วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1436

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ตุลาคม  2023

เรื่อง “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทางวิญญาณ”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            ผู้ที่สำคัญที่สุดในงานวันเกิด คือผู้ที่เกิดนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามวันนี้ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้นั้นสำคัญที่สุดในงานปาร์ตี้นี้ ขอบคุณพระเจ้าในวันนี้ ท่านสำคัญที่สุด พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกสำคัญขนาดไหน? ไม่ใช่เรามาฉลองกันเองอย่างเดียวนะ ในสวรรค์ปิติยินดี เมื่อมีคนๆ หนึ่งได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า นั่นแหละในสวรรค์ปิติยินดีมาก เขาจัดฉลองใหญ่โตเลยนะ  เพราะฉะนั้น วันนี้ เหมือนเป็นปาร์ตี้ ขณะเดียวกัน เล็งให้เห็นถึงปาร์ตี้ในสวรรค์ด้วย คือเหล่าทูตสวรรค์และพี่น้องที่ล่วงหลับ ไปอยู่กับพระเจ้าก่อนหน้านี้ ได้มาฉลองร่วมกันให้กับฉัน ผู้ซึ่งได้บังเกิดใหม่แล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  แล้วยังเดินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังมองไม่เห็นชัด แต่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเป็นวันที่ผมจะบรรยายนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเป็นกระสาย ให้ความสำคัญ ให้ความหมายกับวันนี้ โดยให้ชื่อเรื่องว่า “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทางวิญญาณ” คือการฉลองยินดีในการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณนั่นเอง

            การบัพติศมาในน้ำ ที่เรากำลังจะทำกันในช่วงท้ายของการบรรยายในวันนี้ คือเล็งให้เห็นถึงภาพในโลกวิญญาณ ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คือเล็งให้เห็นถึงภาพวิญญาณหนึ่งวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ไปแล้ว วันนี้เป็นวันแห่งการฉลอง เหมือนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ คือฉลองวันเกิด เราฉลองวันเกิดตามธรรมชาติของมนุษย์ ก็คือคนที่เกิดแล้ว ก็มาฉลองวันเกิด เช่นเดียวกัน คนที่เกิดทางวิญญาณแล้ว มาฉลองวันเกิดด้วยการลงบัพติศมาในน้ำ ฉลองความยินดีที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นการเฉลิมฉลองที่ได้บังเกิดแล้ว เฉลิมฉลอง ยินดี ในสิ่งที่เกิดแล้ว เหมือนแฮปปี้เบิร์ดเดย์ แล้วเหมือนอะไรอีก เหมือนกับครบรอบแต่งงาน ฉลองวันแต่งงาน แต่งไปแล้ว นี่มาฉลอง มาระลึกถึงวันนั้น วันที่เกิดขึ้นไปแล้วนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทางวิญญาณของเขา เขาได้บังเกิดทันทีเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เหมือนเราทั้งหลาย ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ ขณะนี้ หรือที่อยู่ที่บ้านขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วันไหนไม่รู้ เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อชั่วโมงหนึ่งที่แล้ว เราไม่รู้ แต่เรารู้ว่าเราเริ่มต้นได้ยินข่าวประเสริฐเมื่อไร?  และเราไม่ได้ทอดทิ้งข่าวประเสริฐนั้น แต่เราสนใจ และเราฟัง  ขณะที่ฟัง ก็คือเราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระองค์ เริ่มต้น  และถ้าเราไม่หยุด ในการแสวงหาต่อไป ไม่หยุดในการติดตามต่อไป ไม่หยุดในการที่จะยอมรับ หรือรับฟังเฉยๆ ยังไม่ได้เชื่อ เปิดใจรับฟังข่าวดีของพระเยซูว่าเขาว่าอย่างไรนะ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฟังอยู่ เขาเรียกว่าเริ่มต้นเปิดใจ แต่พระเยซูเข้าไปได้หรือยัง? ยังเข้าไปไม่ได้ เพราะเรายังไม่เปิดใจครบ เราแค่เปิดความคิด มันยังไม่ลงไปในใจลึกๆ จริงๆ สักที แค่ได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง วันไหนไม่รู้ อาจจะเป็นชั่วโมงหนึ่งต่อมา หรืออาทิตย์หนึ่งต่อมา หรือปีหนึ่งต่อมา หรือ 3 ปีต่อมา หรือ 30 ปีต่อมา เราได้ยินอีก แล้วเราเริ่มต้นเปิดใจจริงๆ เลย เนื่องจากได้ยินมาตั้งนานแล้ว  จนกระทั่ง เอาล่ะ เปิดใจเต็มที่ นั่นแหละ วันนั้น เราได้เกิดใหม่  พอเกิดใหม่เสร็จปุ๊บ เราก็เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าทันที ทันใด ณ วันนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย  ที่ผมบอกอยู่เสมอๆ ว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวกับโลกใบนี้เลย อะไรก็ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลหน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้น ที่เห็นอยู่ในโลกใบนี้ มันเล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            ยกตัวอย่างง่ายๆ เริ่มต้นสร้างมนุษย์ ที่เราได้ยินได้ฟังว่าบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เริ่มต้นจากดิน ที่เรามองเห็น แต่พระคัมภีร์บอกว่าเขามีชีวิต เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้เป็นชีวิตของเขา ชัดเจนเลย แม้ว่าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ความดีและความชั่ว  ต้นไม้นี้เจ้าอย่ากิน

