คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 7 “ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

สัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัปดาห์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์พอดี หัวข้อการบรรยาย ก็คือ “สำแดงความรักของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อของสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นตอนที่ 6 ของซีรี่ส์ชุด “ตัวตนในพระคริสต์” คนที่ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ผมได้เสนอให้ท่านได้ทำการทดลอง มีใครไปทดลองอะไรบางอย่างกับใคร? หรือโดนใครทดลองบ้าง? มีไหมครับ? ทดลองพิสูจน์ความรักแท้ของท่านที่มีอยู่ หรือท่านไปทดสอบความรักแท้ของเพื่อนของท่าน หรือคนที่รู้จักท่านว่าความรักแท้ที่เขามีอยู่ต่อท่านนั้น มันรักแท้หรือไม่? ใครไปทดลองบ้าง? ใครไปส่งไลน์บ้างว่า …

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”  มีบ้างไหม?

“เมื่อไรจะเลิกส่งไลน์มาสักที” มีหรือเปล่า?”

หรือใครโดนทดลองเมื่อเช้านี้  เดินเข้ามา เขาไม่ทักเรา เคยทักทุกวัน วันนี้ไม่ทัก มีไหม? ไม่มีเหรอ? เอ๊า! ถ้าอย่างนั้น ทดลองตอนนี้เลย หันไปหาคนข้างๆ แล้วบอกว่า …

“ไปให้ไกลๆ เลย”

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน ทีอย่างนี้ยิ้มได้ ลองสัปดาห์หน้า 2 สัปดาห์ที่ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ลองให้เขาพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ลองดูสิจะทนไหวไหม?  นึกถึงภาพอีกสักเดือนหนึ่งข้างหน้า เข้ามาถึง

“ทำไมคนข้างๆ กลิ่นตัวแรงๆ”

กล้าไหม? แล้วดูสิ ปฏิกิริยาเป็นอย่างไร? นี่คือเรื่องจริงนะ มันสามารถพิสูจน์ได้ แล้วเราจะได้เรียนรู้ลึกซึ้งถึงเรื่องเหล่านี้ว่ามันเกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างไร? แม้ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันทำให้เราเห็นภาพใหญ่ว่าชีวิตของคนเรา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ พระเจ้าพาเราไปพบความจริงในชีวิต  แบบมันมองทะลุปรุโปร่งเลยนะ

เมื่อเรารู้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราจึงสามารถที่จะปฏิบัติ สำแดงความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักแท้ๆ ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า “แท้” เลย ความรัก ก็คือความรัก แต่เนื่องจากโลกนี้ เอาไปใช้เละเทะไปหมด ไปโกหกหลอกลวง แล้วใช้ความรักนี้ เอาไปแทนความรักแท้ของพระเจ้า ก็เลยกลายเป็นรักปลอม เวลามาพูดถึงความรักของพระเจ้า จึงบอกว่ารักแท้ จริงๆ ไม่มี มีแต่ความรักกับความอะไร? เห็นแก่ตัว มี 2 อย่างเท่านั้นเอง รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รัก มันเป็นความเห็นแก่ตัวเฉยๆ แต่เอาไปใส่ หลอกเขาว่าเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันเยอะในเรื่องลักษณะของความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ใช่ไหมครับ?  แล้วเราก็ย้ำกันว่าถ้าเราสามารถมั่นใจในตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและห่วงแหน และทรงภูมิใจที่สุดแล้ว และเมื่อเราได้รับรู้ มั่นใจอย่างนี้ ในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเราอย่างนี้ เราก็จะมีความพร้อมที่จะมอบความรักแท้อย่างนี้ ออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้

การดำเนินชีวิตของเราบนโลกนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะแบบความรักแท้ของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ก็คืออะไร? ก็คืออดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยให้ได้เสมอ เอเมน

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เป็นความภาคภูมิใจของพระเจ้าผู้สร้างเราได้ เหมือนเราทำตัวให้พ่อภูมิใจในตัวเราได้ ก็คือการซึมซับรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในตัวของเรา ซึมซับรักแท้ของพ่อของเรา เข้ามาอยู่ในใจของเรา แล้วก็แบ่งปันความรักแท้ที่ล้นออกมาจากใจของเรา จากชีวิตของเราไปสู่ผู้อื่น รับมาจากพระเจ้าอย่างไร ก็ล้นออกไปให้ผู้อื่นอย่างนั้นเหมือนกัน เอเมน อย่างที่ผมบอก ต้องมีทุนอยู่ เราจึงให้ออกไปได้ ถ้าเราไม่มีทุน เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? เราไม่มีความรักอยู่ในตัว เราจะให้คนอื่นได้อย่างไร? และความรักนี้มาจากพระเจ้า

และครั้งที่แล้ว เราก็สรุปทิ้งท้ายวันแห่งความรักกันว่าให้ทุกย่างก้าวในชีวิตของเราสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยการสำแดงความรักแท้ของพระเจ้านี้ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คนรอบข้างเรา เขาได้เห็น เขาเห็นความรักเรา เขาเห็นอาการเรา เขาเห็นความรักของพระเจ้าในชีวิตของเรา เขาจึงเห็นพระเจ้าของเรา ไม่ใช่เขาเห็นอัศจรรย์ แล้วเห็นพระเจ้า อันนั้นไม่ใช่นะครับ

เป้าหมายของเรา ก็คือฝึกฝนที่จะรักผู้อื่นให้ได้ ตามแบบอย่างความรักของพระเจ้า เพราะฉะนั้นขั้นแรกเลย ก็คือเราต้องรู้จักและเข้าใจได้ว่าความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่และลึกซึ้งขนาดไหน? วันนี้เอาข้อความนี้มาให้ท่านดูว่าพระคัมภีร์ได้บอกถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา หนึ่งในจำนวนนั้น คือเอเฟซัส 3:17-19 ให้เราได้อ่านพร้อมกันนะครับ

เอเฟซัส 3:17-19 “17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว 18 ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้ พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก 19 คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” เอเมน

 

ย้ำเน้นคำว่า “รับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้ง” โอโห้! ชัดเลย เราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรครับ? ไม่ใช่รู้ความรักพระเจ้าเฉยๆ ต้องรับรู้ เข้าใจ และซาบซึ้งในถ้อยคำที่บอกว่าพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ นี่คือความต้องการของพระเจ้า เพราะพระเจ้ารู้ว่านี่คือหัวใจในชีวิตของเรา คือพระเจ้าอยากให้เรารับรู้ถึงความรักของพระองค์ และเข้าใจในความรักของพระองค์อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่เราจะได้ดู ทำเป็นแบบอย่าง แบ่งปันความรักนั้น ความรักนี้ ให้กับใครๆ ก็ได้ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า …

“เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เห็นไหมครับ?

เพราะโดยปกติแล้ว มนุษย์เรา … เราจะรู้จักรักใคร ก็ต้องเคยได้รับความรักมาก่อน ไม่อย่างนั้นไม่มีการพัฒนาในชีวิตของมนุษย์ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไปนะครับ

เขาถึงบอกว่าครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่นกับลูกมากๆ ลูกจึงสามารถพัฒนาความรักนั้นให้กับบรรดาผู้คนรอบข้างได้ แต่ลูกที่เกิดมา พ่อแม่ทิ้ง ไม่มีใครให้ความรักเขาเลย เด็กคนนั้นอาจจะเกิดมา ทำสิ่งที่ไม่ดีมากมาย เพราะไม่รู้จักอะไรคือความรัก อะไรอย่างนี้  เป็นต้น

เราจำเป็นต้องมีทุน คือได้รับความรักนี้มาจากใครก่อน เราจึงจะสามารถให้ออกไปได้ ถึงจะได้รู้ ได้เข้าใจว่าการจะได้รับความรักนั้น มันมีความรู้สึกเป็นอย่างไร? จึงจะสามารถรักผู้อื่นได้ รู้ว่าความรักนี้ ช่วยเขาได้อย่างไร? ใครที่ยังไม่เคยได้รับความรักมาก่อนเลยทั้งชีวิต คงยากที่จะหัดรักคนอื่นเป็น แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ในพระคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ แม้เราอาจจะอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีความรักมาก่อนเลย ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “ขอบคุณพระเจ้า”

เพราะในพระเยซูคริสต์พระเจ้าจึงได้ใส่ตรงนี้ ใส่ความรักตรงนี้ ใส่เข้ามาเลยนะครับ ให้กับพวกเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทุกคน ให้เราทั้งหลายมีความความสามารถที่จะรักได้ และจากนี้ต่อไป เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราทั้งหลายจะมีต้นทุน คือพระเจ้าได้ใส่ความรักนี้ ให้เราสามารถที่จะรักได้ ก็เพราะเราทั้งหลายได้รับความรักนี้จากพระเจ้ามาก่อน ถ้าเราสัมผัสและเข้าใจในความรักที่พระเจ้าใส่ลงไปในหัวใจของเรา  เราจะรู้ว่านี่คือต้นทุนที่เราจะให้ออกไป ให้ออกไปอย่างไร? ให้เป็นลักษณะเดียวกับที่พระเจ้าให้กับเรา เห็นไหมครับ? ยอห์น 15:12-13 พระเจ้าจึงสั่งให้เราทำอย่างนี้

ยอห์น 15:12-13 “12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตน เพื่อมิตรสหายของตน”

 

ที่เราได้เรียนรู้กันไปในสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือหลักการในเรื่องของการสำแดงความรัก เรียกว่าเรียนรู้ภาคทฤษฎีก่อน แล้ววันนี้เราจะมาคุยกันต่อในภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้จึงมีชื่อตอนว่า “ฝึกฝนการสำแดงความรัก

พร้อมหรือยัง?  พร้อมที่จะฝึกฝนแล้วนะ ในภาคปฏิบัติของการสำแดงความรัก ผมเชื่อว่าทุกคนทราบ เรียนมาแล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วก็อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังพูดถึงการสำแดงความรักแบบชนิดที่เป็นของพระเจ้า คือชนิดความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ 13 แค่ขึ้นต้นคำแรก ในลักษณะความรักของพระเจ้า ใน 1 โครินธ์ 13 ว่า …

“ความรักต้องอดทนนาน”

แค่คำเดียว ก็ทำไม? ยากกกก ยากพอแล้ว แล้วยังต่อด้วย อันที่สองว่า …

“ความรักไม่อิจฉา”

ยากไหม?  ต่อไป

“ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง”

เลิกปฏิบัติดีกว่า ไหวหรือเนี้ย? ทำไมมันถึงยากเย็นเข็ญใจอย่างนี้ สังเกตดูสิ ทำไมถึงยาก ก็ทั้งหมดในข้อนี้ ใน 1 โครินธ์ 13 ทั้งหมดนี้ ที่บรรยายมานี้ ถ้าตัดคำว่า “ไม่” ออกไป ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-7 ถ้าท่านตัดคำว่า “ไม่” ออกไป มันจะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม? ท่านจะเห็นภาพชัดเลยว่าทำไมมันถึงยาก สำหรับมนุษย์ที่จะปฏิบัติความรักของพระเจ้านี้ มันก็คือธรรมชาติลักษณะของมนุษย์ที่เป็นคนบาปนั่นเอง  ยกตัวอย่าง

“ไม่มีความอดทน”

“ความรักย่อมอดทนนาน” อันนี้ “ไม่มีความอดทน”

ความบาป คือไม่มีความอดทน โมโหร้าย  อิจฉา เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่ง จองหอง ชอบให้ร้ายผู้อื่น เอาดีใส่ตัว

“เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ไม่ต้องท่องเลย นี่พูดได้หมดเลย เห็นไหม? ธรรมชาติ ผมไม่ต้องให้พูดตามนั้น ทุกคนพูด สบาย “เอาดีใส่ตัว” จำแม่นเลย นี่มันเป็นธรรมชาติ เราต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเราเอง ศัตรูตัวร้าย ก็คือใคร? ตัวเราเอง

พูดเลย “ศัตรูตัวร้าย ก็คือฉันเองนั่นแหละ จำไว้” พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง

แล้วเราก็บอกว่าตอนนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่สร้างขึ้น  ในพระเยซูคริสต์ เราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เราต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งนานแล้วด้วย จงภูมิใจและสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการหยุดสิ่งเหล่านี้ให้หมดเลย หยุดบาปเหล่านี้ ง่ายไหมครับ? ถามว่าง่ายไหม? พฤติกรรมทั้งหมดที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่านกัน ที่เคยทำกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ที่จำได้เป็นออโต้เมติก ที่ตะกี้นี้เลย ให้เลิกหมดเลย เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไป ถามว่าทำได้ไหม? หมดเลยนะครับ แทบจะไม่มีกำลังใจ แล้วจะทำอย่างไร?

