คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอ้ครทูตร” ตอน 2 “ข้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดา” โดย นคร เวชสุภาพร

วันนี้เรามาทบทวนของครั้งที่แล้ว วัตถุประสงค์หลักที่มีการรวบรวมหลักข้อเชื่อนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐาน หรือเป็นมาตรฐาน ในการหล่อหลอมความเชื่อศรัทธาของรุ่นต่อๆ มา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง และตรงกันตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เหตุผลที่ผมตั้งใจสอนให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ …

เหตุผลที่ 1 เพื่อจะหล่อหลอมความเชื่อของคริสเตียนทั้งหลาย ในการร่วมเป็นประชากรของพระเจ้า  ร่วมเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกัน มีความเชื่อตรงกัน

เหตุผลที่ 2 เพื่อให้เกิดความกระจ่าง และเกิดความมั่นคงในเรื่องของความเชื่อ ที่เป็นสาระสำคัญ หรือเป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แก่นแท้ของข่าวประเสริฐนั่นเอง

 

การตีความหมายพระคัมภีร์ที่หลากหลาย ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยๆ  ก็ไม่เป็นอะไรมากนัก   ไม่ใช่แก่น  แต่ถ้าเป็นสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระคุณของพระเจ้า เกี่ยวข้องกับความรอดจากบาป การที่ได้กลับมาคืนสู่ความดีของพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าได้นั้น อันนี้เป็นหลัก เป็นแก่นเลย ผิดไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว ยกตัวอย่าง …

–  กินหมูหรือไม่กินหมู อย่างนี้น้อย ไม่ได้เป็นหลัก ไม่ได้เป็นแก่น

–  วันสะบาโตต้องหยุดทำงานไหม?    หรือทำได้หรือไม่ได้?    บางแห่งก็ทำได้   บางแห่งก็ทำไม่ได้

อย่างนี้ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญ แตกต่างกันได้ บางนิกาย บางคริสตจักรอาจจะมีขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ ในเรื่องต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญเหล่านี้แตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง ที่อเมริกาคงไม่มีเช็งเม้ง แต่ประเทศไทยมี นี่คือสาระไม่สำคัญ

“จะร่วมก็ร่วมไปเถอะ ไม่ร่วม ก็ไม่เห็นเป็นไร?”

ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ มันเกี่ยวกับประเพณี วัฒนธรรมของเราที่นี่ เรามีเช็งเม้ง ถ้าเทียบกับประเพณีของอเมริกา เขาเรียก Memory day หรืออะไรสักอย่าง คือวันแห่งการระลึกถึงคนที่จากไปแล้ว  เขาก็จะเอาดอกไม้ช่อหนึ่ง หรืออะไรต่างๆ ไปที่หลุมศพ ไปคำนับ ไปให้เกียรติ ไประลึกถึงใครก็ตามที่เรารัก ที่เขาจากไป ถามว่าพอเรามาเป็นคริสเตียน เราไปเช็งเม้งได้ไหม? ถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท

นี่ยกตัวอย่างให้อันเดียว ท่านก็เอาเรื่องนี้ไปใช้กับทุกเรื่องได้หมดเลย  แต่ท่านต้องเรียนรู้ หลักข้อเชื่อเสียก่อน จะอเมริกาหรือเมืองไทยจะต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ต้องเชื่อเหมือนกันว่าพระเยซูเกิดจากแมรี่หรือมารีย์ ที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ เห็นประโยชน์หรือยัง? แทบไม่ต้องไปถามใคร? …

“ฉันไปงานนี้ได้ไหม?  ฉันไปงานศพ ฉันควรจะทำอะไร?”

