คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 3 “โลกนี้คือละคร” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ชุด “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”  ในตอนนี้มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ตอน 2 จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า

ครั้งที่แล้วเราย้ำกันในเรื่องพื้นฐานของความเชื่อ ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็คือรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงครอบครองและควบคุมอยู่ในทุกสิ่งสารพัด และทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ควบคุมเป็นผู้กำกับ  คือโดยตัวมนุษย์เองแล้ว ไม่มีใครเก่งสักคนหนึ่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ ไม่เคยมีใครทำอัศจรรย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิดชนะโกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาชาวอิสราเอลอพยพ หรือแม้กระทั่งเรื่องของดาเนียลและพรรคพวกกินแค่ผักกับน้ำ ก็มีพลังกำลังดี สติปัญญาดีกว่านักปราชญ์คนอื่นๆ ถึง 10 เท่า

ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้การกำกับการแสดง การควบคุมของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสามารถสร้างวีรบุรุษขึ้นมาแต่ละคนๆ บนโลกนี้เสมอๆ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า เรียกกันว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เคยได้ยินใช่ไหม? ในชีวิตของเราเคยเจอหลายครั้ง ลองคิดให้ดีๆ เราเองก็เคยถูกพระเจ้าสร้างให้เป็นวีรบุรุษ

บางครั้งเราไปหาใครคนหนึ่ง เราไม่รู้เรื่องเลย เผอิญๆ วันนี้ เราจะเดินทางผ่านไปทางนั้นพอดี ก็เลยไปเยี่ยมคนๆ นี้ พอเข้าไปเยี่ยม เขาบอกว่า …

“พระเจ้า ผมกำลังอธิษฐาน คุณมาหาพอดี มีกำลังใจมากเลย”

เราบอกว่า “เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย  ไม่ได้ตั้งใจมาหาคุณด้วย เผอิญผ่านมา”

ไม่มีเผอิญ พระเจ้าควบคุมชีวิตอยู่ สร้างเราให้เราได้รับเกียรติ มีเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง มีเด็กตกน้ำ และชายคนหนึ่งโดดลงไป ช่วยเด็กขึ้นมา ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ นักข่าวไปสัมภาษณ์ชายคนนี้ใหญ่เลย นึกอย่างไรจึงโดดลงไป สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ อย่างอัศจรรย์เลย ชายคนนี้บอกไม่รู้ใครผลักผมลงไป ผมไม่ได้ตั้งใจลงไปเลย อันนี้สมมติ ผู้ชายคนนี้เป็นฮีโร่ไปแล้ว หลายครั้งมันจะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าของเราอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

เราก็เลยมีคำเปรียบเทียบว่าโลกนี้ เปรียบเหมือนเวทีโรงละครโรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดง เป็นดารา ใครที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นดารา มันเป็นแล้ว ไม่รู้ตัวเอง เกิดมาก็เป็นแล้ว เข้ามาสู่เวทีโลกใบนี้แล้ว บางคนก็เป็นฮีโร่ พระเอก บางคนก็เป็นตัวร้าย บางคนก็ได้รับบทเด่น บางคนก็เป็นเพียงแค่ตัวสำรองเล็กๆ ไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญในเวทีโลกเลย แต่ทั้งหมดนี้ บทบาทการแสดงทุกคน ถูกกำกับโดยผู้กำกับละครที่มีชื่อว่าพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เอเมน เมื่อเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อตรงนี้ก่อน เหมือนที่เราเรียนรู้กันในพระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 11 ท่านมีความเชื่อ ท่านต้องเชื่อตรงนี้ก่อนว่าสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่เรามองเห็นนั้น เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น คือพระเจ้า ก็เลยมีหลายคนอยากจะฟังเพลงนี้ สมัยก่อน เป็นเพลงที่ดังมาก ที่เกี่ยวกับโลกนี้ คือละคร เนื้อเพลงเป็นอย่างนี้

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน        เปรียบเหมือนละคร

                        ถึงบทเมื่อตอน เร้าใจ           บทบาทลีลาแตกต่างกันไป

                        ถึงสูงเพียงใด                        ต่างจบลงไปเหมือนกัน

                        โลกนี้คือละคร                      บทบาทบางตอน

                        ชีวิตยอกย้อน  ยับเยิน          ชีวิตบางคน  รุ่งเรืองจำเริญ

                        แสนเพลิน เหมือนเดินอยู่บนหนทางวิมาน

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

                        หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

                        เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

                        ครั้นแล้วไม่นาน       ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

ฟังแล้วมันเศร้านะ แต่พอเรารู้จักพระเยซู ไม่เศร้าเลย นี่ตอนจบบอกว่าเปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ ผมเห็นเลยเด็กๆ เพิ่งคลอดออกมา มีทั้งคนเอาของมาให้ จัดงาน โกนจุก เสร็จแล้วเด็กคนนี้ ในที่สุด ก็แก่หง่อม โรคภัยไข้เจ็บมา แล้วตาย ถ้าไม่รู้จักพระเยซู ก็ไม่รู้จะไปไหน แต่รู้จักพระเยซู สบายใจแล้ว มีความหวังแน่นอน นี่แค่เริ่มต้นชีวิตเรา บนโลกใบนี้ เราจะอยู่ 80 ปี 100 ปี เรากำลังมีชีวิตใหม่ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เห็นไหมว่ามีความหวัง แต่ถ้าไม่มีฟังแล้วมันเศร้ามากเลย พระคัมภีร์จะบอกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด เพียงแต่ไม่ใช้คำนี้ คือโลกคือละคร บอกเพียงแต่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงกำกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด อยู่ในการดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น

เราบอกว่าโลกนี้ คือละคร ก็คือพระเจ้าเป็นผู้กำกับ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ดูแลโลกใบนี้อยู่ ความหมาย คือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ตาม เราต้องยึดมั่นและเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่าง ซึ่งถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุม หรือการกำกับของพระเจ้าได้ เหมือนนักแสดงเชื่อฟังผู้กำกับ ทำตามบท เราก็จะสามารถวางใจในพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์ลำบากมากนัก เต็มไปด้วยสันติสุข

และตัวอย่างนักแสดงที่ดีของละครเวทีใหญ่แห่งนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ในครั้งนี้ ก็คือดาเนียลเมื่อ 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด นับจากนี้ย้อนกลับไป ก็คือ 2,600 ปี ดาเนียลก็เป็นนักแสดงที่ดี ที่ยอมแสดงในบทบาท ด้วยความอดทน บากบั่น ไม่มีการบ่นว่าผู้กำกับ เมื่อต้องแสดงบทที่ไม่ถูกใจ แสดงบทที่ลำบาก ทุกข์ยาก ไม่เคยย่อท้อ เวลาเจอบทยากๆ ก็ไม่บ่น ไม่ว่าใครทั้งสิ้น อดทน เชื่อมั่นในผู้กำกับของเขา

ดาเนียลกับเราเหมือนกันเลย อยู่บนโลกใบนี้ แบบโลกนี้ คือละคร รู้จักพระเจ้าเหมือนกัน แต่เราได้เปรียบกว่าเยอะมาก

ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายกันไว้ที่หลังจากที่ดาเนียลกับเพื่อน ได้รับการคัดเลือก และถูกส่งไปเรียนวิชาเวทมนต์คาถา และวิชาการต่างๆ ของชาวบาบิโลน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ๆ วันหนึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ก็เกิดฝันประหลาดขึ้นมา แล้วเรียกให้เหล่านักปราชญ์ โหราจารย์ คนที่ฉลาดที่สุดในประเทศ มารวมกัน เพื่อมาช่วยแก้ความฝัน และแทนที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์จะเล่าความฝันของตัวเอง แล้วให้พวกโหรหรือว่านักปราชญ์ต่างๆ เหล่านั้น ทำนาย หรือบอก หรือแปลความฝันให้ ตามที่เคยทำมา ทุกครั้งจะเป็นอย่างนี้ ปรากฏว่าครั้งนี้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าความฝันให้ฟังว่าตัวเองฝันว่าอะไร? แต่บอกว่าให้พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านี้ทำนายก่อนว่าพระองค์ฝันว่าอะไร? แล้วค่อยแปลความฝันนั้น ถ้าสามารถทำได้ ได้รางวัล ถ้าทำไม่ได้ เอาตัวไปประหารชีวิต

สรุปว่าพวกนักปราชญ์ โหราจารย์เหล่านั้น ที่ถูกตามมาเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝัน ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยกษัตริย์ตรงนี้ได้ แม้ว่ากษัตริย์บอกว่าทำไม่ได้ จะถูกฆ่า การข่มขู่ตรงนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขาฉลาดขึ้น  ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน?

โหราจารย์และนักปราชญ์เหล่านั้น ตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่า …

“สิ่งที่ให้ทำนี้ ยากเกินวิสัยมนุษย์ที่จะทำได้”

วิสัยมนุษย์ ก็คือต่อให้มนุษย์เก่งเท่าไร? ก็ทำไม่ได้ มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้า ก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ เทพเจ้าของเขา หมายถึงเทพเจ้า รูปเคารพ ที่เต็มไปหมดของเขาเท่านั้น ที่สามารถทำตรงนี้ได้ และพระเจ้าไม่ได้อยู่กับมนุษย์ หมายถึงว่าพระเจ้าไม่ได้มาติดต่อกับมนุษย์ ไม่ได้มาคุยกับมนุษย์อย่างนี้ ความรู้สึกของเขากับพระเจ้าเยอะแยะเหล่านั้น ที่ไม่ใช่พระเจ้า พระเยโฮวาห์ของอิสราเอลในสมัยนั้น ก็คืออยู่ไกลเหลือเกิน ไกลกันมาก ติดต่อกับไม่ได้ ได้แต่ขอ … ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าของเขาไม่สามารถพูดได้ ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้ พูดไปก็ไม่ได้ยิน อะไรอย่างนี้

พอพวกโหราจารย์ นักปราชญ์เหล่านั้น ไม่มีใครสามารถทายฝันได้ เนบูคัดเนสซาร์ก็โกรธมาก ในที่สุด เรียกให้นำนักปราชญ์ ผู้เฉลียวฉลาดเหล่านั้นทั้งหมด ไปประหารชีวิตเสีย รวมทั้งดาเนียลกับเพื่อน เพราะไปเป็นนักปราชญ์กับเขาด้วย เห็นไหมว่าพระเจ้าวางแผนอะไรบางอย่าง สร้างวีรบุรุษอีกแล้ว ยังหนุ่มๆ อยู่เลย ก็รวมไปกับนักปราชญ์ ตอนที่โดนสั่งประหารชีวิต ดาเนียลกับเพื่อนไม่ได้อยู่ในวังนะ เขาเรียกแต่นักปราชญ์เก่งๆ ไป ดาเนียลเป็นพวกที่ยังเด็กอยู่ ยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ได้เข้าไปอยู่ในนั้น อยู่ข้างนอก  เรามาดูว่าเกิดอะไรต่อไป ดาเนียล 2:12-16

ดาเนียล 2:12-16 “12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน 15 ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา เพื่อจะทูลความหมายของความฝันให้ทรงทราบ”

 

ตอนที่ทหารมาจับดาเนียลไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ขอไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เพื่อขอเวลา เพราะเขาเพิ่งรู้ ให้เขาได้มีโอกาสที่จะได้ตอบความฝัน  ดาเนียลกล้าดีอย่างไรไปบอกว่า …

“ขอไปคุยกับกษัตริย์หน่อย ขอเวลาหน่อย ฉันจะเป็นคนทำเอง”

แสดงว่าดาเนียลมั่นใจในพระเจ้าของเขามาก นอกจากมั่นใจแล้ว คงไม่มีทางอื่น ไม่อย่างนั้น ก็ถูกตัดคอ เพราะฉะนั้น ใจดีสู้เสือ เข้าไปพูด ขอเวลานิดหนึ่ง ดาเนียล 2:17-18