ผมก็พยายามคิดว่าต้องทำอย่างไร? มันต้องรักษา เหมือนที่เรารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ก็เหมือนเวลาที่เราป่วย หรือบาดเจ็บ แล้วก็ไปฉีดยาชา หรือกินยาแก้ปวด กินยาพาราฯ อาการปวดหายไหม? ถามว่าหายไหม? หาย แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอาการ สาเหตุมันคืออะไร? เดี๋ยวมันก็กลับมาปวดใหม่ แล้วเราก็ต้องกินยาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนในที่สุด ยาก็เอาไม่อยู่ แต่ถ้าเราหาสาเหตุให้เจอ แล้วรักษาที่ต้นเหตุให้หาย อาการมันก็จะไม่กลับมาเป็นอีก หลักการเดียวกันนี้

ตัวอย่างง่ายๆ พาท่านไปเห็น ค่อยๆ พาท่านไปดู ตัวอย่างง่ายๆ เราทานข้าวไม่เป็นเวลา ทานอาหารไม่เลือก แล้วก็มักมีอาการปวดท้องบ่อยๆ เราก็ไปหายาแก้ปวดมาทาน มันก็หาย แล้วเราก็ไม่นึกถึงพฤติกรรมที่เสียๆ หายๆ เหล่านั้นเลย เราก็มีพฤติกรรมเหมือนเดิมอีก มันก็ปวดอีก ก็ทานยาอีก ในที่สุด ทานยาก็ไม่หายแล้ว เพราะมันดื้อยาแล้ว แต่ถ้าเราหาต้นเหตุจนเจอ ค่อยๆ ปรับพฤติกรรม ทีละนิดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ความปวด มันก็หายไป เพราะว่าต้นเหตุมันได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว เห็นไหมครับ? อันนี้อาจมองเห็นตัวอย่างง่ายๆ

แต่หลายครั้ง หลายๆ โรค การรักษาที่ต้นเหตุจริงๆ มันต้องใช้เวลา ค่อยๆ ทีละนิด ทีละหน่อย ยิ่งโดยเฉพาะคนที่มีอาการของโรคหลายๆ โรคพร้อมๆ กัน ยิ่งรักษายากขึ้นไปอีก ต้องใช้ความละเอียดอ่อน และใช้เวลาใส่ใจ เอาจริงเอาจังกับมัน เรากำลังพูดถึงความบาป หรือความรักไม่เป็น หรือความไม่ได้สำแดงความรักของเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ นี่พูดถึงคริสเตียนแล้วนะ มีต้นทุนแล้วนะ

ลักษณะเดียวกันกับการรักษาโรคขี้อิจฉา อยากจะมาเทียบเลยว่าเมื่อกี้เราบอกว่า “ไม่อิจฉา” เอา “ไม่” ออกไป ก็คืออิจฉา … อิจฉาไม่ดี เราเลยใช่ขี้เข้าไป  เราเรียกกันว่า “ขี้อิจฉา” และขี้อื่นๆ อีกหลายขี้ที่เราพูดถึง มันไม่ดีทั้งนั้น ขี้อิจฉา ขี้โกรธ ขี้งอน ขี้อะไรอีกล่ะ ขี้เหนียว ลักษณะเดียวกัน การรักษาโรคขี้อิจฉา โรคเห็นแก่ตัว โรคเย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดต่อรักแท้ของพระเจ้าที่สำแดงออกไป ศัตรูตัวร้ายเลย  เราก็ต้องรักษาที่ต้นเหตุของมัน ไม่ใช่อยู่ๆ แล้วก็บอกว่าต้องเลิกอิจฉา ต้องหยุดการเห็นแก่ตัว หยุดความเย่อหยิ่ง ทำไม่ได้หรอกครับ ทำได้อย่างมาก ก็แค่ยับยั้งอาการชั่วคราวเท่านั้นเอง เหมือนกินพาราฯ เดี๋ยวมันก็เป็นอีก แล้วสุดท้ายมันก็จะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะยาก็เอาไม่อยู่

การรักษาที่ถูกต้อง เราต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ เราต้องค่อยๆ ควนหาหรือค้นหาเหตุผล ให้เห็นว่าที่เรายังอิจฉาคนอื่นอยู่ เรายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เรายังขี้ๆ อะไรอยู่ มันเกิดจากอะไร? ที่แท้จริงบ้าง ไม่ใช่ไปหยุดอยู่ตรงนั้น ต้องหาให้เจอ มันเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ปรับความคิดของเรา ทำไมมันถึงคิดอย่างนี้  เพราะอะไรต่างๆ เหล่านี้  สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความอดทนและต้องเอาใจใส่ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่หายจากโรคเหล่านี้ เราต้องใส่ใจ ใช้เวลา ถ้าอยู่ดีๆ บอกว่าให้ไปรักษาโรคอิจฉาริษยา ไปรักษาความเห็นแก่ตัวให้หาย มันจะยาก มันจะยากมาก เพราะเป็นการไปรักษาแก้ที่ปลายเหตุ เราต้องใช้ตรรกะและหลักเหตุผลเข้ามาช่วย

หาให้เจอว่าต้นเหตุ ตัวการที่แท้จริง มันคืออะไร? ทำไมเราจึงอิจฉาเขา ทำไมเราจึงเห็นแก่ตัว เพราะอะไร? แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิด พัฒนา  ก็คือฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกพัฒนา ฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น เขาเรียกว่าพัฒนา … พัฒนาตัวเองได้ การทำแบบนี้ ก็เปรียบได้กับการออกกำลังกายทางวิญญาณนั่นเอง ไม่มีกล้าม ค่อยๆ ฝึก เดี๋ยวมันก็มีกล้ามขึ้นมาเอง ค่อยๆ ยืดเส้นมาเรื่อยๆ เส้นสายมันก็ยืดขึ้น เคยก้มลงไป มือแตะพื้นไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็แตะได้เอง จะเอาวันนี้ให้มันแตะได้ เคล็ดตายพอดี ถูกไหม? ขึ้นอยู่ที่จะทำไหม?  เหมือนกับการออกกำลังกายไม่มีผิด ถ้าเราได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ร่างกายก็แข็งแรง ทางวิญญาณก็เหมือนกันนั่นแหละ วิญญาณก็ต้องการการออกกำลังกาย นี่คือการออกกำลังกายทางวิญญาณ

การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายในการสำแดงความรักของพระเจ้า อย่างที่ได้บอกครั้งที่แล้ว คำคมที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ เคยพูดตั้งนานแล้ว การสำแดงความรักของพระเจ้า คำคม ก็คือ …

ท่านสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้

รวมความ ก็คือความรักที่แท้จริง ต้องมีการให้เกิดขึ้นเสมอ เอเมน ไม่ใช่ปากบอกว่ารักๆๆ ไม่ได้ให้อะไรเลยสักอย่าง แต่ในการให้นั้นอาจจะเป็นการให้ด้วยการรักหรือไม่? ตรงนี้แหละ ที่เราจะมาฝึกฝนกันในวันนี้ ผมจะพาท่านชี้ให้เห็นว่าท่านคิดอย่างไร? ท่านทำอะไร?

การให้นั้น อาจจะเป็นการให้ด้วยการรัก หรือให้โดยปราศจากความรักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ อาการของการให้ออกไป อาจให้ด้วยความรักก็ได้ หรือให้ด้วยความไม่รักก็ได้ ถูกหรือไม่ถูก? แล้วถามว่าดูอย่างไรว่าการให้ เป็นการให้ด้วยความรักหรือเปล่า? จำได้ไหม? สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้แล้วว่าการสำแดงความรัก ด้วยการให้ ต้องดูที่ไหน? ใครจำได้บ้าง? ยกมือขึ้น? การสำแดงความรักด้วยการให้นั้น ดูที่ไหน? ง่ายนิดเดียว จำได้ไหม? ดูที่ว่าการให้นั้น มีการเอา แอบแฝงอยู่ไหม?

“ให้” มันตรงกันข้ามกับคำว่า “เอา” แค่นั้นเอง ท่านจะเห็นภาพเลยว่าให้จริงหรือไม่? ให้ไปเพื่อหวังอะไรหรือเปล่า? ให้ไปเพื่อต้องการเอาอะไรไหม? มันชัดมาก

ถ้ามีการเอาแอบแฝงอยู่ ก็จบกัน ถ้าการให้มีความต้องการ หรือคำว่า “เอา” อะไรบางอย่าง เป็นสิ่งตอบแทน เคลือบแฝงอยู่ด้วย ก็ไม่เข้าข่ายสำแดงความรักด้วยการให้ (นะจ๊ะ) นี่ให้ท่านพิจารณาดู

เริ่มมองเห็นตรรกะ ความคิด เหตุผลที่ผมกำลังมานำให้ท่านดูในวันนี้ ใช่ไหมครับ? เริ่มจากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าที่ทรงคุณค่ามากมายของพระองค์ และเมื่อเราทราบความจริงตอนนี้ เราก็จะมีความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา และเราก็จะให้สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงผลักดัน ที่จะทำให้เราสำแดงความรักแท้นี้ ส่งต่อไปยังผู้อื่น ไปยังคนรอบข้างอีกมากมาย และการสำแดงความรักตรงนี้ ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ความรักตามแบบอย่างของพระเจ้านี้ ที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ ที่พระองค์ทรงมอบให้กับเราแล้ว คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตามลักษณะของ 1 โครินธ์ 13:4 ที่บอกว่าความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว มีเมตตา อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันต้องอาศัยการฝึกฝน ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะมีความตั้งใจจริง ที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้านี้ มีใจปรารถนาที่จะสำแดงความรักอย่างนี้ แต่ความจริง ก็คือเนื้อหนังของเรา ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ยังคงมีกิเลสอยู่

เพราะฉะนั้น การที่เราจะสำแดงความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตะกี้เราบอก เรารู้ว่ามันยากที่จะเกิดขึ้นได้เองในชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งที่อยากจะทำ มันต้องมีการฝึกฝน มีวินัย และเริ่มค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมา พัฒนาทั้งความคิด พัฒนาทั้งจิตใจ พัฒนา ต้องเอาใส่ใจ ต้องคิดตลอดเวลาๆ ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ สังเกตตลอดเวลา คือภาคทฤษฎี เรารับรู้แล้ว และเราก็เชื่อแล้วว่าเรามีความตั้งใจที่จะทำตามถ้อยคำพระเจ้า แต่ในทางภาคปฏิบัติ ยังต้องใช้เวลา และใช้การฝึกฝน หรือการออกกำลังกายทางฝ่ายวิญญาณ

ส่วนการฝึกฝน ก็คือเรารู้ว่าความรักแท้ของพระเจ้า ต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการให้เสมอ ใช่ไหม? นี่คือเคล็ดลับนะ และการให้ ต้องไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการต้องการจะเอาอะไรกลับคืน ไม่หวังสิ่งตอบแทน

เพราะฉะนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่าการฝึกฝนในการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างของพระเจ้า ก็คือการฝึกฝนในเรื่องของการให้ออกไป โดยไม่มีการเอา ทุกอย่างในชีวิตเลย นี่คือฝึกฝนตรงนี้ วันนี้จะมาคุยตรงนี้แหละ ชัดๆ เลย เรื่องเดียวเลย การฝึกฝนในการให้แบบพระเจ้า โดยไม่ต้องการที่จะเอา ได้ไหม? ง่ายไหม?

พูดพร้อมกันนะครับ “การฝึกฝน การให้ โดยไม่มีการเอา”

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเรื่องยาก ก็เพราะว่าการเอานั้น มันมีสาเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวนั้นเอง การที่เราต้องการจะเอาทุกอย่างในโลกนี้ มันมาจากการเห็นแก่ตัว และมนุษย์ทุกคนก็เป็นคนเห็นแก่ตัว พระคัมภีร์บอกไว้ ไม่ใช่ผมพูดนะครับ

เพราะมนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  เมื่อเป็นคนบาป ก็คือเห็นแก่ตัว เป็นอาการหนึ่งของคนที่บาป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถควบคุมอาการเห็นแก่ตัวนั้น ให้อยู่ภายในตัวเอง และไม่ออกมาภายนอกได้มากน้อยเท่าไร?  แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับฝึกหรือไม่ฝึก? ถ้าไม่ฝึกเลย ปล่อยมันธรรมชาติเลย มันก็เหมือนเด็กที่ไร้การศึกษา ไร้การอบรม ไม่มีใครอบรม นึกออกใช่ไหมครับ? พ่อแม่ไม่สั่งสอน อะไรอย่างนี้

แล้วเราจะฝึกในการที่จะควบคุมตรงนี้ให้ความเห็นแก่ตัว ความบาปตรงนี้ มันออกมาน้อยในชีวิตของเราได้อย่างไร?  วิธีที่จะควบคุมไม่ให้ออกอาการมากๆ ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? ฝึกให้อาการเห็นแก่ตัวไม่ออกมามากๆ ก็คืออะไรรู้ไหม? ก็คือการฝึกฝนในการให้ออกไปด้วยความรัก ฝึกในการให้ออกไปด้วยความรัก ให้มันออกมาเยอะๆ ถ้าเราฝึกฝนในการให้ออกไปได้มากเท่าไร? อาการของการเห็นแก่ตัว ก็จะน้อยลงไปเท่านั้น มันแทนที่กัน

จำไว้นะครับ พูดถึง “ให้” ตรงนี้เมื่อไร? ท่านคิดในใจให้แบบไม่มีการเอาเด็ดขาด ให้ออกไปเลย  การให้อย่างนี้  จะทำให้การเห็นแก่ตัวมันลดน้อยลงไป ท่านรู้เคล็ดลับแล้ว ตอนนี้ แต่อย่าลืมหัวใจที่สำคัญที่สุด ในการให้ด้วยความรัก ก็คือการไม่เอา  เน้นตรงนี้เลยนะครับ เราเคยเห็นตัวอย่างมากมาย ที่บางคนก็ดูเหมือนเป็นคนที่ให้ออกไปเยอะแยะ แต่ทำไมยังเป็นคน เห็นแก่ตัว ยังอิจฉาริษยาคนอื่นอยู่ ยังโลภอยู่ มันแปลกไหม?  แปลกไหมครับ?  ไม่แปลก พอเราเรียนมาตะกี้ ไม่แปลก เพราะการให้ ไม่ได้ให้ด้วยความรักก็มี ถูกไหม?

