วารสาร Holy News ฉบับที่ 1376

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 16

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:19 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนต่างชาติ เรื่องของข่าวประเสริฐของพระเจ้าในแผนการที่พระเจ้าวางไว้ว่าจะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป  ไม่เพียงเฉพาะคนยิวเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงเลือกคนต่างชาติด้วย  ตามถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าปรารถนาที่จะให้ความรอดนี้ ไปถึงมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้  พระเจ้าไม่ได้บังคับ แต่ให้ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจ  สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ คือทำเรียบร้อยไปแล้ว  ให้กับมนุษย์ทุกคน  แต่มนุษย์ทุกคนต้องเข้ามารับเอา ตัดสินใจ เต็มใจที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าจะไม่บีบบังคับใครว่าต้องมารับความช่วยเหลือจากพระองค์ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าตกลงจะเลือกทางไหน? เลือกการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วก็รับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  หรือยังคงเลือก ที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง  ทำดีเยอะๆ  ด้วยกำลังของตัวเราเอง ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือจุดเปลี่ยนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

สำหรับเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้าที่จุดเปลี่ยนเรา ได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว  เมื่อวันที่เราตัดสินใจว่าเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราเหนื่อยมาก เราไม่ไหวแล้ว เราทำดีเยอะขนาดไหน? ข้างในวิญญาณ เรายังไม่รู้สึกรับการปลดปล่อย

เราก็บอกพระเจ้า … “ตอนนี้ลูกไม่ไหวแล้ว ขอพึ่งพระองค์ดีกว่า”

พอพึ่งพระองค์ดีกว่า ปุ๊บ หมายความว่าเราเปิดประตูใจ  เรายอมรับการเชื้อเชิญจากพระเจ้าว่าเข้ามาหาพระองค์ พระเจ้าก็กระทำการงานเลย คือถ้าเราไม่ยินยอม พระเจ้าก็ไม่ทำอะไร เพราะพระเจ้าสุภาพ  ต้องรอให้เรายินยอม  พอเรายินยอมปุ๊บ พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการที่เราคุยกันว่าบัพติศมาในวิญญาณให้กับเราเลย  ก็คือวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาป  ได้ถูกฆ่าให้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้วิญญาณใหม่เอี่ยม ให้กับพวกเราเลย  แล้วก็ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา เปลี่ยนใหม่เลย

นี่คือเรื่องราวความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเป็นเรื่องในโลกวิญญาณด้วย ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจด้วยเหตุผลของเรา แต่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ความรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในเรา  จะเปิดให้เราเห็น  ให้เรารับรู้ ให้เราสามารถเชื่อได้

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนต่างชาติ  คือเมื่อก่อนคนต่างชาติ  รู้สึกตัวเองด้อยค่า ตรงที่ว่าไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า  ไม่ได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า  อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากๆ แล้วไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสเข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า  เป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่คิดไม่ฝัน  แต่วันหนึ่ง เมื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าถูกประกาศออกไป ผ่านทางอาจารย์เปาโล ที่พระเจ้าใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ  เรารู้กันแล้ว โลกใบนี้มีสองชนชาติ คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ชาวต่างชาติ คือใครก็ตาม ประเทศไหนก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว แล้วความรอดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำไว้ สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่รับก็ตาม ของขวัญนี้ก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว รอเจ้าของแต่ละคนที่จะเดินเข้ามารับเท่านั้นเอง  แต่ถ้าใครไม่เข้ามารับ ก็เท่ากับไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาเป็นคนของพระเจ้า เรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า  ก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับ

ฉะนั้น พอคนต่างชาติได้ยินการประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ มีส่วนหนึ่งที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศปุ๊บ เขาติดตาม เขาจดจ่อ เขาอยากได้ อยากจะชิมในข่าวประเสริฐนี้ แล้วเขาก็เปิดใจต้อนรับพระองค์ พอเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็บอกเขาว่า …

“ณ เวลานี้ เธอกับคนยิวมีสถานะเดียวกันแล้วนะ เธอเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อย่ากลัว”

คนต่างชาติเมื่อก่อนอยู่คนละสถานะกับคนยิว แล้วตอนนี้บอกว่าเรามาเป็นพี่น้องกัน  เรามีสถานะเทียบเท่า เท่ากันเลย ยังเกร็งๆ อยู่ เหมือนกับบารมีของคนยิวมีเยอะ ตั้งแต่สมัยนั้น ที่ตัวเขาเองเป็นคนบาป อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ส่วนคนยิวเขาเป็นคนของพระเจ้านะ เขารักษาบทบัญญัติ เขาใกล้ชิดพระเจ้ามาก เราอยู่กันคนละชั้น แต่อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับคนต่างชาติได้รับรู้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ว่าเราจะเป็นชนชาติใดก็ตาม เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เราทุกคนถูกจับมาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน ฉะนั้น ให้กล้าๆ หน่อย นึกออกไหม? กล้าๆ หน่อยที่เข้ามารับพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วพระคุณพระเจ้าให้เขา เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาเชื่อวางใจในพระเจ้า

ดังนั้น บอกความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าเขาจะได้มีใจกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจว่า …

“ฉันก็เป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า สถานะของฉัน จากคนต่างชาติ  ที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้า  แต่ตอนนี้ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว โดยมีพระเจ้าพระบิดา เป็นพ่อของฉัน มีพระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายคนโตของฉัน และฉันก็เป็นลูกๆๆๆๆๆ ของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เท่าไร? ก็ตาม แต่ฉันเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า”

นี่คือความจริง ดังนั้น คนต่างชาติพอเขารับรู้ความจริงนี้ ก็มีกำลังใจ …

“ตอนนี้สถานะเราอยู่อันเดียวกันกับคนยิวเลย เราไม่ต้องไปเหมือนก้มหน้าก้มตา งกๆ  ไม่แน่ใจว่าตัวเองตอนนี้ อยู่ในสถานะแบบไหน?”

อาจารย์เปาโลพยายามย้ำให้เขารู้ว่าตอนนี้เธอกับคนยิว อยู่ในที่เดียวกัน  ในโลกวิญญาณ คนยิวต้องเป็นคนยิวที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วยนะ ถ้าคนยิวทั่วไป ที่ยังถือกฎบัญญัติเก่าที่พระเจ้าตั้งไว้  พึ่งพาการกระทำของตนเอง เขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ คนบาปที่พยายามประพฤติตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้  ฉะนั้น สถานะมันจะต่างกันมากเลย แล้วอาจารย์เปาโลก็พยายามอธิบายให้คนต่างชาติเหล่านี้ ได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณของเขาเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ใหม่เอี่ยมอ่องเลย วิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไป  เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

แล้วพระพรตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์มากมายว่าคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้รับการเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณ วิญญาณเขา ณ เวลานี้ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ  เราจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้  เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก  ขณะนี้ เวลานี้ กายเนื้อของเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หมายความว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ ถูกสถาปนาลงไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อคนนั้นจะไปทำอะไรก็ตาม  ก็ไม่สามารถมีผลกับวิญญาณใหม่ที่เขาได้เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ลักษณะเหมือนกับพอเราคลอดออกมา เป็นลูกของบ้านนี้แล้ว  ต่อให้อนาคตข้างหน้า เมื่อเราโตขึ้นๆ เราจะดื้อกับพ่อแม่ หรือบางทีพ่อแม่พูดซ้าย เราไปขวา บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง หนังสือก็ไม่ยอมเรียน เอาแต่เล่นอย่างเดียว แต่คนๆ นั้น ก็ยังอยู่ในสถานะลูกของครอบครัวนี้อยู่ แค่ว่าเมื่อเขาประพฤติตัวเองไม่ดี  พ่อแม่ตัดขาดเขาไม่ได้  แต่พ่อแม่เสียใจ …

“ลูกเอ๋ย เมื่อไร ลูกจะเปลี่ยนแปลงสักทีหนึ่ง”

รอ รอเวลาให้ลูกเราเปลี่ยนแปลง นี่คือความจริงตามธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราเห็น  แล้วความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ขณะนี้ พวกเราผู้ที่เป็นคนต่างชาติ ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เราเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในเรา

ที่เราคุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือเราต้องเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ก่อน โดยวิธีการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ปุ๊บ เราได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้น พอวิญญาณเราสะอาดปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็เลยเข้ามาอยู่ในเรา ได้ถ้าเราไม่สะอาด พระเยซูเข้ามาไม่ได้นะ

แล้วทุกครั้งที่เราพูดถึงพระเยซูคริสต์ หรือพูดถึงพระวิญญาณ ให้พี่น้องรับรู้เลย คือ 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา บัดนี้ ผู้เชื่อ ร่างกายของเราได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  พอที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ถ้าร่างกายเราไม่บริสุทธิ์ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้  เราตายนะ ถ้าพระเจ้าเข้ามาในขณะที่เรายังบาปอยู่ เราตายลูกเดียว

ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ พระเจ้าก็ชำระร่างกายเราให้สะอาดบริสุทธิ์ พร้อมที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระวิหารของพระเจ้า

เอเฟซัส 2:20 “ท่านได้รับการสร้างขึ้น บนฐานรากของเหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก”

 

ในพระคัมภีร์จะเปรียบเทียบผู้เชื่อเป็นเหมือนตึกของพระเจ้า เป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้า  โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก  ก็คือเป็นฐานรากที่มั่นคง จากตรงนี้ จะพูดถึงในสมัยก่อน ที่เขาจะสร้างบ้าน เขาจะต้องมีศิลาหัวมุม ที่ตั้งไว้เป็นอันแรก จากนั้น เขาก็จะวัดจากศิลานี้ แล้วก็ค่อยๆ เอาอิฐแต่ละก้อนก่อขึ้นมา ฉะนั้น ศิลาก้อนแรกสำคัญมาก  ถ้าวางเบี้ยว ตึกนี้จะเบี้ยวหมดเลย แล้วก็พังในที่สุด

ฉะนั้น ศิลาก้อนแรก เป็นศิลาที่สำคัญ ที่ช่างเขาจะตั้งไว้ตรงหัวมุม  เป็นองศาที่ดีที่สุด จากนั้น เมื่อเอาอิฐก้อนไหนมาต่อๆ ขึ้นมา มันจะเป็นมุม แล้วบ้านหลังนี้จะตั้งมั่นคง  นี่เป็นการเปรียบเทียบ

ในพระคัมภีร์เปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก แล้วพวกเราทั้งหลายถูกก่อขึ้นมาเป็นอิฐ แต่ละก้อน ตรงนี้บอกว่าบนฐานรากของเหล่าอัครทูต

จริงๆ แล้วหลายคนคิดว่าอัครทูตน่าจะใหญ่กว่าเรา มีตำแหน่งไง มีตำแหน่งสูงกว่าเรา  รับใช้ก็เยอะกว่าเรา  แต่ในสายตาของพระเจ้า ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอัครทูต เป็นอาจารย์ เป็นครู เป็นศิษยาภิบาล หรือเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง ในสายตาของพระเจ้า ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเลย  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละคนถูกเรียกใช้ในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วเมื่อพระเจ้าเรียกใช้ใครคนหนึ่งคนใด ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะเป็นผู้ให้ความสามารถให้กับคนๆ นั้น สามารถที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เกิดผลสำเร็จ เราแค่มีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำภายในร่างกายของเรา ภายในจิตใจของเรา ภายในความคิดของเรา  เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราจะไม่ต้องไปนั่งคิดว่า  …

“โอ้โห! ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยืนเทศน์อยู่บนนี้ ต้องได้รางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย รับใช้ตั้งเยอะ หรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปประกาศ  เอาคนมารับเชื่อเยอะแยะมากมาย ต้องมีรางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย เราเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง บางทีบางวันก็ลืมอ่านพระคัมภีร์อีก บางวันลืมอธิษฐานอีก ไม่เคยไปเยี่ยมเยือน ไม่เคยไปประกาศข่าวประเสริฐ  แล้วตกลงเราจะอยู่ตรงไหน?”

พระเจ้าบอกอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ เพราะพระเจ้าให้ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรียกใช้แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือเราเป็นลูกของพระเจ้า ผลเกิดจาก ไม่ใช่เราทำดี  ไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้าเยอะ หรือไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้า แล้วเกิดผลมากมาย  ไม่ได้เกิดจากตรงนั้นเลย  แต่เกิดจากเราเปิดใจต้อนรับ เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระองค์กระทำ โดยความเชื่อนี้ ทำให้เราได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนี้แหละ คือสำคัญ  เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้แต่ละคนอะไร? อย่างไร?

พอพูดถึงบำเหน็จ สมัยก่อนดิฉันสอนแบบนั้นว่าถ้าเรารับใช้บนโลกใบนี้เยอะๆ  พอขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บำเหน็จเยอะกว่าคนอื่น คือเราจะได้บ้านหลังโตกว่าคนอื่น คนที่ไม่รับใช้พระเจ้า หรือเกเร วันๆ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้  ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้าเลย คนนั้นน่าจะได้กระท่อมแบบขาดๆ วิ่นๆ ประมาณนั้น เป็นความเชื่อสมัยก่อน ที่เราเชื่อกันอย่างนั้น แต่ปัจจุบัน เราขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่าความรอดเราทุกคนได้เท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่ากัน ความรอดตรงนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วเป็นผู้ให้กับเรา บำเหน็จรางวัลที่พระเยซูคริสต์ให้ ก็คือมรดกที่พระเจ้าให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ การเป็นบุตรของพระเจ้า การเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ย้ายเราจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า นี่คือมรดกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น คำว่า “มรดก” คือคนที่รับมรดกไม่ต้องทำอะไร? มรดกถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว  โดยบรรพบุรุษของเรา หรือคุณพ่อคุณแม่เขามีมรดกเยอะ ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านก็เขียนมรดกไว้เลยว่าลูกคนนี้จะให้อะไร? เท่าไร? อย่างไร?  แล้วพอคุณพ่อคุณแม่เราจากไปปุ๊บ  เขาก็มาเปิดพินัยกรรมว่าลูกคนไหนได้อะไร? อย่างไร? แต่ว่าพินัยกรรมของพระเยซูคริสต์ มรดกทุกคนได้เท่ากัน คือได้ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย ดังนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ตาย มรดกมันก็เกิดเป็นผล พินัยกรรมนี้ก็เกิดเป็นผล ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ คนนั้นได้มรดกเลย ได้ทุกอย่างที่พินัยกรรมได้ระบุเอาไว้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เขาได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้เลย ทันที ไม่ต้องรอให้เราตายนะพี่น้อง ก็คือตอนนี้ในโลกวิญญาณ เราได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ รับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนา จริงๆ ความรอด หลายคนเข้าใจว่าเราต้องพยายามทำ เพื่อความรอดเราจะได้เพิ่มพูนขึ้น  แต่ความเป็นจริง คือไม่ใช่ ความรอดเราได้แล้วได้เลย การมาเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ เราเป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ต้องฝึกฝนการเป็นลูก ไม่ต้อง คือเป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  แต่ฝึกฝนเพื่อให้ลักษณะ หรือบุคลิกที่เป็นเหมือนพระเจ้า ได้พัฒนาขึ้น

เหมือนเด็กคนหนึ่ง ถ้าคลอดเข้ามาในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง  เขาไม่ต้องพยายามทำตัวเองหรือฝึกตัวเองให้เป็นลูกของบ้านนี้ ไม่ต้องแล้วนะ คือเขาเป็นแล้ว เป็นลูกแล้ว เป็นคนแล้ว แต่เขาจะค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาการว่าเมื่อเกิดเป็นคนแล้ว ธรรมชาติของคนเป็นอย่างไร? เด็กโดยอัตโนมัติ สักพักหนึ่ง เขาจะเริ่มทำท่าจะพลิกตัว ไม่มีพ่อแม่ไปสั่งให้เขาพลิกตัวนะ คือธรรมชาติความเป็นคนของเขา จะสำแดงออกว่าพอเด็กอายุถึง 2-3 เดือน เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะพลิก พอเรียนรู้พลิกตัว พ่อแม่แค่ช่วยดันๆ นิดหนึ่ง  แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเยอะกว่านั้น  แล้วพอพลิกตัว เขาก็จะเริ่มพัฒนาเป็นนั่ง จากนั้นพัฒนาเป็นคลาน พัฒนาเป็นตั้งไข่ เป็นยืน เป็นเดิน เป็นวิ่ง ความเป็นคน เขาเป็นอยู่แล้ว แต่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

เหมือนกัน การเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนา  เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่การพัฒนา ฝึกฝน เรียนรู้ถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าพ่อของเรามีลักษณะเป็นแบบไหน?  แล้วเราก็เรียนรู้จักพระลักษณะของพระเจ้าที่ ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนเลย  แต่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ธรรมชาติหรือบุคลิกลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้น ได้ถูกสำแดงออกไป มันจะต่างกันมากเลยนะ ถ้าคริสเตียนพยายามที่จะฝึกฝนตัวเอง เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนั้นผิด  เราเป็นอยู่แล้ว  ต่อให้เราไม่ฝึกฝน เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แค่พัฒนาการช้านิดหนึ่ง  ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องราวความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า  เราก็พัฒนาการช้า แค่นั้นเอง  ไม่ได้มีผลอะไรเลยนะ เราจะเห็นเด็กบางคนพัฒนาการช้า บางคนพัฒนาการเร็ว คือเราเรียนรู้ เข้าใจความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์มากเท่าไร? ผลตรงนั้น มันจะสำแดงออกผ่านทางชีวิตของเราได้มากเท่านั้น แค่นั้นเอง

แต่ว่าไม่ว่าเราจะออกผลมาเป็นแบบไหนก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของผู้เชื่อเลย เพราะวิญญาณของผู้เชื่อ ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นี่คือความจริงที่เราต้องยึดไว้

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกปุ๊บ เราก็ถูกก่อขึ้น ค่อยๆ ก่อขึ้น จากถ้อยคำแห่งความจริงในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นใคร? พระเจ้าได้ทำอะไร เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว? นั่นคือความจริง

เอเฟซัส 2:21-22 “21 ในพระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” 22 “และในพระองค์ ท่านก็เช่นกัน กำลังรับการทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าในวิญญาณ”

 

อันนี้อธิบายไปแล้วนะ  ไม่ใช่ค่อยๆ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นแล้ว แต่เราค่อยๆ ถูกพัฒนามากขึ้นในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ทำให้การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ได้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น ก็คือจะว่ากันตามตรง ฝึกฝนตัวเองให้ทำตัวสมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย แค่นั้นเอง  ก็คือ เราเป็นอยู่แล้ว  เป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว

1 โครินธ์ 3:10-11 บอกว่า “10 โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร? 11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านได้วางรากฐานเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือนำผู้คนเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เขาอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตกับเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีคนมาก่อขึ้น เมื่อวางราก คลอดออกมาแล้ว มีพี่เลี้ยง พ่อแม่ดูแลลูกคนนี้ แล้วดูว่าพ่อแม่สอนลูกคนนี้อย่างไร?  แค่นั้นเอง

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าใครจะมาวางรากอื่นไม่ได้แล้ว คือเขาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย เกิดแล้วเกิดเลย แต่ต่อจากนั้น ขึ้นอยู่กับคนที่สอน มาสอนเรื่องราวของพระเจ้า เรื่องราวความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อคนนั้นว่าเขาจะสอนอย่างไร?

ใน 1 โครินธ์ 3:12 “ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น”

 

อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบวัสดุอยู่ 6 อย่าง ก็คือทองคำ  เงิน  เพชรพลอย  เหล่านี้เป็นของมีค่า  ซึ่งถูกหลอมแล้ว มันก็ยังคงเหมือนเดิม  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผิดกับไม้  หญ้าแห้ง  หรือฟาง  ถ้าไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางเอามาก่อสร้างบ้าน วันหนึ่ง ถ้าพายุพัดมา บ้านหลังนี้ก็จะพังทลายลง

อย่างที่พระเยซูทรงยกตัวอย่างขึ้นมา แต่ตรงที่พระเยซูยกตัวอย่างมานั้น มันคนละเรื่องกับตรงนี้นะ แค่นึกถึงเท่านั้นเอง ที่พระเยซูยกตัวอย่าง คือใครที่สร้างบ้านบนศิลา ก็คือวางรากฐานอยู่ที่พระเยซูคริสต์ บ้านหลังนั้น จะมั่นคง แต่ใครที่สร้างอยู่บนดินทราย ก็คือไม่เอาพระเจ้า ไม่เชื่อวางใจในพระเจ้า ยังเชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง เมื่อเกิดพายุหนัก บ้านหลังนั้นจะพังทลายลง นั่นคือสิ่งที่พระเยซูยกตัวอย่าง

แต่ตรงนี้มันไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้เกี่ยวกับว่าคนๆ นั้น เป็นผู้เชื่อแล้ว  วางใจในพระเจ้าแล้ว ย้ายจากต้นของอาดัม มาที่ต้นของพระเยซูคริสต์แล้ว ย้ายจากการพึ่งการกระทำของตัวเอง มาพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  แต่ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขายังต้องรับการเลี้ยงดู การปลูกฝัง ฉะนั้น จะมีพี่เลี้ยง ผู้รับใช้ของพระเจ้า มาดูแลคนๆ นั้น

แล้วอาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่างว่าพี่เลี้ยงคนนั้นจะเอาอะไรมาใส่ให้กับผู้เชื่อ ถ้าเขาใส่มาเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นเพชรพลอย ก็คือใส่ความจริงของเรื่องราวของข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ลงมาที่ผู้เชื่อคนนั้น ผู้เชื่อคนนั้นก็จะเจริญเติบโตมั่นคง ไม่ถูกซัดไปซัดมา หันไปเหมาด้วยลมปากของใครไม่รู้ แต่ว่ามั่นคงในความจริงในเรื่องราวของพระเจ้า รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขามีธรรมชาติใหม่เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเขารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เขาก็สามารถสำแดงความจริงตรงนี้ ออกมา ผ่านทางชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น

ถ้าพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้สอนเขาแบบนี้ วางรากดีๆ แล้วก็ก่อขึ้นดีๆ ผู้เชื่อคนนั้นจะมั่นคงในพระเจ้า จะสามารถสำแดงความจริงของพระเจ้าออกมาได้มากเท่าที่ความรู้ที่เขาได้รับมา ความรู้ในเรื่องความจริง

ส่วนคนที่ก่อขึ้นมาด้วยหญ้า  ด้วยฟาง  ด้วยไม้  ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าหรือพี่เลี้ยง ไม่ได้เอาความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐในโลกวิญญาณมาใส่เข้าไป มาปลูกฝังเข้าไป มาสอนเข้าไป  สอนแต่เรื่องของโลกวัตถุ ถ้าสอนว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เราต้องรวย ต้องรวยอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแน่นอน หรือเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องแข็งแรง  เราต้องไม่ป่วยสิ ถ้าป่วยต้องเสียชื่อพระเจ้าอีก พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  เราจะป่วยได้อย่างไร?  หรือสอนอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ซึ่งเวลาเราฟังใหม่ๆ มันดีนะ ได้รับการหนุนใจมากเลย ผู้รับใช้คนนี้เขาสอนดี เขาบอกเรา ให้กำลังใจเราเลย พระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะอวยพรเราให้ร่ำรวย พระเจ้าจะอวยพรเราให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ถามว่าความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นไหม? ไม่ใช่ ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะประทานให้เรา  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา

พันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อ คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้ารับเราเป็นลูก วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย นี่คือสัญญาที่เป็นจริงเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญา คือพระเจ้าจะสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค แล้วพระองค์จะนำเรา เดินไปด้วยกันในโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจออะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา  ความทุกข์ ความสุขเจอแน่นอน  อยู่บนโลกใบนี้ อย่าคาดหวังตามที่ใครมาหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วต้องรวยอย่างเดียว แล้วคริสเตียนที่ไม่รวย เขาไม่รักพระเจ้าหรืออย่างไร? มันไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกันเลย หรือคริสเตียนที่เจ็บป่วย เขาไม่รักพระเจ้าหรือ?  ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เขารักพระเจ้า

แต่ด้วยโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เสียหายนี้อยู่ ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับเราแน่นอน มันมีผลกระทบ อย่างที่บอกเวลาเป็นโรคโควิด ถ้าเราไม่ระวังตัว เราก็ติด ต่อให้เราเป็นผู้เชื่อ  แล้วเราคิดว่าเราเชื่อมากๆ ด้วย ความเชื่อเราสุดโต่งเลย ความเชื่อเราสุดยอด  ในนามพระเยซู โควิดมาทำอะไรฉันไม่ได้ แล้วฉันก็เดินออกไปเลย ไปอยู่ในชุมชน เปิดหน้ากากด้วย ไปนั่งกินข้าว สวนเสเฮฮา สนุกสนาน ติดนะ ถ้าบังเอิญกลุ่มที่เราไปอยู่ด้วย มีคนเป็นโควิด  นั่นคือความจริงในโลกนี้กับความจริงในโลกวิญญาณ  ที่เราจำเป็นจะต้องแยกให้ชัดเจน  ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ชัดเจน  เราก็จะงง  แล้วเราก็จะเริ่มสงสัย …

“พระเจ้า พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคริสเตียน ทำไมลูกยังลำบากอยู่เลย”

ถามจริง ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเป็นแบบนี้ คริสเตียนก็โดนกระทบ มีคริสเตียนที่ลำบากเยอะแยะในปัจจุบัน แล้วคริสเตียนที่ลำบากในอดีตก็มี พระคัมภีร์ก็เขียนไว้ มีเยอะแยะมากมาย  พระเจ้าไม่ช่วยเขาเหรือ? พระเจ้าช่วย  คือช่วยประคับประคองเขาให้สามารถอยู่ได้ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้  แล้วให้เราสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า  นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับผู้เชื่อ แล้วพระเจ้าก็จะรักษาวิญญาณจิตของพวกเรา ที่เราเชื่อแล้วไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ปัจจุบันเราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่แล้ว เปลี่ยนมิติ เราก็ไปนั่งอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  เพื่อว่าถ้าสมมติผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงก่อผิดท่า ผิดที่ ผู้เชื่อคนนั้นจะไม่โต กระท่อนกระแท่น ที่บอกว่าการงานที่ทำสูญเปล่า  ก็คือไม่ได้เห็นความเจริญเติบโตในโลกวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้น นึกภาพออกไหมคะ?

