คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

สัปดาห์นี้ เราก็อยู่ในช่วงเวลา 40 วัน หลังวันอีสเตอร์นะครับ ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า

“ภายหลังการฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ และอยู่กับเหล่าสาวกเป็นเวลา 40 วัน ก่อนที่จะถูกรับไปบนสวรรค์ สถิตอยู่กับพระเจ้านิรันดร์”

นับจากอีสเตอร์ นับจาก 27 มีนาคม ถึงวันนี้ 24 เมษายน  รวมเป็น 28 วัน หลังวันอีสเตอร์ปีนี้ เพราะเหตุการณ์เป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขนที่ไถ่บาปเรา  ทำให้พระเจ้าสามารถสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว หัวข้อเรื่องวันนี้จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย”

เรามาทบทวนพระคัมภีร์ที่เราได้อ่านกันไป เมื่อครั้งที่แล้ว ยอห์น 6:39-40

ยอห์น 6:39-40 “39 พระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมา ในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละ เป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

 

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 ที่เราจบท้ายกัน ครั้งที่แล้ว

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 “9 เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเรา ให้มาถูกพระองค์ลงโทษ แต่ให้มารับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเรา 10 พระเยซูตายเพื่อพวกเรา ดังนั้น เมื่อพระองค์มา ไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์” เอเมน

 

สรุปกันอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์   เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ   เชื่อในวันอีสเตอร์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราก็ควรจะมีความมั่นใจใน 2 สิ่งนี้ คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่เราจะได้รับ

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วย ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ คือเดินอยู่บนโลกใบนี้ หรือแม้วันที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่ หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระเยซู เอเมน นี่คือความหวังใจยอดเยี่ยม สูงสุดเลย

 

ผมเชื่อว่ามาถึงวันนี้ เรามั่นใจแล้วว่าเชื่อพระเยซู ตายไปได้รับชีวิตนิรันดร์ วิญญาณได้รับความรอด เชื่อไม่ยาก ว่า …

“ตาย แล้วเราได้รับชีวิตนิรันดร์ จะได้รับร่างกายใหม่ แล้วจะอยู่กับพระเยซูนิรันดร์”

นี่เป็นความเชื่อทั่วๆ ไป ที่ใครๆ ก็มีความหวังใจอย่างนั้น สำหรับคริสเตียน คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้  คือมั่นใจ 100% เลยว่าเมื่อถึงวันที่เราจากโลกนี้ไป วิญญาณเราจะไปอยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ เราไม่กลัวตายอีกต่อไปแล้ว

ประเด็นที่สอง เรามั่นใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง อันนี้เป็นความมั่นใจ 100% ไหม? ถ้าเป็น ท่านต้องไม่กลัววิธีตายด้วย ถ้าเรามีความเชื่อ แล้วมั่นใจในถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้ รู้ตลอดเวลาว่าพระเยซูสถิตอยู่กับเรา เดี๋ยวนี้เลย ตลอดเวลา เหมือนกับที่จะสถิตอยู่กับเราในสวรรค์ เมื่อเราจากโลกนี้ไป  สวรรค์อยู่บนโลกใบนี้  ทันทีแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่อยู่ในสวรรค์ที่แคบหน่อย เพราะถูกบีบบังคับมาอยู่ในร่างกายอันเก่าเท่านั้นเอง  ถ้ารู้อย่างนี้ได้ มันก็เผชิญได้ทุกอย่าง แม้ความตาย หรือวิธีตายจากโลกนี้  

ในยามที่เรามีความสุข ชีวิตสะดวกสบาย รอบด้าน นั่งแอร์เย็นๆ ฟังคำเทศนาวันอาทิตย์ มีความสุข ฮาเลลูยา สดชื่นจริง มีข้าวฟรีตอนเที่ยงอีกต่างหาก พระเยซูสถิตอยู่ด้วย  แน่ๆ ถูกหรือเปล่า? ไม่ยากเลย ที่จะเชื่ออย่างนี้  เพราะเป็นชีวิตที่อยู่ในความสะดวกสบาย สนุก เขาเรียกว่าสุขสบายรอบด้าน ตะโกนร้องเพลงกัน ตะโกน เอเมนๆ เดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยสุขภาพแข็งแรง กระฉับกระเฉงทุกคน ครอบครัวก็อบอุ่นดี เศรษฐกิจการเงินมั่งคั่ง ตื่นมาไม่มีใครทวงหนี้  อันนี้มันก็มั่นใจได้แน่นอนว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่กับเราในทุกหนทุกแห่ง

“อาจารย์นครจะพูดอะไร เอเมน ใช่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย ใช่เลย  ถูกต้อง เอเมน”

ตะโกนดังลั่น

“โอ้! พระเจ้าทรงอยู่ใกล้เหลือเกิน พระเยซูอยู่ใกล้เหลือเกิน”

ทุกครั้งที่เราเข้าไปหาพระเจ้า ในขณะนั้น เราสามารถสัมผัสถึงความรักของพระเจ้า พระเจ้าอยู่ข้างๆ ตลอด คอยอวยพรเรา ทุกพื้นที่ชีวิตเราได้รับพระพรจากพระองค์ ดูเหมือนว่าพระเจ้าเปิดประตูรอรับ รอการสวมกอดเราตลอดเวลาเลย

“โอ้โห! พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

มากกว่านี้อีกนะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเท่านั้นเอง

คราวนี้ ถามว่าแล้วในยามที่เราต้องอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ปัญหารุมล้อมรอบด้าน หนทางมืดมิด หันไปทางไหนก็เจอแต่อุปสรรคปัญหา เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา ใบทวงหนี้ ก็นอนอยู่ข้างๆ เตียง ก็ยังเหมือนเดิม แถมโทรศัพท์มาข่มขู่อีกว่าต้องให้วันนี้ ตะกี้นี้ อาจารย์นครบอก “เอเมน” ปากก็เงียบ ทั้งๆ ที่ก็เชื่อว่า “พระเจ้าอยู่ด้วย” แต่ …

“ทำไมฉันเป็นอย่างนี้” นี่นึกในใจ

ผมรู้หลายคนต้องคิดอย่างนี้ บางครั้งมันไม่รู้จะทำอย่างไร?  ถามว่าตอนนี้ ช่วงอย่างนี้ พระเจ้าอยู่ข้างๆ ไหม? ยังอยู่ด้วยไหม? ทำไมเบาล่ะ? นี่ขนาดพูดกันเล่นๆ ยังเบาลงเลย อยู่ไหม? อยู่ ต้องพูดดังๆ เหมือนตะกี้นี้ หัวเราะเหมือนตะกี้นี้ ขณะที่เขามาทวงหนี้นะ ขณะที่ตื่นขึ้นมา มาไม่ได้ เขาต้องหามมาโบสถ์นะ อาทิตย์ที่แล้วเดินมาได้ วันนี้เดินกระโผกกระเผลกมา ยังอยู่ไหม? อยู่ จริงอ่ะ จริง

ตอนที่เจ็บป่วย หมอบอกเป็นโรคร้าย รักษาไม่หาย พระเยซูอยู่ด้วย  ตอนที่หมอบอกข่าวดีของหมอ เพราะหมอจะได้ตังค์

“ตรวจมาแล้ว คุณ …..”

พระเยซูอยู่ด้วยไหม? อยู่ แต่ไม่เห็นมีใครฮาเลลูยา ตอนนั้นเลย

“โอ! ฮาเลลูยา มะเร็งเหรอ”

ตอนที่การเงินฝืดเคือง ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้เป็นสินมากมาย ยังเชื่อไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? อยู่ ทำไมไฟฟ้ามันถูกตัดไปได้ แล้วตอนที่ครอบครัวแตกแยก ปัญหาลูกไม่เชื่อฟัง ลูกมีปัญหา เชื่อไหมว่าพระเยซูยังอยู่ด้วย ก็พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้แย้งกับท่านนะ ถ้าท่านบอกไม่อยู่ ผมก็บอกรอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวไปคุยกัน แต่ในนี้บอกอยู่ เพราะเรากำลังบรรยายถึงความเป็นจริงของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกเราว่าอยู่ตลอดเวลา

ผมเชื่อว่าหลายคนผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ หลายคนในขณะนี้ ก็ยังเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้ ในยามสบายดี สัมผัสพระเจ้าได้ง่ายๆ เลย แล้วก็บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ทุกหนทุกแห่ง ฮาเลลูยา แต่ในยามที่ต้องการเจอพระเจ้ามากๆ ที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากๆ ในยามที่เจอปัญหาหนัก พระเจ้าช่วยที ทำไมหาพระเจ้าลำบากขนาดนี้ พระองค์อยู่ไหน? ยิ่งแสวงหายิ่งไม่พบมากเท่านั้น  เป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่แหละสิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ เมื่อเราเจอสภาวะแบบนี้ แน่นอนที่สุด เนื้อหนังของมนุษย์ทุกคนเป็นแบบนี้แหละ เราก็ต้องหวั่นไหวในความเชื่อของเรา เพราะเราเป็นมนุษย์ แล้วก็จะเริ่มตั้งคำถาม เป็นคำถามยอดฮิตของคริสเตียน คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคนว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน?”

“พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับเราจริงหรือไม่?”