ท่านเอาไปวิเคราะห์เองได้  ท่านเป็นอิสระ นี่คือสิ่งที่พระเยซูอยากบอกให้เรารู้ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ความจริงจะทำให้เราเป็นไทได้อย่างไร? แต่ถ้าเมื่อไรที่มีความเชื่อที่แตกต่างจากหลักข้อเชื่อ 12 ข้อนี้ ต้องตอบว่าคริสเตียนรับไม่ได้ ผิดแน่นอน ถ้าผิดจากหลักข้อเชื่อนี้ ก็ถือว่าเป็นลัทธิเทียมเท็จทันที

เหตุผลที่ 3 เพื่อให้เรามีความเข้าใจในเรื่องของคริสตจักรสากล และเห็นถึงความสำคัญของการร่วมสามัคคีธรรมกัน ร่วมดองกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณกับพี่น้องในความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เหมือนเพลงที่ร้องว่า …

“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ แปลว่าเราเป็นยูไนเตด คือดองกัน  เป็นครอบครัวเดียวกัน ของใครก็ตามที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ทั่วโลกเลย ที่ไหนก็ตาม ที่เขาเชื่อเหมือนเรา 12 ข้อนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล เราเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เชื่อ 2,300 กว่าล้านคน

 

ท่านได้ยินคำว่า “คริสตจักรบริสุทธิ์” เมื่อไร? จงจำไว้ หมายถึงผู้เชื่อ 1 คน และผู้เชื่ออีกเหมือนๆ กันอย่างนี้ในพระเยซูคริสต์อีกหลายๆ คนทั่วโลกเลย เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคริสตจักรเดียว

สรุปง่ายๆ เหตุผลที่เราควรเรียนรู้หลักข้อเชื่อ มีอยู่ 3 ประการ ก็คือ …

(1) เพื่อให้มีหลักและความเชื่อที่ถูกต้องตรงกันทั่วโลก

(2) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ อย่างกระจ่างในหลักข้อเชื่อ ในพระคัมภีร์ใหม่

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของ     Holy Church    คือของคริสตจักรสากล   หรือคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักรบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เอเมน

 

ถามว่าคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ทำไมบริสุทธิ์ เพราะที่นั่นอธิษฐานเยอะ เพราะที่นั่นอดอาหาร ไม่ใช่แต่เพราะพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ไถ่บาปให้กับเขาทุกคน  ตั้งแต่คนที่มาเชื่อเมื่อตะกี้นี้ กับคนที่รับเชื่อไปเมื่อ 80 ปีที่แล้ว บริสุทธิ์เท่ากันไม่มีผิด ตั้งแต่คนที่อธิษฐาน แค่ 3 คำ กับอีกคนหนึ่งอธิษฐานมา 30 ปีแล้ว ก็บริสุทธิ์เท่ากัน นี่แหละความจริงจะทำให้เราเป็นไท

วันนี้เรามาดูข้อแรกก่อน

“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก”

เราย้ำเรื่องความแตกต่างของคำว่า “เชื่อ” กับคำว่า “เชื่อศรัทธา” หรือเชื่อวางใจ ที่ผมได้ยกตัวอย่างคนไต่ลวด ที่เขาท้าทายคนดูให้ขี่คอ และไต่ไปพร้อมกัน แต่ไม่มีใครกล้าขึ้นไป มีเพียงเด็กชายเล็กๆ ปีนขึ้นไปเท่านั้น

แล้วผมก็ยกตัวอย่างว่ามันต่างกันอย่างไร? เด็กคนนี้เขาเชื่อ คนดูก็เชื่อ ซึ่งเป็นคำยกตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำว่า “เชื่อศรัทธาในพระเจ้า ในพระบิดา” เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับพ่อเหมือนกัน เด็กคนนี้ เขารู้จักคนที่ไต่ลวดคนนั้น เพราะเป็นพ่อของเขา ไม่ใช่รู้จักธรรมดา รู้จักสนิท รู้จักเขาถึงไส้ ถึงพุงเลย วางใจคนนี้แน่นอนเลย  เพราะเป็นพ่อเขา แต่คนอื่นเชื่อ เพราะได้ยินความสามารถ ความเก่งกาจของคนๆ นี้ จากคนอื่นเล่ามา เคยเห็นคนนี้ทำ เชื่อเฉยๆ แต่พอให้ไปเสี่ยงชีวิต ไม่เอาแล้ว เพราะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ ไม่ได้เชื่อวางใจในความสามารถของเขาจริงๆ ซึ่งตรงนี้ ผมใช้คำว่า “เชื่อศรัทธา”