ดาเนียล 2:17-18 “17 จากนั้น ดาเนียลกลับไปบ้าน และเล่าเรื่องให้ฮานันยาห์ มิชาเอลกับอาซาริยาห์ ผู้เป็นเพื่อนฟัง 18 แล้วเร่งเร้าให้พวกเขาอธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะทรงกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้ด้วย เพื่อดาเนียลกับเพื่อนๆ จะไม่ถูกประหาร ไปพร้อมกับปราชญ์คนอื่นๆ ในบาบิโลน”

 

ดาเนียลรู้ตัวว่าลำพังตัวเขาเอง ก็เหมือนนักปราชญ์คนอื่น ทำไม่ได้หรอก แต่เขารู้ว่ามีผู้ที่สามารถทำได้แน่นอน และผู้นั้น ก็คือผู้กำกับใหญ่ เหนือโลกใบนี้ทั้งหมด ดาเนียลกลับไปเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟัง แล้วบอกให้ทุกคน ช่วยกันอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เห็นไหม? ขณะที่นักปราชญ์คนอื่นๆ โหราจารย์คนอื่นๆ เป็นอาจารย์ทั้งหลาย บอกว่าพระเจ้าของเขานั้น เป็นใบ้ หูไม่ได้ยิน ไม่ได้ติดต่ออยู่ท่ามกลางมนุษย์ คือติดต่อกันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน พอมาถึงดาเนียล … ดาเนียลบอก …

“เดี๋ยวๆ ไปคุยกับพระเจ้าก่อน”

อธิษฐาน ก็คือไปติดต่อ ไปพูดคุยกับพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านั่นเอง ต่างกันอย่างไร? สังเกตตรงข้อ 18 ที่บอกว่า …

“ดาเนียลเร่งเร้าให้เพื่อนๆ อธิษฐานขอต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ที่จะกรุณาในเรื่องล้ำลึกนี้”

เร่งรัด ก็คือมีเวลาน้อย ขณะเดียวกัน ตื่นเต้น วิตกและกังวล ก็เหมือนเราทั้งหลายนั่นแหละ เจอปัญหา ก็ต้องวิตกกังวลธรรมดา แต่ก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ายังช่วยเราได้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ

คำว่า “เรื่องล้ำลึก” ตรงนี้ หมายถึงเรื่องที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้  ด้วยปรัชญาแห่งเหตุผลของมนุษย์ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า “ลอจิก” ไม่สามารถใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ สติปัญญาแบบเหตุและผล ไม่สามารถที่จะล่วงรู้สิ่งนี้ได้เลย ต่อให้เรียนวิชาความรู้สูงแค่ไหน? ต่อให้เก่งแค่ไหน? ฉลาด ปราดเปรี่ยงแค่ไหน?  ต่อให้มี IQ สูงแค่ไหน? ก็ไม่มีทางหยั่งรู้เรื่องล้ำลึกนี้ได้ มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องวิชาความรู้บนโลกใบนี้  ไม่ใช่เรื่องที่จะมาสอนกันแบบวิชาความรู้ที่สอนกันได้บนโลกใบนี้ ที่ใช้ตรรกะ ความคิดของมนุษย์ ที่จะทำได้ มันไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้พระเจ้าจะประทานสติปัญญาให้ก็ตาม คนนั้นก็ทำไม่ได้

แต่ก่อนนั้น ดาเนียลกับเพื่อนทั้งสาม มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าทรงประทานให้เขามากกว่าคนอื่นๆ ตั้ง 10 เท่า แต่ทำเรื่องนี้ไม่ได้ สติปัญญาที่พระเจ้าให้ ก็ส่วนให้ แต่พอล้ำลึกอย่างนี้ มันเกินสติปัญญาแล้ว ทำไม่ได้ มีพระเจ้าผู้เดียวที่ทำได้

ดาเนียลก็เลยทูลขอ ให้พระเจ้าช่วยสำแดงเรื่องล้ำลึกนี้ ให้ที สำแดงนะครับ ไม่ใช่สอน ไม่ใช่ประทานให้ บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไร? เพราะมันใช้ความคิดไม่ได้แล้ว ต้องใช้พูดเอา บอกเอาเลยว่าเป็นอย่างไร?

แล้วพระเจ้าก็ทรงสำแดงให้กับดาเนียล ในดาเนียล 2:19-23

ดาเนียล 2:19-23 “19 คืนนั้น พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกนี้ แก่ดาเนียลในนิมิต ดาเนียลจึงสรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ 20 และกล่าวว่า “สรรเสริญพระนามของพระเจ้าชั่วนิจนิรันดร์สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจเป็นของพระองค์ 21 พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ประทานสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด และประทานความรู้ แก่ผู้ที่ฉลาดหลักแหลม 22 พระองค์ทรงเผยสิ่งที่ลึกซึ้ง และซ่อนเร้นอยู่ ทรงทราบสิ่งที่แฝงอยู่ในความมืด   และความสว่างอยู่กับพระองค์ 23 ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ พระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์ ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบความฝันของกษัตริย์”

 

ท่านทราบไหมว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสำแดง มันเกี่ยวกับชีวิตพวกเราที่นั่งที่นี่ด้วย และเกี่ยวกับพวกเราที่ไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานนิรันดร์ ไปถึงนิรันดร์เลย  ในคืนนั้น ที่ตกใจกลัวมากๆ ดาเนียลคงอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าสำแดงสิ่งนี้ คือเผยความจริง เปิดเผย หรือในภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปิดตาฝ่ายวิญญาณ” ไม่ต้องใช้ความคิดแล้ว เปิดปุ๊บ ก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไรเลย มันอ๋อเลย นี่แหละคือความล้ำลึก ไม่มีทางที่จะเข้าใจ

เวลาปกติ เราเรียนหนังสือ สมมติ 1+2+4 เราก็นั่งคิด  เป็นอย่างนี้ เป็นความล้ำลึกในโลก แต่ฝ่ายวิญญาณไม่ต้องมานั่งคิดอย่างนั้น ถ้าพระเจ้าเปิดปุ๊บ เห็นปั๊บ เปิดปุ๊บ ใช่ เปิดปุ๊บ อ๋อๆ ไม่ต้องมานั่งคิด คิดๆๆๆ แล้วอ๋อ มันจะอ๋อทันที นี่คือข้อสังเกต อะไรที่มาจากพระเจ้า ในเรื่องข้อล้ำลึกเหล่านี้ ในชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ มันจะอ๋อ มันจะไม่มีเหตุมีผล มันรู้อยู่ข้างใน

เมื่อพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ให้กับดาเนียลและพรรคพวกอย่างนี้ได้ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็สามารถให้กับพวกเราได้เช่นเดียวกัน ท่านก็สามารถขออย่างนี้กับพระเจ้า ถ้าท่านไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ขอพระเจ้าอย่างนี้  พระเจ้าก็จะเปิดเผยให้ท่าน อาจจะเป็นนิมิต อาจจะเป็นความรู้ขึ้นมาเฉยๆ ท่านก็จะรู้ว่ามันเป็นอะไร? ดาเนียลอาจจะเข้าไปหาพระเจ้าด้วยความตกใจกลัว ด้วยความวิตกกังวลว่ากษัตริย์ให้ทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ และทุกคนกำลังจะถูกฆ่าตาย และลึกๆ ในใจดาเนียลก็รู้และมั่นใจว่าเบื้องหลังของการตัดสินใจของกษัตริย์ที่ทำอย่างนี้  ซึ่งรู้ว่าไม่มีใครทำได้ ดาเนียลรู้ว่าก็มาจากพระเจ้าเป็นผู้ดลใจเนบูคัดเนสซาร์ทำอย่างนี้แน่ๆ เห็นหรือยัง? เวลาเราเชื่อในผู้กำกับ หรือเชื่อในโลกนี้ คือละคร และเชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เราจะรู้ทันทีว่าสิ่งที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งที่เรามองเห็น แต่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น คือนอกจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ยังมีใครบางท่านที่ใหญ่กว่า ที่อยู่ในโลก ที่เรามองไม่เห็น

พอบอกเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ท่านนึกถึงอะไร? เหมือนเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า การสำแดงความรู้เรื่องล้ำลึก การสำแดงความรู้เรื่องพระเยซู มันเป็นความล้ำลึกทั้งสิ้น ไม่มีทางเลยที่มนุษย์คนใดจะเข้าใจและเชื่อได้ด้วยเหตุผลของตัวเอง   ด้วยความคิดโลจิกของตัวเอง  ด้วยการเรียนด็อกเตอร์เรื่องพระเยซู จะได้เชื่อพระเยซู ไม่มีทาง เพราะเป็นเรื่องที่เรียกว่าล้ำลึก

ก็คือในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เชื่อยาก

เปาโลจึงบอกว่าต้องทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เราถึงจะได้รู้เรื่องของพระเยซู เอเฟซัส 1:17 ใช้คำเดียวกันเลย

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น”

 

ให้พระองค์สำแดง ทุกวันนี้พระวิญญาณเป็นผู้สำแดง ความล้ำลึก ที่สติปัญญามนุษย์ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย แต่เราสามารถเข้าใจได้  โดยการสำแดงจากพระเจ้า ให้กับเรา พอสำแดงปุ๊บ เรารู้เลย ไม่ว่าจะเป็นตาสีตาสา ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ไม่ต้องเป็นด็อกเตอร์จบสูงๆ ไม่ต้องเฉลียวฉลาดบนโลกใบนี้  ก็สามารถรู้และเข้าใจได้ เพราะพระเจ้าทรงสำแดง เปิดตาให้เขาเห็น เอเมน

สิ่งที่มนุษย์สามารถหยั่งรู้ได้ ด้วยสติปัญญาของตัวเอง ก็คือใช้สติปัญญา ธรรมดา เราเรียกเขาว่าวิชาการ  เรียกว่าความรู้ อย่าง Google คือแหล่งแห่งวิชาการ ความรู้ แต่ท่านไปถาม Google ได้ไหมว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่าอะไร? จะตอบไม่ได้เลย

ใครที่พระเจ้าสร้างให้เป็นคนที่มีสติปัญญามาก มีสมอง เขาเรียกว่ามีมันสมองเยอะกว่าคนอื่นเขา ก็อาจจะเรียนรู้ได้เร็ว ได้เยอะกว่าคนอื่น เหมือนกับสตีฟ จ๊อบ เหมือนกับไอสไตน์

แต่สำหรับเรื่องล้ำลึก ที่เรากำลังเรียนรู้นี้ มันเกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจ ต้องอาศัยการสำแดงการเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Reveal มันแปลว่าเปิดความจริงออกมาให้เห็น เปิดเลย ทันที เห็น รู้เลย

ดาเนียลขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงสำแดงความจริง เรื่องเกี่ยวกับความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม จนมาถึงเราทุกวันนี้ พระเจ้าสัญญาว่าใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ แสวงหาพระองค์ พระองค์จะเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับเขา ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ จะรู้จักพระองค์ ใครที่แสวงหาพระองค์มากๆ พระองค์จะเปิดเผยสำแดงให้กับเขารู้มากๆ ใครที่ต้องการจากพระองค์ พระองค์จะให้เขาต้องการมากขึ้น บอกอย่างนี้เสมอ ขึ้นอยู่กับคนนั้นจะเข้าไปหาพระองค์ไหม? อธิษฐานกับพระองค์ อยากได้ไหม? อยากได้ไปบอกพระเจ้าเราอยากรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างไร? เดี๋ยวก็รู้มากขึ้น เหมือนท่านมาโบสถ์ตอนนี้ ทุกวันอาทิตย์ คนอื่นเขาอาจจะไปเที่ยว มีธุระส่วนตัว ก็ว่ากันไป แต่ท่านยอมเสียเวลา มาทุกอาทิตย์ๆ

