วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1440 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่  เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่  ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะข้าแน่ใจ แน่ใจ  พระองค์ทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่า องค์พระคริสต์ทรงอยู่”

            และวันนี้ตอนที่ 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

            “การพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” วันนี้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ต้องจำไว้นะว่าการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้าย หลังความตาย  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมาแล้ว เมื่อถึงกำหนดตายจากโลกนี้แล้ว จะต้องเข้าสู่การพิพากษาหลังความตาย ครั้งเดียว ไม่ใช่ ตายแล้วมาเกิดใหม่ๆ แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียวหลังจากนั้น จะรับการพิพากษาลงโทษ

            –  มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เหนือน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำอันมหึมา

            –  มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            นี่คือความจริงที่พระเจ้าบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ทั้งปวงได้เห็นว่าในขณะที่มนุษย์จ้องมองอยู่กับโลกวัตถุ คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่มองเห็นอยู่ แต่พระเจ้ามองที่โลกวิญญาณ  คือความรอดในวิญญาณ หรือที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

            ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ เล็งถึงโลกวิญญาณ ในเรื่องของความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะมนุษย์มองไม่เห็น แต่มันเป็นฐานของความวุ่นวายและความตายนิรันดร์ของมนุษยชาตินั่นเอง มนุษย์มัวแต่มองเอาสิ่งที่มองเห็นได้ บนโลกใบนี้ แล้วก็ตัดสินตามความคิดของตนเอง แต่ลืมคิดไปว่าความจริงที่เรามองไม่เห็นนั้น คือความจริงแท้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณ นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ และวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดมา มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณที่ได้ถูกพิพากษาตัดสิน ลงโทษ ให้เป็นคนบาป ตรงนี้มันสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นผลเนื่องมาจากการถูกสาปแช่งตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ที่ล้มลงไปในความบาป วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ที่เกิดมาหลังจากนั้น  จึงต้องถูกเข้าสู่การพิพากษาว่าเขาเป็นคนบาปหรือไม่? ซึ่งเขาเป็นคนบาปแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป การทำบาป เป็นผลจากการที่วิญญาณเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป  เพราะว่าเกิดมา แล้วไปทำบาป แต่เป็นคนบาป ตั้งแต่ก่อนกำเนิด เพราะว่าติดเชื้อมาจากบรรพบุรุษ แล้วเชื้อนี้ทำให้เขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป

            อาการแรกของการเป็นคนบาปของมนุษย์ คือความกลัว พระเจ้าถือว่าความกลัวเป็นความชั่วชนิดหนึ่งนะ  การกระทำชั่ว ไม่ใช่ไปยิงนก ตกปลา ฆ่าคนตาย  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่พระเจ้าถือว่าอะไรก็ตามที่เป็นความคิด หรืออะไรก็ตามที่เป็นอาการ ที่ปฏิบัติออกมา  ที่ตรงกันข้ามกับบุคลิก ธรรมชาติของพระเจ้า เรียกว่าความชั่วทั้งสิ้น หรือความบาปทั้งสิ้น บาป คืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระเจ้าไม่มีความกลัว  พระเจ้าเป็นความรัก  ความกลัวมาจากไหน?  ก็คือความบาป ความชั่วนั่นเอง  และความกลัวนี้เป็นต้นเหตุของการกระทำชั่วอื่นๆ ต่อไป เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งถึงสุดท้าย คือความอิจฉา ริษยา ความไม่เชื่อฟัง ความอกตัญญูต่างๆ เหล่านี้ เป็นอาการเริ่มต้น มาจากความกลัวในใจ หรือในวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้บอกเราว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท และเป็นอิสระจริงๆ  เพราะฉะนั้น คำว่าเป็นไท เป็นอิสระจริงๆ นั้น ก็คือเป็นไทและเป็นอิสระจากความกลัว ในทุกสิ่งด้วย  ซึ่งเป็นชื่อของซีรี่ย์นี้  ก็คือเป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกความจริง ที่พระองค์นำมาประกาศ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ก็คือพ้นจากความบาปนี้นั่นเอง

