป” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเยอะเลย  เกี่ยวกับเรื่องราวของการประสูติของพระเยซู คำถามที่หลายๆ คนเคยสงสัย ผมก็ได้ตอบไปบ้างแล้ว ในสัปดาห์ที่แล้ว เท่าที่พอจะค้นหาได้ ทั้งจากพระคัมภีร์และจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ครั้งที่แล้วจำได้ใช่ไหมครับ?

เรามาทบทวนสักนิดหนึ่งนะครับว่าเราได้ตอบคำถามอะไรไปบ้าง? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าเป็นการตอบคำถามร่วมกัน เป็นการบรรยายร่วมกัน

ถ้าถามว่า “ทำไมต้องมีวันคริสตมาส?”

ทุกคนก็ทราบว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่พระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ นี่คือหัวใจหลักของวันคริสตมาส

“แล้วทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์?”

คำตอบที่เราได้รับ ก็คือเพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป  ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรม รอดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม รอดพ้นจากการได้รับโทษ จากการกระทำความผิดนั่นเอง คือมีโทษ ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าสาปแช่ง พ้นจากคำสาปแช่งของบาปเวรกรรม ของมนุษยชาติ พระเยซูมาเพื่อสิ่งนี้

พระเยซูสามารถทำตรงนี้ได้ เพราะว่าพระเยซูไม่มีเชื่อบาป เพราะว่าเป็นพระเจ้า แต่มนุษย์ทุกคนมีเชื่อบาปของเวรกรรมอยู่ ก็คือมีเชื้อบาป เชื้อที่จะต้องถูกลงโทษ พูดง่ายๆ ว่าติดหนี้เขา จะต้องใช้หนี้เขา เรียกว่าเชื้อบาป มนุษย์ทั้งปวงติดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเลย การไถ่บาป ที่จะไถ่บาปให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรม ก็จะต้องมาจากมนุษย์ มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน มาจากทูตสวรรค์ไม่ได้ ต้องมาจากมนุษย์ … มนุษย์ต้องเข้ามาช่วยมนุษย์ … มนุษย์เท่านั้นจึงจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยกันได้  พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

คำถามต่อไป คือ “พระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากคนอื่น ทำไมจึงมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ได้?”

คำตอบเรารู้แล้ว ทำไมมาไถ่บาปให้กับมนุษย์? มนุษย์ทุกคนมีเชื้อของความบาปอยู่ในเขา แต่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ไม่มีเชื้อของบาปเลย สัปดาห์ที่แล้ว เราได้เรียนรู้ตรงนี้

แล้วก็ถามว่า “แล้วทำไมพระเยซูจึงไม่มีบาป?”

คำตอบ ก็คือเพราะพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมา เรียกว่าจุติ เกิดในหญิง ในมดลูก ในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือมารีย์ หรือแมรี่ ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่มีเชื้อของมนุษย์เลย ไม่มีเชื้อของมนุษย์มาเกี่ยวข้องเลย

ยังจำได้ไหมครับเมื่อครั้งที่แล้ว เราได้คุยกัน ถ้าเป็นสมัยก่อน แล้วบอกว่า.-

“เกิดจากหญิงพรหมจารี”

ทุกคนก็จะบอกว่า “เสียสติไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มีใครที่ไหนเล่า บ้าไปแล้วหรือไง?”

ถ้าเป็นยุคสมัยก่อน แต่ถ้าเป็นยุคนี้ เรียกว่าถ้าหญิงพรหมรีย์ตั้งครรภ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา … ธรรมดามาก ที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เขาเรียกว่าการอุ้มบุญ การผสมเทียม การทำเด็กในหลอดแก้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้หญิงพรหมจารี สามารถตั้งครรภ์ได้

สัปดาห์ที่แล้วเรียนรู้เรื่องนี้ บางคนคิดว่าผมสอนวิทยาศาสตร์ การกำเนิดของคน ไม่ใช่เลยนะครับ เรามาติดตามเรื่องวิทยาศาสตร์ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบทีหลัง … หลังจากพระคัมภีร์บอกไว้แล้วตั้งหลายพันปี มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เมื่อเทคโนโลยีคิดค้นไปถึง ก็จะเห็นความจริงของพระเจ้าปรากฏนั่นเอง

สรุปประเด็นหลัก ที่เราได้คุยกันครั้งที่แล้ว ก็คือพระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ ในมดลูกของหญิงพรหมจารี ก็คือนางแมรี่ และให้มาประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ ที่ปราศจากความบาป เพื่ออะไร? เพื่อให้พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ รับเอาโทษบาปทั้งหลาย คำสาปแช่งทั้งหลาย ทั้งปวงของมวลมนุษย์ไว้ที่พระองค์ เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากโทษของบาปเวรกรรม และความตาย และตายทางฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้กัน ว่าคือวิญญาณตาย ก็คือไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ และวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราตาย เราต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ทุกข์ทรมานนิรันดร์กาลนั่นเอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากสถานะอย่างนั้น ทั้งเดี๋ยวนี้และในอนาคต พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูที่จะมาไถ่บาปให้กับเรา มารับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมดไปนั้น พระองค์ไม่มีบาปเลย ไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ

2 โครินธ์ 5:21 “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์

 

          ตรงนี้ก็หมายถึงพระเยซูไม่มีบาปเลย แต่เรามนุษยชาติมีบาป เป็นบาป เอามาแลกกัน พระเยซูไม่มีบาป แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาป คือรับบาปเราไป ขณะที่เราเป็นคนบาป พระเยซูมารับบาปเราไป  พระเจ้าทำให้เราผู้เคยมีบาป เป็นบาปนั้น กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม เห็นไหมแค่นี้ง่ายๆ

 

ครั้งที่แล้วเราได้เน้นกันว่าเหตุผลที่พระเยซูเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียว ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย ก็เพราะว่าพระองค์ทรงกำเนิดจากหญิงพรหมจารี มีเพียงผู้เดียงในโลกนี้แหละ โดยไม่มีเชื้อมนุษย์ผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะเข้ามาผสมกับเชื้อหรือไข่ของแม่ แม้กระทั่งหลังจากที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วนะ หลังจากที่คลอดแล้วนะ ตลอดชีวิตของพระเยซูคริสต์ จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ไม่เคยมีบาป  คิดให้ดีๆ ประมาณอายุ 33 ปีบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์จึงสามารถแบกรับบาปของมนุษย์ชาติ คำสาปแช่งทั้งหลายไว้ที่ตัวพระองค์ได้ ซึ่งพระเจ้าก็ได้จัดเตรียมแผนการนี้ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก ก่อนมนุษย์จะตกลงไปในความบาปอีกว่าถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถ้ามนุษย์ดื้อ กบฏต่อพระเจ้าเมื่อไร เขาจะถูกลงโทษด้วยกฎที่วางเอาไว้ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย เขาจะได้รับโทษ … โทษนั้นเรียกว่าคำสาปแช่ง และถ้ามันเป็นอย่างนั้น พ่อคือพระเจ้าจะช่วยเขาด้วยวิธีนี้แหละ คือวิธีคริสตมาส ก็คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เราลองอ่านกันนิดหนึ่ง เพื่อจะได้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไร?

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์  ผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้  ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้  เพื่อท่านทั้งหลาย” … เอเมน …

 

“ผู้เป็นลูกแกะปราศจากตำหนิ” ภาษาเดิม ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากมลทิน  พูดง่ายๆ ก็คือผู้เป็นลูกแกะ อันปราศจากบาป ไม่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ที่ตะกี้เราอ่าน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในระหว่างที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์ทรงมีสภาพเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ เพราะเกิดในครรภ์ของหญิง มนุษย์ผู้หญิง เกิดในมดลูกเหมือนเราทั้งหลาย  และพระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนมนุษย์อย่างเรา ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ต้องผ่านการทดลอง เหมือนมนุษย์เรา เจ็บปวด มีอารมณ์ เหมือนมนุษย์เราทุกคน

ฮีบรู 4:15 “เราไม่ได้มีมหาปุโรหิต ซึ่งไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอต่างๆ ของเรา แต่ทรงถูกลองใจ เช่นเดียวกับเราทุกประการ  กระนั้น ก็ทรงปราศจากบาป

 

ตรงนี้กำลังจะบอกว่าพระเยซูเข้าใจเราได้ เวลาเราทุกข์ บางครั้งเราบอก

“พระเจ้าไม่รู้เหรอว่าลูกทุกข์อย่างไร?”

รู้ พระองค์ทรงทุกข์เหมือนเราเลย โดนตะปูตำ ก็เจ็บเท่ากัน เข้าใจใช่ไหมครับ เหมือนกันเลย ไม่มีผิดเลย ฉะนั้น พระองค์รู้ไหม? พระองค์รู้หมด เพราะว่าพระองค์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทั้งหลาย ในนี้บอกว่าเช่นเดียวกันกับเราทุกประการ ดังนั้น ก็ทรงปราศจากบาป ก็คือเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่ไม่มีบาปเลย ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาป และไม่เคยทำบาป เดี๋ยวเราตามต่อไปว่าพิสูจน์กันตรงไหน?

ท่านเคยสงสัยไหม? แล้วพระเยซูเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนเรา เดินอยู่บนโลกนี้ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลยเหรอ เป็นไปได้เหรอ ไม่เคยโกรธใครเลยเหรอ? ใครเคยอ่านพระคัมภีร์บ้าง? พระเยซูเคยโกรธไหม? โกรธบาปหรือไม่บาป? บาปหรือเปล่า? เอาล่ะสิ บาปไหม? พระองค์เคยว่าใครแรงๆ ไหม? ตอนที่พระเยซูไปที่หน้าวิหาร พระเยซูล้มกระดานเลย แบบ (เหมือนอันธพาล) ไม่พูดไม่จาเลยนะครับ บาปไหม?

ทำไมพระเยซูที่เป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อหนัง มีอารมณ์เหมือนเรา เหมือนมนุษย์ทุกประการเลย ทำไมพระองค์ไม่เคยทำบาปเลย  เป็นไปได้เหรอ คิดเทียบมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน ถูกไหม? นี้เป็นไปได้เหรอ 33 ปี ไม่เคยทำบาปเลย เพราะสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด คือมนุษย์ทุกคนต้องเคยทำบาป อย่างแน่นอน ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำบาป

โรม 3:10 “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย”

 

ไม่มีสักคนหนึ่งในมนุษย์ทั้งหลาย

โรม 3:12 บันทึกว่า “ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”

 

โอโห้! งงเลยใช่ไหม? เคยมีคนบอกเราว่าเราทำดีแล้วนะ แต่ในนี้บอกไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลย

โรม 3:23 “เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่คือคำตอบ แสดงว่าเป็นบาปแล้ว ทำอย่างไรก็บาป สิ่งที่เราคุยกันว่าเขาทำดี คุณนครทำดี อย่างนี้ดีๆ ในสายตาพระเจ้า ก็ไม่ดี ทุกข้อที่กล่าวมาเมื่อตะกี้นี้ หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นะ ทุกคน ยกเว้นเพียงผู้เดียว คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มีนามว่าเยซูคริสต์ หรือพระเยซู

ทำไมถึงต้องยกเว้น ทำไมต้องยกเว้นพระเยซูเพียงผู้เดียว ก็เพราะย้อนกลับไป เราเรียนรู้สัปดาห์ที่แล้ว ก็เพราะเซลแรกของพระเยซู เป็นเซลที่ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปจากมนุษย์เลย เซลแรกของพระองค์ เป็นเซลที่เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอะไรก็ไม่บาปทั้งสิ้น เพราะทุกสิ่งที่พระองค์ทำเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นบุคคลเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “น้ำพระทัย”

ยังจำได้ไหม?  เราคุยกันบ่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับบาปหรือการทำบาป

“บาป” คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? ผมพูดบ่อยเรื่องนี้ บาป คืออะไร? การทำบาป คืออะไร?

การทำบาป คือการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

พูดพร้อมกัน “ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือบาป”

คราวนี้ท่านรู้แล้วนะ  คำว่า “บาป” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sin” นี้ ตามรากศัพท์ภาษาเดิม หมายถึง Missing the target แปลว่าผิดเป้าหมาย ก็คือไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็น ผิดเป้าหมายจากใคร? ผิดเป้าหมายจากที่พระเจ้าตั้งใจไว้

บางคนเขาเคยเข้าใจผิด คิดว่าสาเหตุที่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาปนั้น เพราะว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เลยได้รับติดเชื้อจากผลไม้ พระเจ้าเอาเชื้อติดไว้ที่ผลไม้ ไปกินผลไม้ เลยติดเชื้อเข้ามา สมมติๆ ว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกแอปเปิ้ล เราใส่กันเอง สมมติว่าเป็นแอปเปิ้ล พระเจ้าไปฉีดเชื้อในแอปเปิ้ล เข้าไปในนั้นว่าใครกินเชื้อนี้ติดเขาไป ไม่ใช่ … ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เลยนะครับ จริงๆ แล้วที่บอกว่าอาดัมทำบาป ก็เพราะว่าอาดัมไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งพระเจ้า ทำผิดไปจากเป้าหมายที่พระเจ้าไว้ พระเจ้าตั้งความหวังไว้ให้เจ้าเชื่อฟัง อย่าทำสิ่งที่บอกว่า “อย่าทำนะ” อย่างนี้เรียกว่าดื้อ พระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ อาดัมก็ทำ รวมความ ก็คือไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง  ไม่ใช่ เพราะติเชื้อจากผลไม้

คงมีอะไรบางอย่าง คงลึกซึ้งมาก พระเจ้าจะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เอาเป็นว่ายกผลไม้ขึ้นมา ให้เป็นอะไรบางอย่าง ที่ให้เรารู้ว่าพระเจ้าสั่งว่าอย่าทำ แต่อาดัมกับเอวาไปทำ ตรงนี้สำคัญมากกว่า คือความไม่เชื่อฟัง  การละเมิดกฎ

การทำบาป ก็คือไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้ในยอห์น 10:30 อย่างนี้นะครับ ทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าทำไมพระเยซูไม่เคยทำบาป

ยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 

“เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” ก็คือเป็นผู้คนเดียวกัน คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกันหมดเลย พระเยซูกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ก็คือมาจากพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทุกอย่างเท่ากับพระเจ้าทำเองเลย หนึ่งเดียวกันแปลว่าอย่างนี้ พระเยซูก็บอกไว้แบบนี้ ในหนังสือท่านก็ดูเองนะครับ ให้ท่านอ่านตรงนี้ดู แล้วให้ท่านสังเกตดูว่าพระเยซูทำอะไร? ถึงทำให้เราเห็นชัดว่าพระเยซูไม่มีบาป สังเกตให้ดีๆ นะครับ

ยอห์น 8:23-29 “23 พระองค์ตรัสว่า  “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง  เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้  เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราบอกแล้วว่า “ท่านจะตายในบาปของท่าน  ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะตายในบาปของท่านอย่างแน่นอน” 25 พวกเขาทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็อย่างที่เราอ้างมาโดยตลอด 26 เรามีหลายอย่างที่จะพูดในการตัดสินท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้น เชื่อถือได้ และสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก 27 พวกเขาไม่เข้าใจที่พระองค์กำลังบอกพวกเขา เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ 28 ดังนั้น  พระเยซูจึงตรัสว่าเมื่อท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ได้ทำอะไรโดยลำพัง แต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนไว้ 29 พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” … เอเมน …