อยากให้เราเห็นว่าความเชื่อศรัทธา วางใจสุดชีวิตกับความเชื่อเฉยๆ มันแตกต่างกันอย่างไร? แล้วพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา เมื่อมาเป็นคริสเตียน คนจะเกิดใหม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้าได้ รับความรอดในพระเยซูคริสต์ได้ จะต้องมีความเชื่อศรัทธาวางใจตรงนี้ เกิดผล ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ มันไม่เกิดผล เหมือนที่ยกตัวอย่างในหนังสือโรม 10:9

โรม 10:9 “นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด”

 

ในหลักข้อเชื่อ ข้อแรกนี้  ที่ขึ้นต้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก” พระเยซูกำลังบอกว่าให้เราเชื่อในพระเจ้า แบบศรัทธาวางใจ วางชีวิตเราลงเลย ไม่ได้บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดเฉยๆ” เพราะฉะนั้น ใน Apostle’s Creed จึงใช้คำว่าเชื่อ เป็น “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจและศรัทธาในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด” เอเมน

เวลาท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระบิดาเจ้า จงมีความรู้สึกในใจว่าเราเชื่ออย่างนี้จริงๆ เชื่อศรัทธาวางใจ เสี่ยงชีวิตกับพระองค์ได้เลย

คำว่า “เชื่อ” เฉยๆ ก็คือแค่การเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของเรา แต่คำว่าเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Believe by faith เป็นความเชื่อที่มีผลกระทบต่อชีวิตของเราจริงๆ เป็นความเชื่อที่สามารถขับเคลื่อนการกระทำในชีวิตของเรา ง่ายๆ เลย เป็นความเชื่อ ที่เปลี่ยนชีวิตเรา กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เป็นความเชื่อที่ออกมาจากใจลึกๆ ของเราจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ พร้อมที่จะทุ่มเท หรือพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ได้ ไม่ใช่บางอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะเชื่อและวางใจ

เชื่อว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเรา ดูแลเราได้ คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็อาจจะมีหลายคน ที่เชื่อเหมือนกันว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ ผู้สร้างฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก แต่ความเชื่อแค่นี้ ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของเขาเลย แม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเชื่อแค่นี้  เหมือนคนดูที่เชื่อในการเดินข้ามอีกครั้งหนึ่งของนักไต่ลวด ไม่มีประโยชน์กับเขาเลย เพราะว่าเขาเชื่อแค่นั้น แต่พอบอกให้ไปเสี่ยง เชื่อจริงๆ ก็ขึ้นไปสิ เขาไม่ขึ้น ก็เพราะเขาไม่ได้เชื่อจริง

หลายคนในโลกนี้ ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูอยู่ห่างๆ แล้วก็เชื่อ แต่เอาไหม? ไม่เอา เพราะยังห่วงประเพณี ห่วงญาติพี่น้อง ห่วงคนโน้นว่า ห่วงคนนี้ว่า ไม่ใช่ศาสนาเรา ไม่ใช่ประเพณีเรา ก็เลยเชื่อเฉยๆ แต่พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั้งหมดที่นี้ เดินก้าวออกมาใช่ไหม?  โดนด่าไปแล้ว ใช่หรือเปล่า? โดนต่อต้านไปแล้ว แต่เราก็มั่นใจ

“แม้ใครไม่ไปด้วย ฉันก็จะตามไป”

นั่งร้องไห้อยู่นั่นแหละ “ฉันก็จะตามไป”

คิดถึงที่บ้านเขากำลังโกรธ ที่เรามารับบัพติศมาในน้ำ มันต้องมีแน่นอน เพราะว่ามันต้องเปลี่ยน แต่ที่เราเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในจิตใจเรา  ทำให้เราบังเกิดใหม่ เราได้เห็นความจริง … ความจริงทำให้เราเป็นไท เราหลุดออกมาจากกรอบเดิม เราหลุดออกมาจากประเพณีเดิม ที่มนุษย์สร้างไว้เป็นกรอบ บอกว่าอันนี้ดี แต่ไม่ใช่ ตอนนี้ดีที่สุดของเรา คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา … เรามีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ … พระองค์ทรงนำพาเราไปสวรรค์ได้อย่างแน่นอน เราพ้นจากบาปแล้ว เราเดินไปด้วยความเชื่อ (ศรัทธาและวางใจพระองค์)

“แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป

แม้ใครไม่ไปด้วย  ข้าก็จะตามไป ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