            เราก็งง ต้นไม้แห่งความดี ความชั่ว อย่ากิน มันคือต้นไม้อะไรหนอ? เล็งไปถึงโลกวิญญาณ  เช่นเดียวกัน เป็นต้นไม้แห่งความตาย คือต้นไม้แห่งการพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่าบาป ต้นไม้แห่งการปฏิเสธพระเจ้า …

            “ฉันไม่สนใจพระเจ้าแล้ว ฉันไม่พึ่งพระเจ้า ฉันจะทำด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะทำให้ตัวฉันเองสมบูรณ์ ดีพร้อม ด้วยตัวฉันเอง ฉันจะเป็นผู้ตัดสินใจชีวิตฉันเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี” แล้วก็ผลักพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้าออกไป

            นี่มันหมายถึงตรงนี้ ในโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ? แต่ในโลกวัตถุบันทึกไว้ว่า “ต้นไม้แห่งความตาย ก็คือต้นไม้แห่งความดีและความชั่ว วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะรู้ว่าอะไรดึอะไรชั่ว ก็คือว่าวันนั้น เจ้าจะเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเองว่าอะไรดี อะไรชั่ว ไม่ได้อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกดี เรียบร้อยแล้ว”

            แต่เจ้าบอก “ฉันยังไม่แน่ใจว่าดีหรือไม่ดี ฉันอยากจะดูแลตัวฉันเอง ฉันรู้สึกว่ายังไม่ดี ฉันทำได้ดีขึ้นกว่านี้”

            ก็เลยปฏิเสธพระเจ้า นี่แหละ กำลังเล็งให้เห็นถึงภาพโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร?

            เพราะฉะนั้น โลกที่เรามองเห็นอยู่นี้  เป็นภาพที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันเป็นจริงเสียยิ่งกว่าโลกที่มองเห็น มันสลับกันเห็นไหม? มนุษย์บนโลกนี้ส่วนใหญ่ หรือแม้แต่เราที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ยังมองโลกใบนี้เหมือนเดิมอยู่เลย คือเห็นอะไร? จับต้องอะไร? รู้สึกอะไร? มันเป็นจริงนะ แต่พอบอกถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าตรัสอย่างนี้ บอกอย่างนี้ เราไม่ค่อยเชื่อ เชื่อยาก มันเป็นจริงได้อย่างไร? แต่จริงๆ แล้ว จริงยิ่งกว่าโลกใบนี้

            ยกตัวอย่างง่ายๆ ชีวิตของคน มนุษย์เรามีชีวิตอยู่นิรันดร์ มีชีวิตอยู่ เพราะเป็นวิญญาณข้างใน ที่เป็นชีวิตหรือตายอยู่ เรามองดูข้างนอก เขายังเป็นอยู่  ร่างกายยังเดินอยู่ ยังหายใจได้อยู่ แต่พระเจ้าบอกตายแล้ว เราจะเชื่อใคร?  ความจริงคืออะไร? ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณตายแล้วจริงๆ แต่ในโลกวัตถุที่มองเห็น ยังหายใจอยู่ ยังเดินอยู่ อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์ จึงแนะนำให้เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะได้บังเกิดใหม่ในเรื่องพระเจ้าแล้ว ในวิญญาณแล้วก็ตาม  แต่ให้เรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ คืออะไร? ผมยกตัวอย่างให้เช่นในหนังสือโคโลสี 3:1 ได้แนะนำให้คริสเตียน คนที่บังเกิดใหม่ ที่กำลังฉลองวันเกิดในวันนี้  ที่บังเกิดแล้วว่าท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านควรดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างไร?  ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันกับโลกใบนี้  ที่จับต้องมองเห็นได้ รู้สึกได้ด้วยตัวเอง หรือสนใจความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้า ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มากกว่ากัน …

        โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

            “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็คือบังเกิดใหม่แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ก็คือโลกวิญญาณ ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

