วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1434

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กันยายน  2023

เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2 เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้ว แล้วว่าพระเยซูคริสต์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว ที่ผมยกตัวอย่างรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส ตั้งแต่ พ.ศ.2448 ถึงปัจจุบัน 118 ปีแล้ว ลักษณะเดียวกัน 

            เพราะฉะนั้น ใครที่อยากใช้สิทธิ์ ง่ายนิดเดียว ก็แค่เชื่อในข่าวดี เชื่อในคำพูดถึงความจริงนี้เท่านั้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มสักนิดหนึ่ง  ใครที่เป็นทาสอยู่ตั้งแต่สมัยโน้น ปี 2448  ในราชอาณาจักรไทย ได้ยินข่าวดีนี้  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลยสักนิด เขาสามารถเดินออกจากบ้านหลังนั้น ก็ได้ ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้วทันที  เพราะว่ากฎหมายได้ออกมาแล้ว และรัชกาลที่ 5 ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ประกาศใช้แล้ว ในทางวิญญาณก็เหมือนกัน พระเยซูประกาศใช้มา 2,000 ปีแล้ว มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด จากการเป็นทาส ในวิญญาณ เขาจะได้รับสิ่งนี้แหละ ตามหัวข้อเรื่องนี้ทันที เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  เขาจะได้รับที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา แปลว่าเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย

            บัพติศมา แปลว่าใส่ลงไป เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

            ใครดื่มกาแฟตอนเช้าบ้าง? ใครดื่มกาแฟ 3 อิน 1 บ้าง? 3 ใน 1 มีกาแฟ ครีม น้ำตาล  เสร็จแล้วมีใครดื่มกาแฟ แล้วใส่น้ำมันมะพร้าวบ้าง? ที่เขากำลังฮิต อันนั้นแหละ ทุกเช้า บัพติศมาทุกวัน บัพติศมาน้ำมันมะพร้าว กาแฟ 3 อิน 1 แล้วลงไปเห็นน้ำมันมะพร้าวที่ใส่ลงไปไหม? คนๆ มันก็หายไปแล้ว เหมือนกัน วิญญาณเรา เป็นทาส แต่เราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงบัพติศมาเอาเราใส่ลงไปใน 3 อิน 1 เหมือนกัน  เป็นตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าได้นำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในนี้ กลืนกันเป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ขอบคุณพระเจ้า  พยายามยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

            ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตอนที่แล้ว แล้วนะ  เราก็จะเข้าไปอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ และตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค ก็ได้เข้ามาอยู่ในเรา ผสมกัน รวมกัน บัพติศมากัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            วันนี้ จะขยายให้นิดหนึ่งว่าแล้วลักษณะมันเป็นเช่นไร? ในร่างกายของเรา ในขณะนี้ ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเรานี้ เรียบร้อยแล้ว ขณะที่เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะชีวิตของเรา ร่างกายของเรานี้เป็นอย่างไร? อยากรู้ไหมครับ? เราก็ต้องอยากรู้ เพราะว่า มันมองไม่เห็นในโลกวิญญาณ  แต่ถ้อยคำพระเจ้าได้ระบุเอาไว้ ซึ่งผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจและชัดที่สุด เท่าที่ทำได้  หนังสือโรม 8:10 …

        โรม 8:10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

            ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณ สำหรับคนที่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้บัพติศมาในวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะเป็นเช่นไร?

            “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน” ก็คือถ้าท่านเปิดใจต้อนรับ และท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กายภายนอก ก็คือกายที่เรามองเห็นนี้ กายที่ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่ากายที่มาจากเรือนดิน … เรือนดิน ก็คือถูกสร้างมาจากดิน เนื้อดินของโลกใบนี้  วัตถุ ธาตุที่เป็นของโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างมา ซึ่งโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว ต้องสูญสิ้น เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน ตามกฎ เขาเรียกว่ากฎของความบาปและความตาย กฎนี้ยังอยู่ เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ อย่างไรก็ต้องตาย แม้ว่าเราจะได้เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทางฝ่ายวิญญาณแล้วก็ตาม ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ กำลังเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน แก่ลงไปทุกวัน เจ็บป่วยไปเรื่อยๆ วิ่งไปสู่ความตายกันทุกคน ตามที่กฎของคำสาปแช่ง กฎของความตายได้ระบุเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น

            แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ที่เราเห็นในร่างกายนี้ มันต้องตาย  แต่วิญญาณของเรา ที่เราไม่เห็น แต่เรารู้ระแคะระคายมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตของเราแล้ว  เราแสวงหาสวรรค์ เราแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรากระทำหลายอย่าง พิธีกรรมเยอะแยะมากมาย ที่จะแสวงหาอะไรบางอย่าง ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระเจ้า (S) ต้องใส่ S เข้าไป คือเรื่องของพระเจ้าเยอะแยะไปหมด อ้างว่าเป็นพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เราก็ทำพิธี มีมนุษย์เท่านั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่กระทำสิ่งเหล่านี้ ก็คือกระทำพิธีทางศาสนา พิธีกรรมทางวิญญาณ หาไปเรื่อยๆ หาอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือพิสูจน์ว่าเรามีวิญญาณ

            และในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณภายในของเรา เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะเราได้บัพติศมา เราได้ตายพร้อมพระเยซู แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซูเลย ก็คือทางฝ่ายวิญญาณ ตรงนี้แหละ เหมือนพระเยซูเลย ข้อ 11 ต่อไป

        โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            “เพราะถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย” พูดง่ายๆ ว่าถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือ 1 ในตรีเอกานุภาพ  ถูกไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ตอนที่พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระเจ้าเป็นผู้ประทานการเป็นขึ้นจากความตายให้พระเยซู โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการงาน

            ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ อยู่ในท่านทั้งหลาย สถิตอยู่ภายในท่าน ก็คือหนึ่งในตรีเอกานุภาพ ที่สถิตอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู วิญญาณเราเหมือนพระเยซูไปหรือยัง? เหมือนแล้ว ตะกี้นี้ ข้อ 10 บอก

            ในข้อ 11 บอกว่าพระวิญญาณเดียวกันนี้ ที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะให้ชีวิตนิรันดร์กับเรา ที่เหมือนพระเยซู ให้กับเราตรงไหน? วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูไปแล้ว ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

            อ้าว! ตะกี้ข้อ 10 บอกว่าร่างกายของเราที่เห็นอยู่นี้  เป็นเรือนดิน แล้วมันต้องถูกสาปแช่ง มันต้องตายไปตามกฎของความบาปและคำสาปแช่ง แต่ในนี้บอกว่านั่นแหละ ร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังแก่นั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้ด้วย

            ชีวิตนิรันดร์ ก็คือสง่าราศี  พระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา  พูดง่ายๆ ก็คือพระสิริของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเรา ที่ต้องตายนี้  ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา  พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเกิดพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในใครแล้วก็ตาม ทุกอณู ทุกเซลในร่างกายของเรา  ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ไส้ พุง  ที่มองไม่เห็น หรือที่มองเห็นข้างนอก ดวงตา เซลทุกเซล จะถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา เห็นความสำคัญในร่างกายของเราไหม?

            พระคัมภีร์ถึงบอกว่าเมื่อท่านใช้สิทธิ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับที่สกปรก  สำหรับพระเจ้าแล้ว ชำระจนสะอาดหมดจด  แม้ว่าร่างกายนี้ต้องตาย เพราะคำสาปแช่ง แต่ได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว โดยพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว ตอนที่บัพติศมาท่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์

            เพราะฉะนั้น ท่านที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ตามพระคัมภีร์ต้องบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น แต่ท่านจงมองให้เห็นตามถ้อยคำพระเจ้านี่เถิดว่าท่านก็จะเป็นเหมือนดวงสว่างที่เปล่งประกาย รัศมี เจิดจ้า ด้วยพระสิริ และสง่าราศีของพระเจ้า บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ซึ่งแต่ก่อนท่านอยู่นั่นเอง เห็นภาพหรือยังว่าท่านมีค่าอย่างไร?  และท่านเป็นอะไรอยู่ตอนนี้

            กาลาเทีย 3:26-27 เสริมให้เห็นชัดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ ชีวิตของเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บัพติศมาในตรีเอกานุภาพแล้ว มันเป็นลักษณะใด ที่เราเดินอยู่ทุกวันนี้  ที่บางครั้งเราบอกเราเบื่อ ดูหน้าตัวเองเบื่อ กำลังแก่ กำลังไม่สบาย กำลังอันโน้นอันนี้ หลายสิ่งหลายอย่าง ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ประพฤติก็ไม่พร้อมแต่สำหรับพระเจ้า ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ทำอะไรให้กับท่านไปเรียบร้อยแล้ว  เสร็จแล้ว ที่พูดทั้งหมดนี้ เสร็จแล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            “ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว” เป็นบุตรพระเจ้าหรือยัง?  รอให้ตายก่อน  แล้วค่อยเป็นหรือเปล่า? ขณะที่มีลมหายใจอยู่ตอนนี้ นั่งฟังอยู่ตอนนี้ ที่บ้านหรือที่นี่ก็ตาม ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วหรือยัง? ทุกคนก็รู้ว่าเป็นแล้ว  เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ได้รับการบัพติศมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น