สาเหตุ ก็เพราะการให้ของเขานั้น เมื่อลงไปดูลึกๆ พิจารณาดูแล้ว ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐาน หรือพื้นฐาน วัตถุประสงค์ของความรักแท้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเสียสละ มันไม่ใช่การให้จริงๆ นั้นเอง แต่มันเป็นการลงทุน เป็นการเห็นแก่ตัวนั่นแหละ แต่แอบแฝงมาในรูปแบบของการให้  เป็นการให้ โดยยังมีการ เขาเรียกว่าไม่บริสุทธิ์แท้จริง เป็นการให้ที่ยังแอบแฝงอยู่ข้างในใจ ตีอ้อมเข้าไป เพื่อที่จะได้เอากลับคืนมามากกว่านั้นอีก นี่มองข้างนอก เหมือนให้ แต่ข้างในใจเขาวางแผนไว้แล้ว สลับซับซ้อนหลายตอน จนกระทั่งบางคนไม่รู้ แม้กระทั่งตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ คนมองก็ไม่รู้ ไอ้นี่วางแผนเยอะแยะเลย สรุปแล้ว คือจะเอากลับคืน

 

ยกตัวอย่างอะไรดี ว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในใจ ขณะที่เราให้ออกไปบ้าง? ยกตัวอย่างนะ ถวายทรัพย์ ถวายเงิน เพื่อเราจะได้ไปสวรรค์ อย่างนี้ มีไหม? ถวายเงิน เพื่อเราจะได้พระพรพระเจ้า … พระเจ้าจะได้อวยพรเรามั่งคั่งขึ้น  มีไหม? ค่อยๆ ก้มหน้าทีละนิด ตอนแรกก็เงยหน้า แต่ตอนนี้ก้มนิดๆ แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ก็ยิ่งปลูกฝังความเห็นแก่ตัวมากขึ้น โลภมากขึ้นอีก

พระเจ้าประทานสวรรค์ให้เราฟรีๆ แล้ว เราไม่เข้าใจเหรอ พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระเราพ้นจากบาป เอาความบาปผิดของเราออกไปเรียบร้อยแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว เมื่อเราสะอาดหมดจด เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสามารถกลับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ เราคิดว่าเผื่อจะติดสินบนพระเจ้าได้ ใส่เข้าไปเยอะๆ เผื่อว่าพระเจ้าจะให้เราเข้าสวรรค์ได้ มันไม่ใช่ เราต้องเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไถ่บาปเราแล้วจริงๆ ตรงนี้คือหัวใจ แล้วเราก็ได้ไปสวรรค์

นี่คือพระเจ้าให้เราฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย นี่ฟรีๆ นี่คือความรักแท้ ใช่ไหม? นี่คือความรักแท้ พระเจ้าให้เราฟรีๆ เลย

หรือตะกี้ที่บอก ที่ก้มหน้าเยอะที่สุด ก็คือให้ไป เพื่อพระเจ้าจะอวยพรเราให้มันทำไม? จนขึ้น มีใครกล้าอธิษฐานอย่างนี้บ้าง?  ไม่มี ก็ขออย่าให้มีเลยอย่างนั้น เอาแค่ …

“ขอให้เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้ไหม?”  ไม่ต้องต่อด้วยคำว่า … “พระเจ้าอวยพรลูกรวยๆ”

ไม่เอา ไม่พูดอย่างนั้นได้ไหมล่ะ พอพูดอย่างนั้นปุ๊บ การให้ มันทำไม? มันเสียไปเลย มันเป็นศูนย์เลย  พอเข้าใจใช่ไหม? นี่คือการฝึกฝน พัฒนา มันต้องอาศัยความคิด เข้าใจ แล้วก็ค่อยๆ เอ้อ! ใช่ๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝนไป

คนเหล่านี้ ที่ทำแบบตะกี้นี้ ทำไมถึงเห็นแก่ตัวอยู่ ทั้งๆ ที่ให้ออกไปตั้งเยอะ บริจาค ทรัพย์ สิ่งของมากมาย เพราะว่ามันเป็นการบริจาค ไม่ใช่มาจากความรักแท้ แต่บริจาค เพราะอยากไปสวรรค์ เห็นหรือยัง?  บริจาค เพราะอยากได้ชื่อเสียง บริจาค เพราะอยากได้คำยกย่องสรรเสริญ แบบนี้ไม่ใช่ การให้ โดยการสำแดงความรักในแบบของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นการสำแดงความรักโดยการให้ออกไป อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องการอะไรกลับมาเลย โดยการไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เห็นไหมมันต่างกันใช่ไหม? มันก็คืออะไร? มันก็คือการขาดการออกกำลังกายทางวิญญาณ การฝึกฝนในการให้ออกไปของเรา ถ้ามันไม่มี มันก็จะเป็นอย่างที่ตะกี้นี้พูด มันน้อยไป มันไม่ได้ฝึกฝนที่จะสู้กับกิเลสตัณหาและเชื้อบาปที่อยู่ในตัวของเรา ในร่างกายของเรา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ถ้าเราไม่ฝึกฝนสิ่งนี้ มันก็จะพรั่งพรูออกไปน่าเกลียดๆ โดยที่เราไม่ได้สังเกตเห็น แต่จริงๆ แล้วถ้าเราสังเกตตามนี้  ตามที่ผมพาท่านมาฟังในวันนี้  มาชี้ให้ท่านเห็น ท่านคิดว่า …

“โอโห้! ในใจฉันสกปรกเหลือเกิน ควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่จากนี้ต่อไป น่าเกลียด อายเขาเหลือเกิน ไม่เคยเห็น วันนี้เปิด น่าเกลียดมาก”

ทุกคนพูดพร้อมกัน “สกปรกมากเลย ในใจสกปรกมาก”

ใครสกปรก? ชี้ไปคนข้างๆ แล้วบอกว่า “ฉันสกปรก” รอดไป

ใช่ไหม? ที่แล้วมา พอเวลาบริจาค ก็อธิษฐานว่า …

“พระเจ้าอวยพรลูก ใส่ไป ได้รับมาร้อยเท่า”

นี่มันไม่ใช่สกปรกธรรมดา แถมโลภมากอีกนะ 30 เท่ายังดี นี่ 100 เท่าเลยนะ 1 เท่าก็ยังดี ให้ไปร้อยหนึ่ง ได้มาสองร้อยก็ยังดี นี่กะให้ไปร้อยหนึ่ง คูณ 100 เป็นแสน โอโห้! ให้ไป 10 ที ก็เป็นมหาเศรษฐีแล้ว  คูณไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปทำมาหากินแล้ว แต่ถ้าเราฝึกฝนในออกไปเปล่าๆ โดยไม่เอา โดยไม่คิดอะไรเลย เพียงแต่อยากให้คนที่เขารับ มีความสุข พ้นจากความทุกข์ เหมือนที่พระเจ้าให้เรา ไม่ได้ตั้งใจจะเอาอะไรกับเราเลย ต้องการให้เรามีความสุข พ้นจากบาป กลับไปหาพระองค์ในสวรรค์ อยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล จากโลกนี้ไปแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์กาล นั่นเปล่าๆ แค่นั้น ต้องการแค่นั้นเอง ไม่ได้ต้องการเรียกเรามาเชื่อพระเจ้า เพื่อจะรับใช้พระเจ้า เพื่อจะใช้เรา อันนั้น พระองค์วางแผนให้กับเรา ด้วยจิตใจที่เราเต็มใจที่จะรับใช้พระองค์ คนละเรื่องกัน เพียงแต่อยากให้คนอื่นเขามีความสุข เท่านั้นเอง

แบบนี้ จึงเรียกว่าการสำแดงความรัก โดยการให้ที่แท้จริง ซึ่งมันต่างกันตั้งเยอะนะครับ การให้เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรัก กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืน มันต่างกันเยอะมากเลย

อีกครั้งหนึ่ง การให้ เพื่อฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า กับการให้ เพราะอยากได้กลับคืนมันแตกต่างกันมากเลย ฟ้ากับเหวเลย

ตัวอย่างเช่น อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เลยนะ อธิบายบางทีไม่ค่อยเข้าใจมาก แต่อันนี้มันจะเชือดเข้าไปในหัวใจ มันจะผ่าหัวใจเราออกเป็น 2 ข้าง อย่างเช่น การที่เรานำของที่เหลือใช้ คือของที่มีอยู่ แต่เราไม่ได้ใช้แล้ว แล้วเราก็เอามาให้คนอื่น ถามว่าดีไหม? ดีอยู่ ตกใจ นึกว่าไม่ดี ทุกคริสตมาสเอาไปให้ตั้งเยอะ ตายแล้ว ตอนนี้โดนฉันแล้วเนี้ย ดีอยู่ แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝนนะ อย่างที่ผมบอก ฝึกฝน พัฒนา และคิดตามเหตุผล แต่ถ้าเราสามารถฝึกฝน ถึงขนาดที่สามารถเอาของที่เราใช้อยู่ และเรากำลังใช้อยู่ และเราก็รักของสิ่งนั้นด้วย แต่เราสามารถเอาไปให้คนอื่นได้ ทั้งๆ ที่เรากำลังใช้อยู่นั่นแหละ เราสามารถแบ่งปันให้คนอื่นได้ อย่างนี้ ก็เป็นการปฏิบัติของความรักแท้ที่แข็งแรงขึ้นอีกนิดหนึ่งมากขึ้นกว่าการให้ของที่เหลือใช้ ถูกหรือไม่ถูก? เอเมนไหม? ท่านเห็นภาพไหม? ผมพาท่านไปทีละนิดๆ

นี่คือชีวิตประจำวันของเราเลยนะ แต่ยังมีขั้นตอนต่อไปอีก ฝึกฝนการให้ที่ไม่ใช่แค่ของที่กำลังใช้อยู่อย่างเดียว แต่เป็นของที่เรารักมาก ห่วงแหนมาก และเราก็สามารถให้ออกไปได้

ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าคู่นี้ หรือเสื้อตัวนี้ ของใช้ชิ้นนี้ เรารักมากจริงๆ เลย รักมากขนาดไหน? เพราะกว่าเราจะได้มา เราเก็บเงินตั้งนานกว่าจะซื้อได้ หามาตั้งนานกว่าจะได้ แต่เราก็รู้ว่ามีคนอื่นเขาอยากได้เหมือนกัน หรือมันสามารถใช้สิ่งนี้ ทำให้คนอื่นมีกำลังใจขึ้นมา หรือสิ่งนี้จะมีประโยชน์มากสำหรับคนอื่นที่เราได้ให้เขาออกไป ด้วยความรัก เราสามารถตัดใจให้สิ่งนี้ออกไปได้ เอเมน เท่ห์ไหมอย่างนี้? ไม่กล้าพูดแล้วเหรอ? อยากทำได้ไหม?  อยาก มันทำได้ทุกคน เพียงแต่คิดเท่านั้น ไม่อยาก ฝึกไง ทีละนิดๆ นี่แหละ สิ่งที่จะทำให้การออกกำลังกายความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรามันแข็งแรงมากยิ่งขึ้น  อย่างที่บอกออกกำลังกาย ก็คือทีละนิดทีละหน่อย ทำให้กล้ามเนื้อทางฝ่ายวิญญาณเราแข็งแรงขึ้น  ทำให้เราไม่เป็นโรคเห็นแก่ตัว เป็นโรคโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ดีใจไหมที่หายจากโรคนี้