“ถ้าพระเจ้าอยู่ด้วย ทำไมเกิดเรื่องนี้ขึ้น?”

พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา  ยังพูดคำนี้บนไม้กางเขนเลย

“พระเจ้าอยู่ไหน?”

เพราะตอนนั้น พระองค์ทรงรับบาปแทนพวกเรา เป็นคนบาปเหมือนเราเลย แยกออกจากพระเจ้าเหมือนกัน แต่นี่เรามีพระเจ้าอยู่ข้างในแล้ว พระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ แต่เนื่องจากร่างกายเรา เป็นร่างกายเก่าอยู่ มันจึงต่อสู้กัน ต่อต้านกัน เจอเหตุการณ์ไม่ดี มันก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ ถามว่าขณะที่เราตะโกนว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน?ๆ”

ในใจลึกๆ เรารู้ เราเชื่อไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเรา  อยู่นั่นแหละ 2 ความคิด 2 อารมณ์อยู่ในคนๆ เดียวกันตลอดเวลา ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  จริงๆ แล้วคำถามเหล่านี้ มีคำตอบชัดเจนอยู่ในพระคัมภีร์ ย้ำไปย้ำมาทั้งเล่มเลย บอกแล้วบอกอีกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา ก็ต้องแปลว่าทุกสถานการณ์ ทุกเหตุการณ์ ไม่ใช่เฉพาะยามสุขสบายเท่านั้น ที่อยู่ด้วย

เหตุที่ยังต้องเกิดคำถามขึ้นกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็เพราะร่างกายเป็นร่างกายเก่า สภาพแวดล้อมเก่าๆ อยู่ ทนทุกข์อะไร? มันเจ็บอะไรต่างๆ มันก็เจ็บ มันก็ปวด มันก็ทนไม่ไหว ก็ต้อง แสดงความต้องการอะไรออกมาบางอย่าง แต่ลึกๆ ก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ทั้งหมดเลย  นี่คือความเป็นธรรมชาติของบรรดามนุษย์บนโลกใบนี้

วันนี้ผมจะหยิบยกเรื่องราวตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ เพื่อมาหนุนใจท่าน เพื่อว่าท่านจะได้รู้ว่าท่านไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือแปลกกว่าคนอื่นเขาเลย พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านจริงๆ แม้เหตุการณ์ที่ท่านผ่านมา หรือกำลังผ่านอยู่ หรือกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้  จะเป็นอย่างนั้น ก็ตาม หรือว่าเมื่อเช้าท่านพูดกับพระเจ้าอย่างนี้ ก็ตาม

“พระเจ้าอยู่ไหน?  ไหนบอกว่ามีพระเจ้าอยู่ด้วย ไหนบอกจะอวยพร ทำไมเป็นอย่างนี้”

ไม่แปลกเลย  มันเป็นอย่างนี้ มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป  มันเป็นธรรมดา ท่านจะได้รู้ท่านไม่ได้แปลก และท่านจะได้มั่นใจว่าท่านมีความเชื่อ 100% เต็มๆ ว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับท่านจริงๆ  อยู่ในท่านจริงๆ

ผมจะนำเรื่องราวของบุคคลคนหนึ่ง ที่ชื่อว่าโยเซฟ มาเป็นตัวอย่าง โยเซฟเป็นบุตรชายของยาโคบ ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่จะทำให้ท่านเห็นภาพชัดเจนที่สุดว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา

ส่วนใหญ่เขาจะยกเรื่องโยเซฟ สำหรับการอธิบาย หรือบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวการทรงสถิตของพระเจ้า คือเป็นหลักการที่ชัดเจนมาก ในหนังสือพระคัมภีร์

โยเซฟเกิดในครอบครัวของยาโคบ มีฐานะมั่นคงและมั่งคั่ง เป็นลูกโปรดของพ่อ เพราะเกิดจากภรรยาที่พ่อรักที่สุด ตั้งแต่เด็กๆ โยเซฟมีของประทานในการหยั่งรู้เรื่องอนาคต พระเจ้าบอกเรื่องต่างๆ เหล่านี้ คือเป็นเด็กช่างฝัน และมักทำนายฝันของตัวเอง แต่ปัญหาของโยเซฟ คือพอเขาฝันอะไร? เก็บเป็นความลับไม่ได้ เที่ยวไปบอกพี่ๆ หมด ไม่ว่าดีหรือเลว ก็เลยทำให้พี่ๆ ฟัง แล้วหมั่นไส้ ไม่พอใจบ้าง นี่คือปัญหาที่ทำให้เกิดขึ้นกับโยเซฟเอง อีกอย่างหนึ่ง โยเซฟเป็นลูกคนโปรดของพ่อ จึงทำให้บรรดาพวกพี่น้องทั้งหมด รวมกันเป็นเอกฉันท์ไม่ชอบโยเซฟ ซึ่งรวมทั้งนิสัยอื่นๆ ของโยเซฟอีก อย่างเช่น ไปอยู่กับพี่ๆ … พี่ๆ ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องบ้าง ก็เอามาฟ้องพ่อ พวกพี่ๆ รู้แล้ว ในที่สุด เลยอยากจะกำจัดโยเซฟซะ คือขายโยเซฟให้แก่คนอิชมาเอล ซึ่งต่อมา ก็ขายต่อ ไปเป็นทาสรับใช้ของโปติฟา ผู้บัญชาการทหารของอียิปต์

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าในทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโยเซฟนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และทรงนำชีวิตของโยเซฟตลอดเวลา และโยเซฟเอง ก็รู้ตัวว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย และเขาก็เชื่อฟังพระเจ้าตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ท่านลองคิดภาพดูนะครับ ขณะที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นเลย  แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิตของเขา

โยเซฟผู้ซึ่งเป็นลูกชายคนโปรดของพ่อ ที่มีฐานะร่ำรวย ถูกพวกพี่ชายอิจฉา ถึงขนาดถูกทำร้าย ผลักตกลงไปในบ่อ แล้วก็ถูกขายให้เป็นทาสของคนอิชมาเอล ถูกขายต่อไปเป็นทาสในเรือนของโปทิฟาห์ อุตส่าห์ทำงานอย่างดี ถูกใส่ร้ายว่าพยายามไล่ปล้ำนายหญิง เสร็จแล้วถูกเขาลงโทษไปจำคุก หนักกว่านั้นอีก ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย อยู่ในคุก ก็พยายามทำความดี แต่ถูกขังลืม

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้เลยว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับโยเซฟ และโยเซฟก็ทราบดีว่าพระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา โยเซฟตระหนักเสมอว่าพระเจ้าอยู่กับเขาด้วยตลอดเวลา แต่ทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนี้  ตอนอยู่ในคุกเขาสบายดีเหรอ? ไม่สบาย เขารู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่กับเขา? รู้ แต่เขาอยากออกจากคุกไหม? อยาก อ้าว! ถ้ารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็เป็นไปตามน้ำพระทัยก็ได้ ทำไมเขาอยากออกจากคุกล่ะ ก็มันไม่อยากอยู่ มันไม่สุข มันลำบาก เห็นอะไรบางอย่างไหม?

วันหนึ่งโยเซฟได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ ทำให้ได้ออกจากคุก และได้มีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับใช้และเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ฟาโรห์ จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะใหญ่โต มั่งคั่งในอียิปต์ บางคนบอก …

“โอ้โห! โยเซฟสบายไปเลยต่อไปนี้”

ไม่ได้สบายเลย ออกมามีชีวิตอยู่ที่ดีขึ้น ตามสายตาจริง แต่งานหนัก (หนักมหาศาลมากๆๆๆ เลย) เพราะคนเดียวต้องดูทั้งหมด บริหารงานทุกอย่าง พลาดก็ไม่ได้ พระเจ้าอยู่ด้วยไหม? อยู่ด้วย

ต่อมาเมื่อเกิดภาวะกันดารอาหาร ที่แคว้นคานาอัน  ที่ครอบครัวเดิมของยาโคบอยู่ พวกพี่ชายของโยเซฟ ต้องพากันมาขอซื้อข้าวจากอียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟกลายเป็นผู้สำเร็จราชการของอียิปต์ไปแล้ว

โยเซฟซึ่งถูกพวกพี่ๆ หมายจะเอาชีวิต ทำกับโยเซฟร้ายแรงถึงขนาดนั้น  แต่แทนที่โยเซฟจะโกรธกับสิ่งที่พี่ชายได้เคยทำให้กับตัวเอง ทำร้ายตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายของเขาว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เป็นเพราะพวกพี่ๆ คิดเอง ทำเองหรอก แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น”

โยเซฟตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย

ปฐมกาล 45:3-8 “3 โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า ‘เราคือโยเซฟ บิดาเรายังมีชีวิตอยู่หรือ’ ฝ่ายพวกพี่น้องไม่รู้ที่จะตอบประการใด เพราะตกใจกลัวที่เผชิญหน้ากับโยเซฟ 4 โยเซฟจึงบอกพี่ชายว่า ‘เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด’ เขาก็เข้ามาใกล้ แล้วโยเซฟว่า ‘เราคือโยเซฟ น้องที่พี่ขายมายังอียิปต์ 5 แต่บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เรา ให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหาร ในแผ่นดินสองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดิน ไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา  พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด”

 

“แต่บัดนี้ อย่าเสียใจ อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เรา ให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต”

ถ้ามีใครตอนนี้ หักหลังเรา สมมติ เรามีอยู่ล้านหนึ่ง โกงเราไปสองล้านเลย เอาเงินสดไปหมดเลย แถมเรายังติดหนี้ชาวบ้านเขา  เป็นบุคคลล้มละลาย อีกหนี่งปีต่อมา มาเจอเขาอีกที เราจะพูดอย่างนี้ไหม?