            “เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์” กายตัวนี้ ก็คือกายภายนอก ที่ต้องตาย เมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดถึงในโรม 8:11 กายภายนอกที่ต้องตาย ถูกปกคลุมด้วยพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  พูดง่ายๆ ว่าเดินไปไหนก็ตาม ท่านกำลังใส่เสื้อคลุมกายของท่านด้วยพระสิริ สง่าราศีของพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปที่ไหนก็ตาม ตรีเอกานุภาพนี้ ปกคลุมเป็นเหมือนเสื้อคลุม ที่คลุมกายของท่าน หมดเลย ทุกเซลหมดเลย แม้ว่าเซลนั้น กำลังเสื่อมไป กำลังแก่ก็ตาม แต่มีพระสิริ สง่าราศี ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา พระสิริและสง่าราศีของพระเจ้า ปกคลุมท่าน ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 30 หรือเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 80 ก็ตาม พระสิริปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของท่านตลอดเวลา

            เห็นไหมครับชัดเจนแล้วว่าท่านสง่าและสมฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างไร? พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว พระเยซูได้ทำให้แล้ว  สำเร็จแล้ว และพระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรกโน้น 2,000 ปีที่แล้ว แค่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกเลยจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะมันเสร็จแล้ว ท่านไม่จำเป็นจะต้อทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะให้มีสง่าราศีมากขึ้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะมีพระวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นในชีวิตของท่าน ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อจะสนิทกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อให้พระเจ้าอยู่กับท่านมากขึ้น พระเจ้าอยู่กับท่าน ทั้ง 3 พระภาค เต็มเปี่ยม บริบูรณ์แล้ว เอเมน

            ก่อนหน้านี้ มนุษย์อยู่ในความตาย ก่อนหน้าที่พระเยซูจะกระทำให้สำเร็จ คือก่อนหน้า เมื่อ 2,000 ปี มนุษย์อยู่ในความตาย วิญญาณและร่างกายได้รับผลกระทบ จากการขาดชีวิตินิรันดร์ของพระเจ้านั่นเอง ไม่มีสิ่งที่ตะกี้เราพูดเลย ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ภายใน  พระวิญญาณนี้ ก็คือพระวิญญาณผู้ทรงประทานชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะกระทำให้สำเร็จ มนุษย์อยู่ในความตาย ไม่มีตรงนี้อยู่ ไม่มีพระคริสต์คลุมกายอยู่ ก็คือพระสิริของพระเจ้า  ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ตั้งแต่แรกๆ นั้นหลุดหายไปจากมนุษย์  หลุดหายไปจากชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ วิญญาณของมนุษย์เปลือยกายอยู่  พระคัมภีร์ใช้คำนี้จริงๆ  ก็คือไม่มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเขา ชีวิตของเขา ทั้งภายในและภายนอก เรียกว่าเปลือยกายอยู่ เสื้อผ้าที่มองไม่เห็นเรียกว่าพระสิริ สง่าราศี การทรงสถิตของพระเจ้า หลุดออกไปจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แล้วพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากสภาวะนี้แหละ ซึ่งเรียกกันว่าสภาวะทาส กลับคืนสู่พระสิริอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คือมนุษย์ได้กลับคืนสู่สภาพเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้กลับมาสวมพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และประกาศใช้กฎหมาย ทางวิญญาณนี้ ประกาศไปแล้ว 2,000 ปี

            เหมือนอย่างที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว รัชกาลที่ 5ได้ประกาศสิทธิอำนาจนี้ 118 ปีมาแล้ว ได้ประกาศไว้ด้วยสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย มันต้องเป็นไปตามนั้นทุกประการ ไม่มีคำว่าแต่ ถูกไหม? เพราะว่าในหลวง รัชกาลที่ 5 มีสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย  ไม่มีคำว่าแต่ ต้องเป็นไปตามนี้ สมมติเช่น มีคนอ้าง …

            “อ้าว! ถ้าคนนี้มีความประพฤติไม่สมควรที่จะได้รับอิสรภาพ จากการเป็นทาส”

            อ้างอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเขาเลย มันเกี่ยวกับกฎหมายที่ออกมา บอกว่าเขาเป็นทาสในเรือนเบี้ย ต่อไปนี้ เขาเป็นอิสระแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี  เขาก็เป็นอิสระจากกฎหมายที่ได้ถูกประกาศออกมา ไม่มีคำว่าแต่ ทุกคนเป็นทาส ก็ได้รับสิทธินี้ทางกฎหมายทันที เท่าเทียมกัน ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของคนไหนหรือคนนั้นเลย แม้แต่นิดเดียวใช่หรือไม่? ถูกไหม? ทาสคนนี้จะเป็นคนดื้อ ขี้เกียจ ทาสคนนี้เป็นหัวขโมย  ขี้ขโมย กฎหมายนี้ไม่ได้สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าถ้าเขาเป็นทาส เขามีสิทธิ ใช้สิทธิ์นี้