เราก็เริ่มต้นฝึกฝนการที่จะให้ออกไป ฝึกในการที่จะให้ ฝึกในการที่จะรักแบบพระเจ้า ทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็เริ่มขึ้นไปเรื่อยๆ พอทำได้มากขึ้น มีกำลังมากขึ้น ยิ่งแข็งแรงขึ้น ก็ยิ่งทำการให้ออกไปมากขึ้น ก็จะอิจฉาน้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง ทำร้ายผู้อื่นน้อยลง ชัดเลย ยิ่งทำ ยิ่งได้ใหญ่เลย นี่มันกลับกันตรงนี้  พระเยซูจึงบอกว่าให้เราให้ออกไป คนให้มีสุขมากกว่าคนรับ นี่ก็เพราะอย่างนี้ไง ถ้าเรารับไปเรื่อยๆ เราอาจจะถูกทดลอง จนกระทั่งเป็นคนจะเอาอย่างเดียว เห็นแก่ตัวใหญ่เลย พระเยซูจึงบอกให้ออกไปสิ นี่แหละคือความลับ ให้ออกไป คนให้จะได้ คนรับไม่ได้ เพราะเขาจะต้องให้ต่อออกไป เขาจึงจะได้รับด้วย เพราะว่าพรนี้อยู่ที่ให้ ให้แล้วเขาจึงจะได้รับ แต่รับอย่างที่บอกนะ

ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่าอะไรรู้ไหมครับ? ปฏิบัติการเช่นนี้ ผมใช้ชื่อว่า “ปฏิบัติการเอาหนามยอก เอาหนามบ่ง” ให้มันสะใจไปเลย เขาเรียกว่าอะไรล่ะ หักด้ามพร้าด้วยเข่า ปฏิบัติการหนามยอก เอาหนามบ่ง การให้ทรัพย์สินเงินทองออกไป ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ ฟังให้ดีๆ ยิ่งไม่มี ยิ่งต้องให้ หมายถึงสิ่งที่เราให้ออกไป มันต้องมีการเสียสละ เหมือนกับมีการเชือดเนื้อเราออกไป อะไรประมาณนี้ เหมือนพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์ที่รัก ให้กับเราทั้งหลาย พระเยซูต้องลงมา ไม่ใช่สุขสบาย ต้องทุกข์ทรมาน ให้คนเขาตอกตรึงบนไม้กางเขน  ตายด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อรับเอาบาปของพวกเราไป ทุกข์ทรมานมาก นี่คือความรักที่สำแดงออก โดยการให้

ถ้าเราเอาเศษ หรือของเหลือใช้ไปให้คนอื่น เราก็ไม่ได้ฝึกฝนการให้ด้วยความเสียสละ ถูกไหม?  หรือไม่ได้ฝึกฝนการสำแดงความรักของพระเจ้า ด้วยการให้ แต่ถ้าเราให้ในขณะที่เราเอง ก็ไม่มี เราเองกำลังขัดสนอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น  ที่ต้องระวัง ก็คือไม่ใช่ซาดิสต์นะครับ มีเหตุผลนะครับ ต้องไม่ให้เกินกำลังไป ไม่ใช่อย่างนั้นนะ การฝึกฝนหรือการออกกำลังกายทางวิญญาณ มันต้องคิดอย่างไรครับ มันต้องทำให้มันเข้ม เอาใจใส่ ต้องมีวินัยอย่างจริงจัง มันถึงจะได้ผล ไม่ใช่ออกกำลังกายวันหนึ่ง หายไป 4 วัน ออกอีก 2 วันหายไป 3 วัน

“ไม่เห็นได้ผลเลย จะลดน้ำหนักไม่ได้เลย”

มันจะได้อย่างไร? วันนี้ออกไปวันหนึ่ง พรุ่งนี้กิน 3 วัน วันนี้มากิน พรุ่งนี้กิน 4 วัน พิเศษทุกวันเลย จิ๊บไปจิ๊บมานิดหนึ่ง อันนี้นิด อันนี้หน่อย

“ทำไมน้ำหนักไม่ลด”

“ก็ฉันเห็นเธอกินอยู่ตลอด”

แต่ความรู้สึกว่าไม่ได้กิน เพราะว่าเขาเรียกว่าอะไรนะ แจมทุกๆ จาน รู้จักไหมแจมทุกๆ จาน ขอแจมนิดหนึ่ง ปรากฏว่ากินเยอะกว่าคนที่เขากินจานหนึ่งอีก สู้อย่างนี้ เธอกินจานหนึ่ง ไปหมดเลยดีกว่าไหม?

ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เห็นชัด ถ้าเราเป็นคนทานข้าว 2 จาน แล้วถึงจะอิ่ม แต่ละคนไม่เหมือนกัน สมมติว่าเรากิน 2 จานจึงจะกิน แต่พอดีเรามีอยู่ 3 จานพอดี เราก็เลยแบ่งให้คนอื่น 1 จาน อย่างนี้ผมก็จะบอกว่าเป็นการเอาของเหลือ ที่เราทานไม่หมดแล้วไปให้คนอื่น เพื่อไม่ให้เสียของเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ทานข้าว 2 จานอิ่ม แล้วเราก็มีอยู่ 2 จานพอดี แต่เราเห็นคนอื่นกำลังหิว และต้องการกินข้าว เราก็เลยแบ่งให้เขา 1 จาน ทั้งๆ ที่เรายังไม่อิ่มนะ แต่เรายอมเสียสละแบ่งให้เขา 1 จาน อันนี้เป็นการให้ที่มีการเชือดเนื้อตัวเองเกิดขึ้น เห็นไหมครับ? อย่างนี้เรียกว่าสำแดงความรักของพระเจ้าด้วยการให้ ได้ไหม? ได้ ชัดเลย ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ไม่ได้เอาอะไรเลย แค่อยากให้คนอื่นหายหิว ตัวเราเองยอมเสียสละอิ่มน้อยลงนิดหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกก็ได้ ฝึกฝนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ตะกี้เรากินจานหนึ่งอิ่ม ไม่อิ่ม แต่เรากินจานหนึ่ง แบ่งให้เขาจานหนึ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง เรากินแค่ครึ่งจาน อีกจานครึ่งเราแบ่งให้คนอื่นไปเลย เราอดทนได้ เพราะเราเห็นคนอื่นเขาลำบาก เราอยากให้เขามีความสุข เท่านั้นเอง เราไม่คิดว่าเราจะให้เขาไปจานครึ่ง แล้วพระเจ้าจะอวยพรมา 30 จาน คุ้นๆ นะ บางคนคุ้นๆ อย่างนี้  ไม่ใช่เลย  เห็นไหม? ความปลอดโปร่งจิตวิญญาณ

พระเจ้าสัญญากับเราแล้ว ไม่ใช่แค่ขึ้นสวรรค์อย่างเดียวฟรีๆ  พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงจัดเตรียม ทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา ไม่ขัดสนเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านเข้าใจไหม?  ท่านไม่ขาดอยู่แล้ว เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้ จะงกไปทำไม รวยๆ ไม่เอา ทำไป วุ่นไปหมดเลย  พอเข้าใจไหม? สวรรค์ก็ให้ฟรี สวรรค์ให้ฟรีไม่พอ มาเชื่อพระเยซูแล้ว สวรรค์ได้ไปฟรีแล้วไม่พอ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ไปสวรรค์ แถมพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังนำพาชีวิตเราในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตลอดเวลา เพื่ออวยพรเรา อะไรจำเป็นให้ จัดให้หมด พ่อจัดเตรียมให้หมด ที่จำเป็น ไม่ใช่เฉพาะแค่เงินทองทรัพย์สินเท่านั้น รวมทั้งอย่างอื่น ทุกอย่าง ทั้งสถานการณ์ ผู้คนรอบข้างทุกอย่าง เราจะทำเป็นคนอดยากทำไม?  เราควรจะยิ่งให้ใหญ่ ยิ่งให้เราก็ยิ่งได้ ได้อะไรมา? ได้ความสงบ สันติสุข นี่คือรวยแท้จริงเลย รวยทางวิญญาณนั่นเอง เอเมน นี่คือเคล็ดลับเอามาบอกท่าน

หรือแม้บางครั้งท่านอาจจะบอกวันนี้ทำได้แล้ว ฝึกมานานแล้ว ไม่ใช่ซาดิสต์อีกแล้ว ไม่ใช่ทรมานเกินกำลัง วันนี้ฝึกมาได้แล้ว เขาลำบากมากกว่าเราเยอะ ให้หมดไปเลยวันนี้ อดอาหารหนึ่งวัน ได้ไหม? อย่างนี้พอทำได้ ยกตัวอย่างให้ดู ไม่ได้มากเกินไป

เหล่านี้เป็นการฝึกฝน เป็นการออกกำลังในเรื่องการสำแดงความรัก ตามแบบอย่างพระเจ้า  โดยการให้ออกไป  ทำให้จิตวิญญาณเราเข้มแข็งขึ้น ต้องใช้ความเข้าใจมากขึ้น  และความใส่ใจในสิ่งนี้  ค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิด ทีละหน่อย แต่ละวันๆ แล้วมันจะพัฒนาดีขึ้นเอง

พัฒนา แปลว่าค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ ดีขึ้น พัฒนา แปลว่าอย่างนี้

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ของการให้ ตัวนี้ยิ่งแสบใหญ่เลย  เพื่อเราจะได้เห็นภาพต่างๆ ว่าอดีตเราเป็นอย่างไร? บนโลกเราเป็นอย่างไร?

อีกตัวอย่างของการให้โดยไม่มีการเอา 100% เลยนะครับ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเลยจริงๆ ก็คือการเก็บความลับของการให้ โดยไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ นี่ก็คืออีกอันหนึ่งที่ฝึกได้ แล้วก็พยายามจำให้ได้เสมอว่าเป็นอย่างนี้ มันนิดๆ หน่อยๆ ท่านจะเห็น เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู

การให้ของที่เล็กๆ น้อยๆ อาจยังดูไม่สำคัญเท่าไรนัก ในการที่จะเก็บความลับ แต่ถ้าเป็นการให้ของที่มีมูลค่ามากๆ ตามสายตามนุษย์ทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้นั้น ยิ่งต้องเก็บความลับไว้อย่างมากเลยทีเดียว ท่านรู้ไหม? เพราะอะไร? ยกตัวอย่างเช่น ท่านเอากล้วยน้ำว้าไปให้ใครสักคนหนึ่ง อาจจะบอกคนอื่นได้ว่าเอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นคร เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์นำ ท่านอาจจะพูดได้

“วันนี้จะไปไหนน่ะ”

“อ้อ! เอากล้วยน้ำว้าไปให้อาจารย์”

แต่ถ้าท่านเอาเงิน 1 ล้านบาทไปบริจาคโรงพยาบาล เพื่อรักษาคนป่วยอนาถา อย่างนี้ ควรฝึกที่จะเก็บความลับไว้ไม่ต้องประกาศให้โลกได้รู้เลยแม้แต่นิดเดียว ทำได้ไหม?

ล้านบาทบริจาคโรงพยาบาล โดยที่ไม่มีใครรู้เลย เงียบหมด (สามีภรรยาในครอบครัวรู้ได้นะ) แต่ไม่ไปพูดกับใครเลย ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น  เขาบอกจะเขียนลงไปในหน้าประตูห้อง ท่านบอกไม่ต้องเขียนเลยนะ เขาบอกจะลงหนังสือพิมพ์ ท่านบอกไม่ต้องลง เห็นไหม? ท่านพอมองเห็นอะไรบ้างไหม?

นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด วันๆ เราต้องคิดอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวให้เราสามารถไปอยู่ในแนวทางของพระเจ้าได้  เหล่านี้คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการสังเกต การสำแดงความรักด้วยการให้ของเราว่าจริงแล้วมันใช่หรือไม่?  มันมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า? และเทคนิควิธีการทั้งหมดนี้

เอาไว้สำหรับพิจารณาคนข้างๆ เท่านั้น ไม่ใช่พิจารณาตัวเอง ถูกไหม? ไม่ถูก

 

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เอาไว้พิจารณาตัวเราเอง ตัวฉันเอง ไม่ใช่คนอื่นเลย อย่าไปยุ่งกับคนอื่นเขา เพราะไม่มีใครรู้เขาคิดอะไรในใจ แต่มีเรารู้ ทำอะไรเรารู้ คิดอะไร? ใช่ไหม? ไม่ได้มีไว้เพื่อพิจารณาหรือตัดสินผู้อื่นนะครับ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าทั้งหมดมันอยู่ข้างในใจเรา ข้างในใจเขา ไม่มีใครรู้หรอก เราฝึกของเราให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างของการสำแดงความรักชนิดที่เป็นแบบของพระเจ้า คือความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นก่อนตัวเอง สังคมทุกวันนี้กำลังรอความรักอย่างนี้ เป็นความรักที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ทุกอย่าง และความรักชนิดอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างให้กับเราแล้ว แล้วพระองค์ต้องการที่จะช่วยเราให้สามารถพัฒนาความรักแบบนี้ มากขึ้นทุกวันๆได้ ถ้าเราต้องการให้พระองค์ช่วย

ให้เราอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยเรา ให้เรามีกำลัง ให้เราสามารถที่จะมีความรักอย่างนี้ มากขึ้นทุกวันและทุกวัน และตัวเราเอง ก็ค่อยหมั่นทำอะไร? สังเกต หมั่นสังเกตคืออะไรรู้ไหม? เราทำสิ่งนี้มันถูกหรือไม่นะ? เราทำสิ่งนั้นถูกไหม? เป็นความรักของพระเจ้าหรือยัง?  มันถูกตามข้อพระคัมภีร์หรือยัง? มันถูกตามที่เราได้ยินได้ฟังมาตามข้อพระคัมภีร์ใช่ไหม? มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนี้ไหม? แล้วถ้ามีตัดมันเลย ตัดความคิดนั้น เลิก ทำอันใหม่ บางครั้งมันเล็กๆ น้อยๆ ตัดง่ายนะ ถ้าปล่อยมันลงมากองใหญ่ขึ้นๆ ไม่มีแรงสู้มันแล้ว มันโลภไปแล้ว ก่อนที่มันจะโลภใหญ่ๆ มันโลภไปนิดหนึ่ง ตัดมันก่อน ก่อนที่จะเห็นแก่ตัวมากๆ พอเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง จัดการมันก่อน อย่างนี้ถามว่ามันใช้อะไร? มันใช้ความใส่ใจไง ไม่ใช่มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยไปนิดหนึ่ง มันโลภมานิดหนึ่ง ปล่อยมาอีกนิดหนึ่ง โลภครั้งที่สิบ ไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงที่จะสู้แล้ว มันเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง ช่างมันๆ มันเห็นแก่ตัวอีกนิดหนึ่ง ช่างมัน ช่างมันมากๆ คราวนี้ออกมาน่าเกลียด มีอาการออกมาน่าเกลียดเลย ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ 100% ท่านจะเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น มันต้องการฝึกฝน ค่อยๆ ทีละนิดๆ อยากจะหมั่น อยากจะพูดตรงนี้ซ้ำมากๆ เลยว่าค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาไป ค่อยๆ คิดไป มันไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าหนักๆ ไม่ไหวหรอก แต่พระเจ้าต้องการพาเราไปทีละนิดหนึ่ง สังเกต แล้วก็ฝึกฝนทีละนิดๆ ทีละหน่อย

ถามว่าทำสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร? เพื่อสำแดงความรักของพระเจ้าที่ทรงให้กับเราทั้งหลายว่าความรักนี้อยู่ในเรา สำแดงความรักให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น เพื่อที่ว่าคนที่อยู่รอบข้างเรา จะได้เห็นพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตของเราด้วยความรักแท้อย่างนี้ ที่ให้โดยไม่ต้องการเอาอะไรกลับคืนเลย  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016 เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)” ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2016

เรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์ (Identity in Christ)”

ตอน 6 “สำแดงความรักของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นวันอะไร? วันแห่งความรัก นอกจากเป็นวันแห่งความรัก แล้วเป็นวันอะไรอีก? เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็นชั่วโมงที่พระเจ้าจัดไว้ ก็จะเป็นชั่วโมงที่ไม่หลับ เราจะยินดีและเบิกบานในใจ เป็น 45 นาทีที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะฟังด้วยความชื่นชมยินดีและเบิกบานในใจ  นอกเหนือจากนี้แล้ว วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ ตรงเลยนะครับ วันแห่งความรักของพระเจ้า ที่ประกาศให้โลกได้รู้

เพราะฉะนั้น ทุกคนคงทายได้แล้วว่าบรรยากาศวันนี้ การบรรยายวันนี้ ต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยอะไรที่เกี่ยวกับความรักทั้งสิ้น ใช่ไหม?  หลายคนยังใส่สีแดงมาเลย ตั้งใจหรือเปล่า? ตั้งใจ ยอดเยี่ยมเลย สีแดงไม่ใช่หนุ่มๆ สาวๆ อย่างเดียว บางท่านอายุมาก 70 ยังสีแดงอยู่เลย อย่างนี้รักแท้ … รักแท้แพ้อายุขัยเนอะ เรารักแท้หรือยัง?

เพราะฉะนั้น   เราจะบรรยายเรื่องความรักกันในวันนี้  แต่ยังเป็นเรื่องของความรัก  ที่ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุดเดิม คือเรื่อง “ตัวตนในพระคริสต์” วันนี้ก็จะมาคุยกันต่อในตอนที่ 6 ที่มีชื่อตอนว่า “สำแดงความรักของพระเจ้า”

พูดพร้อมกันนะครับ “สำแดงความรักของพระเจ้า”

ทบทวนกันสักนิดหนึ่งนะครับ ใน 4 – 5 ตอนที่ผ่านมา เราก็ย้ำกันอยู่ที่ข้อพระคัมภีร์ ในเอเฟซัส 2:10 จำได้ไหมครับที่บอกว่าเราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระองค์ตั้งใจสร้างเราขึ้นมาให้เป็น Masterpiece หรือภาษาไทยแปลว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร ที่เราพูดต่อหน้ากระจกมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังพูดอยู่หรือเปล่าทุกวันนี้ มีใครทำตามบ้าง? หลายท่าน ทำหรือเปล่าครับ? ทำ แล้วทำคนเดียวหรือมีคนเห็นอยู่ด้วย แอบทำคนเดียว ไม่เป็นไร?

เอเฟซัส 2:10 “เพราะเราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์  เพื่อให้ทำการดี ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า  ให้เราทำ”

 

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้นะครับว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นการฝีมือ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นอย่างบรรจง ประณีตมาก เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ถ้าเราทราบอย่างนี้ มีความมั่นใจอย่างนี้ว่าเรามีคุณค่ามากมายมหาศาล เราภูมิใจที่สุดแล้ว ที่ได้ชื่อว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ และยึดอกได้อย่างสง่าผ่าเผย ที่เราได้เรียนรู้กันมา แล้วบอกต่อๆ ไปว่าถ้าเรามีความมั่นใจตรงนี้ ชีวิตเราไม่ต้องกลัวอะไรเลย  เราจะสง่าผ่าเผยในตัวของเราเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มีสถานะอย่างไร? มีฐานะอะไรบนโลกใบนี้ จำไว้ได้เลยนะครับว่าคุณค่าของท่าน ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ได้วัดกันตามแบบที่โลกนี้ เขาวัดกัน

โลกนี้เขาวัดกันว่าอย่างไร? เรียนหนังสือได้คะแนนเท่าไร? คุณมีฐานะมั่งมี ร่ำรวยขนาดไหน? มีอาชีพอะไร? ทำงานตำแหน่งอะไร? เหล่านี้ คือมาตรฐาน ที่โลกนี้เขากำหนด มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? มาตรฐานของพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อไรก็ตาม ที่ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นการฝีมือของพระเจ้า ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผลงานชิ้นเอก จงมั่นใจและภูมิใจเถิด เอเมน เพราะเราในที่นี่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว นี่คือเป็นอย่างนั้น นี่คือมาตรฐานของพระเจ้า ในการวัดผู้คนบนโลกใบนี้

จำได้ไหมครับครั้งที่แล้ว เราได้ย้ำกันว่าเราทุกคน เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้างให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

พูดพร้อมกันนะ “ฉันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

เพราะอะไร? เพราะพระองค์มีพระประสงค์ ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฉันหรือเราแต่ละคน ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกันใคร? ท่านไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน

พูดพร้อมกัน “ฉันไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”

เชื่อไหม? เพราะว่าอะไร? เพราะพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ต้องเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

“ไม่มีใครเหมือนฉัน และฉันก็ไม่เหมือนใคร ฉันเท่ห์แบบของฉัน”

ในลักษณะของท่าน เขาเรียกว่าสมบูรณ์สูงสุดในทุกด้าน สวยงามที่สุด ดีที่สุด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถมาว่าท่านได้ว่าท่านด้อยกว่าคนอื่นเขา จงมั่นใจเถิดว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย

จงมั่นใจเถิดว่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านไม่มีด้อยกว่าใครเลย เอเมน ไม่ด้อยกว่าใครเลย  พูดดังๆ เลย  ไม่ด้อยกว่าใครเลย ต้องฝึกแล้ว ไม่กลัวแล้ว เขาว่าเรามาตลอด ไม่เก่ง ไม่โน่น ไม่นี่ ตอนนี้มั่นใจหรือยัง? ใครบอก? พระเจ้าบอก ไม่ใช่ผมมาบอกท่านนะ นี่อ่านจากพระคัมภีร์ และถ้าเราได้เรียนรู้ ได้มั่นใจอย่างนี้ เราก็จะไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เหมือนกัน เราเองก็ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าจะเอารูปของโมนาลิซ่า ของดาวินชี ไปเปรียบเทียบกับรูปของไมเคิล แองเจโล่ ที่ผนังโบสถ์ของวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งสองภาพต่างมีคุณค่ามหาศาล จนประเมินค่าไม่ได้ เพราะไม่สามารถมาเปรียบเทียบกันได้ เลิศทั้งคู่

นั่นแหละ ท่านอาจจะเป็นโมนาลิซ่า ท่านอาจจะเป็นรูปภาพในผนังโบสถ์ เซนต์ปีเตอร์ ใครจะรู้ ท่านเป็นตรงไหนไม่รู้ ท่านจะเทียบกันไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม

เช่นเดียวกัน ผลงานชิ้นเอกของพระเจ้าทุกชิ้น ก็มีคุณค่ามากมายมหาศาล จะประเมินค่าไม่ได้ ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่อยู่ในพระคริสต์ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ละคนมีความสวย มีความหล่อ ตามแบบฉบับของตัวเอง มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้าทุกคน หล่อสุด ทุกคน สวยสุด  สมบูรณ์แบบที่สุด  ไม่มีใครสวยกว่าฉัน ไม่กล้าพูดอีกล่ะ

พูดพร้อมกันสิ ต้องผู้หญิงก่อน “ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว”

ไม่กล้าพูดอีกเหรอ ไม่ชัด ไม่มั่นใจ เอาใหม่

“ไม่มีใครสวยกว่าฉันอีกแล้ว จงมั่นใจเถิด”

เอาผู้ชาย จะให้ผมเป็นคนนำใช่ไหม? ผมรู้ ไม่กล้าพูด นี่เป็นเรื่องจริงๆ ท่านต้องพูด คำว่า “หล่อ” ของเรา .. เราไม่ได้ตามมาตรฐานของโลกนี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ หล่อตามมาตรฐานของพระเจ้า ท่านหล่อเพราะอะไร?  เพราะท่านอยู่ในพระคริสต์ เอเมน ไม่ใช่หล่อ เพราะท่านดูในทีวี ไม่ใช่ หล่ออยู่ในภาพยนตร์

“ไม่ใช่ ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

เอ๊า! พูดพร้อมกัน “ฉันหล่อ เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันสมบูรณ์แบบกว่าใคร เพราะฉันอยู่ในพระคริสต์”

คือสมบูรณ์แบบกว่าใคร? เราไม่ได้เทียบกับใคร ตามแบบของเรา มีชิ้นเดียว

เท่ห์ไหมล่ะ ชิ้นเดียว มีชิ้นเดียว งานประณีตมาก มีชิ้นเดียว ไม่ใช่ก๊อปปี้มาเยอะแยะ มาเปรียบเทียบกันได้ นี่เปรียบไม่ได้ มันชิ้นเดียว

วันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก สำหรับเราหลายคน ที่เป็นหนุ่มๆ สาวๆ นะครับ ก็คงชอบวันนี้ เป็นพิเศษ สำหรับหลายคนก็เป็นหนุ่มน้อย สาวน้อย คือหนุ่มเหลือน้อย ก็ยังสามารถเรียนรู้จักวันวาเลนไทน์ได้