ทุกวันนี้ มีอยู่ 2 อย่าง มีโปแตสแตนต์กับคาทอริค เอาง่ายๆ ก่อน มาติน ลูเธอร์เป็นเหมือนบิดา เป็นผู้เริ่มต้น เป็นผู้รวบรวม แล้วให้กำเนิดโปแตสแตนต์

มาติน ลูเธอร์ให้คำนิยามความหมายของคำว่า “เชื่อ ศรัทธา วางใจในพระเจ้า” ไว้อย่างนี้ นี่ 500 กว่าปี นี่คือสิ่งที่เขาเขียนไว้ เขาไปพบความจริง เขาอยากให้ผู้คนได้รู้ เขาเลยเขียนรวบรวมความเป็นจริง เหล่านี้ขึ้นมาว่า Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อในนี้ ต้องเชื่อและวางใจ

คำว่า “เชื่อและวางใจในพระเจ้า”  คือไม่ใช่เพียงแค่ว่าสิ่งที่มีการกล่าวถึงพระเจ้า เป็นเรื่องจริง แต่เป็นความเชื่อที่ทำให้เราสามารถวางทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราไว้ที่พระองค์ได้  เป็นความเชื่อศรัทธาวางใจ ที่ทำให้เราสามารถยอมรับความเสี่ยงและสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้  เป็นความเชื่อที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ ที่เรียกกันว่า “Beyond Understanding” เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เป็นความเชื่อศรัทธา ที่มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีแผนการ สำหรับเรานั้น หรืออนุญาตให้เกิดขึ้นกับเรานั้น จะต้องเป็นไปตามพระสัญญาของพระองค์ทุกประการ คือดีแน่นอน และเราไม่สามารถมอบความเชื่อวางใจในลักษณะนี้ให้กับใครได้อีกแล้ว  จะต้องเป็นความเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด สิ่งใด ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น มีเพียงพระเจ้าพระบิดา ผู้สูงสุด และผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  เพราะถ้าท่านรู้ตรงนี้ ท่านจะเป็นอิสระ

ท่านจะรู้ว่าอันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม?  ใจท่าน มีพระองค์สูงสุดไหม?  บางคนบอกว่ากำลังโลภใช่ไหม? ท่านกำลังอธิษฐานกับพระบิดาในใจว่าอะไร? เป็นของพระองค์ ข้างนอกใครจะทำอะไร ไม่มีใครรู้หรอก ใช่ไหม?

และด้วยความเชื่อและวางใจนี้ เราจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกเลย เพราะเราเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา  มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  ความเชื่อและวางใจของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับภัยอันตราย หรืออุปสรรคปัญหาใดๆ ก็ตาม ความเชื่อศรัทธาในพ่อของเรา จะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าจะในยามสุข หรือทุกข์ ในยามมั่งมีหรือยากจน ความเชื่อวางใจในพระเจ้า  ในลักษณะนี้  ที่เราให้กับพระเจ้านี้ จะไม่วันน้อยลงเลย ไม่ว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐาน ตามใจปรารถนาของเราหรือไม่ก็ตาม

นี่คือบทสรุป ที่มาติน ลูเธอร์บอกไว้ ความเชื่อศรัทธาต้องเป็นอย่างนี้ เหมือนตัวอย่างพระเยซูบนไม้กางเขน พระเยซูไถ่บาปให้กับมนุษย์ ต้องรับโทษทั้งหมดของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์ บนไม้กางเขน ทุกข์ทรมาน พระองค์อธิษฐานว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ก่อนที่พระองค์จะสิ้นใจ พระองค์ตรัสว่า …

“พระเจ้า พระบิดา ลูกมอบวิญญาณให้กับพระองค์”

ก็คือเอาไงเอากัน แล้วแต่พระองค์ ไม่เคยตายมาก่อน ไม่เคยแยกจากพระองค์ หมายความว่า ณ วันนี้ต้องทำ พระเจ้าพระบิดา แล้วแต่พระองค์ เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ นี่คือความเชื่อศรัทธา วันหนึ่งเราก็ต้องตัดสินใจ แล้วแต่พระองค์ ในใจลูกวางใจในพระองค์ อยากถามพวกเราทุกคนในที่นี้ว่าความเชื่อและวางใจในพระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา ณ วันนี้ ในขณะนี้ ที่นั่งอยู่ตรงนี้  เป็นเหมือนที่มาติน ลูเธอร์ได้อธิบายไว้หรือเปล่า?