ถ้าหว่านแค่ว่าเขาจะเจริญรุ่งเรือง วันหนึ่งที่เขาไม่เจริญรุ่งเรือง เขาก็คอตกแล้ว คอพับแล้ว ตกลงที่พระเจ้าสัญญามันจริงไหม? ตกลงมันคืออะไร? เกิดความสงสัยในพระเจ้าขึ้นมา  หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา สงสัยพระเจ้า ไหนพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ พี่เลี้ยงเราสอนมา เราเป็นคริสเตียน เราต้องแข็งแรง อ้าว! ตอนนี้ไม่แข็งแรง มันหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้วหรือ?

ความเป็นจริง คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราเจ็บป่วยอยู่  หรือไม่ว่าเราทุกข์ เราสุข  เรายากจน เรามั่งมี พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ในเรา นี่คือความจริง

1 โครินธ์ 3:13-16 “13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นจะถูกทำให้สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น 16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน”

 

ตรงนี้ หลายคนจะเข้าใจผิด คิดว่า “การงาน” ตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง หมายถึงการงานที่ผู้เชื่อจะไปรับหลังความตาย  ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่  การงานนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ ปัจจุบัน ในโลกใบนี้  อย่างที่เมื่อกี้บอก ถ้าผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อ หยั่งรากให้มั่นคง ผู้เชื่อคนนั้น จะเป็นเหมือนบุคคลในอดีต  ผู้เชื่อในอดีต ไม่ว่าเขาจะเจอความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เขายังสามารถมีสันติสุข และความชื่นชมยินดีในใจได้ เพราะเขารู้ว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ เขารู้ว่าชีวิตของเขาถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เขารู้ว่าวิญญาณของเขาอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความทุกข์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย แม้แต่นิดเดียว ความทุกข์ เขาก็มีกำลังที่จะสามารถผ่านไปได้  แล้วเมื่อผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ผู้เชื่อคนนั้นจะเจริญเติบโตขึ้น เพราะเขาเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา  เขาเห็นการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเขา พระเจ้าช่วยเขา ให้เขาสามารถมีกำลังที่จะผ่านความทุกข์นั้นไปได้ นั่นคือพอพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้ได้เห็นความเจริญเติบโตของผู้เชื่อเหล่านี้ มีความสุข อันนั้นแหละ คือบำเหน็จของเรา

บำเหน็จของผู้รับใช้ ก็คือเห็นสมาชิกเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เชื่อ วางใจในพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าคนนั้นจะผ่านความทุกข์ยากมากขนาดไหน?  เขายังสามารถชื่นชมยินดีอยู่ นั่นคือบำเหน็จของผู้รับใช้  บำเหน็จผู้รับใช้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเห็นสมาชิกเจริญเติบโต ด้วยความร่ำรวย มั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง อันนั้น ใครๆ เขาก็อยากได้  นึกออกไหม? ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนหรอก ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างดีหมด ใครๆ ก็ชื่นชมยินดี  แต่ในความเป็นจริง คือมันมีขึ้นกับมีลง บางคนพระเจ้าเลือกเขา คือให้เขาดีหมด โอเค ขอบคุณพระเจ้า เขาเป็นภาชนะที่พระเจ้าใช้เขาแบบนั้น เพื่อเขาจะเป็นพรให้กับคนอื่น แต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น การเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ความร่ำรวย ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่สุขภาพร่างกายคนนั้นแข็งแรง ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ครอบครัวนี้อยู่ดีมีสุข  แต่ความเจริญเติบโตวัดที่ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับปัญหา อุปสรรคใดๆ  ก็ตาม เขายังสามารถชื่นชมยินดีในพระเจ้า  นั่นแหละ คือบำเหน็จของผู้รับใช้ แล้วเราได้รับบนโลกใบนี้ด้วย ไม่ต้องรอเราตาย เห็นสมาชิกเจริญเติบโต เรามีความสุข

กับความสูญเสีย คือเมื่อผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยง หว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นทองแท้ของพระเจ้า อย่างที่บอก พยายามลุ้น พยายามโน้มน้าวจิตใจ  พยายามที่จะสร้างความหวังที่เป็นลมๆ แล้งๆ ให้กับสมาชิกว่าเขาจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เขาจะแข็งแรง  มาเชื่อพระเจ้าต้องอย่างนี้ๆ  ต้องทำอย่างนี้ๆ แล้วในที่สุด สมาชิกคนนั้น ก็ทนไม่ไหว เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความจริง  ไม่ได้เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ แล้วสมาชิกคนนั้น ก็จะไม่เจริญเติบโต เพราะว่าเขาก็หันไปหันมา …

“ตกลงเป็นอย่างไร? ตกลงฉันยังอยู่ในพระเจ้าอยู่ไหม?” อะไรอย่างนี้

แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอก ก็คือเขาจะรอด  แต่รอด เหมือนรอดจากไฟ ก็คือมันไม่มีอะไรให้ชื่นชมยินดี  เขารอดไหม? เขารอดแน่นอน เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อย่างที่เราบอกเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย  เป็นลูกของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้  แต่ว่าชีวิตของเขาที่อยู่บนโลกใบนี้ ขาดสันติสุขในพระเจ้า แล้วไม่สามารถสำแดงธรรมชาติที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาในพระเจ้าออกไปให้ผู้อื่นได้เห็น

แล้วในข้อที่ 16 อาจารย์เปาโลย้ำอีกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

“ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าควรจะรู้นะ ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนควรจะรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าข้างในเราเป็นที่สถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา  ดำเนินชีวิตร่วมกับเรา คอยให้กำลังใจกับเรา ให้สติปัญญาเรา คอยโน้มนำจิตใจเราให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ขึ้นอยู่ตรงที่ว่าอย่างที่บอกเราเป็นตัวกลาง ที่พระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว แม้พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เองแล้ว เราสมควรที่จะทำตามที่พระเจ้าบอกทุกประการ แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับเราอีก หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจว่าเราจะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเรา หรือเรายังคงจะทำตามใจตัวเราเอง  หรือทำตามโลกนี้  ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาหลอกล่อเรา

ถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะสำแดง ส่งผลของความเป็นธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าออกมา ก็คือความดีงาม ความสว่าง ความรักของพระเจ้าออกมา  แต่ถ้าวันไหน เราเกิดอารมณ์ไหนก็ไม่รู้

“พระองค์เจ้าข้า ไม่เอาวันนี้ไม่ทำตามพระองค์แล้ว ขอแหกคอกนิดหนึ่งทำตามใจตัวเอง”

ก็สำแดงความเกลียดชังออกมา  หรือสำแดงอะไรที่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ในขณะที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  แค่นี้เอง มันจะออกมาทุกวันทุกเวลา  เราเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าเราจะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เปลี่ยนใหม่แล้วออกมา  ส่องกระจกเข้ามาในความคิดจิตใจใหม่ของเรา แล้วให้กระจกนี้สะท้อนออกไป หรือเราจะส่องกระจกออกไปข้างนอก ที่โลกใบนี้  ที่ส่งเข้ามาในโปรแกรมเดิมๆ  ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เป็นระบบที่พยายามที่จะต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า  ถ้าเราส่องออกไปข้างนอก  กระจกนี้ก็จะสะท้อนออกไปเหมือนกัน ก็คือแม้เราเป็นคริสเตียน เราเป็นผู้ทำ เราก็จะสำแดงความเกลียดชังออกไป สำแดงอะไรที่เป็นของโลกนี้ออกไป  เราจะเห็นว่าคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังนิสัยแบบนี้อีก นั่นแหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ความจริง เราก็จะเป็นไท เป็นอิสระ เราก็จะระวังตัว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  ถ้าเมื่อไรมันมีความเกลียดชังออกมาจากชีวิตของเรา แปลว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว เราใส่เสื้อผิดตัว หรือเราใส่เสื้อขาวๆ ออกไปเจอโคลน เจอโคลนทำอย่างไร? กลับบ้าน เอาเสื้อไปซัก แล้วก็ใส่ใหม่  เพราะเสื้อใหม่ของเรา คือเหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 4:17-18 “17 ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18  ไม่มีความกลัวในความรัก  (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา)  คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

 

ข้อ 17 อาจารย์ยอห์นบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่  บัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า   พระเจ้าพระบิดา   พระเจ้าพระบุตร  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา   ความรักอากาเป้ แบบพระเจ้าก็อยู่ในเราด้วยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เมื่อเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด  บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เราจึงมั่นใจได้ว่าเมื่อเราจากโลกนี้  เราไม่ต้องถูกพิพากษาอีกแล้ว ที่เรามั่นใจ เพราะชีวิตจิตวิญญาณของเราเป็นเหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

 

ข้อ 18 เมื่อเราถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  วิญญาณของเราเป็นความรักแล้ว  เหมือนพระเยซูเลย  วิญญาณของเราก็ไม่มีความกลัวอีกแล้ว  ข้างนอกเราอาจจะถูกหลอกให้กลัวได้  แต่วิญญาณข้างในจริงๆ ของเราไม่มีความกลัวแล้ว   เมื่อเราเป็นความรักแล้ว เราจึงมั่นใจว่า …

  1. เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว
  2. เรามั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา

ธรรมชาติวิญญาณของมนุษย์ทุกคน  เป็นทาสของความกลัวความตาย  กลัวว่าจะต้องถูกพิพากษา  อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าในความรักไม่มีความกลัว ส่วนสำหรับผู้ที่ยังมีความกลัวอยู่   ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1375

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 15

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:17 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:17-18 “17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

สองพวกที่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มีสันติสุข  ก็คืออยู่ด้วยกันอย่างสันติ โดยที่ไม่ทะเลาะกัน 2 พวกนี้ที่พูดถึง ก็คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ซึ่งเป็นแผนการล้ำลึกที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าก็เตรียมพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่จะมาเกิดในหญิงพรหมจารี แผนการนี้ได้วางไว้เรียบร้อยแล้วว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเผ่าพันธุ์ หรือเป็นพงศ์พันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย เมื่อก่อนจะเป็นยิวเฉยๆ ที่พระเจ้าบอกว่าเลือกยิวเอาไว้  แต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จปุ๊บ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะถูกประกาศออกไปทั่วโลกนี้เลย ก็คือไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวต่างชาติ เป็นคนอเมริกา เป็นคนอังกฤษ คนไทย คนเขมร คนอะไรทั้งหมด มีสิทธิ์ ที่จะมารับเอาของขวัญนี้ ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว

ดังนั้น การที่ทั้งสองพวกมาคืนดีกับพระเจ้า แล้วเกิดสันติสุข  เกิดการเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่วิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกัน เมื่อวิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกันปุ๊บ ก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ และการที่เราจะสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ก็ไม่ใช่ด้วยการประพฤติของเรา ไม่ใช่เราพยายามที่จะทำความดี ประพฤติตามกฎบัญญัติ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้  แต่ว่าแผนการนี้  พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำเองทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบ  พระเจ้าเป็นผู้กระทำ มนุษย์ทำแค่อย่างเดียว คือได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า  ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรเพื่อเรา เมื่อได้ยิน เก็บข้อมูล พินิจ พิจารณา ใคร่ครวญ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีนะ เราทำมาเหนื่อยมาก เราพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเอง แต่ข้างในวิญญาณ เราไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นอิสระเลย เรายังรู้สึกว่าเราต้องชดใช้เวรกรรมอยู่ร่ำไป ความรู้สึกข้างใน มันจะไม่รู้สึกถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เมื่อเราใคร่ครวญเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ จนเสร็จบวกลบคูณหารแล้ว ชั่งน้ำหนักแล้วว่าอันไหนดีกว่ากัน  เรามาเชื่อพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์ทำ หรือว่าเรายังคงจะเชื่อตัวเอง  ทำเอง พอชั่งน้ำหนักเสร็จ ฝั่งของพระเยซูมีน้ำหนักมากกว่า เราไปทำทำไมให้เหนื่อย  ทำไปข้างในก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราถูกปลดปล่อย  หรือข้างในไม่ได้รู้สึกว่าเราหมดเวรหมดกรรมเลย เราก็ตัดสินใจ

พอตัดสินใจ เปิดใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ก็คือเราต้องเปิดใจ  เพราะพระเจ้าไม่บังคับมนุษย์คนหนึ่งคนใด ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา หรือสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้มา  เพื่อให้เขามีอิสระในการตัดสินใจ  พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาเป็นหุ่นยนต์ กดรีโมท แล้วก็ทำตามพระเจ้าทุกอย่าง แต่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาตามพระฉายของพระเจ้า ก็คือมีสิทธิ์ที่จะเลือก ตัดสินใจว่าจะเอาอะไร? จะทำอะไร? จะเชื่อใคร? จะวางความเชื่อวางใจลงไปที่ไหน? วางใจความเชื่อของตัวเองลงไปที่การกระทำของตัวเอง ที่การประพฤติดีทุกอย่าง หรือวางความเชื่อของตัวเอง ความไว้วางใจของตัวเองไปที่พระเยซูคริสต์ว่าเราทำเองไม่ไหว เราขอเชื่อพระเยซูคริสต์ดีกว่า พอเราตัดสินใจปุ๊บ วางความเชื่อวางใจของเราลงไปที่พระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เราคุยกันบ่อยๆ  เพื่อเราจะได้รับรู้ขบวนการจริงๆ ว่า ณ เวลานี้ ที่พวกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง?

วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรา ก็คือมาฆ่าเราให้ตาย ฆ่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาป เป็นคำสาปแช่ง วิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า วิญญาณที่เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้เลย ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะทำความดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถทำให้ได้มาตรฐานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เลยเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่ทะเลาะกับพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน ก็คือรับกันไม่ได้ พระเจ้าก็รับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป  เราก็รับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าบริสุทธิ์เกินไป  จนเราแตะไม่ถึง พอถึงวันที่เราตัดสินใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทำขบวนการเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เราได้ยินมาตลอดช่วงเวลานี้ คำว่า “บัพติศมา” ในโลกวิญญาณ ก็คือไปตรึงตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปฝังพร้อมกับพระเยซูที่อุโมงค์ แล้ววิญญาณเก่านี้ตายไปเลย แล้ววิญญาณใหม่ที่เป็นใหม่เลย ที่พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ให้เราเลย ได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่มันเกิดขึ้น ขบวนการนี้มันเกิดขึ้น แบบยิ่งใหญ่มหาศาลมาก ดังนั้น การบังเกิดใหม่ของมนุษยชาติ  ไม่สามารถทำด้วยกำลังของตัวเอง  แต่ว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ เราทำแค่ครั้งเดียว  คือตัดสินใจยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง  แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าก็จะทำขบวนการของพระองค์จนเสร็จ วิญญาณที่ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อเป็นอยู่ ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ตามคำสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะให้วิญญาณใหม่กับเรา

ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้เห็นคำว่า  “จะ” ตลอด  …

–  พระองค์จะเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะยกโทษความผิดบาปให้กับเรา

– พระองค์จะเรียกเราว่าเป็นประชากรของพระองค์ ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้เป็น เป็นไม่ได้ด้วย

จะหมดเลย ก็คือพระเจ้าเผยพระวจนะเอาไว้ บอกล่วงหน้าไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำให้สำเร็จ แล้ววันที่ทำสำเร็จ คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน

ตอนที่พระเยซูมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี คำว่า “จะ” ยังอยู่ แผนการของพระองค์ ยังไม่สำเร็จ ก็คือยัง “จะ” อยู่ แต่วันที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” คำว่า “จะ” ไม่มีแล้ว คือไม่จะแล้ว ตอนนี้ คือสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  พระเจ้าทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว การไถ่บาป ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  การอภัยโทษบาปได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว การทำให้มนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ทำเรียบร้อยแล้ว การทำให้มนุษย์ที่ระเห็ดออกจากครอบครัวของพระเจ้า ก็คือเมื่อวันที่มนุษย์ตัดสินใจจะพึ่งพาในตัวเอง อาดัมกับเอวาตัดสินใจปุ๊บ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ต้องออกจากครอบครัวสวรรค์ของพระเจ้า วันนั้นแหละ เริ่มต้นที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้า ไม่มีชีวิต  แล้ววันที่พระเจ้าทำสำเร็จ  คือคำว่าจะ ไม่มีอีกแล้ว  ตอนนี้มนุษย์ทุกคนอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  มีชีวิตอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมาเชื่อพระเจ้าหรือยังไม่เชื่อก็ตาม ขบวนการนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เข้ามารับ ถ้าเขาไม่มารับ ก็เท่ากับเขาทิ้งของขวัญนี้ไปเฉยๆ ของขวัญนี้ยังอยู่  เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว

ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือประกาศความจริง เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้คนอีกมากมาย ที่เขายังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ หรืออีกหลายๆ คนที่เขามีความรู้สึกว่ามาเชื่อพระเจ้ายากจัง เราต้องทำอะไรบ้าง? ต้องๆ  เยอะแยะมากมาย  แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้องทำอะไร? ทำแค่อย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในใจของเรา แค่นั้นเอง เมื่อเรายอมปุ๊บ  พระเจ้าทำให้เราหมดทุกอย่าง  หลังจากที่เราได้รับการบังเกิดใหม่  ด้วยชีวิตที่เป็นนิรันดร์แบบพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ มันเป็นแล้วเป็นเลย คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลย อย่างที่อาจารย์นครพูดมา 2-3 อาทิตย์แล้ว …

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์”

เราจะอยู่ในพระคริสต์ได้อย่างไร? เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ได้อย่างไร? มีอยู่หนทางเดียว ก็คือยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง วิธีอื่นไม่มี จะพยายามทำดี  ประพฤติดี ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ได้

ดังนั้น การเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นขบวนการที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้กับมนุษยชาติ แค่มนุษย์คนนั้นยอมเท่านั้นเอง พอมนุษย์คนไหนที่ยอมจำนน ยอมเชื่อ  ยอมวางใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการผ่าตัดวิญญาณปุ๊บ ทันทีที่ขบวนการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้น พระเจ้าประทานของประทานอันหนึ่งให้กับมนุษย์ ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ

ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า  เชื่อไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกันไง พูดอย่างไร เราก็เชื่อไม่ได้  เราจำเมื่อก่อนได้ไหม?  ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า คนมาประกาศบอกว่า…

“พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ถ้าใครเชื่อ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์”

ทำอย่างไรเราก็เชื่อไม่ได้  โดยสติปัญญา โดยสมองของมนุษย์ที่ใช้ความคิดของเราเอง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้ จนวันหนึ่ง เมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่อยๆ ทำงานในวิญญาณของเรา  จนวันหนึ่ง เรามีความรู้สึกว่าเราอยากมาติดตามพระองค์ เราอยากรู้ เราอยากชิมว่าที่เขาว่ากันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราจะได้รับการยกโทษความผิดบาป มันเป็นอย่างไร? เราอยากจะรู้ เราเลยเข้ามาชิม  วันที่เราบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ ลูกอยากได้”

ก็คือเราอยากชิม เหมือนคนเอาขนมชิ้นหนึ่งที่น่าทานมาก เอามาอวดเรา  แล้วบรรยายสรรพคุณอย่างดีเลยว่าขนมชิ้นนี้ สุดยอดเลยนะ มันอร่อยมาก ร้านนี้เป็นร้านที่คนต้องต่อคิวยาวเป็นวาเลย กว่าเราจะได้ซื้อขนมชิ้นนี้มา ใช้เวลาตั้ง 5-6 ชั่วโมงทีเดียวเชียว เราฟังเฉยๆ เขาว่าอร่อย เราก็โอเค อร่อยก็อร่อย  แต่เราไม่เคยยอมไปซื้อขนมชิ้นนี้ มาชิม เราก็จะไม่รู้รสชาติว่ามันอร่อย สมคำล่ำลือที่เขาคุย เม้าส์กันทั้งประเทศว่าขนมเจ้านี้อร่อย ร้านนี้ต้องไปเรียงคิว ถึงจะได้ซื้อ

จนวันหนึ่งเรา … “อะไรจะขนาดนั้น ทำไมถึงคิวยาวขนาดนั้น  แล้วคิวยาวมาเป็นร้อยปี พันปี หลายพันปี คิวยังมีอยู่เลย  สงสัยเราต้องไปลอง”

นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่เราไปลองขนมชิ้นนี้ ไปยอมเรียงคิว ไปยอมเสียเวลา  ที่จะต่อคิว จนถึงคิวของเรา  แล้วเราก็ไปซื้อขนมชิ้นนี้มา  แล้วเราก็ชิมขนมชิ้นนี้ โอ้โห! มันสุดยอดเลย อร่อยอะไรขนาดนั้น ถ้าเราไม่ชิม เสียดายแย่เลย อะไรประมาณนั้น

เรื่องของพระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าให้ผู้คนมาประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ประกาศทุกวันๆ ประกาศมาตั้งแต่โน้นปฐมกาล ที่พระเจ้าได้ให้ผู้เผยพระวจนะ เผยมาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติมาตายแทนเขา  มาช่วยเขาให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พูดนานมาก เผยพระวจนะมาตลอด จนเราได้ยิน  แต่เราก็ไม่ได้คิดอยากจะลอง จนวันหนึ่งได้ยินหนาหูขึ้น  ขอลองสักหน่อยดีไหม? ก็เริ่มสนใจ เริ่มเข้ามาฟัง ตอนที่เราฟัง เรายังไม่เชื่อ  ไม่สามารถเชื่อหรอกนะ เราก็ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไป ฟังมา  เราเชื่อดีกว่า

พระเจ้าให้ลูกชายดิฉันมาประกาศเรื่องของพระเยซูให้ดิฉันฟัง พระเจ้ามีวิธีที่จะนำเรามาเชื่อพระเจ้า  พระองค์รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเราอยู่ตรงไหน?  แล้วพระเจ้าก็ใช้ตรงนั้นแหละ ที่จะเปิดประตูใจของเรา ให้เราสามารถที่จะเข้ามารับรู้เรื่องราวความจริงของพระเจ้า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พูดได้คำเดียวว่าพระเจ้าดี  แล้วจากวันนั้น เราเริ่มรับรู้เรื่องราวของพระเจ้า เรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างทุกวันนี้หรอก เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า เรารอด  เราไม่ต้องตกนรก ตายไป เราได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่เรายังไม่รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ จริงๆ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราในหนังสือเอเฟซัสว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา เราได้รับแล้ว ในโลกวิญญาณ  ณ เวลานี้ วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องรอเราตาย

เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าต้องรอเราตาย เราถึงสามารถขึ้นไปนั่งกับพระเยซูคริสต์ได้ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณบอกเราว่าไม่ต้องรอ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เราสามารถที่จะไปนั่งกับพระเจ้าที่สวรรคสถานทันที แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนความคิดจิตใจเราใหม่เลย ไม่ใช่ซ่อม ไม่ใช่แก้ แต่เปลี่ยนใหม่เลย ความคิดจิตใจเดิม ที่เราเคยชินกับการดำเนินชีวิต  โดยการพึ่งพาตัวเอง  พระเจ้าเอาไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีความคิดจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ทำบาปไม่เป็น โกรธใครไม่เป็น รักอย่างเดียว  มันเป็นลักษณะของชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น

ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงบอกว่าให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่าพระคริสต์ได้ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เรากลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย  แล้วเราก็เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าอาศัยอยู่ พระเจ้าย้ายเราจากกิ่งที่ปักอยู่ที่ต้นของอาดัม มาปักไว้ที่ต้นของพระเยซูคริสต์  พอเรามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เลย  จนทำให้พระคริสต์สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้

นี่คือขบวนการ ถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้ เพราะว่าเรายังสกปรกอยู่ แต่เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ  เราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เราสะอาดบริสุทธิ์  สะอาดทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย  จนทำให้พระเยซูคริสต์สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้  เราเคยคิดตรงนี้ไหม?

นั่นแหละ คือขบวนการที่พระเจ้าทำ แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือเริ่มจากแค่จุดนิดเดียว  ก็คือเริ่มจากที่เราเปิดใจยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา

นี่คือสิ่งที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้ ฉะนั้น ขบวนการตรงนี้ ได้สำเร็จเสร็จสิ้น เรียบร้อยไปแล้ว ในผู้เชื่อทุกคน เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราไม่ได้ต้องการที่จะทำบาปอีกเลย เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเราทำบาปไม่เป็น

จะมีคำถามอีกว่า … “แล้วทุกวันนี้ ที่เราทำบาป มันคืออะไร?”