ถามว่าท่านมาเพื่ออะไร?  เรามาเพื่อแสวงหาพระเจ้า เราไม่ได้มาแสวงหาพระพร ตรงนี้แหละ ท่านจะได้รู้มากขึ้น เพราะท่านมาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับท่าน เป็นนิมิต เป็นความรู้เกิดขึ้นมา เป็นความฝัน เรียนทุกวันท่านจะรู้มากขึ้นทุกวัน เยอะขึ้นทุกวัน ในเรื่องเกี่ยวกับความล้ำลึกในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยดาเนียล สมัยโมเสส สมัยกษัตริย์ดาวิด สมัยอับราฮัม พระเจ้าที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้กำกับในโลกฝ่ายวิญญาณ กับโลกแห่งความเป็นจริงที่เรามองเห็น  มันไกลกันมาก

การอธิษฐาน ต้องเข้าไปหาพระเจ้าที่บัลลังก์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เหมือนกับต้องเดินทางไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เสร็จแล้ว ค่อยกลับมาบนโลกใบนี้ ทำอะไรบางอย่างต่อไป มันห่างไกลกันมาก ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน สมมติบัลลังก์ของพระเจ้า ต้องลงจากบัลลังก์พระเจ้า มาสู่โลกใบนี้ ไปที่ท้องพระโรง ไปคุยกับกษัตริย์ว่าเขาได้อะไรมา แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ได้เป็นอย่างนี้  ตั้งใจฟังให้ดีนะ เรานั่งอยู่ที่นี่ ในสมัยที่พระเยซูได้มาบังเกิดแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากความบาปผิดทั้งหลายแล้ว นำมนุษย์กลับ คืนสู่พระเจ้า เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอาบาปทั้งหลายออกไปจากมนุษย์หมดแล้ว ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า สามารถเป็นที่สถิตของพระเจ้าได้แล้ว

ตอนนี้ คือตอนที่ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระเจ้านั่นเอง จะมาสถิตอยู่ ต่างกว่าเมื่อตะกี้นี้เยอะ ต่างกว่าตอนที่ดาเนียลต้องไปอธิษฐาน ขึ้นไปที่บัลลังก์ของพระเจ้า กับตอนนี้พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าลงมาอยู่กับเขา อยู่กับมนุษย์ สวรรค์ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พระเยซูบอกใช่ไหม? ตอนที่พระเยซู เริ่มประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์บอกว่าสวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมาแล้ว อีกไม่กี่ปี พระองค์ก็จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละ สวรรค์กำลังมาแล้ว สวรรค์อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะมาสถิตอยู่กับเรา

พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะเปิดเผย เปิดตาฝ่ายวิญญาณ สำแดงความจริงอันล้ำลึก ที่เราบอกล้ำลึกๆ ที่คนไม่เข้าใจ เราเองก็ไม่เข้าใจ นักปราชญ์ก็ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระวิญญาณนี้ จะสำแดงเปิดเผยความล้ำลึกนี้ให้กับเรา ความล้ำลึกของโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น  พระเยซูเป็นใคร? ทำไมต้องตายที่ไม้กางเขน พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนมีฤทธิ์เดชอำนาจ หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับความรอดแล้ว หมายความว่าอย่างไร? เราได้รับชีวิตใหม่ หมายความว่าอย่างไร? เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล หมายความว่าอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้  ใช้ภาษามนุษย์ ใช้สติปัญญามนุษย์เรียนให้ตาย ก็ไม่เข้าใจ แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู เรา อ๋อๆๆ แล้วอธิบายให้เพื่อนฟังได้ไหม? ไม่ได้ มัน อ๋อ อยู่ข้างใน เราได้แต่บอกหนทาง

“ถ้าเธออยากเข้าใจ เธอต้องไปหาพระเยซู”

พระเยซูเป็นคำตอบของทุกๆ สิ่ง ปัญหาที่ท่านอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร? ถ้าท่านมาถามผม  ผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย นอกจากจะบอกทางให้ท่านไปหา คือทางพระเยซูเท่านั้น  ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเลย ศิษยาภิบาลก็ช่วยไม่ได้ มีผู้เดียวที่ช่วยได้ คือพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณท่าน ท่านไม่ต้องขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว สวรรค์ลงมาอยู่ที่นี่แล้ว รอบตัวท่าน ท่านเปิดใจปุ๊บ สวรรค์ก็เข้ามาทันที แต่ถ้าท่านปิดอยู่ สวรรค์ลงมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็เข้าไม่ได้ สวรรค์เหมือนอะไร? ถ้าในยุคปัจจุบัน สวรรค์ก็เหมือนสัญญาณไวไฟ เคยไปร้านอาหารไหม? เดี๋ยวนี้แทบทุกร้านเลย เขาจะเขียนว่า …

“ที่นี่บริการสัญญาณไวไฟฟรี”

ฟรีนะ ไม่เสียตังค์ แต่คุณต้องทำอะไร?

  1. ต้องเชื่อก่อนว่ามันมีสัญญาณไวไฟจริงๆ
  2. คุณต้องบอกว่า “ฉันจะใช้” แล้วคุณก็กดโค๊ดลงไป

คุณต้องแสดงความจำนงว่าคุณจะใช้ มันมีอยู่นั่นแหละ แต่ก็เหมือนไม่มี แต่ถ้าคุณจะใช้เมื่อไร? ไปขอโค๊ดเขา เปิด กด มีทันที ในทำนองเดียวกัน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าคุณจะเปิด โค๊ดก็คือเยซู กดสัญญาณเปิด คราวนี้ท่านก็เพลินในการเล่นไลน์แล้ว ไลน์กับใคร? ใช้วิญญาณเลย คุยกับพระเจ้า คุยกับพระวิญญาณ เราเรียกกันว่าอธิษฐาน  ถ้าเราไลน์กันเอง เราเรียกว่าเม้าส์

พระวิญญาณจะสำแดงความจริงให้กับเราได้รู้ เพราะว่าทุกวันนี้พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว และรอคอยที่จะเปิดเผยเรื่องราวความจริงให้กับเรารู้มากขึ้นทุกวันๆ ขอให้เราสนใจพระองค์หน่อย เข้าไปหาพระองค์หน่อย อธิษฐานบอกพระองค์หน่อย แล้วก็คอยสังเกตให้ดีๆ เดี๋ยวก็รู้เรื่องมากขึ้นทุกที แล้วพระองค์ก็ยังทรงทำงานอยู่ทุกวันนี้ตลอดไป ตามที่พระคัมภีร์นี้ได้บอกไว้ ทำเหมือนที่ทำให้กับดาเนียล 1 โครินธ์ 2:6-11 บันทึกอย่างนี้

1 โครินธ์ 2:6-11 “6 อย่างไรก็ดี พวกเรากล่าวถ้อยคำแห่งสติปัญญากับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่สติปัญญาของยุคนี้ หรือสติปัญญาของผู้ครอบครองของยุคนี้ ผู้ซึ่งกำลังจะเสื่อมสูญไป 7 แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า พระปัญญาซึ่งทรงปิดบัง และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้  เพื่อศักดิ์ศรีของเรา ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลก 8 ไม่มีผู้ครอบครองคนใดของยุคนี้ ที่เข้าใจพระปัญญา  เพราะหากเข้าใจ ย่อมจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ไว้ที่ไม้กางเขน 9 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่เคยมีใครได้เห็น ไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีจิตใจใดหยั่งรู้ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ ให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ 10 แต่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นแก่เรา โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระวิญญาณทรงสืบทราบทุกสิ่ง แม้แต่สิ่งล้ำลึกของพระเจ้า 11 ความคิดของมนุษย์ ใครไหนเล่าจะรู้ เว้นแต่จิตวิญญาณของคนนั้นเอง เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยั่งรู้ พระดำริของพระเจ้าได้ นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า”

 

นี่คือชีวิตเราทุกคนที่นี่  ที่เราเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็แบบนี้เลย แต่พูดถึงพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า เรื่องข่าวประเสริฐ เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่สติปัญญาแบบมนุษย์ แต่เป็นพระปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า

มันเป็นความล้ำลึก ลึกซึ้งมาก ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระปัญญาซึ่งทรงปิดบังไว้ และซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เป็นศักดิ์ศรีของพวกเรา คือเป็นประโยชน์สำหรับเราทุกคน ให้เราได้กลับไปหาพระเจ้าอย่างอัศจรรย์

ในนี้บอกว่าไม่มีผู้ครองคนใดในยุคนี้เข้าใจพระปัญญา เพราะถ้าเข้าใจจะไม่ตรึงพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อฟาริสีที่จับพระเยซูไปตรึงสมัยนั้น รู้เรื่องนี้ เขาไม่จับหรอก แต่เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องล้ำลึกนี้ว่าพระเยซูคือใคร? พระเจ้ามาเกิดบนโลกใบนี้ได้อย่างไร? พระเจ้ามาเดินท่ามกลางเราได้อย่างไร?  มันรับไม่ได้ อยู่ดีๆ มาบอกว่าตัวเองเป็นพระเจ้า รับไม่ได้ เอาไปประหารชีวิตเสีย เขาคิดอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคนนี้เป็นพระเจ้า ต่อให้เขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่าถ้าเห็นอัศจรรย์ แล้วก็เชื่อ ก็คือความคิดของเขา มนุษย์เข้าใจไง ยังมีเหตุผลว่านี่ทำอัศจรรย์ เพราะถ้าทำอัศจรรย์ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น นี่มันเกินกว่านั้น ต่อให้เห็นพระเยซูชุบให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ เขาก็ไม่เชื่อ เพราะสิ่งนี้ไม่สามารถที่จะใช้เหตุผลบนโลกใบนี้ แล้วทำให้เกิดความเชื่อได้ ต้องมาจากพระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยให้

ต้องจำตรงนี้ไว้ ไม่อย่างนั้น เราก็จะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขาทั้งหมด เพื่ออยากให้เขารู้ๆ เหมือนอย่างที่เรารู้ ทั้งๆ ที่เรารู้ก็มาจากพระเจ้า ไม่มีใครมาสอนเราเลย ผมเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็จะฟังผมสอน ท่านอาจจะคล้อยตาม แต่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ท่านไม่อ๋อหรอก ท่านก็ฟังไปอย่างนั้น จนกว่าท่านกลับไปบ้าน วันหนึ่งตื่นนอนมา อยู่ดีๆ ท่านก็เชื่อเรื่องนี้แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแหละ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ผมสอนแล้วท่านเข้าใจ เพียงแต่ได้รับรู้ว่ามันมีเรื่องนี้อยู่ แต่ท่านยังไม่ถูกชักจูงให้เป็นไปตาม ตัดสินใจว่า …

“ฉันเชื่อเรื่องนี้จริง”

ยังๆ ยังไม่ใช่ ณ วันนี้ก็เหมือนกัน ที่ผมพูดไป ท่านอาจจะฟัง บางคนเชื่อแล้วก็มี ได้แล้วก็มี แต่บางคนก็ฟังไว้ก่อน ถ้าท่านไม่หยุดแสวงหาพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยย่อยให้ ย่อยในวิญญาณ เช้าไปเย็นมา อาจจะผ่านไปปี 2 ปี 3 ปี 10 ปี อ๋อเข้าใจแล้ว จำไม่ได้ว่าใครสอน แต่ประติดประต่อตรงนั้นตรงนี้หน่อย อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะครับ

เราเป็นใคร? นี่ปิดบังไว้ทั้งหมด ไม่มีใครรู้ แต่เปิดเผยให้กับเรา เป็นใครก็ไม่รู้เลย สติปัญญาเท่าดาเนียลก็ไม่มี โนเนม แล้วเปิดเผยให้เรารู้เรื่องราวเหล่านี้  รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร?  ท่านคิดดู  ท่านเก่งขนาดไหน?  ขนาดด็อกเตอร์ หรือฉลาดขนาดไหน? เขายังไม่รู้เลยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เป็นใคร? ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยพระโลหิตของพระองค์ ที่หลั่งมาจากไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดผลได้อย่างไร? แต่เรารู้หมดแล้ว นี่แหละคือความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้เปิดเผยให้เรารู้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เอเมน