            ในโลกวิญญาณที่พระคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็คือในสวรรค์ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าและเราได้อยู่ในพระคริสต์ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เราจดจ่อตรงนี้  นี่คือเรื่องจริงๆ มากกว่าที่ท่านอยู่ในประเทศไทย ในเวลานี้ ที่มองเห็นได้ จับต้องได้ ชัดเจนเลย ท่านบอกว่าจริง แต่มีจริงกว่านั้น คือวิญญาณของท่านอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ตลอดนิรันดร์ เพราะว่าความจริงในโลกวัตถุที่ท่านมองเห็นว่าท่านอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ มันไม่แน่นอน เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป พระคัมภีร์จึงไม่เรียกว่าความจริง ความจริงของพระคัมภีร์ คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเยซูคริสต์บอกเราเป็นความจริง พระเจ้าเป็นความจริง ความจริงไม่มีการเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนได้ ไม่เรียกว่าความจริง เรียกว่าความจริงประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปแล้ว

            ดังนั้น โลกใบนี้ทั้งใบ จึงไม่ใช่ความจริงทั้งสิ้น โลกใบนี้ทั้งใบ จึงเป็นโลกแห่งการหลอกลวง เพราะว่ามันต้องเปลี่ยนแปลงไป ทุกวัน ทุกวินาที มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เราไม่รู้เอง แต่พระเจ้าบอกเราอย่างนี้ อ่านข้อ 2 ต่อ โคโลสี 3:2 …

        โคโลสี 3:2 “จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            เห็นไหม? คริสเตียนต้องจดจ่ออยู่ที่สิ่งเบื้องบน ที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ผู้เชื่อจะดำเนินชีวิตของเขาด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น หรือรู้สึกได้ ต่อไปข้อ 3 โคโลสี 3:3 …

        โคโลสี 3:3 “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            นี่ยิ่งชัดใหญ่เลย “เพราะท่านตายแล้ว” อะไร เรายังเดินอยู่ นั่งฟังอาจารย์บรรยายอยู่ แล้วบอกว่าผมตายแล้ว ตายแล้วทางวิญญาณ วิญญาณตัวเก่าได้ตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะมาฉลองวันเกิดนี้ได้อย่างไร? เพราะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว จะบังเกิดใหม่ในวิญญาณได้ จะต้องตายก่อนไง วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ได้ตายไปแล้ว แล้วบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ตอนนี้ ได้ติดสนิทอยู่ ได้แปะอยู่ ได้อยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า และคราวนี้ …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า ก็เท่ากับฉันอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในฉัน ฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน” เอเมน

            นี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว ในโลกวิญญาณ  บัดนี้ ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ซ่อนไปในลักษณะใด? พระคัมภีร์ยกตัวอย่าง ตามตามองเห็นแบบมนุษย์ จะได้พอเข้าใจ อย่างที่บอกให้เห็นภาพว่าคำว่า “อยู่กับพระคริสต์” มันเป็นเช่นใด? จากกันไม่ได้เลย ก็คือเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระคริสต์ อย่างนี้ พอจะเข้าใจกันได้ เพราะเราเห็นร่างกายเรา เรารู้ว่านิ้วเราก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เซลๆ หนึ่ง ก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ลูกตาก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ตอนนี้ ชีวิตที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้า ชีวิตของท่าน วิญญาณของท่าน อยู่ในร่างกายของพระเจ้า ที่มีชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เป็นเซลๆ หนึ่งที่ติดอยู่กับร่างกายของพระคริสต์ เหมือนกับที่เราดูร่างกายของเรา ดูศีรษะของเรา ดูใบหน้าของเรา เราก็รู้ว่าเป็นตัวเรา ดูที่ปลายเท้าของเรา ดูที่นิ้วก้อย ปลายเท้าของเรา ใช่ตัวเราหรือเปล่า? ก็คือตัวเรา

            “เรา” หมายถึงตั้งแต่ศีรษะ จนจรดปลายเท้า คือตัวเรา ทั้งตับ ไต ไส้ พุง ที่เรามองไม่เห็น คือตัวเราทั้งสิ้น นั่นแหละ เราถูกซ่อนอยู่  และเราอยู่ในร่างกายของพระคริสต์ และพระคริสต์ ร่างกายทั้งหมดนี้อยู่ในพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นลักษณะอย่างนี้ ข้อ 4 …

        โคโลสี 3:4 “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

            และให้เราทำอย่างไร? เราอยู่ในพระคริสต์ ลักษณะเป็นอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว  ให้เราทำอะไร? เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่าน เห็นไหม? ชีวิตเราติดอยู่กับพระคริสต์ เป็นกิ่งก้านของต้นเถาองุ่น เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์

            เมื่อพระคริสต์ปรากฏ หมายถึงเมื่อวันที่เรามองเห็นพระคริสต์  จะพระคริสต์กลับมา หรือเราไปหาพระคริสต์ แล้วแต่  เมื่อวันที่เราเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  ไม่ได้ถูกซ่อนอยู่แล้วนั้น เราก็จะโผล่จากการซ่อนอยู่แล้วนั้น ออกมา เป็นตัวเรา ซึ่งมีร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู เราก็จะมองเห็นตัวเราปรากฏเช่นเดียวกันกับพระคริสต์ มันแปลว่าอย่างนั้น