พอเราเรียนรู้ความจริง เราจะอ๋อๆๆๆ อย่างนี้ และทุกวันนี้ ที่เราทำบาป เพราะ … ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วใช่ไหม? แต่ว่าเรายังมีโปรแกรมเดิม ที่แอบอยู่ตรงส่วนในร่างกายของเรา เป็นความเคยชินเดิมๆ ที่ยังอยู่ สามารถรับสื่อของข้างนอก สื่อจากระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งเข้ามา ในตัวเรา แล้วถ้าเรารับสื่อจากตรงนี้ปุ๊บ เรามีโอกาสที่จะทำตามมัน ก็คือประพฤติเหมือนความเคยชินเดิม ตอนนี้เราไม่มีธรรมชาติเดิมแล้วนะ เราเป็นธรรมชาติใหม่ เป็นเลยนะ ฉะนั้น โอกาสมันมี

ถามว่าอันที่เราทำ ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำไหม? ไม่ใช่แน่นอน ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำแน่นอน แต่ที่เราทำไป เพราะเราถูกหลอก โปรแกรมเดิม มันแอบแฝงอยู่ในตัวเรา

บางคนมีพยาธิอยู่ในตัว  เวลาคนกินเก่งๆ กินแล้วทำไมไม่อ้วน  เขาก็แซวกัน นี่พยาธิเต็มท้องแน่เลย กินแล้วพยาธิกินหมด อะไรแบบนี้

โปรแกรมเดิมหรือความเคยชินเดิม  แอบมาอยู่ข้างในเรา เหมือนเป็นพยาธิหรือเป็นไวรัส หรือเป็นอะไรก็ตามที่มันสามารถทำให้ร่างกายเรา ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ สามารถทำได้

ฉะนั้น เวลาที่ผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นอยู่ ตัวจริงๆ เราไม่ได้ทำ  แต่ตัวพยาธิมันส่งผล ทำให้เราเกิดอาการ ฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะไม่ถูกหลอกว่าเราเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าจะรับเราได้ไหม? ให้เรารับรู้ความจริงเลยว่าไม่ว่าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องขนาดไหน? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณข้างในเรา ไม่ได้เป็นผู้ทำ แต่ร่างกายเรายังคงสามารถ ถ้าเราปฏิเสธว่าร่างกายเราไม่ทำ เราก็โกหก คือร่างกายเราทำ เพราะเราต้านไม่ไหว เราต้านการยุยง หรือการส่งพลังอะไรต่างๆ เข้ามา จนเราต้านไม่ไหว  เราก็ทำออกไป

ตรงนี้แหละ คือจุดสำคัญ  สำหรับผู้เชื่อ   ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ตรงนี้  ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก มารก็จะมาหลอกเรา …

“เห็นไหมเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเจ้า ทำไมยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แน่ๆ เลย พระเจ้าไม่รักเธอ เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอรีบไปสารภาพบาปเลย” อะไรประมาณนั้น

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในโลกวิญญาณบอกเราว่า ณ เวลานี้ ตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณข้างในเรา ไม่มีบาปเลย เราไม่ต้องไปสารภาพบาปอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว  … ขออ่านพระคัมภีร์โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13  “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

 

คือพระเจ้าได้ย้ายเราแล้ว  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด  คืออาณาจักรของความบาปและความตาย อาณาจักรในอาดัม ย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่  เข้ามาอยู่ในครอบครัวใหม่ คือครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราไม่สะอาดบริสุทธิ์  เราเข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าไม่ได้ ความสกปรกในตัวเดิมของเราเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เข้ามาเมื่อไร ตายเมื่อนั้น แต่ด้วยเหตุที่พระเจ้า เป็นผู้กระทำขบวนการ ทำให้เราบังเกิดใหม่ โดยการผ่าตัดวิญญาณ ที่เมื่อก่อนวิญญาณเราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เอาไปตายพร้อมกับพระเยซู ก็คือถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู พอฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ฤทธิ์เดชเดียวกันนี้ ได้ทำให้เราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ คือเปลี่ยนวิญญาณเรา พอย้ายเรามาปุ๊บ  ในข้อ 14 …

โคโลสี 1:4  “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

เราต้องได้รับการไถ่บาปจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต แล้วในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือหลั่งครั้งเดียว ชำระหมดเลย  ไม่ว่าผู้เชื่อทำบาปเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูล้างทันที  ทำบาปปุ๊บ ล้างทันที เหมือนเราไปก่อหนี้ปุ๊บ พระเจ้าจ่ายหนี้ให้ทันที พระเจ้ามีทุนสำรองไว้ในธนาคาร ให้กับพวกเราทุกคน  แล้วพระเจ้าก็บอกว่าถ้าลูกของฉันคนนี้ไปติดหนี้สินใคร ธนาคารชำระให้เลยนะ ไม่ต้องรอให้เขามาขอ ไม่ต้องรอให้เขามาแจ้ง ก็คือให้ธนาคารจัดการทันที

ภาพเดียวกัน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งออกมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  พระเยซูบอกว่าหลั่งครั้งเดียว พระโลหิตจะชำระมนุษยชาติทั้งหมด  ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พระเยซูคริสต์ได้ชำระเรียบร้อยไปแล้ว  ครั้งเดียวเป็นพอ  ไม่ว่าเขาจะทำผิดก่อนหน้านั้น  พระโลหิตชำระแล้ว  เขาจะทำผิด ณ ปัจจุบัน พระโลหิตก็ชำระให้  และเขาจะทำบาปในอนาคต  พระโลหิตก็ชำระให้เขาอีก ก็คือทำไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ผู้เชื่อ เรามีวิญญาณใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  จะมีบาปได้อย่างไร?  ถ้าเราเชื่อว่าเราได้รับวิญญาณใหม่ เราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราจะมีบาปได้อย่างไร? ไม่มี เป็นไปไม่ได้  แล้วทำบาป ก็ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำ  คือตัวพยาธิ ตัวปรสิต ตัวล่อลวงหลอกให้เราทำ แล้วร่างกายเราอ่อนแอ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  เผลอได้ แต่เผลอเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ทรงชำระเรา คือชำระ จบ ไม่ต้องขอ ถ้าเราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราหมดแล้ว จริงไหม? ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าให้เราอยู่แล้ว  เราไม่ต้องขอ ของมีอยู่ในคลัง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีให้เรา  เรายังต้องไปขออยู่

ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกเราชัดเจน  ก็คือทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเชื่ออย่างนั้น เราได้รับเลย  แต่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว  แค่วันหนึ่งข้างหน้า ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เขาตัดสินใจ ไม่เอาแล้ว  ทำเองเหนื่อย มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าดีกว่า เปิดใจปุ๊บ เขาก็ได้รับเหมือนเราเลย ทันที  เขาได้เข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในเขา เหมือนทุกวันนี้ ไม่ว่าเราทำอะไร? ไม่ว่าเราเดินไปไหน? เราระลึกอยู่เสมอว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ

เป็นความหวังอะไร? หวัง ทำไมคริสเตียนยังต้องหวัง ในเมื่อพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการ พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าแล้ว เรายังหวังอะไรอีก คริสเตียนหวังอย่างเดียว คือหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว แค่รอเราทิ้งร่างกายนี้เท่านั้นเอง

คริสเตียนไม่ได้หวังว่าอยู่บนโลกใบนี้  เดี๋ยวพระเจ้าจะทำให้เรารวย ไม่ใช่ หรือไม่ได้หวังว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะทำให้ครอบครัวเราอยู่ดีมีสุข ไม่ใช่ อันนั้น  ไม่ใช่ความหวังที่แท้จริง  เป็นความหวังที่เป็นอยู่ในโลกใบนี้  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา  แต่ว่าแล้วแต่บุคคลว่าพระเจ้าจะอวยพรหรือประทานอะไรให้กับแต่ละคน ซึ่งเราไม่ต้องไปวัดด้วยว่า …

“ทำไมคนนี้พระเจ้าอวยพรเยอะ ทำไมฉันพระเจ้าอวยพรน้อย” ไม่ต้องวัด

แต่สิ่งที่เรารับรู้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ พระพรนานัปการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ความหวังที่เรารอคอย ณ เวลานี้ ผู้เชื่อจึงรอคอยแค่นี้แหละ  อยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบาก  พระเจ้าบอกเราว่าแป๊บเดียวเองลูก กระพริบตา 2 พริบ ก็จบแล้วโลกนี้

ฉะนั้น ความหวังเราอยู่ตรงนี้  พอความหวังเราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนปุ๊บ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เราก็สามารถผ่านมันไปได้ เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก ความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ บนโลกใบนี้  ถ้าจะเปรียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเรา มันเปรียบไม่ได้เลย มันขี้ผง นิดเดียวเอง แค่หายใจเข้าหายใจออก เราก็จากโลกนี้ไปแล้ว ฉะนั้น เรามีกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า คริสเตียนทุกคนพระเจ้าสัญญากับเราว่าพระองค์สถิตอยู่ในเรา  พระองค์จะทรงนำพาเรา จูงมือเราเดิน พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา นี่คือคำสัญญา ในระหว่างที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าสัญญาอย่างนั้น แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าพระองค์จะอวยพรให้เราสุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต พระสัญญาตรงนี้ไม่มีนะ อย่าให้ใครหลอก  หรือสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรให้คริสเตียนร่ำรวยๆ ก็อย่าไปให้ใครหลอก  พระเจ้าอวยพรให้เรารวยได้ไหม? แน่นอน พระเจ้าทำได้ ถ้าเป็นน้ำพระทัย แต่ถ้ารวยแล้ว เดี๋ยวลำบากนะ พระเจ้าบอกอย่ารวยเลย อยู่อย่างนี้ดีแล้ว พอมีพอกินไปทุกวัน พอแล้ว อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น เรื่องพวกนี้ อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า … “มาเป็นคริสเตียนทำไมไม่รวยสักทีล่ะ แล้วพระเจ้าของเธออยู่ไหน?”

บอกเขาไปเลยว่า … “พระเจ้าของฉันอยู่ในนี้ พระเจ้าสถิตอยู่ในใจ พระเจ้าเป็นกำลังให้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะเจออะไร? ฉันก็สามารถผ่านได้ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า”

นี่คือความจริง ที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก ดังนั้น ทุกวันนี้ โลกนี้พยายามหลอกผู้เชื่อ ให้ไปหลง จมปลักอยู่กับสิ่งที่โลกยื่นให้ แต่พระเจ้าบอกว่าอย่าไปรักโลก อย่าไปจมปลักกับการหลอกล่อทุกรูปแบบ ที่ส่งเข้ามา เพื่อให้เราหลงทาง

ถ้าคริสเตียนไปจดจ่อกับความร่ำรวยในทรัพย์สมบัติ เรามีสิทธิ์หลงทาง แล้วชีวิตเราก็ไม่สามารถสำแดงความจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ที่เราอยู่ในพระคริสต์ออกมาได้ ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเรา

ข้อ 14 ในพระคัมภีร์บอกว่าเราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ ก็คือเราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่มีเวร ไม่มีกรรมอีกต่อไป เวรกรรมจะไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณใหม่ของเราเลย เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของเวรกรรมอีกต่อไป  แต่เราผู้เชื่ออยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา

หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤดี หรือการอธิษฐานสารภาพ อันนี้บางคนคิดว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องทำดีนะ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเราหลุดจากพระเจ้า ถ้าเราทำผิด เราไม่สารภาพ เดี๋ยวหลุดนะ เมื่อก่อนดิฉันก็สอนแบบนี้  ถ้าเราทำผิด ให้สารภาพนะ  ถ้าเราไม่สารภาพ ดินพอกหางหมูนะ ยาวมากเลย จำโน่นไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นไปอยู่บนสวรรค์พระเจ้าบอก …

“เธอยังผิดอยู่เลย เธอขึ้นมาสวรรค์ไม่ได้”

เมื่อก่อนเราเข้าใจแบบนั้นจริงๆ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็นว่าคำที่พระเยซูพูดถึงในมัทธิว บทที่ 6 ที่พระเยซูสอนเรื่องคำอธิษฐานให้เราสารภาพบาป จำได้ไหม? ถ้าเรายกโทษให้ผู้อื่น พระเยซูคริสต์จะยกโทษให้เรา จำคำอธิษฐานนี้ได้ใช่ไหม? คำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังบอกชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เคร่งครัดในบทบัญญัติ กฎหมายที่พระเจ้าให้ว่าต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำ เธอไม่รอดแน่  พระเยซูพูดจนเสร็จ

พระเยซูบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้หรอก ถ้าคนตบแก้มซ้ายของท่าน ให้หันแก้มขวาไปให้เขาตบด้วย ความเป็นจริง ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ พอเขาตบมา เราก็ตบกลับเลย นึกออกไหม? คิดดูดีๆ  ความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ที่พระเยซูพูด ก็คือ ณ เวลานั้น พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูยังทำการงานของพระองค์ไม่สำเร็จ มนุษย์ก็ต้องพึ่งพากฎ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกคนยิวว่า …

“กฎทั้งหลาย ที่เธอพยายามทำ แล้วข้างในวิญญาณเธอรับรู้เองว่าทำอย่างไรก็ไม่ได้”

กฎบอกว่าอย่าล่วงประเวณี พระเยซูคริสต์บอกหนักกว่านั้นอีก แค่เธอมองผู้หญิง แล้วข้างในคิดไม่ดี บาปแล้ว  แค่มองนะ ข้างในมีจินตนาการปุ๊บ บาปเลย แล้วใครจะรอด อย่าว่าแต่ผู้ชายมอง บางทีเราเป็นผู้หญิง เห็นคนสวยๆ เราก็มอง เราชอบของสวยของงามเหมือนกัน เราเห็นคนสวยๆ เดินมา แต่งตัวดีๆ เราก็มอง บางทีมองแบบหันหลังตามเลย อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูพูดให้คนยิวและพวกเรา ผู้ที่ไม่ใช่ยิวในยุคปัจจุบันรับรู้ว่ากฎทั้งหมด ที่พระเจ้าตั้งมา 600 กว่าข้อ  ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์เลย ถ้าจะทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คือ 100% จุดและขีด ผิดพลาดไม่ได้ทุกเวลาด้วย ไม่มีใครทำได้

ฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “พวกเธอทำไม่ได้ ในเมื่อพวกเธอทำไม่ได้ ฉันจึงมาไง พระเจ้าพระบิดา จึงส่งฉันมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์  มาช่วยทำให้กฎระเบียบต่างๆ นี้ ครบถ้วนสมบูรณ์”

นี่คือข่าวดี ข่าวดีสำหรับมนุษยชาติ ข่าวดีนี้ พระเยซูบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำแค่นั้น หลังจากนั้น พระเจ้าทำเองหมดทุกอย่าง  เราไม่ต้องทำอะไร  แล้วการประพฤติหลังจากนั้น ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเราเลย ซึ่งมนุษย์รับไม่ได้ รับไม่ได้ตรงที่เรา ถูกสอนมาตลอด  เราต้องทำดีสิ เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็จะสอนว่าเธอต้องอย่างนี้ เธอต้องอย่างนั้น ต้องๆ  ต้องจนเสร็จ เราก็ปวดหัว มันต้องตั้งนานแล้ว เชื่อมา 30 กว่าปี ก็ไม่สำเร็จเลย  เพราะทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ถ้าเรายังต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อได้รับความรอด พระเยซูไม่ต้องมาตายแทนเรา ที่พระเยซูมาตายแทนเรา เพราะเราทำไม่ไหว แล้วถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังถูกสอนว่าต้องๆ แล้วเราเชื่อเพื่ออะไร? พระเยซูมาตายเพื่อเราไป มีประโยชน์อะไร?  ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้น พระเยซูตายแทนเราปุ๊บ  เพื่อให้เราหลุดจากกฎต่างๆ เหล่านี้  แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพูดอย่างนี้ พวกคริสเตียนทำชั่วได้สบาย ไม่ใช่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณชอบธรรม เป็นวิญญาณที่ดีเลิศ  แล้ววิญญาณนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา แล้วพอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ คริสเตียนจะสำแดงความจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราออกมาเอง โดยธรรมชาติ เมื่อเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? คือรับรู้ความจริงมากเท่าไร? โตเท่าไร? การสำแดงก็จะออกมามากเท่านั้น

อย่าพยายามไปบีบคริสเตียนผู้เชื่อใหม่ให้เขาต้องๆ แล้วก็ต้อง ไม่ใช่ คริสเตียนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจใหม่ คือเขาเหมือนทารก พึ่งแรกเกิด เราดูภาพทารกจริงๆ นะ  ถ้าลูกหลานเราเพิ่งคลอดออกมา เราจะไปบีบบังคับเด็กทารก เขายังอุแว๊ๆ เดินๆ รีบเดิน คลานๆ รีบคลาน เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทุกอย่างมีเวลา เมื่อเขาโตขึ้นระดับหนึ่ง เราเรียนรู้ที่จะทำ เด็กเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นนั่ง เด็กเรียนรู้ที่จะพลิกตัว เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะคลาน เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะตั้งไข่ หรือยืน หรือเดิน หรือวิ่ง  เมื่อถึงเวลา เพราะเขาดูจากคุณพ่อคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่จะบอกเขา … “ลูก ลูกเป็นคนนะ พอโตสักพักหนึ่ง เห็นไหม ลูกจะตั้งไข่”

แล้วเราเห็นเด็ก ลูกของเราตั้งไข่  เราดีใจมากเลย เราก็จะคอยช่วย เอามือให้เขาเกาะ แล้วเขาก็จะดุ๊กดิ๊กๆ เดินเผลอ ก็หัวทิ่ม นั่นแหละคือพัฒนาการ

ในโลกวิญญาณเหมือนกัน   ผู้เชื่อจะค่อยๆ   พัฒนาเรียนรู้ว่าตอนนี้  เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นอย่างไร? เขาเป็นอย่างนั้น คุณสมบัติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อทุกคนเป็นอย่างนั้น    พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร?    เราเป็นอย่างนั้น   เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 5

 

1 โครินธ์ 3:10, 11 TH1971 “10 โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้ว  เหมือนนายช่างผู้ชำนาญ  และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว  นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโล ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเมืองโครินธ์   ซึ่งเป็นเมืองที่เปาโลได้วางรากข่าวประเสริฐในพระคริสต์ไว้ในผู้คน  จนเกิดคริสตจักรขึ้นที่นั่น (เปาโลใช้เวลาอยู่ที่นี่ปีครึ่ง  ในการปลูกฝังพระวจนะของพระเจ้าลงในชีวิตผู้เชื่อ) เปาโลวางฐานที่มั่นคงไว้แล้ว  จึงเดินทางต่อไปเมืองอื่น ข้อ 11 เปาโล กล่าวเตือนเหล่าบรรดาอาจารย์   ศิษยาภิบาล   ผู้เผยพระวจนะที่มาทีหลังว่าให้ระวังสิ่งที่จะสานต่อจากสิ่งที่เปาโลได้วางรากไว้ รากฐานนั้นคือเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์

 

ตามที่เปาโลกล่าวไว้ใน 1 โครินธ์ 2:2 ดังนี้ว่า … “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย  เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์  และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”

นั่นหมายความว่าเปาโลเน้นสอนเรื่องเดียว  คือข่าวประเสริฐแท้ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พระคริสต์ใช้ท่านมาในการนี้โดยเฉพาะ

ตามที่เขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 1:17  ว่า … “เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไป เพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ และมิใช่ด้วยชั้นเชิงอันฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช”

ข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ซึ่งปัญญาของมนุษย์ทั่วไปเข้าใจไม่ได้  คนทั่วไปจึงถือว่าเรื่องของพระคริสต์เป็นเรื่องโง่ๆ  ความจริงแล้วข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ที่ปิดบังซ่อนจากคนที่มีใจแข็งกระด้าง  ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช ในการกระชากคน  จากความมืดมาสู่ความสว่าง   จากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์   ย้ายจากความตายนิรันดร์ไปสู่ชีวิตนิรันดร์  นำพาผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เกินกว่ามนุษย์อย่างเราๆ จะเข้าถึงได้และสัมผัสได้   แล้วยังทำให้ร่างอันเป็นที่ต้องตายของเรา  กลายมาเป็นวิหารที่สถิตอยู่ของพระองค์   เรื่องราวแห่งข่าวประเสริฐนี้  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  และผู้มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายในเท่านั้น  จึงจะเข้าใจได้

 

อ่านเพิ่มเติม  คำอธิบายถึงความสำคัญในการสอนเน้นเรื่องข่าวประเสริฐได้จาก 1 โครินธ์ 1:18-31 … ดังนั้น คนที่มาสานต่องานของเปาโลในคริสตจักรของพระเจ้านั้น ไม่ควรเอาข่าวประเสริฐไปผสมปนเปกับเรื่องอื่น หรือเน้นย้ำเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญเกินกว่าข่าวประเสริฐในพระคริสต์  เพราะทุกคำสอนของผู้รับใช้จะมีผลต่อชีวิตของผู้เชื่อ  และนั้นเป็นสิ่งที่ผู้รับใช้ต้องรับผิดชอบผลของคำสั่งสอน  และกินผลแห่งคำสอนของตนทุกคน​  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1374

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้ว่าผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ มีความอดทนน้อยลงในการรับรู้ หรือจดจำอะไรใหม่ๆ เข้าข่ายสมาธิสั้นกันหมดแล้ว ฟังได้ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว แล้วก็ลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้น พยายามจะสื่ออะไรก็ตาม ต้องให้สั้นและกระชับ ทำซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อให้จำได้ เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างแบบคลิปติ๊กต่อก ถ้าดูบ่อยๆ ก็จะจำได้

ครั้งที่แล้วเลยเป็นบรรยายติ๊กต่อก Episode หรือ EP.1 เคล็ดลับสำหรับคริสเตียน การอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความชื่นชมยินดี  และมีสันติสุขที่แท้จริง ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ด้วยเคล็ดลับสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” เคล็ดลับสั้นๆ จากถ้อยคำพระเจ้า ที่สามารถทำให้เรามีสันติสุข ในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เผชิญกับความกลัว ความวิตกกังวล  ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ด้วยหนทางแห่งความมืดมน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? นั่นแหละ เคล็ดลับสั้นๆ ช่วยเราได้

จากที่เราได้เรียนกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว  พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เคล็ดลับตรงนี้เป็นแผนการอันลี้ลับของพระเจ้า ที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาปและความตาย  ก็คือความพินาศในนรกนั่นเอง คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว  แล้วปิดซ่อนเอาไว้ มาเปิดเผยอีกทีตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ ถูกเปิดเผยแล้ว

ความหมายคืออะไร? พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ ผมย่อให้ท่านสั้นๆ เพื่อท่านจะได้จำได้ อย่างที่บอก เหมือนกับติ๊กต่อก “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” เกียรติสิริ ก็คือการที่เราจะได้รับเกียรติและสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความหวังของเรา ก็คือเกียรติสิริ คือวิญญาณออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเลย เต็มไปด้วยเกียรติสิริ หรือจะบอกว่าเต็มไปด้วยพระเกียรติ พระสิริของพระเยซูคริสต์  ที่ทรงมอบให้กับเราทั้งหลาย ตอนเราบังเกิดใหม่นั่นแหละ และร่างกายใหม่ ก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เต็มด้วยเกียรติ พออยู่ในร่างกายสวรรค์ปุ๊บ ตาฝ่ายสวรรค์ก็เปิดออกชัดขึ้น ก็เห็นพระเจ้าตามความเป็นจริง คือเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า และเห็นตัวเราเอง เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน  และจากนั้น กอดพระเยซูคริสต์ทีหนึ่งก่อน กอดร่างกายใหม่  กอด แล้วก็บอกพระเยซูว่าขอบคุณ และพระเยซูก็บอกว่าเรามาร่วมครอบครองมรดกที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเรา ก็คือการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใหม่นะ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์และเราแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ สรรพสิ่งใหม่เอี่ยมทุกอย่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความลำบาก ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความยากจน ไม่มีความบาป มาล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ชั่วร้ายอีก ไม่มีความชั่วใดๆ ไม่มีความกลัว ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีน้ำตา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะมาเช็ดน้ำตาทุกหยด และเราจะอยู่ในสวรรค์ด้วยความสุขนิรันดร์อย่างนั้นตลอดไปกับพระเจ้านิรันดร์กาล

นั่นคือความหมายสั้นๆ ของคำว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จำได้แล้วนะ  พอเราจำได้ว่าพระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ แปลว่าอะไรปุ๊บ ออกมาเป็นพรวนเลยเยอะแยะ แล้วท่านวิเคราะห์ต่อไปเรื่อยๆ คือใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ จำได้เรื่อยๆ ทุกวันๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมความรู้ เขาเรียกว่าสำแดงความรู้เพิ่มเติมในวิญญาณมากขึ้นว่าคำว่า “ความหวังแห่งเกียรติและสิริ” หรือ “ความหวังแห่งพระเกียรติและพระสิริ” ที่เราร่วมกับพระเยซูคริสต์คืออะไร? จะบอกท่านมากขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านอยากรู้ ท่านก็ต้องใคร่ครวญ EP.1 ตรงนี้ Episode 0ne ตรงนี้ คือเคล็ดลับตรงนี้ ข้อความ วลี ที่ผมทำมาให้สั้นๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ”

“พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ไปรับเกียรติและสิริ เพราะระหว่างที่ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกายนี้อยู่นั้น ฉันไม่รู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นไร? ฉันต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน นำพาฉันผ่านชีวิตที่สั้นๆ ชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ ที่อยู่อีกแป๊บเดียว แต่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ และนำพาฉันไปรับอะไร? ไปร่วมรับสง่าราศี พระเกียรติ พระสิริของพระองค์ เมื่อวันที่จากโลกนี้ไปแล้ว ฉันจึงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย  ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจได้อยู่เสมอ เพราะฉันมีพระคริสต์สถิตอยู่ในฉันตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้งฉัน และไม่เคยจากไปไหนเลย ฉันจึงร้องเพลงอยู่เสมอว่า …

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน  ในใจของฉัน ในใจของฉัน

ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน”

แล้วท่านจะมีความสุขอย่างนี้ได้ ท่านต้องจำเคล็ดลับตรงนี้ให้ได้ วลีสั้นๆ ว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

แต่ว่าความเป็นจริงนั้น วันนี้มาเพิ่มเติมให้ ก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน อยู่ในเราได้ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง คือฉันต้องอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือฉันต้องอยู่ในพระคริสต์ก่อน และเมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ได้แล้ว พระคริสต์จึงจะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ นี่คือเงื่อนไข

เพราะฉะนั้น ติ๊กต่อก Episode 2 วันนี้ จึงขอนำเสนอวลีสั้นๆ แต่มีกำลังมหาศาล เพื่อจะผนวกกับ Episode 1 กับวลีสั้นๆ อันก่อนนี้ คืออันที่ 1 อันนี้อันที่ 2 มีพลังมหาศาลเช่นกัน ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