            และสิ่งที่จิตสำนึกของมนุษย์กลัวมากที่สุด คืออะไร? มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความบาป และอาการ คือความกลัว สิ่งแรกที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือกลัวเผชิญหน้าพระเจ้า  ไม่กล้าเจอหน้าพระเจ้า  เพราะว่าเข้ากันไม่ได้เลย  เมื่อกลัวพระเจ้า ก็คือกลัวความตายนั่นเอง    เกิดมาก็กลัวตาย  และมนุษย์เป็นวิญญาณ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เบอร์หนึ่ง กลัวตาย เบอร์สอง ก็เลยกลัวการถูกพิพากษา สำเร็จโทษ ลงโทษหลังความตายนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า กลัวตาย ทั้งจากร่างกายนี้  และสองกลัวตายจากวิญญาณที่ต้องตาย ก็คือถูกลงโทษ นี่คือจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่กลัวที่สุด ความกลัวที่สุดตรงนี้ จึงทำให้เกิดอาการทำชั่วอื่นๆ อีกมากมาย เหตุจากความกลัวตรงนี้ เหมือนเราได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะ พวกเราเองในแถบเอเชียจะได้ยินบ่อยๆ เพลงที่เราคุ้นๆ หูตั้งแต่เด็ก …

                        “พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาตดับชีวี               สุวรรณตรวจดูบัญชี ใครทำดีให้ไปสวรรค์

                        ทำชั่ว (พญายมว่าไง)                                    ส่งไปนรกโลกันต์นะสิ

                        ต้นงิ้วกระทะทองแดง                                  เอาหอกแหลมแทงทุกวัน ทุกวัน”

            ทำชั่วลงนรกโดยพลัน ติดปากเลย ไม่ใช่ติดปากอย่างเดียว มันติดใจด้วย และคนรุ่นใหม่ ไม่เอาเนื้อเพลงนี้แหละ แต่ความคิด เป็นลักษณะเนื้อเพลงนี้ อยู่ในใจตลอดเวลาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว อันนี้ติดปาก ติดใจ ติดอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มองเห็นๆ อยู่ ทำชั่ว ต้องได้ชั่วสิ ทำดี ต้องได้ดีสิ  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าตรัสไว้ และอธิบายให้เราได้รู้ว่าความจริงนั่นเป็นเช่นไร?

            ครั้งที่แล้ว เราได้เริ่มต้นบรรยายซีรี่ย์ชุดนี้ ในตอน “อิสระจากความกลัวตาย” กลัวอันดับหนึ่ง ก็คือกลัวตาย วันนี้เราจะมาดูต่อในเรื่อง “อิสระจากความกลัวการถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสักคนหนึ่งเลยในโลกใบนี้  ที่ทำดี ได้สมบูรณ์ครบถ้วน และเมื่อตะกี้เราบอกเรากลัว และอยู่ในจิตใจเราตลอดว่าเมื่อตายไปแล้ว เราจะได้รับการพิพากษาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว สุวรรณตรวจดูบัญชี ทูตสวรรค์ตรวจดูบัญชี ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วล่ะ ลงนรกโดยพลัน

            นี่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งปวง  พระองค์ทรงทราบดี  พระองค์บอกเรา ความจริงในโลกวิญญาณว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครทำดี สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีคนใดเป็นคนดีสักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป หลงเจิ่นไปตามทางของตน  ไม่มีใครดีเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีคนใด ไม่เคยทำบาปเลย นี่เราจะหนีไม่พ้นเลยว่าทุกคนหลงเจิ่นไปตามทางของตน ก็คือหลงไปตามความคิดของตัวเอง พึ่งพาตนเองว่า …

            “ถ้าทำดี ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะตัดสินเอง”

            แต่พระเจ้าบอก … “เธอเป็นคนบาป อย่างไรเธอก็ไม่มีทางเป็นคนดีพร้อม ที่จะมาอยู่ในสวรรค์ได้หรอก  เพราะว่าเธอเป็นคนบาป จากกำเนิด ไม่ใช่จากการกระทำ” นี่คือความจริง

            ผมจะยกตัวอย่างให้ มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ ให้ตาย เหมือนถูกขังอยู่ในเรือนจำ นึกภาพนะ เป็นนักโทษที่คอยการประหารชีวิต ถูกควบคุมการประพฤติทุกอย่าง เหมือนเป็นทาสอยู่ในเรือนจำ รอวันสำเร็จโทษ ประหารชีวิต ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ในไม่ช้านี้

            นี่คือภาพของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้  แต่พระเจ้าประทานอภัยโทษให้กับมนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยความรัก 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ไถ่บาป อภัยโทษให้กับมนุษย์ทั้งปวง ได้หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่านักโทษคนนั้น จะได้ยินประกาศเรื่องข่าวดีนี้หรือไม่? หรือได้ยินแล้ว เชื่อในข่าวดีนี้หรือไม่ว่ามีการอภัยโทษแล้ว ให้ไปลงชื่อรับสิทธิของตัวเองเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ นักโทษคนนั้นจะเชื่อ หรือยอมรับข่าวดีนี้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับตัวของนักโทษผู้นั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ประกาศ  คือพระเจ้า

            ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศนั้น จะทำให้ท่านที่ได้ยินได้ฟังเป็นอิสระ เป็นไท ถ้าท่านยอมรับ เป็นอิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้  รวมทั้งมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทราบดีว่าความจริง เกี่ยวกับเรื่องมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? พระองค์ประกาศความจริงแก่มวลมนุษย์บนโลกนี้ ประกาศความจริงของพระองค์ มีทั้งเป็นข่าวดีและเป็นข่าวร้าย มาพร้อมๆ กัน เวลาเราคุยกันเล่นๆ บอก …

            “ฉันจะมีข่าวดีมาบอก  แต่ก็มีข่าวร้ายด้วย อยากจะฟังข่าวอะไรก่อน”

            พระเยซูบอกว่ามีทั้งข่าวดีมาบอก และมีทั้งข่าวร้าย สำหรับมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  พระองค์ประกาศให้ฟังเอาอะไรก่อนดี เอาข่าวร้ายก่อนแล้วกัน ข่าวร้ายจะได้ผ่านๆ ไปสักที

            ข่าวร้าย คือมวลมนุษย์ตกในความพินาศนิรันดร์ ความตายนิรันดร์ ตั้งแต่ก่อนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป นี่คือข่าวร้าย ไม่มีใครช่วยได้เลย

            ข่าวดี คือแค่เชื่อและวางใจในเรา คือพระเยซูคริสต์พูดนะ ก็ได้รับการช่วยให้รอด  ได้หลุดพ้นจากความพินาศนิรันดร์นี้แล้ว แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ดีไหม?

            พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณแก่มวลมนุษย์ ในยอห์น 3:16-18 มันชัดเจนมากเลยว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จริงๆ แล้วพระองค์ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านั้น  ก่อนหน้าที่จะทำให้สำเร็จ  ตอนที่จะอ่านนี้ คือตอนที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว  ก็คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในบาป  เห็นไหม? มาช่วย เพราะว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาปนิรันดร์ แต่เมื่อเขาวางใจ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เกิดใหม่เลย เมื่อไร? ในนี้ไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อไร? บอกว่าได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเขาวางใจ คือวางใจปุ๊บ ได้รับการบังเกิดใหม่เลยทันที เป็นลูกของพระเจ้า  มีชีวิตนิรันดร์  ที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้  เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ข้อ 17 ได้บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเยซูไม่ใช่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะมาพิพากษาลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น  ก็คือที่ถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เกิดนั้น พระเยซูมาเพื่อช่วยให้เราหลุดพ้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  โดยผ่านทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น ซึ่งเป็นข่าวดี ที่ตะกี้นี้เราอ่านกัน ข้อ 18 บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  ครั้งสุดท้าย หลังความตาย ให้พินาศ”

            คนที่เชื่อ ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษหลังความตาย  เพราะเขาได้รับการอภัยโทษ จากการถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า นั่งอยู่ที่นี่ขณะนี้ หรือนั่งอยู่ที่บ้าน  ที่ฟังอยู่ในขณะนี้ ที่เปิดใจต้อนรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้วนั่นเอง ยอห์น 5:24 …

        ยอห์น 5:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา (ครั้งสุดท้าย หลังความตาย) แต่ได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว”

            พระเยซูประกาศความจริงบอกว่า … “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” ทำไมพระองค์ต้องย้ำตรงนี้ “เราบอกความจริง” นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง … “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา ก็คือวางใจในพระเจ้า คนนั้น ก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย  แต่ได้ผ่านพ้นความตายสู่ชีวิตเรียบร้อยแล้ว  คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            คือใคร? คือผู้ที่วางใจในพระเจ้าพระบิดา  ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อช่วยเรา คนไหนวางใจในพระบิดา ก็จะวางใจในพระบุตรด้วย คนไหนวางใจในพระบุตร ก็เชื่อในพระบิดาด้วยเช่นเดียวกัน และคนที่วางใจในพระเจ้านั้น ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย  เพราะว่าได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว หมายถึงว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ได้ผ่านพ้นความตายไปแล้ว  ไม่ตายตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  อย่างที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์และวางใจในพระเจ้าแล้ว  เราได้รับความรอดแล้ว เราก็จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็หลับ แล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิต โดยร่างกายเปลี่ยนแปลงใหม่ รับร่างกายใหม่  เราไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เพราะเราไม่ต้องตายอีกแล้ว  เรามีชีวิตอยู่ตลอดไป เอเมน

            คือใครที่วางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดและความตาย มาสู่อาณาจักรของความสว่าง และชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ หลังความตายเลย