ผมจะเล่าคำพยานให้ท่านฟัง นี่ก็เกิดขึ้นเหมือนกัน ถ้าเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล ทุกท่านก็เป็นอย่างนี้ ผมก็เป็นอย่างนี้ ดาเนียลเกิดเมื่อ 2,600 ปีก่อน คืนวันนั้นดาเนียลได้รับการสำแดงจากพระเจ้าเป็นนิมิต คืนวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 ประมาณ 28 ปีมาแล้ว พระเจ้าก็สำแดงให้กับผมเหมือนกัน ในห้องสวดมนต์ ในห้องทำสมาธิ มีคนคุยเรื่องพระเจ้ากับผมไม่รู้ตั้งกี่ปี เป็น 10 ล่ะมั้ง ผมก็ใช้เหตุผลของมนุษย์เถียงเขา จนเขาแพ้หมดแล้ว ต้องแพ้อยู่แล้วล่ะ พอเรามารู้ความจริง เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ด้อยที่สุดเลย ไม่มีเหตุผลที่สุด จึงเป็นเรื่องลี้ลับ เป็นเรื่องเร้นลับ เขาก็เล่าให้ผมฟังมาตั้งนานแล้ว แล้วผมก็ไม่เข้าใจ ก็เถียงเขาไปตามประสามนุษย์ เราก็ว่าไปตามเหตุและผล เถียงสู้เราไม่ได้เลย แต่ ณ วันที่ผมกำลังเดือดร้อนใจ อยากจะรู้ว่าที่เขาพูดมันก็น่าสนใจ แต่เราไม่เข้าใจ เขาก็บอกว่าให้ผมไปหาพระเจ้า เขาคงเหนื่อยและขี้เกียจเล่าให้ผมฟัง เลยไล่ไปหาพระเจ้าเองแล้วกัน  แต่เขาไม่พูดอย่างนี้นะ ในใจมันยากมาก

เขาบอกว่า “คุณนครก็ไปหาพระเยซูสิ ไปบอกกับพระองค์เอง อยากจะรู้อะไรก็ไป”

ผมก็เข้าไปในคืนวันนั้น ก็คุกเข่าอธิษฐาน บอกว่า “พระเยซูเป็นใคร ผมอยากรู้จัก สำแดงให้ผมรู้หน่อย”

ตอนนั้น ไม่รู้ใช้คำนี้ได้อย่างไร? ผมใช้คำนี้เลย เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร?  จะบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูเป็นใคร? ที่เพื่อนเขาพูด ผมก็ไม่รู้ ผมอยากรู้จัก ไม่ใช่ว่าจะดื้อหรืออะไร? ก็เห็นเขาพูดมันดีๆ ทั้งนั้น อะไรก็ดีหมด อยากได้ของดีๆ นั้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน? มันไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้ามีจริง เพื่อนเขาบอกว่าให้มาพูดอย่างนี้ ผมก็พูด เหมือนท้าทาย แต่ไม่ได้ท้าทายแบบไม่ดีนะ ผมก็บอกว่าถ้าพระเยซูมีจริง สำแดงให้ผมเห็นที ผมอยากรู้จัก ทุกคืนๆ เพราะว่าผมทำสมาธิทุกคืน ก่อนนอน ผมก็จะพูดคำนี้ พูดๆ พูดประโยคนี้ ผ่านไป 7 วัน คืนวันที่ 7 สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาเนียล เกิดขึ้นกับผมจริงๆ อย่างนี้แหละ ผมจึงรู้ว่าดาเนียลเขาเจออะไร?

เอาให้สั้นๆ อ่านตามพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สำแดงให้กับนครได้เข้าใจถึงเรื่องล้ำลึกเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นใคร? โดยพาผมไปเปิดพระคัมภีร์ที่เพื่อนผมเขาให้มา ซึ่งตอนนั้นผมกำลังป่วย ไม่ไหว เป็นภูมิแพ้ เป็นหวัด ทรมาน ทรกรรม คลานไป แทนที่จะพูดว่าพระเยซูสำแดง พูดไม่ไหว เข้าห้องสมาธิก็ไม่ไหว อยู่บนเตียงนั่นแหละ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? มองไปมีพระคัมภีร์อยู่บนหัวเตียง ก็เลยคลานไปหยิบมา สิ่งเหล่านี้พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม กำกับการแสดงทั้งนั้น ผมก็เลย คลานไป แล้วก็นึกในใจเหมือนเดิม ไม่ได้พูด

“พระเยซู ถ้ามีอยู่จริง สอนผม วันนี้ไม่ได้เข้าไปในนั้น สอนผมในการอ่านพระคัมภีร์ของพระองค์”

แล้วก็สุ่มเปิด พอเปิด การสำแดงเกิดขึ้น ลูกา บทที่ 15 พูดถึงเรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือสรุปแล้วให้ผมเห็นนิมิตผ่าน แป๊บเดี๋ยวไม่ถึง 5 นาที ผมรู้ว่าผมเป็นลูกของพระเจ้าที่หลงหายไป ตอนนี้พระเจ้าเจอผมแล้ว ดีใจมาก ในสวรรค์มีการเลี้ยง เฮฮากันหมดเลย มองมาถึงเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ใช่มองมาว่าผมเป็นศิษยาภิบาลไม่ใช่ หมายถึงว่าชีวิตผมสบายแล้ว ผมอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลผม ทุกอย่าง เกิดนิมิตนี้ขึ้นมา อยู่ดีๆ มันรู้ขึ้นมาได้อย่างไรว่าฉันบาป ไม่มีบาปแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา เราเป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไป ตอนนี้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว แป๊บเดียวเอง เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ไถ่นั่นเอง เห็นไหม? อัศจรรย์ไหม?

นี่แหละ คือการเปิดเผยข้อล้ำลึก ผมจึงรู้ว่าเมื่อเปรียบเทียบ ก่อนคืนวันนั้น ก่อนที่จะสำแดง  ผมเชื่อว่าดาเนียลทรมานมาก เพราะกำลังจะตาย ไม่ใช่ตัวเองตายคนเดียว เพื่อนๆ ตายหมด แล้วยังแถมครูบาอาจารย์ที่รักกัน ถึงแม้เขาไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม เขาตายหมดเลย เดือดร้อน ทั้งวิตกกังวล แล้วทำอย่างไร? อธิษฐาน เหมือนที่ผมอธิษฐาน เสร็จแล้วพระเจ้าก็สำแดงความล้ำลึกให้กับดาเนียลได้เห็น แล้วดาเนียลก็คงจะอย่างนี้นะ ก่อนอธิษฐาน ลองคิดถึงภาพนะ เหมือนกับผมเลย

“พระเจ้าตายแน่ๆ ทำอย่างไรดี ช่วยหน่อยเรื่องนี้”

พระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกแก่ดาเนียล ในความฝัน ในนิมิตนี้ บอกว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝันว่า … เอาไว้ต่อตอนหน้า … ไม่ถึงหนึ่งนาที ดาเนียลรู้หมดแล้ว ไม่มีตรงไหนบอกลุก คนเรามันดีใจ มันคุกเข่าไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นมาบอก …

“สรรเสริญพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ สรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์ดีงามเหลือเกิน พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงนี้ให้ลูกได้รู้ ลูกรอดตายแล้ว ทุกคนรอดตายแล้ว พระองค์ยอดเยี่ยม”

เมื่อพระเจ้าเปิดเผยให้เราได้รู้ ช่วยให้เราได้รอดอะไรบางอย่าง เราจะตื่นเต้นมากกับความรู้นั้น คืนวันนั้นผมก็เป็นอย่างนี้แหละ น้ำหูน้ำตาไหล พระเจ้ายิ่งใหญ่ ก็สรรเสริญพระเจ้าอย่างนี้แหละ

“พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้ายอดเยี่ยม ทรงประทานสิ่งต่างๆ ให้กับลูก”

ลองอ่านต่อไปอีก

“พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงวาระเวลา และฤดูกาล”

เห็นไหม? พอมันเข้าใจปุ๊บ

“พระองค์ยิ่งใหญ่ ทรงแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ พระองค์ทรงเป็นสติปัญญาแก่ผู้เฉลียวฉลาด ประทานความรู้แก่ผู้ฉลาดหลักแหลม และพระองค์ทรงเปิดเผย (สำแดง) สิ่งที่ลึกซึ้งและซ่อนเร้นอยู่ให้ทราบ” เข้าใจใช่ไหม?

“ประทานสติปัญญาให้กับลูก เมื่อตอนอดอาหารนั้น ตอนกินผักกับน้ำ  ตอนนี้สำแดงความล้ำลึกนี้ให้กับลูก พระองค์ทรงรู้จักหมดในความมืดนั้น ความสว่างพระองค์ก็อยู่ที่นั่น”

ผมจะให้ท่านเห็นว่าความรู้สึกดาเนียลเป็นอย่างไรตอนนั้น เราทั้งหลายมีโอกาสที่จะมีประสบการณ์อย่างนี้ได้ เพราะเราก็คือผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่เราดีกว่า ตรงที่เราไม่ใช่รู้จักพระเจ้าเฉยๆ แต่พระเจ้าลงมาสถิตกับเรา ดาเนียลเป็นผู้รับใช้ รู้จักพระเจ้า แต่พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แต่ตอนนี้สวรรค์ลงมาอยู่กับเรา เราเป็นผู้รับใช้เหมือนดาเนียล แต่พระเจ้าอยู่กับเราในร่างกายนี้เลย ง่ายนิดเดียว อยู่บนรถเมล์เราก็อธิษฐานได้ ไม่ต้องกลับไปที่บ้านเลย

ท่านเห็นไหมว่าเราได้เปรียบกว่ามากเท่าไร? แต่พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีใครสามารถเทียบพระองค์ได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครอง ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นผู้กำกับโรงละครของโลกนี้ทั้งหมด ท่านจะพึ่งใครล่ะ พระองค์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ควบคุมทุกอย่าง เส้นใหญ่สุดแล้ว

คนไปถามพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกนี้ พระเยซูบอกว่าเราควรอธิษฐานอย่างไร? ในมัทธิว 6:9 พระองค์สอนเราอย่างไร? จงอธิษฐานอย่างนี้นะ

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์”

ก็คือรู้เลยนะว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรา

“ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการบูชา  ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอน้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จบนโลกใบนี้ เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจ”

ตอนจบบอกว่า …

“ราชอาณาจักร พระสิริ  พระเกียรติ ฤทธิ์เดช เป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

พูดง่ายๆ ว่าขึ้นต้นรู้นะว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ที่รักเรายิ่ง หวงแหนเรามากกว่าที่เรารักลูกของเราอีก สุดท้ายก็คือผู้ที่รักเรานี้ เป็นพ่อของเรา รักเราขนาดนี้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ครอบครอง ควบคุมทุกอย่างแล้ว จะไปกลัวอะไรอีกเล่า ต่อไปนี้มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และรับใช้พระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบให้รู้อย่างนี้ แล้วรับใช้พระเจ้าไปเรื่อยๆ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ น้ำพระทัยของพระองค์จงสำเร็จในชีวิตของเราเถิด เอเมน

 

********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  กันยายน  2016

 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 2 “โลกนี้คือละคร” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้มีชื่อ “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 2 “โลกนี้ คือละคร” สดุดี 46:10

สดุดี 46:10 “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

 