 

ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็สบายสิ เป็นความใฝ่ฝันของเรา … เราอธิษฐานกันตลอดเลย อยากทำตามน้ำพระทัยพระองค์ทั้งหมด  พระเยซูบอกว่าอะไรในนี้

“สิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้น เราก็แจ้งแก่โลก”

ก็คือพระองค์พูดจากพระเจ้าบอกให้พูด ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ชีวิตเราคงมีความสุขมากกว่านี้เยอะเลยนะ จะพูดอะไร?  พระเจ้าบอก

แล้วอะไรอีก “และเราไม่ได้ทำอะไร โดยลำพัง แต่พูดตามที่พระวิญญาณได้สอนเราไว้”

พระวิญญาณบอกให้พูดอย่างนี้ เราก็ไปพูด เราเป็นตัวแทน ดังนั้นทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกเราเป็นตัวแทนพระเยซูคริสต์ ให้ออกไปประกาศข่าวดีนะ ท่านเคยพูดเหมือนพระเยซูพูดไหม? ท่านมั่นใจว่าที่ท่านพูด คือพระเยซูพูด เชื่อไหม? เป็นคำถามไว้  ท่านกลับไปถามพระเจ้าแล้วกันนะ

พระเยซูพูดนะ “พระองค์ผู้ทรงส่งเรามา สถิตกับเรา” หมายถึงพระเจ้าสถิตกับพระเยซู

“พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ลำพัง ไม่เคยทิ้งเราไปเลย เพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ”

เพราะอะไร? พระเจ้าไม่สามารถอยู่กับคนบาปได้ มันเป็นศัตรูกัน

“พระองค์อยู่กับข้าพระองค์เสมอ” คือพระบิดาอยู่กับพระเยซูเสมอ ก็เพราะว่าเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ ก็คือไม่มีบาป

ถ้อยคำตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูตรัสเอง และเป็นคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูซึ่งมีสภาพเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และเผชิญกับการทดลองบนโลกนี้ โดยพระองค์ไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เห็นหรือยัง? ขอบคุณพระเจ้านะ

ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำว่า “บาป” ที่เราวิเคราะห์กันว่าบาปนั้น หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า การเป็นศัตรูกับพระเจ้า การกบฏ การไม่เชื่อฟัง ดื้อ ฝืนกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ล้วนเรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะอะไร? เพราะว่าบาปตรงนี้ ก็คืออะไรก็ตามที่เราต่อต้านกับพระเจ้า และจริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ที่มีบันทึกมาจนถึงทุกวัน เท่าที่หาได้ เท่าที่หาได้ในพระคัมภีร์ มีเพียง 2 พวกเท่านั้น จากที่พระเจ้าทรงสร้างมาทั้งหมดเลยนะ ทำบาปกับพระองค์ กบฏต่อพระองค์ รู้ไหมว่าใคร?

พวกแรก คือใคร?

พวกที่สอง คือใคร?

เอาพวกที่สองก่อน พวกที่สอง คือพวกมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือต้องเริ่มต้นตั้งแต่อาดัมและเอวา ก็คือบรรพบุรุษของเรา รวมถึงพวกเราทั้งหมด เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด

ท่านรู้ไหมพวกแรกก่อนที่มนุษย์จะล้มลงไปในความบาป พวกแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา แล้วก็ละเมิดกฎของพระเจ้า คือใครรู้ไหมครับ? ลูซีเฟอร์และสมุนของมัน คือชื่อๆ หนึ่งที่พระเจ้าประทานให้ ตอนสร้างทูตสวรรค์องค์นี้ แต่ตอนนี้เราเรียกกันว่า … เรารู้จักกันในนามของซาตาน และสมุนของมัน ทำบาปต่อพระเจ้า  กบฏต่อพระเจ้า ถูกลงโทษเหมือนกัน  เข้าใจใช่ไหม มี 2 พวก เพราะฉะนั้น การที่เราถูกลงโทษนั้น มนุษย์นั้นถูกลงโทษ เราเรียกว่าคำสาปแช่ง

คำสาปแช่ง คืออะไร? คำสาปแช่ง คือคำตัดสินของศาลว่าเราทำผิดกฎระเบียบกับเรา เราต้องโดนลงโทษ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายกับเรา ไม่ใช่พระเจ้าตั้งใจจะลงโทษเรา แต่กฎหมายวางไว้ เราได้รับการลงโทษ เมื่อเราฝ่าไฟแดง ไม่ใช่ตำรวจมาจับเราเข้าคุก หรือตำรวจจะมาปรับเงินเรา แต่ผู้ที่ปรับเรา ก็คือไม่ใช่ศาลด้วย แต่เป็นกฎหมาย ศาลเพียงแต่มาอ่านให้ฟังว่าทำอย่างไร? ตำรวจทำหน้าที่มาจับเราไป  อะไรอย่างนี้ เราจะได้เห็นภาพชัดเจน

ถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้ ท่านก็จะสามารถเข้าใจเลยว่าทำไมพระเยซูจึงปราศจากบาปตลอดชีวิตของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทำอะไรก็ตาม ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่างเลย พระเจ้าบอกให้ทำ ก็ทำ เหมือนเราไหม? พระเจ้าบอกให้ทำ เราก็คิดไว้ในใจ  เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ตามไปเรื่อยๆ จะได้เห็นว่าเอ๊ะ! เราจะเหมือนพระเยซูไหมหน่อ! ตอนนี้หลายคนบอกเราเหมือนพระเยซู เราเหมือนพระองค์ ดูสิว่าเหมือนขนาดไหน?

ถามว่าเพราะอะไรครับ? เพราะพระเยซูทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ พระองค์จึงไม่ทำบาป ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็ไม่ทำบาปเหมือนกัน คือทุกสิ่งที่เราทำ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมดเลย ถูกไหม? แล้วถามว่าแล้วท่านรู้ไหมว่าที่ทำไปนั้น เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? เดี๋ยวค่อยติดตามต่อไป

พระเยซูทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งหมด ทำ เขาเรียกว่าสิ่งที่พระองค์ทำ ก็คือพระเจ้าบอกให้ทำ ก็คือเชื่อฟัง ทำตาม และที่พระเยซูสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ฟังนะ สามารถทำในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยได้เสมอ ก็เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเจ้า พระองค์จึงทำได้

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และทำทุกสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ก็คือหมายความว่าทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยพระเจ้านั่นเอง แต่มนุษย์ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ก็คือไปเองว่าหลายๆ อย่างที่พระเยซูทรงทำนั่นแหละบาป

จะพาท่านไปให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ยกตัวอย่างเช่นที่ตะกี้ผมถามใช่ไหม? โกรธ บาปไหม? บาปนะครับ เพราะโกรธเป็นตามน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? เป็นไหม? ไม่เป็น

อ้าว! พระเยซูโกรธ ทำอย่างไรล่ะ พระเยซูโกรธ เราก็บอกว่าพระเยซูบาป ถูกไหม? ที่ตะกี้ที่ผมบอกว่าเราตัดสินพระเยซูเอง ไม่ใช่พระเจ้าตัดสิน เราตัดสินเอง พระเยซูโกรธ เราบอกว่าบาป เพราะกฎบอกถ้าโกรธ บาป เพราะฉะนั้น พระเยซูทำอย่างนี้ แสดงว่าบาป นี่ใครคิด? ใครตัดสิน? มนุษย์ตัดสิน พระเยซูโกรธ ก็บอกว่าพระเยซูบาป

พระเยซูรักษาวันสะบาโต ก็บอกว่าบาป อันนี้ เห็นชัดขึ้น วันสะบาโตรักษาคนป่วย ก็บอกว่าบาปอีก เพราะอะไร? ใครคิด? มนุษย์คิด

พระเยซูนั่งทานข้าวกับพวกคนเก็บภาษี ก็บอกว่าบาป

พระเยซูพูดความจริงว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระบิดาทรงใช้เรามา” มนุษย์ยิ่งบอกว่าบาปมโหฬาร รับไม่ได้เลย คราวนี้รับไม่ได้แล้ว เพราะใครคิด?

ถามว่าที่พระเจ้า ที่พระเยซูพูดทั้งหมดนั้น มาจากใคร? ตามพระคัมภีร์ ก็คือมาจากพระเจ้าบอกให้พระองค์พูดอย่างนั้น ใช่ไหม? หมิ่นไหม? หมิ่นพระเจ้าไหม? บอกไม่หมิ่น เพราะอะไร? โกรธ สรุปแล้วบาปไหม? ตอนนี้ ไม่บาป เพราะอะไร? ไม่บาป เพราะว่ามันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ให้ทำ เราไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เราคิดของมนุษย์เองว่าอย่างนี้ ถ้าตามภาษามนุษย์ เห็นไปแล้วว่าบาป เราคิดของเราเองตลอดเลย เห็นไหม?  บางอันก็คิดแล้ว พอจะรู้เรื่อง บางอันคิดก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดสินไปอย่างนั้นแหละ เพราะนี่คือความคิดของมนุษย์ … มนุษย์คิดไปเองว่าถ้าทำอย่างนี้ เรียกว่าบาป ทำอย่างนั้น คือบาป ทำอย่างนี้ คือไม่บาป แถมยังมนุษย์ไม่ทำอย่างนี้บาป แถมมีการแบ่ง สำหรับพระเจ้าไม่มี

คำว่าแบ่ง บาปนิดหน่อย มนุษย์บาปน้อย ทำอย่างนี้บาปแรง มนุษย์แบ่งทั้งนั้น แต่สำหรับพระเจ้า บาป ก็คือบาป  ไม่บาป ก็คือไม่บาป ไม่มีหรอกว่าบาปนิดหน่อย ไม่มี เข้าใจใช่ไหมครับ อะไรก็ตาม สำหรับพระเจ้า ที่มนุษย์หรือใครก็ตามไม่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเรียกว่าน้ำพระทัย ความประสงค์ หรือ Target หรือเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อไรท่านเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เรียกว่าดวงอาทิตย์มันทำบาป ท่านจะได้สบายใจ ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ดวงอาทิตย์ยังทำบาปได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์บาป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่อย่างนั้นตกใจ

“อยู่ดีๆ มาว่าฉันเป็นคนบาป”

พอประกาศข่าวดี บอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาป

“โอ๊ย! ฉันบาปที่ไหน? ฉันทำอะไรผิดตรงไหน?”

มนุษย์จะคิดถึงอย่างนี้เสมอ ตอนนี้เข้าใจแล้ว เขาจะไม่ตื่นเต้น แล้วเขาจะรู้ว่านี่เป็นเหมือนหลักวิทยาศาสตร์ เหมือนอะไรบางอย่างที่เป็นกฎระเบียบทางวิทยาศาสตร์ที่วางไว้ ผลและเหตุอะไรต่างๆ เหล่านั้น เนี้ยเราเรียนรู้ทางพระเจ้า ทางวิทยาศาสตร์ มันจะชัดเจนอย่างนี้ จะพูดอะไรก็ได้ มันใช่หมดเลย  ไม่มีแย้งเลย

รู้แล้วใช่ไหมครับ บาปทั้งสิ้น คืออะไร? บาปทั้งสิ้น ก็คือการไม่ทำอะไรก็ตามที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ฝืน กบฏต่อพระเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม และตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินอยู่ในโลกใบนี้ ในสภาพของการเป็นมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบังเกิดมา พระองค์บอกว่าพระองค์ทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยเสมอ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าหมดเลย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงไม่มีบาป ไม่เคยทำบาปเลย เอเมน นี่พระเยซูพูดเอง

และอย่างที่ผมบอกพระเยซูปราศจากบาป ไม่เคยทำอะไรที่ผิดเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งไว้เลย ก็เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เซลแรกของพระองค์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเยซูจะทำอะไร? ก็ถูกหมด ไม่มีคำว่าบาป  ซึ่งหมายถึงตรงกันข้าม แม้ในสายตาของมนุษย์อาจดูเหมือนว่ากำลังทำบาป แต่สำหรับพระเจ้าบอกว่า.-

“พระเยซูทำไม่บาปเลย ดีมาก เพราะเราเป็นผู้ต้องการให้เขาทำอย่างนี้แหละ เขาทำตามน้ำพระทัย เขาทำตามฉัน เขาเชื่อฉัน บาปคือกบฏ นี่เขาเชื่อฉัน บาปคือไม่เชื่อฟัง นี่เขาเชื่อ”

เข้าใจใช่ไหมครับ? ในทางตรงกันข้าม มนุษย์เราทุกคนเป็นคนบาป เซลแรกของเรา ก็เป็นเซลที่มีเชื้อบาป  เกิดจากเชื้อพ่อที่เป็นคนบาป ผสมกับไข่แม่ที่เป็นบาป เกิดเป็นเซลแรกเป็นบาป เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็บาป แม้สิ่งที่เราทำ จะเหมือนว่าทำดี ในสายตาของมนุษย์และในสายตาของเราเอง ที่เป็นมนุษย์ รู้สึกว่าทำดี ทำถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ตามน้ำพระทัยพระเจ้าเมื่อไร? อย่างไรก็เรียกว่าบาปอยู่ดี ต่อให้มนุษย์บอกว่ามันดี แต่สิ่งนั่น ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า มันก็บาป ก็เหมือนกับการติดกระดุม เข้าใจไหม? ถ้าเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด ติดเพลินไปเลยนะครับ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร? ผิด ถ้าเม็ดแรกผิด ต่อให้ติดต่อไปอย่างไร ก็ผิดหมด ไม่มีวันถูกต้อง ต่อให้มีเมตตา คิดให้ดีๆ ต่อให้หลายคนบอก หรือตัวเราเองบอก หรือคนข้างเคียงบอกว่าเราเอง เป็นคนมีเมตตา เป็นคนดี  ทำดี มีจิตใจเมตตา บริจาคอยู่เสมอ จะทำดีอย่างไรก็ตาม ทำอย่างไรๆ ก็ผิด เพราะความตั้งใจหรือสำนึกในใจมันผิด ข้างในผิดแล้ว เริ่มต้นมันผิดแล้ว เหมือนกระดุมเม็ดแรกมันผิด แม้ว่าจะดูเหมือนถูกนะ แต่พระเจ้าบอกว่ามันผิดตั้งแต่แรกแล้ว มันก็ต้องผิด

คนจะเถียงเรื่องนี้เยอะ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้เยอะ คิดว่ามันต้องถูก เพราะใครๆ ก็บอกถูก แต่พระเจ้าบอกไม่ถูก ผิด เพราะผิดตั้งแต่แรกแล้ว และการกระทำนั้น เราเอง คนนั้นเอง ก็จะไม่รู้ตัว เราเองอาจจะบอกว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ลึกๆ ข้างในเราก็ยังต้องคิดให้ดีๆ ว่าถ้าพระเจ้าผู้ซึ่งดูจิตใจลึกๆ ข้างในของเรา รู้ข้างลึกๆ ของเราทำอะไร? แม้แต่เราเอง เรายังไม่รู้เลย เราทำไปเพื่ออะไร? มันอาจจะปิดลึกซึ้งมาก จนกระทั่งเราไม่เห็นตัวเราเอง แต่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยิ่งกว่า ยิ่งกว่า TC สแกนอีก สแกนเข้าไปเลย เห็นชัดเลยว่าเราทำสิ่งนั้น มันเมตตาจริงไหม? เราบริจาคด้วยความจริงไหม? หรือเรากำลังทำเพื่อตัวเอง  เช่น อันนี้ชัดเลย เช่นเราถวายเงินสร้างโบสถ์ แต่เราต้องการชื่อเสียง ต้องการให้คนยกย่อง ต้องการให้พระเจ้าอวยพรเราร่ำรวย เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ อาจจะเป็นไปไม่ได้มาก นิดเดียว แอบๆ อยากจะมีเกียรติสักนิดหนึ่ง เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ เยอะๆ เป็นไปได้เยอะ นิดเดียวก็อาจจะเป็นไปได้ไหม?  บางคนอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเห็น … เห็นไม่ค่อยชัด แต่ไปคิดลึกๆ บางทีก็แอบๆ นะ