            นี่คือความหวังของผู้ที่เรียกว่าคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่ ให้จดจ่อไปอย่างนี้ 4 ข้อนี้ วันนี้ไม่เห็น เพราะถูกซ่อนอยู่ วันหนี่งฉันจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย วันที่ทิ้งร่างเก่านี้แล้ว ได้รับร่างใหม่ สวมสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ในร่างกายนี้ ตาวิญญาณฉันจะถูกเปิดออก ร่างกายสวรรค์จะสามารถมองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณได้ ฉันจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และเห็นใครหน้ต่อหน้าอีก? เห็นตัวเอง เหมือนเห็นในกระจกเงา ทุกวันนี้เรามองกระจกเงา เราเห็นพระคริสต์ไหม? ไม่เห็น เห็นใคร? เห็นร่างกายโทรมๆ เห็นร่างกายที่แก่ลงไปทุกวัน เห็นเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน แต่วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะเห็นตัวฉันเอง เป็นเหมือนพระคริสต์เลย เอเมน

            นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ สำหรับพี่น้องที่มีความสำคัญที่สุดในวันนี้ ก็คือเจ้าของวันเกิด ที่ได้เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่ลงบัพติศมาในน้ำ วันนี้ และวันก่อนๆ ที่ได้ลงมาแล้ว และโดยเฉพาะวันนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าไม่เคยได้รับการจัดงาน ทำพิธีลงน้ำ บัพติศมาเลย วันนี้ได้ลงแล้ว ก็จะได้รู้ว่ากำลังทำอะไร? ยินดีด้วยที่ได้มาฉลองวันเกิดร่วมกันฝ่ายวิญญาณ

            บัพติศมาในน้ำ เป็นหนึ่งในภาพที่เล็งให้เห็นถึงขบวนการการบังเกิดใหม่ การบัพติศมาในน้ำ คือภาพที่พระเจ้า อุปมาขึ้นมาให้ทำ เพื่อเล็งให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นลักษณะเช่นไร? คือการบังเกิดใหม่ในทางวิญญาณ ที่ได้บังเกิดขึ้นแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่ได้ทำให้เป็นพิธี หรือสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการกระทำการลงน้ำบัพติศมา แต่เพื่อเล็งไปถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้ทำ เพื่อจะได้มีอะไรเกิดขึ้น จากการลงน้ำบัพติศมา

            บัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้ท่านรอดจากบาป แต่การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก่อนหน้านั้นต่างหากที่ช่วยให้ท่านรอดจากบาป เอเมน การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ การลงน้ำ บัพติศมาในน้ำ ทำให้ท่านเปียก  อ้าว! ไม่ใช่หรือ? งงใหญ่เลย การลงบัพติศมาในน้ำ ทำให้ท่านเปียก ทำให้ท่านอาจจะหนาวสั่น ท่านอาจจะลงน้ำบัพติศมาอีกสักครู่หนึ่ง ลงไปปุ๊บ ขึ้นมาปุ๊บ ซู่ซ่าส์ ขนลุก น้ำตาไหล เกิดขึ้นได้ไหม? ได้ เพราะมันเกิดขึ้นในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้  ความรู้สึก อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่ความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้ท่านรอด  ไม่ได้ทำให้ท่านบังเกิดใหม่  แล้วดีไหมล่ะ ขึ้นมาจากน้ำ แล้วรู้สึกปิติยินดีมากเลย ซู่ซ่าส์ มีประโยชน์หรือว่าโทษ เป็นประโยชน์ แล้วลงน้ำลงไป ขึ้นมาเปียก แล้วเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันเป็นโทษเหมือนกัน เพราะมันเปียก แต่ว่าแลกกับประโยชน์ที่ได้รับ หรืออาจจะสูญเสียบ้าง อะไรหนักกว่ากัน ประโยชน์หนักกว่า เพราะฉะนั้น สรุปว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ  ถ้าไม่มีประโยชน์ หรือประโยชน์มันน้อยกว่า ก็ไม่ต้องทำ ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกวิญญาณ มันเกี่ยวกับโลกวัตถุ รู้จักคิด รู้จักชั่งน้ำหนัก

            ยกตัวอย่างวันนี้ เผอิญๆ ติดโควิดพอดี ลงชื่อกับเขาแล้วว่าวันนี้จะมารับบัพติศมาในน้ำด้วย ติดโควิดมาพอดีเลย ลงน้ำซู่ซ่าส์ ขนลุก น้ำตาไหล ซึ้งในพระเจ้ามากเลย สิ่งที่ตั้งใจไว้ เป็นโควิดอยู่ ลงไป อาจจะอาการไข้มากขึ้น แพร่เชื้อให้คนอื่นเขาเยอะแยะ พี่น้องคนอื่นเป็น ปรากฏว่าน้ำหนักผลเสียมากกว่าผลได้ เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ เป็นโทษมากกว่า ควรทำหรือไม่ควร?  ไม่ควร วันหลังค่อยมาทำ ก็ได้ เอเมนไหม?