            การได้รับการยกโทษบาป การได้รับอิสรภาพจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายนั้น ได้รับตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คือความตาย หรือการถูกพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่เกิดนั้น ก็ถูกยกออกไป ตั้งแต่ตอนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักษากฎระเบียบของพระองค์ไว้อย่างเคร่งครัด แม้ลูกของพระองค์กระทำผิด  ก็ต้องรับผิดไปตามกฎหมาย และเป็นกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแก้ไขเลย  เพราะว่าผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น พูดคำไหน เป็นคำนั้น ไม่มีการเส้นสายทั้งสิ้น แม้ว่าจะรักดังแก้วตาดวงใจก็ตาม แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เป็นพ่อเรา และเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น พระองค์จำเป็นต้องรักษากฎเหล่านี้ไว้ แม้ว่าจะเป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้กระทำ คือมนุษย์ก็ตาม อ่านดูใน 2 เปโตร 2:9  ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน …

        2 เปโตร 2:9 “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง จงมั่นใจเถิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรมให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ และพ้นจากการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้ายหลังความตาย (โดยผ่านทางการวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานมาให้) และปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การถูกพิพากษาลงโทษให้ตาย (ทั้งร่างกายและวิญญาณ) ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ จนถึงวันพิพากษาสำเร็จโทษครั้งสุดท้ายหลังความตายทางร่างกาย และให้วิญญาณตายนิรันดร์ด้วย”

            “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง” ก็หมายถึงว่าในข้อก่อนหน้านี้ ได้พูดถึงความยุติธรรมของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงดูแลกฎของพระองค์อย่างไร? ใครเชื่อฟังสิ่งที่พระองค์อธิบายให้ฟังและทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ไว้ พระองค์บอกว่าให้ทำอย่างนี้ๆ ถ้าทำตามก็จะได้รับความรอด  ถ้าไม่ทำตาม ก็ไม่ได้รับความรอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการมีเส้นมีสาย  รวมทั้งมนุษย์ด้วย

            ถ้าทั้งหมดเป็นจริงอย่างนี้ คือถ้าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมจริงๆ อย่างนี้  เราก็สามารถมั่นใจได้เลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย ด้วยกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ ก็คือด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วย  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามของพระองค์

            นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ แล้วพระองค์ทรงกระทำตามอย่างนี้แน่นอน  เรามั่นใจได้เลยว่ามันเป็นตามนี้ เพราะพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสามารถมาเปลี่ยนแปลงความจริงเหล่านี้ได้ พระองค์ทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            มนุษย์เกิดมา ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่งให้ตายอยู่ในวิญญาณ และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงวันกำหนดหลังความตายทางร่างกาย วิญญาณก็คงสภาพตาย แต่พระเจ้ารู้วิธีว่าจะทำอย่างไร? ถึงช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความตายและตายได้ ก็คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วย  เพื่อมนุษย์จะได้รอด ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอดจากความตายฝ่ายร่างกายและรอดจากความตายฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            และข้อต่อมา สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ “และวิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ตาย” เห็นไหม?  ปล่อยคนอธรรม หมายถึงพระองค์ตั้งใจจะปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นหรือ? พระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดผู้หนึ่งพินาศ ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือยอห์น 3:16 ใช่ไหม? พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก มนุษย์ทั้งปวง ใครก็ตาม ผู้ใดก็ตามที่วางใจในพระบุตร ก็คือมนุษย์คนใด ที่วางใจในพระเยซู ที่พระบิดาทรงส่งมาช่วยนั้น ก็คือพระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์ทุกคนเลย แต่จำเป็นจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ คือประทานอภัยโทษให้ ประทานพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดให้  ประกาศให้ แต่มนุษย์จำเป็นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยอมรับความช่วยเหลือนี้หรือไม่?

            ข้อความนี้จึงบอกว่าพระองค์ทรงรู้วิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ จนถึงวันพิพากษาลงโทษสุดท้าย หลังความตาย ก็คือปฎิเสธความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ หลังความตาย ก็ไม่สามารถมีใครมาช่วยได้

            คนชอบธรรม ก็คือคนที่ยอมรับข่าวดี เป็นอิสระจากการพิพากษาลงโทษให้ตาย และการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายด้วย เป็นอิสระเดี๋ยวนี้เลยทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ นี่คือคนชอบธรรม ก็คือผู้เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