“แต่ถ้าอาจารย์พูดชื่อเราหน่อย เราเป็นคนถวาย เราก็จะดูเท่ห์นิดหนึ่งนะ แอบดีใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโบสถ์ไป ถวายไปตั้งเยอะ แอบดีใจไม่ได้ว่าโบสถ์นี้อยู่ได้ เพราะฉันถวายนะ แอบดีใจไม่ได้ว่าอันนี้ก็เป็นของฉัน”

มันแอบนิดๆ นะ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แต่รอบข้าง ดูเหมือนเรากำลังทำสิ่งที่ดีนะ ถวายสร้างโบสถ์นี้เห็นชัด

น้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราทำอย่างนั้นไหม? ต้องการให้เราถวาย แล้วมีความรู้สึกในใจอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่ แสดงว่าเราไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม? แสดงว่าที่เราให้ไป ได้ผลไหม?  เป็นดีไหม? เป็นบริสุทธิ์ไหม?  เป็นบาปหรือไม่บาป ตอบ “บาป” เสร็จเลย เห็นหรือยัง? แค่นี้ก็ตายแล้ว แย่เลยนะครับ

เช่น เรามีเมตตาช่วยคนยากไร้ ดีไหม? ดี สายตามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้บอกว่าดี แต่ใครจะไปรู้ ลึกๆ ในจิตใจเรา … เราอาจจะกำลังสะสมความดี เพื่อไปสวรรค์ก็ได้ เป็นไปได้ไหม? เรากำลังสะสมความดี เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ เพราะเราช่วยคนยากจน คนยากไร้ เผื่อว่าวันหนึ่งเรายากไร้ จะได้มีใครมาช่วยเราได้ เคยคิดอย่างนี้บ้างไหม? หรือในอดีตเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม?  ถูกไหม?  และนั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? พระเจ้าให้เราทำมีเมตตา ถูกต้อง แต่ไม่ใช่สุดๆ แล้วทำเพราะเราจะพึ่งตัวเราเองไปสวรรค์ เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อให้เราเกิดใหม่ สามารถบังเกิดใหม่และไปสวรรค์ได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้ารู้ว่าถ้าเราพึ่งตัวเองเมื่อไร? เราไปไม่รอด พระเจ้ารักเรา อยากจะช่วยเราไปสวรรค์ นี่คือน้ำพระทัย ถ้าเราฝืนน้ำพระทัย เราไม่ทำตาม ก็คือบาป เห็นไหม?  นี่คิดตามหลักตรรกะวิทยา ด้วยเหตุและผลเลยนะครับ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จงทำด้วยความเชื่อ ถ้าเราทำอะไรก็ตาม ด้วยความเชื่อ มันก็จะไม่บาป  หมายถึงเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู ในทางกลับกัน อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งสิ้น

คำว่า “เชื่อ” นี้ คือเชื่อฟังพระเจ้าหมดเลย เริ่มต้นตั้งแต่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็เชื่อฟังมาตลอด ถ้าทำตรงนั้น ตามกฎนะ ไม่เรียกว่าบาป โรม 14:22 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 14:22 “สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้ เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

คือตรงนี้บาป เปาโลกำลังสอน เพราะว่ามีคนเขาแย้งกันว่ากินอันนี้บาป กินอันนี้ได้ไหม? กินมังสวิรัติได้ไหม?  กินเนื้อได้ไหม? กินได้ไหม? กินนี้ได้ไหม?  เปาโลก็พยายามบอกไป แล้วแต่ความเชื่อนะ พูดง่ายๆ ทำอะไรก็ได้ แต่ผมต้องการประโยคสุดท้ายนี้มากกว่า ก็คือ “การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

การกระทำใดๆ ของเรา ถ้าไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป เพราะถ้าเราไม่ได้ทำด้วย ความเชื่อ ก็แปลว่าเรายังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูเลย ความเชื่อนี้หมายถึงเริ่มต้นเชื่อพระเยซู เชื่อพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าเราสามารถบังเกิดใหม่ เชื่อก็คือพึ่งในพระเจ้านั่นเอง ความเชื่อนี้แปลว่าพึ่งในพระเจ้านั่นเอง แต่ถ้าเกิดใหม่แล้ว รู้จักพระเจ้าแล้ว เราทำด้วยความเชื่อข้างใน ถ้าเราเกิดใหม่แล้ว ความเชื่อนี้มันเกิดที่ไหน? ที่ข้างใน พอเกิดความเชื่อข้างใน เราจะทำอะไรก็จากข้างในออกมาข้างนอกแล้ว เข้าใจไหม? ก็จะคล้ายกับพระเยซูเมื่อสักครู่นี้แล้วว่าพอเราเชื่อในพระเจ้า โดยความเชื่อนี้ เราสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูบอกพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาอย่างไร เราก็เลยกลายเป็นหนึ่งอย่างนั้นด้วย เราก็มีโอกาสทำคล้ายๆ พระเยซูได้เช่นเดียวกัน เอเมน

นี่คือเคล็ดลับ ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีบาปแน่นอน แต่ดูข้างนอกเหมือนมีบาป แต่ข้างในบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้า คือไม่มีบาปเลย แต่ถ้าเรากระทำสิ่งใดๆ ด้วยความเชื่อ อย่างจริงใจในชีวิตของเรา ในจิตใจของเรา ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สิ่งนั้น ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และเมื่อเป็นสิ่งที่พอพระทัย เราก็รู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นบาป ทำไปเถอะ ถ้าเรามั่นใจ เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ แม้ว่าบางครั้งในสายตาคนอื่น อาจจะดูเหมือนขัดแย้งว่าเรากำลังทำบาปอยู่ ก็ตาม มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  อันนี้ยกตัวอย่างสั้นๆ มีเวลาน้อย ค่อยมาไล่เรียงกันละเอียดอีกทีหนึ่ง

อย่างเช่น หลายคนเคยถามผมนะครับ เขาเป็นหัวหน้าคนงาน

“คนงานให้อภัยหลายครั้งแล้ว  … แล้วก็ยังคดโกง ไม่มีอนาคตเลย ผมจะทำอย่างไรดี?”

“ก็ไล่ออกสิ ถ้าคดโกง ถึงขนาดขโมยของ ให้เรียกตำรวจมาจับด้วย”

“อย่างนี้มันโหดร้ายไปหน่อยไหม?”

พอเข้าใจใช่ไหม? ผมกำลังจะบอกท่าน พอเข้าใจไหม?  ถ้าเราปล่อยเขาไป เขาอาจจะตายก็ได้ เขาจะไปทำหนักกว่านี้ก็ได้ เห็นไหม? แต่เมื่อเราอธิษฐาน เราจะรู้ว่าวันหนึ่ง บางคนอธิษฐาน ไม่สามารถเท่ากันทุกคน บางคนบอกว่าคนนี้ ทำไป 3 ครั้ง ครั้งที่สี่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเอาเป็นกฎเกณฑ์ คนอื่นทำมา 3 ครั้ง เกิน 4 ครั้ง ครั้งที่ 4 เรียกตำรวจจับเลย ไม่แน่ บางคน ถ้าเราอธิษฐานกับพระเจ้า บางครั้งอาจครั้งเดียวเราก็เรียกตำรวจจับแล้ว หรือบางครั้งอาจจะ 10 ครั้ง เราจึงเรียกตำรวจจับก็ได้ ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับเรามั่นใจด้วยความเชื่อไหมว่าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้เกลียดชังเขา ไม่ได้โมโหเขา ทำให้เราเจ๊ง ไม่ได้โมโหเขา เอาเงินเราไป ไม่ได้โมโห แต่เราทำเพราะข้างในบอกว่ารักแท้มาจากพระเจ้า  เห็นไหม? คุณมั่นใจตรงนั้นไหม? ถ้ามั่นใจ ทำไปเถอะ ไม่ผิดเลย เอเมน

นี่สายตามนุษย์ เขามองข้างนอก เขาก็จะตัดสินเลยว่าครั้งเดียว ก็ทำแล้ว แต่นี้คนนี้ 4 ครั้ง เขาถึงจะทำ พอมองเห็นไหม? ผมพยายามให้ท่านได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งผู้รักษากฎหมาย ตำรวจอย่างนี้ ตำรวจปกป้องคนดี ปกป้องคนที่ถูกต้อง และจับคนชั่วร้าย ต่อสู้กับคนชั่วร้าย บางครั้งยิงตายเลย เป็นอย่างไร? บาปไหม? รู้ไหมว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ในโรม บทที่ 13 บอกว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งอำนาจต่างๆ เหล่านี้ไว้ดูแลคนที่ดีๆ คนที่ชั่ว เขาจะจัดการเอง หมายถึงพระเจ้าให้อำนาจเขาเป็นคนจัดการ ก็แสดงว่ามาจากพระเจ้า ถ้าตำรวจจับท่าน ตอนที่ท่านฝ่าไฟแดง อย่าไปโกรธ ต้องโกรธใคร? โกรธพระเจ้า อ้าว! หมายถึงถ้าโกรธไง แหม! ถ้าจะโกรธ ถ้าจะโมโหว่า.-

“มาจับฉันทำไม?”

ต้องพูดที่เพราะพระเจ้าให้อำนาจกับเขา ในหนังสือโรมบอกไว้ บทที่ 13 ท่านก็ไปโทษพระเจ้า เอเมน

ท่านจะเห็นแล้วว่าพยายามพาท่านไปเห็นชัดๆ เพราะอย่าลืมว่าพระคัมภีร์บอกไว้อย่างไร? บอกว่าความคิดของพระเจ้า ก็สูงกว่าความคิดของเรา ทางพระเจ้าก็ไม่เหมือนทางของเรา อิสยาห์ 55:8-9 อ่านพร้อมกันอีกทีหนึ่ง

อิสยาห์ 55:8-9 “8 เพราะความคิดของเรา ไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งวิถีทางของเจ้า ไม่เป็นวิถีทางของเรา 9 ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเรา ก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเรา ก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น”

 

สำหรับพระเยซู พระองค์ทรงกำเนิดจากเซลของพระเจ้า ไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์เลย ดังนั้น ในพระองค์จึงไม่มีบาปเลย และเพราะพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น จึงเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น และเสมอด้วย ดังนั้น พระองค์จึงไม่เคยทำบาปเลย และสำหรับมนุษย์ทุกคน เราเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ มีเชื้อบาปที่ถ่ายทอด ส่งต่อกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษ และเมื่อเรามีเชื้อบาปอยู่ในตัว โดยธรรมชาติแล้ว เราก็มักจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอ แนวโน้มมันจะไปทางตรงกันข้าม จะกบฏอยู่เรื่อย

มนุษย์จึงได้ชื่อว่าเป็นคนบาป และกระทำบาปอยู่เสมอๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า เพราะอะไร? เพราะเมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เชื้อบาป ที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา คืออยู่ที่ไหน? เรียนรู้กันไปแล้ว ตอบสิ

“เชื้อบาปที่อยู่ในตัวจริงๆ ของเรา อยู่ที่ไหน?”

ตอบ “อยู่ในวิญญาณของเรา”

มันทำไม? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรานะ เชื้อบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา ได้ถูกชำระล้าง โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้สะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเรารับเชื่อ รับการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดที่ไหน? ที่วิญญาณของเรา แต่ร่างกายที่เรายังต้องอยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังนั่งสลอนกันอยู่ตอนนี้ หรืออยากกินโน้นกินนี้ หรืออยากจะโมโห อยากจะเตะคนนี้ อะไรอย่างนี้ นั่นไม่ใช่วิญญาณของเรา นั่นเป็นร่างกายของเรา ส่วนมากเป็นร่างกายของเรา

โกรธจากวิญญาณมีไหม? มี บริสุทธิ์ใจ แต่สำหรับเรานะ มันโกรธจากเนื้อหนังซะมากกว่านะ เข้าใจใช่ไหมครับ ผมกำลังพยายามอธิบายให้ท่านฟัง

ขอบคุณพระเจ้า เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราได้รับการชำระจากพระวิญญาณของพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดหมดจด แต่เนื้อหนังเราจะสกปรก หรือยังมีเชื้อของบาปอยู่ก็ตาม ทุกสิ่งที่เรากระทำ เราจึงมีโอกาสที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มากขึ้นกว่าไม่ได้เชื่อเลย ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราจึงมีโอกาส ทำได้มากขึ้น เอเมน เวลาเราอธิษฐาน เราจึงบอกว่าขอให้เราทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น เราทำได้แล้ว ตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้ เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราทำไม่ได้เลย  ตอนนี้วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เผอิญๆ ร่างกายต้องอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ถ้าพระเจ้าเอาเราออกจากร่างกายนี้ไปเลย ก็สบายแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ แต่พระเจ้าจะใช้เราในโลกนี้อยู่ เลยให้อยู่ในร่างกายนี้ก่อน บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานให้กับพระองค์ ดังนั้นเราจึงมีศัตรู คือร่างกายนี้ จะทำอะไรก็ตามที่ดื้อต่อพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า แต่วิญญาณไม่ทำแล้ว

เพราะฉะนั้น ด้วยความเชื่อ เราจึงมีโอกาสที่จะทำทุกสิ่ง โดยความเชื่อและไม่เป็นบาปเลยได้ มีโอกาส ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าทุกสิ่งที่เรากระทำด้วยความเชื่อ ก็คือเชื่อทางวิญญาณว่าเราบริสุทธิ์ ด้วยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พึ่งในพระเยซูคริสต์ จะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เหมือนที่พระเยซูได้กระทำว่ามันไม่บาป คือเชื่อในการไถ่บาปและการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ว่าเราเชื่อในพระเจ้า  พระเยซูไถ่เราแล้ว  ถ้าเชื่อตรงนี้ มันบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว โอกาสทำถูกต้อง มันก็มีมาก สามารถควบคุมเนื้อหนังได้บางนะครับ  และแม้กระทั่งบางครั้ง เราอาจจะล้มลงไปในการทดลองของเนื้อหนัง ไปฝืนกฎระเบียบของพระเจ้า ตามที่เนื้อหนังมันพาไปทำ มีไหม? มี มันมีอยู่แน่นอน แต่ขอบคุณพระเจ้า เราก็ไม่ได้ต้องเป็นคนบาปตรงนั้น เราเป็นคนบาปที่ได้รับการอภัยและอภัยเสมอ อภัยตลอดไป นี่เป็นตรงนี้ การเป็นคริสเตียนจึงได้เปรียบตรงนี้ ข้างในมันสะอาด ข้างนอกสกปรก ยังทำผิดพลาด แต่ผิดพลาด พระเจ้าก็อภัยให้ล่วงหน้าเลย แต่เราก็ต้องคอยลุ้นว่าจะได้รับโทษของการผิดตรงนั้นไป อย่างไรบนโลกใบนี้ ก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบของโลกใบนี้  เอเมนไหม? เอเมน