นี่เป็นประโยคที่พระเจ้าพูด  เราได้คุยกันไปแล้วใช่ไหม? ถ้าพระเจ้าพูดอย่างนี้กับเรา แสดงว่าเรากำลังสับสนวุ่นวาย วิตก กังวล กลัว เราคงไม่นิ่ง ถ้าเราไม่นิ่ง แล้วพระเจ้าจะให้เรานิ่ง พระเจ้าจึงตรัสว่า …

“จงนิ่งเสีย และรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะได้รับการยกย่อง ท่ามกลางประชาชาติ”

ผมได้ยิน ผมยังเอเมน น้ำหูน้ำตาไหล

เราได้ย้ำความหมายของคำว่า “จงนิ่งเสีย” ว่าหมายถึงให้เราวางใจในทุกๆ สิ่ง ในทุกพื้นที่ชีวิตของเรา ไม่ใช่บางสิ่ง ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เราเข้าใจ ทุกๆ สิ่ง หมายถึงรวมทั้งสิ่งที่เราไม่เข้าใจด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าต้องเผชิญความทุกข์ยากขนาดไหน? จงวางใจในพระองค์ และรับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง และทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์เสมอ เอเมน

และที่พระคัมภีร์เตือนแล้วเตือนอีกว่าจงนิ่งเสียและรับรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า สอนแล้วสอนอีกว่าให้วางใจในพระเจ้า จุดมุ่งหมาย ก็คือเพื่อให้เราทุกคนได้พบกับสันติสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขนะ สันติสุขที่แท้จริง ความสงบสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือสามารถมีสันติสุข มีความสงบสุขได้ ในท่ามกลางทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์แห่งความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด คงไม่ต้องบอกว่าให้พยายามสงบนิ่ง ในสถานการณ์แห่งความชื่นชมยินดี

และครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของดาเนียล ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิต แบบที่เรากำลังพูดถึงนี้ คือแบบวางใจในพระเจ้าสุดๆ ในทุกพื้นที่ชีวิตของเขาจริงๆ เรามาทบทวนนิดหนึ่ง

เรากำลังคุยกันถึงเรื่องดาเนียล ถึงเหตุการณ์ตอนที่เยรูซาเล็มอยู่ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งอาณาจักรบาบิโลน ประมาณ 600 ปีก่อน ที่พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรบาบิโลน ได้กวาดต้อนชาวยิวเป็นเชลย แล้วตอนที่อยู่บาบิโลน ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นตัวเอกในเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก ที่ได้บันทึกไว้ ดาเนียลกับเพื่อนอีก 3 คน ก็ได้ถูกกวาดต้อนมาด้วย ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มของคนที่มีหน่วยก้านดี เป็นคนฉลาด สอนได้ ถูกนำไปอบรมความรู้ด้านโหราศาสตร์ ด้านไสยศาสตร์ วิทยาคม อาคม  เพื่อเตรียมตัวให้เขาไปรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการบรรยายครั้งที่แล้ว คือพวกคนหนุ่มเหล่านี้ ให้รับการดูแล เลี้ยงดูอย่างดี อาหารก็ถูกส่งมาจากวัง ซึ่งปกติแล้ว จะไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธอาหารที่สั่ง โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เลย เพราะทุกคนรู้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมมาก ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง แต่ดาเนียลและเพื่อนกล้าที่จะปฏิเสธอาหารจากกษัตริย์ และอาหารที่ส่งมาให้นั้น ตามหลักของชาวยิวแล้ว ถือว่าเป็นอาหารที่มีมลทิน โดยจะขอกินเพียงแค่ไม่ใช่มังสวิรัติ แต่มากกว่านั้น คือกินเฉพาะผักกับน้ำ และจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเพียงแค่ผักกับน้ำนี่แหละ จะทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าคนอื่นได้

พระเจ้าก็เริ่มดลบันดาลใจหัวหน้ากรมวัง ให้เกิดมีความโปรดปราน หรือเรียกว่าความชอบพอ พอใจในดาเนียลและเพื่อน ยอมให้ดาเนียลและเพื่อนทำตามที่ขอ คือให้กินแต่ผักและน้ำ ลองดู 10 วัน แล้วผลก็คือหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังของดาเนียล ดูดีกว่าคนหนุ่มอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้

นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ที่พระคัมภีร์บอกว่าดาเนียลเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และวางใจในพระเจ้ามากถึงมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะยืนหยัดมั่นคงในทางของพระเจ้าของเขา และวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะสามารถทรงช่วยเหลือ ช่วยกู้เขาและพรรคพวกได้ ในทุกๆ สถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ แบบที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าวางใจในพระเจ้าแบบตายเป็นตาย

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป             แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตายไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ฉันก็จะตามไป”

ตอนนี้ร้องได้ ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น มาเชื่อพระเจ้า แล้วถูกไล่ออกจากบ้าน มันร้องยากนะ นี่ไม่ได้หมายถึงเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่พูดให้เห็นว่าถึงเวลา ถึงสถานการณ์ที่เราจะต้องร้องเพลงนี้ โดยประสบกับความลำบาก มันยากที่จะร้อง ไม่ได้ร้องง่ายๆ เหมือนตอนนี้ที่ร้องนะ

กลับมาที่บาบิโลน หลายครั้งที่ดาเนียลกับเพื่อนต้องเผชิญกับการทดลอง ต้องเรียนเรื่องเวทมนต์คาถา ท่านลองคิดดูสิ เราเชื่อพระเจ้าสุดๆ เราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าสุดๆ วางใจในพระเจ้าสุดๆ แต่พระเจ้ากำลังนำเรามา เรียนวิชาที่เราไม่อยากเรียนเลย คือวิชาวิทยาคม ไสยศาสตร์ หมอผี โหราศาสตร์ ต้องถูกฝึกให้ยอมรับวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมของชาวบาบิโลน  ซึ่งตรงกันข้ามกับทางของพระเจ้า  100% เลย  คุ้นๆ ไหม? เหมือนเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลับไปที่ทำงาน แปลกไปหมดเลย  ให้เราทำอะไรหลายอย่าง ที่มันไม่ตรงตามที่ผู้เชื่อทำ แล้วเราจะทำไหม? คิดไว้ในใจก่อน เรียนไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้ว่าแล้วเราจะทำไหม?  ตอบว่า …

“แล้วแต่พระเจ้า”

ไม่ใช่เรา อย่าไปคิดสิ ฉันไม่ได้คิดอย่างนี้ คนข้างๆ บอก ศิษยาภิบาลก็บอก ไม่ใช่เราไม่เชื่อศิษยาภิบาลนะ แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะตัดสินให้เราทำหรือไม่ทำ คือพระเจ้า เราต้องไปคุยกับพระเจ้า  เหมือนกับดาเนียล โดยบัญญัติ ดาเนียลทำไม่ได้หรอก สิ่งเหล่านี้  อาหารเป็นมลทินยังไม่กินเลย แล้วให้ไปเรียนไสยศาสตร์ จะไปเรียนได้อย่างไร? พระเจ้าอนุญาตให้เรียน เขารู้ เขาก็เลย ยอมหมด ยอมผ่อนตาม เห็นความแตกต่างไหม? ในขณะที่ภายนอก ดูเหมือนเขาจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ในการศึกษาเรียนรู้ต่างๆ เหล่านี้ แต่ภายในนั้น ดาเนียลยังยืนหยัดในความเชื่อ และคงวางใจและสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง เป็นตัวอย่างของการยืนหยัด ในความเชื่ออย่างมีสติปัญญา และให้พระเจ้าเป็นผู้นำแท้จริง ไม่ใช่เชื่อแบบไร้สติ เชื่อแบบจริงๆ ต้องเป็นอย่างนี้ พูดเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงพระเยซูพูดเรื่อง

“จงฉลาดเท่าทันงู แต่จงรักษาความสงบ เหมือนนกพิราบ”

ให้ท่านไปคิดเอง ผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร?  จงฉลาดให้เท่าทันงู  ก็คือเราต้องเฉลียวฉลาด เพราะงูมันเล่ห์กลเยอะ เล่ห์กลเราต้องเหนือกว่างู เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเล่ห์กล ไม่ใช่ซื่ออย่างเดียวนะ ท่านไปคิดดูก็แล้วกัน ที่ผมพูดเป็นทางบวกทั้งนั้น ไม่ใช่เล่ห์กลในทางลบ ไม่ใช่ดำเนินด้วยความรักๆ อย่างเดียว ยอมทุกอย่าง ซื่อๆ ทื่อๆ อย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้ใช้ท่านซื่อๆ ทื่อๆ ตลอดเวลา บางครั้งพระเจ้าก็ใช้คนของพระองค์ คริสเตียนนะ ที่วางแผนเก่งเหมือนกัน เขาเรียกว่ามีกลยุทธอะไรบางอย่างเหมือนกัน แบบคล้ายๆ โลกนี้เขาทำ เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อแผนการพระเจ้าที่กำลังช่วยบรรดาผู้คน ที่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ จากพระองค์ ในโลกนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดเลย นี่คือการมีสติ

ก่อนที่จะเข้าเรื่องในวันนี้ ผมจะขอเสริมจากครั้งที่แล้วอีกสักนิด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ยังมีหลายคนเข้าใจไม่ถูกต้อง คือเรื่องที่ดาเนียลและเพื่อนๆ กินผักและน้ำ อธิษฐานกับพระเจ้า หลายคนก็เลยเข้าใจว่าเป็นวิธีที่พระคัมภีร์สอนให้ทำ เวลาที่จะอธิษฐาน ทูลขออะไรจากพระเจ้า สำคัญๆ มากๆ ต้องอดอาหารเหลือแต่ผักและน้ำ อย่างน้อย 10 วัน แต่ดาเนียลและเพื่อนไม่ใช่แค่ 10 วันนะ เขากินอย่างนี้ไปอีก 3 ปี แต่หลังจากนี้ยังกินอย่างนี้อีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่ได้บันทึกไว้ จริงๆ แล้ว ที่ดาเนียลกับเพื่อนทำนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เฉพาะครั้งนั้น เพียงครั้งเดียวที่พระเจ้าให้ทำ คือทั้งหมดเกิดจากการวางแผนของพระเจ้า  เกิดจากการดลใจของพระเจ้า ดาเนียลเป็นผู้บันทึกเรื่องนี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้มอบให้ชาวยิวมาเป็นเชลยในบาบิโลน พระองค์ทั้งสิ้น ดาเนียลรู้หมด

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดลใจให้เกิดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระเจ้าดลใจให้ดาเนียลมีความกล้า ที่จะขัดคำสั่งกษัตริย์ในครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่ทานอาหารที่ส่งมาให้ ซึ่งอ้างว่าเป็นมลทิน แต่การไปเรียนไสยศาสตร์ เรียนโหราศาสตร์ ก็เป็นมลทินเหมือนกัน แล้วทำไมไม่อ้างว่าไม่เรียน พอจะเห็นหรือยัง? นี่คือสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า และพระเจ้าดลใจให้หัวหน้ากรมวังที่ดูแลอยู่ เห็นใจ และยอมตามที่ดาเนียลขอ ถ้าพระเจ้าไม่ดลใจ กรมวังไม่มีทางยอมแน่ เพราะถ้าเกิดดาเนียลและพวกล้มป่วยลง หรือผอมแห้งแรงน้อย ครบ 10 วัน กรมวังตายก่อน กษัตริย์คงถามว่า …

“ทำไมไม่ให้เขากิน ไปเชื่อเขาทำไม? ทำไมไม่เชื่อฉัน”