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น ที่ท่านโกงผมไป ไม่ใช่ตัวท่านหรอก เป็นพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น ผมอภัยให้ท่านครับ ไม่มีอะไรกันนะ”

มันยากมากนะ ขนาดแค่สองล้าน นี่ทั้งชีวิตเลย

ถ้าย้อนกลับไปดูเมื่อวันที่โยเซฟถูกพวกพี่กลั่นแกล้ง และขายเขาให้กับพวกชาวอิชมาเอล ตอนนั้นโยเซฟมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ตอนที่ตกลงไปในบ่อ ในช่วงเวลานั้น เขาต้องคิดว่าเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่ต้องถูกขายและถูกพลัดพรากจากครอบครัวที่มั่งคั่ง ที่เขาอยู่อย่างสบายดี เขาคงตกใจ หวาดกลัวมาก พระคัมภีร์ก็บันทึกไว้ ถึงตอนที่พวกพี่ชายคุยกันตอนนั้น พวกพี่ชายรู้ว่าโยเซฟรู้สึกอย่างไร? ทุกข์ใจขนาดไหน?  เพราะโยเซฟวิงวอนขอพี่ชายอย่าทำกับเขาอย่างนี้เลย โยเซฟสำแดงความกลัว วิตกกังวลออกมาอย่างมากมาย ซึ่งปฐมกาล บทที่ 42 บันทึกไว้ว่าพวกพี่ชายก็ได้ยินว่าเป็นอย่างนี้ ปฐมกาล 42:21

ปฐมกาล 42:21 “พวกพี่ชายจึงพูดกันว่า ‘ที่จริงเรามีความผิดเรื่องน้องเรา เพราะเราได้เห็นความทุกข์ใจของน้อง เมื่อเขาอ้อนวอนเรา แต่แล้วมิได้ฟัง เพราะฉะนั้น ความทุกข์ใจครั้งนี้ จึงบังเกิดแก่เรา”

 

ตอนที่โยเซฟถูกพี่ชายกลั่นแกล้งและกำลังจะถูกขายให้คนอิชมาเอล โยเซฟรู้ตัวไหมว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขารู้หรือไม่รู้? รู้ แล้วโยเซฟเป็นทุกข์ไหม? เป็น ที่เราอ่านไปเมื่อตะกี้ เป็นทุกข์มาก กลัวไหม? กลัว คุ้นๆ ไหม?  คุ้นเลยนะ ถามว่ารู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? รู้ แล้วทำไมต้องทุกข์ ทำไมต้องกลัว?

ถามว่าเมื่อเช้ายังทุกข์อยู่หรือเปล่า? เมื่อวานทุกข์ไหม? ทุกข์ แล้วรู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? รู้ แล้วทำไมอยู่ในคนๆ เดียวกันได้ ไม่รู้สึกแปลกเหรอ ให้ตอบพร้อมกันทุกคนเลย เพราะเรายังเป็นมนุษย์

โยเซฟก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ทูตสวรรค์ เราก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ทูตสวรรค์ เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ เราเชื่อว่าพระเยซูสถิตอยู่กับเรา … เราเชื่อเต็มร้อย จับเราไปฆ่า เราก็เชื่อ ตายในวันพรุ่งนี้ วินาทีนี้  ทันทีทันใด เราก็เชื่อว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  แต่ถึงวินาทีนั้น  ความทุกข์ยากลำบากมา เราก็ต้องกลัว เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเป็นมนุษย์  … มนุษย์ก็ได้แค่คิดแบบมนุษย์ มนุษย์ก็เจ็บปวด แบบมนุษย์ มนุษย์อ่อนแอเหลือเกิน ช่วยตัวเองไม่ได้ พระเยซูจึงมาช่วยเราไง และถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เราต่อไป พระองค์ก็พาเราไปพักผ่อนแล้ว แต่ที่ยังให้เราอยู่ในร่างกายนี้ เป็นมนุษย์อยู่เหมือนเดิมตอนนี้ ก็เพื่อจะใช้ฐานะที่เราเป็นมนุษย์นั้น ให้เกิดประโยชน์ในแผนการของพระเจ้า แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์ เรายังไม่สามารถรับรู้ถึงแผนการใหญ่ของพระเจ้าได้เลย วันหนึ่งที่เราออกจากร่างกายนี้ เราเป็นวิญญาณออกไปแล้ว เราจะเห็นภาพรวม แล้วเราจะ …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

แต่ ณ วันนี้ พระคัมภีร์บอก อาจารย์เปาโลบอก เราเห็นแค่รางๆ เข้าใจคำว่า “รางๆ” ไหม? ตอนนี้เรามองเห็นแผนการของพระเจ้าแค่รางๆ  ไม่ใช่ไม่ชัดนะ รางๆ มันเหมือนกับ …

เหมือนคนอายุมากๆ ตาไม่ค่อยดี ต้อไม่ได้ลอกอะไรแบบนี้

“เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่าเนี้ย?”

“กี่โมงแล้ว?”

คือไม่เห็น

“ตอนนี้ เลขอะไรเนี้ย ใกล้เที่ยงหรือยัง? ไม่รู้เลขอะไร?”

นั่นแหละ คำว่า “รางๆ” คือไม่เห็น เราไม่เห็นแผนการของพระเจ้าว่าพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร? ทำไมต้องทำอย่างนี้? ทำให้เราทุกข์ทรมานทำไม? เพราะอะไร?  เราไม่รู้ไง เพราะเรายังเป็นมนุษย์

ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ โยเซฟก็มองเห็นแค่ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า ตามประสาของมนุษย์ทั่วๆ ไปว่าความทุกข์นี้ กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาอย่างไร? เช่น เขากำลังจะถูกขายเป็นทาส ไปอยู่ต่างถิ่นทรมาน ต้องเจอกับความทุกข์ทรมานในคุก เจอความยากลำบากขนาดไหนก็ไม่รู้? ก็ต้องกลัวอย่างนี้แหละ เหมือนเราทั้งหลาย  ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ เราไม่รู้จริงๆ หมอก็บอกรักษาไม่หาย เงินก็ไม่รู้จะไปหามาจากไหนให้เขา? แล้วทำไมต้องเป็นอย่างนี้? แล้วรู้ไหมว่าพระเจ้าอยู่ด้วย? ก็รู้ ทิ้งพระเจ้าไหม? ไม่ทิ้ง อย่างไรก็ไม่ทิ้งแน่นอน แต่ทำไมเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราอย่างนี้ เราก็ดิ้นรนไปเรื่อยๆ เหมือนโยเซฟที่กำลังกลัว

จนกระทั่งเวลาผ่านไป นี่สำหรับโยเซฟนะ โยเซฟเริ่มเห็นคำตอบ เริ่มเข้าใจแผนการของพระเจ้า เหมือนที่โยเซฟได้พูดกับพี่ชายว่า …

“มิใช่พี่ ที่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้เรามา เพื่อที่ว่าเราจะสามารถช่วยครอบครัวและบ้านเมืองของเราได้ในวันนี้”

พูดง่ายๆ โยเซฟรู้ว่าพวกพี่ชายเป็นเพียงแค่เครื่องมือ ที่พระเจ้าใช้ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ตามแผนการที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ทั้งสิ้น ถามว่าเชื่อเพราะอะไร? เพราะมันเกิดขึ้นแล้วไง มันอ๋อ! แล้วไง วันที่เราเกิดปัญหา เราคิดไม่ออกเลย เราก็คิดแต่พระเจ้าอยู่ไหน?ๆ แต่พอพระเจ้าทรงตอบ ทรงนำ พาไป แผนการค่อยๆ เปิดขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็น

“อ๋อ! เมื่อวานนี้ หรือเมื่อปีที่แล้ว หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่เขาโกงเราจนหมดตัว เพื่อเราจะได้เปลี่ยนอาชีพ และมาเป็นอาชีพนี้ แล้วมันดีกว่าเก่าเยอะแยะมากมายไปหมดเลย  ขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว”

เจ๊งไปหมดทุกอย่าง  แต่ตอน 2 ปีที่แล้ว เราทำไม?