จำได้ไหม? หว่านสิ่งใด ก็ได้รับสิ่งนั้น หว่านแตงโม ก็ได้แตงโม เพราะฉะนั้น หว่านในสิ่งดีๆ นะ ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  แต่สมมติถ้าเราไม่เชื่อพระเยซูเลย  ทำอะไร มันก็เลยผิดหมด เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด จะทำดี มีเมตตา จะบริจาค มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นได้เลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เพราะมันกระทำไม่ได้โดยความเชื่อ เพราะมันกระทำไม่ได้มาจากความเชื่อ … ความเชื่อในอะไร? เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพราะพระคัมภีร์บอก พระเจ้าบอกแล้วว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า คือความรอดจากบาป และต้องมาจากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น นั่นคือน้ำพระทัยพระเจ้า วนๆ มาก็อยู่ตรงนี้แหละ มันจึงต้องมาอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจของความรอดทั้งหมด

สรุปแล้ว ตอนนี้เรารู้แล้วพระเยซูเป็นใคร? เรามาที่นี่วันนี้ได้อย่างไร? เรามารู้จักพระเจ้า รู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร? ก็เพราะพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับเรา ตามที่พระเจ้าได้บันทึกถึงเรื่องพระเยซูมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้  เป็นหลายๆ พันปี

เมื่อหลายพันปีก่อน ผู้คนไม่เชื่อว่าหญิงพรหมจารีจะสามารถตั้งครรภ์และคลอดลูกได้ มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่พระคัมภีร์บอกว่าได้ บอกตั้งแต่เริ่มต้นพระคัมภีร์เลย หลายพันปีแล้ว บอกว่าหญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ เราก็บอกว่าเป็นไปได้อย่างไร? เถียงมาตลอด ตั้งหลายพันปี แล้วพอมายุคนี้ ไม่กี่สิบปีนี้เอง เราก็รู้ว่าหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์ได้จริงๆ ตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์พูดไว้เป็นความจริง

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าโลกกลม คนก็ไม่เชื่อ แย้งกับพระเจ้า แล้วในที่สุด ก็พิสูจน์ให้เห็นและรู้ว่าโลกกลมจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน พระคัมภีร์บอกว่าโลกลอยอยู่ในอวกาศ ลอยอยู่นะ แต่ความเชื่อตั้งแต่โบราณว่าโลกมีฐานรองรับ คือตั้งอยู่บนอะไรอย่างหนึ่ง เหมือนตั้งอยู่บนพานอย่างนี้ ต่อมานักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบว่าพระคัมภีร์บอกไว้นั้นเป็นจริง คือโลกลอยเคล้งอยู่ในอวกาศจริงๆ

เมื่อหลายพันปีก่อน  พระคัมภีร์บอกแล้วว่าดวงดาวที่เป็นบริวารของฟ้าสวรรค์ทั้งหมด ที่มองขึ้นไป มีจำนวนมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วน นักวิทยาศาสตร์ เมื่อประมาณสักหลายปีก่อน สร้างกล้องพอที่จะมองเห็นได้ มองเห็นได้นับได้ครับ นับได้ 1,200 ดวง ก็บอกว่ามีประมาณนี้ 1,000 กว่าดวง เท่าที่ตามองเห็น แล้วมาวันนี้เป็นไง เมื่อมีเครื่องบิน มีจรวด นักวิทยาศาสตร์พูดพร้อมกันว่าข้างบนมีดาวต่างๆ ทั้งหมด  นับไม่ถ้วน ตามที่พระคัมภีร์บอกมาแล้วหลายพันปี

ยังมีอีกเยอะแยะนะครับ ที่พระคัมภีร์บอกล่วงหน้าแล้ว ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มีเยอะมาก และเมื่อหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ได้รับการพิสูจน์และยอมรับว่าเป็นความจริง แล้วท่านเชื่อไหมครับ ที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาถือกำเนิดในมดลูกของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ และประสูติในคืนวันคริสตมาส เพื่อมาไถ่บาปมวลมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ พูดมาหลายพันปีนะ ท่านเชื่อไหมตอนนี้  เชื่อไหม? พิสูจน์กันมาเรื่อยๆ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์

ถ้าท่านเชื่อ เหตุการณ์คืนวันคริสตมาสเป็นเรื่องจริงล่ะก้อ อะไรเกิดขึ้น ผมจะบอกให้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือที่เราเรียนรู้มาทั้งหมด ในวันนี้ คริสตมาสคืออะไร? คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ คือวันบริสุทธิ์ วันศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?  ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เขาบอกกันมาตั้งหลายพันปี ถ้าท่านเชื่อเรื่องนี้ ทำไมรู้ไหมครับ? ความบริสุทธิ์นั้น ความสะอาดนั้น พระบุตรนั้น คืนศักดิ์สิทธิ์นั้น เพลงคริสตมาสทั้งหมด จะเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน ไม่ใช่ชีวิตก็ได้ ในตัวของท่านนั่นแหละ

พูดอย่างนี้ท่านก็ไม่เชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเขาก็พิสูจน์อีกแหละ สิ่งที่ผมพูดเมื่อตะกี้นี้ ตามพระคัมภีร์ มันเป็นจริงอีกแล้ว พอเข้าใจไหม ที่ผมพูด ถ้าท่านเชื่อ แม้กระทั่งคริสตมาสที่ท่านเห็นอยู่นี้ ก็บอกมาตั้งแต่นานหลายพันปีแล้ว ต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ และมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นเจ้าของคริสตมาส  มาเกิด และตายเพื่อท่านที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระท่าน พาท่านกลับไปหาพระเจ้า พาท่านกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อตรงนี้ ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับท่าน พระเยซูจะมาสถิตอยู่กับท่าน วิญญาณท่านจะถูกชำระ จะสะอาดหมดจด ใสปิ๊งเลย ท่านจะทำอะไร มีโอกาสทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้มากขึ้น ท่านจะเข้าใจพระเจ้า และเมื่อสิ้นสุดชีวิตนี้แล้ว ท่านจะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล

และก่อนจะไปสิ้นสุดกับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั้น อยู่บนโลกใบนี้นั้น ท่านจะเดินกับพระเจ้าทุกวัน เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านเหมือนที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลาเลย ท่านก็จะได้ฝึกการได้ยินเสียงพระเจ้า … พระเจ้าบอกทำอะไร? พระเจ้าก็จะปกปักคุ้มครองชีวิตท่าน ให้ท่านเดินตามพระองค์ทั้งหมด จนกระทั่งถึงสิ้นชีวิตนี้ และพาวิญญาณท่านไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล เอเมน และเมื่อนั้นคำอวยพรที่เขาอวยพรมา Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนเหล่านั้น คืออะไร?

“ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ  จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

มันก็เกิดขึ้นกับท่าน ตรงหัวใจของท่านตรงนั้นแหละ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2015 เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2015

เรื่อง “ข่าวดีวันคริสตมาส”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

ที่จบไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นละครซึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดเมื่อ 100 กว่าปีก่อน ในเมืองไทยนี้นะครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร? ในวันคริสตมาส ท่านรู้ไหมครับ? นั่นเป็นพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่สงสารและเห็นใจกับคนที่เป็นทาส สมัยนั้น คนที่เป็นทาส ไม่มีโอกาสได้เป็นไทเลยนะครับ มีลูกออกมา ก็เป็นทาส เรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย มีหลานก็เป็นทาส เป็นทาสตลอดไป ไม่มีวันที่จะอิสระ ท่านเห็นสภาพทาสไหมครับ ต้องตกอยู่ใต้ เหมือนสัตว์เลี้ยงของคนที่เป็นเจ้านาย  ท่านเห็นความเมตตาที่มาต่อทาสเหล่านั้นไหม? โดยวิธีอะไรรู้ไหมครับ? ประกาศการเลิกทาสเลย ประกาศทั้งประเทศเราเลยว่าไม่มีทาสอีกต่อไป ใครเป็นทาส เป็นอิสระ สั่งโดยพระเจ้าอยู่หัวที่สูงสุดในประเทศไทย ทุกคนต้องเชื่อฟัง ทาสทุกคนได้เป็นอิสระ คนที่มีทาสมากมาย ต้องยอมปล่อยทาสให้เป็นอิสรภาพ

แต่เกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ ในกรุงเทพฯ ทาสเป็นอิสระหมดเลย  แต่ไปตามหัวเมืองต่างๆ ที่ไกลออกไปมากๆ ข่าวนี้ ไม่ถึงพวกเขา กว่าข่าวจะไปถึง ทาสที่เป็นอิสระแล้ว ยังถูกหลอก โดยพวกเจ้านาย เจ้าขุนมูลนายที่มีทาสเยอะแยะ หลอกทาส บอกว่า.-

“ไม่จริงหลอก ข่าวนั้นเป็นข่าวโกหก แกต้องเป็นทาสต่อไป แกต้องเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป แกต้องรับใช้ต่อไป แกต้องเป็นทาส อยู่อย่างสัตว์อย่างนี้ต่อไป ไม่ได้รับอิสรภาพ”

ทาสเหล่านั้นกลัวนะครับ ถามว่ากลัวเพราะอะไร? เพราะมันเคยเกิดขึ้น อย่างนี้กับชีวิตของเขาตลอดเวลา  เวลาเขาจะดื้ออย่างไร? จะกบฏอย่างไร? จะไม่เชื่อฟังอย่างไร? เขาจะถูกลงโทษ เฆี่ยนแทบตาย บางคนตายคาหวายก็มี ท่านนึกภาพ เขาไม่กล้าจะหือเลย  พอเจ้านายทำตาเขม็งเขม่นว่า.-

“ไม่จริง ข่าวนั้นไม่จริง”

พวกนี้ก็กลัวหมด แล้วถามว่าข่าวที่มาถึงทาสเหล่านี้ทั้งหมดในประเทศไทยนั้น เราเรียกว่าข่าวดีหรือข่าวร้าย ท่านตอบสิ ข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับทาส? ข่าวดี  การเลิกทาสนั้นเป็นข่าวดี … ข่าวดีนี้แพร่สะพัดจากเมืองหลวง ไปยังหัวเมืองต่างๆ ค่อยๆ ไปทีละนิดๆ ข่าวดีไปถึงไหน? ที่นั่นก็มีอิสรภาพ สำหรับคนที่เป็นทาสที่นั่น ยกเว้นข่าวดีไปไม่ถึง พอข่าวดีไปไม่ถึง หรือถึงไม่พอ ถึงไม่มากพอ ทาสไม่สามารถเชื่อในข่าวดีนั่นได้ ก็แพ้การข่มขู่ของเจ้านายเก่าๆ ที่พยายามจะเอาทาสเอาไว้ใช้ต่อไป ข่มเหงทาสต่อไป

เมื่อไรก็ตามที่ข่าวดีไปถึงเขาซ้ำๆ มากขึ้น ได้ยินได้ฟังมากขึ้น ทาสเกิดความเชื่อมั่นในข่าวดีนั้นว่าเขาได้รับอิสรภาพ มีการประกาศการเลิกทาสจริงๆ แล้ว เขามั่นใจแล้ว เขาจึงยกมือขึ้น แล้วก็ต่อสู้กับอำนาจมืด การข่มเหงรังแกอย่างไม่ยุติธรรมของเหล่าเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น เขาก็ได้รับอิสรภาพจริงๆ เพราะเจ้าขุนมูลนายเหล่านั้น ไม่กล้าทำอะไรเขา นอกจากขู่เท่านั้น เพราะว่ามีอำนาจใหญ่สูงสุดกว่าเขานั้น ควบคุมเขาอยู่ คืออำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่สูงสุดในประเทศ นึกภาพออกใช่ไหมครับ? เขาก็ไม่กล้าเหมือนกัน เพราะอำนาจใหญ่นั้นบอกว่าปล่อยเขาแล้ว เขาเป็นอิสระ ยกเว้นทาสคนนั้น ได้รับข่าวดีนี้ แล้วไม่เชื่อ นี่เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจสุดๆ ในสมัยนั้น ซึ่งมีจริงๆ หลายจังหวัดในประเทศไทย ที่อยู่ไกลๆ ออกไป ทาสได้ยิน  ได้ฟังข่าวดีที่มาจากเมืองหลวงแล้ว เล่าแล้วเล่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่นั้น แต่ไม่เชื่อในข่าวดีว่า.-

“มันเป็นไปได้อย่างไร? ฉันเป็นรุ่นที่ 4 ของการเป็นทาสในครอบครัวนี้ ฉันเป็นเหลนๆ ของทาสคนแรก เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันเป็นทาสตลอดไป ลูกฉันก็จะเป็นทาสตลอดไป เหลนฉันที่กำลังจะเกิดก็จะเป็นทาสเช่นเดียวกัน เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ฉันจะเป็นอิสรภาพ โดยไม่ได้เสียเงินแม้แต่นิดเดียวที่จะจ่ายให้เจ้านาย หรือจ่ายให้กับในหลวง หรือจ่ายให้กับพระเจ้าอยู่หัว หรือจ่ายให้กับเจ้านายฉัน เพื่อฉันจะได้ไถ่ตัวเองเป็นอิสรภาพ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีคนมาไถ่ฉันฟรีๆ ปลดปล่อยฉันเป็นอิสรภาพฟรีๆ  มันเป็นไปไม่ได้ๆๆๆๆๆๆ”

นั่นแหละมันเรื่องที่น่าเศร้าใจที่สุด คืออย่างนี้ เรื่องเศร้าใจ ไม่ใช่ข่าวดีไปไม่ถึง เรื่องเศร้าใจ คือข่าวดีไปถึงแล้ว ซ้ำๆ ซากๆ ฟังอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ตัดสินใจที่จะรับสิทธิของเขาสักทีหนึ่ง ไม่กล้าที่จะใช้สิทธิ์ต่อสู้กับอำนาจมืดอะไรก็ตาม ที่มาข่มเหงว่าเราเป็นหนี้เขา เราต้องจ่ายเขา เราเป็นทาสเขานะ เราต้องอยู่ใต้เขา

เทียบกับพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ที่เจ้าของวันคริสตมาส พระเยซูคริสต์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือข่าวดีที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ที่ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย เป็นข่าวดีของพระเจ้าที่ส่งมาเกิดบนโลกใบนี้ จากพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ เพื่อจะมาบอกข่าวดี และตัวพระองค์เองก็เป็นข่าวดี พระเยซูเป็นข่าวดี แล้วบอกให้ทุกคนประกาศพระเยซูออกไป หมายถึงประกาศข่าวดีออกไป พระเยซูไปที่ไหน? คนนั้นได้รับอิสรภาพ ไม่เป็นทาสของความบาป และความตายอีกต่อไป ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมที่เราบ่นมาตลอดว่า.-

“เมื่อไรมันจะชดใช้หมดสักทีๆ เกิดมาต้องใช้เวรกรรมเป็นธรรมดา เมื่อไรจะหมดเวร หมดกรรมสักที ตายแล้ว เมื่อไรฉันจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างไร ฉันจะได้ไปสวรรค์”