ตัดหัวกรมวังก่อนเลย แสดงว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสิ่งนี้อีกแล้ว ดลใจให้กรมวังทำสิ่งนี้ ซึ่งเสี่ยงกับชีวิตของเขา เพื่อบางอย่าง ซึ่งเขาไม่ได้อะไรเลย เห็นไหม? เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า พระองค์ทรงควบคุมอยู่ นี่คืออัศจรรย์เหมือนกัน ดาเนียลกับเพื่อน เป็นหนุ่มๆ อายุ 14, 15 ต้องการโปรตีนมาก เพราะกำลังเจริญเติบโต กล้ามเนื้อกำลังจะสร้าง แทนที่จะกินโปรตีน ถั่วก็ไม่ได้กิน โปรตีนมันอยู่ในถั่ว แต่กินผักกับน้ำ 2 อย่างเอง  10 วัน ถ้าใครอายุ 14, 15 ท่านทดลองดู ถ้าท่านกินอย่างนี้ ไม่ต้อง 10 วัน ผมว่า 3 วันก็เห็นผลแล้ว เหี่ยวแห้ง หัวโตแน่ แต่นี่กินไป 10 วัน มีหน้าตา ผิวพรรณ และกำลังดีกว่าคนอื่นๆ ที่กินอาหารฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่เขา 4 คนกินแต่ผักกับน้ำ ไม่ได้บำรุงอะไรเลย  แต่คนอื่นบำรุงเต็มที่เลย นี่คืออัศจรรย์

ที่ผมจะเน้น ก็คือหลายครั้งที่พระเจ้าให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นนั้น  เป็นส่วนตัวของคนๆ นั้น เพียงครั้งเดียว หรือเรียกว่าเรื่องเฉพาะ สำหรับเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น  เพื่ออะไรบางอย่าง ที่เป็นพระประสงค์หรือน้ำพระทัย หรือแผนการของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติวิสัยที่จะทำกัน อย่างที่มนุษย์อย่างเราคิด พอเห็นพระเจ้าทำอย่างนั้น อยากได้บ้าง ก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่ ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ว่าอย่างนี้เป็นปกติวิสัยที่พระเจ้าสอนเราทำหรือไม่? อย่างความรัก คือการให้ อย่างนี้สิเป็นปกติวิสัย ที่ทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกฝนทุกวัน

ถ้าเราจะดูในอดีต เหมือนกษัตริย์ดาวิด อัศจรรย์ใหญ่ที่สุด ที่เขาเรียกว่าเป็นประกาศนียบัตรของกษัตริย์ดาวิด ทำให้ใครๆ ทั้งโลกรู้จักกษัตริย์ดาวิด ก็คือออกไปสู้กับยักษ์โกไลอัท แล้วชนะ แค่ก้อนหินเพียงก้อนเดียว ก็เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียวของกษัตริย์ดาวิดที่ใหญ่ๆ แบบนั้น ไม่ใช่พระเจ้าประทานกำลังวิเศษให้กับดาวิด ไปที่ไหนก็เอาแค่ก้อนหิน ก้อนเดียว ดาบไม่ต้องใช้ เป็นอัศจรรย์เพียงครั้งเดียว เพื่อให้แผนการของพระองค์บางอย่าง สำเร็จเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือให้ทุกคนเริ่มสนับสนุน ซึ่งจะมาเป็นผู้นำของอิสราเอลแทนซาอูลในสมัยนั้น  นี่แค่คิดตามมนุษย์ครั้งเดียวเท่านั้นเอง หลังจากนั้นมา เราอ่านดูประวัติ เรื่องของกษัตริย์ดาวิด หนีหัวซุกหัวซุนเลย ไม่กล้าเหมือนตอนสู้กับโกไลอัทเลย เข้าใจไหม?

ตอนของโมเสสก็เหมือนกัน อัศจรรย์ใหญ่ของโมเสส คือพาอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ แหวกทะเลแดง หนีกองทัพอียิปต์ พระเจ้าก็ให้เกิดอัศจรรย์ แค่ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะให้ไม้เท้ากับโมเสส แล้วจากนี้พาอิสราเอลไป ใช้ไม้เท้าลูกเดียว ใครมาก็เอาไม้เท้าตีหัวตลอด ไม่ใช่

หลังจากที่แหวกทะเลแดง ก็มีข้าวมาจากฟ้า เรียกว่ามานา มีนกคุ่มตกลงมา มีน้ำออกมาจากหิน หลังจากนั้นเป็นปกติ เป็นชาวสวน ชาวไร่ ชาวปศุสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เหมือนคนธรรมดา เห็นไหม? เรื่องพวกนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ปกติวิสัยของคน ที่จะมาแหวกทะเลแดงตลอดเวลา ไม่ใช่ปกติวิสัยของคนที่จะมาฆ่าโกไลอัทด้วยก้อนหิน เพียงก้อนเดียวตลอดเวลา

กลับมาเรื่องของดาเนียลต่อ ไม่ใช่คนที่เชื่อพระเจ้าทุกคน ต้องทำแบบนี้ คือพอเจอสถานการณ์เช่นเดียวกันกับดาเนียล ต้องกินผักและกินน้ำอย่างเดียว เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ตอบคำอธิษฐาน ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ก็คือไปหาพระเจ้า แล้วดูสิว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับเรา ในตอนนั้น อย่างไร ซึ่งไม่เหมือนใคร

พระเจ้าเตรียมอัศจรรย์บางอย่างให้กับสถานการณ์บางอย่าง เหมือนคำพูดที่บอกว่า  …

“สถานการณ์สร้างฮีโร่”

พระเจ้าเตรียมเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เพื่อแผนการของพระองค์ เป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องปกติ พระเจ้าต้องการสร้างฮีโร่คนไหน? พระองค์ทรงเตรียมสถานการณ์ชงไว้เรียบร้อยแล้ว คนนี้เข้าไป เป็นฮีโร่ทันที

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกว่าเวลาเรารับเกียรติจากพระเจ้า จงถวายคืนแด่พระองค์ อย่าเว่อร์ไปรับ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง จนเกินตัว ไปแย่งพระสิริจากพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าหวงพระสิริของพระองค์ แต่กลัวลูกของพระองค์ลำบาก เพราะทำผิดกฎ ไปเอาตรงนั้นมา แล้วในที่สุด ก็จะล้มพินาศลง ผู้ที่เย่อหยิ่งเขาก็จะล้มและพินาศลง พอเกิดอัศจรรย์ขึ้น เป็นฮีโร่ขึ้นมา จงรู้ว่าที่เป็นฮีโร่นั้น พระเจ้าเป็นผู้ทำ

“พระเจ้าวางแผนให้ฉันเป็นฮีโร่ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ได้เก่งอะไรเลย พระเจ้าวางทั้งสิ้น อย่าให้มนุษย์มายกเรา เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย ฉันก็เป็นคนธรรมดา พระเจ้าวางทุกอย่างไว้ให้ ใครมาตรงนั้น ก็จะได้ตรงนี้”

พอเข้าใจใช่ไหม? ใครที่พระเจ้าจับวาง เขาเป็นฮีโร่ เขาเห็นภาพเหล่านี้ได้หมดแหละ ไม่ใช่ฉัน ต้องคิดอย่างนี้ เวลาเราได้อะไรดีๆ อย่านึกว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันทำเอง ฉันโน่น ฉันนี่ วันหนึ่งท่านก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ วันนั้นอาจจะสายไป ก็ได้ เพราะฉะนั้น เตือนไว้ก่อน พระคัมภีร์ก็จะเตือนอย่างนี้เสมอ

เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ เพราะนี่คือพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาที่เรากำลังพูดถึง ที่บอกว่าเชื่อและวางใจในพระเจ้า รู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่สูงสุด และทรงอยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าในสายตาเราจะดูว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ถ้าดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเรา เราเป็นฮีโร่ขึ้นมา ได้รับเกียรติขึ้นมา จงรับรู้ว่าไม่มีใครเก่ง เราก็ไม่เก่ง ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ เราก็ไม่ได้วิเศษ พระองค์ชงไว้แล้วว่าถ้าเราวางมือวันนั้น คนป่วยคนนี้ คนที่เป็นง่อยเดินได้ อย่านึกว่าตัวเองมีความเชื่อมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเราอธิษฐานเยอะ เพราะว่าเราอดอาหาร เพราะเรามีความรู้เยอะ เพราะเรามีความเชื่อเยอะกว่า เดี๋ยวก็รู้สึก พระเจ้าจับวางเราไว้ ให้เราเป็นดาวิดในวันนั้น ให้เราเป็นโมเสสในวันนั้น  แล้วเราก็อยากจะเป็นวันนั้นตลอดไป เดี๋ยวเราก็รู้สึก

ไม่ว่าจะเป็นดาวิดตัวเล็กๆ ชนะยักษ์โกไลอัท โมเสสแหวกทะเลแดง พาคนอิสราเอลอพยพ ดาเนียลกินแต่ผักกับน้ำ แล้วมีกำลังที่ดี หน้าตาดี ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้าชงเอาไว้ วางเอาไว้ทุกอย่าง ปั้นคนนี้ให้ดัง คล้ายๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อย่าซ่าส์ๆ พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้น เป็นผู้สร้างขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น เคยได้ยินเพลงนี้ไหม?

“โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน                  เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ

บทบาทลีลาแตกต่างกันไป             ถึงสูงเพียงใด ต่างจบลงไปเหมือนกัน”

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูยอกย้อน เปรียบเหมือนละคร ถึงบทเมื่อตอนเร้าใจ มีความสุข บทบาทลีลาแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ถึงสูงเพียงใด จะดีขนาดไหน ยอดเยี่ยมขนาดไหน ต่างจบลงไปเหมือนกัน คือตายเหมือนกัน ไม่เห็นมีใครเก่งสักคน

ตอนนี้ มีชื่อว่า “โลกนี้ คือละคร” ทำไมผมถึงใช้คำว่าโลกนี้ คือละคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราพูดมา

พูดถึงละครทุกเรื่อง มีเวที มีนักแสดง มีแนวทางของละครว่าจะเป็นอย่างไร? เรื่องจะไปทางทิศไหน? นักแสดงแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง? ต้องทำท่าทางอะไรบ้าง? เป็นหน้าที่ของผู้กำกับการแสดง หรือเราเรียกว่าผู้กำกับ สั้นๆ ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเปรียบว่าโลกนี้ คือละครเวทีใหญ่ มนุษย์ทุกคน ที่อยู่บนโลกนี้ ก็คือนักแสดงแต่ละคน ที่มีบทบาทเยอะแยะไปหมด ไม่เหมือนกัน คล้ายๆ กันบ้าง แล้วผู้กำกับการแสดงของเวทีของละครโลกใบนี้  คือพระเจ้า เพราะเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์เป็นผู้สร้าง เรารู้เลย เหมือนนักแสดงทุกคน ที่ต้องเรียน เล่น และรู้บทที่ได้รับมา ที่ผู้กำกับการแสดงบอกมา สั่งมาว่าเธอต้องรับบทนี้

มีนักแสดงคนไหนไหมครับ ที่พอผู้กำกับสั่งให้ร้องไห้เยอะๆ ก็บอกว่าทำไมต้องร้องด้วย  บทนี้น่าจะหัวเราะ แย้งกับผู้กำกับ ผู้กำกับบอกบทนี้ทำหน้าเศร้าหน่อย ฉันจะยิ้ม คนนั้นคงถูกไล่ออก ไล่ออกแล้วทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ ตกงาน ไม่มีอะไรกิน เหมือนกันแหละ ถ้าเราไม่ยอมรับบทแสดงนั้น เราก็จะทุกข์ บทแสดงของโลกใบนี้ มันมีอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับการแสดงบนโลกใบนี้ทั้งหมด