คือก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ ฉันต้องทำให้ตัวฉันเอง คือวิญญาณของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมก่อน จึงจะสามารถย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ แล้วจากนั้น พระคริสต์จึงสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ฉันต้องทำตรงนี้ก่อน ซึ่งการทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมในวิญญาณนั้น ทำได้ไหม? ไม่มีใครสามารถทำได้เลย มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเลย แม้แต่นิดเดียว เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องทำอะไร? ถ้าภาษาไทย เขาบอกว่าทำไม่ได้ ให้ไปทำอะไร? ไปตาย เจ็บมากเลย บอกทำไม่ได้ให้ไปทำอะไร? เขาบอกให้ไปตาย อันนั้นมันเป็นทางลบ พูดไม่รักกัน ถ้ารักกันบอกอย่างไร? ถ้าทำไม่ได้ ให้ทำอย่างไร? ไปเกิดใหม่ซะ ที่เราพูดกันเล่นๆ มันเป็นจริงนะ

เพราะฉะนั้น ต้องเกิดใหม่เท่านั้น ซึ่งเกิดใหม่ ก็โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกแล้วว่าผ่านทางพระองค์ จึงสามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น เชื่อไหมล่ะ ฟังไหม? อยากจะเกิดใหม่ไหม? ถ้าอยากเกิดใหม่ไปหาพระเยซู ผ่านพระองค์ได้เกิดใหม่ ตามนั้น

ในโคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกเอาไว้ถึงเรื่องราวนี้ว่าเกิดใหม่อย่างไร? เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? จะเข้าไปอยู่ในเคล็ดลับอันที่ 2 สั้นๆ นี้ได้อย่างไรว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” จะอยู่ในนั้นได้อย่างไร? ฉันจะได้กลายเป็นชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

“ในพระบุตร” ก็คือ “ในพระคริสต์” นั่นเอง

“การบังเกิดใหม่” คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์ที่พระเจ้าสถาปนาแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย

พระเจ้าย้ายวิญญาณเราโดยวิธีใด? การผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่ยอมให้พระเยซูคริสต์เข้ามาทำการผ่าตัดนั่นเอง

การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือการเปิดใจ บอกพระเจ้าว่า … “โอเค จะย้ายแล้ว” พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดเราในวิญญาณเราออกจากที่เดิม คืออยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ออกจากความตาย มาอยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกจากการเป็นทาสบาป มาเป็นลูกของพระเจ้า มันมีการย้ายที่อยู่จริงๆ ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น  แต่มันเป็นอยู่อย่างนี้จริงๆ พระเจ้าบอกเรา นั่นคือข้อ 13

ในข้อ 14 บอกว่าในพระคริสต์ หรือในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป เมื่อเราย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอย้ายวิญญาณเรามาอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ตะกี้นี้ จำได้ใช่ไหม? ถ้าเราจะให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา เราต้องทำตัวเองให้สะอาด นี่แหละ วิญญาณเราสะอาด โดยที่พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเรา ย้ายเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ และในพระเยซูคริสต์เราจึงสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เสร็จแล้ว ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราสะอาดหมดจด และได้อีกอันหนึ่ง ก็คือและได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ  มี 2 อัน ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ …

อันที่ 1 ก็คือเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า

อันที่ 2 ก็คือไม่ว่าบาปอะไรที่เราทำจากในอดีต หรือปัจจุบัน หรือแม้ในอนาคต ก็ตาม มันถูกยกโทษ หมดสิ้นไปแล้ว ครั้งเดียวพอ ย้ายเรามาครั้งเดียว บาปถูกยกโทษหมดเลย

การได้รับการไถ่ ก็คือหมดเวร หมดกรรม ตอบตามข้อพระคัมภีร์นี้ ก็คือเพราะว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น โดยที่เราได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ไม่ใช่เราได้รับการอภัยโทษ จากความประพฤติดีของเรา หรือจากการวิงวอน ขอสารภาพบาปต่อพระเจ้าเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการยกโทษบาปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องสารภาพบาปอะไรก็ถูกยกไปแล้ว พอเข้าใจนะ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรามองดูข้างนอก มนุษย์เรามองดูตามสายตา เหมือนกับเป็นคนที่มีชีวิต เหมือนๆ กัน แต่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณที่เรามองไม่เห็นข้างใน ตัวตนจริงๆ มนุษย์ทั้งโลกเลย ถ้าเผื่อพระองค์ไม่ทรงช่วย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทั้งโลก ในวิญญาณ ตายอยู่ วิญญาณที่เรามองไม่เห็นตายอยู่ แต่ตามตาที่เรามองเห็น ก็มีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ พอลืมตา กินข้าว กินปลาได้ พูดคุยได้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่พระเจ้าบอกว่านั่นแหละ ตายอยู่ เพียงแต่รอเวลาปรากฏผลความตายนั่นเอง

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ผมเคยปลูกต้นราชพฤกษ์ สวยงาม ต้นใหญ่มาก ไปล้อมมา เขาบอกว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ออกดอกแล้ว เขาว่านะ ก็เอามาปลูก มองทุกวัน เมื่อไรมันจะออกดอก เพราะว่าใบมันเขียวชอุ่มเลย ปรากฏว่ารอไป 5-6 เดือน มันไม่ออกดอกสักที พอเดือนที่ 7 มันเริ่มเฉาๆ คือยังเขียวอยู่นะ มันชักเริ่มเหี่ยว พอมาอีกสักอาทิตย์หนึ่ง ใบเริ่มเหลือง มันเกิดอะไรขึ้น ตกใจ ในที่สุด มาอีกเดือนหนึ่ง เกือบครบปี ร่วงหมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่เห็นดอกเลย แล้วเขียวๆ มันหลอกเราหรืออย่างไร? ไปให้หมอต้นไม้มาดู หมอต้นไม้จริงๆ นะ มาตรวจ ปรากฏว่าที่เราเห็น มันงาม สวยสด กำลังจะออกดอกแล้ว ต้นใหญ่มาก ราคาแพงเลย แต่รากมันเน่า มันเน่ามาตั้งนานแล้ว แล้วมันเพิ่งจะส่งผล ถ้าเผื่อรู้ตั้งแต่แรกว่ารากเน่า ก็เพียงแต่ไปตัดกิ่งที่มันสดอยู่ ที่อนาคตมันจะเหลือง ก่อนมันจะเหลือง มันยังเขียวอยู่ ไปตัดกิ่ง เอาไปเสียบกับต้นราชพฤกษ์อื่นๆ ที่แข็งแรงๆ กิ่งนั้น มันก็เป็นขึ้นมาได้ แล้วมันให้ดอกด้วย นี่เขาอธิบายให้ฟังนะ

คราวนี้เรากลับมานึกเรื่องโลกวิญญาณ  พระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร? ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน ร่างกายข้างนอก ไม่ช้าไม่เร็ว ก็ต้องมีวันที่จะเสื่อมสลาย เน่าลงไปแน่นอน  แต่ตัววิญญาณอยู่ข้างใน มันมองไม่เห็น วิญญาณข้างในเหมือนกับตัวตนแท้จริงของเรา ร่างกายข้างนอกเหมือนเสื้อผ้าของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ตัวเราถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของเรา ข้างนอกที่เรามองเห็น เป็นแค่เสื้อผ้า

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ให้พระเจ้าย้ายเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้เดิม ที่ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าต้นไม้อาดัม

มนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้อาดัม เป็นกิ่งก้านหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้นอาจดูเขียวอยู่ ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตรงรากที่มันเน่า มองไม่เห็น ก็คือวิญญาณข้างในมันเน่าอยู่ กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นอาดัม ถึงแม้ยังเขียวอยู่  ดูยังมีชีวิตอยู่ แต่มันแค่รอวันทยอยเขียวน้อยลง ค่อยๆ เหี่ยว เหมือนที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าในที่สุดมันก็เหลือง แล้วร่วง แล้วก็เอาไปเผาไฟ เฉาตาย เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นเรียกว่าวิญญาณ คือรากที่เรามองไม่เห็น มันเน่า ทางวิญญาณ ก็คือบาป  พินาศนั่นเอง เพราะฉะนั้นวิธีเดียวที่จะช่วยกิ่งไม้เหล่านี้ ให้กลับมีชีวิตอยู่ได้ ช่วยได้ไหม? ได้ อย่างที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้ แต่ต้องรีบ ก่อนที่มันจะเหี่ยวเฉา ตัดเอาไปเผาไฟ เป็นฟืน ก่อนมันจะเหี่ยวมันยังพอจะเขียวๆ อยู่ รีบตัดแล้วก็ย้ายมาต่อเข้ากับต้นไม้ต้นใหม่ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นกลับมามีชีวิตต่อไปไม่ตาย ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม แล้วย้ายไปต่อกิ่ง และติดเข้าไปอาศัยอยู่ในต้นไม้แห่งพระเยซูคริสต์ หรือต้นแห่งพระคริสต์ ย้ายจากต้นอาดัมมาเสียบเข้าต้นพระคริสต์ ต้นพระคริสต์ คุ้นแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงยกตัวอย่าง พระเยซูพูดอุปมาเรื่องเถาองุ่น บอกว่าพระองค์เป็นลำต้น

“ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา ต้องมาต่อติดอยู่กับเรา สนิทอยู่กับเรา เชื่อมกันไปเลย ท่านจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่งั้นเขาจะเอาท่านไปเผาไฟ ไปทิ้งซะ ถ้าท่านไม่ย้ายมา”

เพราะฉะนั้น ถามมนุษย์ทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำในวันนี้  พระเจ้าถามท่านว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไม้ไหน? ต้นอาดัมหรือต้นพระคริสต์ ท่านบอก …

“ไม่เชื่อหรอก ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่ได้อยู่ในต้นอะไรทั้งสิ้น” … ได้ไหม?

พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงรู้ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร? พระองค์บอกแล้วว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านไม่เชื่อว่ามีแรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของโลก มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านขึ้นไปข้างบน โดยไม่มีเซฟตี้ มันก็ตกลงมาตาย ท่านว่ายน้ำอยู่ โดยไม่มีเครื่องพยุง ในที่สุด ท่านก็หมดแรง ถูกดูดลงไป จมน้ำตาย ท่านจะปฏิเสธอย่างไร กฎมันก็ยังมีอยู่ มันก็ยังทำงานตามกฎของมันอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม มันมีอยู่ และมันทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ ก็คือกฎของพระเจ้าที่วางไว้ มันเป็นเช่นนั้น

และสิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ พระเจ้าบอกว่าทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์ ท่านถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์เป็นชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ในขณะนี้ เราได้รับสิ่งนี้เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งก็เท่ากับว่าเราเชิญ เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คือยอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา คือผ่าตัดวิญญาณ จุ่มเราเข้าไปอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

เราก็จะได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ตามที่เราตั้งใจ เคล็ดลับที่ 2 ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร” เป็นการเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ในการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ พร้อมพระองค์ เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  เกิดขึ้นทันทีเดี๋ยวนี้ และก็ยังอยู่ที่นั่น คืออยู่ที่สวรรค์สถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นึกถึงภาพต้นองุ่นกับกิ่งองุ่นเมื่อสักครู่นี้นะ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? มีอะไร? เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น และมีอย่างนั้นเหมือนกับพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าต้นองุ่นจะได้รับน้ำ รับปุ๋ย หรืออะไรต่างๆ ดีอย่างไร? เราเป็นกิ่ง เราก็ได้รับไปด้วยทั้งหมด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่าเราได้เข้าไปเชื่อมต่อ ได้เข้าไปอาศัยอยู่ ได้เข้าไปบัพติศมาอยู่ ได้เข้าไปร่วมอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เพราะว่าฉันได้อยู่ในพระคริสต์

ตอนนี้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านจะรู้แล้ว รวบรวมเป็นเคล็ดลับสั้นๆ คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์” สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดเมื่อตะกี้ เพราะว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ และใครทำให้ฉันอยู่ในพระคริสต์ได้ พระเจ้าเท่านั้น และฉันร่วมมือได้ด้วยวิธีใด? ยอม … ยอมรับสิ่งที่ดีๆ มันพูดแล้วมนุษย์เข้าใจลำบากนะ  เพราะยอมส่วนใหญ่ จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี อันนี้ ยอมมาเป็นลูกพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทำ ยอมรับรางวัลของขวัญที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านอย่างมากมาย ยอมรับเถอะ พระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? คิดดู สิ ขอร้องเราให้ยอมนะ  ยอมให้พ่อเข้าไปช่วย  ยอมให้พ่อให้ของขวัญ ยอมให้พ่อเป็นพระเจ้า จะช่วยเจ้าให้บังเกิดใหม่นะ

โคโลสี 1:15-20 ได้บอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ … พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระสิริของพระคริสต์ที่เราเข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเกียรติ พระสิริ ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ที่เราได้เข้าไปร่วมกับพระองค์นั้น มันใหญ่ขนาดไหน? ท่านอ่านตรงนี้ แล้วท่านจะรู้ว่าถ้าเผื่อเคล็ดลับตรงนี้ ถ้อยคำวลีตรงนี้ ฝังอยู่ในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ แล้วฉันรู้ว่าพระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราคงแบบตะกี้นี้บอก มีสุข สุข สุข สุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม โคโลสี 1:15-20 …

โคโลสี 1:15-20 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต”

 

“และฉันอยู่ในพระคริสต์นี้แล้ว” พูดได้เฉพาะคนที่ยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์

ข้อ 15 บอกว่าพระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า พระบุตร ก็คือพระคริสต์ … พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ก็คือพระคริสต์ก็เป็นพระเจ้า ที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ทรงสร้าง ก็คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เป็นก่อนทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ หรือในโลกวิญญาณก็ตาม ถูกสร้างโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์มีมาก่อนตั้งแต่เริ่มต้น นี่กำลังพูดไปนี้ ให้นึกในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ฉันบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ฉันเป็นกิ่งก้านที่มาต่อกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นด้วย ไม่ได้อ่านว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครอย่างเดียว แต่อ่านดูในขณะที่ก่อนหน้าที่เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อ 16 โดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ “เทพ” นี่คือวิญญาณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น เป็นวิญญาณที่มีสิทธิอำนาจครองบัลลังก์ วิญญาณที่ทรงเดชานุภาพ วิญญาณที่เป็นผู้ครอบครอง หรือวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ เพื่อพระองค์ สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? เป็นวิญญาณทูตสวรรค์แบบดีหรือแบบเลวก็ตาม ทั้งหมดใครเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา? พระเยซูคริสต์ พระคริสต์เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้สร้างยิ่งใหญ่กว่าเยอะเลย  และเราอยู่ในพระคริสต์ ใหญ่พอไหม? ไม่พอ ฟังต่ออีก

ข้อ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน อยู่ก่อนทุกอย่างเลย แล้วทุกอย่างถูกสร้าง โดยพระองค์ และโดยพระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต ให้กำลังกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ดื้อ กบฏ ก็หลุดออกจากพระคริสต์ไปอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้นนั่นเอง ทูตสวรรค์ที่ดีๆ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ที่ดีๆ เขาอยู่ในการควบคุมของพระคริสต์ทั้งสิ้น พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ฉันก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉันอยู่ในพระองค์

ข้อ 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ก็หมายถึงพระองค์เป็นพี่ชายคนโต พระองค์เป็นหัวหน้าครอบครัวของพระเจ้า ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิด เป็นหัวหน้าของเรา ที่เรียกว่าเป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์พันธุ์ใหม่ของการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายทั่วๆ ไป เมื่อมาต่อติดกับพระองค์ มาอาศัยอยู่ในพระองค์ ก็จะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน พระองค์ทรงเป็นผู้แรกของมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ได้รับพระเกียรติสิริจากพระเจ้า มนุษย์ต่อๆ ไปที่วางใจ แล้วเข้ามาอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มาต่อติดกับพระองค์ ก็ตามพระองค์ไปด้วย ก็เกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ 2, คนที่ 3, คนที่ 4, คนที่ 5 เราจะเป็นคนที่กี่พันล้านก็ไม่รู้

การเป็นขึ้นจากความตายนี้ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง พอเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้าประทานพระสิริ พระเกียรติ ฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย มอบให้กับพระเยซูทั้งสิ้นเลย พระเยซูได้รับไปทันทีเลย แล้วใครรับไปด้วย เราอยู่ในพระองค์ เราก็รับไปด้วย ใหญ่พอไหม?

ไม่พอ เพิ่มเติมอีก ข้อ 19 พระเจ้าคงถามว่าพอไหม?  เปาโลคงบอกว่าไม่พอ พระเจ้าเพิ่มอีก ในข้อ 19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร เพราะว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระบิดานั้น ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น พระองค์พอใจที่จะให้สิทธิอำนาจทั้งหมดเลยที่มีอยู่ ไม่ว่าในโลกนี้ หรือในโลกหน้า มองเห็นหรือไม่เห็นนั้น มอบให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้สำเร็จราชการทุกอย่าง เอาทุกอย่างไปเลย เป็นผู้ตัดสินคดี เป็นผู้ดูแล เป็นผู้พิพากษา เป็นหมดทุกอย่างเลย แล้วเท่ากับมอบให้พระเยซูแล้ว มอบให้ใครด้วย? มอบให้กับน้องๆ ผู้ที่เข้าไปต่อติดกับพระเยซูด้วย เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยได้รับไปด้วย ผมจึงตั้งชื่อว่า “เมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์” เป็น ไม่ใช่มี … มีมันอาจจะหายได้ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงเป็นชีวิตนิรันดร์ คือวิญญาณฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ คือเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย และฉันก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

พอหรือยัง? แถมอีกข้อหนึ่ง ข้อ 20  “และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลก และในสวรรค์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต” กลายเป็นเรามีสิทธิอำนาจ เราได้ เป็นทูตของพระเจ้าที่จะนำพาผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้จักความจริงนั้น ได้สามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้นั่นเอง พอไหม?  ถ้าไม่พอ เติมนี่ให้ โคโลสี 2:9  บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:9 “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ในรูปลักษณ์ที่เป็นร่างกายมนุษย์”

 

เผื่อว่าคนที่ใช้ตามองเห็น อาจไม่เข้าใจ และยังไม่ยอมเปิดใจให้พระเจ้าเข้าไปผ่าตัด ตาฝ่ายวิญญาณยังไม่เปิดออก เขายังไม่เข้าใจ พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์อย่างนี้ แล้วจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าเลยพูดไว้ในหนังสือโคโลสี 2:9 ว่า “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ เป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีแม้แต่นิดเดียวว่า 99% เป็นพระเจ้าจริงๆ ดำรงอยู่ในพระคริสต์

แม้ว่าอยู่ในรูปลักษณะที่เป็นร่างกายมนุษย์ก็ตาม เดินอยู่บนโลกใบนี้  33 ปี เป็นขึ้นจากความตาย ก็ยังเป็นร่างกายมนุษย์อยู่อีก  ปรากฏให้เห็นอยู่ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปในขณะที่ยังเป็นร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว เป็นมนุษย์ที่เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว ไม่ต้องใช้บอลลูนแล้ว ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ได้ เรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์หรือเปล่า? เป็นมนุษย์ แต่พระเจ้ากำลังจะบอกว่าที่เห็นนั้น คือพระเจ้าที่อยู่ในรูปลักษณะของมนุษย์ (พันธุ์ใหม่) คล้ายๆ กับพวกเรา  ต้องบอกว่าคล้ายๆ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่อยู่ในร่างกายเดิม  สวมเสื้อผ้าเดิมอยู่ เราจึงมีความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือวันที่ร่างกายหรือเสื้อผ้าเก่านี้ มันฉีกขาด มันทิ้งแล้ว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง พอออกจากร่างปุ๊บ โน้นเสื้อผ้าใหม่เตรียมไว้เรียบร้อย คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติที่เรารออยู่ หวังอยู่ และสวมนั้นเข้าไป  เราก็เลยกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100% นี่มนุษย์พันธุ์ใหม่มันแปลว่าอย่างนี้ โคโลสี 2:10 ต่อมาอีกนิดหนึ่ง …

โคโลสี 2:10  “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวหาเรา) เหนือพวกผู้ครอบครอง (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตีกล่าวหาเรา) และเหนือพวกทูตสวรรค์ ที่มีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล”

 

“ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนพระคริสต์” หมายถึงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนที่ท่านเปิดใจยอมรับให้พระเจ้าเข้ามา ผ่าตัดวิญญาณ พอวิญญาณท่านย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย 1 ยอห์น 4:17 บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นเหมือนแล้ว เหมือนอย่างไร? พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น พระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูคริสต์ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย เราก็ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระเกียรติของพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูคริสต์ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั่นแหละ และเพียงแต่รอให้เสื้อผ้าเก่าที่สวมอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ รอให้มันสิ้นสุด มันขาดยุ่ยก่อน แล้วเราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้

พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์มันเกิดอะไรขึ้น นอกจากที่เราจะอยู่ในความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความดีพร้อม ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรมในวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราแล้ว  เราก็ดำเนินชีวิตอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม? โรม บทที่ 8 ในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีทำชั่วอะไรต่างๆ ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ปรับโทษเราไม่ได้อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็ตายไปพร้อมกับร่างกายนี้ แต่วิญญาณและความคิดจิตใจเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ รออย่างเดียว รอร่างกายใหม่ เอเฟซัส 2:4-6 จะบันทึกอย่างนี้ไว้ว่า …

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ  6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“ทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เป็นแล้วในพระคริสต์”

ข้อ 4 บอกว่าแต่เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาอันอุดม จึงทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต บังเกิดใหม่นั่นเอง อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป ตายแล้วอยู่ในอาดัม อยู่ในต้นไม้เดิมนั่นแหละ คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากการลงโทษ  จากคำสาปแช่ง  จากความพินาศในต้นไม้เดิม โดยการกระทำของพระเจ้า คือโดยพระคุณ คือท่านไม่ได้ทำเองเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านอยู่เฉยๆ ท่านเพียงแต่ยอมเท่านั้นเอง พระเจ้าทำหมด เรียกว่าพระคุณ

พระองค์ได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา ก็คือบังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ตรงไหน? เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เป็นการเปรียบเทียบ  หมายถึงนั่งอยู่ที่ผู้สำเร็จราชการ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดีได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์บอกว่าเรามาร่วมครอบครองด้วยกัน เอเมน

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่ตลอดไป ในวิญญาณ เป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้วบังเกิดใหม่แล้วจะถูกหลอกว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้อยู่แล้วจริงๆ

เหมือนพ่อให้เงินมา 100 บาท อยู่ในกระเป๋าไปโรงเรียนแล้ว ไม่รู้ว่ามีเงิน 100 บาท ไปโรงเรียน เห็นเขากินข้าวเที่ยง ก็ทำตาปริบๆ

พ่อบอก … “เงินร้อยบาทก็เอาไปซื้อสิ” … ไม่เชื่อว่าพ่อให้ร้อยบาท อะไรประมาณนั้น

โคโลสี 3:1-4 จึงแนะนำเราว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปในวิญญาณ ในพระคริสต์แล้วจริงๆ เราควรจะดำเนินชีวิตด้วยวิธีอย่างไร? …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เห็นไหมมันเหมือนกันเลย  อยู่ในพระคริสต์หรือพระคริสต์อยู่ในเรา ลักษณะการดำเนินชีวิตเป็นพลังจากพระเจ้ามาเหมือนกันไม่มีผิดเลย คือให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ แล้วรอคอย อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ที่เราจะได้ร่วมรับพระเกียรติพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานหลังความตาย

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน คือความคิดจิตใจของท่านนั้น จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน”

เบื้องบน คือในโลกวิญญาณที่พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด นั่งอยู่ที่เบื้องขวา

ที่เราได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น วิญญาณเรานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ประเทศไทย เดินอยู่ในอเมริกา เดินอยู่ในแอฟาริกา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เรานั่งอยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา

เรานั่งอยู่ที่เดียวกัน ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือตำแหน่งในโลกฝ่ายวิญญาณ เวลาเราปักหมุด นี่คือการปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณ เปิดมือถือมาปุ๊บ ปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณปุ๊บ มองเห็นเลย บ้านเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานที่เบื้องขวาของพระเจ้า เรียกว่าให้จดจ่อไปตรงนี้ตลอดเวลา มองอะไรต่างๆ สถานการณ์อะไรบนโลกใบนี้ ก็ให้จดจ่อตรงโลกวิญญาณ มองในโลกวัตถุ มันเกิดเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามเหตุการณ์ ตามเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น แต่ให้รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แล้วในโลกวิญญาณนั้น เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่พระเยซูคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนนี้ ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับความรู้สึกของเราบนโลกใบนี้ ความรู้สึกเราไม่เกี่ยวข้องเลย ความรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา ความรู้สึกว่าเราโดดเดี่ยว  แต่ในความเป็นจริง คือในโลกวิญญาณ เราก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ พระเจ้าก็โอบกอดเราอยู่ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน แต่ในความรู้สึกของเรา มันรู้สึกเกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ สิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจมันตรงนั้น  สนใจในโลกวิญญาณว่าพระองค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร? แล้วก็บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเอเมน  เรียกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรียกว่าขอบคุณพระเจ้า  เรียกว่านมัสการพระองค์ ด้วยความเชื่อ ด้วยความไว้วางใจ

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านที่พระเจ้าได้ย้ายมาบังเกิดใหม่ ในพระคริสต์แล้วนั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านถูกย้ายมาแล้ว ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วนั้น  ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ นี่คือสิ่งลึกลับ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า แล้วใครจะมาทำอันตรายเราได้ล่ะ มีใครที่ไหนจะมาทำอะไรเราได้ เราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้เลย เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปกคลุมผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในนั้น อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ โรม บทที่ 8 จึงบอกว่าไม่มีใครที่ไหน? อำนาจใหญ่โตขนาดไหน ทูตสวรรค์หรืออะไรจากนี้ จะมาเอาเราออกไปจากตรงนี้ได้

ตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าในพระคริสต์ ไม่สามารถเอาเราออกไปจากในพระคริสต์ได้เลย เราอยู่ในนี้แล้ว เราไม่ไปไหนแล้ว ต่อให้เราไม่เชื่อ ต่อให้เรารู้สึกท้อแท้ใจ ต่อให้เรารู้สึกล้มลงในความเชื่อ ถ้าเราอยู่ในนี้แล้ว เราก็ยังอยู่ในนี้ตลอดไป แม้เราล้มลง พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่เคยล้มเหลว เราล้มเหลวได้ แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว

เพราะฉะนั้น ให้เรารู้ว่าเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหนตอนนี้ พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยการรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว และสวรรค์ ก็คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรานั่นเอง

สวรรค์ คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรา คือเคล็ดลับครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

เราอยู่ในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่จากเชื้อที่เป็นอมตะนิรันดร์ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ก็คือจากพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวันตาย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว เกิดแล้วเกิดเลย นึกภาพนะ จงรับรู้เลยว่าการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ก็คือการบังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ ก็เกิดจากพระเจ้า  มันจึงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  และพระคริสต์ที่อยู่ในเราแล้ว  พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งให้เราอยู่ลำพัง

นึกภาพนะ ใน Episode ครั้งที่แล้ว ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและพระสิริ พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันด้วยถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราจะไม่ละเจ้า   เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอตลอดไป เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ เราจะอยู่ดูแลเจ้าตลอดเวลา ถูกไหม? นี่คือคำยืนยัน 1 อันที่ในพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ

วันนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ อะไรยืนยันถ้อยคำ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้บังเกิดใหม่ บังเกิดด้วยหน่อเชื้อ หรือเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการตาย เพราะฉะนั้น ฉันก็จะอยู่ในพระคริสต์ บังเกิดใหม่  อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ทั้งสองอันไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” หรือ “พระคริสต์อยู่ในฉัน” ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดชั่วนิรันดร์

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพียงแต่เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในเราได้เลย มันถูกผนึกตราอ๊อกเหล็กกล้า 40-50 ชั้น ไม่มีวันที่จะทะลวงไปถึงข้างในได้ เราถูกปกป้องไว้อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าอีกชั่วขณะเดียวเอง อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ เติมเต็มในชีวิตบริบูรณ์ได้ แล้วเราก็จะปรากฏออกมา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ ก็คือพูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้น เราที่ถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ถูกซ่อนอยู่ เพราะเราไม่มีร่างกายใหม่ ไม่มีร่างกายสวรรค์ที่จะเข้าสวรรค์ได้ แต่เมื่อเวลาเราออกจากร่างนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ทันทีทันใดนั้น ร่างกายสวรรค์นั้น ก็คือสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ เราที่ถูกซ่อนอยู่ ก็ออกมาปรากฏด้วย เป็นรูปเป็นร่าง เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นพันธุ์ใหม่ แต่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะขาดร่างกายที่จะเข้าสวรรค์ได้ เปาโลบอกว่าร่างกายเรือนดินนี้ ร่างกายอันต่ำต้อย ภาชนะดินนี้ไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ ต้องรอให้หมดร่างกายนี้ก่อน แล้วพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ไว้ให้

ร่างกายสวรรค์ก็มี ร่างกายดินก็มี ร่างกายดินต้องตายไป สูญสิ้นไป ร่างกายสวรรค์ ก็เพื่อให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรโลกวิญญาณได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือความเป็นจริง หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรดี หรือทำอะไรไม่ดีจากนี้ต่อไป  สมมตินะ ตรงนี้ในโลกวิญญาณไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เราได้เรียนรู้ไปเยอะแยะแล้วว่าเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว มีแต่ความคิดที่ดี มีแต่การกระทำที่ดี มีแต่หลั่งไหลความดีงามของพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเราออกมา ไม่มีใครอยากจะไปทำบาปแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่แพ้ความบาป  ทำบาปปุ๊บ เกิดผื่นขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย เราไม่ได้ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเราจะท้อแท้ใจหรืออย่างไร? หรือกลัวอย่างไร? หรือตกหล่นในความเชื่ออย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะมาเปลี่ยนแปลงความจริงตรงนี้ได้ เพราะว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในเรา ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน จำไว้แค่นี้

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ ที่จะร่วมรับกับพระเยซู เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 4

 

1โครินธ์ 3:9 (NTV.)  “เพราะ​เรา​เป็น​ผู้​ร่วม​งาน​ของ​พระ​เจ้า  ท่าน​เป็น​ไร่​นา​และ​เป็น​เรือน​ของ​พระ​เจ้า”

 

ตามที่เห็นในบริบทนี้  ผู้คนในคริสตจักรของพระเจ้า มีสองกลุ่ม …

กลุ่มที่ 1 …

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้รับใช้ที่มีของประทาน ในการเสริมสร้างคริสตจักร ตามหนังสือเอเฟซัส 4:11-16 ได้กล่าวไว้ว่าของประทานของพระองค์ ก็คือให้ …

บางคนเป็นอัครทูต

บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ

บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ

บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์

เพื่อเตรียมธรรมิกชน (ผู้เชื่อ)ให้เป็นคนที่จะรับใช้  เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมา  และหันไปเหมา  ด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง  และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์  ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง  แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก   เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ  คือพระคริสต์ คือเนื่องจากพระองค์นั้น   ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ  ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก  เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”

กลุ่มที่ 2 …

“ท่าน”  ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า

และหนังสือ เอเฟซัส 2:20-22 ได้กล่าวว่า “ท่าน (ผู้เชื่อชาวยิว) ได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูต  และพวกผู้เผยพระวจนะ   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก  ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้น และท่านด้วย (ผู้เชื่อชาวต่างชาติ) ก็กำลังจะถูกก่อขึ้น ให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย”

 

ไม่ว่าจะกลุ่มไหน   ต่างก็มีค่ามีความหมายกับพระเจ้าเท่ากัน   แค่มีหน้าที่   ที่ต้องทำในสังคมโลกที่แตกต่างกัน  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกๆ  คนต่างมีหน้าที่ของตน

ในฐานะตำแหน่งหน้าที่ การงานที่ได้รับมาจากพระเจ้าในโลกนี้   เช่นบทบาทในครอบครัวในที่ทำงานในสังคมเป็นต้น  ผู้รับใช้  (เป็นทั้งผู้เชื่อและเป็นทั้งผู้รับใช้) ก็มีหน้าที่

ในฐานะตำแหน่งที่เราได้รับของประทาน   มาจากพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างพระกายพระคริสต์  (ผู้เชื่อทุกๆ คน) ในโลกนี้

และในฐานะตำแหน่งบทบาทในครอบครัวในสังคม  แต่ละหน้าที่ ต่างก็ต้องมีพระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญ  ทุกคนที่ทำหน้าที จะได้กินผลแห่งน้ำมือของตนในโลกนี้   รางวัลที่ได้รับ ก็รับในโลกนี้ ตามผลของการกระทำ  ไม่เกี่ยวกับโลกหน้าหลังความตาย   เราทุกคนต่างเป็นอวัยวะในร่างกายของพระคริสต์   พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเราเหมือนกันทุกคน  เราอยู่ในพระคริสต์ และเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์   ไม่ว่าจะเป็นผู้รับใช้ หรือผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า  เราควรรัก เมตตา อดทน ช่วยเหลือ ปกป้อง หนุนใจ ฟังกันและกัน ถ่อมใจเข้าหากัน ให้เกียรติกันและกัน ภายใต้ความรักที่พระเจ้าได้รักเรา มาแล้วนั้น

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1373

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

โดย พาสเตอร์ นคร   เวชสุภาพร

 

เคยมีรายงานออกมาว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ เป็นโรคเดียวกันทั้งโลก เขาเรียกว่าโรคสมาธิสั้น อาการหลักๆ คือไม่มีสมาธิ ใจร้อน ทนไม่ได้นาน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ความอดทน ความพยายามลดลงกว่าสมัยก่อนนี้  อะไรที่ต้องใช้สมาธิ ต้องใช้เวลานาน จะทนไม่ค่อยได้ จริงไหม?

ข้อมูลข่าวสารบนโลกโซเซียวมีเดีย ก็เหมือนกัน ลองสังเกตดู อะไรที่ยาวๆ เกินไป ดูนานๆ จะไม่ค่อยมีใครสนใจหรอก เขาว่ากันว่าถ้าให้สนใจ ใช้เวลาแค่ 1 นาที … 1 นาทีต้องเอาให้อยู่นะ ไม่อย่างนั้นเขาเลยไปที่อื่นแล้ว ทุกวันนี้ แอปที่ดังที่สุด ก็คือแอป Tik Tok แล้วนิยมใช้กันมากขึ้นทุกวันๆ ก็เพราะสมาธิสั้นนี่แหละ เพราะคลิปที่จะลงใน Tik Tok นั้น จะเป็นคลิปที่สั้นๆ ดูง่ายๆ เขามีสถิติล่าสุด ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแอป Tik Tok อยู่ประมาณพันล้านคนทั่วโลก เฉพาะอเมริกามี 25% ของประชากร ส่วนบ้านเรา 14% ประมาน 10 ล้านคน แป๊บเดียว ดังมาก ดังเพราะมันสั้น สมาธิสั้น เข้ากันกับแอปสั้นๆ

แล้วทุกคนก็คิดว่า Tik Tok มันเกี่ยวอะไรกันกับข่าวประเสริฐ  ที่จะมาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ในวันนี้ เกี่ยวอะไรกับคำบรรยายในวันนี้บ้าง? สิ่งที่เรากำลังมาเรียนรู้กันในวันนี้ ก็คือเคล็ดลับสำหรับคริสเตียนในการอยู่บนโลกนี้ ด้วยความชื่นชมยินดี และมีสันติสุขที่แท้จริง ท่ามกลางความทุกข์ลำบากและทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงต้องให้มันสั้นๆ ใช่ไหม? เป็นเคล็ดลับ ให้เราจำได้ ก็ต้องเป็นเคล็ดลับสั้นๆ ที่ไม่เกิน 1 นาที คืออะไรล่ะ

เคล็ดลับสำหรับคริสเตียน ในการอยู่บนโลกใบนี้  ไม่เกิน 1 นาที  แต่สำคัญมากๆ เลย คริสเตียนทุกคนควรจะเข้าใจ และจำให้ได้  เคล็ดลับสั้นๆ นี้ ก็คือหัวข้อเรื่องในการบรรยายในวันนี้  ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” จำเพลงนี้ได้ไหม?

“พระคริสต์อยู่ในใจฉัน       พระคริสต์อยู่ในใจเธอ

พระคริสต์อยู่ในใจฉัน         และในใจฉัน”

อยู่หรือสถิตก็เหมือนกันนั่นแหละ  สั้นมาก

ท่านลองไปคิดดูว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อนไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ ไม่มีโบสถ์ อย่างที่เรามารวมกันอย่างนี้  ไม่มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีสื่อสารต่างๆ ไม่มีพูดถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ไม่มียูทูป ไม่มีกูเกิล มือถือยังไม่มีเลย  ไม่มีการมาบันทึกคำเทศนาต่างๆ คำบรรยายของอาจารย์เปาโล แล้วมาฟังทีหลัง  ทุกคนต้องใช้การฟังและจำให้ได้  แต่คนสมัยก่อน ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น เพราะว่ามีเวลาที่จะคิดอะไรต่างๆ ไม่เหมือนคนในยุคปัจจุบัน พอฟังแล้วก็จำเอา แล้วมาเล่าสู่กันฟัง ก็มาหนุนใจซึ่งกันและกัน คริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ในสมัยก่อนน้อยคนมาก ที่มีการศึกษา เรียนรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องเป็นราว น้อยมากๆ เลย อ่านไม่ออกเลย มีเยอะกว่าอ่านออก แล้วที่อ่านออก ที่ไปศึกษาเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ยิ่งน้อยใหญ่ ส่วนใหญ่ ก็คือในครอบครัวเล่าให้ฟัง พ่อแม่เล่าให้ลูกฟัง เล่าให้เพื่อนฟัง  มานั่งกินข้าวกัน  มาเจอกันตามบ้าน แล้วก็เล่าเรื่องพระคริสต์ หัวใจคือกลับไปบ้าน จำอะไรได้ ไม่ได้ ไม่รู้ จำได้ที่เขาเล่ามาหมด รู้ไหม? ไม่รู้เท่าไร?

จำที่เปาโลพูดได้ไหม? ได้บ้างนิดหนึ่ง สรุปแล้วเดินออกมาจากบ้าน จากที่ประชุม จากการฟังมา จำได้อย่างเดียว คืออะไรไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่า …

“พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน”

เราอยู่ได้อย่างไร? ก็เรารู้ เพราะว่าพระคัมภีร์จะบอกไว้ว่านี่แหละ คือเคล็ดลับ และเป็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่กระทำสิ่งนี้ด้วย วันนี้เราจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปว่าตรงไหนที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คำว่า “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” มันคืออะไร?  ทำไมคนสมัยก่อนเขาจึงจำสิ่งเหล่านี้ได้  เขาเรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่เป็นคริสเตียน เปาโลเคยพูดบอกว่าท่านสามารถพิสูจน์ตัวท่านเองว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่? โดยวิธีการที่ท่านทราบใช่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ถ้าท่านยังรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ท่านเป็นคริสเตียนแน่นอน  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  แต่มาถึงปัจจุบัน เรามีแหล่งข้อมูลเยอะแยะมากมายที่จะเรียนรู้เรื่องข่าวประเสริฐเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นยูทูปหรือว่าหนังสือเต็มไปหมด จะฟังเมื่อไร ก็หยิบมือถือมากด จะหาอะไร ก็เต็มไปหมดเลย

หลายคนยิ่งศึกษา ยิ่งค้นคว้า ก็ยิ่งหลงทาง เพราะรู้มากเกินไป ชำนาญในเรื่องการทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก เพราะว่าเรียนไปเรื่อยๆ ไปเยอะ ไปใหญ่เลย ผิดๆ ถูกๆ ถูกๆ ผิดๆ เลยเละตุ้มเปะเลย รู้เยอะแยะ อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ศึกษาจากยูทูปทุกวัน รู้หมด ประวัติศาสตร์ เรื่องราวในพระคัมภีร์  ใครเป็นใครตอบได้หมด แต่พอมาถึงเวลาต้องเผชิญกับปัญหา  เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นึกไม่ออกว่าจะต้องคิดอย่างไร?  ต้องทำอย่างไร? คุ้นๆ ไหม? หนักๆ เข้าเวลาเจอปัญหาถาโถมเข้ามาในชีวิต เริ่มถามพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน? พระเจ้าหายไปไหน?  ทำไมเกิดสิ่งนี้กับฉัน?”

หนักกว่านั้นอีก … “ทำไมเกิดสิ่งนี้กับฉัน พระองค์ทำไมทำอย่างนี้กับฉัน พระองค์ทำไมโหดร้ายเช่นนี้ พระองค์ส่งโรคภัยไข้เจ็บนี้มาทำไม? พระองค์ส่งโควิดมาให้ฉันทำไม?  พระองค์ทรงให้ฉันล้มละลายทำไม?”

กลายเป็นกล่าวหาพระเจ้า โทษพระเจ้าอีก แรกๆ เชื่อใหม่ๆ พระเจ้าดีงาม รัก เรียนรู้ไปมากๆ กลายเป็นอย่างนี้ คุ้นหรือยัง? เข้าข่ายสุภาษิตไทย “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” รู้เยอะเกินไป คิดมาก คิดกลับไปกลับมา ในที่สุด พระเจ้าผู้แสนดี ตอนเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มาตอนนี้รู้เยอะ เลยกลายเป็นพระเจ้าผู้แสนโหดร้ายเหลือเกิน ทำร้ายฉันได้อย่างไร?  พระองค์อยู่ไหน? ตอนเรามาเชื่อใหม่ๆ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ยิ้มแย้มแจ่มใส  นอนไม่หลับหรือว่าหลับสนิท แต่พออยู่ๆ ไป เรียนรู้ไป พระเจ้าลงโทษฉัน พระเจ้ากลายเป็นอย่างนี้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะว่าศึกษาเยอะเกินไป มันตีกัน  เพราะว่าการศึกษา  ก็คือความคิดของมนุษย์ที่ใส่เข้าไป

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร?  นึกออกใช่ไหม? พระคัมภีร์จะบอกพระลักษณะของพระเจ้าเป็นเช่นไร?  แต่ความคิดของมนุษย์จะบอกว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? ฉันจะให้พระเจ้าเป็นอย่างไร? ตามที่ฉันคิด ตอนมาเชื่อใหม่ๆ บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย เชื่อง่ายๆ พอไปนานๆ พระวิญญาณหายไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้เป็นต้น

พอตอนเริ่มต้นเชื่อใหม่ๆ ทุกคนจะชื่นชมยินดีในข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์มาก  เพราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเยอะ แล้วลองสังเกตดูเรา เราเรียนรู้อะไรไปบ้าง? ที่มันสอดคล้องกับถ้อยคำของพระเจ้าจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ วันนี้เราจะมาเช็คกันว่าเคล็ดลับที่เป็นแหล่งพลังมหาศาลของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว มันคืออะไร? มันคือตรงนี้แหละ พระคริสต์สถิตในฉัน พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นพลังมหาศาล เคล็ดลับนี้ จำให้แม่นๆ แค่นี้คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

เราเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ โดยพระคริสต์ … พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือ 3 พระภาคของพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ซึ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยากลำบาก ใหญ่กว่าปัญหาต่างๆ ทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้แน่นอน เพราะฉะนั้น จึงเป็นวลีสั้นๆ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง  มีพลังมหาศาล จากความจริงของพระเจ้า จากถ้อยคำของพระเจ้า ที่สามารถทำให้เรามีความสุข มีสันติสุข ในการเผชิญกับความกลัวบนโลกใบนี้  และความวิตกกังวลบนโลกใบนี้ ในสถานการณ์ยุคปัจจุบันยิ่งชัดเจนใหญ่ มันมืดมน มันไม่มีทางไปเลย แล้วเราจะมีความหวังไว้ที่ไหน? ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นพลังมหาศาลที่จะชนะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั่นเอง

“พระคริสต์สถิตในฉัน จึงเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

เรามาดูที่โคโลสี บทที่ 1 ที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเลยว่านี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่มากๆ ที่พระเจ้าทำให้กับเรา มนุษยชาติบนโลกใบนี้  คือพระคริสต์สถิตในฉัน พระคริสต์สถิตในท่าน  เป็นความหวังแห่งพระสิริ โคโลสี 1:25-27 …

โคโลสี 1:25-27 “25 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร (ธรรมมิกชนผู้เชื่อ) ตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำ ในหมู่พวกท่าน (ชนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ชาวยิว) คือการให้พระวจนะของพระเจ้า (ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์) ประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึกซึ่งถูกปิดบังไว้ (จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์) ตลอดหลายยุค หลายชั่วอายุแต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว 27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้น คืออะไร? คือพระคริสต์ สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้ร่วมรับเกียรติสิริ)”

 

ในข้อ 25 เปาโลได้บอกว่า … “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร” เปาโลกำลังบอกว่าตัวเปาโลเอง พระเจ้าเรียกให้มาเป็นผู้รับใช้คริสตจักร

คริสตจักร คือใคร?  คือธรรมิกชนผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ  “พระเจ้าได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าทำในหมู่พวกท่าน”

หมู่พวกท่าน ก็คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว

ภารกิจนี้ คือให้เปาโลประกาศถ้อยคำของพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดี เกี่ยวกับพระมาซีฮาห์ เกี่ยวกับพระคริสต์ เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดกับบรรดาชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง

คำว่า “การให้พระวจนะของพระเจ้าประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์” คือให้ประกาศพระวจนะ ถ้อยคำ ข่าวดีพระเมสิยาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็คือประกาศพระคริสต์นั่นเอง  ตามหน้าที่ของอาจารย์เปาโล

ข้อ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ … ข้อล้ำลึกที่ถูกซ่อน ที่ถูกปิดบังไว้ จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ ทูตสวรรค์ก็ไม่รู้ มวลมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าข้อล้ำลึกนี้มันเป็นเช่นไร? มันเป็นลักษณะอย่างไร? ปิดบังไว้ตลอดทุกยุคทุกสมัย หลายชั่วอายุ  แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว ก็คือสำแดงแก่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือสำแดงในคริสเตียนทั้งหลายนั่นเอง

คือตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มนุษย์ทุกคนมีสำนึกอยู่ในตัวเองว่าเป็นคนบาป เข้าหาพระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้พระเจ้าก็ไม่ได้ จึงพยายามที่จะทำสิ่งที่ดี และสิ่งที่คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ รักษาตัวเองดีๆ ให้บริสุทธิ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้  เพื่อจะเข้าหาพระเจ้า แต่ทำอย่างไร มันก็เข้าหาไม่ได้สักที เพราะรู้ว่ามันไม่หมดจดจริงๆ นั่นเอง

ถ้อยคำพระเจ้าบอกล่วงหน้า บอกว่า … “ไม่เป็นไร วันหนึ่ง เราจะเป็นผู้ทำให้เจ้าสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่จะเข้ามาหาเราได้ โดยที่เราเป็นคนทำนะ เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า ให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า ให้เจ้าได้บังเกิดใหม่ ให้เจ้าสะอาดหมดจด และเราจะไปอยู่กับเจ้า”

นี่แหละ คือข้อล้ำลึก แผนการที่บอกไว้ล่วงหน้ามาตั้งเป็นพันๆ ปี แต่ถูกปิดบังไว้ ไม่ได้ถูกเปิดเผยรายละเอียด  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่บอกล่วงหน้าถึงข่าวประเสริฐนี้ ตั้งแต่ในยุคหลายพันปีก่อน ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นเลย ว่ากันตามจริงแล้ว การเผยพระวจนะนี้ เริ่มตั้งแต่ยุคปฐมกาล ตั้งแต่ที่พระเจ้าเป็นผู้เผยเองเลย ปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

“หน่อเชื้อของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” หมายถึงพระเยซูจะทำให้กฎของความบาปและความตายหมดอำนาจลง แล้วมาสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำคำเผยพระวจนะให้สำเร็จ ยอห์นบัพติศโตบอกว่าตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายของผู้เผยพระวจนะ หลังจากเขา ตัวจริงมาแล้ว พระมาซีฮาห์ตัวจริง พระคริสต์มาแล้ว  ก็คือพระเยซูคริสต์มาแล้ว เสร็จแล้ว พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ก็พูด คราวนี้ประกาศด้วยตัวเองแล้ว นี่ของจริงมาแล้ว นี่พูดไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นั่นแหละ  ตอนนี้มาแล้วจริงๆ เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อีกไม่กี่วันจะทำงานนี้ให้สำเร็จแล้ว คือทำให้มนุษย์เข้ามาอยู่กับพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้าไปอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง

ใน 1 เปโตร 1:10-12 ได้ยืนยันถึงเรื่องนี้ เรื่องความล้ำลึกของข่าวประเสริฐ ที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วยกับมนุษย์ ที่พูดกันมาตลอด  ได้ย้ำอีกทีว่าสิ่งนี้ถูกปิดบังจากผู้คนในสมัยนั้น  ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็อยากจะรู้ มาอยู่อย่างไร?  ทำอย่างไร? ได้บันทึกไว้ในหนังสือ 1 เปโตร 1:10-12 อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:10-12 “10 บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงพระคุณ ที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุดเกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้ 11 พวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์บนพวกเขา ได้บอกบ่งชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา 12 พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง (ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา) แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (องค์เดียวกัน) ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

 

“บรรดาผู้เผยพระวจนะ  ผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงเหตุการณ์นี้ ถึงพระคุณนี้” ถามว่าผู้เผยพระวจนเหล่านี้คือใคร?  ก็คือผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมที่บันทึกไว้ ยกตัวอย่างเช่น อิสยาห์ เอเสเคียล ดาเนียล ผู้คนเหล่านี้ คือพระเจ้าใช้ ในการที่จะพูดเผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้าว่าพระองค์กำลังทำอะไร? พระเยซูคือใคร? พระมาซีฮาห์กำลังมา

และพวกผู้เผยพระวจนเหล่านี้ เผยพระวจนะแล้วทำอะไรต่อ? สนใจ อยากรู้ ในนี้บอกอยากรู้ตรงไหน? เขียนไว้  … “ได้ตั้งใจสืบเสาะ ค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุด เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้” พระคุณความรอดนี้ ก็คือความลี้ลับของพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิรินั่นเอง ก็จะสืบเสาะค้นคว้าว่าพระองค์จะทำอย่างไร?

ข้อ 11 บอกว่าพวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดู เปิดพระคัมภีร์เดิม เปิดดูใหญ่เลยว่าพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าเผยพระวจนะอย่างนี้ หมายถึงอะไร? อิสยาห์บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้จะมาแบกเอาภาระความบาปของมวลมนุษยชาติออกไป ตายที่ไม้กางเขนอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันคืออะไร? เขาหาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์บนพวกเขา พวกเขารู้ได้อย่างไร?  ก็พระเจ้ามาบอกพวกเขา  มาสำแดงให้พวกเขา แล้วให้พวกเขาได้ประกาศออกไปให้ประชากรได้รู้ว่าพระองค์กำลังจะทำอะไร? พระองค์ให้เขาได้รู้ด้วยวิธีใด?  โดยการประทานพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ข้างๆ เขา อยู่บนเขา ไม่ได้อยู่ในตัวเขานะ

ความลี้ลับ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในฉันใช่ไหม? แต่สมัยก่อนกำลังจะบอกว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์บนพวกเขา พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วยกับพวกเขา ไม่ใช่ในพวกเขา  แต่สำหรับพวกเรานี้ คริสเตียนนี้ สถิตในพวกเราเลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์บนพวกเขา ได้บ่งบอกชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา เขาอยากจะรู้ว่าการที่พระเยซูคริสต์ทนทุกข์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  ทำเพื่อใครในยุคไหน?  พระองค์จะมาเมื่อไร?

คำว่า “บรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา” หมายถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนและการสิ้นพระชนม์ และพระเกียรติสิริที่ตามมา คือการเป็นขึ้นจากความตาย ที่จะตามมาในวันที่ 3 นั้น ทำเพื่อใคร?