เราทุกข์ทรมานมาตลอด บัดนี้มีข่าวดีมาบอกถึงเราแล้ว  โดยพระเจ้าส่งพระเยซูเป็นข่าวดีมา แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นประกาศข่าวดีนั้น แล้วก็ประกาศต่อๆ ไปเรื่อยๆ 2,000 ปีแล้วว่ามนุษย์ได้รับอิสรภาพแล้ว มีคนมาไถ่บาปแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้อำนาจมืดของผีมารซาตาน และกฎเกณฑ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้กำชีวิตของเรา ดวงดาวต่างๆ เหล่านั้น ดวงของเราต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผู้ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้าได้บอกแล้วว่าเราเป็นอิสระแล้ว เมื่อเรารับข่าวดีนี้ และเชื่อในข่าวดีนี้ เราเป็นอิสระแล้วจริงๆ

เช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องน่าเสียใจจริงๆ และน่าเสียดายจริงๆ ที่ข่าวดีนี้ประกาศมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาร้อยกว่าปีมาแล้ว  หรือแม้ในยุคปัจจุบัน เราหลายท่านได้ฟังเรื่องนี้ซ้ำๆ เราก็ปล่อยมันผ่านไปๆ แล้วเราก็ไปหาทางที่จะมาชดใช้กรรมด้วยตัวเอง หาทางที่จะไถ่บาปด้วยตัวเอง หาทางที่จะทำความดี เพื่อจะไถ่บาปตัวเอง หาทางที่จะชำระตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ หาทางที่จะไปสวรรค์ด้วยตัวเอง หาทางที่จะได้รับอิสรภาพด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำไม่ได้ ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ต้องหยุดแล้ว แต่นี่ทำไม่ได้ ถึงไม่หยุด ทำไปเรื่อยๆ ทำจากทางนี้ ไม่พอ ก็ทำทางนี้เพิ่มๆ เยอะแยะมากมาย  ไม่พบทางออกเสียทีหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมมา รับสิทธิในข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วก็ถูกหลอกว่านี่เป็นของฝรั่ง นี่เป็นของคนเมืองนอกเมืองนา ซึ่งไม่ใช่เลย ไปอ่านประวัติดู เกิดในเอเชียนี่แหละ เป็นของเรา เป็นของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำเนิดมาแล้วเป็นหมื่นๆ ปี ข่าวดีนี้ มันไม่ใช่ 2,000 ปีอย่างที่เราคิดนะ มันเป็นหมื่นๆ ปีมาแล้ว ข่าวดีนี้มันมาตั้งแต่ตอนโน่นแล้ว จนมาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จน 2,000 ปีที่แล้วชัดเจนมาก เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์

และชัดเจนมาเรื่อยๆ จนยุคปัจจุบัน  2015 ปีบนโลกใบนี้ ข่าวดีนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คนได้รับข่าวดีนี้ ได้รับอิสระมากมาย แต่อย่างที่บอก คนมากมายได้รับอิสรภาพนั้น  เราดีใจด้วย  แต่เราเสียใจในคนอีกจำนวนมากมายเหมือนกัน ที่ข่าวดีนี้ผ่านไปแล้วทุกวันๆ แล้วก็ยังไม่ยอมรับ และมันมีโอกาสสายเกินไป ก็คือเมื่อเราสิ้นสุดชีวิตเราลงแล้ว เราจะพบกับความจริงว่าเราจะต้องเป็นทาสตลอดไป ถ้าเราไม่รับอิสรภาพของเรา ณ ชีวิตปัจจุบันบนโลกใบนี้ ถ้าเราไม่รับเอาอิสรภาพนี้ เราจะต้องเป็นทาสตลอดไป อย่างที่ทาสต่างๆ กลัว ไปจนถึงลูกหลานเหลนโหลน  ก็คือชีวิตของเรา เมื่อสิ้นสุดบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องไปใช้บาปเวรกรรมชดใช้เวรกรรมของตัวเอง เพราะเราไม่รับอิสรภาพ เมื่อมีพระเยซูมาไถ่เราแล้ว เราไม่เอา เราก็ต้องช่วยตัวเอง แล้วเราก็ต้องไปชดใช้ต่อไป

อย่างที่เราบอกนั่นแหละ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที อีกกี่ชาติ เราต้องชดใช้ ซึ่งมันสายไปเสียแล้ว พระคัมภีร์บอกมันสายไปเสียแล้ว การจะรับสิทธินั้น เราต้องรับในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ ถ้าสิ้นชีวิตบนโลกใบนี้ ลมหายใจสุดท้าย ออกจากร่างแล้ว  มันสายเกินไปกับการที่จะตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ หรือรับสิทธิของเราตรงนี้ ซึ่งมันน่าเสียใจมากๆ เราจะต้องไปในสถานที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์ เราจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ไม่ได้อยู่ในสวรรค์เพียงแค่ 100 ปี 50 ปี ไม่ใช่ 1,000 ปี ไม่ใช่ 10,000 ปี แต่เป็นนิรันดร์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่าเป็นนิรันดร์ ไบเบิ้ลบันทึกไว้มันเป็นความจริงทั้งสิ้น แม้ขณะนี้เราไม่ได้เห็นว่าเป็นความจริง แต่ต่อมาเรื่อยๆ ในอนาคตมันก็จะเป็นจริงทุกอย่าง เหมือนอย่างที่พระคัมภีร์บันทึกว่าโลกกลม บอกมาเป็นหมื่นปีแล้ว … แล้วมนุษย์ไม่เชื่อ ในที่สุดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกมันกลมจริงๆ

ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้แล้วว่าดวงดาวนี้นับไม่ถ้วน มนุษย์เมื่อประมาณ 100 กว่าปีก่อน มีดาราศาสตร์พิสูจน์ว่ามีอยู่พันกว่าดวง นับได้ ที่ตาที่มองเห็น แต่จริงๆ นับไม่ถ้วน มันเป็นไปตามนั้น ในที่สุดก็รู้ความจริง

พระคัมภีร์ได้บันทึกเป็นพัน เป็นหมื่นปี แล้วว่ามนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยหญิงพรหมจารี ไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดเป็นมนุษย์ได้ จากหญิงพรหมจารี โดยเฉพาะพระเยซูเป็นตัวอย่าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มาเกิดในหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์ คนหัวเราะใหญ่ มันเป็นไปได้อย่างไร? หญิงพรหมจารีจะไปมีท้องได้อย่างไร? แต่ในปัจจุบัน เรารู้แล้วว่ามีการอุ้มบุญ มันเกิดขึ้นจริงๆ เพราะพระเจ้าบอกแล้ว มันเป็นไปได้ เราไม่เชื่อใช่ไหม?  มันเป็นจริงตามนั้น และหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นความจริง ก็คือมนุษย์สามารถเป็นอิสรภาพได้ โดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เพียงแค่เราไปรับสิทธิของเราเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเสียแม้แต่บาทเดียว เหมือนที่เขาเลิกทาสในประเทศไทย ไม่ต้องเสียอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว ยอมเสียศักดิ์ศรีหน่อย คือเสียความเย่อหยิ่งที่เรามีอยู่ในตัวไง เราไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่หรอก เราเสียศักดิ์ศรีใช่ไหม? เรายอมลดตัวลง เราไม่ต้องเสียสักบาทเดียว  เรามีแต่ได้กับได้

          ถ้าเผื่อเรื่องนี้ไม่จริง สมมตินะครับ ท่านลองคิดดูตามตรรกะเลย ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด ไม่จริงเลย สมมติ เราเสียอะไร? เราไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง คนที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา … เขาตายไป เขาก็เป็นไปตามบุญตามกรรมที่เขาเชื่อ ถูกไหม? ไม่ว่าเขาจะเชื่ออะไรมาก่อน ก็เป็นตามนั้น ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเสียกว่านั้นเลย ถูกไหม?  แต่ถ้าเกิดมันเป็นจริงขึ้นมา อะไรเกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา พระเยซูคริสต์เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราไปสวรรค์ได้ มีพระองค์เพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าทางนี้พิสูจน์เหมือนทางอื่นที่บอกว่าหญิงพรหมจารีสามารถตั้งครรภ์ได้ ในปัจจุบันเราพิสูจน์แล้วว่าตั้งครรภ์ได้จริงๆ หรือโลกกลม พิสูจน์ได้จริงๆ ว่าโลกกลม ตามพระคัมภีร์บอก แล้วถ้าเผื่อมันพิสูจน์วันนั้นได้ว่าใช่จริงๆ มีทางเดียวที่จะไปสวรรค์ได้  คือทางพระเยซูเท่านั้น แต่การพิสูจน์นั้น มันต้องไปพิสูจน์เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณ ตายไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว … แล้วตอนนั้น เราจะเสียใจขนาดไหน?

 

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกว่าคนร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตรงนั้นได้แล้ว ดังนั้น คำพูดสุดท้ายของพระเยซูจึงให้คน หรือเรียกว่าสาวก หรือคนที่รู้จักพระองค์แล้ว คนที่เชื่อพระองค์แล้ว ไม่กี่คนเองนะ ให้พูดเรื่องนี้  เป็นข่าวดีให้บอกคนต่อไป บอกออกไป ประกาศแค่นี้เอง ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้สอนธรรมะ ไม่ได้สอนจริยธรรม เพียงแต่บอกว่าไปบอกเขาให้เชื่อนะว่าเขาเป็นอิสระแล้ว นี่คือข่าวดีของพระเจ้าที่มาถึงเราทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ ไปบอกเขาๆ จากคนสองสามคน จนมาถึงทุกวันนี้ เป็นกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูกี่พันล้าน? กี่หมื่นล้านคนแล้ว? ทุกวันนี้มีคนรู้จักพระเยซูและเชื่อข่าวประเสริฐนี้ เฉพาะทุกวันนี้ ที่มีชีวิตอยู่นะครับ 1 ใน 3 ของโลกนี้ คือประมาณเกือบ 3,000 ล้านคนบนโลกใบนี้ 2,000 กว่าล้านคน ท่านลองคิดดู เกิดมาได้อย่างไร? เริ่มต้นแค่คนสองคน ถ้าเรื่องไม่ใช่เรื่องจริง

คริสตมาส คือข่าวดี ที่เขาฉลองกันทั่วโลกนี้ ท่านรู้ไหมเขาฉลองทำไม? หัวใจประกาศอย่างเดียว ก็คือเขาอยากจะบอกข่าวดีให้กับคนที่ยังไม่รู้ เขาอยากจะบอกข่าวดี ไม่รู้จะบอกอย่างไร?  พูดทุกวิถีทาง เขาเลยจัดงานฉลองคริสตมาสขึ้นมา ซึ่งมันก็ไม่ตรงกับวันที่พระเยซูจริงๆ หรอก แต่เขาก็เหมือนกับอุปโลกน์ ช่วงนี้ เทศกาลนี้ขึ้นมา เพื่อจะประกาศข่าวดีว่าพระเยซูบังเกิดจริงๆ มาที่นี่จริงๆ เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีส่วนในการบังเกิดของพระเยซู คือพระเยซูบังเกิดเพื่อท่าน เป็นข่าวดีให้กับท่าน มาไถ่บาปให้กับท่าน มนุษย์ทุกคน ย้ำอีกทีว่ามนุษย์ทุกคน

          พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเขียนบอกว่ามนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงรักและทรงเมตตา และเห็นว่าเราเป็นทาสของความบาป ทาสของความมืด ความชั่วร้ายของมารซาตาน  และต้องการจะปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จึงประกาศการเลิกทาส โดยวิธีการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าวันคริสตมาส และพระองค์ก็ทรงไถ่บาปเราด้วยการตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าวันอีสเตอร์ และนั่นคือจบของการไถ่บาปทั้งหมด

 

การไถ่โทษทั้งหมดของมนุษยชาติและก็ให้ประกาศข่าวดีนี้ออกไป ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มที่พระองค์ทรงตายที่นั่น ให้ประกาศเรื่องนี้ออกไป จนสุดปลายแผ่นดินโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น หลายพันปีแล้ว และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ พิสูจน์แล้ว 2,000 กว่าปีแล้วจริงๆ ข่าวดีนี้ ถูกประกาศจากเยรูซาเล็มนั้น ไปทั่วโลกในขณะนี้ และมากขึ้นทุกวัน พระคัมภีร์บอกจะมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีใครหยุดยั้งเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าท่านะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม ไม่มีใครหยุดยั้งข่าวดีนี้ได้ มันไปอยู่เรื่อยๆ  รถไฟขบวนนี้ไปสู่สวรรค์ วิ่งเร็วมาก มีคนขึ้นเยอะแยะ รถไฟขบวนนี้อยากให้คนขึ้น แต่คนนั้นไม่ขึ้น  ไม่มีใครสนใจ เพราะว่าคนขึ้นเยอะไปเร็วมาก เดี๋ยววันหนึ่งก็ผ่านไป ปีหนึ่งก็ผ่านไป คนนั้นก็ตายไปแล้ว คนนี้ก็ตายไปแล้ว  ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าถ้าถึงวันนั้น เป็นเวลาของท่านที่จะจากโลกนี้ไป ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าท่านได้ไปสวรรค์แน่นอน

ถามตัวเองในวันนี้ ให้คริสตมาสปีนี้ เป็นปีที่ท่านได้คิดถึงเรื่องอย่างซีเรียสสักทีหนึ่งว่าอะไรคือคำตอบในชีวิตของท่าน … ท่านมีเป้าหมายอะไร? ท่านเสียอะไรไหมที่จะรับข่าวดีนี้ เรื่องของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เรื่องของคริสตมาสนั้น และถ้าท่านรับสิทธิของท่าน อะไรเกิดขึ้นรู้ไหมครับ? ที่เขาอวยพรในวันคริสตมาส ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ก็คือ Merry Christmas จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน ที่เขาอวยพรกัน Merry Christmas ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน เพราะ Merry Christmas แปลว่าอะไรรู้ไหมครับ? แปลว่า “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน ได้บังเกิดขึ้นกับท่าน” นี่คือความหมายของ Merry Christmas

แต่คนนั้นจะไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิของเขา ไม่มีใครใช้สิทธิแทนเขาได้ เขาต้องใช้สิทธิด้วยตนเอง เขาจะต้องเชื่อในเรื่องข่าวดีนี้ว่าเป็นจริง และรับสิทธิของเขา และคริสตมาสก็จะเข้าไปอยู่ในใจของเขาตลอดไป ไม่ใช่วันนี้เป็นวันคริสตมาสแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าเขาเชื่อในข่าวดีนี้ รับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ไถ่บาปให้เขาจริงๆ คริสตมาสจะเป็นทุกวัน ในชีวิตของเขา เป็นทุกวินาทีในชีวิตของเขา … เขาจะเกิดความสงบสุข สันติสุขทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ จากการไถ่บาปให้กับเขา เพราะเขามั่นใจแล้วว่าเขาหมดบาปแล้ว สะอาดหมดจดแล้ว พร้อมแล้วที่จะจากโลกนี้ไป และจะไปอยู่ในสวรรค์ นั่นคือความหวังสูงสุดของมนุษย์ทุกคนแล้ว

แค่นั้นยังไม่พอ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซู เมื่อเราต้อนรับสิทธิตรงนี้เข้าไปแล้ว พระเยซูมาสถิตอยู่กับเรา มาช่วยเราทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลย ทุกอย่าง ทุกก้าว ทุกฝีก้าวเข้าออก ดูเราตลอดเวลา เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและดูแลตลอดเวลา และถามว่าทำไมคนอื่นไม่ดู ก็จะดูได้อย่างไร ก็เขาไม่ให้พระองค์ดู อยากจะดู แต่เขาไม่ยอม แต่เมื่อเราต้อนรับ เหมือนเราเปิดใจให้พระเยซู … พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่กับเรา พาเราเดินแต่ละวันๆ ไป