            เช่นเดียวกัน การประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ก็เหมือนกัน แต่ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว  และมองไม่เห็นเท่านั้นเอง ทางโลกวิญญาณ ก็มีกฎทางโลกวิญญาณที่พระเจ้าประกาศออกมาว่าทาสทางฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นอิสระเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าการจะได้รับความรอด จากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับโทษ คือความพินาศในฝ่ายวิญญาณ จนถึงนิรันดร์หลังความตายนั้น จะได้ความรอดนี้  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติเลย กฎหมายทางฝ่ายวิญญาณนี้ ถูกประกาศใช้มาแล้ว ถ้ารู้แล้ว เชื่อไหม? แม้ว่าดูแล้วคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ประพฤติเลวหรืออย่างไร? ชั่วช้าขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย เกี่ยวแค่ว่าเขารู้ความจริงไหม? แล้วเขาใช้สิทธิของเขาหรือไม่?  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการประกาศกฎหมายใหม่นี่ต่างหาก ถูกไหม? ทั้ง 2 สมัยเลย ทั้งสมัยพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศข่าวดี ก็คือประกาศกฎหมายใหม่ทางวิญญาณ ทั้งรัชกาลที่ 5 ก็เหมือนกัน ประกาศกฎหมายเลิกทาสทางฝ่ายโลกนี้ ที่ประเทศไทย มันสำคัญตรงที่ กฎหมายใหม่ ต้องถูกประกาศให้ไปถึงหูของคนที่เป็นทาส เขาจะได้ใช้สิทธิของเขา ใช่หรือไม่? ไม่ใช่มาสอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ความประพฤติ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาจะมาใช้ชีวิตใหม่ อะไรต่างๆ เลย แต่เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องกฎหมายใหม่ว่ามันออกมาแล้วอย่างไร? แล้วเขาต้องใช้สิทธิของเขา ต้องเชื่อในข่าวดีนี้

            สอนเรื่องกฎหมายใหม่ว่ากฎหมายใหม่ระบุไว้เช่นไร? มีฤทธิ์อำนาจบังคับให้เป็นไปตามนั้นได้อย่างไร? และประกาศเชื้อเชิญให้ทุกคนมาใช้สิทธิของเขา ถูกไหม? เลิกทาส สมัย ร.5 พยายามประกาศให้ทั่วราชอาณาจักรไทย  ไปถึงสุดราชอาณาจักรไทยเลย ประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เขาบอกให้ประกาศไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นไท โดยพระคุณพระเจ้าประทานให้  เป็นอิสระใช้สิทธิเท่านั้น

            คราวนี้ส่วนการกระทำของมนุษย์ ทั้งก่อนหรือหลังการใช้สิทธิ์นี้ เมื่อใช้สิทธิของเขาแล้ว การกระทำก่อนหน้า หรือหลังการใช้สิทธินี้  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิทธิที่เขาได้ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ แม้แต่นิดเดียว ถูกหรือไม่ถูก? คนเป็นทาส ใช้สิทธิของเขา เป็นอิสระออกจากการเป็นทาสมา แล้วเขาขี้เกียจ ไปเป็นหัวขโมย  ไปปล้นเขา ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาเป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว ถูกหรือไม่? ไม่สามารถทำให้เขากลับไปเป็นทาสอีกได้ แต่เขาต้องได้รับผลของการกระทำของเขา ที่เขาไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา

            ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศอิสรภาพในการเป็นทาส ใครก็ตามที่ใช้สิทธิของเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว การกระทำก่อนหน้านั้นไม่ได้มีผลกระทบกับเขาเลย การกระทำภายหลังนั้น ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาที่บังเกิดใหม่เลย ใช่หรือไม่? ชัดไหม? เพราะอะไร? เราเห็นเหตุผลง่ายๆ เลย เพราะตอนที่เขาเป็นทาส  ภาษาไทยเขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย คือเขาเกิดมา เขาก็เป็นทาส ก็คือพ่อแม่เป็นทาสอยู่ แล้วก็มีลูก ลูกออกมาตกเป็นทาส คือเป็นสมบัติของเจ้านายของพ่อและแม่เขา เขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย  เด็กคนนั้นเกิดมาเป็นทาสเลย ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำผิดหรือเปล่า? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นทาส เพราะบรรพบุรุษทำหนี้ทำสินเอาไว้  ติดหนี้ติดสิน เราเลยเป็นทาสไปด้วย  เพราะฉะนั้น ตอนเป็นอิสระ เขาก็ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน บรรพบุรุษทำให้เช่นเดียวกัน

            มนุษย์ตกเป็นทาสของความบาปและความตาย  พินาศทางวิญญาณ ตามที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสักครูนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระคัมภีร์บอกว่าตกทอดมาจากบรรพบุรุษ อาดัมและเอวานำความบาปมาสู่มวลมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของตนเอง สู่ความตาย มนุษย์เกิดมาบาป  เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นบรรพบุรุษอีกสายพันธุ์หนึ่ง  ที่มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ทั้งปวง ให้กลับคืนสู่สภาพดีไม่ได้เป็นทาส กลับมาเป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เอเมนไหม? ทีอย่างนี้เราไม่ค่อยจะเอเมนเท่าไร? พอบอกมนุษย์เกิดมาต้องใช้เวร ใช้กรรม อยู่ในความบาป