พวกเขา ก็คือผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น  อย่างที่ตะกี้นี้บอก เอเสเคียล ดาเนียล อิสยาห์ พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น  ที่ได้บอกล่วงหน้าแล้วนั้น  ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ สำหรับคนในยุคนั้น  แต่เพื่อพวกท่าน ก็คือแต่เพื่อพวกผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว ประชาชาติทั่วโลก

“บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว” สิ่งที่เปโตรพูด ก็คือบัดนี้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ก็คือในยุคพันธสัญญาใหม่แล้ว  บัดนี้ ก็คือตอนนั้น  ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คืออัครทูตต่างๆ เปาโล เปโตร ยอห์น และทีมงาน นักประกาศทั้งหลาย  ได้ประกาศข่าวดีนี้ ได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ก็คือแจ้งแก่บรรดาพวกท่าน ท่านจึงรับเชื่อ ท่านจึงเกิดใหม่แล้ว ตอนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว

และเขาเหล่านี้ คิดดูสิ เปาโล เปโตรและนักประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคพระเยซูคริสต์ เขาประกาศข่าวประเสริฐ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน ซึ่งส่งมาจากสวรรค์  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มาสถิตอยู่ในผู้เชื่อหรือคริสเตียน  นั่นแหละ เป็นผู้ประกาศสิ่งนี้ เป็นผู้นำประกาศข่าวประเสริฐนี้ออกมา  แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ไหม? ตะกี้นี้ ผู้เผยพระวจนะในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระวิญญาณมาอยู่ข้างนอกเขา อยู่บนเขา แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเขา ก็คืออยู่ในเราผู้เชื่อทั้งหลาย

บรรทัดสุดท้ายนี้สำคัญมาก จะเห็นคุณค่าของข่าวประเสริฐของพระเจ้า คุณค่าของคำว่า “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” นี้ มันมีค่าเท่าไร? ประโยคสุดท้ายที่บันทึกเมื่อตะกี้บอกว่า … “แม้แต่เหล่าทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย” แม้แต่ทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์เห็นอะไรต่างๆ ในโลกวิญญาณหมดเลย เห็นการงานของพระเจ้า เห็นวิธีการของพระเจ้า วางแผนไว้ สำหรับจะช่วยเหลือมนุษย์ รู้แผนการนี้ แต่ไม่รู้หมดว่ามันเป็นอย่างไร? รู้ระแคะระคาย พูดง่ายๆ เพราะมองไปในโลกวิญญาณเห็นมากกว่า ชัดกว่า ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ อยากจะเข้าใจว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก รักขนาดนั้นเลยเหรอ

ปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ก็คือความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่มากล้นของพระเจ้า  ที่มีต่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เกินกว่ามนุษย์จะคิดถึง และเกินกว่าทูตสวรรค์จะคิดถึง ถ้ามันเกินกว่ามนุษย์จะคิดถึง อย่างเราไม่ค่อยได้รู้เรื่องโลกวิญญาณมากมายเท่าไร? คือมนุษย์ทั้งหลายนะ  ก็ยังเกินกว่าความคิดของเรา แต่ทูตสวรรค์มองในโลกวิญญาณเห็น พระเจ้าทำการงานต่างๆ เห็นว่ามนุษย์บาปอยู่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ยังเกินความคิดของทูตสวรรค์เลยว่าพระเจ้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“ขนาดนี้” คืออะไร? คือยอมลงมาเองเลยเหรอ  พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์  คือพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์เองเลยเหรอ มาทำเองเลยเหรอ ทำถึงขนาดนี้ รักเขามากถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ?  นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

พระเจ้าบอกล่วงหน้ามาตลอด  อย่างที่บอกตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงยุคสมัยปัจจุบันก็ยังบอกอยู่  บอกมาตั้งแต่ยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม ยุคพันธสัญญาเดิม  จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์มาทำพันธสัญญาใหม่ ก็ประกาศเรื่องนี้ ข่าวดีนี้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน นี่คือประกาศมาจนถึงทุกวันนี้

ในอดีต คือประกาศว่ากำลังจะทำ ตลอดมาเลย ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ในปฐมกาล กำลังจะช่วยให้รอด  กำลังจะมา กำลังจะสถิตอยู่ด้วย จะมาเป็นอิมมานูเอล พระเจ้าอยู่ในเธอเลย จะให้ใจใหม่ จะให้วิญญาณใหม่ ประกาศมาตลอด พอพระเยซูมา ทำสำเร็จแล้ว พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อัครสาวกและผู้เชื่อก็ประกาศต่อไปว่าข่าวดีที่ในอดีตนั้น สำเร็จแล้ว  มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น มันจึงมี 2 อัน คือพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่  ถูกไหมครับ?

มีอันเดิม ก็คือยังไม่เสร็จ กำลังจะทำให้เสร็จ

อันใหม่ คือเสร็จแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ บอกว่า “สำเร็จแล้ว”

เพราะฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ในการที่พระเจ้าจะติดต่อกับมนุษย์ หรือมนุษย์จะติดต่อกับพระเจ้านั้น มันเป็นลักษณะนั้น คร่าวๆ จะชี้ให้ท่านเห็นนิดหนึ่ง จะได้ชัดๆ

พันธสัญญาเดิม –  เนื่องจากมนุษย์เป็นคนบาป ตายในความบาป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าจึงติดต่อกับมนุษย์ โดยวิธีการเลือกบางคนเป็นพิเศษ (ไม่ใช่ทุกคน) คือเลือกบางคนที่พระองค์จะทรงใช้งาน  อย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด โมเสส ไม่ได้เลือกทุกคนนะ  ที่จะมาเป็นผู้รับใช้ … รับใช้พระองค์ เป็นตัวแทน เป็นทูตของพระองค์ ติดต่อกับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  แล้วแต่พระองค์จะทำอะไร?  ในการที่มนุษย์จะได้สามารถรู้จัก ติดต่อพระเจ้าได้บ้าง โดยทั่วๆ ไป มนุษย์ที่ไม่พิเศษนะ ต้องติดต่อกับพระเจ้าผ่านทางตัวแทน และผ่านทางการทรงสถิตของพระองค์  ที่อยู่ในวิหารที่ทำด้วยมือ  ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน ที่ทำด้วยมือ  อยู่ในวิหาร เริ่มต้นจากเต็นท์ เป็นการแสดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น และการสถิตของพระเจ้า เป็นการสถิตที่มนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้  ในลักษณะของผ่านทางคนพิเศษ ที่เรียกว่าปุโรหิต หรือผู้เผยพระวจนะ  และปุโรหิตหรือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าใช้ เป็นทูตเหล่านั้น พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่นอกตัวเขานะ สถิตอยู่บนตัวเขา  เพื่อจะใช้งานเขา ขณะนั้น นี่คือพันธสัญญาเดิม  ยังทำไม่เสร็จ

พันธสัญญาใหม่ – ที่พระเยซูคริสต์มาทำให้สำเร็จตามที่พระองค์ทรงเผยพระวจนะไว้ในพันธสัญญาเดิม ก็คือวิญญาณของมนุษย์ ที่ตายอยู่นั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ และชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่อยู่ในความชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์  ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ ที่ตายอยู่ สกปรก ตอนนี้ชอบธรรม ไม่บาป สะอาด บริสุทธิ์  เพราะฉะนั้น พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในจิตใจ ร่างกายของมนุษย์นั่นแหละ และพระเจ้าเลือกที่จะมาสถิตอยู่ด้วยในทุกคน ไม่ได้เลือกพิเศษแล้ว พระเจ้าเลือกทุกคน มาสถิตอยู่ในทุกคน ทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าหมดเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ยอห์น 3:16 บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกหรือรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ ได้รับชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์ นั่นคือพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง มนุษย์ทุกคน

ในสมัยพันธสัญญาเดิม แค่ได้รับรู้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขาด้วย  นี่พันธสัญญาเดิมนะ มาสถิตอยู่ข้างๆ เขา อยู่ข้างนอกเขา เห็นสัญลักษณ์วิหารที่สร้างด้วยมือว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในอภิสุทธิสถาน ในวิหารนั้น ได้รับรู้แค่นั้น ชาวอิสราเอลสมัยนั้น  ก็ได้รับกำลังมหาศาล  พระคัมภีร์เดิม พลังนี้มาจากพระเจ้าที่อยู่ภายนอก  แม้อยู่ภายนอกนั้น พระเจ้าก็มีสิทธิ์ ที่จะต้องจากไป ละไป  ออกไปจากประชากรของพระเจ้า  ถ้าเผื่อเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่ากบฏ พูดง่ายๆ พระเจ้าก็ไปๆ มาๆ  ขนาดนั้น คนสมัยนั้น เขายังมีความเชื่อ มีพลัง มีกำลังมาหาศาลที่พระเจ้าทรงประทานให้ ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา มนุษย์ก็ได้รับกำลังมหาศาลอย่างนี้แหละ

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม  ในขณะที่พระเจ้ามาๆ ไปๆ ตอนพระเจ้ามาอยู่อิสราเอลก็เข้มแข็ง เต็มไปด้วยชัยชนะ มีฤทธิ์เดชอำนาจ สามารถจัดการศัตรูได้  มีความกล้าหาญ พอทำอะไรไม่ถูกต้องพระเจ้าจำเป็นต้องไป เพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่เชื่อฟัง เกิดอะไรขึ้น ความกล้าหาญของเขาหมด รบก็แพ้  เพราะพระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย อยู่ด้วย ก็อย่างที่บอกนะ อยู่ด้านนอก

ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด สามารถฆ่าสิงโตด้วยมือเปล่า เพราะกษัตริย์ดาวิดเก่ง มีความเชี่ยวชาญในการเลี้ยงแกะ สามารถจัดการกับสิงสาราสัตว์ด้วยมือเปล่าได้? ไม่ใช่  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย (อยู่บน อยู่ข้างนอก อยู่ข้างๆ)  หรือกษัตริย์ดาวิดชนะโกไลแอทด้วยก้อนหินเพียงก้อนเดียว ด้วยกำลังหรือ? ไม่ใช่  โดยพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย กษัตริย์ดาวิดไปเจอ บอกว่า …

“เรามาในนามของพระเจ้า เรามาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”

ก็เพราะกษัตริย์ดาวิดมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ตอนรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็มีพลังมหาศาล ทำอะไรก็ได้ ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนที่พระเจ้าไม่อยู่พลังก็หายไป มีแต่ความกลัว อ่อนแอ เพราะตอนที่มีกำลังนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ แต่พอพระเจ้าไม่อยู่ เป็นตัวของตัวเอง มันไม่มีอะไรเลย สู้ไม่ได้ ไม่มีความกล้าหาญ ไม่มีพลัง

ดาวิดเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ว่าระหว่างพระเจ้าอยู่กับพระเจ้าไม่อยู่ แตกต่างกันมหาศาลอย่างไร? ผมจะยกตัวอย่างในหนังสือสดุดี ที่กษัตริย์ดาวิดพร่ำพรรณนาถึงเวลาพระเจ้าจากไป …

“อะไรก็ได้พระเจ้า ขออย่างเดียว คืออย่าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จากลูกไปเลย อยู่เหมือนเดิมเถอะ จะทำโทษ ทำอะไรก็ตาม ขอให้อยู่เถิด”

แต่อยู่ไม่ได้ เพราะกษัตริย์ดาวิดทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เหมือนกษัตริย์ซาอูลเช่นเดียวกัน  ในหนังสือสดุดี 51:11 กษัตริย์ดาวิดร้องทูล อ้อนวอนพระเจ้าว่า …

สดุดี 51:11 “ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปจากเบื้องพระพักตร์ หรืออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ไปจากข้าพระองค์”

 

“ขออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ไปจากข้าพระองค์” พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย อย่าไปเลย แสดงว่าไปหรือยัง? ไปแล้ว

นี่คือพันธสัญญาเดิม พระเจ้าเลือกกษัตริย์ดาวิดพิเศษ ไม่ได้เลือกคนอื่น ทุกคนไม่ได้เป็นเหมือนกษัตริย์ดาวิด เลือกมารับใช้พระองค์ ทำการงานให้พระองค์ ก็ต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่บนกษัตริย์ดาวิด เรียกว่าได้รับการเจิมตั้ง สัญลักษณ์ คือน้ำมัน … น้ำมันเล็งให้เห็นถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ … พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับกษัตริย์ดาวิด อยู่บนกษัตริย์ดาวิด อยู่ข้างๆ กษัตริย์ดาวิด … กษัตริย์ดาวิดเหมือนเป็นเพื่อนกับพระเจ้า  เดินข้างๆ กัน แต่พอกษัตริย์ดาวิดดื้อ ไม่เป็นไปตามกฎของวิญญาณ พระเจ้าอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่เชื่อฟัง พระเจ้าจำเป็นต้องออกไป ละจากกษัตริย์ดาวิด กษัตริย์ดาวิดมีความรู้สึกเหมือนเพื่อนหายไปอย่างนี้  แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคัมภีร์ใหม่

สำหรับพระคัมภีร์ใหม่ ตรงกันข้ามเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราเลย ไม่ไปไหนเลย และไม่ได้เป็นเพื่อนเราแล้ว ไม่ใช่เจ้านาย ในสมัยอดีต พระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่กับคนไหน? คนนั้นเขาจะเรียกพระเจ้าว่า “จอมเจ้านาย” เหมือนกษัตริย์ซาอูลเรียกเจ้านาย ถ้าสนิทมากๆ พิเศษเหมือนกษัตริย์ดาวิดหรือโมเสส เขาจะเรียกพระเจ้าว่า “เพื่อน หรือสหาย” พระเจ้าเรียกเขาว่าสหาย แต่ถ้าเป็นซาอูล พระเจ้าเรียกว่าผู้รับใช้ ซาอูลเรียกพระเจ้าว่าจอมเจ้านาย แต่คริสเตียน เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในเลย พระเจ้าเรียกเราว่า “ลูก”  พระเยซูเรียกเราว่า “พี่น้อง” ก็คือเป็นลูก เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเยซู สมมติว่าพระเยซูพูดผ่านท่าน  พี่น้อง ไม่ใช่เพื่อนแล้ว  และยังยกตัวอย่างเล็งให้เห็นถึงความสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็คือเราเป็นเจ้าสาว  พระคริสต์เป็นเจ้าบ่าว สนิทกันขนาดไหน?

กลับมาที่พระคัมภีร์เดิม … พระคัมภีร์เดิม คือพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแบบชั่วคราว บางครั้งมา บางครั้งไป ซึ่งมนุษย์รู้ดีว่าถ้าพระเจ้าไม่อยู่ด้วย ชีวิตจะลำบาก  ไม่มีสันติสุข ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว  ไม่มีความหวัง ไม่มีพลัง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนในสมัยนั้น ที่ติดต่อกับพระเจ้า รู้จักพระเจ้าบ้าง ต่างรอคอยวันที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วยตลอดไป ที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า …

“จะมาอยู่ด้วย  จะเอาความบาปของเจ้าออกไป จะเอาความสกปรกโสโครกออกไป และเราจะมาอยู่ด้วย”

มนุษย์ทั้งหลายจึงต่างรอคอยวันนั้น วันที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วย ก็คือวันแห่งพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ และพอมาถึงวันนั้นจริงๆ คือมาถึงพันธสัญญาใหม่ในยุคของพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้ว พระเจ้าก็เข้ามาอยู่ในมนุษย์แล้วจริงๆ  เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องมีการอ้อนวอนเหมือนกับกษัตริย์ดาวิดอีกแล้ว  ไม่ต้องมาอ้อนวอนว่า …

“พระองค์อย่าไปเลย”

ไม่ไปแล้ว อยู่ที่นี่เลย แล้วมนุษย์ไม่ต้องติดต่อกับพระเจ้าผ่านทางคนอื่นแล้ว  ไม่ต้องผ่านทางศิษยาภิบาล ไม่ต้องผ่านทางอาจารย์ ไม่ต้องผ่านทางอัครทูต ไม่ต้องผ่านใครทั้งสิ้นเลย เพราะพระเจ้ามาสถิตอยู่ข้างใน ทุกคนรู้จักติดต่อกับพระองค์ได้ในวิญญาณเลย นี่คือพันธสัญญาใหม่  ไม่ต้องมีตัวแทนอีกแล้ว ทุกคนได้เป็นผู้รับใช้หมดเลย ทุกคนเหมือนกษัตริย์ดาวิด ทุกคนเหมือนโมเสส ทุกคนเหมือนเอลียาห์ ทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าหมดเลย คือพระองค์มาสถิตอยู่ และจะใช้ท่านนั่นแหละ คือนำพาท่าน ทุกคนสามารถที่จะติดต่อกับพระเจ้าด้วยตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งใครเลย โดยผ่านทางพันธสัญญาใหม่ ผ่านทางสิ่งที่ลี้ลับตรงนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และนี่คือความหมายในข้อ 26 ที่ตะกี้นี้บอกว่า …

“พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้”

ข้อล้ำลึกนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การที่พระเจ้าจะเข้ามาอยู่กับเราในร่างกายเรา เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว นี่แหละ คือความล้ำลึก นี่คือพลังมหาศาล  คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ อันล้ำลึกที่ทูตสวรรค์ และมวลมนุษย์ทั้งหลายอยากรู้ แต่ปิดซ่อนไว้  ไม่รู้ชัด แต่รู้ว่าจะทำอย่างไร? ถึงขนาดนั้นหรือ? เกิดขึ้นกับใครนะ? พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ด้วยเกิดขึ้นในยุคไหน? แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว  ข้อล้ำลึก คือการบังเกิดใหม่ ได้สำแดงเกิดขึ้นในผู้เชื่อ ในยุคปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว ใครเชื่อในพระเยซูคริสต์ก็เข้าไปสู่ข้อล้ำลึกนี้ ก็คือเข้าไปสู่ขบวนการ การบังเกิดใหม่นั่นเอง ใครที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็เข้าไปสู่อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ พลังกำลังที่ลี้ลับ ล้ำลึกอันนี้  ที่มนุษย์อดีตนั้นอยากจะรู้ บัดนี้เปิดเผยแล้ว คือใครเชื่อพระเยซูคริสต์ก็ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ การเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย

มาถึงข้อที่ 27 “พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่ง ยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั่นคืออะไร?”

พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขา “พวกเขา” ก็คือพวกผู้คนทั้งหลายที่ไม่ใช่ชาวยิว สมัยก่อนพวกเขาคิดว่าตัวเอง ห่างจากพระเจ้ามาก แค่ดูชาวยิว ก็รู้แล้วว่าชาวยิวนั้น เขาบริสุทธิ์ อยู่ใกล้พระเจ้ามาก เราอยู่ห่างมาก  โอกาสไม่มีเลย แต่พระเจ้าอยากให้เขา (พวกต่างชาติ) รู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริ ก็คือการบังเกิดใหม่ การเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับการชำระ จนสะอาดบริสุทธิ์ เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เตรียมไว้ให้กับคนทั้งโลกที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย และ ความล้ำลึก ความยิ่งใหญ่นี้ ขบวนการการบังเกิดใหม่นี้คืออะไร? วลีสั้นๆ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ซึ่งความหมายเดิมๆ ตรงนี้ คือเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ คือเป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ

เกียรติสิริ คือขบวนการการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พูดเหมือนวลีสั้นๆ ที่เริ่มต้นบรรยาย ที่ผมบอก Tik Tok ที่ต้องการสั้นๆ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ที่ “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ (เหมือนพระเจ้า)” เดินไปไหนมาไหนสมัยนั้น สมัยที่เชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูคริสต์ คริสเตียนในยุคเริ่มต้น  เขาจำตรงนี้ได้หมด …

“มีความหวังอยู่ที่พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับพระเกียรติสิริเหมือนพระองค์” ชัดเจนเลย

เป็นสัญญาณ หรือเป็นเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ทรงบอกล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และมาสำเร็จในยุคพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ไม่ใช่สำหรับยิวอย่างเดียว  แต่สำหรับคนทั้งโลก ให้ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเรียกว่าแผนการอันลี้ลับ อันล้ำลึกของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือพระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

เพราะฉะนั้น พระประสงค์ของแผนการของพระเจ้าตรงนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนสร้างโลก ก็คือ …

“เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป สู่ความตาย ความพินาศแล้ว เราจะเข้าไปช่วยเหลือเขาให้รอด (ชัดเจนเลย) คือเราต้องการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศ และความตาย โดยการจัดเตรียมให้พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เพื่อว่าการบังเกิดใหม่ จะได้เกิดขึ้น ในมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย เพื่อเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว พระคริสต์จะได้สถิตอยู่ในเขาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระคริสต์ ซึ่งเป็นแผนการสำหรับมนุษย์แล้ว เหลือเชื่อเลย เหลือเชื่อว่าเป็นไปได้ สำหรับทูตสวรรค์ได้เห็นแล้ว เชื่อแล้ว แต่เกินกว่าที่จะเข้าใจว่ามนุษย์เป็นใครหนอที่พระองค์ทรงรักเขาอย่างนั้น  ไปเยี่ยมเยือนเขาอยู่บ่อยๆ  โรม 8:18-19 …

โรม 8:18-19  “18 และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ”

 

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น” หมายถึงการที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า ร่างกายเดิมที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ร่างกายที่เจ็บปวด เจ็บป่วย อ่อนแอ เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวโน่น เดี๋ยวนี่ และกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อมโทรมและสู่ความตายในที่สุด หมายถึงตรงนี้ ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริที่สำแดงในเรา มันไม่สามารถเปรียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ คือร่างกายใหม่ ที่เมื่อถึงเวลา ที่ร่างกายเดิมนี้  หมดสิ้น สูญสิ้น คือตาย วิญญาณออกจากร่าง จะได้ไปสวมร่างกายที่เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ เป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  ย้อนกลับมาที่โคโลสี 1:27 พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

ผมจะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในสมัยก่อนนั้น พอพูดตรงนี้ผู้เชื่อ คริสเตียนจะได้เข้าใจเลยว่าตรงนี้หมายถึงอะไร? “พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” เป็นความหวังที่จะได้ร่วมสง่าราศี ร่วมพระเกียรติ  ร่วมพระสิริ ร่วมความยิ่งใหญ่ ร่วมครองสรรพสิ่งทั้งหลายของพระเจ้าพระบิดา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แต่ร่างกายยังขวางอยู่ รอให้ร่างกายนี้หมดสิ้นไป เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สง่าราศีทั้งหมด ก็จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วก็จะได้ครอบครอง สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าบอกไว้ว่าได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์นั้น เราก็จะได้รับด้วย เรียกว่ามรดกนิรันดร์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และเราก็จะได้อาศัยอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ๆ ทุกอย่างที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น ธรรมชาติใหม่ๆ ทุกอย่างเลย ที่ไม่มีความบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสูญเสียอีกต่อไป และเราจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองร่วมกับพระองค์นิรันดร์

นี่แหละ คือความหวัง ที่ตะกี้บอกว่าตอนนี้เราได้รับมัดจำไปเรียบร้อย คือใครก็ตามที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในเขาแล้ว เขาก็จะมีความหวัง  ที่จะร่วมรับพระสิริ พระเกียรติ สง่าราศี ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อธิบายลำบาก

ถ้ายกตัวอย่าง ปัจจุบันต้องคิดถึงทุเรียน พอบอกความหวัง ทุกคน ก็เออๆ เดี๋ยวเกิดหวังแล้วไม่ได้ แล้วทำยังไง เหมือนกับมีคนส่งทุเรียนมาให้เราลูกหนึ่ง พอเราได้ทุเรียนมาอยู่ในมือเราแล้วนะ วางอยู่บนโต๊ะ  ฉีกดูเนื้อแล้ว โอโห้ สวยมาก แต่ปรากฏว่ายังแข็งอยู่  คนที่เอามาให้เขาบอกว่ารออีกสักวัน สองวัน แล้วถึงจะแกะกินได้ ถึงจะอร่อยมาก เราก็บอกคนข้างๆ หรือบอกใครก็ได้ว่าเรามีความหวัง ที่จะกินทุเรียนนี้ แล้วความหวังที่เราจะกินทุเรียนนี้ ทุเรียนมันมีอยู่ต่อหน้าหรือยัง มีอยู่แล้ว เพียงแต่รอแป๊บเดียว เดี๋ยวได้กินแน่นอน นี่มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ

พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่แล้วหรือยัง?  แน่ใจ  เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่แล้ว เป็นความหวังที่จะได้รับพระเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้หรือยัง?  อันนี้ยังต้องรอ

อย่างที่ตะกี้นี้บอก เอาใหม่ ทุเรียนมีอยู่หรือยังบนโต๊ะ ให้มาหรือยัง?  เรียบร้อยหมดหรือยัง? มีกลิ่นหรือยัง? มีกลิ่นนิดหนึ่ง  แต่ยังกินไม่ได้ มันยังแข็งอยู่ รออีกแป๊บเดียวใช่ไหม? หวังว่าจะกินไหม? หวัง แล้วได้กินหรือยัง? ยัง แต่มีอยู่แล้ว  มีโอกาสไม่ได้กินไหม? ไม่มี เพราะมันมีอยู่แล้ว เหมือนกันเลย

“พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน” คือไม่มีทางแล้ว ที่ฉันจะสูญเสียความรอดนี้ไปอีกเลย ไม่มีทางเลย  และฉันหวังว่าเมื่อตายจากร่างกายนี้ ฉันจะไปรับร่างกายใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี ความยิ่งใหญ่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่วมครองร่วมกับพระองค์ เป็นมรดกที่พระเจ้าสัญญาไว้ คำสัญญานี้ท่านต้องไม่แน่ใจไหม? ความหวังนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือ? เปล่าเลย เป็นความหวังที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เพราะมันวางอยู่ต่อหน้าแล้ว ในใจของฉัน ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์

ต้องยกตัวอย่างทุเรียนเลยนะ ถึงจะได้ คราวนี้ใครมาบอกว่าคริสเตียนมีความหวัง รู้แล้วนะความหวัง คืออะไร?  ความหวังในพระคัมภีร์เดิม คือความหวังว่าพระเจ้าจะทำสิ่งนี้ให้ แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูคริสต์ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความหวังในคริสเตียน คือความหวังที่สำเร็จแล้ว แต่รออีกนิดหนึ่ง โคโลสี 2:6 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:6 “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระองค์ต่อไป”

 

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อท่านบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ในพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ก็จงมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ โดยการรับรู้ว่าวิญญาณข้างในเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดินไป ก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์เดินอยู่ด้วย ทำอะไรก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน และจะไม่ไปไหนอีกเลย นี่คือหมายถึงอย่างนั้น

พระเจ้าจึงได้ย้ำยืนยันในเรื่องนี้เยอะแยะมากมายในพระคัมภีร์เดิม และย้ำซ้ำว่าสำเร็จแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 13:5 ได้บอกไว้ …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่พระเจ้าสัญญาว่าจะอยู่กับเราด้วยตลอด”

 

ไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง จะดูแลเอาใจใส่ ประคับประคองใช่ไหม? ให้จงพอใจ “พอใจ” คือมีความสุข ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ทุกข์ยากลำบากต่างๆ  แต่ในใจเราสามารถมีความสุขได้ เพราะว่าทุเรียนวางอยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน พอใจแล้ว ฉันได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บหนึ่ง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ที่จะอดทนรอ รอคอยที่จะได้รับพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง ชัดเจนเลย

สรุป พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ก็คือเพราะว่าสาเหตุเกิดจากมนุษย์ตาย ในวิญญาณตายอยู่ พระเจ้าวางแผนมาชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อว่าเมื่อเป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้บริสุทธิ์  สะอาดเหมือนกับพระองค์ เมื่อบริสุทธิ์สะอาด พระองค์ทรงชำระร่างกายเรา จิตวิญญาณเราจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้วปุ๊บ ให้เหมือนกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็เลยย้ายข้าวของมาอยู่กับเรา ในวิญญาณ  เพื่อมาดูแลประคบประหงมวิญญาณที่เกิดใหม่ ด้วยความรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ ดูแล นำพาไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล จนกระทั่งเราได้รับสิริ เกียรติ สง่าราศี ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในร่างกายใหม่ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างเดิมนี้แล้ว ก็คือเราตายลง ดังนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยการตระหนัก และระลึกอยู่เสมอว่า …

“พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

–  พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้

–  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่กลัว

–  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดใดเลย

– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจได้อยู่เสมอเหมือนกับเพลงที่เราร้อง ….