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจที่บอกครั้งที่แล้ว แล้วหัวใจของการเชื่อศรัทธานั้น คนนั้น ต้องเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น มีอะไรบางอย่างที่ควบคุมโลกใบนี้อยู่ ควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่ ถ้าไม่เชื่อตรงนี้  ก็เหมือนไม่มีสติปัญญา เพราะนี่คือความจริง ก็เหมือนคนตาบอดเดิน ไม่รู้เรื่องอะไรเลย โอกาสที่จะเดินตกโน่น ตกนี่ ชนนั่น ชนนี่ ล้มหัวฟาด มีเยอะไหม? เยอะกว่าคนที่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ คอยหลบคอยหลีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงพระเจ้า แค่ให้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็นควบคุมสถานการณ์อยู่ แค่นี้เอง ก็ยังมีประโยชน์มากกว่าคนที่ไม่รู้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ หรือบนเวที โลกนี้นั้น พระเจ้าเป็นผู้กำกับทั้งสิ้น พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ถ้าเราสามารถเชื่อและวางใจในการควบคุมหรือกำกับของพระเจ้าแบบนี้ได้ คือเชื่อทั้งหมด เชื่อเหมือนนักแสดงที่เชื่อฟังผู้กำกับการแสดง เราก็สามารถวางใจในพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ ทุกแห่งหน พระเจ้าเป็นผู้กำกับโรงละคร โรงใหญ่ทั้งโลกใบนี้ ตัวแสดงทุกตัวบนโลกนี้ ก็ถูกกำกับโดยพระเจ้าทั้งสิ้น พระเจ้าสามารถดลใจมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ทำดีกับเราก็ได้ ให้ทำไม่ดีกับเราก็ได้ ให้รักเราก็ได้  ดลใจให้เขาเกลียดเราก็ได้ ประทานให้ใครบางคน คอยช่วยเหลือเราก็ได้ หรือให้คอยกลั่นแกล้งเลื่อยขาเราได้ไหม? ได้ พระองค์เป็นผู้กำกับการแสดงทุกคน ทุกคนเลย ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะเข้าใจและยอมรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยดี ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ ไม่คิดแค้นใคร สามารถอภัยให้ทุกคนได้ เพราะรู้ว่าทุกอย่างเป็นการแสดงของตัวละครที่พระเจ้าได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำจะเป็นผลดีสำหรับเราเสมอ ไม่ใช่ทำให้เรามีความสุขนะ แต่เป็นผลดีสำหรับเรา เหตุการณ์นั้น อาจจะทำให้เราไม่มีความสุข แต่ผลดี สำหรับเรา และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเสมอ เป็นแผนการของพระองค์ แผนการใหญ่ๆ เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนั้น

ท่านนึกถึงแผนการทั้งหมด บนโลกใบนี้ สมมติมีมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ล้านๆๆๆ คน สมมติ เราเป็นเศษเล็กๆ ในแผนการนั้น เราเป็นจิ๊กซอตัวหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ภาพนั้น เท่านั้นเอง แต่เมื่อสิ้นสุดแล้ว พระองค์ก็จะทำจิ๊กซอตัวเล็กๆ นี้ให้ลงตำแหน่งของมันให้ได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง หน้าที่ของเรา ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งบนเวทีใหญ่ คือเชื่อและวางใจในผู้กำกับ ถึงแม้ว่าเราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับเลย รูปของพระเยซู เป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือว่าใครเคยเห็น แม้บางคนบอกเคยเห็นในความฝัน ก็เป็นจินตนาการ ไม่มีใครรู้ พระคัมภีร์ก็บอก ไม่มีใครรู้ เราไม่เคยเห็นหน้าผู้กำกับของเราเลย แต่เราก็เชื่อว่ามีผู้กำกับอยู่ เหมือนพระคัมภีร์บอกว่าความเชื่อ คือการเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ไม่ใช่เราเก่ง ถ้าพระเจ้าไม่ประทานให้กับเรา เราอาจจะไม่ได้เชื่อมั่นคงจริงๆ ว่าบนโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น มีผู้หนึ่งที่ดูเราอยู่ และคุ้มครอง ปกปักษ์เราอยู่ เป็นพ่อของเรา ยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้า เมื่อก่อนเราอาจจะไม่รู้ เพียงแค่เขาบอกว่ามีพระเจ้า เราก็เชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ แต่ทุกวันนี้ เราเชื่อจริงๆ ฮีบรู 11:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดมาก นี่คือสัจจะธรรมของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และความจริงที่พระเจ้าสำแดงให้พวกเราได้เห็น ถ้าคนที่มารู้จักพระเยซูแล้ว บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็อาจจะรู้ว่าความเชื่อนี้หมายถึงอะไร? แต่ถ้าอ่านแล้ว อาจจะยังพอเข้าใจบ้าง แต่อาจจะไม่รู้เรื่องว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ลองอ่านดู ฮีบรู 11:1-3

ฮีบรู 11:1-3 “1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง ที่คนในสมัยก่อน ได้รับโดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น 3 โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา”

 

ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น พอเชื่อปุ๊บ สิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น มันมองเห็นได้ปุ๊บ มันหมายความว่าอย่างนั้น พอมีความเชื่อแบบนี้ขึ้นมา สิ่งที่เราไม่เคยเห็น จับต้องมองไม่เห็น แต่กลายเป็นจับต้องมองเห็น มีอยู่จริงๆ มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะความเชื่ออย่างนี้เอง ที่คนสมัยก่อนได้รับการชมเชย โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า … สมัยก่อน ก็คือที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ คือดาเนียล โมเสส ดาวิด สมัยนั้น คนเหล่านี้ เขาเชื่อว่าจักรวาล มีขึ้นโดยพระบัญชาของพระเจ้า เห็นไหม? จักรวาลนี้ คือดวงดาวที่เขาเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ดวงอาทิตย์ อะไรต่างๆ เขามองทุกอย่างเลย พระเจ้าสร้างด้วยความเชื่อแบบนี้ จะเกิดอย่างนี้ขึ้น คือเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ คือเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นนั้น เกิดขึ้นโดยพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ อะไรต่างๆ ที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา คือสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น จากโลกวิญญาณนั้นเอง เอเมน แค่นี้ก็เป็นสติปัญญาอันยิ่งใหญ่แล้วนะ พูดแค่ 2-3 ประโยคแค่นี้เอง ล้ำลึกมากเลย ใครที่มีความเชื่ออย่างนี้ ไปรอดแล้ว เพราะเขารู้ความจริง พอรู้ความจริง ตาสว่าง ก็อ๋อ! รู้ความจริง ก็ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้ ถ้าคนที่ไม่รู้ความจริงว่าโลกใบนี้ ที่กำลังเกิดอะไรขึ้น มีบางอย่าง ที่บนโลกที่เรามองไม่เห็น ควบคุมทุกอย่างอยู่ แล้วมันเป็นจริงตามนั้น แล้วเขาไม่รู้ ท่านคิดดู ทำอะไรก็ผิดหมดเลย แต่สำหรับเราที่รู้ ทำอะไร ก็ถูกหมด เพราะเรารู้จักข้างบนแล้ว เอเมน ชัดไหม?

ผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต้องเชื่อตรงนี้ว่าพระเจ้าทรงควบคุม พระเจ้าทรงพระชนมอยู่ และพระเจ้าทรงกำกับการแสดงเวที โรงละครโรงใหญ่ คือโลกใบนี้ทั้งหมด เอเมน ต้องเป็นอย่างนั้น ดาเนียลก็เป็นอย่างนั้น โมเสสก็เป็นอย่างนั้น ดาวิดและคนอื่นๆ มีมากหลาย ก็เป็นอย่างนั้น

ทุกวันนี้ ที่เราอยู่ในบ้านเมืองนี้ ในประเทศไทย เหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นใช่ไหม? หลายอย่างเราคิด อันนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ อันนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ ลุ้นกันใหญ่นะครับ ถามว่าเราเคยเอะอะโวยวายไหม? ที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคิด บางครั้งเราหงุดหงิดนิดหน่อย บางครั้งเราหงุดหงิดมาก บางครั้งเราฟังข่าวเขาประกาศออกมา มันน่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ดีต่อประเทศชาติ เราก็คิดของเราไปเรื่อย ถ้าคิดตามเหตุผลของมนุษย์ บางครั้งที่เราหงุดหงิดนั้น มันใช่จริงๆ มันไม่ดีจริงๆ ถูกไหม?  เราเคยบ่นว่าไหม? มันไม่ดีจริงๆ ทำไมทำอย่างนี้นะ เคยหรือไม่เคย?  เคย เราเคยสงบนิ่งไหม? เมื่อเขาพูดถึงบ้านเมือง แล้วเราไม่ชอบ เรารู้ว่ามันไม่ดีจริงๆ ด้วย เราเคยสงบนิ่งไหม? มันเกิดอะไรไม่ดี พระเจ้าควบคุมอยู่ ก่อนที่จะบ่น เราบอก พระเจ้าควบคุมอยู่ พระเจ้าดูแลอยู่ พระเจ้าเป็นผู้กำกับทุกอย่าง พระเจ้ามองเห็น พระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราเคยพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจไหม? ไปคิดดู แล้วเอาตามที่เราสบายใจก็แล้วกัน เราคิดอยากจะทำอย่างไรก็เชิญเลย พระเจ้าควบคุมอยู่นะ อยากจะบ่น ก็บ่น พระเจ้าฟังคำบ่นของท่าน แล้วอ้าว! เปลี่ยนแผน ไปคิดดูแล้วกัน

นี่เป็นประสบการณ์จริงของพวกเราเองเลย แล้วเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองมันชัด เขาบอกว่าห้ามคุยกันเรื่องศาสนากับเรื่องบ้านเมือง เดี๋ยวตีกันตาย อย่าว่าแต่วงเพื่อนเลย ขนาดวงครอบครัวยังแตกแยกกัน เพราะคุยกันเรื่องนี้ เพราะเขาไม่รู้มี หรือรู้ว่ามี แต่ละเลยไม่สนใจเพิกเฉยต่อความเป็นจริงว่ามีผู้กำกับการแสดงอยู่ข้างบน ถ้าเขารู้อย่างนั้น เขาก็คงไม่ทะเลาะกัน เขาคงไม่ใช้อารมณ์และความคิดของตนเองว่า …

“ฉันยอด ฉันเยี่ยม ฉันดี” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

แม้ว่าตามเหตุผลเราถูกต้องด้วยซ้ำ หรือตามเหตุผลบางกลุ่มจะถูกต้องด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเรารู้ว่าข้างบนมีการควบคุมดูแลอยู่ เราก็สามารถนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า จงเงียบเสีย เลิกบ่นสักทีหนึ่ง (พูดกับตัวเองนะ)

หรือเวลาที่เราถูกใครเขาเอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งสิ่งที่เรามีอยู่ เราโวยวาย หรือท้อใจว่าไม่ยุติธรรม เราโวยวายไหม? ในสถานการณ์ที่เราไม่ชอบ เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าหรือเปล่าว่าพระองค์กำลังนำเราเข้าไปในเหตุการณ์นั้น เพื่อสิ่งดีสำหรับเรา และเพื่อแผนการของพระองค์ และเพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติในแผนการนั้น เราเคยคิดอย่างนี้ไหม? มันคิดยากมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เราต้องเจ็บปวด หรือต้องเสียหาย หรือต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป มันเจ็บปวดมาก ที่จะต้องเข้าใจถึงคำว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่

เราสามารถสงบนิ่ง วางใจในพระเจ้าได้แค่ไหน? ชีวิตที่วางใจในพระเจ้า ก็คือเชื่อว่าไม่ว่าจะทุกข์ สุข ลำบาก หรือสบาย พระเจ้าทรงควบคุมทุกสถานการณ์อยู่ และพระองค์ทรงรักเรา และจะทำให้เกิดผลดีสำหรับเรา ในทุกสิ่งเหล่านั้น และให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ได้ ถึงแม้ตอนนั้นมันรับยากขนาดไหนก็ตาม แต่ขอให้ประโยค ถ้อยคำเหล่านี้ที่พระคัมภีร์บอกเรานั้น มันฝังหัวเราตลอดเวลา แล้วขอพระเจ้าเมตตา ช่วยให้เราผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเถิด

กลับมาเรื่องดาเนียลต่อ สิ่งที่ดาเนียลกับเพื่อนทำอยู่ ก็คือการทำตัวเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีโลกแห่งนี้ และยอมเชื่อผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ยอมแสดงตามในบทบาททุกอย่าง ด้วยความบากบั่น มั่นคง และอดทน นี่คือตัวอย่าง

ในต้นของหนังสือดาเนียล ได้กล่าวถึง การควบคุมสถานการณ์ของพระเจ้าว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ทรงมอบอิสราเอลให้อยู่ภายใต้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระเจ้าทรงมอบชาวยิวทั้งหมด ให้มาเป็นเชลยของบาบิโลน ทรงให้ดาเนียลมาเรียนรู้วิชาอาคม วิทยาคม ไสยศาสตร์ของบาบิโลน

พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเจ้าเป็นผู้มอบให้” ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ถ้าท่านไปอ่านพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่ม ท่านจะเห็นคำนี้เยอะไปหมดเลย ดาวิดก็ใช่ โมเสสก็ใช่ ดาเนียล 1:1-2

ดาเนียล 1:1-2 “1 ปีที่สามของรัชกาลกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพมาล้อมกรุงเยรูซาเล็ม 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ พร้อมทั้งภาชนะบางอย่างในพระวิหารของพระเจ้า ไว้ในมือเนบูคัดเนสซาร์ เนบูคัดเนสซาร์ ทรงนำสิ่งเหล่านี้ ไปเก็บไว้ที่คลังของวิหารเทพเจ้าของตน ในบาบิโลน”

 

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอิสราเอลอ่อนแอกว่าบาบิโลนใช่หรือไม่? เป็นเพราะกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เก่งใช่ไหม? เป็นไสยศาสตร์ คาถาอาคมหรือเทพเจ้าของบาบิโลนใหญ่กว่าพระเจ้าของอิสราเอลใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่เลยทั้งหมด แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ หรือมอบให้ พระเจ้าเป็นผู้กำกับ ควบคุมทุกสิ่ง พระองค์เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นนั่นเอง ชัดแจ๋วเลย

ไหนพระองค์บอกพระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์ไง? ไหนบอกว่าอิสราเอลเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรักมากไง? แล้วพระองค์ไม่รู้หรือว่าลูกหลานเหล่านั้นที่เกิดมาหลังจากนั้น ในอิสราเอลจะทุกข์มากขนาดไหน? ดาเนียลอายุ 13-15 ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยตอนนั้น ทำไมต้องมารับกรรมเหล่านี้ ถูกเนรเทศ ไม่ได้รับเกียรติ แถมถูกบังคับต่างๆ นานา มารับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่โหดเหี้ยม และเป็นผู้ทำลายประเทศของตัวเอง กัดฟันอยู่ตรงนั้น ไม่ยุติธรรมเลย เพราะฉะนั้น ต้องลงไลน์ เฟสบุ๊คว่ากันหน่อยแล้วอย่างนี้ ต้องเยาะเย้ย ต้องแก้ไข บางทีเราก็ทำอย่างนั้นในปัจจุบัน  สมัยก่อนไม่มีโอกาส แต่เดี๋ยวนี้ ไปได้ทั่วโลก พระเจ้ายอดเยี่ยมเลย เพื่อให้เราได้เห็นว่าเชื้อบาปมันอยู่ในเราจริงๆ ไม่ว่าจะมีเครื่องมือหรือไม่มีเครื่องมือ เราก็เป็นคนบาปคนนั้นแหละ เพียงแต่ว่ามีเครื่องมือเยอะๆ มีเทคโนโลยีเยอะๆ ทำบาปได้มากขึ้นเท่านั้นเอง

บาปนี้หมายถึงการไม่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมนะ อะไรไม่ตามใจเราหน่อย เราคิดต่างปุ๊บ เราก็จะบ่น แทนที่เราจะคิด มีพระเจ้าอยู่ ดาเนียลคงไม่ได้คิดตามที่ผมกำลังพูดนะ เพราะดาเนียลรู้ความจริงว่ามีผู้กำกับอยู่ และผู้กำกับผู้นี้เก่งมากเลย ก็คือพระเจ้าของอิสราเอล พระเจ้าของเขา เป็นผู้ควบคุมอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น  พระเจ้านำพาเขามาแล้ว จะแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวของพระองค์เอง

ในบทที่ 2 หลังจากเหตุการณ์กินผักแล้ว ดาเนียลกับเพื่อนก็ได้เรียนรู้วิชาการต่างๆ ของบาบิโลน เรียนรู้ขนบธรรมเนียม วิชาไสยศาสตร์ เทพเจ้าก็ว่ากันไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาทำนายฝัน แปลความฝัน เขาจะมีหนังสือเลย ในสมัยนั้น บาบิโลนเฟื่องฟูมาก เรื่องวิชาการทำนายฝัน มีหนังสือ เป็นตำรา ในนั้นเปิดเข้ามาจะมีตำราว่าถ้าเผื่อฝันอย่างนี้ หมายถึงอย่างนั้น อย่างนี้ แปลว่าอย่างนั้น คนต้องไปเรียนรู้จริงๆ ถึงมีความสามารถในการทำนายฝันได้อย่างละเอียด และได้ทุกเรื่อง และค่อนข้างตรง จะตรงหรือไม่ตรง ผมไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผู้กำกับอีกแหละ ดาเนียลก็ต้องไปเรียนรู้กับพวกเขาอย่างนั้น  นี่คือหนึ่งในวิชานั้น ที่ดาเนียลต้องไปทำ

อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็ฝันประหลาด ก็เรียกให้เหล่าโหราจารย์ คือพวกอาจารย์ต่างๆ ที่เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ และนักปราชญ์ในวัง พวกมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมาก นักปราชญ์กับเหล่าโหราจารย์นี้  ก็คือพวกที่ฉลาดที่สุดในประเทศบาบิโลน ในตอนนั้น ซึ่งเป็นมหาอำนาจ ท่านลองคิดดู ถือว่าฉลาดที่สุดของโลกในสมัยนั้น เพราะเป็นประเทศที่เจริญที่สุด กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เรียกคนเหล่านี้มาทำนายฝันหน่อย ตื่นขึ้นมาเหงื่อแตก ให้มาช่วยทำนายฝัน แล้วบอกว่าถ้าทำนายฝันไม่ได้ ตาย แต่ถ้าทำนายฝันถูกต้องได้ ให้รางวัลใหญ่โตเลย พอเหล่าโหราจารย์เข้าร่วมกันประชุม ที่ท้องพระโรง กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ไม่ยอมเล่าว่าเขาฝันอะไร? ท่านเข้าใจความรู้สึกไหม? มาทำนายฝัน ทุกคนก็เข้าไป สติปัญญา ทำนายมาหลายครั้งแล้ว มีชื่อเสียงในเรื่องทำนายฝัน เอาตำรามาเต็มเลย

“กษัตริย์มีอะไรให้ข้าพระบาททำนาย พระองค์ฝันว่าอะไร?”

ต้องเริ่มต้นอย่างนี้ใช่ไหม? บอกมาสิว่าฝันว่าอะไร?  แต่กษัตริย์บอกว่า …

“ไม่บอก ทำนายมาสิว่าฉันฝันว่าอะไร?”

พวกโหราจารย์ พวกนักปราชญ์ สะดุ้งเลย แล้วก็ตอบกษัตริย์ว่า …

“ไม่มีกษัตริย์องค์ใดทำอย่างนี้นะ เรียกคนมีสติปัญญา นักปราชญ์ นักทำนายฝันมา แล้วบอกว่า “ฉันไม่รู้ ฉันฝันอะไร ทำนายสิว่าฉันฝันว่าอะไร? มีแต่บอกว่าฉันฝันว่าอะไร? เดี๋ยวพวกข้าพระบาทจะเปิดหนังสือช่วยกัน”

อยู่ดีๆ มาบอกว่า “ช่วยทำนายทีว่าฉันฝันว่าอะไร?”

นี่ขนาดยอดสติปัญญา ก็ยังทำไม่ได้  ผมบอกท่านตอนแรกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ  พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ พระเจ้าอยากให้ใครเป็นวีรบุรุษ เดี๋ยวพระเจ้าสร้างเอง

ดาเนียล 2:10-16 “10 โหราจารย์ทั้งหลายทูลว่าไม่มีใครในโลกนี้ สามารถทำอย่างที่ฝ่าพระบาทประสงค์ได้ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะถามเช่นนี้ จากผู้เล่นอาคม นักเวทมนตร์ หรือโหราจารย์ได้ ไม่ว่ากษัตริย์องค์นั้น จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด 11 สิ่งที่ฝ่าพระบาทให้ทำนี้ยากเกินวิสัยมนุษย์จะทำได้มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นจะบอกได้ และเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ 12 เมื่อได้ยินเช่นนี้ กษัตริย์ทรงพระพิโรธยิ่งนัก และตรัสสั่งให้ประหารชีวิตปราชญ์ทั้งหมดในกรุงบาบิโลน 13 ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาออกมา ให้ประหารชีวิตพวกนักปราชญ์ แล้วก็มีคนไปตามตัวดาเนียลกับเพื่อน เพื่อนำตัวไปประหาร 14 เมื่ออารีโอค ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ออกไป เพื่อประหารปราชญ์ของบาบิโลน ดาเนียลจึงเจรจากับเขา ด้วยสติปัญญาและปฏิภาณ 15 ดาเนียลถามเขาว่า “เหตุใดกษัตริย์ทรงออกพระราชกฤษฎีการุนแรงถึงเพียงนี้?” อารีโอคก็อธิบายให้ฟัง 16 ดาเนียลจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลขอเวลา  เพื่อจะทูลความหมายของความฝัน ให้ทรงทราบ”

 

พวกโหราจารย์ นักปราชญ์เจออย่างนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในข้อ 11 บอกว่ามีแต่เทพเจ้าเท่านั้น … เทพเจ้า หมายถึงเทพเจ้าของพวกเขานะ พวกบาบิโลน มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น ที่จะบอกได้ แล้วเทพเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในหมู่มนุษย์ หมายถึงเทพเจ้าก็ไม่ได้คุยกับมนุษย์อย่างนี้ ใกล้ชิดกันอย่างนี้ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อได้ พูดคุยไม่ได้ มีแต่บนได้ บนกับอธิษฐาน คนละเรื่องกันนะ บนแล้วแต่เวรแต่กรรม ไม่รู้จะเกิดขึ้น  หรือไม่เกิด ในการพูดกับพระเจ้า คนละเรื่องกัน

พอโหราจารย์ตอบไม่ได้ กษัตริย์ก็โกรธมาก เรียกให้เอาตัวโหราจารย์และนักปราชญ์ทั้งหมด ไปประหารชีวิต คือเหมือนกับว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เสียโต๊ะฮ่องเต้ไปตั้งหลาย ใช้อะไรไม่ได้เลย เปล่าประโยชน์ และในบรรดานักปราชญ์ที่จะต้องถูกประหารชีวิต ดาเนียลและเพื่อน ซึ่งเป็นนักปราชญ์ หัวกะทิเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในท้องพระโรงนั้น ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกัน

ตอนที่ทหารจะมาจับตัวดาเนียล เพื่อนำไปประหารชีวิต ดาเนียลก็ได้พูดคุย บอกกับหัวหน้าให้พาไปหากษัตริย์หน่อยจะขอเวลากลับไปทำนายฝัน ขอเวลาหน่อย เรื่องนี้มันจะเกี่ยวพันมาถึงเรื่องเราทุกวันนี้ เกี่ยวข้องหมดเลย 2,600 ปีและจะเกี่ยวข้องมาถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ จนกระทั่ง ไม่รู้เมื่อไร พระเยซูกลับมาใหม่ และจนกระทั่งเราไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล ขอพระเจ้าอวยพร

 

********************