            “ใช่ ฉันเกิดมา ก็ใช้เวร ใช้กรรม เมื่อไรจะหมดสักที”

            แต่พอไปประกาศใหม่ บอกว่า … “พระเยซูคริสต์มาปลอดปล่อยให้เธอเป็นอิสรภาพแล้ว เธอไม่ต้องเป็นทาสแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน”

            “มันเป็นไปได้อย่างไร?  คนเราจะต้องทำดี เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดี  คนเราจะต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์สิ ไม่ทำดี แล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ใช่ไหม? นี่คือโลกนี้หลอกเราใช่ไหม? แต่พอเรามาวิเคราะห์ตามถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่เป็นความจริงนี้ เราเห็นชัดเลย ตอนที่เราตกลงไปในความบาป เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เรายังยอมรับเลยว่าใช่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องทำอะไร เราก็ต้อง เอเมนสิ

            ผู้ที่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอดแล้ว ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอด  รอดโดยไม่ใช่ความประพฤติ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า  ตามกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่เคร่งครัด ชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่สุดเลย เหมือนกับตอนที่ลงโทษมนุษย์ตกลงไปสู่การเป็นทาส ก็เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ อันเดียวกันนั่นแหละ ซึ่งเราก็ยอมรับกัน ทั่วมหาจักรวาลแล้ว  เพราะฉะนั้น ในทางของพระเยซู มันก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนการกระทำของมนุษย์นั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ใช้สิทธิ์ เชื่อในข่าวดีนี้  ก็ได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำสิ่งใดๆ หรือพิธีกรรมใดๆ ของโลกนี้ก็ตาม เอเมน

            และการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทำอย่างไร? เมื่อเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าตรีเอกานุภาพที่สถิตอยู่กับเรา  ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา ที่พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเจ้ากับร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังเสื่อมนี้กับเรา จะเป็นผู้นำเรา เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เดินไปกับเรา จูงมือเรา ค่อยๆ มีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ แบบใหม่  แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเราทั้งสิ้น แม้ว่าหลายครั้ง  เราอาจจะไม่เชื่อพระวิญญาณ  แต่ขณะที่เราไม่เชื่อฟังนั้น  พระวิญญาณนำเราอยู่ไหม? ตัวนี้สำคัญ  บางคนบอกว่าพอเราดื้อ พระวิญญาณไม่นำ  พระวิญญาณไม่นำได้อย่างไร? พระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว น้ำมันมะพร้าวลงไปในกาแฟ 3 อิน 1 แล้ว เอาไม่ออกแล้ว  อย่างไรก็ไม่ออก มันก็อยู่ในนั้นแล้ว  ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณก็นำท่านอยู่ แต่ท่านไม่เชื่อเอง แต่นำอยู่ไหม? นำอยู่

            เพราะฉะนั้น ก็ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณ  และพระวิญญาณก็จะให้สติปัญญา  อะไรที่เราคิดเองได้ อย่างเช่น อะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ทำ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็อย่าทำ  เป้าหมายมีอยู่แค่นี้เอง คิดเอาเอง แต่ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ? ก็ไม่มีผลอันใดเลย เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่นิดเดียว  และไม่เกี่ยวกับความรอดนิรันดร์หลังความตายด้วย  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกแล้ว

            บางคนกลัวว่าตายไปแล้ว เข้าสู่พิพากษาแล้วจะไม่รอด ถ้าท่านรอดตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หลังความตาย ท่านก็รอดเหมือนเดิม  ถ้าท่านไม่ได้รับความรอดวันนี้ ไม่ได้เชื่อพระเจ้าในวันนี้ ตายไป ท่านก็ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดเช่นเดียวกัน  เพราะว่าความรอดนิรันดร์นี้ ที่พระเจ้าประทานให้แล้ว ให้ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนั้น ข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ สรุปแค่นี้  เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับทันที

            ดังนั้น พิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่างๆ ที่เราได้พูดกันไปเมื่อตอนที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำมหาสนิท การบัพติศมาในน้ำ ที่เรากำลังจะทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ล้วนเป็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับความรอดในพระคริสต์เท่านั้น เป็นภาพเฉยๆ ก็คือเป็นภาพของการตาย ร่วมกับพระคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอภานุภาพ ในวิญญาณของเรา ที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้เมื่อสักครู่นี้  เกี่ยวกับการบัพติศมาในวิญญาณ  การได้ถูกใส่เข้าไปในตรีเอกานุภาพ  เป็นหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ซึ่งเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า