            ไม่ใช่ป่วยอยู่โรงพยาบาล จะตายอยู่แล้ว หมอบอกว่าดูแลสุขภาพให้ดีๆ ก่อนในขณะนี้ อย่าให้หนาวสั่น ไม่ได้ ต้องลงน้ำให้ได้ ถ้าไม่ลงน้ำ สัญญากับพระเจ้าไว้ เห็นอะไรบางอย่างไหม? เราเข้าใจกันผิดๆ หมดเลย หนึ่งในจำนวนพิธีกรรมต่างๆ ที่พระเจ้าบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราไปมองดูของที่มันเกิดขึ้น หรือเหตุที่มันจะเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ กลายเป็นโลกใบนี้ที่ตามองเห็นได้ เราถูกหลอกมากมาย ไปสู่ศาสนา ไปสู่พิธีกรรมต่างๆ ไปสู่การหลงผิดต่างๆ แทนที่จะมาดูความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราทำอย่างนี้ เพื่ออะไรๆ เพื่อใคร?

            ผู้ที่ลงน้ำบัพติศมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และยินยอม ดีใจ ที่ต้องเปียกใช่ไหม? แล้วก็ยุ่งยากนิดหนึ่งในการต้องเดินแฉะๆ และเดินไปห้องน้ำ ไปเปลี่ยนชุดอะไรต่างๆ ผมก็ยังไม่แห้ง เราก็ไม่มีไดร์ทให้ท่านเป่าผม แต่แลกกับความปิติยินดี ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว

            ที่มีการบันทึกไว้เรื่องบัพติศมาในน้ำว่าเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างไร? อาจารย์เปาโลอธิบายไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 ชัดมากที่สุดแล้วว่าเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ โรม 6:3…

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นความจริง “ท่านไม่รู้หรือว่า?” “ท่าน” ก็คือผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อแล้ว แต่ยังหลงไปมองดูที่โลกใบนี้อยู่ ไปจดจ้อง จดจ่อที่ฝ่ายโลกอยู่ ยังไปให้ความสำคัญกับการลงบัพติศมาในน้ำ เกินเหตุอยู่ ตามที่เราได้คุยกันเมื่อสักครู่นี้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็คือ “ท่านควรจะรู้ว่าคนทั้งปวงที่เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นผู้เชื่อแล้ว ก็ได้บัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิในพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจนั่นแหละ  ถูกนำให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น

            ก็หมายถึงเวลาที่เราลงไปในน้ำ ในโลกวิญญาณ ก็คือเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  เราเข้าไปร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เราก็ได้ตายไปพร้อมๆ กับพระเยซูด้วย เวลาท่านลงน้ำ อึกสักครู่หนึ่ง พอพร้อมปุ๊บ ผู้ประกอบพิธีจะกดท่านลง เมื่อท่านยินยอม ท่านอย่าเกร็งนะ ถ้าท่านเกร็ง เขาจะกดไม่ลง ท่านต้องยินยอมด้วย