            และคนอธรรม ก็คือคนที่ปฏิเสธข่าวดี ยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษให้ตาย บนโลกใบนี้  และยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตายด้วย  ถูกพิพากษาเดี๋ยวนี้เลย และถูกพิพากษาหลังจากตายด้วย  เราจะเห็นได้เลยว่าจากถ้อยคำนี้ พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย  พระองค์เป็นผู้วางแผนการ วิธีการต่างๆ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอด แล้วจากนั้น พระองค์ก็ไม่ทำอะไรเลย แค่เป็นผู้พิพากษา ดูแลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ คือส่งมาช่วยให้รอดแล้ว ทำตามกฎนี้ ได้รอดทุกคน  ถ้าไม่ทำ ไม่รอดนะ  ประกาศแล้วประกาศอีกมนุษย์มีหน้าที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเคารพ ยำเกรงกฎเหล่านี้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องรู้กฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ และเชื่อฟัง ยอมรับ เคารพ ยำเกรงกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งควรจะเคารพยำเกรง เชื่อฟังมากยิ่งกว่ากฎหมายทางโลกวัตถุด้วยซ้ำไป  ขนาดกฎหมายทางโลกวัตถุ คือกฎหมายการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังรู้เลย ระมัดระวัง กลัวกฎหมายเหล่านี้ เคารพยำเกรงกฎหมายเหล่านี้ แล้วกฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้เลย มันอยู่นิรันดร์ด้วย ทำไมเราจึงไม่เคารพ ยำเกรง

            เวลาพระคัมภีร์เขียนว่าจงเคารพ ยำเกรงพระเจ้าด้วยตัวสั่น มันแปลว่าอย่างนี้นะ มันไม่ได้แปลว่าเราไปยืนแล้วเรากลัว หมายถึงท่านขับรถเร็ว แล้วผมก็ไปบอกท่านบอกว่า …

            “ท่านควรจะเปลี่ยนแปลงนิสัยท่านใหม่ จงเคารพ ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง การฝ่าไฟแดงอะไรต่างๆ จนตัวสั่นเลยนะลูกเอ๋ย”

            คือให้เคารพ ยำเกรงต่อกฎหมายอย่างนี้เป็นต้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าคนชอบธรรม ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า คือผู้พิพากษา คือพระเจ้าที่ขวามือของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่คริสตจักรขณะนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่บ้านขณะนี้ ท่านผู้เชื่อวางใจ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรมแล้ว คริสเตียนแล้ว ทางวิญญาณท่านนั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  นั่งถึงเมื่อไร? จนถึงหลังความตาย  เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมนี่แหละ  เพราะฉะนั้น หลังความตายเรายังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และเป็นผู้พิพากษาหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน เห็นภาพแล้วนะ

            ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา เราผู้วางใจในพระเจ้าบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม ที่เรียกว่าผู้เชื่อ คริสเตียนแล้วนั้น หลังความตายบนโลกใบนี้  ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้น เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าบัลลังก์รอรับการพิพากษาลงโทษ สำเร็จโทษ แต่เราอยู่ข้างๆ พระเยซู

            นึกถึงศาลในปัจจุบัน ศาลอยู่บนบัลลังก์ คนที่ได้รับโทษตัดสินอยู่ข้างหน้า เห็นภาพไหม? แต่เราผู้ที่เชื่อ เรายืนอยู่ข้างๆ พระเยซูข้างบนนี้ เห็นภาพชัดเจนขึ้น ข้างล่าง คือคนที่ไม่เชื่อ ถูกพิพากษา เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากความตาย  เพราะฉะนั้น การพิพากษาหลังความตาย จึงไม่ต้องกลัวเลย เพราะนี่คือถ้อยคำพระเจ้า ชัดเจนเลย บอกว่าตั้งแต่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้แล้ว  และบอกไว้ด้วยว่าหลังจากความตาย การพิพากษาครั้งสุดท้าย มันเป็นอย่างไร?  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวเลย

            พระเจ้าไม่ได้โกรธเคืองหรือเป็นศัตรูกับคนบาป คนอธรรมเลย ตรงกันข้าม พระองค์ทรงห่วง ทรงรักมนุษย์ทุกคนดั่งแก้วตาดวงใจ พระประสงค์ของพระองค์ คือต้องการให้ทุกคนได้รับความรอดเตือนแล้วเตือนอีก ประกาศข่าวดีแล้วประกาศข่าวดีอีก รอแล้วรอเล่า …

            “เมื่อไรหนอๆ เขาจะเชื่อสักที เมื่อไรหนอๆ เขาจะเปิดใจต้อนรับความจริงเหล่านี้สักที เขาจะได้กลับมาหาเราสักทีหนึ่ง” … นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าบึงไฟนรก ที่เราแปลกันว่าที่อยู่ของวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ หลังความตาย บึงไฟนรก ไม่ใช่เป็นสถานที่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับซาตานและวิญญาณชั่วต่างหาก มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ก็จะบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นลูกที่เชื่อฟัง เหมือนพระคริสต์ทันทีทันใด ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย  พูดถึงใคร? พูดถึงฉัน เพราะฉันเชื่อแล้ว ฉันวางใจแล้ว ฉันเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นอย่างนี้ตั้งแต่บนโลกใบนี้แล้ว และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกตรงนี้ไว้ …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์” เมื่อเราเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบพระเจ้า ก็เกิดขึ้นสมบูรณ์ในวิญญาณของเรา วิญญาณมีความคิดอยู่ในนั้นด้วย ความคิดและวิญญาณของเราก็สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ความคิดและวิญญาณในจิตใจของเรา เกิดความมั่นใจในวันพิพากษา