            การกระทำทั้งหมด พิธีกรรมอะไรต่างๆ ทั้งหมด ถ้าทำแล้วเป็นประโยชน์ก็ทำ ไม่ทำได้ไหม? ได้ ไม่ทำ เราก็รอดเหมือนเดิม แต่ทำได้ไหม? ท่านคิดดู มันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ทำ จะทำหรือไม่ทำ ในโลกวิญญาณ ท่านก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้วทั้งสิ้น คือความจริงในโลกวิญญาณ ก็คือมนุษย์ได้รับการชำระบาปทั้งสิ้น เรียบร้อยแล้ว โดยพระวิญญาณพระเจ้าได้กระทำการขจัดวิญญาณเก่าของเราให้ตายไป วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปนั้น ให้มันตายไป และบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเยซูเลยทันที  เมื่อเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เพื่อจะได้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมดีพร้อมแล้ว จึงสามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้ ซึ่งจะได้รับผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  และเชื่อแล้ว ก็ใช้สิทธิของตน ทันทีที่ใช้สิทธิของตนนั้น  ก็จะได้สวมใส่พระสิริ สง่าราศีของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทันที ตั้งแต่ขณะนี้ บนโลกใบนี้เลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ปกคลุมไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระคริสต์ คือตรีเอกานุภาพทันที โรม 1:15-16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ความสำคัญของข่าวประเสริฐนี้ …

        โรม 1:15-16 “15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            พูดง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง  ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย พระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ผู้เชื่อแล้ว ข้าพเจ้า หมายถึงเปาโล ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระองค์กระตือรือร้นอย่างยิ่งเลย ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรม ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ พระเยซูไม่ละอายในข่าวประเสริฐเลย เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ไม่ใช่ให้ทุกคนที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ เอาใจพระเจ้า ทำพิธีกรรมต่างๆ ดี ไม่ใช่  เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ในข่าวดีนี้

            ข่าวดีนี้ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ได้รับความรอด คนยิวก่อน และคนต่างชาติด้วย พูดง่ายๆ ว่าทั้งโลกเลย คนยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือคนทั้งโลกนี้ ได้รับความรอด ด้วยความเชื่อ เชื่อในข่าวประเสริฐ  … ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ ที่จะทำให้เขาได้บัพติศมาลงไปในพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ  ให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอด โดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ในการประกาศข่าวดี  และทุกคนที่พระองค์ทรงใช้ มาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว นอกจากเปาโลแล้ว มาถึงพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็อยากที่จะประกาศข่าวดีนี้ กระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวดีนี้ คือมนุษย์สามารถที่จะรับฤทธิ์เดชอำนาจนี้  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า รอดพ้นจากการพิพากษาให้พินาศ นิรันดร์ได้  โดยความเชื่อในข่าวดีนี้เท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำใดๆ ของตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม  หรือกระทำสิ่งใดๆ ก็ตามเพิ่มเติมอีกเลย ไม่มีเกี่ยวข้องเลย ต่อให้ท่านไม่ทำมหาสนิท ท่านก็ได้รับความรอดนี้ไปแล้ว ด้วยการเชื่อในข่าวดี ความรอด คือการเชื่อในข่าวดี จะลงน้ำบัพติศมาหรือไม่ลงน้ำบัพติศมาก็ไม่เกี่ยว จะถวายทรัพย์หรือไม่ถวายทรัพย์ก็ไม่เกี่ยว  จะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ก็ไม่เกี่ยว จะอะไรก็แล้วแต่ ทำทุกอย่างไม่เกี่ยวเลย

            แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วอีกไม่กี่วันเราจะลงน้ำบัพติศมา เราจะลงไปทำไม?” ถามในใจใช่ไหม? รู้

            นี่พูดให้เห็นความจริงเสียก่อน แล้วจะมาบอกถึงประโยชน์ จำได้ไหมที่ตะกี้บอกว่าพระวิญญาณก็จะนำเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้ความคิดใหม่กับเราว่าอะไรที่มันเป็นประโยชน์  แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวกับความรอดในทางวิญญาณ  ก็ตาม แต่ถ้ามันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องไปทำ เสียเวลาเปล่าๆ แล้วเป็นประโยชน์ไหมล่ะ? ผมก็พยายามที่จะคิดว่ามันมีประโยชน์อย่างไร? เรามาปรึกษากันดูสิ มีอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ไหม?

            ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น จากการบัพติศมาในน้ำ  ที่เราจะกระทำกันในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  เท่าที่คิดออกนะ คือ …

            –  เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว”

            –  ทำให้เกิดความมั่นใจ ในการจะติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่หมายถึงเราติดตาม อย่างที่หลายคนเข้าใจว่าต้องมาโบสถ์ ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่ติดตามอย่างนั้น ติดตาม หมายถึง “ฉันไปไหน? พระคริสต์ไปด้วย  ต่อให้ฉันบอกว่าพระองค์ไม่ต้องไป?” พระองค์อยู่ไหม? อยู่ คำว่า “ติดตาม” หมายถึงอย่างนี้ คือเมื่อรู้ความจริงแล้ว บัพติศมาในน้ำ จะเห็นชัดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” คือคำว่าตามพระเยซู หมายถึงว่าในวิญญาณติดกับพระเยซูไปแล้ว ฉันตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจครั้งเดียวเลย ตัดสินใจ ก่อนลงน้ำบัพติศมาอีก พระเยซูอยู่กับฉันแล้ว นี่ทำให้เกิดความมั่นใจ