“เชื่อพระเจ้า ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระเจ้าหมด ทำไมมันเป็นอย่างนี้”

สามปีผ่านไป ยี่สิบปีผ่านไป โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า ใน 20 ปีที่แล้ว ถ้าเผื่อไม่เป็นอย่างนั้น ป่านนี้ เราไม่เป็นอย่างนี้ ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนไหม? เหมือน

เรื่องราวของโยเซฟ เป็นตัวอย่างให้เราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการที่บอกว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนกับที่พระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา และโยเซฟก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่น หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ตามที่เราชอบ บางคนคิดอย่างนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อยากได้อะไรก็สบายสิครับ อยากมาเป็นคริสเตียนจัง เข้าใจผิด แต่มันหมายถึงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตของเรา จากนี้ต่อไป เราเป็นเพียงแค่จิ๊กซอตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของภาพแผนงานใหญ่ของพระเจ้า ที่เราไม่เห็นเบ่อเริ่มเทิ่มนั่น แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งภาพที่มองนั้น  แตกต่างจากที่พระเจ้ามองอย่างสิ้นเชิง แผนการของเรา ความต้องการของเรา กับแผนการของพระเจ้า ความต้องการของพระเจ้า ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนฟ้ากับเหว

หลายครั้งเราต้องการให้เป็นไปตามความต้องการของเราเอง เพราะเราคิดล่วงหน้า แค่ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง อาจจะครึ่งชั่วโมงหน้า หรือไม่ก็พรุ่งนี้ หรือเดือนนี้  เพราะเราอยากจะสบายกว่านี้ เดี่ยวนี้ เร็วๆ เลย คิดสั้นๆ พูดง่ายๆ แต่แผนการพระเจ้าบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์อนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์มองไปถึงโน่น เป็นนิรันดร์ปี และไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนเดียว มันไปเกี่ยวพันกันหมดเลยทุกอย่าง ไม่ใช่โยเซฟทุกข์ทรมาน เพื่อจะช่วยเหลือครอบครัวเขาเท่านั้น แผนการของพระเจ้าเยอะแยะ

โยเซฟก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ทำให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในกรุงเยรูซาเล็ม มาตายที่กรุงเยรูซาเล็ม มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งโลก จนมาถึงทุกวันนี้ด้วย ก็คือหนึ่งในจำนวนแผนการของพระเจ้า ที่จะทำให้พระเยซูคริสต์มาเกิด เห็นภาพไหม?  โยเซฟไม่รู้เลยว่าถูกใช้ขนาดไหน? แค่โยเซฟรู้บ้างตอนท้ายๆ ว่ามาให้ทนทุกข์ตอนนั้น เพื่อที่จะมาวันนี้ เกิดกันดารอาหาร จะได้ช่วยคนอิสราเอลได้ ก็อาจจะคิดอยู่แค่นั้นเอง แต่พระเจ้ามองไปที่ภาพรวม แล้วเราอ่านเรื่องราวย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์ เราเห็น โอ้โห! นึกว่าช่วยแค่นั้น เปล่า เกี่ยวกับที่พระเยซูจะมาเกิดด้วย ภาพใหญ่มหาศาล

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายในสายตาเราก็ตาม จงระลึกไว้เสมอว่าแผนการของพระเจ้า จะเป็นแผนการที่ดีเสมอ เพื่อสวัสดิภาพ และสิ่งที่ดีสำหรับผู้ที่รักพระองค์ และสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด ที่ทรงใช้เราขนาดนี้ มันเกี่ยวพันกันทั้งหมดเลย  มองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รอคอยวันแห่งการไถ่ถอน รอคอยวันแห่งการช่วยเหลือของพระเจ้าทั้งสิ้น มันก็ผ่านทางมนุษย์เรา ช่วยเรา บางทีเราอาจทนทุกข์อะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้คนเขาตัดต้นไม้ทำลายป่า เพื่ออะไรบางอย่าง เต็มไปหมด เข้าใจใช่ไหมครับว่าแผนการของพระเจ้าใหญ่ยิ่งขนาดไหน? บางทีเราคิดว่าเป็นผลดีสำหรับคนเดียว ไม่ใช่ เป็นผลดีสำหรับเราด้วย และในขณะเดียวกัน เป็นผลดีสำหรับแผนการของพระเจ้า เกี่ยวข้องกับส่วนรวมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ในมหาจักรวาลนี้ทั้งหมด นี่แหละคือการรับใช้พระเจ้าที่แท้จริง ต้องคิดอย่างนี้

ถ้าคิดว่ามารับใช้พระเจ้า คือมาโบสถ์ มาทำงานโบสถ์ มาเทศนา ไปประกาศข่าวประเสริฐ มันไม่ใช่แค่นั้น นั่นมันส่วนเดียว นิดเดียว รับใช้พระเจ้า คือทุกลมหายใจ ที่คุณเข้าออกตอนนี้ กำลังใช้อยู่นั่นแหละ เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับคุณไง? เอเมน ถ้าพระเจ้าไม่สถิตอยู่กับคุณ ก็อีกเรื่องหนึ่ง พระเจ้าก็ยังทรงใช้อยู่  พระเจ้าใช้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

การรับใช้พระเจ้า ก็คือการเป็นจิ๊กซอตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่นิ่งๆ แล้วก็เชื่อฟังพระเจ้า นิ่งในตำแหน่งที่พระเจ้าวางไว้ แค่นั่นเอง ถ้าคุณไม่นิ่ง พระเจ้าก็ทำได้เหมือนเดิม แต่คุณเองนั่นแหละจะเหนื่อย และเจ็บเปล่าๆ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าถีบประตักมันเจ็บตัวเอง

เปาโลก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระเยซูบอกว่าอย่าถีบประตักเลย   เจ็บตัวเปล่าๆ ประตักก็เหมือนหอก  แหลมๆ ไปถีบมัน   เราก็เจ็บเอง   อย่าลืมว่าเราเป็นจิ๊กซอตัวเล็กตัวหนึ่ง ในภาพใหญ่ๆ ของมหาจักรวาลนี้ ที่พระเจ้าต้องการให้เป็น ที่พระเจ้าต้องการให้มาเกิดขึ้น หรือวาดแผนงานไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราทั้งหลายรวมเรียกกันว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า เอเมน

เวลาเราอธิษฐาน “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

จงจำไว้ว่ามันใหญ่เกินมากกว่าที่เราจะคิด ยกตัวอย่างว่าถ้าเราจะทำคริสตจักรนี้ ทำหอประชุมนี้ใหม่ อีกไม่กี่ปี? เราจะย้ายไปอยู่ที่ไหน? เราอธิษฐาน จบลงด้วยว่า …

“ที่นี่ก็ดี ที่นี่น่าไปอยู่มากเลย เราไปดูมาแล้ว สถานที่ดีมาก เหมาะทุกอย่าง ที่ดินเขาก็ให้เราฟรีด้วย ดีหมดเลย”

แต่สุดท้าย ก็คือมันใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ เพราะว่าโบสถ์นี้ เป็นแค่ฝุ่นเล็กๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในแผนการรวมของพระเจ้าทั้งหมด ในมหาจักรวาล เอเมนไหม? อย่างนี้มันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสใช่ไหมว่าเราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ที่เหลือก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าก็แล้วกัน

ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเรามั่นคงในความเชื่อได้แบบนี้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน?  ยึดมั่นในถ้อยคำพระเจ้า ในหนังสือโรม 8:28 บอกไว้ชัดเจนมากเลย

โรม 8:28 “และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียก ตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

“บรรดาผู้ที่รักพระองค์” ไม่ได้หมายถึงคนนั้น  คนเดียว สมัยก่อนผมก็นึกว่าข้อนี้หมายถึงว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดี สำหรับผมคนเดียว ไม่ใช่ อย่าเข้าใจผิด พระองค์ไม่มีความลำเอียงถึงขนาดนั้นหรอก รักเราที่สุด และรักทุกคนที่สุดเหมือนกัน รักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ความสวยงามที่พระองค์ทรงสร้างมาที่สุดเหมือนกัน และพระองค์ทรงทำให้มันสวยงามอย่างนั้นได้แน่นอน เอเมน ถ้าเราไม่ให้พระองค์ใช้ พระองค์ก็ไม่ใช้เราหรอก แล้วคุณจะหนีไปไหน? หนีไปไหวเหรอ หนีไปได้ไหม?

ตรงนี้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ใช่ดีอย่างเดียว ดีสำหรับส่วนรวมทั้งหมดเลย เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระประสงค์ของพระองค์ ก็คือน้ำพระทัยของพระองค์ … น้ำพระทัยของพระองค์ คือเป็นไปตามแผนการใหญ่ของพระองค์ในจักรวาล ที่เราไม่รู้ ภาพนั้นใหญ่ขนาดไหน? วันหนึ่งเราจะเห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณของเรา

ถ้าเราสามารถเชื่อมั่น 2 สิ่งนี้ได้ คือ …

(1) พระเจ้าสถิตอยู่กับเราด้วย ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา

(2) ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี สำหรับทุกๆ อย่าง อย่างแน่นอน ไม่ใช่ดีสำหรับเราอย่างเดียว แต่ดีสำหรับผู้คนรอบข้างด้วย

ถ้าเราเชื่อมั่นได้แบบนี้ ทั้ง 2 อย่างนี้ รับรองว่าเราจะผ่านเหตุการณ์ทุกอย่าง ทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ได้อย่างสบาย

คำว่า “สบาย” อย่างที่ผมบอก ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ ลุ่มๆ ดอนๆ  นี่แหละเขาเรียกว่ารับใช้ เกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เป็นไร? พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และพระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น และเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น พระองค์ทรงมีพระประสงค์ของพระองค์ ตามแผนการของพระองค์อย่างแน่นอน แล้วพระประสงค์ของพระองค์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราและทุกคน  ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น  เราจึงสามารถเอเมน ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี

เห็นไหม? มันมีเหตุผลของมัน ตามถ้อยคำพระเจ้า มีตัวอย่างของมันตามถ้อยคำพระเจ้า พอมีตัวอย่าง มีเหตุผลของพระเจ้ามายืนยันอย่างนี้  เราก็รู้สึกมาถูกทางแล้ว ทำให้ถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้อย่างนี้เสมอไปนะครับ พอความทุกข์เข้ามา ถ้อยคำที่เคยท่องได้อยู่ตลอดเวลา มันก็หายไป คำบรรยายที่ฟังวันนี้ มันก็หายออกไปจากสมอง กลายเป็นคำเดิมออกมา เหมือนเดิม ก็ไม่แปลก

จึงมีคำกล่าวว่า “ความทุกข์ยากลำบาก จะทำให้เกิดผลได้ 2 ทาง”

ทางที่ 1 คือบั่นทอนความเชื่อของเรา

ทางที่ 2 คือทำให้ความเชื่อของเรา มีจิตวิญญาณที่เติบโตเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เอเมน

ใครอยากได้อันที่หนึ่งบ้าง? ไม่อยาก เราอยากได้อันที่สอง พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าจะพาท่านไปอันที่สองแน่นอน ท่านจะมีความเชื่อมั่นคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่โยเซฟมี ขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสามารถคุยกับคนที่ทรยศคุณได้ว่า …

“วันนั้น เธอทำฉันอย่างนี้ 20 ปีผ่านมาแล้ว ฉันจำไม่ผิดเลยจนทุกวันนี้ ฉันอภัยให้เธอ”

พูดอย่างนี้เหรอ ไม่ใช่แล้ว

“ฉันจำได้นะวันนั้น แต่ไม่ใช่ท่านหรอก ท่านไม่ต้องมาขออภัยฉันเลย พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น เพื่อสิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นในวันนี้”

เปลี่ยนไปไหม? แต่ต้องรอหน่อยนะ มันไม่ได้วันนี้หรอก มันต้องค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย ให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งขึ้นด้วยการเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่สนุกสนาน พระเจ้าพาเราผ่านเข้าไปในนั้น โดยที่พระองค์ทรงอยู่กับเราด้วย พระเยซูพาเราขึ้นโรลคอสเตอร์ หรือรถไฟเหาะ ที่เด็กๆ เล่น ไม่ใช่เด็กแล้ว โตแล้ว ที่มันหมุนได้  เสียวน่าดู แต่พระเยซูนั่งอยู่กับเรา ไปไหม?  ไม่อยากไป ก็ต้องไป เพราะคนซื้อตั๋ว ไม่ใช่ท่าน พระองค์เป็นผู้ซื้อตั๋ว ท่านไม่ไป ท่านก็ต้องไปอยู่ดี มันเหมือนอย่างนั้นแหละ มันจะมีโค้งต่อไปไหม  ผมเคยขึ้นครั้งหนึ่ง ขนาดตอนนั้น ก็อายุน้อยกว่านี้ไม่เท่าไร? จะลงแล้ว ตอนขึ้นสบายยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกจัง สบาย พอกำลังลง เอาจริงเหรอ อ๊ากกกกก มีใครไม่ตะโกนบ้าง ผมว่าไม่มี กล้าอย่างไร? ก็ตะโกนเหมือนกันล่ะ

“พระเจ้าอยู่ไหน? ไหนบอกว่า … (แล้วก็ใส่ไปเอง อยากจะใส่อะไร ก็เชิญ)”

ส่วนจะไปทางไหน?  ขึ้นอยู่กับเราว่าเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างไร? แบบไหน? หรือ ตอบสนองเหตุการณ์ทุกข์ยากนั้นอย่างไรบ้าง? ตอบสนองให้ดีๆ มันก็ช่วยให้เรามีความเชื่อเพิ่มขึ้น ตอบสนองไม่ดี ก็ทำให้เราความเชื่อท้อแท้เหี่ยว จะเอาอย่างไร? อดทนหน่อย ให้มันขึ้นไปดีกว่า ถึงแม้ท่านเหี่ยวอย่างไร? เดี๋ยวพระเจ้าก็ต้องหนุนท่าน ในที่สุดท่านก็ขึ้นไปได้อยู่ดี

ในพระคัมภีร์เดิม เมื่อบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับคนนี้ สถิตอยู่กับดาวิด สถิตอยู่กับโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่รอบๆ ตัวเขา อาจจะเป็นทูตสวรรค์มาเป็นบางครั้ง ผมก็ไม่รู้ แต่ก็สถิตอยู่ด้วย  แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วให้พระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเรานั้น แปลว่าสถิตอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเจ้าอยู่ในเราแล้ว ไม่ใช่อยู่ด้วยกับเรา แต่อยู่ในเราเลย ข้างในนี้เลย ยิ่งชัดใหญ่เลย เราพิเศษกว่าตั้งเยอะ ขอบคุณพระเจ้า พระคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ในเรา

สมัยก่อนนี้ เขาแสวงหาคนพิเศษที่พระเจ้าจะสถิตอยู่ด้วย โยเซฟพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ พอเชื่อพระเยซู เราเป็นคนพิเศษมากเลย ไม่ใช่สถิตอยู่ด้วยกับเรา แต่สถิตในเรา เข้ามาอยู่ในเราเลย นี่คือความพิเศษ

ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย หลายครั้งเราก็อยู่ในความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน  ที่โยเซฟต้องผ่าน แต่เรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา อยู่ในเรา  ในพระเยซูคริสต์ แม้บางครั้ง  เราไม่อยากที่จะเผชิญกับสถานการณ์อย่างนั้นเลย ความทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น เราอธิษฐานทูลขอพระเจ้าในสิ่งที่เราอยากได้ ในสิ่งที่เราต้องการให้เป็น มันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด ทำไมอธิษฐานแบบนี้  จะเอาสบายเสมอ (ทุกคน) มันเป็นอย่างนี้แหละ มีใครอยู่ดีๆ อธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอยากจะทุกข์มากกว่านี้อีกนิดหนึ่งได้ไหม? ขอความทุกข์หน่อยหนึ่ง ขอปัญหาเยอะขึ้นอีกนิดหนึ่ง”

ไม่มี ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ถ้ามนุษย์มันต้องอย่างนี้ทุกคน อยากให้มันจบๆ ปัญหา อยากให้มันหลุดปัญหาไป คือมันเจ็บปวดจริงๆ

“ขอเถอะ พระเจ้าช่วยด้วย”

แต่อย่างที่บอก เหมือนพระเยซูที่สอนเรา แต่สุดท้าย ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า นี่คือของแท้ ถ้าพระเจ้าอยู่ในตัวเขาจริงๆ จะเป็นอย่างนี้

พระเยซูเองก็เป็นตัวอย่าง ในการอธิษฐานเช่นนี้ เช่นเดียวกัน ในสวนเกทเสมเน ไม่อยากเลย ไม่อยากจะจากพระเจ้า แยกจากพระเจ้า ไม่อยากจะรับบาปของมนุษย์ ไม่ไหวแล้ว แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้วกัน วางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์สอนให้เราอธิษฐานตามอย่างพระองค์ ขออย่าได้เป็นตามความประสงค์ของลูก แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะเรารู้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นการรวมทั้งหมดที่ยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงทำให้ดีทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนได้ดีหมด

นี่คือเหตุผลที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐานตรงนี้  ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง จัดเตรียมทุกอย่าง ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น วางไว้ให้พระองค์ มอบให้พระองค์ไปเลย เอเมน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2016 เรื่อง “การเป็นขึ้นมาใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันครบรอบหนึ่งสัปดาห์ของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเรามาเริ่มต้นด้วยถ้อยคำในพระคัมภีร์  ที่จะตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของวันศุกร์ประเสริฐ  และวันอีสเตอร์ ที่เราได้รับพระพรจากพระเจ้าร่วมกัน ที่เราได้มาร่วมกันระลึกถึงสิ่งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และได้เฉลิมฉลองกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

และวันนี้จะใช้หัวข้อเรื่อง ชื่อว่า “การเป็นขึ้นมาใหม่” เรียนเพื่ออะไร?  เพื่อเราทั้งหลายจะได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่ผ่านมา วันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ วันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนและวันเป็นขึ้นมาใหม่นั้น มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเราอย่างไร?  เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราอย่างไร? เราในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี้  ที่รู้จักพระเยซูแล้ว ที่รู้ว่าข่าวดีนี้ เป็นอย่างไรแล้ว ไม่ใช่แค่นั้น  เราหมายถึงมนุษยชาติทั้งปวงด้วย

เราจะเริ่มต้นจากหนังสือโรมนะครับ เปิดไปที่หนังสือโรม 6:5-9

โรม 6:5-9 “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในวันศุกร์ประเสริฐและวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้เกิดขึ้นแล้ว และมันเป็นผลมาถึงชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย มันได้เกิดขึ้นแล้วกับชีวิตของเราด้วย แต่ข้อพระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ และแน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากการตายเหมือนพระองค์ด้วย พระองค์เป็นตัวแทนใช่ไหมครับ? เราตายกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย ทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนให้กับพระองค์

คำแรก คือคำว่า “ถ้า” ถ้า ก็คือถ้าท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์ทรงพูดมาทั้งหมดนั้น เป็นความจริง พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เพื่อเป็นแพะรับบาป รับโทษแทนพวกเราทุกคน ถ้าท่านเชื่ออย่างนี้ ท่านก็มีส่วนร่วม ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ และได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ในวันอาทิตย์ด้วย เราตายและเราเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ บรรทัดสุดท้ายเขียนว่าอย่างไร?  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ด้วย ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ การเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เราก็เป็นด้วย  และเรามีชีวิตร่วมอยู่กับพระองค์ ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

เชื่อในนี้ คืออะไร?  ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูบอกให้เราประกาศออกไป เรื่องพระเยซู ถ้าใครเชื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขา ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เกิด เพราะในนั้นเขียนว่า “ถ้า” พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นเรื่องของพระองค์ เราก็อยู่ส่วนเรา เพราะเราไม่เชื่อไง แค่นี้เอง และเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราเองก็ถูกตรึงและตายไปพร้อมกับพระองค์ด้วย และเมื่อวันอาทิตย์ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนกับพระองค์ด้วย นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะเลย หลายคนเริ่มงงว่าตายอย่างไร? เป็นขึ้นมาอย่างไร? อาทิตย์ที่แล้วก็นั่งอยู่ วันนี้ก็นั่งอยู่เหมือนเดิม ถูกไหม?