            สมมติ ผู้ประกอบพิธีกดท่านลง แล้วท่านไม่ยอมลง ท่านฝืน มันก็ไม่ลง ที่ลง เพราะว่าท่านโอเคแล้ว ท่านพร้อมแล้ว  บางคน มือยังไม่ทันแตะ ท่านลงก่อนแล้ว อย่าเพิ่ง เดี๋ยวใจเย็นๆ ให้มือไปแตะที่ศีรษะปุ๊บลง คือท่านยินยอม  ยินยอมไปตายกับพระเยซู อ้าว! รู้แล้วนะ เดี๋ยวลงไป จะได้ทำถูก พอแตะปุ๊บ ท่านยินยอม คือฉันยอมลง ถ้าท่านฝืน ไม่ลง นั่นแหละ คือยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่างแท้จริง ยังฝืนอยู่ ยังไม่ยอมลง เมื่อท่านยอมลงเมื่อไร? ลงปุ๊บ  ก็เข้าไปเป็นหนึ่ง นี่เล็งให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณก่อนหน้านี้ ต่อไปข้อ 4 …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย” ก็คือลงน้ำตะกี้นี้ ลงไปตายใช่ไหม? ตายพร้อมพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู น้ำก็คือตัวพระเยซู ลงไปปุ๊บ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ท่านตายพร้อมพระเยซู ยังไม่โผล่ขึ้นมา ก็คือถูกฝังอยู่กับพระเยซูในนั้น พอวันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านก็โผล่ขึ้นมาด้วย แต่ท่านไม่ต้องลงไปถึง 3 วันหรอก แป๊บเดียว นี่เล็งให้เห็นถึง … เดี๋ยวบางคนตกใจ ตอนก่อนหน้านี้ติวกันไว้ว่าลงไปแป๊บเดียว  3 วินาทีเท่านั้นเอง ตอนนี้บอก 3 วัน ไม่ไหวนะ ไม่ใช่ แป๊บเดียว เล็งให้เห็นถึงภาพลงไปอยู่ในอุโมงค์กับพระเยซู โผล่ขึ้นมา ก็คือบังเกิดใหม่พร้อมพระเยซู ซึ่งมันแปลว่าอย่างนั้น  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด จากพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงรับคำสั่งจากพระเจ้าบอกว่าชุบพระบุตรให้เป็นขึ้นจากความตาย เมื่อชุบพระบุตรให้เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ เราติดอยู่ แปะอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตายไปกับพระเยซูคริสต์ เราก็เลยพลอยเป็นขึ้นจากความตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เฉพาะแค่ศีรษะเท่านั้น แต่ทั้งหมดของพระเยซูคริสต์ คือทั้งร่างกาย ทั้งหมดศีรษะและร่างกาย อวัยวะทุกส่วน เป็นขึ้นด้วย ก็คือเราทั้งหลาย ที่เป็นอวัยวะ ก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ข้อ 5 ต่อไป …

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            ถ้าเราไม่ยอมมุดลงไป อย่างที่บอกตะกี้นี้ ถ้าเราไม่ยอมให้ผู้ทำพิธีกดเราลงไป เราก็ฝืนอยู่อย่างนั้น  เราก็ไม่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในน้ำ  ถูกฝังไว้ในน้ำ เราก็ไม่มีวันที่จะโผล่ขึ้นมา พูดง่ายๆ คือถ้าเราไม่มุดลงไป  เราก็ไม่มีโอกาสได้โผล่ขึ้นมา

            ในทำนองเดียวกัน ในความเป็นจริง ก็คือวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในทางวิญญาณนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าผู้ประกอบพิธี วางพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าลงมาบนศีรษะ บนชีวิตของเรา  แล้วก็จุ่มเราลงไป ใส่เราลงไป กดเราลงไปในวิญญาณของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ให้เราได้ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ บนไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และจะได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่บังเกิดขึ้น เห็นไหม?

            ในโลกวิญญาณ มันง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากมากมายเลย ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวัตถุเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โลกวัตถุ พอเราอธิบายตามหลักการ ตามถ้อยคำพระเจ้า เราจะเห็นภาพชัดเลยว่าพระเจ้ายอดเยี่ยมมากเลย อุปมาอะไรต่างๆ ชัดเจนมากเลย เมื่อเราเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ เราทำอันนี้ เพื่อจะเกิดขึ้น เราต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้ เปล่าเลย พระองค์ทรงกระทำทั้งสิ้น แต่พระองค์ทรงบอกให้เรากระทำอย่างนี้ เพื่อเล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และต่อไปข้อ 6 …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา” “เรา” ก็คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่ได้ฉลองวันเกิดทางวิญญาณวันนี้ เรารู้แล้วว่าตัวเก่าของเรา คือตัวที่เราได้จุ่มลงไป ตายพร้อมพระเยซูนั่นนะ  อดีตอยู่ในอาดัม เป็นคนบาป ตอนนี้ ถูกตรึงที่กางเขนร่วมกับพระเยซู

            ถามว่า “ทำไมต้องถูกตรึงพร้อมพระเยซู พระองค์ทำเพื่ออะไร?” อันนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐเลยนะ เพื่อตัวบาปเก่านั้น ที่อยู่ในอาดัม ก่อนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่จะบังเกิดใหม่ เราตายอยู่ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราเดินอยู่นี้ ในวิญญาณเราตายอยู่ ตัวเก่าจะได้บังเกิดใหม่ ก็ต่อเมื่อตัวเก่าที่ตายอยู่ มันได้ศูญสิ้นไป ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า “ตาย” เหมือนกัน แต่จริงๆ มันหมายถึงถูกขจัดออกไป ถูกกำจัดออกไป ถูกทำให้สูญไป  เพื่อจะได้เกิดใหม่ ฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น ตัวบาปของเรา ผู้ซึ่งเป็นคนบาปตั้งแต่กำเนิด ที่อยู่ในอาดัมนั้น ได้ตายไปแล้ว ได้ถูกขจัดไป สูญสิ้น จบไปหมด เรียบร้อยแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป

            “แต่ว่าเมื่อตะกี้เรายังรู้สึกอิจฉา ยังรู้สึกโกรธ เลี้ยวรถมาตัดหน้าเราได้อย่างไร? เมื่อวานนี้ เรายังโกหกเขาอยู่เลย ไหนบอกว่าตัวบาปเก่าเราตายไปแล้ว”

            ในโลกวิญญาณ ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  เราต้องเชื่อแบบนี้ เราต้องรู้แบบนี้ ถึงจะชัดเจน ถึงจะศึกษาเรื่องราวต่อๆ ไป

            เพราะฉะนั้น ในวันนี้อยากจะแสดงความยินดีให้กับพี่น้องของเรา โดยข้อพระคัมภีร์นี้ กาลาเทีย 3:26-27 …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            เพราะฉะนั้น ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องทุกคนที่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปีไหนก็ไม่รู้ เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วว่าท่านทั้งหลายได้เป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ก็คือได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมกับพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ยังไม่ได้ลงน้ำเลย  แต่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั้น ฟังให้ดีนะ นี่คือของขวัญจากพระเจ้าเลย ขณะที่กำลังนั่งอยู่นี้ ขณะที่กำลังฟังอยู่นี้ ตั้งแต่วันนั้น ที่ท่านบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้วนั้น  เป็นบุตรของพระเจ้าแล้วนั้น ขณะนี้ ชีวิตของท่าน คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายที่ท่านเห็นอยู่ ที่ต้องตายได้ ที่อายุ 30 หรืออายุ 60 ที่อายุ 70, 80 ที่เจ็บป่วยอยู่นี้  ทั้งหมด ทั้ง 3 ส่วนนี้ ได้ถูกปกคลุมทั้งหมดเลย ได้ถูกคลุม ได้ถูกสวมใส่ไว้ด้วยพระสิริ สง่าราศี  เกียรติอันยิ่งใหญ่ ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน

            วิญญาณของท่าน เป็นวิญญาณ ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นลักษณะเดียวกัน เป็นไข่แดง อยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ท่านเป็นจุดๆ ข้างในลึกๆ ท่านเห็นซองจดหมาย ก็คือท่านเป็นกระดาษชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน  แผ่นกระดาษชิ้นหนึ่งเล็กๆ อยู่ในซองจดหมายที่เรียกว่าพระคริสต์ และซองจดหมายที่อยู่ในพระคริสต์นี้ อยู่ในซองจดหมายใหญ่ที่เรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            ท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้? อยู่ในที่ลึกสุด ในไข่แดง เป็นที่รัก เป็นที่หวงแหนของพระเจ้า เป็นที่ปกป้อง ดูแลของพระเจ้าที่สุดเลย โอบอุ้มท่านไว้ตลอดเวลา เอเมน  ไม่มีใครเอาท่านออกไปได้ ไม่ว่าใครที่ไหน อำนาจยิ่งใหญ่ใดๆ  แม้กระทั่งตัวท่านเอง ทำอะไร ก็ไม่สามารถเอาตัวท่านเองออกไปจากที่นี่ได้เลย เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว พระเจ้าหวงแหนท่าน ยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของพระองค์ เอเมน

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ท่านเดินไปที่ไหน? ทุกอณูเนื้อของท่าน ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ไส้ พุง ทุกเซลในตัวท่านนั้น ปกคลุมอยู่ด้วยพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าตลอดเวลา เราจึงร้องเพลงว่า …

                        “ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า

                          ฉันรักคุณ ด้วยความรักของพระเจ้า”

            ท่านจะร้องเพลงนี้ได้ ก็ต่อเมื่อท่านจดจ้อง จดจ่อ มองไปที่เบื้องบน คือโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่จดจ่อ จดจ้องไปที่ฝ่ายโลก จดจ่อไปที่ฝ่ายโลก คนนี้ก็น่าเกียจ คนนี้ก็นิสัยไม่ดี คนนี้ก็ไม่ได้อาบน้ำมาเมื่อเช้าแน่เลย คนนี้ก็กลิ่นตัวไม่ดี คนนี้วันก่อน ก็ตักข้าวเยอะเกินไป  นี่คือการมองด้วยตาที่อยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา โลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ  ไม่มีใครเพอร์เฟคสักคน

            นี่กำลังพูดถึงพี่น้องที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้วทั้งนั้นนะ ฉะนั้น เราต้องมองดูตามโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกไว้

                        “ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า

                          ฉันรักคุณ ด้วยความรักของพระเจ้า”

            เพราะพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในเขาแล้ว  อยู่ในท่านแล้ว ท่านก็เป็นอย่างนี้แหละ ทุกอณูเนื้อ ทุกอวัยวะในร่างกายของท่าน ได้ถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน และปกคลุมมาอยู่เหนือข้างนอก  เป็นรัศมี แม้กระทั่งเส้นผมเส้นหนึ่ง ก็เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระสิริของพระเจ้า เอเมน แม้ว่ามันจะสีขาวก็ตาม แม้ว่ามันจะมีน้อยก็ตาม แต่ถึงมีน้อยหรือว่าไม่มีเลย  เป็นสีมันๆ ก็เป็นศีรษะที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเป็นเจ้า  เอเมน

            เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็นหรอก จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านได้เป็นดวงสว่าง เป็นแสงสว่าง เปล่งรัศมี ประกายเจิดจ้าบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความมืดมน ท่านเป็นความหวังของโลกนี้ เอเมน ท่านจะไปที่ไหน ท่านแบกเอาความสว่างนี้ไปด้วย ไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ข้างในทำงานของพระองค์เอง ท่านไม่ต้องพยายามเปล่งรัศมี เพราะว่าไปที่ไหน รัศมีมันก็เปล่งออกมาอยู่แล้ว ที่ท่านเปล่ง มันจะเปล่งออกมาทางฝ่ายโลกมากกว่า ท่านอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย  ผมไม่เคยเห็นดวงไฟที่บ้าน หรือที่ไหน ที่เขาเปิดมา มันพยายามเปล่งรัศมีออกมา ผมเห็นแต่เขาเปิดสวิทส์ แล้วมันก็สว่าง มันสว่างเท่าเดิมนั่นแหละ มันจะเบ่งเท่าไร มันก็เท่านั้น เพราะเขาส่งมาเท่านี้ เอเมนไหม? ไม่ใช่วันนี้เปล่งได้ 8 พรุ่งนี้เปล่งได้ 20 อันนั้นไม่ได้โทษหลอดไฟแล้ว โทษคนที่ส่งมา พระเจ้าของเราส่งมาเท่าเดิม เพราะพระองค์เป็นนิรันดร์ เอเมน

            ทั้งหมดที่พูดมานี้ ได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว พระเยซูได้กระทำให้แล้ว พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกเลย  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่ท่านได้กระทำไปแล้วนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จึงขอแสดงความยินดีกับพี่น้องที่จะบัพติศมาในน้ำ ฉลองวันเกิดใหม่ในทางวิญญาณในวันนี้ และพี่น้องทุกท่านที่ได้บังเกิดใหม่ในทางวิญญาณแล้ว เมื่อไรก็ไม่รู้ ก็ขอบคุณพระเจ้า ในพระนามพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            รู้ว่าไม่ดี ไม่อยากทำ แต่แล้วก็ทำ

            รู้ว่าดี  อยากจะทำ แต่แล้วก็ทำไม่ได้

            โอ้ย! ใครก็ได้ช่วยฉันที

            เศร้าจัง

            มัทธิว 5:4 … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่โศกเศร้า เพราะเขาได้รับการปลอบประโลม”

            ลักษณะของคนที่เป็นดินดี เหมาะสำหรับเมล็ดพันธุ์ของข่าวดีเรื่องสวรรค์ ที่พระเยซูกำลังพูดถึงนี้ คือข้างในวิญญาณของเขารู้สึกโศกเศร้า เพราะเขาไม่สามารถรักษาบัญญัติ กฎศีลธรรมได้ครบถ้วน สมบูรณ์เท่าเทียมกับพวกฟาริสี และพวกธรรมาจารย์ ที่เย่อหยิ่ง ยกตัวเองขึ้นว่าทำได้มากกว่า ทั้งๆ ที่ก็ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เช่นเดียวกัน พวกเขาเหมือนประชาชนชั้นสอง ชั้นสาม ยากจนไม่มีตำแหน่ง ลาภยศสรรเสริญ ถูกเหยียดหยามถูกเรียกว่าเป็นพวกชั้นต่ำ เป็นคนบาป คนเก็บภาษี สังคมชาวยิว ซึ่งมีมาตรฐานสูงรังเกียจ และดูถูกว่าคนเหล่านี้เป็นคนบาป ไม่มีทางที่จะทำให้พระเจ้าพอใจ รับเข้าสวรรค์ได้หรอก

            ยกตัวอย่างเปโตรและสาวกคนอื่นๆ หรือพวกคนเก็บภาษี หรือหญิงโสเภณี ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาป ชีวิตของคนกลุ่มนี้ ก่อนที่พระเยซูจะมาประกาศ เขาเศร้าโศกหมดหวัง เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความเมตตา

            พระเยซูบอกว่าคนที่มีท่าทีแบบนี้ สวรรค์จะเป็นของเขา เขาจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เมื่อพระเยซูได้กระทำให้สวรรค์มาตั้งอยู่สำเร็จ โดยการตายบนกางเขน และเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์

            และเขาเหล่านี้จะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป และได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าในสวรรค์ทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