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นที่ไหน? ความมั่นใจนี้อยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังความตาย  ที่เรามีความมั่นใจในวันพิพากษาหลังความตาย  ก็เพราะว่าวิญญาณและใจใหม่ของเรา ที่ได้รับตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู ไม่มีไหวหวั่นอะไรเลย แล้วทำไมเราคิดกลัว นั่น ไม่ใช่ตัวเรา ก็คือมาจากภายนอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงมีความหวัง ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในความชอบธรรมของเรา ที่เราได้พ้นจาการถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ จนถึงหลังความตาย เพราะความรอด ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น มีค่า หรือมีคุณภาพของความรอดที่เราได้รับมานั้น มีเท่าๆ กันกับพระเยซู เหมือนพระเยซูตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ

            คำว่า “ความชอบธรรม” หรือ “ผู้ชอบธรรม” คือการไม่มีใครมากล่าวหาเราได้แล้วว่าเราเป็นคนบาป คนชั่ว คนผิด คนเลว ไม่มีใครสามารถพูดได้เลย ไม่มีใครชี้เราได้เลย เพราะการชี้นิ้วกล่าวหาเรา ก็เท่ากับกำลังชี้นิ้วกล่าวหาพระเยซู เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซู ใครจะมาว่าหน้าของผม เขาก็ว่าทั้งตัวผมด้วยแหละ  เขาจะไม่บอกว่า …

            “เจ้าเป็นคนเลว เฉพาะใบหน้า  แต่ตัวโอเค”

            มีใครพูดอย่างนี้บ้าง? มีแต่บอกว่า … “แกมันเลว”

            เลว แปลว่าอะไร? ทั้งหมดทั้งตัวนั่นแหละ 1 ยอห์น 4:18 …

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด(ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

            เพราะว่าไม่มีความกลัวอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เพราะความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นตัวเราแท้ๆ ไม่มีความกลัวอยู่ในนั้นเลย แล้วมีอะไรอยู่ในนั้น ตรงกันข้าม มีพระเจ้า …

                        “พระเจ้าเป็นความรัก           พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก”

            เพราะฉะนั้น วิญญาณและจิตใจของเราที่เป็นเหมือนพระเยซู มันก็เลยเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นความรัก  จิตใจฉันก็เป็นความรัก ฉันเป็นความรัก ความรักในนั้น จึงไม่มีความกลัวอยู่เลย   เกิดขึ้นทันที หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นความรักออกมาเลย และความรักนั้น เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว  เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูนั่นเอง ใน 1 โครินธ์ 6:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? …”

            ไม่ใช่เรา ไม่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายเท่านั้น แต่เรายืนอยู่ที่ข้างๆ พระเยซู ซึ่งเป็นผู้พิพากษา และพระเยซูนับเราว่าเป็นพวกเดียวกับพระองค์ พูดง่ายๆ พระองค์นับเราเป็นคณะผู้พิพากษา เข้าใจคำว่า “คณะ” ใช่ไหม? เราเป็นผู้พิพากษาร่วมกับพระองค์ในวันนั้น  ไม่ใช่เฉพาะว่าเราไม่ต้องเข้าสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายเท่านั้น  แต่เราจะเป็นผู้พิพากษาเขาเหล่านั้น  เขาเหล่านั้น ก็คือมารซาตานและใครก็ตามที่ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าผู้ที่ไม่วางใจในพระเจ้าจะเป็นเช่นไร?

            เพราะฉะนั้น ถ้าเราซึ่งเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เรายังคงมีความคิด ความกังวล ความกลัวในเรื่องการถูกพิพากษา ลงโทษหลังความตายอยู่ มีใครคิดอย่างนี้อยู่ไหม? มี ยังมีคริสเตียนหลายคนยังคิดอย่างนั้นอยู่ ผมเองหลายปีก่อนโน้น ตอนเชื่อใหม่ๆ ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากพิจารณาตามถ้อยคำของพระเจ้าแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย ถ้อยคำพระเจ้าพูดชัดเจน มากว่าเราไม่ต้องเข้าไปสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายแล้ว ไม่มีแล้ว