ตามที่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย ความตายตรงนี้ หมายถึงตายและตาย ตาย 2 อัน วันนี้เราจะมาขยายความตรงนี้นะครับ ให้ละเอียดเลย ให้ทุกคนเข้าใจว่าความหมายตามพระคัมภีร์ของการตายและตาย คืออะไร? การเป็นขึ้นจากความตายของเรา มีลักษณะเป็นอย่างไร? ร่วมกับพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? วันนี้ท่านจะเห็นทะลุปุโปร่ง เรื่องข่าวประเสริฐตรงนี้

เรามาเริ่มต้นดูถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าแผนการของพระเจ้า ในเรื่องการตายและการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์นั้น จริงๆ แล้ว เป็นแผนการสำหรับเราทั้งหมดเลย ที่พระเยซูต้องตาย ก็เพราะเรา คือมวลมนุษยชาติได้ตายไปก่อนแล้ว และเพราะพระเจ้าต้องการให้เราได้เป็นขึ้นจากความตาย คือมวลมนุษยชาติเป็นขึ้นจากความตาย  จึงทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายก่อน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ที่ต้องเกิดขึ้น ก็เพราะเรา ก็คือมวลมนุษยชาติ จึงจำเป็นต้องให้มีอย่างนี้เกิดขึ้น  1 โครินธ์ 15:15-20

1 โครินธ์ 15:15-20 “15 ความจริง คือถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา 16 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน 17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน 18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป ในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย 19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง 20 แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

 

พวกเรามักจะคุ้นเคยกับคำสอนที่บอกว่า …

“เหตุเพราะพระคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย พวกเราจึงได้รับความรอดและเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย”

ฟังดูเหมือนกัน การตายของพระเยซูเป็นเหตุ และความรอดที่เราได้รับ เป็นผล ใช่ไหม?  มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ เพียงแต่วันนี้ผมจะพาท่านไปดูอีกมุมหนึ่ง ถ้อยคำที่เราอ่านไปเมื่อกี้นี้บอก นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้นะ

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตาย เป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

อ่านประโยคนี้แล้ว ท่านลองคิดตามดูว่าอันไหนเป็นเหตุ และอันไหนเป็นผล

“ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา”

“คนตาย” ตรงนี้หมายถึงเรา มวลมนุษยชาตินั่นเอง เพราะผลของความบาป เพราะโทษของความบาป คือความตาย มนุษย์อยู่ในความตายทุกคน ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา พูดง่ายๆ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษยชาติมีโอกาสเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา ก็แสดงว่าเหตุเพราะพระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนที่ตายไป เนื่องจากโทษของความบาป ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพราะฉะนั้น ผล ก็คือพระคริสต์จึงต้องมาตาย ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตาย ในวันที่สามไง

ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไปนะ ถ้อยคำตรงนี้ก็จะได้เป็นแบบนี้ว่า …

“เพราะพระเจ้าทรงต้องการให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์จึงทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา”

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ ก็คือพระองค์ต้องการให้เราเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูคริสต์จึงต้องเป็นขึ้นจากตาย เมื่อวันอีสเตอร์ สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

มาดูต่อกันข้อ 20 บอกว่า “แต่นี่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป”

คำว่า “บรรดาผู้ที่ล่วงลับไป” ตรงนี้จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่เขาจะใช้คำว่า sleep ที่แปลว่า “นอนหลับ” พระคัมภีร์ภาษาไทยบางฉบับ ก็ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ก็คือหลับ เหมือนกลางคืน เราหลับไปอย่างนั่นแหละ เมื่อพูดถึงคำว่าตาย พวกเราทุกคนก็นึกถึงโลงศพ คิดถึงสุสาน คิดถึงร่างกายที่หมดลมหายใจ คิดถึงงานศพ  คิดถึงงานไว้อาลัย คิดถึงความเน่าของร่างกายนี้ไป หยุดทำงาน

แต่จริงๆ แล้ว ในพระคัมภีร์ที่เราใช้คำว่าตายตรงนี้ หมายถึงทางฝ่ายวิญญาณ อย่างเดียวเลย ถ้าพระเยซูพูดคำว่า “ตาย” ในพระคัมภีร์หมายถึงตายทางด้านวิญญาณ มิได้หมายถึงร่างกายหยุดลมหายใจ  ไม่ทำงานอีกต่อไป สมองไม่ทำงาน เน่า เฟะ อะไรอย่างนี้

ส่วนการสิ้นสุดชีวิต ทางร่างกาย การหยุดทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  สมองไม่ทำงาน หัวใจหยุดเต้น นี่เห็นชัด เราเรียกกันว่าตาย  ถูกไหม? พระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ล่วงหลับ” ไม่ใช้คำว่า “ตาย” เพื่อให้มันแยกกัน มัทธิว 9:23-26

มัทธิว 9:23-26 “23 เมื่อพระเยซูมาถึงบ้านของหัวหน้าที่ประชุมชาวยิว ก็เห็นคนเป่าปี่ และคนมากมายกำลังร้องไห้กันอยู่ 24 พระองค์บอกว่า “ออกไปให้หมด เด็กคนนี้ยังไม่ตาย แต่กำลังหลับอยู่” พวกนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะพระองค์ 25 เมื่อคนพวกนั้น ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว พระเยซูเข้าไปในห้องของเด็ก จับมือเธอ แล้วเธอก็ลุกขึ้นมา 26 เรื่องนี้ได้เลื่องลือกันไปทั่วแคว้นนั้น”

 

นี่คือหลักฐานชัดเจน  คนทั่วไปบอกว่าตาย ก็คือตายจริงๆ เด็กคนนี้หยุดลมหายใจแล้ว แต่พระเยซูบอกว่าหลับ

ดูอีกตอนหนึ่ง พระเยซูเสด็จไปรักษาลาซารัส คือลาซารัสกำลังป่วย และพระเยซูซึ่งขณะนั้นอยู่คนละเมือง ได้ข่าว แต่ทรงทราบแล้วว่าร่างกายของลาซารัสหยุดการทำงานไปแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายไปแล้ว  และพระองค์จะไปทำการปลุกร่างกายนั้นให้เป็นขึ้นมาใหม่ คือพูดง่ายๆ ว่าจะไปชุบชีวิตลาซารัสที่ตายไปแล้ว อยู่ในหลุมฝังศพ มาดูว่าพระเยซูใช้คำว่าอะไร? ยอห์น 11:11-14

ยอห์น 11:11-14 “11 หลังจากที่พระองค์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็บอกพวกศิษย์ว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเรากำลังหลับอยู่ แต่เราจะไปที่นั่น เพื่อปลุกเขาขึ้นมา 12 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า หากเขาหลับ อาการก็คงจะดีขึ้น” 13 พระเยซูได้ตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าทรงหมายถึงการนอนหลับธรรมดา 14 ดังนั้น พระองค์จึงทรงบอกพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว”

 

พวกสาวกไม่รู้ เพราะเหตุการณ์อยู่คนละเมือง ไกลกัน แต่พระเยซูรู้แล้ว ตอนที่พูดนั้น ลาซารัสอยู่ในอุโมงค์ฝังศพแล้ว ภาษามนุษย์ก็คือตายนั่นเอง  แต่พระองค์ใช้คำว่า “หลับ”

อีกตัวอย่างหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ก็มีพูดถึงคนที่ตายทางฝ่ายร่างกาย ก็คือร่างกายหยุดทำงาน หยุดหายใจแล้ว สมองเริ่มไม่ทำงาน หายใจเฮือกสุดท้าย  หมดไปแล้ว  พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับไป” 1 พงศ์กษัตริย์ 2:10

1 พงศ์กษัตริย์ 2:10 “จากนั้น ดาวิดก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และถูกฝังไว้ในเมืองดาวิด”

 

หลับอะไรไปอยู่กับบรรพบุรุษ ตามมนุษย์เรียกว่าตาย แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “หลับ” เดี๋ยวจะรู้ว่าทำไมพระคัมภีร์ แยกให้เห็นชัดเจน เพื่อเล็งไปถึงเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในวันศุกร์ และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม อีสเตอร์

ถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ในการทำพิธีไว้อาลัย ก็เรียกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก็คือจากไปอยู่ก่อนแล้ว ก็คือเจ้าของงานศพ ก็คือคนที่มนุษย์เราเรียกว่าตายแล้ว  ดูสิว่าเปาโลใช้คำว่าอะไร?  1 เธสะโลนิกา 4:13

1 เธสะโลนิกา 4:13 “พวกเราอยากให้พี่น้องเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับคนที่ล่วงหลับไปแล้ว ท่านจะได้ไม่เศร้าโศกเสียใจ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง”

 

สมองหยุดทำงาน ร่างกายหยุดทำงานทั้งหมด นิ่งเลย ตัวเริ่มแข็ง เพราะว่าหัวใจก็ไม่เต้นแล้ว พระคัมภีร์ทั้งหมดใช้คำว่า “หลับ”

พระเยซูเก็บคำว่า “ตาย” ไว้ใช้กับสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นเยอะ ก็คือการตาย ทางวิญญาณ ที่ต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง แยกกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  เป็นคนละข้างกับพระเจ้า อย่างนี้แหละเรียกว่า หลับกับตายมันแตกต่างกันอย่างนี้แหละ

ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่จะหมดลมหายใจ พระองค์ได้ตะโกนร้องเสียงดังว่า

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”  ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์  ไฉนทรงทอดทิ้ง ข้าพระองค์เสีย”

ก็คือไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ตาย … ตาย แปลว่าถูกทอดทิ้ง แยกออกจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้วตอนนั้น  ตะโกนแบบนี้ ก็เพราะพระเยซูได้กลายเป็นคนบาปแล้ว เพราะได้แบกรับเอาบาปทั้งหลายของมนุษยชาติไว้ ที่ตัวของพระองค์ ที่บนไม้กางเขน และเมื่อเป็นคนบาป  ก็ต้องได้รับโทษของความบาป โทษความบาป คือความตาย

 

ตายตรงนี้ ก็คือตายทางวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวกับการหลับอะไรเลย   ท่านเห็นชัดแล้วใช่ไหม?  คือวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้แล้ว  เป็นศัตรูกับพระเจ้าอีกต่างหาก ตาบอด ไม่รู้จักพระเจ้าแล้ว  ตลอดชีวิตของพระเยซูที่เดินบนโลกใบนี้  ก็มีครั้งนี้แหละ ที่พระเยซูไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าอยู่ห่างไกลเหลือเกิน  เพราะวิญญาณของพระเยซูได้ตายไปแล้ว

นี่คือตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นลมหายใจ วิญญาณตายก่อนแล้ว และถึงตายทางร่างกายทีหลัง ถ้าเราศึกษาในพระคัมภีร์จะพบว่าอันที่จริงแล้ว อาจจะพูดได้ว่าพระเยซูได้รับโทษของความบาป  ตั้งแต่ก่อนหน้าที่อยู่บนไม้กางเขนแล้ว พระเยซูติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง พระเจ้าออกห่างพระเยซูตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว วิญญาณของพระเยซูเริ่มตายไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขนเสียอีก เรารู้ได้ไง? ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าตั้งแต่คืนวันพฤหัส ก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงไม้กางเขน ที่พระเยซูไปอธิฐานกับพระเจ้าที่สวนเกเสมเน พระองค์อธิษฐาน 3 ครั้ง ทำไมต้อง 3 ครั้ง ? เพราะพระเจ้าหายไปแล้ว ตลอด 33 ปี พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์แล้วเดินบนโลกใบนี้ มาถึงเหตุการณ์ในสวนเกเสมเน พระเยซูคุยกับพระเจ้าตลอด พระเยซูทรงบอกเสมอว่า …

“สิ่งที่เราพูด เราพูดตามพระบิดาของเรา พระบิดาบอก เราก็พูด”

แต่ตอนนี้ทำไมต้องอธิฐาน 3 ครั้ง เพราะว่าพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พอมาถึงคืนวันพฤหัสก่อน วันศุกร์ประเสริฐ พอเริ่มแผนการชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติ โทษแห่งความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ก็ต้องมาตกอยู่ที่พระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงต้องรับโทษของความบาป คือความตายทางวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายบนโลกนี้ พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ พระคัมภีร์บอกค่าจ้างของความบาป คือความตายทางฝ่ายวิญญาณ ร่างกายของพระองค์ยังเดินอยู่บนโลกนี้ แต่วิญญาณพระองค์ถูกทอดทิ้งแล้ว พระเจ้าละพระองค์แล้ว พระองค์เริ่มเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่คืนวันพฤหัสแล้ว และพอมาถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์ เป็นการเป็นขึ้นมาใหม่ ทั้งจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ และเป็นการเป็นขึ้นใหม่จากการตายแบบล่วงลับไป คือตายฝ่ายร่างกายด้วย หลับไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมาด้วย และวิญญาณที่ตายไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ยอห์น 6:39-40

ยอห์น 6:39-40 “39 พระประสงค์ของพระบิดา ผู้ทรงใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้ฟื้นขึ้นมา ในวันที่สุด 40 เพราะนี่แหละ เป็นพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตร ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะ ให้ผู้นั้น ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย” เอเมน

 

แผนการพระเจ้า ยิ่งเรียนรู้มากปีเท่าไร ไม่จบสิ้นเลย สนุกสนาน ลึกซึ้งเท่าไร เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ ความเหลือเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา คือเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พระคัมภีร์พูดอย่างไร? นี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ใช้เรามา ก็หมายถึงพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคน

“ทุกคน” หมายถึงทุกคนที่เป็นมนุษย์ ที่เห็นพระบุตร ก็คือเชื่อในเรื่องพระเยซู ได้มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นคืนมาในวันสุดท้ายด้วย เอเมน 2 อย่างเลย พระประสงค์ของพระเจ้า คือผู้ที่เชื่อในพระบุตรจะได้มีชีวิตนิรันดร์ และฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย

สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระบุตร จะได้ 2 อย่าง

(1) คือจะได้มีชีวิตนิรันดร์ คือทางวิญญาณ ไม่มีการตายอีกต่อไป ซึ่งตายตรงนี้แปลว่าถูกทอดทิ้ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกแยกกับพระเจ้า ถูกสาป ลงโทษ กบฏต่อพระเจ้า พวกกบฏทั้งหลาย  นี่คือตำแหน่งของเรา  แต่ถ้าเราเชื่อพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระองค์ในวันที่สาม สิ่งนี้เป็นของเรา คือชีวิตนิรันดร์เป็นของเรา ต่อไปนี้ เราจะไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าตลอดกาล เราจะไม่ถูกแยกจากพระเจ้า จะไม่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งตลอดกาล เราจะไม่ถูกสาปแช่งตลอดกาล ยอห์น บทที่ 11 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ ยอห์น 11:25-26

ยอห์น 11:25-26 “25 ทุกคนที่ไว้วางใจเรา แม้จะตายไปแล้ว ก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีก 26 และทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และไว้วางใจในเรา ก็จะไม่มีวันตาย” เอเมน

 

เอาใหม่ ไม่พอ อ่านไม่ค่อยได้อารมณ์เท่าไร? อ่านอีกทีหนึ่ง แหม! มันควรจะค่อยๆ

คำว่า “ไม่มีวัน” หมายถึงนิรันดร์ ไม่ได้หมายถึง 80 ปี 100 ปี 120 ปี ที่อยู่บนโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า

(2) สิ่งที่ผู้เชื่อในพระบุตรจะได้รับอย่างที่ 2 คือผู้นั้น เมื่อล่วงหลับไปแล้ว หมายถึงเมื่อร่างกายหยุดการทำงานทั้งปวง ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ก็จะได้ฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันสุดท้าย คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ สะอาดหมดจด เมื่อถึงวันสุดท้ายของโลกนี้ เข้าสู่โลกหน้า โลกใหม่ เมื่อพระเยซูคริสต์ เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เอเมน ซึ่งในวิวรณ์บันทึกไว้ วิวรณ์ 11:3-4

วิวรณ์ 11:3-4 “3 บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา    เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเอง จะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”

 

วิวรณ์ คือหนังสือที่บอกถึงเหตุการณ์อนาคต เมื่อโลกใหม่ของพระเจ้ามา เมื่อสิ้นสุดของโลกนี้แล้ว สมมติ เมื่อแกนของโลก มันเอียง แตกหมดแล้ว สมมติ เมื่อดวงอาทิตย์มันดับไปหมดแล้ว โลกไม่สามารถอยู่ได้  สมมติ เมื่อดวงหางวิ่งมาชนโลก หมดเลย สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อตะกี้ท่านอ่าน จะเกิดขึ้น

“เมื่อวันที่โลกมันแตกไปแล้ว บัดนี้ ที่ประทับพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์”

“บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับ … (ใส่ชื่อท่าน) แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกสมาชิกของคริสตจักรโฮลี่ที่เชื่อในพระเจ้าทั้งหมด รวมทั้งคนอื่นด้วย ตุ๊กจะเป็นประชากรของพระเจ้า และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเบิร์ดและครอบครัว และเป็นพระเจ้าของนครและครอบครัว พระองค์ทรงซับน้ำตาทุกหยดของ … (ใส่ชื่อเอง ตอนที่คิดว่ามันทุกข์นะ) จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

ไม่ต้องมาลุ้นแล้วว่า “ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอีกนานเท่าไร?”