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน  ในใจของฉัน ในใจของฉัน

ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน ในใจของฉันวันนี้” ในใจของฉันมีความสุขได้เสมอ

และสำหรับท่านที่ไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในตัวของท่าน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด พวกเราที่นั่งอยู่ในที่นี้ ส่วนใหญ่ก็ใช้สิทธิ์ของเราแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่ในท่านแล้ว แต่ยังมีอีกหลายท่าน ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขา  เขาก็มีสิทธิ์ที่จะให้พระคริสต์สถิตอยู่ในเขาได้เช่นเดียวกัน

ท่านต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป แล้วท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เห็นไหม? พอต้อนรับพระคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่  ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระคริสต์ก็จะอยู่ในท่าน พูดง่ายๆ ว่าท่านจะอยู่ในพระคริสต์ก่อน แล้วพระคริสต์ถึงจะอยู่ในท่าน

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ก็จะอยู่ในฉัน”

ก็เพราะว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์จึงสามารถอยู่ในฉันได้  เพราะฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันจึงบริสุทธิ์ สะอาด พระคริสต์จึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้นั่นเอง

สมัยพระคัมภีร์เดิม ขนาดพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายนอก ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายนอก เขาเหล่านั้น ในอดีต ยังมีความกล้าหาญ ทำการอัศจรรย์ใหญ่โต ไม่เกรงกลัวความตายเลย  อย่างที่เราได้ยกตัวอย่างมาเมื่อตอนต้น  แล้วเราที่พระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ดีกว่าตั้งเยอะเลย เพราะว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ไม่มีการจากเราไปไหนอีกเลย อยู่กับเราตลอด เราควรจะมีความกล้าหาญ ทำการอัศจรรย์ใหญ่หลวงมากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ท่านลองคิดดู

นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูบอกสาวกว่าแล้วท่านทั้งหลายจะทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเห็นเราทำอีก

เพราะฉะนั้น ให้เราเผชิญกับทุกสถานการณ์ ด้วยพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา รับรู้อยู่เสมอว่าพระองค์อยู่ฝ่ายเรา และไม่เคยทอดทิ้งเราเลย อย่าไปเรียนรู้เยอะมากมาย จนกระทั่งในที่สุด ไม่แน่ใจว่าพระคริสต์อยู่ในเราหรือเปล่า? ไม่แน่ใจว่าป่านนี้พระองค์ยังอยู่ไหม?  เราไม่ค่อยได้อธิษฐาน ป่านนี้ยังอยู่ไหม? อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ เพราะพระองค์บอกแล้วว่าอยู่ ก็คืออยู่ พระองค์อยู่ฝ่ายเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา แม้ว่าหลายครั้งเราจะล้มลงในความบาป ไม่ซื่อตรงต่อพระองค์สักกี่ครั้งก็ตาม  พระองค์ก็ยังคงซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม  และทรงอภัยให้เราเสมอ อภัยให้ก่อนหน้าที่เราจะทำด้วยซ้ำไป เพราะพระคริสต์ได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน เพียงครั้งเดียวพอ ครั้งเดียวก็ครอบคลุมทุกอย่าง ความผิดบาปที่เราจะทำในอนาคตด้วย

และในพระคริสต์นี้ พระองค์จะทรงนำพาเราต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  จนกระทั่งถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์เจ้า วันที่เราจะได้เข้าไปรับตามที่เราหวังไว้ คือหวังว่าจะได้รับเกียรติและสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือหลังความตายนั่นเอง  ฉะนั้น เราจะสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  เหมือนกับที่กษัตริย์ดาวิดเผชิญกับโกไลแอท ในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  กษัตริย์ดาวิดบอก …

“เรามาในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” … สู้กับโกไลแอท

เราทั้งหลายก็มาในนามของพระคริสต์เหมือนกัน ส่วนเราผู้อยู่ในพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ จะเผชิญกับโกไลแอท ยักษ์ใหญ่ฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ต่างๆ นานา วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเสียหาย มันวิปริตไปแล้ว  เพราะความบาปและคำสาปแช่งมันลงมาตั้งแต่อาดัมและเอวา ไปนำเอาคำสาปแช่งนี้ลงมานั่นแหละ ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น เราจะเผชิญกับโกไลแอท ยักษ์ฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้  ในนามของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในนามของพระคริสต์  ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา  เราจะเผชิญกับไม่ว่าอะไรก็ตามบนโลกใบนี้  ในนามของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา

พอพูดถึงพระคริสต์ปุ๊บ นึกถึง 3 พระภาค พอพูดถึงในนามของพระคริสต์ ก็คือในนามของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ สั้นๆ ก็คือเราเผชิญกับทุกสิ่งในนามของพระคริสต์  ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา

สมัยก่อนกษัตริย์ดาวิดเผชิญกับโกไลแอท หรือสิ่งที่ท้าทายมาก ในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่อยู่ข้างนอก ที่อยู่ข้างๆ เขา แต่เรากำลังบอกว่าเราเผชิญกับการท้าทายบนโลกใบนี้ โดยพระคริสต์ 3 พระภาคเลย ที่อยู่ในเรา เผชิญยักษ์ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ โกไลแอทคืออะไร?  ตัวใหญ่ที่สุด ก็คือความตาย  มนุษย์กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะถูกกำหนดให้ตาย เพราะคำสาปแช่งลงมาบนมนุษย์แล้ว มนุษย์ต้องตาย กลัวตาย แล้วถูกพิพากษา แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราพ้นจากการพิพากษาลงโทษแล้ว เพราะฉะนั้น เราเผชิญกับโกไลแอท คือความตาย โดยพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เราจึงไม่กลัวตาย เพราะความตาย คือประตู ชัยชนะ ที่เราจะเข้าไปร่วมรับพระเกียรติและพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ในร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง และครอบครองมรดกนิรันดร์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ความตายจึงกลายเป็นประตูแห่งชัยชนะของเรา เห็นไหม? เราเข้าไปเผชิญกับความตาย  ในนามของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในฉัน

พอพูดถึงความตายชนะอย่างนี้แล้ว  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นแล้วนะ  พูดถึงโควิดสักหน่อยไหม? เราจะเผชิญกับโควิดด้วยท่าทีว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ เราเผชิญกับโควิด ไม่ใช่ว่าเผชิญกับโควิดอย่างนี้นะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน คือความหวังว่าจะไม่ติดโควิด  ไม่ใช่นะ ความหวังยังคงเดิม อย่าไปเปลี่ยน คนเรียนเยอะๆ แล้วชอบไปเปลี่ยนว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เพราะฉะนั้น เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับรถใหม่ อันนี้ไม่ใช่นะ  ของทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา “พันธสัญญา” คือความหวังแห่งพระสิริ ความหวังที่จะได้รับพระเกียรติสิริ เมื่อวันที่จากโลกนี้ไป  ต้องจำตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถเผชิญกับโควิด หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาได้ เพราะเรารู้ว่าทนอีกแป๊บเดียวเท่านั้น เพราะเราหวังในการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า เมื่อวันที่เราออกจากร่างนี้ นั่นเอง ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของ พระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 3

 

เปาโลได้บอกให้คริสตจักรของพระเจ้า เห็นว่าในไร่นาแปลงหนึ่ง หรือการสร้างบ้านหลังหนึ่ง   มีองค์ประกอบ  คือผู้ทำงานกับเจ้าของงาน  และทั้งคนงานและเจ้าของงาน  มีหน้าที่ดูแลไร่นา  สวน  หรือบ้านเรือนให้เสร็จสมบูรณ์ดี  ตามเป้าหมายที่เจ้าของกำหนดไว้

 

คนงาน  ไม่ว่าจะเป็นผู้รดน้ำ  ผู้ปลูก  ผู้พรวนดิน  หรือผู้วางราก  ผู้ก่อ  ผู้ฉาบ  ผู้ทาสี  ผู้มุงหลังคา  เป็นคนงานเหมือนกัน  เพียงแต่หน้าที่ต่างกัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร   และจัดเป็นพวกเดียวกันเท่ากัน  คือเป็นคนงานของเจ้าของไร่นา  หรือเจ้าของบ้านนั้นๆ

1 โครินธ์ 3:8 TH1971 “คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน   แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้”

 

หลังจากทำงาน  เป็นธรรมดามากที่คนทำงานจะได้ค่าจ้าง  ในพระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “บำเหน็จ”

 

ดังนั้น  จึงมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าบำเหน็จหรือค่าจ้างนี้  จะได้หลังจากความตาย  หรือได้ในโลกหน้า

 

ตามบริบทนี้  ค่าจ้างและบำเหน็จนั้น  ผู้ทำงานจะได้ในโลกนี้ และค่าจ้างและบำเหน็จตามที่กล่าวมานี้  ก็ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทองของมีค่าในโลกนี้  แต่มีค่ามากกว่านั้น  ซึ่งเงินทองซื้อหามาไม่ได้   และผู้ทำงาน  … “จะได้รับตามการที่ตนได้กระทำไว้” … ในฐานะคนงานที่ทำงาน   ท่านทำงานของพระเจ้าแบบไหน?

  1. ตามแบบแปลน แบบแผนที่พระเจ้า เจ้าของสวน   เจ้าของบ้านได้วางไว้หรือกำหนดไว้ให้  คือบนรากฐานของพระเยซูคริสต์  ทำด้วยแรงจูงใจของความรักที่เหมือนพระเจ้าในวิญญาณ หรือ …
  2. ตามแบบแปลน แบบแผนที่ออกแบบเองและคิดเอง  เพราะคิดว่าดี  เพิ่มเติมเข้ามาเกินกว่าแบบแปลนเดิมที่พระเจ้ากำหนดไว้  คือบนรากฐานของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น   ทำด้วยแรงจูงใจของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง    ความกลัว  และอยากได้รางวัล  ตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นๆ เมื่อตอนที่จากโลกนี้ไปแล้ว

 

บำเหน็จหรือค่าจ้าง (ผลลัพธ์) แบบที่ 1 …

ได้รับความยินดี  ชูใจอย่างเต็มล้นที่ได้เห็นผู้เชื่อในพระกายของพระคริสต์  เติบโตเข้มแข็งขึ้นในพระคริสต์   สามารถอดทนต่อความทุกข์ยาก  ด้วยความเข้าใจและยังยินดีในพระเจ้า  แล้วยังเกิดผลในพระคริสต์ต่อไปอีก   เป็นบำเหน็จที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สิ่งของเงินทองซื้อหาไม่ได้

 

บำเหน็จหรือค่าจ้าง (ผลลัพธ์) แบบที่ 2  …

ได้รับความทุกข์ใจ   อย่างอธิบายลำบากที่เห็นพระกายของพระคริสต์  เกิดความสับสน  ไม่มีความชัดเจนในทุกด้าน  คริสตจักรไม่เติบโต  ดูเหมือนเกิดผลมาก   แต่อ่อนแอ   ถูกโจมตีและถูกทำลายให้แตกแยกได้ง่าย

ผลลัพธ์นี้   ทำให้ร่างกายและจิตใจของผู้ทำงาน   อ่อนโรย   สับสน   ท้อใจ  หมดกำลังใจ  ยิ่งพยายามยิ่งพัง  เหนื่อยอ่อน

 

จดจำไว้ให้ดีว่าในฐานะเป็นผู้ทำงานของพระเจ้า    เรากำลังดำเนินงานไปทิศทางไหน  เพราะเรา … “จะได้รับตามการที่ตนได้กระทำไว้” … เราจึงต้องพิจารณางานของตนเสมอ  มีสติ  มองแบบแปลน โดยต้องเป็นแปลนและก่อร่างสร้างต่อขึ้น บนรากฐานในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ไม่พึ่งพาสติปัญญาและรูปแบบของโลกนี้  ด้วยกำลังของตนเอง

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1372

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 14

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:15 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:15 “โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ เช่นนี้แหละ จึงทรงทำให้มีสันติสุข”

 

ในข้อ 14 สัปดาห์ที่แล้ว ที่เราคุยกัน ก็คือพระเจ้าทรงผูกพันเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน 2 พวก พูดถึง 2 พวกปุ๊บ เรานึกให้ชัดเจนเลย พวกแรก คือพวกยิว ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นประชากรของพระเจ้า มีเพียงพวกยิวเท่านั้น ที่จะถูกเรียกว่าประชากรของพระเจ้า ในโลกวัตถุ ส่วนพวกเราผู้เชื่อ เป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ พระเจ้าทรงเลือกสรรกลุ่มคนยิว ให้มาเป็นแบบอย่าง เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป ผ่านทางชนชาติยิว

เอเฟซัส 2:14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง”

 

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ข่าวประเสริฐของพระองค์ ก็จะถูกประกาศออกไปถึงคนต่างชาติ … คนต่างชาติ ก็คือพวกเราที่ไม่ใช่ยิว พวกเราเป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ เป็นผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์ เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์มา พระองค์ก็มายกเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว

ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมายกเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว เหตุผล ก็คือมนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น บทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับชาวยิว เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่พระเจ้าบอกว่าให้บทบัญญัตินี้ เพื่อคนยิวจะได้ประพฤติ ปฏิบัติ แต่มันเป็นเงาของอนาคตข้างหน้า ตอนที่พระเยซูมา พระเยซูก็บอกกับชาวยิวว่าบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ มันดี

บทบัญญัติ ก็คือให้ทำสิ่งที่ดี ละสิ่งที่ชั่ว อะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ พระเยซูมาบอกความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติได้ทุกจุดทุกขีด ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ฉะนั้น มนุษย์จึงจำเป็นต้องมาพึ่งพระเยซูคริสต์ พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่เพียงแต่คนต่างชาติเท่านั้น แม้แต่คนยิวที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้า สามารถรักษากฎบัญญัติได้มากที่สุด เท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ว่าต่อให้มากแค่ไหน ก็ไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้า พอกฎใหม่มา ก็คือพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับมนุษยชาติ เริ่มต้นจากชาวยิวก่อน ที่พระเยซูมาประกาศกับชนชาติยิวว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้วนะ ให้ทุกคน มาทางเรา ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากความผิดบาป สามารถให้มนุษยชาติคืนดีกับพระเจ้า พระบิดาได้ ทางเดียวเท่านั้น คือมาทางพระเยซูคริสต์ แล้วถ้าไม่มาทางพระเยซูคริสต์ จะไปตามทางของตัวเอง ก็คือรักษากฎบัญญัติ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีใครทำสำเร็จได้เลย แม้แต่คนเดียว บนโลกใบนี้ แม้ว่าคนยิวที่ถูกเรียกว่าเป็นประชากรของพระเจ้า ก็ทำไม่ได้ ต่อให้คนยิว สามารถทำได้ 99.99% เหลืออีก 0.01% ก็ยังคงเป็นคนบาป

ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าทำผิดแค่ครั้งเดียว ถือว่าเป็นคนบาป ฉะนั้น คนที่เป็นคนบาป อยู่ในธรรมชาติบาป ต่อให้ทำดีให้ตาย ก็ยังไม่สามารถที่จะสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าได้เลย คืนดีกับพระเจ้าไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องไปตาย แล้วก็เกิดใหม่ ที่พระเยซูบอกว่าท่านจำเป็นจะต้องไปตาย เพื่อที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วมีทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยเราให้ตายในโลกวิญญาณ ก็คือมาทางพระเยซูคริสต์

เมื่อคนหนึ่งคนใด บนโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิว หรือเป็นต่างชาติ เมื่อเปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เราเคยสงสัยไหมทำไมต้องรอให้มนุษย์เปิดใจ ในพระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร นั่นคือบุคลิกลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าให้สิทธิ เสรีภาพกับมนุษย์ ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงให้เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นพระฉายของพระองค์ มีวิญญาณนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับมนุษย์ ถ้าพระเจ้าไม่ให้สิทธิ์ ก็คือบังคับได้นะ พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์จะบังคับมนุษย์ออกซ้าย ออกขวา พระองค์ทำได้หมด แต่พระเจ้าไม่ทำ เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือนลูก เป็นเหมือนพระองค์เลย  ฉะนั้น พระองค์ก็ให้สิทธิ์ในการเลือก พอให้สิทธิ์ในการเลือก พระองค์ก็จะบอกกับมนุษย์ว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้แค่นั้นเอง คือ …

“ของในสวนนี้ เจ้ากินได้หมด ยกเว้นต้นไม้ที่อยู่ตรงกลามสวน ต้นนี้อย่ากิน กินเมื่อไรตาย”

แค่นั้นเอง มนุษย์จำเป็นจะต้องเลือกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า หรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า แล้วเราก็เชื่อว่ามนุษย์คู่แรก อาดัมกับเอวาก็คงเชื่อฟังพระเจ้ามาระยะยาวๆ ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่านานขนาดไหน? เพราะว่า ณ เวลานั้น ไม่มีการนับอายุ ไม่มีการนับวันเวลา เพราะมนุษย์อยู่ในนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย มีชีวิตนิรันดร์ มีคุณภาพชีวิตในวิญญาณเหมือนพระเจ้า ก็คือวิญญาณเขาเป็นชีวิต ชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น ไม่ต้องมีการนับเวลา

พอหลังจากที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกว่าตรงนี้อย่ากิน มนุษย์ไปกินไง ไม่เชื่อฟัง ผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า เพราะมนุษย์ต้องการอยากจะรู้ดี รู้ชั่ว  อยากจะทำดี ละชั่ว ด้วยกำลังของตัวเอง แล้วเราก็รับรู้ความจริงอันหนึ่ง คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่ง “เอเมน” ก็คือตามนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจแบบไหน? พระเจ้าก็บอก “เอเมน” ก็คือตามนั้น

เราอาจจะสงสัย … “อ้าว! ทำไมพระเจ้าเอเมนล่ะ ทำไมพระเจ้าไม่ห้ามมนุษย์คู่แรกว่า ‘เธออย่ากินๆ’”

พี่น้องว่าพระเจ้าห้ามไหม? พระเจ้าห้าม เชื่อสิ ห้ามตลอด พระเจ้าก็จะพูดในวิญญาณของเขาตลอด … “ลูกเอ๋ย อย่าไปกินนะ อย่าถูกหลอกนะ  อันนี้ถ้าเธอกินเมื่อไร? เธอตายเมื่อนั้นนะ” อะไรแบบนี้

แต่ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่มนุษย์หูดับ ฟังเสียงพระเจ้าไม่ได้ยิน ไปเชื่อฟังมาร แล้วก็ตัดสินใจ ด้วยตัวของเขาเองว่าอยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า ประมาณนั้นแหละ อยากจะทำดีได้เหมือนพระเจ้า อยากจะละชั่ว ก็เลยตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเอง เมื่อเลือกทางเดินของตัวเองปุ๊บ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น ทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ แล้วก็บังคับไม่ได้ด้วย เพราะว่าไม่ใช่ลักษณะของพระเจ้า พอพระเจ้าเอเมนตามนั้น ถามว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าไหม? ไม่แน่นอน ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่อยากให้มนุษย์ล้มลงในความบาป แต่เมื่อมนุษย์ตัดสินใจ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น พอเอเมนตามนั้น ในภาษาของมนุษย์ พวกเราก็จะพูดว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เหมือนกับเวลามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา คนก็จะพูดว่า …

“อ้าว! เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่เอาความชั่วร้ายเข้ามาอยู่ในตัวมนุษย์หรือ?”

ไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือก พอมนุษย์เลือกปุ๊บ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น เอเมน แต่ไม่ใช่พระประสงค์แน่นอน

ตรงนี้ ถ้าพี่น้องเข้าใจชัดเจนถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษยชาติ เราก็จะรับรู้ความจริงว่าพระองค์ไม่เคยที่จะประสงค์ให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดพินาศเลย

วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  ทันทีทันใด พระเจ้าหาแผนการ เราพูดตามภาษาของมนุษย์ แต่ว่าความเป็นจริง คือในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์รู้ดีแน่นอนว่าวันหนึ่ง มนุษย์จะต้องกบฏต่อพระเจ้า วันหนึ่งมนุษย์จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ก็วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น การวางแผนการของพระเจ้า ที่พระองค์ทำให้กับมนุษยชาติ ก็คือพระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์เอาไว้ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจารี เพื่อที่จะสามารถเกิดมาเป็นเนื้อหนัง มีเลือด มีเนื้อเหมือนมนุษย์เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนมนุษย์ คือไม่มีธรรมชาติบาปเหมือนมนุษย์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เกิดจากมนุษย์ แต่เกิดจากฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียว บนโลกใบนี้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม

พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะสามารถมาตายแทนมนุษยชาติบนไม้กางเขน สามารถหลั่งพระโลหิตของพระองค์ได้ เพื่อชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ และสามารถตาย และเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อมนุษย์จะได้สามารถเป็นขึ้นมาใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในที่เดิม ที่มนุษย์เคยอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น

ขบวนการทั้งหมด พระเจ้าได้ทำไว้เรียบร้อยไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะมีขบวนการนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิดบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ให้กฎระเบียบ ให้กับคนยิว พอพระเยซูมา ในข้อ 15 ตรงนี้บอกว่าพระเยซูทรงยกเลิกบทบัญญัติ โดยผ่านทางพระกายของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนปุ๊บ กฎบัญญัติที่บังคับมนุษย์อยู่ พระเยซูได้ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ก็คือพระเยซูมาตายแทนมนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว มารับเอาความผิดความบาปของมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เองเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าที่พระเจ้าลงโทษมนุษยชาติ เนื่องจากที่เขาล้มลงในความบาป อยู่ในความพินาศ จะต้องตายนิรันดร์กาล มนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเขาตายจากพระเจ้า ก็คือวิญญาณเขาไม่มีชีวิต เขาตายอยู่ แม้ว่าร่างกายของเขาดูเหมือนมีชีวิต แต่ว่าร่างกายของเขาก็เดินทางไปสู่ความตาย

ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อมนุษย์ผู้นั้น เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ทันทีที่เปิดใจ เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการ การบังเกิดใหม่ หรือเราเรียกว่าขบวนการการบัพติศมาได้เกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น

เรายังไม่รู้สึกอะไรเลย … “ฉันรับเชื่อ ตัวตนฉันก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย อ้าว! ผู้รับใช้บอกว่าเธอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เธอเป็นคนใหม่แล้วนะ วิญญาณเธอได้รับการสร้างใหม่เลยนะ วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตายไปพร้อมกันแล้วนะ วิญญาณที่เธอเป็นอยู่ ณ เวลานี้ เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นวิญญาณชอบธรรม วิญญาณที่มีชีวิต เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ แล้วพวกเราก็เชื่อตามที่ถ้อยคำบอก ฉะนั้น ทำไมพระเจ้าต้องบอกว่าผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็น ถ้าตามองเห็น เราเชื่อไม่ได้หรอก ถ้าเราพยายามที่จะเข้าใจตามที่สายตาเรามองเห็น ยังไงเราก็เชื่อไม่ได้ เพราะบอกว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ยังเหมือนเดิมเลย

“อ้าว! ฉันเป็นคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่เหมือนเดิมเลย แล้วบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?”

แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าทันทีที่เราเชื่อ วิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรม เราเกิดมาเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า อยู่แล้วอยู่เลย อยู่ในครอบครัวเดียวกับพระเจ้าปุ๊บ ต่อแต่นี้ไป พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะรักษาวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามในด้านของร่างกายในโลกใบนี้ ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่ของเราเลย

อันนี้ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นพระคุณที่พระองค์ให้กับมนุษยชาติ ที่เราจำเป็นจะต้องพูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอกว่า …

“ไม่จริงหรอก วิญญาณเธอไม่ได้รอดหรอก เห็นไหม? เธอยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่เลย ทุกวี่ทุกวัน อะไรแบบนี้ เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยความเชื่อเท่านั้น เชื่ออะไร? เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ณ เวลานี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จากเราเคยเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า จากเราเคยอยู่ในความมืดบอด เราเข้ามาอยู่ในความสว่างของพระเจ้า  จากเราเคยเป็นทาสของมารซาตาน หรือทาสของความบาป คำสาปแช่ง มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือเปลี่ยนจากการที่เราเคยอยู่ในพวกของอาดัม อยู่ในพวกของคนบาป อยู่ในกลุ่มคนที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า กลุ่มคนที่ไม่เชื่อฟัง กลุ่มคนที่ดื้อและกบฏกับพระเจ้า นี่พูดถึงเรื่องวิญญาณนะ มาเป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง เป็นวิญญาณที่เป็นความรัก เป็นวิญญาณที่อยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

ทั้งหมดที่พูดมานี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์ถึงบอกเราบ่อยๆ ว่าให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ที่ชั่วร้าย ที่จำเป็นจะต้องสูญสิ้นไป หรือเราอยู่ในร่างกายนี้ ที่จำเป็นจะต้องสูญสิ้นไปเช่นเดียวกัน  ก็คือรอ เดินทางไปสู่ความตาย แต่จิตวิญญาณข้างในเราจะเดินทางไปสู่พระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ฉะนั้น พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ยังคงยืนยันถ้อยคำเดิม บทบัญญัติ ไม่สามารถช่วยมนุษย์ ให้รอดพ้นได้ บทบัญญัติไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้คืนดีกับพระเจ้าได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำตามบทบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ มนุษย์จึงเข้าไปสู่การพิพากษา  อยู่ในความสาปแช่ง ฉะนั้น พระเยซูมาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็คือพระเยซูมารับเอาความผิดบาปของมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ ก็เลยไม่สามารถควบคุมคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ นึกภาพออกไหม? ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ในอาดัม อยู่ในกฎเดิม อยู่ในธรรมชาติเดิม ก็คือเรายังอยู่ภายใต้กฎบัญญัติที่ตั้งไว้ กฎบัญญัตินะ ที่เราจำเป็นจะต้องทำดี ละชั่ว ถ้าทำผิดครั้งเดียว  เราก็ได้รับการลงโทษ มนุษย์ทุกคนไม่สามารถที่จะทำดีได้ 100% ฉะนั้น มนุษย์ก็อยู่ในคำสาปแช่ง

เมื่อมนุษย์คนนั้นตาย วิญญาณเขาตายจากกฎบัญญัติ ก็คือบัญญัติเหล่านี้ไม่สามารถมีผลกับวิญญาณใหม่ของเขาได้เลย เพราะว่าตายจากบัญญัติเดิม เข้ามาสู่บัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์ และบัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์เป็นบัญญัติที่ง่ายมาก มีอยู่นิดเดียว พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่าน คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน ให้เจ้าทั้งหลายรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิด”

บัญญัตินี้ พระเจ้าทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คือทำเสร็จแล้ว เราไม่ต้องทำเองนะ เราไม่ต้องพยายามรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ เพราะว่าเราพยายามไม่ได้หรอก ทำอย่างไร? เราก็รักพระเจ้าสุดจิต สุดใจไม่ได้  แต่พระเจ้าทำให้วิญญาณเราเกิดมาเป็นเลย เป็นความรักที่เราสามารถรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด สามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง มันเกิดมาเป็น ฉะนั้น วิญญาณเราเป็นแบบนี้แล้ว แต่ว่าในด้านของร่างกาย เราอาจจะไม่รักพระเจ้าก็ได้ บางวันเราไม่อยากรัก ก็ตามนั้น เพราะว่าเราอยู่ในร่างกายที่บาป หรือว่าบางวันเราไม่เห็นอยากจะรักพี่น้องเลย พี่น้องบางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ทำอะไรที่ดูแล้วขวางหูขวางตา อึดอัดๆ ขัดใจๆ อะไรอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกัน นั่นคือด้านของการประพฤติที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะสามารถถูกล่อลวง ให้โปรแกรมเดิมที่มันค้างอยู่ในสมองของเรา ส่งผลออกมาได้ แต่ว่าความจริงในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นความรักแล้ว คือ “เป็น” เลย เรารักพี่น้องทุกคนเลย ในพระคริสต์ ไม่ว่าอยู่ในโบสถ์ของเรา หรืออยู่ในโบสถ์อื่น อยู่ทั่วโลกเลย วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียกันกับทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าเราเข้ามาสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราก็เป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ ที่เราคุยกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือเราเป็นอวัยวะของร่างกายนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา

นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ อย่าให้เราโดนหลอกด้วยข้อมูลอะไรก็ตาม ที่ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  ถ้าข้อมูลไหนที่ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องไม่เอเมนตาม เราต้องไม่ยอมรับมัน ถ้าข้อมูลบนโลกใบนี้บอกเราว่า …

“วันนี้เธอทำผิด พระเจ้าทิ้งเธอแล้ว เธอไม่รอดแน่”

เราต้องยืนยันความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า … “เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉันเป็นเหมือนพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่ ที่อยู่ในธรรมชาติใหม่ วิญญาณฉันถูกเปลี่ยนใหม่ ถ้อยคำของพระองค์บอกฉันอย่างนั้น ถูกเปลี่ยนใหม่เลย วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของฉัน ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้ที่ฉันเป็น คือฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่มากกว่านั้น ก็คือในโลกวิญญาณ วิญญาณของฉันได้นั่งร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ หรือการกระทำใดๆ บนโลกใบนี้ ที่เราทำเอง หรือใครมาล่อลวงให้เราทำ ก็แล้วแต่ สามารถแยกฉันหรือตัดฉันออกจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้”

ฉะนั้น พระเยซูบอก … “แกะของเราจะฟังเสียงของเรา ไม่มีใครสามารถมาแย่งแกะออกไปจากมือของเราได้”

ใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม่มี พระเจ้าใหญ่สุดแล้ว เมื่อเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ก็ไม่มีใครสามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงจากการเป็นลูกของพระเจ้าไป กลายเป็นลูกมาร หรือกลับไปอยู่ที่อาดัมเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า ให้เรามั่นใจเลยว่าถึงวันพิพากษา ที่เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว เพราะว่าการพิพากษาได้กระทำสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราถูกตัดสินว่าเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวอะไร?

ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้กฎบัญญัติต่างๆ ที่คลุมเราอยู่ ไม่สามารถมีผลอะไรกับเราเลย เพราะว่าวิญญาณเราตายไปแล้ว ตายจากกฎเรียบร้อยไปแล้ว เข้ามาในกฎใหม่ ซึ่งเป็นกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต

ในพระธรรมโรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ  จากกฏแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเยซูได้ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ในตรงนี้บอกว่าจุดประสงค์ของพระองค์ ก็คือเพื่อยุบ 2 ฝ่าย แล้วก็สร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เช่นนี่แหละ จึงทำให้มีสันติสุ

ยุบ 2 ฝ่าย ก็คือฝ่ายที่เรียกว่าประชากรของพระเจ้า คือคนยิว แล้วฝ่ายที่เรียกว่าคนต่างชาติ เมื่อก่อนคนยิวไม่คบหาคนต่างชาติ  ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือวิญญาณมันคนละวิญญาณกัน คนยิวถือว่าเป็นประชากรของพระเจ้า มีพระเจ้าพระบิดา เป็นพระเจ้าของเขา โดยผ่านทางกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งขึ้น คนยิวเขาก็ไปถวายเครื่องบูชาปีต่อปี โดยเลือดของแพะแกะ พระเจ้า ก็ยกโทษให้ไม่ต้องถูกลงโทษชั่วคราว นั่นคือเงาที่พระเจ้าตั้งเอาไว้

ฉะนั้น ข้างในของคนยิว ณ เวลานั้น คือเขามีพระเจ้าไง เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าของเขา พอเขาเป็นของพระเจ้าปุ๊บ เขาก็เป็นศัตรูกับโลกโดยปริยาย เข้ากันไม่ได้ คนยิวในยุคสมัยก่อน เขาก็ไม่คบหาสมาคมกับคนต่างชาติ

จริงๆ แล้ว คือในโลกวิญญาณเป็นศัตรูกัน  พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ เข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เข้ามาสามัคคีธรรม เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน ไม่มีความเกลียดอีกแล้วตอนนี้ เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ เพราะว่าพระเจ้าให้คน 2 กลุ่มมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พอมาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็ไม่ทะเลาะกัน

คำว่า “ไม่ทะเลาะกัน” มีสันติสุข ก็คือในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่ในโลกวัตถุ อาจจะยังทะเลาะกันอยู่ก็ได้ ไม่เกี่ยวกัน แต่ในโลกวิญญาณเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ทะเลาะกันแล้ว

เอเฟซัส 2:16 “และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป”

 

กายเดียวนี้  คือกายของพระเยซูคริสต์ ที่ยอมแตกหัก  ยอมถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ยอมหลั่งพระโลหิตมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ

การชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทำให้เขาสะอาดบริสุทธิ์  เขาจึงสามารถที่จะมาคืนดีกับพระเจ้าได้  แต่ถ้ามนุษย์คนไหน ไม่คิดที่จะย้ายจากอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป  อยู่ในความมืด อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่เปลี่ยนจากตรงนั้น มาสู่พระเยซูคริสต์ คือกลับใจใหม่ มายอมรับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงวันหนึ่งที่วิญญาณเขาออกจากร่าง ก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า เขามีโอกาสแค่ตอนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น ที่จะมีโอกาสในการตัดสินใจ แต่ถ้าหลุดจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว เป็นวิญญาณ วิญญาณไม่สามารถกลับใจใหม่ได้ ไม่สามารถตัดสินใจ ที่จะเลือกข้างได้แล้ว เขาอาจจะบอกว่า …

“ขอเวลานิดหนึ่ง ขอเวลากลับใจได้ไหม? เปลี่ยนมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าได้ไหม?”

พระเยซูบอกมันสายไปแล้ว ไม่ทัน ก็คือวิญญาณเขา ตอนที่ออกจากร่าง อยู่ในสถานะไหน? จะอยู่ในสถานะนั้น ถ้าเขายังอยู่ในสถานะที่เชื่อวางใจในการกระทำดีของตัวเอง ละสิ่งที่ชั่วด้วยตัวเอง  ยังคงพึ่งพา การทำดีพึ่งพากฎบัญญัติไม่ยอมเข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้า มาขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง สถานะนั้นยังคงอยู่ ก็คือเขาจะต้องไปถูกพิพากษาหลังความตายเหมือนเดิม จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือเรียกว่ากำลังเดินทางไปสู่ความพินาศ

พระเจ้าให้โอกาสกับมนุษย์แล้ว ก็คือที่พระเยซูคริสต์มารับเอาความผิดบาปของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดี แล้วถ้ามนุษย์คนนั้น ยังเย่อหยิ่งในความดีงามของตัวเอง …

“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ต้องพึ่งในพระเยซูหรอก ฉันทำดีเยอะแยะมากมาย ฉันไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้ายเลย”

อะไรประมาณนั้น ก็เลยไม่เอา ไม่ตัดสินใจ ที่จะย้ายข้าง เป็นการตัดสินใจของเขาเอง พระเจ้าก็ปรารถนามาก พระเจ้าก็ลุ้นมาก …

“เธอ กลับใจเถอะ มาพึ่งฉันเถอะ”

แต่ว่าคนนั้นก็ยังหยิ่งเกินไป ที่จะมาพึ่งในพระเจ้า ยังรักที่จะพึ่งพาตนเอง  พอถึงวันสุดท้ายของชีวิต วิญญาณออกจากร่างปุ๊บ เขาก็จะเข้าสู่ขบวนการการพิพากษาจริงๆ ตอนนี้พิพากษาจริงๆ คือพินาศจริงๆ ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราไปประกาศข่าวดี ข่าวดีของพระเยซูคริสต์มีไม่เยอะหรอก ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์มาแล้ว มาบนโลกใบนี้ ถูกส่งมาเรียบร้อยแล้ว ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่ปฐมกาล แล้วมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเรา คือทางนั้น  คือความจริงและคือชีวิต มีในพระเยซูคริสต์ ในพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณเท่านั้นที่มีชีวิต นอกเหนือจากพระองค์ทุกอย่างไม่มีชีวิตหมด อยู่ในความตายหมด

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญ ที่เราไปประกาศ แล้วเราก็ทำหน้าที่แค่นั้น เราไม่ต้องพยายามไปยื้อยุดฉุดกระชาก ลากถูก บีบคอให้คนที่เราไปประกาศ มารับเชื่อ ไม่ต้อง ให้เขาตัดสินใจเอง พระเจ้าก็ไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้ทุกคน มีสิทธิ์ตัดสินใจ ฉะนั้น เขาจะตัดสินใจว่าเขาเลือกข้างไหน? เขาก็จะรับผลตามนั้น  ดังนั้น มนุษย์ทุกคน  ที่ตัดสินใจ  รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว  เหนื่อยมากเลย ทำความดีมา ข้างในวิญญาณ ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ ไม่มีความมั่นใจว่าหลังความตาย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรคสถานหรือเปล่า? หาความมั่นใจไม่ได้เลย เมื่อหาความมั่นใจไม่ได้ ก็ถ่อมใจสิ มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ต้องคอยเชิดคออยู่ …

“ไม่ได้ ฉันต้องพัฒนาตัวเองให้ทำดีให้ได้เลย ตามมาตรฐานของพระเจ้า”

ถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูบอกแล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำตามมาตรฐานของพระเจ้า ได้ 100% เต็ม ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที ไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ทำได้ ธรรมชาติเดิม ก็ยังคงอยู่ในบาปอยู่ ถ้าวิญญาณเขายังไม่บังเกิดใหม่ ถ้าเขาไม่ตาย เขาก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้

ขบวนการนี้  คือพระเจ้าทำให้เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว แค่ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจต้อนรับเอาข่าวดีนี้ปุ๊บ ทุกอย่างพระเจ้าทำหมด มนุษย์ทำอย่างเดียว ก่อนเชื่อ เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ มีคนไปประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เชื่อนะ

“โอเค พระเยซูคริสต์ก็ดีนะ”

โอเค นั่นคือเชื่อเฉยๆ ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะส่งผลให้สามารถรับตามพระสัญญาของพระเจ้าได้  เชื่อเฉยๆ ก็ไม่มีประโยชน์ พอเราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราต้องการความช่วยเหลือปุ๊บ สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ คือเปิดใจ รับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์แค่นั้นเอง ทำแค่นั้นเองจริงๆ ทันทีที่เราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา ทำการผ่าตัดวิญญาณ ขบวนการทั้งหมด เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ

พอขบวนการเสร็จปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า จากนั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลย พักผ่อน หายเหนื่อย เป็นสุข ต่อแต่นี้ พระเจ้าจะเป็นผู้นำเรา พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์จะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ขบวนการนี้ อธิบายซ้ำ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพี่น้องจะได้จำให้แม่นๆ หลังจากที่เราเปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขบวนการการบังเกิดใหม่ ก็เริ่มขึ้น เขาเรียกว่าผ่าตัดวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นทันที พระวิญญาณเอาวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปของเรา ไปไว้ที่พระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เสร็จแล้วเราบังเกิดใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมนุษย์คนนั้นบังเกิดใหม่ อันดับแรกเลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณของเรา เปลี่ยนใหม่เลยนะ วิญญาณเก่าเราตายไปแล้ว วิญญาณเราถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่  สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นความรักเลย เป็นความชื่นชมยินดีเลย เป็นความดีงามเลย ดีพร้อมเลย แล้วความคิดจิตใจของเรา ก็ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนกัน เปลี่ยนเป็นของใหม่เลย ไม่มีเก่าผสม แต่เนื่องจากเราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีโปรแกรมความคิดเดิม ที่ความเคยชิน ที่เราเคยทำอยู่ มันยังแอบ แอบอยู่ตรงช่องของความคิดจิตใจ ที่ถูกสร้างใหม่ พอมันแอบเอาไว้ โอกาสที่ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามาล่อลวงเรา ล่อลวงผู้เชื่อคนนี้ ให้ทำตามมัน โอกาสมี มันจะส่งเข้ามาทุกเวลา ส่งเข้ามา ตรงนี้ คือป้อมปราการที่เราจะต้องทำลายมัน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเหตุผลจอมปลอมที่ยกตัวขึ้น ต่อต้านความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า ตรงนี้แหละ ที่เป็นการโกหกที่ส่งเข้ามาตลอดเวลา

ฉะนั้น เรารับรู้ความจริง ในโลกวิญญาณมากเท่าไร? การโกหก มันก็จะอ่อนแรงลง มันโกหกเราได้น้อยลง  ดังนั้น ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความคิดจิตใจของเรา ถูกเปลี่ยนใหม่ปุ๊บ พระเจ้าก็จะส่งพลังแห่งความชอบธรรม เข้ามาตรงความคิดจิตใจของเรา ส่งพลังเข้ามา ให้กำลังเรา ให้เราเรียนรู้ รับรู้ความจริงมากเท่าไร พลังตรงนี้แหละ จะทำให้มันส่งผลของความชอบธรรมของพระเจ้าออกมาได้มากเท่านั้น

หมายความว่ามนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำ พอทำเสร็จ ความคิดจิตใจของเรา ได้รับพลังใหม่ของพระเจ้า คือพลังแห่งความชอบธรรมปุ๊บ รับรู้ความจริงว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าตอนนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ความจริง คือเราเป็นความรัก พอเรารับรู้ว่า  …

“ฉันเป็นความรัก ฉะนั้น ถ้าเมื่อไรที่ฉันประพฤติออกมาเป็นความเกลียดชัง แปลว่าฉันกำลังประพฤติไม่ตรงตามความจริงของธรรมชาติใหม่ของฉัน”

คือมันไม่ได้มีอะไรเลย ก็เป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่ว่าไม่ว่าเราจะประพฤติตามธรรมชาติใหม่ของเรามากน้อยแค่ไหน อยู่ที่การรับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างไร?  แล้วเมื่อเรารับรู้มากๆ เจริญเติบโตมากๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะเป็นผู้ผลักดัน จากข้างในเราออกไป มันจะส่งผลออกไป โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ อันนี้ คือความจริง ในโลกวิญญาณ แต่เนื่องจากเราถูกสอนมาต้องทำๆ ต้องโน่น ต้องนี่ ต้องรักกัน ต้องหมดเลย กลายเป็นว่าที่บอกต้อง คือเราต้องพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งพระเยซูบอก …

“ไม่ใช่ ฉันเป็นผู้ทำ ฉันเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเจ้า เพื่อเจ้าจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า”

พระเจ้าเป็นผู้ทำ มันจะผลักดันออกมาเอง โดยอัตโนมัติ ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้าเมื่อไร ที่เราถูกบีบบังคับให้ต้องทำด้วยกำลังของเราเอง แปลว่าอันนั้น มันไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า เป็นมาจากการกระตุ้นของคนรอบข้าง หรือการกระตุ้นของระบบเดิม ก็คือต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เพราะว่าเขาตั้งใจ ที่จะทำด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งพระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ต้อง  เธอแค่เชื่อฉันอย่างเดียว อยู่กับฉัน แล้วฉันทำให้หมด เธอแค่เสวยสุขอย่างเดียว”

นี่คือความจริงที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ตอนที่พระเจ้าสร้างสวนเอเดน  พระเจ้าก็ไม่เคยบอกอาดัมว่า …

“อาดัมเธอต้องไปปลูกต้นไม้ใบหญ้า เธอต้องไปรดน้ำ เธอต้องไปลิดใบ เธอต้องไป ต้องๆๆๆ”

พระเจ้าไม่ได้สั่งอาดัมแบบนี้ พระเจ้าสั่งว่า …

“จงครอบครอง ให้ครอบครองทั้งหมดที่พระเจ้าให้มา แล้วก็เชยชมทุกอย่าง ที่พระเจ้าให้มา”

อยากกินผลไม้ต้นไหน? เดินไปหยิบ แล้วก็กิน แค่นั้น จบ พระเจ้าไม่เคยให้อาดัม เอวาต้องไปปลูก ต้องไปรดน้ำ ต้องไปพรวนดิน  ต้องไปพยายามประคบประหงม ลิดใบ ไปเอาอะไรห่อลูกเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวแมลงมากิน ตอนปฐมกาล ไม่มีเลย มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าสร้าง มันเป็นแบบนั้น แล้วพอถึงยุคของเรา ก็คือยุคที่เรากลับคืนดีกับพระเจ้าเข้ามาสู่สภาพเดียวกัน พระเจ้าก็ให้เราเหมือนกัน ก็คือขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และเมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนคนไหนทำอะไร พระเจ้าจะทำงานข้างใน พระองค์จะเป็นผู้กระทำ ถึงเวลาที่สมควร พระองค์ก็จะให้เกิดผลออกมา ให้คนรอบข้างได้เห็น มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ถ้าเราทำด้วยกำลังของเราเอง เราจะท้อ ทำเมื่อไรมันจะพอ ก็ต้องทำเรื่อยๆ ตรงนี้มันไม่ได้ มันไม่พอ มันต้องอะไรอย่างนี้ แล้วเราก็จะท้อใจ

ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“อยู่เฉยๆ ทำอย่างเดียว คือเปิดใจต้อนรับฉัน จากนั้น ฉันจะทำเอง”

แล้วแค่เราเงี่ยหูฟังว่า … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะให้เราทำอะไร?”

เงี่ยหูฟัง แล้วพระเจ้าก็จะบอกเราในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวัน อะไรก็ตามที่เราทำแล้ว มันไม่ขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า เท่ากับเราทำตามพระวิญญาณ อะไรก็ตามที่เราทำ แล้วขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า นั่นแหละเรากำลังทำตามเนื้อหนัง มันจะออกมาอย่างนี้  แต่มันจะมีอะไรที่เส้นบางๆ ที่ดูเหมือนดี แต่มันไม่ใช่ เราใช้ภาษาว่าโฮลี่ เฟรช เป็นเนื้อหนังแบบโฮลี่  ดูแล้วมันดี แต่มันไม่ใช่ ไม่ได้มาจากพระเจ้า ถ้าเมื่อไรไม่ได้มาจากพระเจ้า  มาจากความคิดของเราเอง คิดว่าเราควรจะทำแบบนี้ ทำแล้วรู้สึกดี อันนั้นไม่ใช่แล้วล่ะ ไม่ใช่มาจากพระเจ้า เรารู้สึกดี พอเราไม่ทำปุ๊บ เรารู้สึกไม่ดี

อย่างสมมติว่าเราถูกสอนมาว่าเราต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน วันไหนเราขี้เกียจ เรารู้สึกไม่ดี  เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ เรารู้สึกแย่ อันนั้น โฮลี่ เฟรช เพราะว่าถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณ ไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้เรารู้สึกไม่ดี เพราะพระเจ้าบอกทุกอย่างมันดี ถ้าวันนี้ สมมติเราทำๆ ลืมอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในเราแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ความจริงของพระเจ้าก็อยู่ในเรา

อ่านพระคัมภีร์ดีไหม? ดี แต่อย่าให้ความดีตรงนั้น ทำให้กลายเป็นกฎ กฎข้อบังคับที่ว่าต้อง ถ้าไม่ทำ เราจะรู้สึกผิด อันนั้น คือโฮลี่ เฟรช

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา จะบอกเรา ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบางครั้ง มันละเอียดอ่อน มันเส้นเล็กๆ บางๆ  แต่มีโอกาสที่พวกเราจะถูกหลอก มันเป็นความเคยชิน  ที่เรารู้สึกว่าเราต้องทำ ไม่ทำ แล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ ถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณ พระเจ้าทรงนำเรา ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ  ก็ไม่สามารถทำให้เราไม่สบายใจ เพราะว่าเราเป็นอิสระจากกฎทั้งหมด ที่บังคับเราในอดีตแล้ว ไม่มีการบังคับใดๆ ทุกอย่างทำออกมาจากใจ จากข้างในวิญญาณของเรา  ทำออกไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า จบ แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ในพระกายของพระคริสต์

ใครสำคัญ สำหรับคุณ

ผู้รับใช้ หรือพระเจ้า

 

1 โครินธ์ 3:5-7 TNCV “5 อปอลโลเป็นใคร?  และเปาโลเป็นใครกัน?  ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อ  ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน  6 ข้าพเจ้าปลูก  อปอลโลรดน้ำ  แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต 7 ดังนั้น ไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ”

 

อปอลโล   เปาโล   เป็นผู้มีของประทานจากพระเจ้า  ในการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์  อาจารย์เปาโล  กำลังชี้ให้เห็นว่าคนงานที่ทำงานต่างหน้าที่กัน  ในพระกายของพระคริสต์นั้น  ต่างทำหน้าที่ของตน   คนละอย่าง  เพื่อให้ต้นไม้  (ผู้เชื่อในพระกายของพระคริสต์) ได้รับการเลี้ยงดู  ได้รับการดูแล  แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงดู  ดูแลดีอย่างไร  แต่ถ้าขาดผู้ทำให้เติบโต  ต้นไม้ก็แคระ  ไม่เกิดผลและตายลงได้   ดังนั้น  ผู้ที่สำคัญที่สุด คือพระเจ้าผู้ทำให้เติบโต

 

เปาโลต้องการชี้ให้เห็นว่าเราอย่ายกย่อง  หรือสำคัญผิดในการยกคนขึ้น   แต่ผู้ที่เราควรยกขึ้น  คือพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าอ่านตาม Holy Words ของวันที่ 5 สิงหาคม 2021 เราจะพบว่าทั้งผู้เชื่อ  และคนงานของพระเจ้า  ที่พระเจ้าให้ของประทานมา  ในการสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์นั้น  มีคุณค่าเท่ากัน …

–  ได้เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน

–  ได้เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน

–  ได้รับการอภัยโทษบาป ชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เท่ากัน

–  ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวามพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เท่ากัน

–  ได้รับพระพรนานาประการในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ทันทีเท่ากัน

–  ไม่มีใครได้มากว่าใคร

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