            แต่ที่เป็นคริสเตียน แล้วยังกังวล กลัวการพิพากษาหลังความตายว่าตายไปแล้ว หรือว่าล่วงหลับไปแล้ว ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่ไหม? ยังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังค์ของพระเจ้า พิพากษาว่าเป็นคริสเตียนอยู่ก็จริง  จะทำดีไหม? ถ้าทำดี ก็จะได้ไปอยู่คฤหาสน์ในสวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ นี่เป็นนักประกาศยอดเยี่ยม ทำดีมาก นี่อธิษฐานเยอะ  นี่เป็นนักถวายมาก  เพราะฉะนั้น ไปอยู่แมนชั่น ก็คือคฤหาสน์ อยู่ร่วมกับบิลลี่ แกรแฮม แต่คนนี้ไม่ค่อยประกาศ ไม่ค่อยอธิษฐานเลย เป็นแม่บ้านอยู่ เป็นชาวสวน ทำงาน ทำการทั้งวัน  ฉันคงแย่ ฉันขอแค่ไปสวรรค์ แล้วก็ขอนอนคอนโดเล็กๆ ก็พอแล้ว แค่อยู่ในสวรรค์ก็พอแล้ว มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ นะ หรือท่านกำลังคิดอยู่ก็ตาม แต่ความจริง คือไม่มีการพิพากษาแล้ว ทุกคนได้รับเท่าๆ กัน ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลังความตายก็ได้รับเท่ากัน ไม่มีการมาพิพากษาอีกแล้ว จบแล้ว จากนี้ไป ก็มาพิพากษาคนนี้เชื่อแล้วก็จริง เป็นคริสเตียนแล้วก็จริง ทำดีเยอะไหม ตอนอยู่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์ ทำบาปไว้เยอะหรือเปล่า? ช่วยงานโบสถ์มากไหม? มาโบสถ์พอเพียงไหม? อธิษฐานพอเพียงไหม? กระทำดีหรือไม่ดี มามากขนาดไหน? ตัดสินกันได้รางวัลมาก ได้รางวัลน้อย คนนี้เอาไป 10 ไร่ในโลกสวรรค์ คนนี้เอาไปไร่เดียวพอ คนนี้เอาไปแค่ 2 วาพอ  ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  แต่คนก็คิดไปได้เนอะ เพราะอย่างที่ผมบอกว่าโลกใบนี้มันยังคงอยู่ ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย ระบบของโลกนี้ยังอยู่

            เพราะฉะนั้น เมื่อตะกี้เราบอกว่าเมื่อเขาบังเกิดใหม่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณและใจใหม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นความรักแล้ว หลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ หลังความตายแล้ว หลุดพ้นจากความกลัว ไม่มีความกลัวแล้ว แต่ทำไมเขายังกลัวอยู่ แล้วยังกังวลอยู่ ก็แสดงว่าความคิดและความกังวลนั้น มันไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเขา ก็คือไม่ได้มาจากในวิญญาณ ในใจของเขาที่เหมือนพระคริสต์อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความมั่นใจในความรอดนิรันดร์

            ตามที่ตะกี้เราอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:17-18 ถ้าเช่นนั้น ความคิดและความกังวลเหล่านี้ ของคริสเตียนเหล่านี้ มันมาจากไหน? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนยังรู้ว่ามาจากวิญญาณข้างใน ความคิดเขาคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่แล้ว เกิดใหม่แล้ว แล้วทำไมยังคิดอย่างนั้นอยู่

            คำตอบ ก็คือมันมาจากเนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำไปใช้ นำไปในทางเป็นศัตรูต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทั้งสิ้น ทั้งมวลเลย

            ทำไมผมใช้คำว่ามันมาจากเนื้อหนัง  เพราะผมต้องการเน้นให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ตัวท่าน มันแสดงว่าอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในตัวท่าน มันไม่ใช่ตัวท่าน  แต่มันมีอิทธิพล อิทธิพลของเนื้อหนัง ระบบของโลก ที่เป็นศัตรูยังอยู่ และทำงานอยู่ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้  ต่อความคิดและร่างกายของเรา  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  โดยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย เนื้อหนังเหล่านี้ กระทำงานผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรานั่นเอง มันส่งเข้ามา “มัน” คืออิทธิพลนี่แหละ

            โปรแกรมของความคิดเดิมๆ ของเรา  ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเชื่อพระเยซู ก็ยังคงเหลืออยู่ในความคิด ในสมองของเรา สมอง ไม่ใช่วิญญาณ จิตใจนะ ในสมองของเรา  ซึ่งหากถูกกระตุ้นด้วยอิทธิพลของเนื้อหนังนี้  ก็อาจทำให้เกิดความกลัว ความกังวล เหมือนชีวิตเดิม ก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่ใช่กลัวเฉพาะการพิพากษาลงโทษอย่างเดียว  กลัวทั้งอย่างอื่นด้วย  ทั้งๆ ที่วิญญาณและจิตใจนั้น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าตรงไหนรู้ไหม? แต่ความคิดและความกังวล และกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือระบบของโลกนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริง ทางโลกฝ่ายวิญญาณได้  พูดง่ายๆ ความคิดกลัว ความคิดกังวลของเรา คิดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆ ที่ไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในทางโลกวิญญาณได้เลย  เพียงแต่ทำให้เกิดความทุกข์  ไม่มีสันติสุข ไม่ได้รับการพักผ่อน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่าที่ควรเท่านั้นเอง