ในหลักข้อเชื่อข้อแรกนี้ “ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” มีหัวใจสำคัญอยู่ 2 อย่างเท่านั้นเอง ในข้อนี้ คือ …

(1) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา เป็นพ่อของเรา

(2) เชื่อและวางใจหรือศรัทธาว่าพระเจ้า พระบิดา ผู้เป็นพ่อของเรา เป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พูดง่ายๆ เราต้องเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง ยิ่งใหญ่สูงสุด ขณะเดียวกันเชื่อว่าพระองค์เป็นพ่อจริงๆ พ่อที่รักเรามาก พ่อที่ดูแลทุกก้าวในชีวิตของเรา นิดๆ หน่อยๆ ก็ดูตลอด

เราต้องเชื่อตรงนี้ให้ได้ นี่แหละคือคริสเตียน และขอเพียงท่านมีความเชื่อและวางใจใน 2 สิ่งนี้ ความเชื่อของท่านก็จะเป็นแบบมาติน ลูเธอร์ พูดเมื่อสักครู่นี้ ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน จริงๆ เลย เหมือนที่เด็กคนนั้น ขึ้นไปขี่หลังพ่อเขา แล้วก็เดินไต่ลวดข้ามเหว โดยไม่มีตาข่ายรองรับ  และเชื่อไหมว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ปัญหาของท่านขี้ประติ๋วสำหรับพระเจ้า แค่นั้นเอง และสิ่งที่มาติน ลูเธอร์ อธิษฐานไว้ ทั้งหมด ก็มาจากพระคัมภีร์

มาติน ลูเธอร์ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์สอนเรา ให้อธิษฐานอย่างนี้  พระองค์ทรงเริ่มต้นการงาน โดยการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ พระองค์ประกาศคำแรกว่า …

“อาณาจักรสวรรค์มาแล้ว”

พอเริ่มสอนไปนิดหนึ่ง มีคนถามว่าแล้วเราจะอธิษฐานกับพระบิดาอย่างไร? พระเยซูก็สอนให้เขาอธิษฐานอย่างนี้  ซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่ดังที่สุด อยู่ในหนังสือมัทธิว  เรียกว่า The Lord prayer คือคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9-13

มัทธิว 6:9-13 “9 ท่านทั้งหลาย จงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่าข้าแต่พระบิดา แห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะ 10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก 11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ในกาลวันนี้ 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิด ต่อข้าพระองค์นั้น 13 และขออย่านำข้าพระองค์ เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจและฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

 

นี่คือตัวอย่างคำอธิษฐานที่พระเยซูสอนบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้  ขึ้นต้นว่า …

“ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเยซูกำลังสอนเราให้เชื่อว่าพระเจ้า ไม่ใช่พ่อของโลก ไม่ใช่พ่อของมหาจักรวาล แต่เป็นพ่อของเรา ส่วนตัว แล้วพระองค์ทรงมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์สามารถดูแลเราทุกสถานการณ์ได้ ตามคำอธิษฐานทั้งหมดนั้นแหละ

ตอนที่พระองค์ทรงสอนอยู่นั้น อีกไม่นาน พระองค์จะทรงตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปแทนมนุษยชาติทั้งปวง และวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ และจะเสด็จสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เปิดทางสว่างให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ สามารถเข้ามาหาพระเจ้า กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระองค์ได้ สอนล่วงหน้าไว้เลยว่ากำลังจะเกิดสิ่งนี้ขึ้น พระองค์ทรงทราบดีว่าภารกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ คืออะไร? พระองค์เลยสอนล่วงหน้าว่าจากนี้ต่อไป ให้อธิษฐานอย่างนี้นะ จากนี้ต่อไปไม่ได้หมายถึงจากนี้ไปอีก 1 ปี จากนี้ไปอีก 3 วัน จากนี้ไปอีก 1 อาทิตย์ จากนี้ไปจนกระทั่งพระองค์จะกลับมาใหม่ แล้วเราไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกเลย

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงคริสตจักรอภิสุทธิสถาน พระเยซูสอนเราให้อธิษฐานลักษณะอย่างนี้ จงเชื่ออย่างนี้ และจากนี้ต่อไปอีกกี่ปีไม่รู้ จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาใหม่ เปลี่ยนแปลงหมดทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องอธิษฐานกับพระองค์แล้ว เพราะเราจะเห็นหน้าพระเจ้าพระบิดาหน้าต่อหน้าเลย เอเมน เมื่อนั้นสวรรค์ก็ลงมาตั้งอยู่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้สวรรค์มาตั้งอยู่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ครบบริบูรณ์

คราวหน้าเราจะมาต่อในรายละเอียดของความหมายของคำว่า “พระบิดา” หรือ “พ่อ” “อับบา” ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ” ตอน 1 “หลักข้อเชื่อของอัครทูต” โดย นคร เวชสุภาพร

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเพิ่งจะฉลองวันเพ็นเทคอสต์ ต่อด้วยฉลองวันครบรอบ 23 ปีของคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของเรา  ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ร่วมอยู่ในงานนี้ แต่ผมก็ได้ร่วมนมัสการร่วมฉลองไปกับพี่น้องด้วย ผ่านการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เนต

ที่เล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ท่านทราบว่าเทคโนโลยีช่วยเราได้มาก ถ้าเราใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้อยู่วันอาทิตย์ในโบสถ์ ก็สามารถฟังได้ที่บ้าน เปิดยูทูป แล้วก็หาลิ้งค์ของโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ฟังนะครับ มันช่วยได้เยอะมาก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ส่งคลิปมานำท่านชมวิหารเซนต์พอล ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่เมลเบิร์นครับ ผมได้มีโอกาสนมัสการกับเขาที่โน้นด้วย และหนึ่งในจำนวนการนมัสการ มีการให้ที่ประชุมยืนขึ้น ร่วมกันกล่าวหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ผมก็เลยตั้งใจว่ากลับมาแล้ว จะมาคุยเรื่องนี้ให้ท่านฟัง เพราะผมเห็นว่ามีประโยชน์มากๆ เลย ท่านจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างของโลกนี้ที่กว้างออกไปกว่าที่เคยเป็น

หลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือบางแห่งเรียกว่าสัญลักษณ์ของอัครทูต ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Apostle’s Creed ก็คือคำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของคริสตศาสนา ที่มีมาตั้งแต่ยุคแรกเลย

คำว่า Apostle ก็คือสาวกของพระเยซูรุ่นแรกๆ

ส่วนคำว่า Creed หมายถึงหลักข้อเชื่อ

รวมกัน ก็คือหลักข้อเชื่อของอัครทูต  คำแถลงเกี่ยวกับความเชื่อของอัครทูต ก็คือคริสเตียนทุกคน เราเรียกตัวเองว่า “เป็นผู้เชื่อ”  เชื่อใน Good News หรือข่าวประเสริฐ

ข่าวดี ก็มาจากพระคัมภีร์ ทุกคนเชื่อพระคัมภีร์หมด แต่พอถามว่าเชื่ออะไร? ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้น อ่านพระคัมภีร์เยอะไหม? ศึกษาละเอียดขนาดไหน?  ถ้าศึกษาน้อย ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไร? ถ้าศึกษามาก ก็อาจจะตอบได้เยอะ ก็อาศัยพูดกันต่อๆ มาว่าเชื่อว่าอะไร? เขาบอกมาว่าอย่างนี้ ความเชื่อของคริสเตียนในยุคแรก ก็เริ่มหลากหลาย  แตกต่างออกไปเรื่อยๆ กระจัดกระจาย ถูกบ้างผิดบ้าง ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง ไม่ตรงตามพระคัมภีร์บ้าง

อย่างเช่น กินอาหารที่เขาเอาไปบูชารูปปั้นได้ไหม?  อย่างนี้เป็นต้น วันสะบาโต คือวันอะไร?  วันสะบาโตจำเป็นไหม? ต้องไปโบสถ์ ทำงานได้ไหม? อะไรประมาณนั้น นี่เป็นส่วนเล็กๆ ที่ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็นว่ามันกระจัดกระจาย เชื่อว่าวันสะบาโตต้องไม่ทำงาน หรือเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อว่าอาหารบางอย่างทานไม่ได้