ไม่ต้องมาลุ้นว่า “ฉันจะมีนิสัยเป็นอย่างไร? แล้วพระเจ้าจะทอดทิ้งหรือไม่?”

ไม่ต้องมาลุ้น เพราะในนี้บอกว่า “จะไม่มีความตายอีกต่อไป”

เมื่อไม่มีความตายอีกต่อไป พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบันทึกว่าผลของการไม่มีความตาย คือผลของการไม่ถูกละทิ้งจากพระเจ้า ก็คืออยู่กับพระเจ้าตลอดกาล แล้วเกิดอะไรขึ้น  ผลของมัน ก็คือจะไม่มีการคร่ำครวญ การร่ำไห้ หรือการเจ็บรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าๆ คือบนโลกใบนี้ ที่เราอยู่กันมาตลอด  มันจบหมดแล้ว  เพราะระบบที่พระเยซูบอกว่าเมื่ออยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา มีความลำบากเป็นธรรมดา มันจบไปแล้ว เอเมน นี่คือความหวังของความเชื่อ ในเรื่องพระเจ้า มันมีเหตุ มีผลอย่างชัดเจน พระคัมภีร์ได้พูดไว้อย่างละเอียดยิ๊บเลย

1 เธสะโลนิกา 5:9-10 “9 เพราะพระเจ้าไม่ได้เลือกพวกเราให้มาถูกพระองค์ลงโทษ แต่ให้มารับความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของพวกเรา 10 พระเยซูตายเพื่อพวกเรา ดังนั้น เมื่อพระองค์มา ไม่ว่าพวกเราจะตื่นอยู่ หรือล่วงหลับไปแล้ว พวกเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์”

 

“ไม่ว่าพวกเราที่เชื่ออยู่ในขณะนี้จะตื่นอยู่ หรือหลับไป”

พวกเราที่เชื่อในพระเยซูจึงไม่กลัวตาย แต่อาจจะกลัววิธีตาย ตอนนี้วิธีตายก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมั่นใจขึ้น ตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะพระเยซูอยู่กับเราด้วย ขณะที่อยู่ในห้อง ICU เราอาจจะสงสารเขา ปรากฏว่าเขาอาจจะนั่งคุยกับพระเยซูทุกคืน ยิ้มอยู่ เพราะพระเยซูอยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะตื่นอยู่หรือหลับ

เพราะเรารู้ว่าการตาย ทางฝ่ายร่างกาย หรือการหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ เป็นเพียงแค่การหลับไปเท่านั้น หลังจากอวัยวะทุกส่วนในร่างกายนี้ ถึงเวลาหยุดการทำงานแล้ว แล้วเรา ก็ไปอยู่กับพระเยซูนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ของพ่อของเรา

นี่คือเหตุที่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้ว เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ยิ้มอยู่ข้างใน เขาไม่อยากจะอยู่หรอก แต่เขาก็ขอให้เป็นตามน้ำพระทัย เขาไม่รู้ว่าพระเยซูจะใช้อะไรเขาต่อไป ขณะที่เขายังมีลมหายใจ ก็คือขณะที่ร่างกายยังไม่เน่าเปื่อย ยังทำงานอยู่บ้าง พระเจ้าสามารถใช้ร่างกายนั้นให้เป็นประโยชน์ ในการประกาศข่าวดีได้ เพราะสิ่งเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือประกาศข่าวดี

 

“แล้วประกาศได้อย่างไร? เขาหลับอยู่ แล้วก็ใส่สายยางเยอะแยะ”

พระเจ้าทำได้ หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าญาติผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พูดอะไรไม่ได้แล้ว อยู่ในห้อง ICU มา 2 ปีแล้ว ลูกมาเชื่อเอาไม่กี่วัน ก่อนที่พ่อจะจากโลกนี้ จะหยุดลมหายใจ ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเจ้าทำงานในครอบครัวคนนั้น ลูกของเราได้เห็นอะไรบางอย่าง ที่พระเจ้าต้องการให้เขาเห็น ผ่านทางพ่อของเขาเอง ที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ท่านเห็นอะไรไหม? นั่นเป็นการประกาศข่าวดี ถ้าไม่ใช้ ท่านก็ไม่ต้องห่วงหรอก พระเยซูพาท่านไปพักผ่อน เขาถึงเรียกว่าไปพักไง การล่วงหลับไป ก็คือการไปพักผ่อนนิรันดร์ พอเห็นภาพหรือยัง? ต้องกลัวอีกไหม? นิดหนึ่ง ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป

คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราเชื่อในเรื่องนี้ มันมีแต่พระพรตลอดเวลา อยู่บนโลกใบนี้ พอมาเชื่อพระเจ้า ตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ตายแล้ว  แฮปปี้แล้ว แค่นี้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว

“ฉันไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ ใครถามฉัน จากโลกนี้ไป ฉันไปอยู่ที่ในสวรรค์แน่นอน”

แค่นี้ก็หลับสบายแล้ว แค่นี้ไม่พอ  ขณะที่ยังไม่ตาย  ทางร่างกายนี้ ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา แล้วกลัวขัดสนไหม? กลัวไม่มีเงินไหม? จบไปแล้ว เรื่องนี้ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ขี้ประติ๋วเลย  พรุ่งนี้ทำงาน เขาไล่ออก กลัวไหม?  ไม่กลัว พระเยซูอยู่ด้วย เขาไม่ได้ไล่เราออก พระเยซูพาเราออกเอง ท่านกลัวอะไรอีกล่ะ พรุ่งนี้ไปหาหมอ … หมอบอกเป็นมะเร็ง

“ไม่ใช่ฉันเป็นคนเดียว”

“พระเยซูเป็นด้วย พระเยซูอยู่ในฉัน”

ถ้าเรารู้เรื่องนี้ โอกาสที่เราจะกลัวอะไรบนโลกใบนี้ มันหมดไป เพราะพระเยซูอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้ และอยู่ด้วยนิรันดร์เลย กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้  เผชิญปัญหาอะไร? พระเยซูก็ไปกับเราด้วย ไม่ใช่พระเยซูจะพาเราไปแฮปปี้ เดินห้างตลอด ไม่ใช่ อาจให้เราเดินแดดร้อนอะไรต่างๆ มากมาย พระเยซูบอกสาวก

“เราไปก่อน ให้ไปทางนี้”

พระเยซูทราบแล้วว่าเดี๋ยวไปทางนี้ เจอพายุ แล้วใครเป็นคนบอกให้เขาไป พระเยซูสั่งให้เขาไปเจอพายุ แล้วพระเยซูมาสถิตอยู่ด้วย แล้วพาผ่านพายุนั้นไป พวกนั้นตื่นเต้นกันใหญ่

ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐพระเยซู ท่านไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป พระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่กับท่าน แต่ไม่ต้องไปคิดว่าอยู่แล้ว ทำไมยังเกิดขึ้น แสดงว่าท่านไม่ได้เชื่อจริงๆ จังๆ ถ้าถามว่าง่ายๆ

“เชื่อ แล้วทำไมสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับฉัน”

“ไปถามพระเยซูเอง พระเยซูอยู่กับเธอจะมาถามฉันทำไมเหล่า ไปถามพระเยซูเอง”

พูดตรงๆ ถ้าท่านไปถามพระเยซู … พระเยซูตอบไหม? ตอบ แต่บางทีส่วนใหญ่เราไม่ได้ถามพระเยซู ถามคนโน้นคนนี้  ก็เลยลืมถามพระเยซู แต่พอเราถามพระเยซู เราก็จะไม่ถามคนอื่นแล้ว เราจะนิ่งๆ เดี๋ยวพระเยซูก็คุยกับเราเอง เราก็โอเค รับได้ กิจการจะเจ๊งสักหน่อย โอเค เขาไล่ออกจากงาน โอเค

นี่แหละการอยู่บนโลกนี้ ผมถึงบอกว่าผู้ที่ได้รับเลือก หรือผู้ที่เลือก เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มันสบายกว่าทุกอย่างเลย ชีวิตได้พักหายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ไม่ใช่รอตายแล้ว ถึงได้รับ

“ใครที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

เป็นสุขทั้งสองอย่าง ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องกระวนกระวายในเรื่องอื่นๆ ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าอยู่ด้วย  ติดขัดตรงนี้  เดี๋ยวพระองค์ก็มาแก้ตรงนี้  เผชิญกันไป เดินไปกับพระเยซูตลอดเวลา ถ้าเรามีความเชื่อเต็มๆ อย่างนี้  ไม่ต้องรอไปสวรรค์ข้างหน้าแล้ว สวรรค์อยู่บนโลกใบนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นี่สวรรค์อยู่ในเราแล้ว รอวันที่เรารับใช้พระเจ้า ให้เสร็จก่อน  เสร็จปุ๊บ เราก็ไปอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ที่เดิม แล้วก็รอรับร่างกายใหม่
นี่คือความเชื่อและความหวังใจสุดๆ ของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย เราก็ตายร่วมกับพระองค์ … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม พร้อมกับพระองค์ เพื่อว่าเราจะได้อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ร่วมกับพระบิดาของเรา ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ทั้งปวงนั่นเอง  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