มีบางคนเขากำลังคิดว่าอาจจะคิดว่าวันนี้วันวาเลนไทน์ คำว่า “บางคน” ไม่ใช่ว่าเฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ อย่างเดียวนะ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุบ้างแล้วก็ตาม เพราะวันนี้เป็นวันแห่งความรัก บางทีเราได้ยินเขาโปรโมทกันเยอะๆ ว่าวันแห่งความรักมากๆ บางทีไม่ว่าหนุ่มน้อย สาวน้อย หรือหนุ่มจริงๆ สาวจริงๆ ก็ตาม ก็มีปัญหาตรงนี้ เกิดความคิดว่าอย่างไรรู้ไหมครับ? เกิดความคิดว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องความรัก หรือไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องชีวิตคู่ บางคนอาจจะคิด กำลังเสียใจ น้อยใจ หรือคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่หล่อ หรือสวยพอ ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรัก ช่วงวันวาเลนไทน์ จึงเป็นช่วงที่เศร้าที่สุด มันซึ้งเหลือเกิน มันเศร้าเหลือเกิน จริงหรือไม่จริง? หลายคนพยักหน้าหรือสั่นหน้าก็ไม่รู้ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่มันเรื่องจริง … เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เนี้ยเรื่องจริงๆ เป็นอย่างนี้  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรานั่งที่นี่ มันจะเป็นอย่างนี้  พอเขาโปรโมทเรื่องวันแห่งความรักขึ้นมามากๆ เราก็จะคิดอย่างนี้แหละ นี่คือเรื่องธรรมดา เรื่องความเป็นจริงธรรมดาของมนุษย์

เพราะฉะนั้น วันนี้ จึงเอาข้อความนี้ เอาเรื่องราวในพระคัมภีร์มาช่วยท่านให้เป็นอิสระซะ จำไว้เลยนะครับ มั่นใจในตัวเองว่าเรานั่น หล่อที่สุด สวยที่สุด ตามฉบับที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมา ตามลักษณะนี้แหละ และเราเป็นผู้ … จำได้ไหมสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์ก่อนโน่นที่ผมสอน เราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง

ฟังให้ดีๆ จงจำไว้ว่าเราดีที่สุดในแบบฉบับของเราแล้ว … แล้วเราเป็นผู้เลือกคู่ของเราเอง ภายใต้การนำของพระเจ้า เราไม่ใช่คนที่ต้องรอให้เขามาเลือกเรา

พูดสิ “เราไม่ใช่คนที่รอให้เขามาเลือกเรา”

เฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ พูดก็ได้ ไม่เป็นไรๆ พูดเล่นๆ เข้าใจใช่ไหมครับ? ถ้าพระเจ้าจะอนุญาตให้เราได้คู่กับใคร? พระองค์ก็จะนำเราให้ไปพบผู้นั้น และนำผู้นั้นให้มาพบกับเรา เอเมน … เอเมนไหม? แต่ถ้าพระองค์ไม่อนุญาต ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครเลือกเราสักหน่อย คิดให้ดี ถูกหรือไม่ถูก? นี่เป็นตรรกะเหตุผล โดยเฉพาะเลยนะ ถูกไหม? หรือถ้าได้คบหาดูใจกันแล้ว แต่ต้องมีการเลิกรากันไป ก็เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่อนุญาต หรือไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า  ไม่ใช่เพราะเขาทิ้งเราไป

พูดพร้อมกัน “ไม่ใช่ เพราะเขาทิ้งฉันไป”

ฝึกไว้เลย นี่มันจริงไหมล่ะ อุตส่าห์คิดขึ้นมานะเนี้ย ไม่ใช่คิดตามเหตุผล ตามเรื่องจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร? แล้วเอามาประยุกต์กับปัจจุบันอย่างไร? อยากจะให้ท่านเห็นความเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ เรามีความมั่นใจในเรื่องถ้อยคำ เราเป็นอิสระจริงๆ

และถ้าพระเจ้าจะให้ท่านเป็นโสด  กรุณาฟังทางนี้นะครับ ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านอยู่เป็นโสด ไม่ต้องมีคู่ ก็ไม่ได้แปลว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก ใช่หรือไม่ใช่? เอเมน แปลว่าใช่ … ถ้าท่านต้องเป็นโสด ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีคุณค่า หรือไม่มีใครรัก แต่เป็นเพราะว่าพระเจ้า ต้องการให้ท่านรับใช้ ด้วยสถานะอย่างนี้  มีอะไรไหม?  พระองค์สร้างสิ่งนี้ มีสิ่งเดียวในโลกเลย  ไม่ใช่สิ่ง คนนี้คนเดียว ในโลกเลย  และพระองค์ทรงสร้างว่า …

“จะให้เขาไม่ต้องมีคู่หรอก เขาจะมารับใช้เราอย่างเดียว อย่างนี้แหละ”

มีไหม? เปาโลเป็นตัวอย่าง เยอะแยะเลย แม่ชีเทเรซ่า ไม่ใช่หมายถึงทุกคนจะเป็นแม่ชีหมด ไม่ใช่นะครับ ผมกำลังยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เข้าใจใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเราให้ได้ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  เป็นผลงานชิ้นเอกที่พระองค์ทรงรัก และหวงแหน และภูมิใจที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นกับเราอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น  เหมือนที่เรามีพ่อแม่คอยดูแลเราตั้งแต่เล็กๆ ทุกฝีก้าวในชีวิตของเรา ท่านคอยมองเราตลอดเลย  และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่พระองค์อนุญาต เกิดภายใต้ความรักของพระองค์ทั้งสิ้น  จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเราเสมอ เอเมน ต้องมั่นใจตรงนี้นะครับ

และเมื่อเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนี้ มั่นใจได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาใคร? เราก็จะไม่รู้สึกอยากจะไปว่าร้ายใคร? ไม่น้อยใจใคร? ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้สึกขาดความรัก และมีความชื่นชมยินดีตลอดเวลา แล้วถ้าเราสามารถทำได้ตามคุณสมบัติเหล่านี้ สิ่งที่ตามมา คืออะไรครับ? ก็คือการทำทุกวันให้เป็นวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของเราทุกวันเลย เอเมน

นี่แหละวันแห่งความรักที่แท้จริง มันเป็นอย่างนี้  นี่คือวันวาเลนไทน์ คุณสมบัติทั้งหลายที่ผมพูดเมื่อกี้ ก็คือลักษณะของความรักของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13:4-7 นั่นเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าไม่อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้เลย เพราะเป็นข้อพระคัมภีร์หลัก ที่อธิบายถึงความรักแท้ของพระเจ้า และความรักแท้ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์รู้จักวาเลนไทน์ ก็คือความรักแท้ตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-7

1 โครินธ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรัก คือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น 6 ความรักไม่ปีติยินดี ในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

 

นี่คือสิ่งที่ผมย้ำมาตลอดว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร? และมีคุณค่ามากมายขนาดไหน? เพื่อเราจะได้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แบบนี้ ที่มีต่อเราแบบนี้ และเมื่อเราซาบซึ้ง ถึงความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเราอย่างนี้แล้ว เราก็จะพร้อมที่จะมอบความรัก และส่งต่อความรักนี้ เผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร? เพราะตัวเราเองเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากพระเจ้าแล้ว เรารู้แล้วว่าตัวเราเองมีคุณค่าขนาดไหน? พระเจ้าภูมิใจและรักเรามากขนาดไหน? เราจึงมีความมั่นใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา และเราจึงมีทุนในการที่จะให้ออกไป การให้ออกไป ถ้าคุณไม่มี คุณจะให้อะไรล่ะ คุณไม่มีความรัก คุณก็ให้ไม่ได้ คุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินได้อย่างไร?  คุณแม่ไม่มีแรง คุณจะให้แรงได้อย่างไร?  ถ้าคุณไม่มีความรักแท้เลย คุณจะเอาความรักแท้ที่ไหนไปให้ใครล่ะ นี่เป็นตรรกะธรรมดา

เพราะฉะนั้น อยากได้ความรักแท้นี้ ความรักแท้จากพระเจ้าซึมซับผ่านเข้ามา พอเราได้รับรักแท้พระเจ้า เราก็มีทุนในความรักนี้ เราจึงสามารถให้รักแท้กับคนอื่นได้ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สัมผัสถึงความรักแท้ของพระเจ้า ท่านไม่มีวันที่จะให้ความรักแท้ออกไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

และความมั่นใจตรงนี้จะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ถ้าท่านเรียนรู้จักความรักแท้ของพระเจ้าอย่างนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้กับเรา ที่จะให้ความรักกับคนอื่นๆ รอบข้างเราอย่างมากมาย ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหมดเลย เพราะว่าเรามีแหล่งแห่งความรักซับเข้ามาตลอดเวลา คือความรักแท้ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เอเมน และการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็จะสำแดงออกมา เป็นคุณลักษณะตามแบบที่เราอ่านใน 1 โครินธ์ที่ตะกี้ ที่เราอ่านไป มันเป็นไปได้จริงๆ แต่เป็นไปได้ โดยซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเข้ามา และมันจะเป็นไปตามนั้นเลย คืออะไร? คือท่านก็จะมีชีวิตที่อดทนนาน มีความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ เห็นไหม? ทำได้โดยวิธีใด … วิธีรับความรักแท้ของพระเจ้าเข้ามา ให้พระเจ้าช่วยนั่นเอง

รวมความก็คือเป็นการสำแดงความรักของพระเจ้า ตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงมอบความรักอย่างนี้ให้กับเราก่อน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นต้นแบบของความรักที่โลกนี้ ต้องการมากที่สุด และกำลังต้องการมากที่สุด และต้องการในอนาคตมากที่สุด  และในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าสังคมโลกกำลังขาดแคลนความรักอย่างนี้ มากมาย ขึ้นทุกวันๆ พระคัมภีร์จึงย้ำกับเราไว้อย่างนี้นะครับ 1 ยอห์น 3:18

1 ยอห์น 3:18 “อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูด หรือด้วยลิ้นเท่านั้น แต่จงรักด้วยการกระทำ และความจริง”

 

คำว่า “ด้วยการกระทำและความจริง” ก็คือด้วยความจริงแท้ ความรักแท้ เมื่อตะกี้นี้ ด้วยการกระทำ ก็คือพฤติกรรมทุกอย่าง การดำเนินชีวิตทุกประการ ปกคลุมไปด้วยความรักแท้อย่างนี้ตลอด คือรักที่ต้องการให้ ไม่ใช่รักที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่รักที่อยากจะเอา แต่เป็นรักที่ให้ ฝึกการให้ ให้ ให้ อย่างนี้

คือคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะปัจจุบัน มักจะรักกันด้วยคำพูด ในแต่ละวัน เรามักจะได้ยินคำว่า “รัก” เต็มไปหมดเลยนะครับ แต่การกระทำที่เต็มไปด้วยความรักที่แท้จริง มีให้เห็นน้อยมาก นับวันยิ่งน้อยมากๆ สังคมทุกวันนี้ ที่พูดคำว่ารักมาก รักที่สุด ส่วนใหญ่ที่ยังคงสามารถมีความรัก มีความห่วงใยกันได้ ก็เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังไม่เคยผ่านการทดลอง

ให้พูดพร้อมกัน “ยังไม่ผ่านการทดลอง”

อย่างเช่น เราคิดว่าเรารักคนนี้อย่างมากมายเลย เหลือเกิน ห่วงใย  ห่วงหาอาทรต่อกันมากเลย  แต่พอวันหนึ่ง เขาเกิดทำอะไรให้เราขุ่นข้องหมองใจ เราก็กลับรู้สึกเจ็บปวด ไม่สามารถให้อภัยได้  ถึงขนาดตัดญาติขาดมิตรกันเลย  มีไหม? ฆ่ากันตายยังมีเลย อย่างนั้นใช่รักไหมล่ะ เราเห็นหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ รักมากเลย ฆ่าให้ตายเลย สับเป็นชิ้นๆ เลย เพราะอะไร? เพราะรัก ในหนังสือพิมพ์บอกไว้อย่างนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเพราะรัก พระเจ้าจึงทรงประทานพระบุตร เพราะรัก พระเจ้าจึงให้พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ใช่บอก เพราะรัก ฉันจะเอา เพราะรัก ฉันจึงทำลาย ไม่ใช่

ที่พูดนี้ ไม่ได้หมายถึงแค่ความรักแบบหนุ่มๆ สาวๆ หรือแบบคู่รักเท่านั้นนะครับ แม้กระทั่งคนที่รักกันแบบเพื่อน แบบญาติ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน นี่ประสบการณ์เองนะครับ จริงๆ ประสบการณ์ผม ก็เหมือนประสบการณ์ท่านทั้งหลายในนี้

ใครเล่นไลน์บ้างในนี้ ก็เล่นกันเกือบทุกคนในนี้ สังคมออนไลน์ ก็ส่งข้อความ ก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนหนังสือมาเก่าแก่ รักกัน คิดถึง ทุกคนก็ส่งข้อความในไลน์ใช่ไหม? ทุกวันนี้เราส่งอะไรกัน?

“คิดถึงนะ”

“ห่วงใยมากเลย”

“รักนะจุ๊บๆๆ”

“เมื่อไรจะเจอกันอีก”

“กินข้าวหรือยัง?”

“กินด้วยคนสิ”

“เมื่อไรจะเจอ”

“คิดถึงมากเลย”

“คิดถึงเราไหม?”