คิดดูสิ มันจึงเกิดสันติสุขและความสงบทางใจ ช่วยเราทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แก้ปัญหาอะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ นำพาเราทุกอย่างบนโลกใบนี้  แล้วยังทำให้เรา มั่นใจว่าเราไปสวรรค์ เราหมดบาป เราไปอยู่กับพระเจ้าได้ ในสวรรค์แน่นอน เพราะเราไม่มีบาปแล้ว เราได้รับการไถ่แล้ว มีแต่ได้สองเด้งเลย  อยู่บนโลกนี้ก็ได้ พร้อมที่จะตาย … ตายไปก็ได้ ไม่เสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องเอาเงินมาให้พระเจ้าเลย ไม่ต้องทำอะไรให้กับพระเจ้าเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้กับเราฟรีๆ ถ้าใครเรียกร้องเงินจากท่าน ถ้าใครมาบอกท่าน ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะได้ตรงนี้ มันไม่ใช่เลย มันผิดหมดเลย เพราะทั้งหมดเหล่านี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่ามันฟรี จากพระเจ้า ไม่เสียอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว มีแต่ได้กับได้

ก็ขอฝากตรงนี้ไว้กับท่านนะครับ  เราจะร้องบทเพลงนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่ดังที่สุดในโลกเลยนะครับ เรื่องเกี่ยวกับคริสตมาสนี้  เป็นเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเพลงคริสตมาสที่ดังที่สุด คือเพลงอะไร?  ในจำนวนเพลงคริสตมาส เพลงนี้ที่ดังและได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าหมายของเพลงนี้ พระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้คนแต่ง … แต่งเพลงนี้ขึ้นมา โดยการดลใจจากพระเจ้า  บอกถึงความสำคัญของวันคริสตมาสว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารีอย่างไร? เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์พ้นจากความบาป ได้รับอิสรภาพนั่นเอง รู้จักใช่ไหมครับเพลงนี้ เพลง “Silent night” ภาษาไทย คือ “ยามราตรี” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2015 “วันคริสตมาส” เรื่อง “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2015

 “วันคริสตมาส”

เรื่อง “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

โอเค … วันนี้ก่อนบรรยาย อยากจะพูดว่าให้ตั้งใจฟังบรรยายในวันนี้ให้ดีๆ  ฟังแล้วท่านจะมีความสุขมาก อาจจะเป็นเรื่องบางอย่างที่พอที่จะเคยผ่านหูมาบ้าง? แต่วันนี้ มันลึกซึ้งขึ้น ทำให้ท่านสามารถที่จะมีความเชื่อ มีความชื่นชมยินดี มันมันส์ในอารมณ์มาก ที่จะได้ฟังคำบรรยายในวันนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ  เผื่อท่านจะได้เก็บเอาไว้ใช้ เมื่อเจอใคร เล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวอย่างนี้ ที่ท่านจะได้ฟังในวันนี้

ผมใช้ชื่อเรื่องในวันนี้ว่า “Vergin birth of Christ” แปลเป็นไทยว่า “ทรงประสูติจากหญิงพรหมจารี”

ย้อนกลับไป เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว พระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์วันคริสตมาสแรกไว้

ลูกา 2:8-12 “8 และในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะ อยู่กลางทุ่งเฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน 9 ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏและพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า ส่องล้อมรอบพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก 10 แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง 11 ในวันนี้ ที่เมืองของดาวิด องค์พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาบังเกิด เพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 12 นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อม นอนอยู่ในรางหญ้า”

 

“พระผู้ช่วยให้รอดได้มาบังเกิด เพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ (หมายถึงพระเยซู) ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”

นี่คือหลักฐานที่บันทึกการทรงสภาพพระเจ้า คือการทรงเป็นพระเจ้า และทรงสภาพมนุษย์ของพระเยซูคริสต์

คริสตมาสทุกปี เราก็จะประกาศ และย้ำตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความจริงส่วนแรกของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู

และพอถึงวันอีสเตอร์ เราก็จะย้ำความจริงของส่วนที่สองของข่าวประเสริฐ ก็คือทรงทุกข์ทรมาน และสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

นี่คือทั้งหมดของคำว่าข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คู่กัน เทศกาลอีสเตอร์ ก็หมายถึงเทศกาลที่รวมทั้งศุกร์ประเสริฐด้วย เรารวมกันเรียกว่าเทศกาลอีสเตอร์

ถ้าไม่มีวันศุกร์ประเสริฐ ก็ไม่มีอีสเตอร์ ถูกไหมครับ? ถ้าไม่มีการตาย ก็ไม่มีการเป็นขึ้นมาใหม่

สรุปว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์    เริ่มต้นที่วันคริสตมาส     แล้วก็เสร็จสมบูรณ์ในวันอีสเตอร์ครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าทำไมต้องมีวันคริสตมาส ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ตอบแบบกวนๆ ก็ต้องตอบว่าต้องมีวันคริสตมาส เพื่อจะมีวันอีสเตอร์

หรือจะตอบให้ชัดเจนหน่อย เหตุผลที่พระเยซู ซึ่งมีสภาพพระเจ้า เป็นพระเจ้า ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเพื่อมาไถ่มนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป  ซึ่งก็คือความตายและตาย คือตายในวิญญาณ ตายทางร่างกาย ตายทางวิญญาณ ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้

เพราะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้ชัดเจนว่านี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษของความบาปได้  คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น เพื่อเป็นตัวแทนให้มนุษย์ ดูสิว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ตรงไหนครับ?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย มีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิต ตกเป็นทาสเนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร

 

เห็นไหมครับ? ชัดเจนไหม?  ชัดเจนมากๆ เลย พระเจ้าอธิบายให้พวกเราฟังว่าทำไมพระเยซูต้องมาเป็นมนุษย์

“พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง”

เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง เพื่ออะไร? เพื่อมาไถ่บาป เพื่อจะได้ลบมลทินบาปทั้งปวงของปวงประชากร รวมหมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเจ้าอธิบายให้เราฟังอย่างนั้น

เพราะตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องกลายเป็นคนบาป และต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตัวการนั่นก็คือมนุษย์ ซึ่งก็หมายถึงบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของมนุษย์ ต้นพันธุ์ของเรา ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ มีนาม มีชื่อว่าอาดัมและเอวา

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ และสามารถทำให้มนุษย์กลับคืนสู่พระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น มนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยกันได้

นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย ถึงตรงนี้บางท่านอาจมีคำถามต่อในใจ ผมเดาออกว่าท่านจะถามว่าอย่างไร?

ก็คือท่านจะถามว่า “แล้วพระเยซูจะสามารถช่วยมนุษย์ได้อย่างไร?”

“ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ อย่างไรเล่า?”

“ถ้ามนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์ได้ ทำไมต้องเป็นมนุษย์คนนี้ หมายถึงพระเยซูด้วย เป็นมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ได้เหรอ ที่เขาทำความดีเยอะแยะ สะสมบารมีมากๆ ไม่ได้หรือไง?”

ท่านคงคิดอย่างนี้ใช่ไหม? เตรียมคำตอบมาให้ท่านแล้ว  ที่ต้องเป็นพระเยซูเท่านั้น เป็นมนุษย์คนอื่นไม่ได้ ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ มนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาป มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้  เพราะตัวเองก็เป็นบาป ในขณะที่พระเยซูคริสต์ ซึ่งแม้จะอยู่ในสภาพมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และในพระองค์ไม่มีบาป

ย้ำอีกที “ในพระเยซูไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปเลย” พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมารซาตาน และดังนั้น จึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวงของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ได้ เพราะพระองค์มีกำลังพอ ใน 1 ยอห์น 3:5 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ ดูสิว่าพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร?

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป

 

นี่ไง บันทึกไว้นานแล้วนะ 2,000 ปีแล้ว พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง มีเลือดเนื้อเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ไม่มีบาป ไม่มีบาปเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ บนโลก พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ นานมาแล้ว นี่คือคำตอบที่ว่าพระเยซูในสภาพมนุษย์ มีอะไรที่แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ก็คือพระองค์ไม่มีบาปเลย  ไม่ใช่ไม่ทำบาปนะ ไม่มีบาปเลย ไม่ได้มีเชื้อบาปอยู่ในตัวเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำหรือไม่? ไม่เป็นบาป คือไม่มีบาป

แล้วท่านสงสัยไหมครับว่าทำไมพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีเนื้อหนัง ร่างกายแบบเรา เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาป? ท่านคงคิดในใจอย่างนี้ใช่ไหม?  นี้ผมจะตอบให้ท่านวันนี้แหละ

วันนี้เราก็เลยจะมาคุยเรื่องนี้แหละ ซึ่งละเอียดขึ้นนะครับ เรียนรู้ทั้งจากในพระคัมภีร์ด้วยนะครับ และจากวิทยาศาสตร์ด้วย วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน เทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่พิสูจน์มาแล้ว เอาสองอย่างมาผสมกัน ให้ท่านเห็น

เรามาเริ่มต้นดูที่ถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือลูกา … ลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ทรงส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์ว่าอย่างนี้? นึกภาพเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ก่อนวันที่จะมีคริสตมาส  ทูตสวรรค์มาหานางมารีย์ พระเจ้ามาปรากฏกับนางมารีย์ และพระเจ้าพูดอะไรกับมารีย์นะครับ ลูกา 1:31-35 บันทึกเอาไว้ คอยสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนี้

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า “เยซู” 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครอง พงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร  ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่า “พระบุตรของพระเจ้า” …”

 

“ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

“สาวพรหมจารี” ใครพูด? มารีย์พูด

มารีย์พูดกับทูตสวรรค์ “จะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ฉันเป็นหญิงบริสุทธิ์ พรหมจารี” จำคำนี้ไว้นะครับ

และในนี้บอกว่า “ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะปกคลุมเธอ” จำคำนี้ไว้

พูดตามผม “ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จะปกคลุมเธอ”

นี่คือสาสน์ที่มาจากพระเจ้า ส่งมาบอกให้แมรี่หรือมารีย์ได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเธอ ซึ่งเป็นสาวพรหมจารี

ตอนที่ทูตสวรรค์บอกนางมารีย์ว่า “เธอจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชาย”

ปฏิกิริยาของมารีย์ตอนนั้นเป็นอย่างไรครับ? งง ไม่เชื่อ คิดว่าทำไม? มันเป็นไปได้อย่างไรเล่า? มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะขณะนั้นมารีย์ยังเป็นแค่คู่หมั้นของโยเซฟ ยังไม่แต่งงานกัน

เธอจึงตอบทูตสวรรค์ว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อฉันเป็นสาวพรหมจารี”

คือมันไปไม่ได้ จึงรีบตอบคำนี้ออกมาไง

แล้วทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิด ในครรภ์ของเธอนั้น มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

จำตรงนี้ไว้ดีๆ นะครับ “ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิธรรมชาติ แบบธรรมชาติของมนุษย์ทั่วๆ ไป นี่เรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ที่เกิดขึ้นนะครับ

การที่หญิงสาวพรหมจรรย์จะตั้งครรภ์ และคลอดลูกนั้น คิดดูสิ สองพันกว่าปีที่แล้ว เป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าอัศจรรย์ คือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นเลย แม้แต่นิดเดียว ในความคิดของมนุษย์สมัยนั้นทั้งหมด ในสังคมมวลมนุษย์ทั้งหมดตอนนั้น ถ้าใครพูดอย่างนี้ ต้องมีคนบอกว่า.-

“ไอ้นี้มันบ้าแล้ว เป็นไปได้อย่างไร?”

ถูกหรือไม่ถูก? นึกย้อนไปเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว แต่ถ้าเกิดมาในสมัยนี้ ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน ท่านทราบดี ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? คิดเอง เป็นไปได้ไหม? ผู้หญิงหลายท่านบอกว่าเป็นไปได้

เป็นไปได้ไหมที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดเด็กทารก เป็นไปได้ไหม? ปัจจุบันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ (แล้วก็ง่ายอีกต่างหาก ไม่ยากเลย) นี่คือประเด็นที่เราจะมาคุยในวันนี้

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ประเด็นเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูคริสต์ เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอด เป็นระยะเวลานาน  เถียงกันตั้งแต่เรื่องที่ว่า.-

พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือไม่?

พระเยซูเกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่?

พระเยซูเกิดจากหญิงพรหมจารีจริงๆ หรือเปล่า?

พระเยซูปราศจากเชื้อบาปจริงๆ หรือไม่?

เถียงกันมาเป็น 2,000 ปีแล้ว ซึ่งคำถามทั้งหมดนี้ มีคำตอบไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้นว่าเป็นความจริงทุกข้อ ซึ่งจริงๆ แล้ว สำหรับคริสเตียนเราเชื่อว่าพระคัมภีร์ คือถ้อยคำของพระเจ้า และเป็นความจริงทั้งหมด  เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราย่อมไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะเชื่อ เอเมนไหม? ถูกไหม?