            –  เป็นการหนุนใจพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ได้หนุนใจตัวเองด้วย  คือพี่น้องคนอื่นๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย เขาจะชื่นใจ ชื่นชมยินดีด้วย เพราะว่าในวิญญาณข้างในเกิดความปิติยินดี ที่มีคนๆ หนึ่งได้เกิดใหม่แล้ว  ไม่ใช่เกิดใหม่ ตอนพิธีลงน้ำบัพติศมานะ ได้เกิดใหม่แล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิติยินดี  พระบิดาปิติยินดี  พระเยซูปิติยินดี  ทั้ง 3 พระภาคนี้สถิตอยู่กับคริสเตียนทุกคน คริสเตียนทุกคนก็เลยปิติยินดีไปด้วย ดีใจจังข่าวประเสริฐไปถึงคนๆ นี้แล้ว มันหนุนใจเขา  และหนุนใจตัวเอง ทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าเราได้เป็นหนึ่งในครอบครัวนี้

            –  ร่วมฉลองยินดีในวิญญาณ ฉลองร่วมกันในครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพเหมือนกัน เหมือนกับสังสรรค์กันในครอบครัว คนนี้ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวแล้ว จริงๆ เขาอยู่ในครอบครัวอยู่แล้ว เขาหลงหายไปเท่านั้นเอง ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าดีใจมากเลย  โอบกอดเขาเลย ไม่ฟังว่าเขาจะสารภาพบาป  จะขออภัยอย่างไร? ไม่ฟังแล้ว รักเต็มที่ ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่บ้านเต็มที่ พี่ๆ หลายๆ คน ก็แสดงความยินดี มันก็เกิดอะไรขึ้นบางอย่างในจิตวิญญาณ เกิดความชื่นชมยินดี ฉลองร่วมกัน

            –  และเป็นการสำแดง   การบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ที่เป็นความรัก  แบบพระเจ้า ที่ปราศจากความกลัว ความรักนี้ ปราศจากความกลัว  คือตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ยังไม่ทันลงน้ำบัพติศมาเลย เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น ทั้งวิญญาณและจิตใจ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรัก

            ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นความรักแล้ว ข้างในวิญญาณของเรามันขจัดความกลัวออกไปหมดสิ้นเลย ไม่มีความกลัวอยู่ข้างใน แต่เนื่องจากเราเคยชินอยู่กับการดำเนินชีวิต แบบโปรแกรมความคิดเดิมยังอยู่ มันก็อาจจะเกิดความกลัว กลัวในโลกนี้  เพราะโลกเป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้า กลัวเขาจะรู้ กลัวเขาจะข่มเหง กลัวเขาจะหัวเราะเยาะ กลัวเขาหาว่าบ้า กลัวเขาหาว่าคนนี้งมงาย

            เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมาที่เห็นๆ ชัดๆ คือทำให้เราตัดสินใจชัดเจน ทะลุวิญญาณข้างในออกมา ก็คือความรัก  เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ธรรมชาติของความรักที่อยู่ภายใน ก็ออกมา ชนะ ทำลายความกลัวที่อยู่ในความคิดออกไป มันก็เป็นการสำแดงความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เป็นความรักนั้น ออกมา เป็นการเบรกทรู คือการหักแอกของความกลัว เดินหน้าทันที จากนี้ต่อไป ก็เป็นอิสระในความคิด ไม่อายใคร? กล้าที่จะอธิษฐาน กล้าที่จะเริ่ม กล้าที่จะมีคนถามบอกว่า …

            “เธอเป็นคริสเตียนเหรอ”

            “ใช่ครับ”

            ใหม่ๆ ก็บอกแบบเบาๆ แต่พอรับบัพติศมาในน้ำปุ๊บ กล้าพูดเสียงดังฟังชัดเลย  มันเป็นอย่างนี้ คือหักแอก แห่งความกลัว  เพราะโลกนี้พยายามต่อต้านเรา

            –  เป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ น้อยคนนะ ที่จะมีคนจัด Happy birthday ให้ “ไม่ต้องจัดหรอกๆ” น้อยคนที่จะพูดอย่างนี้ คนส่วนใหญ่จะบอกว่า “ไม่เห็นจัดให้ฉันบ้างเลย เมื่อไรจะถึงวันเกิดฉันสักที” ตั้งแต่เด็กๆ … เด็กๆ ทุกคนก็บอก รู้จักวันนี้ไหม? วันอะไร? เราก็ลืม  ก็วันเกิดหนูไง?  ให้ฉลอง

            มันเป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ประกาศว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน กับครอบครัวของพระเจ้า เรียกว่าพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว ทุกคนชื่นชมยินดี Happy Birthday มีความสุข กินข้าวกัน กินอาหารกัน นี่มันเป็นอย่างนั้น