“เราอยากเห็นหน้าเธอ”

แต่วันดี คืนดี ก็มีเพื่อนผมบางคน ไปเขียนอะไรบางอย่างที่ผิดใจบางคนที่อยู่ในนั้น เป็นข้อความ พูดตรงๆ นะ ไร้สาระมากเลย  สำหรับผมนะ ผมก็ดู ปรากฏว่าคนที่ถูกพาดพิงถึง โกรธแค้นมาก ไม่เผาผีกันเลย  จากเมื่อวานนี้ ยัง จุ๊บๆๆๆ ท่านลองคิดดูสิ แบบแล้วมันคืออะไร? ทุกวันนี้ยิ่งเห็นชัดกว่าแต่ก่อน มีไลน์มันเร็ว นึกจะใส่ตามอารมณ์ ก็ใส่ แต่ความรักแท้ มันไม่ตามอารมณ์นะครับ มันตามความจริงที่อยู่ข้างใน เอเมน ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร? ก็เป็นรักแท้ที่พระเจ้าให้มา มันต้องเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะอารมณ์อย่างไร พระเจ้าก็รักเรา  รักแท้ รักที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีอารมณ์ ถูกหรือไม่ถูก? โดนไปหลายคนเลยนะครับ

ความจริงนะ ใครที่ใช้ไลน์อยู่ตอนนี้  หรือใช้อะไรประเภทนี้ พวกส่งข้อความไปส่งข้อความมา มันเร็วดี น่าจะทำการทดลองสักนิดหนึ่งนะ  เดี๋ยวผมจะสร้างเรื่องให้ท่านดีไหม? ทดลองดูว่าเพื่อนท่านรักแท้ ท่านจริงหรือเปล่า? เอาเปล่า? เอาไหม? สมมติว่าปกติเขาชอบโพสต์อะไรกัน? เขาชอบโพสต์เวลาทานอาหาร ก็ชอบถ่ายรูป ส่งมาให้เราดู หรือก็ส่งเสื้อมา

“เสื้อนี้สวยไหม?”

ใช่หรือเปล่า? ท่านก็เขียนตอบไปเลย  สมมติว่าเป็นเสื้อก็แล้วกัน

“เสื้อผ้านี้สวยไหม?”

ท่านก็ตอบไปว่า “เสื้อถูกๆ อย่างนี้ ฉันไม่ใช้หรอก ดูแล้วเชยๆ”

ท่านลองทดลองดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น?  กล้าหรือเปล่า? หรือไม่ลงอาหารมา บอก …

“อาหารแย่อย่างนี้ ที่บ้านฉันกินแพงกว่านี้ตั้งเยอะ”

กล้าหรือเปล่า? ทดลองไง  ท่านลองเอาความจริงเชฟไว้ ไปฝากธนาคารก่อนวันวันโพสต์ พอเกิดเรื่องมา

“ไปดูในธนาคารเลย ฉันพูดแกล้งหลอก ทดสอบเธอเท่านั้นเอง”

กล้าหรือเปล่า?  เข้าใจไหม? นี่มันทดสอบได้จริงๆ นะ เดี๋ยว คนที่ไม่ได้เล่นไลน์ จะหาว่าเสียเปรียบ เขาไม่สามารถเล่นได้ ก็ทดสอบได้ สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ มาโบสถ์นี้ จำไว้นะ พอมาโบสถ์ปุ๊บ พอเขาทักเรา เชิดเลย  ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร? กล้าหรือเปล่า? สมมติว่า …

“สวัสดีค่ะ”

วันนี้ไม่พูดด้วย มีอะไรไหม?  หน้าบึ้งสักวันหนึ่ง แล้วดูสิว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องดูมากหรอก ดูแค่ 2 อาทิตย์ก็จะรู้แล้วว่าเขาไปพูดอะไรไหม? ใช่ไหม? หรือไม่ก็เอาหนักกว่านั้น ถ้ายังเห็นไม่ชัด พูดแรงๆ กับเขาเลย หันมาปุ๊บ ถามเลย

“มองอะไร?”

เอาลองดูสิ หันไปหาคนข้างๆ แล้วให้คนหนึ่งตอบสิ

“มองอะไร?”

ฝึกไว้ไง ฝึกไว้เราจะได้ชิน เกิดอะไรขึ้นมา  เราได้โอโห้ ทดสอบ ถามสิ ลอง

“มองอะไร?”

อย่ายิ้มสิ ยิ้มไม่ได้ หรือไม่ก็หันไป

“ฉันเบื่อเธอเหลือเกิน”

พูดสิ คือบางครั้ง เราต้องฝึกเหล่านี้ให้มันคุ้นหูของเรา เราจะคุ้นหูแต่

“ดีนะ”

“ยอดเยี่ยม”

“ดีจริง”

ไม่มีใครนินทาเราสักคน ให้เราได้ยินเลย  เพราะถ้าได้ยินปุ๊บ มันก็ไม่เรียกว่านินทาไง? นินทา แปลว่าเราไม่ได้ยิน ลองฟังคนเขาว่าเรามากๆ ให้มันชินหูหน่อย เราจะได้มีความอดทนนานๆ เป็นการฝึกความรักของพระเจ้า อันนี้ผมนึกขึ้นมาเองนะ ไม่มี อย่าให้ใครไปเรียนแบบนะ ผมว่ามันใช้ได้นะ ไปฝึก ถ้าเผื่อท่านไม่กล้าฝึก ท่านกลับไปบ้าน มองที่กระจกก็ได้

“แกเป็นคนไม่ดี แกน่าเกลียด”

พูดกับกระจกนะ ให้ตัวเองคุ้นกับคำที่คนเขาว่าเราบ้าง? เราจะได้ชิน ใช่ไหม?

“ฉันรำคาญเธอเหลือเกิน” อะไรแบบนี้

ที่เป็นแบบนี้ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะว่าคุณสมบัติข้อแรก ในรักแท้ของพระเจ้า  ที่ตะกี้เราอ่านในพระคัมภีร์ มันไม่สำเร็จในชีวิตของคนๆ นั้น มันไม่ผ่าน  ความรักแท้จริงนั้น ต้องอดทนนาน ข้อแรกก็ไม่ผ่านแล้ว จบแล้ว แล้วยังจะไปบอกว่า

“ฉันมีความรัก”

มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นความเห็นแก่ตัว

พูดพร้อมกัน “เห็นแก่ตัว”

พูดให้คนข้างๆ ฟังสิ “เห็นแก่ตัว”

“ฉันเอง ไม่ใช่คุณ คนอื่นฉันไม่รู้ แต่ฉันเองนั่นแหละ ฉันจะฝึกในการลดความเห็นแก่ตัวลง ก็คือฝึกในการดำเนินชีวิตแบบส่งต่อความรักแท้ของพระเจ้าออกไป ส่งต่อวันวาเลนไทน์ในชีวิตฉันออกไป”

          และความอดทนจะนานได้นั้น ก็ต้องอาศัยความรู้จริง ความเข้าใจจริง ในคุณค่าของตัวเรา ที่พระเจ้าได้สร้างและใส่เข้ามาในชีวิตของเรา ยิ่งรู้ความจริงมากเท่าไรว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และสร้างให้เรามีคุณค่ามากเท่าไร? รู้ว่าพระเจ้าภูมิใจในตัวเราเท่าไร? รู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้ามากเท่าไร? เราก็ยิ่งมีความรักแท้ที่อดทนนาน และนาน และนาน และนานมากๆ ได้

 

เห็นไหมครับ? มันฝึกได้ ฝึกด้วยวิธีอะไร? ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝึกด้วยวิธีการเรียนรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พูดทุกวัน อ่านทุกวัน เรียนรู้ทุกวัน ฝึกทุกวัน อย่างที่ตะกี้ที่พูดมา ฝึกจริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ทำให้ท่านสนุก หัวเราะ แต่จริงๆ เอาไปฝึกได้จริงๆ พูดกับกระจกทุกวัน

“ฉันไม่มีใครเหมือน ฉันไม่เหมือนใคร ฉันหล่อจริงๆ แล้ว”

ไม่ได้พูด เพื่อเราจะไปอะไร บ้าตัวเอง แต่พูดให้มีความมั่นใจตรงนั้นว่าตัวตนเราเป็นใคร? และเราจะได้รู้ว่าพระเจ้ารักเราอย่างไร? เราจะได้ถ่ายทอดความรักนี้ไปสู่ผู้อื่นได้ เอเมน

การสำแดงความรักให้กับบุคคลรอบข้าง ตามแบบอย่างในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ 1 โครินธ์ 13 เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าที่แท้จริง ของการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า โดยไม่ทำให้ผู้สร้างหรือพระเจ้าต้องขายหน้า หรือเสียใจ พูดง่ายๆ เราปฏิบัติตัวสมฐานะ … สมฐานะที่เราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า มันต้องเป็นอย่างนี้

ท่านคิดดูสิ พระเจ้าสร้างท่านไม่เหมือนใคร? ท่านยังไปอิจฉาคนอื่น เข้าใจไหม? ท่านไม่รู้ตัว เรามีลูก เราให้ลูกเราเต็มที่ ไปโรงเรียน ลูกไปอิจฉาคนอื่น

“โธ่ ลูก พ่อทำ สร้างเจ้า แต่งเจ้าเต็มที่แล้ว”

เข้าใจไหม? มันเป็นลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตรงนี้

และการสำแดงความรักให้กับผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะวันวาเลนไทน์เท่านั้นนะ ที่พูดเป็นเพราะวันวาเลนไทน์ แต่ปีหนึ่งท่านจะมาฝึกอย่างนี้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ มันต้องทุกวัน สำหรับคริสเตียนแล้ว วันอะไร ก็เป็นวันแห่งความรักเสมอ ทุกๆ วัน เป็นวันแห่งความรัก เพราะชีวิตคริสเตียน คือชีวิตแห่งความรักนั่นเอง พระเจ้า คือความรัก (แท้) ต้องใส่ เพราะถูกเอาไปแอบอ้างเยอะแยะมากมาย จริงๆ ไม่ต้องใช่คำว่าแท้ จริงๆ ความรัก คือความรัก แต่ถูกเอาไปแอบอ้าง จนเป็นรักปลอม จากความเห็นแก่ตัว เป็นรักปลอมไป เราจึงกลายเป็นมาเน้นว่าพระเจ้าเป็นความรักแท้ กลายเป็นอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าไม่ว่าเราจะทำอะไร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เก่งขนาดไหนก็ทำ … ทำดีขนาดไหนก็ตาม ทำอัศจรรย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากความรัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะไม่มีค่า ไม่มีความหมายเลย ในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:1-3 ลองอ่านดูนะครับ

1 โครินธ์ 13:1-3 “1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้  ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้อง หรือฉิ่งฉาบ ที่กำลังส่งเสียง 2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวง และความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อ ที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก  ก็เปล่าประโยชน์”

 

          ต่อให้เราพูดภาษาแปลกๆ ได้ ภาษาสวรรค์ มีความรู้มากมาย เผยพระวจนะได้  สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้  ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้ทำออกมาจากใจจริง  ทำบนพื้นฐานของความรักแท้จริง ต่อให้เราวางมืออธิษฐานให้คนป่วย รักษาโรค ช่วยคนป่วยหายโรค หรือนำคนมาเชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย แต่ถ้าสิ่งนี้ ไม่ได้ทำบนพื้นฐานของความรักแท้ ไม่ได้ทำเพราะต้องการช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ แต่อาจจะทำ เพราะต้องการความเด่นดัง ต้องการทรัพย์สินเงินทอง สิ่งนี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น

 

หรือในเรื่องทรัพย์สินเงินทอง คนที่ถวาย 10 บาท แต่ถวายด้วยความรักที่แท้จริง เทียบกับคนที่ถวายเป็นล้าน แต่ไม่ได้ออกมาจากความรักจากข้างในที่แท้จริง แต่มาจากความเย่อหยิ่ง จองหอง หรือความอวดดี อวดตัว หรือเพราะต้องการคำยกย่อง สรรเสริญ หรือเพราะต้องการได้พรมากขึ้น หรือกลับคืนอีก หรือทรัพย์สินเยอะขึ้น แบบนี้ เงิน 10 บาท ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านเยอะเลย จริงไหม? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปดูใคร? ดูเราเองนั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ จะเกิดคุณค่า และเกิดประโยชน์ในทางพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรากระทำนั้น เกิดจากแรงจูงใจ แห่งความรักที่แท้จริงเท่านั้น รักที่อยู่ใน 1 โครินธ์ 13 นี่แหละ ทำมาก ทำน้อย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ให้มาก ให้น้อย ไม่เป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือมันออกมาจากความรักแท้จริงหรือเปล่า? มันอยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13 หรืออยู่ในเกณฑ์ของ 1 โครินธ์ 13:1-3 ต่อให้ทำแค่นิดเดียว  ทำเรื่องเล็กๆ  แต่ถ้าออกมาจากความรักที่แท้จริง สิ่งนั้น ก็จะมีค่ามากกว่าการทำมากๆ ทำเรื่องใหญ่ๆ แต่ปราศจากความรักเลย เป็นไปได้ไหม?  เป็นไปได้ มันหลอกล่อเราเต็มไปหมดเลย