แต่ที่ผ่านมา ก็ยังมีคนหลายกลุ่มที่พยายามจะศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีทั้งพยายามที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุนความจริงในพระคัมภีร์ และพยายามที่จะหาหลักฐานมาลบล้าง เขาพยายามหากัน อย่างที่รู้กันอยู่นะครับ ยิ่งหายิ่งเจอความจริง

แต่สำหรับคริสเตียน อย่างที่บอกว่าแม้ว่าเราจะไม่เข้าใจว่าพระคัมภีร์พูดนั้น มันหมายถึงอะไร? เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไปถึง เราไม่เข้าใจ แต่เราไม่มีข้อสงสัย เพราะเราเชื่อโดยไม่เข้าใจ เพราะเรารู้ว่าความคิดของเรา จะไปเท่าความคิดพระเจ้าไม่ได้ เมื่อเราเชื่อ แม้ไม่เข้าใจ เราก็เชื่อ แต่เท่าที่เห็นมา หมายถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครเลยนะครับ ทุกวันนี้เป็นเวลาเป็นหลายพันปีผ่านมา  พระคัมภีร์พูดมันเป็นอย่างนั้นหมด พระคัมภีร์บอกว่าโลกกลม เถียงกันว่าโลกแบน ในที่สุด โลกก็กลม หลายร้อยปีผ่านไป รู้ว่าโลกกลม พระคัมภีร์เขียนไว้ตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ไม่เชื่อ เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่มีใครประสบความสำเร็จ ในการที่จะไปค้นหาทางวิทยาศาสตร์ แล้วมันจะมาลบล้างความจริงในพระคัมภีร์ไม่มีเลยนะครับ

ที่ได้ยินมา ก็มีแต่ยิ่งค้นยิ่งทำไม? ยิ่งจนมุม  จนมุมพระเจ้า ยิ่งค้นยิ่งพบความจริงว่าเป็นจริง จนในที่สุด กลายเป็นต้องมากลับใจเชื่อพระเจ้า แบบนี้มีเยอะนะครับ มีเยอะมาก และสำหรับพวกเราที่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าอยู่แล้ว การที่เรามาเรียนรู้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ก็ไม่ได้หมายความว่าเรามาอาศัยหลักฐานพิสูจน์ เพื่อเราจะเชื่อ ไม่ใช่ แต่ถามว่าเรามาเรียนรู้เพื่ออะไร?  เพื่อประกอบความรู้ของเรา  ความเชื่อของเรานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น และเรียนรู้เพื่ออะไรรู้ไหม? ฟังเพื่ออะไรรู้ไหม? เพื่อเกิดความมันส์ในอารมณ์ เข้าใจไหม? เชื่ออยู่แล้วแหละ แต่ได้ฟัง โอโห้! ใช่เลย ยิ่งเกิดความมันส์

พระคัมภีร์บอกโลกกลม ว่ากันมาว่าโลกแบน ในที่สุด ก็เจอแล้วโลกกลม  มันเกิดความมันส์ วันนี้ ท่านจะจบคำบรรยาย ท่านก็จะเกิดความมันส์ในอารมณ์ว่าพระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารีได้จริงๆ แล้วอย่างไรด้วย? นี่คือความมันส์ในอารมณ์ ซึ่งพอเกิดความมันส์ เราจะพูดกับว่าอย่างไร? ฮาเลลูยา  มันพูดอะไรไม่ออกแล้ว  พอได้ยินความรู้ ดูว่าเขาพิสูจน์กันมาเจอแล้วว่าพระคัมภีร์จริง เราก็จะบอกว่าโอ้! ฮาเลลูยา ถูกไหม?  คือไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร?  สรรเสริญพระเจ้าดีกว่า

โอเค … กลับมาในเรื่องการประสูติของพระเยซู ที่บอกว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย ก็เพราะว่าพระองค์ไม่ได้เกิดจากเชื้อของมนุษย์ แต่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาศัยครรภ์ของหญิงพรหมจารี หรือเรียกกันตามภาษาชาวบ้าน ปัจจุบัน ตามวิทยาศาสตร์ หรือทางแพทย์ ก็คือโดยอาศัยมดลูกของหญิงพรหมจารี หญิงพรหมจารีคนนี้  มีชื่อว่ามารีย์ หรือแมรี่ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า โน่นหลายพันปี ก่อนหน้าเหตุการณ์ตั้งนาน อิสยาห์ 7:14 ได้บันทึกเอาไว้ บอกไว้ล่วงหน้า อิสยาห์ได้บันทึกประมาณ 700 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่า “อิมมานูเอล”

 

นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี หนึ่งในเหตุการณ์ จริงๆ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกให้ท่านนะ ทั้งหมดทั้งมวล คือเรื่องเดียว เรื่องนี้เรื่องเดียวว่าพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตจะมาชำระบาป จะมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป นี่คือเรื่องเดียว  แต่วันนี้เอามานิดๆ หน่อยๆ นี่แค่หนึ่งในจำนวนนั้น 700 ปีก่อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หนึ่งในจำนวนนั้น คือพูดง่ายๆ ว่าหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ เป็นไปได้อย่างไร? 2,700 ปีก่อนนั้น มีคนบอกว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น  คนไม่เชื่อหรอก เห็นไหม?

คือตอนที่มนุษย์ตกลงไปอยู่ในความบาปใหม่ๆ ตอนที่อาดัมและอีฟตกลงไปในความบาป เริ่มต้น พอพระเจ้าสั่งลงโทษ คือโดนสาปแช่ง เพราะว่ากบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ถือว่าเป็นกบฏ เกิดการลงโทษโดยทางกฎนะครับ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย ไม่ใช่ มันมีกฎระเบียบอยู่ เหมือนฝ่าไฟแดงคล้ายๆ อย่างนั้น ก็เกิดคำสาปแช่งขึ้น พระเจ้าก็บอกล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกกันว่าเผยพระวจนะ ก็คือพูดไว้ก่อนล่วงหน้าเลยว่าในอนาคตข้างหน้า จะมีวันคริสตมาส คือมีวันที่พระเยซูจะมาประสูติในหญิงพรหมจารี บอกล่วงหน้าเลย  ครั้งแรกที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้าปุ๊บ กฎหมายได้ลงโทษมนุษย์และเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เรียกว่าคำสาปแช่ง พระเจ้าตรัสสั่งคำสาปแช่งนั้น และหนึ่งในจำนวนนั้น พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ เพื่อช่วยเราในการที่จะหลุดพ้นจากคำสาปแช่งเหล่านั้น ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล 3:15 หน้าเริ่มต้นแรกๆ ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ปฐมกาล 3:15 บันทึกไว้ชัดเจน เรื่องนี้

ปฐมกาล 3:15 “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขา ฟกช้ำ

 

พงศ์พันธุ์ของหญิง … หญิงนี้ก็คือเล็งถึงแมรี่นั่นเอง

หัวเจ้าแหลก ก็คือหัวของมารแหลกเลย

คำว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิง” ในข้อนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Her seed” หรือถ้าแปลเป็นไทย แปลว่าเมล็ดพันธุ์ Seed แปลว่าเมล็ดพันธุ์ หรือถ้าจะแปลไปลึกๆ กว่านั้น จากภาษาฮีบรู แปลว่า “หน่อเชื้อ”

เมล็ดพันธุ์ของหญิง ก็คือหน่อเชื้อของหญิง ซึ่งเล็งถึงใคร? พระเยซูนะ รู้กัน คือบันทึกไว้ล่วงหน้าเลย พระเจ้าบอกล่วงหน้าเลยว่าพระเยซูจะมาทำลายอำนาจของมาร และมารจะทำให้ส้นเท้าของพระเยซูฟกช้ำ เทียบกัน ฟกช้ำ ก็คือถูกตรึงเทียบกับหัวมารแหลก ก็คือมารหมดอำนาจในชีวิตของพวกเราทุกคน ท่านพอจะเข้าใจ มันต่างกันอย่างนี้

สังเกตตรงคำว่า “พงศ์พันธุ์ของหญิง” นะ หรือภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Her seed  หรือที่เราแปลเป็นไทยว่าหน่อเชื้อนะ

มนุษย์ในโลกนี้ ท่านสังเกตดูทั้งหมดเลย ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะมาจากพงศ์พันธุ์ของหญิง มาจากพงศ์พันธุ์ของหญิง ก็คือมาจากเมล็ด Her seed ก็คือเมล็ดพันธุ์ของหญิง หรือจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนเลย ที่จะมาจากหน่อเชื้อของหญิง พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้มาจากหน่อเชื้อของหญิง เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นหน่อเชื่อของใคร? ชาย เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นหน่อเชื้อ หรือเป็นมาจากเชื้อของชาย คือมีกำเนิดมาจากเชื้อที่มาจากผู้ชาย คือต้องมีเชื้อที่เป็นของชาย คือเป็นพ่อ คนเป็นแม่จึงสามารถตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้ ถูกต้องไหม? ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด ใช่หรือไม? ถูกใช่ไหม? ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ต้องมีเชื้อของผู้ชาย จึงจะตั้งครรภ์ได้ แต่พระเยซูทรงบังเกิดจากหญิง ที่ไม่มีเชื้อของผู้ชายเลย เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ลงมาจุติในมดลูก … ในมดลูกของหญิงพรหมจารี

นี่คือคำอธิบายที่บอกว่าพระเยซูมีเลือด และมีเนื้อเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่พระองค์ไม่มีเชื้อบาปเลย  เพราะว่าพระองค์ไม่ได้มาจากเชื้อของคนบาปที่เป็นมนุษย์เลย อย่างที่บอกตอนต้นนะครับว่าในสมัยนั้น  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ แต่ทุกวันนี้การแพทย์ มีวิธีเหนือธรรมชาติ คือโดยธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ แต่โดยเทคโนโลยีปัจจุบัน เป็นไปได้ ที่เรียกกันว่าการผสมเทียม เคยได้ยินใช่ไหม?

ซึ่งเทคนิคการผสมเทียมก็มีตั้งแต่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ไปจนถึงเทคโนโลยีล้วนๆ เลย ที่ผมลองอ่านมาคร่าวๆ นะครับ เขาบอกว่าการผสมเทียมที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ก็คือการฉีดหน่อเชื้อของผู้ชายเข้าไปในโพรงมดลูกของผู้หญิง แล้วให้เกิดการปฏิสนธิแบบธรรมชาติ ในมดลูกของผู้หญิงตั้งครรภ์ได้

หรือวิธีที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ การทำกิ๊ฟท์ ซึ่งในพระคัมภีร์กล่าวถึงการมีบุตรว่าเป็นของประทานมาจากพระเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Gift ผมก็เลยตั้งข้อสังเกตว่าคำนี้อาจจะมาจากที่เขาเห็นว่าการมีบุตรเป็นของประทาน จึงเรียกวิธีการนี้ว่ากิ๊ฟท์ การทำกิ๊ฟท์คืออะไร? การทำกิ๊ฟท์ ก็คือการเก็บไข่จากผู้หญิง และเก็บหน่อเชื้อของผู้ชายมาผสมกัน แล้วก็ใส่กลับเข้าไปสู่มดลูกของผู้หญิงทันที พอผสมกันข้างนอกเสร็จปุ๊บ ใส่เข้าไปในผู้หญิงทันที เพื่อให้การปฏิสนธิเป็นแบบธรรมชาติอยู่ ซึ่งกรณีที่มดลูกของคนที่เป็นแม่แข็งแรงไม่พอ แข็งแรงไม่พอที่จะทำการปฏิสนธิ จึงทำการเอามาปฏิสนธิข้างนอกให้เรียบร้อย แล้วก็ฉีดเข้าไป ก็คือเอาไปฝากไว้ที่ท้องของผู้หญิงนั่นเอง เอาไปฝากไว้ เอาไปใส่ไว้ นึกออกใช่ไหมค่ะ

ที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ที่เรียกกันว่าอุ้มบุญ อันนี้ชัดเลย หลายๆ คนรู้แล้ว ถ้าเผื่อมดลูกของผู้หญิงคนใดแข็งแรงไม่พอ ก็อาจจะไปฝากไว้ที่ผู้หญิงคนอื่น นึกออกใช่ไหม? นึกออกใช่ไหม? ไข่ของแม่บวกเชื้อผู้ชาย เป็นสามีเรา แต่ไปฝากไว้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่เขาแข็งแรงกว่าเรา เขาเรียกว่าอุ้มบุญ เด็กก็ยังมีสายเลือดทุกอย่าง ทั้ง DNA เชื้อของใคร? เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่อุ้มบุญเลย ถูกไหม? นี่ปัจจุบันหมดเลย

ส่วนวิธีธรรมชาติน้อยที่สุด นี่น้อยที่สุด คืออะไร? คือการทำเด็กหลอดแก้ว เด็กทดลอง ก็คล้ายๆ การทำกิ๊ฟท์นะครับ เก็บไข่จากผู้หญิง หน่อเชื้อจากผู้ชาย  แล้วให้เกิดปฏิสนธิในหลอดแก้ว ใช้เวลาประมาณ 3 – 5 วัน จนกระทั่งเกิดเป็นตัวอ่อนแล้ว จึงใส่กลับเข้าไปในมดลูกของผู้หญิง อันนี้ไม่ธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติน้อยลง พูดง่ายๆ

ถามว่าการผสมเทียมด้วยวิธีการต่างๆ ที่ผมพูดมานี้ ผู้หญิงที่ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ สามารถตั้งครรภ์ได้ไหมครับ? ตอบ?  ได้ เห็นไหม? 2,000 กว่าปีบอกแล้ว 3,000 กว่าปีบอกแล้ว 4,000 กว่าปีบอกแล้ว ในพระคัมภีร์บอกแล้วว่าได้ บางคนบอกได้อย่างไร?  แต่ปัจจุบันไม่กี่ 10 ปีมานี้เอง รู้แล้วว่ามันได้ มันเหมือนโลกกลมนะ อย่างนี้มันมันส์ในอารมณ์ไหม? มันส์จริงๆ  มันมันส์เหมือนสมัยที่เขาค้นพบว่าโลกกลม พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว

แล้วอันนี้พระคัมภีร์ก็บอกไว้ตั้งนานแล้วว่าหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์ได้ แล้วในปัจจุบันเทคโนโลยีหาเจอแล้ว ตั้งครรภ์ได้จริงๆ

แล้วผมคุยเรื่องการผสมเทียมมาเยอะแยะ จนทุกคนจะเป็นหมออยู่แล้วเนี้ย ถามว่าคุยเพราะอะไร? ท่านทราบไหมครับ? ก็เพื่อให้ท่านทราบว่าการกำเนิดทารกทุกคน บนโลกใบนี้ การกำเนิดทารกทุกคนต้องเกิดจากหน่อเชื้อของผู้ชายเท่านั้น  เชื้อผู้ชายเท่านั้น

          พวกเราทุกคนที่เป็นมนุษย์ เซลๆ แรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของเรา มาจากเชื้อของพ่อ ที่มาผสมกับไข่ของแม่ จึงเกิดเซลแรกขึ้น แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่มีเชื้อจากใครเลย ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้เกิดเซลขึ้น เซลแรกในครรภ์ ในมดลูกของนางมารีย์เลยทีเดียว โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากที่ไหนเลย ด้วยการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ทำให้เกิดเซลๆ แรกขึ้นในมดลูกของหญิงพรหมจารีที่ชื่อว่าแมรี่ เพียงแค่ขออาศัยครรภ์หรือมดลูกของแมรี่ ที่จะฟูมฟักเซลแรกนี้แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อคลอดออกมาเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิงไง

 

พวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น แต่พระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิงอย่างเดียว หญิงให้กำเนิดอย่างเดียว ไม่มีชายมาผสมเลย เอเมน

          ตรงนี้ ก็คือคำตอบที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ไง ถึงมาทำงานไถ่บาปได้ เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเรา รับประทานอาหารเหมือนเรา ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือเหมือนเราเลย แต่เซลไม่เหมือนเรา เซลแรกเรามาจากพ่อและแม่ แต่พระเยซูเซลแรกมาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เห็นชัดไหม? พระเยซูเป็นพระเจ้า ที่เขาเรียกว่ามาจุติเป็นเซลในมดลูกของนางมารีย์ ที่เป็นหญิงพรหมจารี

 

จุติ จริงๆ ภาษาไทยตรงๆ แปลว่าตาย  แต่หมายถึงลักษณะเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงระหว่างโลกวิญญาณ  จุติ แปลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพจากสภาพหนึ่ง มาสู่สภาพหนึ่ง เรียกง่ายๆ จากพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ จึงเรียกว่าจุติได้

ถ้าพูดตรงๆ ตรงนี้ สามารถพูดอะไรได้รู้ไหม?  ถ้าพูดในยุคปัจจุบัน ต้องบอกว่าพระเจ้ามาพบแมรี่คืนวันนั้นใช่ไหม? แล้วบอกแมรี่ว่า … สมมติว่าเป็นยุคปัจจุบัน ทูตสวรรค์มาพบแมรี่ แล้วบอกแมรี่

“แมรี่ พระเจ้าขอให้เธออุ้มบุญได้ไหม? อุ้มบุญพระเยซู”

ถูกหรือไม่ถูก? คืออย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรพิสดาร พิเศษ แต่สมัยนั้น เขาไม่รู้เรื่อง  แต่เดี๋ยวนี้ทางวิทยาศาสตร์เห็นชัดเจน  พูดง่ายๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์มาบอก ทูตสวรรค์บอกแมรี่ว่า.-

“เธอจะอุ้มบุญ”

สมมตินะ ถ้าแมรี่อยู่ในยุคปัจจุบัน โอเค เลย ง่ายเลย เพราะเทคโนโลยีบอก เป็นไปได้

“เราจะมาให้เธอเป็นคนอุ้มบุญ”

“อุ้มบุญใคร?”