            –  เป็นการประกาศว่าเราเป็นพี่น้องกันในทางวิญญาณ     อาศัยอยู่ในพระคริสต์เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา  และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง คือเราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            คิดอย่างนี้ให้เห็นชัดเจนว่าเราจะมาฉลองอย่างนี้ ก่อนจะลงให้คิดอย่างนี้เลยว่า เราได้เป็นอย่างนี้แล้ว ที่เรากำลังจะลงน้ำบัพติศมา เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเฉยๆ ว่าขณะที่เราเตรียมตัว เราคิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ตามที่เรียนมาทั้งหมด  เสร็จแล้ว พอลงน้ำ เราเห็นภาพ เราเองว่าเราได้ตายกับพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในวิญญาณของพระคริสต์ นึกภาพ พอเราจุ่มลงไปปุ๊บ  เราได้ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์ตาย สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ตายด้วย เพราะฉะนั้น เราลงไปในน้ำ เราก็ตายด้วย  และเราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ขณะที่อยู่ในน้ำสักครู่หนึ่งนั้น ไม่ต้องนาน หายใจไม่ออก ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และอยู่ใต้น้ำ ก็คือเราอยู่ในอุโมงค์ ถูกฝังไว้ด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว หายใจไม่ออกแล้ว  เราก็ขึ้นจากน้ำ คือการเป็นขึ้น จากความตายของพระเยซูคริสต์ แล้วไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  เราก็อยู่ในพระคริสต์  ก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เอเมน แค่นี้เอง

            คิดแค่นี้ ถ้าเรียนรู้เรื่องนี้ไป ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่านี่คือสัญลักษณ์ ขอบคุณพระเจ้า และผลดีอีกหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้นมากมาย จากการทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้  เราคิดให้มันถูกต้อง  จะเกิดประโยชน์มากมาย เกิดกำลังใจ  และหลายๆ คนก็เกิดความรู้สึกดีๆ กับการกระทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้ ทำให้เกิดพี่น้องคนอื่นๆ ต่อๆ ไป เขาจะมาลงน้ำบัพติศมา คริสเตียนคนต่อไป  เราก็จะมาร่วมยินดี แสดงความยินดีกับเขาด้วย

            เพราะฉะนั้น ก็แสดงความยินดีกับพี่น้องที่จะบัพติศมาในน้ำ ในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  และใครที่ยังไม่ตัดสินใจ ก็ตัดสินใจซะ หรือใครที่เพิ่งมารู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างนี้เอง จะลงใหม่ ก็ได้  หรือใครที่เพิ่งรู้ความจริงว่าลงน้ำบัพติศมา เพื่ออะไร?  สัญลักษณ์เท่านั้น  มีประโยชน์อย่างไร?  ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน  และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ลงน้ำบัพติศมาได้ทุกคน  มีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิของเขาในการเกิดใหม่ทางวิญญาณ  มาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เพียงแค่ใช้ความเชื่อ ใช้สิทธิของท่านที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วมา 2,000 ปี บนไม้กางเขนทางฝ่ายวิญญาณ  ใช้สิทธิของท่านเท่านั้น  ทุกสิ่งก็เป็นของท่านอยู่แล้ว พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซู … “ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าถึงจะเข้าสวรรค์ได้”

            สาวก … “ใครจะไปทำได้ล่ะ?”

            พระเยซู … “ต้องตายแล้วเกิดใหม่งัย!”

            สาวก … “งงงงงงงง……..”

            มัทธิว 7:28-29 … “28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ (งง) ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ (ในโลกวิญญาณ) ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”

            พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องเกี่ยวกับการกินการอยู่ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ทำดี ละชั่ว  เพราะพระองค์ มองดูในใจมนุษย์ที่ฟังอยู่นั้น พระเยซูกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณให้เขารู้ว่าวิญญาณข้างในของเขา ยังตายอยู่ในบาปชั่ว เขาไม่สามารถรับรู้เรื่องของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ได้เลย  แม้แต่นิดเดียว เขาต้องการฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์ ทำให้เขาบังเกิดใหม่

            เหมือนคนกำลังตายอยู่  เพราะหัวใจวายแล้ว  เราเอาหนังสือเกี่ยวกับการกินอาหาร   ที่ทำให้มีสุขภาพดี สำหรับหัวใจ เอาไปอ่านให้เขาฟัง แทนที่จะเอาเครื่องปั๊มหัวใจ ไปปั๊มให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน

            ไม่เหมือนพวกฟาริสี ที่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติตามตามองเห็น ตามกฎบัญญัติ  แต่พระเยซูกำลังบอกความจริงนิรันดร์ในโลกวิญญาณ   ให้พวกเขาได้รู้ ได้เห็น  แล้วพระวิญญาณจะเสด็จเข้ามา  ยืนยันให้กับพวกเขาในภายหลัง

            พระเยซูตรัสว่า … “จงวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศหลังความตาย”

            ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย จนกว่าท่านจะวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์  แล้วท่านก็จะตาย   แล้วได้บังเกิดใหม่เท่านั้น

            พระเจ้าอวยพรครับ