ให้กิเลสตัณหาและระบบของโลกนี้หลอกล่อเราทั้งหมด ต้องระมัดระวังและคอยพิสูจน์ใจของเราเอง ไม่ต้องไปมองคนอื่นเขา ไม่เกี่ยวเลย เกี่ยวกับตัวเราเอง คนอื่น เราไม่รู้หรอก ข้างนอกเห็นอย่างนี้ เราไม่รู้ข้างในเป็นอย่างไร? แต่ข้างในตัวเราเอง เราย่อมรู้ว่าเราให้ไป เพราะอะไร? คนอื่นเราไม่รู้หรอก แต่ข้างในเรารู้ว่าเราอยากให้ศิษยาภิบาล  พูดชื่อเรานิดหนึ่ง เมื่อเราถวายออกไปเยอะๆ คนอื่นไม่รู้หรอก แต่เรารู้ของเราเองว่าเราอยากให้ที่โบสถ์เขียนชื่อเราข้างหน้าได้ไหมว่า …

“ประตูนี้ เราถวาย  ไม้กางเขนนี้ ฉันให้”

ขอนิดหนึ่งได้ไหม?  ไม่มีใครรู้ มีเรารู้เท่านั้นเอง เขาถึงเอาไว้สำหรับเขาเรียกว่าฝึกสอนตัวเอง เอาไว้ชำระตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ได้ว่าคนอื่น ไม่ใช่นะ เอาไว้สำหรับชำระตัวเอง แก้ไขตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ถ้อยคำพระเจ้ามีไว้ทำไม? มีไว้แก้ไขข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตของใคร? ของคนข้างบ้าน ไม่ใช่ ของคนข้างๆ ที่นั่ง ไม่ใช่ ของใคร? ของตัวเราเองนะ ไม่ใช่เอาไปชี้คนนั้น ชี้คนนี้ ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครรู้เลย เพราะทั้งหมดนี้ อยู่ในใจของเขา  แค่คิดก็บาปแล้ว พระเยซูบอกข้างในนั้นแหละ มีคนรู้ผู้เดียว คือใคร? ก็คือคุณนั่นแหละ  แล้วก็พระเจ้า ถ้าเราเปิดเผย ถ่อมใจต่อพระเจ้าเลยว่า …

“ฉันเป็นอย่างนี้ๆ พระเจ้าช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เราก็จะค่อยๆ ลดสิ่งที่น่าสกปรกนั้น ลดน้อยลง เอเมน นี่คือเคล็ดลับ

รวมความ ก็คือการที่เราทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า และรู้ว่าเราเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า จะสามารถทำตัวให้เราเป็นที่ภาคภูมิใจของพระเจ้าได้นั่นเอง ถ้าเรารู้ตัวว่าเราเป็นที่ภูมิใจของพระเจ้า เราก็สามารถทำตัวเราเองให้เป็นอย่างนั้น ตามที่พระเจ้าสร้างมา เพื่อให้พระเจ้ามีความภูมิใจในเราจริงๆ ไม่ใช่พระเจ้าสร้างเราให้มีความภูมิใจ แต่เราไม่ภูมิใจ มันก็ขวางกันใช่ไหมครับ? ท่านจะเห็นภาพเลยนะครับ

วิธีการ ก็คือให้เราซึมซับ รับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราอย่างมากมายมหาศาลนั้น เอาเข้ามาใส่ตัวเรา แล้วก็แบ่งปันความรักที่เปี่ยมล้นนี้ ออกไปให้คนข้างๆ เริ่มฝึก

คำว่า “ออกไป” ไม่ได้หมายความว่าพอมารู้จักพระเจ้าปุ๊บ วันนี้ พรุ่งนี้ ท่านก็ได้ 100% ไม่ใช่ ตายไปก็ไม่ครบ 100 หรอก แต่ว่ามันมากขึ้นทุกวันๆ ดีขึ้นทุกวัน วันนี้ก็ดีกว่าเมื่อวาน  ปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว เอเมน

แบ่งปันความรักให้กับผู้คนรอบข้าง รับจากพระเจ้ามาอย่างไร? ฝึกฝนในการเรียนรู้ แล้วก็ส่งต่อให้กับผู้คนรอบข้างอย่างนั้น อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าท่านไม่รับมาจากพระเจ้า ท่านจะไม่มีให้ออกไป อย่าพยายามด้วยตัวเอง อย่าพยายามด้วยกำลังของตัวเอง อย่าพยายามด้วยตัวเอง หลายคนพยายามด้วยตัวเอง ในที่สุด ก็ล้มลง เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว เพราะเรานึกว่าเราให้ความรักที่แท้จริง ในที่สุด เราก็ทนไม่ไหว และเราก็โกรธ และเราก็โมโห แล้วอารมณ์ก็เสีย เพราะเรานึกว่าเราทำด้วยตัวเราเองได้ ไม่ได้นะครับ มนุษย์ไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในตัวเลยแม้แต่นิดเดียว  จำเป็นต้องรับสิ่งนี้มาจากพระเจ้า พระเจ้าจะช่วยเรา เอเมน นี่ตามหลักพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นนะ พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนบาป บาปอยู่ตรงข้ามกับความรักแล้ว บาป ก็คือเห็นแก่ตัวแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

และลักษณะความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข พระองค์ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่างกับเราแล้ว ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ โดยขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น สกปรกอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รับโทษ ผิดบาปทั้งหมดแทนเรา นี่ยกตัวอย่างพระคัมภีร์ให้เห็นชัดๆ เลยว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ด้วยวิธีใด พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ด้วยการเสียสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปผิดทั้งหลายของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ ด้วยความทุกข์ทรมาน คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เพื่ออะไร? เพื่อคนดีเหรอ ไม่ใช่ เพื่อคนบาปสกปรกอย่างเรา คือมนุษย์ทุกคน

นี่เป็นตัวอย่างของความรักที่แท้จริง ที่มีแต่การเสียสละ ตัวอย่างให้กับเรามนุษย์ทุกคนเห็น และเราก็ทำตาม รักแท้จริงที่มีการเสียสละ ไม่มีการเห็นแก่ตัว ไม่มีเงื่อนไข และพระเจ้าก็ต้องการให้เราทั้งหลาย ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ได้ดำเนินชีวิตตามแบบอย่าง อย่างนี้แหละ 1 ยอห์น 4:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

1 ยอห์น 4:9-10 “9 นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น 10 นี่คือความรัก ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา ลบบาปของเรา”

 

อยากให้ท่านเน้นตามผมตรงนี้นิดหนึ่งนะครับ “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย คือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น”

อยากให้ท่านเน้นตรงนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ โดยการส่งพระบุตร ก็คือการให้ ต้องจำตรงนี้ไว้ นี่คือเคล็ดลับ นี่คือเคล็ดลับว่ารักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เอา รักแท้ต้องให้ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็คือเอานะครับ

นี่คือตัวอย่าง และได้เห็นตัวอย่าง และรับความรักตามแบบอย่างของพระเจ้าแล้ว เข้ามาในตัวเรา เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้สัมผัสกับความรักแล้ว บัดนี้ เราเป็นการฝีมือชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เพราะเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับเรา มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ชำระบาปให้กับเรา เป็นแพะรับบาปแทนเรา

“พระองค์ไม่ได้ทำผิดบาปอะไรเลย แต่ต้องมารับบาปแทนฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องไปชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่ฉันรับเอาความรักนี้ ที่พระเจ้าเมตตาให้กับฉันมา”

นี่คือพอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราก็จะเริ่มทดแทนพระคุณของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิต ด้วยความรักแบบเดียวกัน สำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรา ให้ปรากฏกับคนอื่นๆ รอบข้างเราแบบนี้เหมือนกัน นี่คือเป้าหมาย จะให้

“เพราะฉันได้รับมาจากพระเจ้าแล้ว ฉันเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว บัดนี้ สิ่งที่ฉันต้องทำ ก็คือฉันต้องให้ความรักอย่างนี้ออกไป มากเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ โดยการที่ฉันขอจากพระเจ้า”

ต้องตระหนักอยู่เสมอ และวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของผู้สร้าง หรือพระเจ้าของเราได้ ก็คือผ่านการดำเนินชีวิตของเรา โดยผ่านความรักแท้อย่างนี้แหละ วาเลนไทน์ทุกวัน วันแห่งความรักทุกวัน และทุกคน ถ้าทำได้แบบนี้ ลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนทำได้ตามแบบอย่างนี้ ท่านลองนึกภาพสิครับ แค่วันนี้เราคุยกันไม่ถึงชั่วโมง ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทำได้แบบนี้ ไม่ยากเลยนะครับ โลกนี้จะสวยงามมากขึ้นสักแค่ไหน? รับรองได้เลยว่าปัญหาต่างๆ ที่เราอ่านดูในหน้าหนังสือพิมพ์หรือข่าวต่างๆ ความสับสนวุ่นวายต่างๆ มันจะหมด ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน

ให้วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักนี้ เป็นวันที่เราจะได้ใคร่ครวญสิ่งที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คือความรักแท้ และความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเจ้ามอบให้กับเรา และมีหน้าที่ส่งต่อความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในเรานี้ ไปยังผู้คนรอบข้าง ต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง ในความรักนี้ แบบนี้นะครับ มันต้องฝึกฝนนะครับ ไม่ใช่มาเรียนวันนี้ แล้ว

“ฉันรู้แล้ว ไปทำได้”

ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ว่าท่านจะสอบผ่านเสมอ มันต้องมีการสอบตกบ้าง  ทำไม่ผ่านบ้าง โดนการทดลอง ไม่ผ่านการทดลอง แต่อย่าท้อใจ อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วก็ทำต่อไปๆ ท่านจะดีขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะสอบผ่านขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจะเป็นหนึ่งเหมือนพระเยซูได้มากขึ้นเรื่อยๆ เอเมน

ทำให้กับใครผู้คนรอบข้าง พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ผู้คนรอบข้าง สังคมโลกใบนี้ทั้งหมดเลย รวมทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย แต่เริ่มต้น ที่ไหน? วันนี้พระเจ้าพาท่านไปไหน? คบกับใคร? นั่นแหละ คนนั้นแหละ คือคนที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น ทุกเช้าของเรา จะเป็นเช้าแห่งการเรียนหนังสือทุกเช้า พระเจ้าก็จะพาเราเดินไป วันนี้ไปเรียนกัน เรียนวิชาเดียว วิชารักแท้ของพระองค์ ไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ อาหารการกินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้าเลี้ยงดูให้เรา ความปลอดภัยทุกอย่างพระเจ้าดูแลให้เรา อะไรอีกแหละ ดูแลให้หมดเลย สติปัญญา เดี๋ยวประทานให้ สิ่งเดียวที่พระเจ้าทำให้เราไม่ได้ ก็คือจะนำ บังคับให้เรามีความรักแท้ เหมือนพระองค์ ไม่ได้ ไป ไปด้วยกันเลย วันนี้จะไปฝึกฝนความรักแท้ด้วยกัน พร้อมไหม? ตื่นแต่เช้ามา พระเจ้าถาม …

“พร้อมไหม?”

“พร้อม”

ออกไป โดนรถชนเลย รถเมล์ก็ไม่ยอมจอดให้เรา โมโหไหม?  ถูกแล้ว ต้องการพูดอย่างนี้  มันต้องพูดตรงๆ เลย โมโหสิ แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา

“โอเคๆ ครับ / ค่ะ พระเจ้า ดีแล้ว พระเจ้าต้องมีอะไรดีกว่านั้น อาจจะให้เราไปคันที่สอง ซึ่งดีกว่า”

ได้ฝึก อย่างนี้ ฝึกทุกวัน แล้วยังมีหลายๆ เรื่องอีก วันนี้เปิดไลน์ไปเจออะไร? จะมีใครมาพูดว่าอะไรเราหรือเปล่า? หาข้อความที่อ่านแล้วกระแทกจิตใจเราหน่อย อย่าอ่านคำชมมาก พออ่านคำกระแทก พระเจ้าพามาวันนี้

“จะสอนอะไรลูกอีกล่ะพระเจ้า”

อันนี้เตรียมไว้ก่อน แล้วก็คุยอย่างนี้ได้ แต่พอจ๊ะเอ๋มาทีหนึ่ง มันไม่ทำอย่างนี้นะ มันไม่ไหวเหมือนกันนะ มันเอะอะโวยวายเหมือนกันใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมไว้ แล้วก็รู้ตัวตลอดเวลา ให้ทุกอย่างก้าวในชีวิตของเรา สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งการเป็นผลงานชิ้นเอกของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************