“อุ้มบุญพระเยซู”

“โดยอะไร?”

“โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดเซลแรกในครรภ์ของเธอ”

เหมือนฉีดเชื้อเข้าไป นึกออกใช่ไหม?

“เอาเซลแรกเข้าไปในครรภ์ของเธอ ในมดลูกของเธอ และเธออุ้มบุญให้ที ต้องการให้เกิดพระเยซู ซึ่งเป็นมนุษย์”

เซล เป็นเซลมาจากพระเจ้า ยอดเยี่ยมเลย ขอบคุณพระเจ้า แต่ขณะเดียวกัน ในความคิดอาจจะมีคำถามอยู่ อาจจะถามต่อว่า.-

“ถึงแม้จะไม่มีเชื้อผู้ชาย”

คนเถียง เขาก็จะเถียงอยู่เรื่อยๆ เขาจะคิดไปเรื่อย ดีนะครับ พระเจ้าชอบมากเลยนะ ขอให้มาศึกษาเรื่องพระเจ้าเถอะ ขอให้อยากรู้อยากเห็นเถอะ จะเจอของจริงแน่ ส่วนใหญ่ที่ไม่เจอ เพราะว่าไม่เชื่อ แล้วก็ไปเลย อะไรอย่างนี้  ไปเลย ก็ไม่เจอสิ แต่ถ้ามาค้นคว้าหาพระเจ้า เจอแน่ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์มองหาผู้คนบนโลกใบนี้ที่แสวงหาพระองค์ แสวงหาพระองค์ คืออยากรู้ ไม่เข้าใจ ก็ถาม สืบหาต่อไป เจอแน่ คนที่หาต่อไป อาจจะถามว่า.-

“ถึงแม้จะไม่มีเชื้อของผู้ชาย แต่ก็อยู่ในมดลูกของหญิง ที่เป็นมนุษย์ แล้วจะบอกว่าไม่มีเชื้อบาป และไม่มีเชื้อบาปของมนุษย์อยู่ในตัวของพระเยซูได้เลย ได้อย่างไร?”

อาจจะถามอย่างนี้ จะตอบคำถามนี้ ต้องย้อนกลับมาคุยถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์อีกแล้ว ในเรื่องของการปฏิสนธิและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ คือในมดลูกว่าเขาเจริญเติบโตอย่างไร? เราจะได้รู้ว่าที่พระเยซูอยู่ในครรภ์ของแมรี่ ไม่มีเชื้อบาปจริงๆ

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบปัจจุบันแล้ว เรามาดูกัน เอาแบบคร่าวๆ นะครับ เกี่ยวกับเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์ ที่กำลังคุยอยู่ คือโดยธรรมชาติแล้ว การปฏิสนธิของทารก ก็คือการนำเชื้อของผู้ชาย ของพ่อ เข้าไปผสมกับไข่ของผู้หญิง คือแม่ และเมื่อเกิดการผสมกันแล้ว ก็จะเกิดเป็นเซลใช่ไหม?  ที่เรียกว่าการปฏิสนธิ อย่างนี้ปฏิสนธิปุ๊บ เกิดเป็นเซลขึ้นมา พอเป็นเซลปุ๊บ ใช้มดลูกของแม่เป็นที่ฟูมฟักเซลที่เป็นตัวอ่อน คือให้อาหาร และรับสารอาหารจากแม่ทางสายสะดือนะครับ จนค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น จากเซลแบ่งไปเรื่อยๆ โตขึ้นๆ เรื่อย และแตกตัวเป็นอวัยวะต่างๆ จนกระทั่งถึงกำหนดคลอดออกจากมดลูก ออกจากครรภ์

จะเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ทารกอยู่ในมดลูกของแม่นั้น ไม่มีเลือดและไม่มีเชื้ออะไรจากแม่เข้าไปสู่เซลของทารกเลย อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่าการกำเนิดของทารกจะมีเพียงเชื้อแรกจากพ่อ   ที่เข้ามาผสมกับไข่ของแม่ จนเกิดเซลแรกขึ้นเท่านั้น ตอนอยู่ในครรภ์ เจริญเติบโตแล้ว เลือดของแม่ได้เข้าไปยุ่งเลยนะครับ แล้วหลังจากนั้น เซลนี้ก็จะเจริญเติบโตและสร้างเป็นอวัยวะต่างๆ ของตัวเอง สร้างเลือดของตัวเอง โดยอาศัยเพียงมดลูกของแม่ เป็นที่อยู่และรับสารอาหารจากแม่เท่านั้น ไม่ได้รับเชื้ออะไรหรือรับเลือดอะไรจากแม่เลย แล้วมิหนำซ้ำ ถ้าเลือดของแม่นิดเดียวเข้าไปอยู่ในเด็ก … เด็กตาย นี่คือในทางการแพทย์ เด็กตายเลย ติดเชื้อตายเลย ท่านพอจะเห็นหรือยัง นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นต้องนานมาแล้ว

          และสำหรับพระเยซูตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ที่ลงมาจุติในมดลูกของหญิงพรหมจารี ถ้าพูดแบบหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือมาเกิดเป็นเซลแรกในมดลูกของแมรี่ … มารีย์ เจริญเติบโตในมดลูกของนางมารีย์ โดยไม่มีเชื้อและไม่มีเลือดของนางมารีย์ในตัวของพระองค์เลย  แม้แต่นิดเดียว  จึงเป็นคำตอบที่บอกว่าทำไม พระเยซูถึงอยู่ในมดลูกของหญิงที่เป็นมนุษย์ คือแมรี่ แต่ไม่มีเชื้อบาปเลย เห็นไหมว่าหลักการวิทยาศาสตร์เป็นจริงอีกแล้ว

 

          และเหตุผลของพระเจ้า ที่ให้พระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาจุติในมดลูกของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อแมรี่ และให้มาประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของการเป็นมนุษย์ครบถ้วนเลย แบบเราเลย ที่ปราศจากบาป ไม่เหมือนเราตรงที่ไม่มีบาป ก็เพื่อให้รอถึงวันอีสเตอร์ ที่พระองค์จะมารับเอาโทษของความบาปทั้งหลายของเรา มนุษย์ทั้งหลาย ไปไว้ที่พระองค์ มารับโทษแทนเรา เพราะเราถูกสาปแช่ง เราเชื้อบาปทั้งหลาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ไม่ต้องไปอยู่ในนรก  เพราะคำสาปแช่งนั้น บอกแล้วว่าถ้าอยู่ในคำสาปแช่ง หมายถึงไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านกับพระเจ้า เมื่อตายไปแล้ววิญญาณที่ยังอยู่ตลอดนิรันดร์ ต้องอยู่ในสถานที่ไม่มีพระเจ้า เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า และสถานที่ที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ก็คือนรก  ที่พระเจ้าอยู่ เรียกว่าสวรรค์ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนมาอยู่กับพระองค์ เป็นลูกของเขา ที่ทรงรักมาก

 

“ซึ่งจะอยู่ได้ เมื่อเจ้าไม่มีบาป ถ้าเจ้ามีบาป เจ้าอยู่กับเราไม่ได้ แค่นั่นเอง และเราก็ส่งพระบุตรของเรา”

คือส่งพระเยซูมาเกิด ทำการอัศจรรย์ต่างๆ เหล่านี้ มาเกิดในหญิงพรหมจารี เพื่อรับบาปแทนมนุษย์ พี่น้องทั้งหมดเลย คือเราทั้งหลาย เหมือนพี่ๆ น้องๆ ของพระเยซู พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นพี่น้องของเรา  ที่ไม่มีบาป นอกนั้นพี่น้องของเราทั้งหมด ตั้งแต่อาดัมมาเป็นบาปหมดไง พี่น้องคนนี้ไม่มีบาป พระเยซูคนนี้ไม่มีบาป มาชดใช้บาปแทนเรา  รับไปแล้ว แล้วเรายังไม่รู้อีกเหรอ แค่นั้นเอง พระเยซูมา พระเยซูจึงบอกว่าให้ทุกคนไปประกาศข่าวดีนะ ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนอะไรมากมายเลย ไปพูดข่าวดีนี้นะ ไปบอกข่าวดีนี้นะ ไปบอกข่าวดีนี้  บอกไปเรื่อยๆ นะครับว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าโน่น หลายพันปี หลายหมื่นปี เดี๋ยวนี้สำเร็จแล้ว คือ.-

          “พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคนเป็นอิสรภาพแล้ว มารับสิทธิ์ของเจ้าด่วน  มารับสิทธิ์เลย”

 

เท่านั้นเอง  นี่คือเหตุผลทั้งหมดของวันคริสตมาส

2 โครินธ์ 5:21 “เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ ผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นความบาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า ทางพระองค์

 

นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าบอกเรา เราผู้ซึ่งเป็นคนบาป ไม่ต้องรับบาปของตัวเองต่อไป ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของตัวเองต่อไปแล้ว เพราะว่าพระเจ้าส่งพระเยซู ผู้ไม่มีบาป ไม่มีเชื้อบาปเลย แต่มารับเอาบาปของเราไป แค่นั้นเอง ง่ายๆ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ คือพระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นบาป และพระองค์ทรงผู้ทรงไม่มีบาป ก็คือพระเยซูคริสต์นั้น เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว เป็นมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่มีบาป

พระองค์ไม่เคยทำบาป เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำไมไม่เคยทำบาป เพราะอะไรรู้ไหมครับ? พระองค์ข้างในพระองค์สะอาด บริสุทธิ์ ทุกอย่างที่ทรงกระทำนั้น เป็นการกระทำ โดยตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น เพราะอยู่ข้างในนี้ไง ข้างนอกเราอาจจะเห็นพระองค์ทำอะไรที่เหมือนบาป ยกตัวอย่างเช่น เหมือนโกรธมากเลย ที่เขามาค้าขายอยู่ที่หน้าสถานที่นมัสการของพระเจ้า มาค้าขาย  ทำให้ความบริสุทธิ์ของสถานนมัสการของพระเจ้ากลายเป็นตลาดไป พระเยซูโมโหมากเลย เราดู เราคิด

“อย่างนี้ไม่ทำบาปเหรอโกรธ”

แต่นั่นคือน้ำพระทัยพระเจ้า คำว่า “บาป” คืออะไรรู้ไหม? เคยสอนหลายครั้งแล้ว บาปแปลว่า Miss the target แปลว่าทำไม่ถูกตามน้ำพระทัย ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า คือบาปทั้งสิ้น แต่ถ้าตามน้ำพระทัยพระเจ้า มันไม่บาปเลย แล้วพระเยซูข้างในเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว ทำทุกอย่างจากข้างใน ทำทุกอย่างจากที่พระเจ้าบอกข้างใน เพราะฉะนั้นออกมาข้างนอก เป็นพระเจ้าสั่งให้ทำทั้งสิ้น ไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น หัวใจจึงอยู่ข้างในมากกว่าข้างนอก

ข้างนอกจะทำดีแค่ไหน? คนนั้นบอกว่าดี คนนี้บอกว่าดี แต่ข้างในเป็นคนบาป มันก็คือบาป แต่ถ้าข้างในดีอยู่แล้ว มันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ข้างนอกบางคนบอกว่ายังโกรธ แต่มันบริสุทธิ์ ข้างในบริสุทธิ์

พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่มีบาป ไม่มีทั้งเชื้อบาป และไม่เคยทำบาปเลย ไม่เคยทำอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าแม้แต่ครั้งเดียวเลย เอเมน พระองค์จึงสะอาดบริสุทธิ์ และมารับบาปของเราได้ มีกำลังพอที่จะรับแบกบาปของพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขน ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราจึงพ้นจากบาป  เราจึงกลายมาเป็นผู้ชอบธรรม จากนักโทษ ได้รับการตัดสินจากศาลฎีกาบอกว่า.-

“เธอเป็นอิสระแล้ว”

“เย้ๆๆๆ”

ถูกหรือไม่ถูก? มันแปลว่าอย่างนั้น ตะกี้ที่เราอ่าน มันแปลว่าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราจะได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยทางพระองค์ เราได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องถูกตัดสินไปติดคุก โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป คือพระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป ให้เป็นบาป ก็คือรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์

คำว่า “ให้เป็นบาป” ในคำนี้ ในภาษากรีก ใช้คำความหมายว่า Sin offing คือพระเจ้าได้ทำให้พระเยซูเป็น Sin offing พระเจ้าได้ทำให้พระเยซูเป็นผู้รับบาป  แปลเป็นไทย เสนอตัวรับบาป หรือเสียสละรับบาป หรือแปลเป็นไทยเดิมว่าแพะรับบาป แทนมนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป  ถ้าแปลตรงๆ ก็คือพระเจ้าได้ทรงกระทำให้พระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป  ให้เป็นแพะรับบาป เพื่อให้มนุษย์ ได้หลุดพ้น จากความบาป  และรอดจากถูกลงโทษเนื่องจากบาป ให้กลับมาคืนดีมีความสัมพันธ์ที่ดี ถูกต้องกับพระเจ้าผู้สร้างเขา กลับมาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้าผู้สะอาดบริสุทธิ์ จะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เอเมน

นี่คือทำไมพระเยซูต้องมาเกิดในหญิงพรหมจารี

นี่คือทำไมเขาร้องเพลงประจำคริสตมาสนี้ดังที่สุด รู้ไหมว่าเพลงอะไรดังที่สุด ในช่วงคริสตมาส เพลงคริสตมาสใช่ไหม? รู้ไหมว่าในเพลงคริสตมาสเหล่านั้น เพลงอะไรดังที่สุด? ไปประเทศไหนต้องมี และใส่ภาษาของเขาทุกประเทศ ถามว่าเพลงอะไรในช่วงคริสตมาสนี้ เพลงคริสตมาสหลายๆ เพลง มีเพลงอะไรที่ดังที่สุด  ที่ท่านเกือบทุกคนร้องเพลงนี้ได้เกือบทั้งหมด คือเพลง “Silent night” เพลงนี้เพลงเดียวที่ได้พูดถึงเรื่องนี้ชัดเจนมากว่าเป็นคืนศักดิ์สิทธิ์ คือที่ความศักดิ์สิทธิ์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย คืนที่เกิดเด็กคนหนึ่ง ที่เป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ เด็กพิเศษ โดยการอุ้มบุญของแมรี่เท่านั้น

เราจะมาร้องเพลงนี้ด้วยกัน ไปที่ไหนทั่วโลก ช่วงคริสตมาส เขาก็จะร้องเพลงนี้แหละ บอกถึงอะไร? บอกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตะกี้นี้บรรยายมาทั้งสิ้นเลย อยู่ในเพลงนี้ทั้งหมดเลย เวลาร้องไป นึกถึงความจริงที่เราได้บรรยายกันมา ได้เรียนรู้กันมาเมื่อตะกี้นี้ นึกถึงเทคโนโลยีที่บอกเราว่าค้นพบแล้วว่านี่เป็นจริง ค้นพบแล้วว่านี่เป็นไปได้ ค้นพบแล้วว่านี่ใช่ แล้วเราจะมันส์ในอารมณ์มาก ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่จริงๆ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************