            พอจากไป เข้าสู่โลกวิญญาณ เข้าสวรรค์ปุ๊บ โอ้โห! รู้อย่างนี้ไม่กังวล ไม่ทุกข์ใจขนาดนั้นหรอก เป็นอย่างนี้เองหรือ? ไม่ต้องเข้าไปรับการพิพากษาลงโทษ โอ้! กลัวแทบตาย กลัวว่าจากโลกนี้ไป เจอหน้าพระเยซู อายพระเยซูมากเลย ทำอันนั้นผิด ทำอันนี้ผิดไป อายมากเลย แถมบางคนพูดอย่างนี้ ยิ่งน่ากลัวใหญ่เลย พอไปถึงหลังความตายปุ๊บ พอถึงตาพิพากษาคริสเตียน คริสเตียนออกมา นาย ก. ออกมาปุ๊บ พิพากษานาย ก. หน่อย เชื่อพระเจ้าแล้วทำอะไรบ้าง? อธิษฐานอย่างนั้นๆ นาย ก. อายมากเลย เพราะว่าเขาจะฉายหนังของนาย ก. ตอนที่เป็นมนุษย์ อยู่บนโลกนี้ ไปทำอะไรมาบ้างเยอะแยะไปหมด ผู้คนทั้งหลายในที่ประชุม ในห้องพิจารณาคดีได้เห็นหมด  อายเขาตายเลย  ไม่มี ไม่มีอย่างนั้นเลย มันหมดไปแล้ว  ใช่นั่นมันความคิดแบบโลก

            และความจริงที่สำคัญที่สุด ก็คือเรา ผู้เชื่อ หรือคริสเตียน เราไม่ได้เอาโปรแกรมความคิดสกปรก  บาป ต่อต้านพระเจ้า กิเลสตัณหา ความรู้สึกสงสัย ไม่เชื่อ ความวิตกกังวล ความกลัว ติดตามตัวเราไปด้วย ในวันที่เราเข้าสู่สวรรค์ เพราะมันอยู่ในร่างกายและความคิดในสมองของเรา ที่มันสูญสิ้น ที่มันทิ้งไปแล้ว  เราเข้าสวรรค์ด้วยวิญญาณ และใจใหม่เท่านั้น  แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ นี่คือความจริงที่เลิศประเสริฐศรีเลย  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าอย่างชัดเจน  เราเข้าสู่สวรรค์ด้วยวิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนร่างกายพระเยซู เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศีนิรันดร์ เอเมนไหม?

            นี่คือความหวังใจของเรา อย่างชัดเจน เพราะพระคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราจึงไม่กลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ ผู้เป็นศีรษะเรา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนิรันดร์  แค่เพียงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น  และเราก็ทำไปแล้ว  สำหรับคนที่ยังไม่ทำ  ทั้งหมดที่พูดมาวันนี้ ความจริงเหล่านั้น เป็นของท่านแล้ว  แค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน  มันก็เป็นของท่านจริงๆ  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            จะปฏิบัติต่อผู้อื่น ให้สมกับเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว … โดย …

                        1. ตาต่อตาฟันต่อฟัน

                                    หรือ …

                        2. ให้อภัย 70 × 7 ครั้ง

            มัทธิว 5:9 … “พระเยซูตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สร้างสันติเพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า”

            ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณใหม่ที่เป็นความรัก ชนิดเดียวกับที่เป็นของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ของเรา

            ภายในเราก็จะเต็มล้นไปด้วยพระคุณความรัก  และสันติสุขในใจ

            แล้วจะดำเนินชีวิต ท่ามกลางความมืด และความเกลียดชังบนโลกนี้ ด้วยการเป็นคนที่สร้างความสงบ สันติ แม้จะถูกข่มเหงรังแก ถูกโกงเอาเปรียบละเมิดสิทธิ ก็อดทนนาน นิ่ง ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้มีด ไม่ใช้ความรุนแรง ความเกลียดชัง สนองตอบ

            แต่ฝึกฝนสำแดงความรักจากภายใน ไปที่ไหน อยู่ที่ไหนก็สร้างแต่ความสงบสุขเกิดขึ้น มีแต่สันติภาพเกิดขึ้น นี่คือลักษณะของคนที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