คริสตจักรในยุคแรกๆ จึงรวบรวมสาระสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของพระคัมภีร์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ในเรื่องของความเชื่อและตามหลักพระคัมภีร์ด้วย โดยรวบรวมจากความเชื่อและคำสอนของบรรดาเหล่าสาวก หรืออัครทูตของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เดินกับพระเยซู แล้วก็เรียกสรุปสาระสำคัญเหล่านี้ว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต

คริสตจักรในยุคแรกๆ ก็ใช้หลักข้อเชื่อนี้ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีต่างๆ ในโบสถ์ เช่น ในการประชุม ก็จะอ่านหลักข้อเชื่อนี้ร่วมกัน เพื่อจะไม่ลืม หรือผู้เชื่อใหม่ ที่จะรับบัพติศมาในน้ำ ก็ต้องกล่าวหลักข้อเชื่อนี้ก่อนบัพติศมา ซึ่งพิธีการต่างๆ เหล่านี้ ก็ยังมีการทำอยู่ในทุกวันนี้ ในคริสตจักรหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะคริสตจักรในนิกายเก่าแก่ ตั้งแต่รุ่นเมื่อ 500 – 600 ปีก่อน ยังคงทำอยู่ อย่างเช่น ลูเธอร์แลนด์  แองทีคั้น (ก็คือโบสถ์เซนต์พอลที่ผมไปมา) เพรสไบทีเรียล  เบสท์ทอดิส เป็นต้น ก็มีอย่างอื่นอีก

คือก่อนที่จะเข้าพิธีรับบัพติศมาในน้ำ ผู้เชื่อจะประกาศความเชื่อของตัวเอง ด้วยการกล่าวว่า …

“ข้าเชื่อ” แล้วก็ตามด้วยหลักข้อเชื่อของอัครทูต ก่อนลงน้ำ

เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อ” ตอนที่ 1

ท่านต้องติดตามทุกตอน ท่านจะได้ขอบคุณพระเจ้ารู้ว่าเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ขอบคุณพระเจ้า ใหญ่โตขนาดนี้เหรอ ขอบคุณพระเจ้า ท่านจะมีความมั่นใจในสิ่งที่ท่านกำลังเชื่ออยู่ในตอนนี้ แข็งแกร่งมั่นคง ภูมิใจมากยิ่งขึ้น เรามาดูกันก่อนว่าที่มาของ Apostle’s Creed มาจากที่ไหน?

หลักข้อเชื่อของอัครทูต Apostle’s Creed เป็นหลักข้อเชื่อตามพันธสัญญาใหม่ ก็คือพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงพระคัมภีร์สมัยที่พระเยซูคริสต์บังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จนกระทั่งพระเยซูขึ้นไปอยู่บนสวรรค์บันทึกไว้จนกระทั่งถึงพระองค์จะกลับมาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มจากการประสูติของพระเยซูคริสต์ในวันคริสตมาส มาถึงวันศุกร์ประเสริฐ ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ การเสด็จไปแดนมรณาหรือนรก หรือแดนคนตาย ในช่วงที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ในวันที่สาม คือวันอีสเตอร์ ต่อมาถึงการปรากฏพระองค์กับบรรดาเหล่าสาวก เป็นเวลา 40 วัน เพื่อยืนยันการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ และเมื่อครบ 40 วัน ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า หลังจากนั้น 10 วัน เมื่อครบ 50 วัน คือวันเพนเตคอสต์ ที่พระองค์ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์ทั้งปวง

 

พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ มีพูดถึงเรื่องการก่อตั้งคริสตจักรสาวก การกำเนิดคริสตจักรสากล การพิพากษาในยุคสุดท้าย การได้รับร่างกายใหม่ของผู้เชื่อทั้งหลาย วันหนึ่งข้างหน้า และการได้รับชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ที่จะอยู่กับพระเจ้าตลอดไปในสวรรค์สถาน นี่แหละคือสาระสำคัญในพันธสัญญาใหม่ ในหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้

เรามาดูกันว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือ Apostle’s Creed มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์  พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
  3. ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์  หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. จากที่นั่น  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

อาเมน แปลว่าใช่ ฉันเชื่ออย่างนั้นแหละ มันเป็นไปตามนั้น

เวลาเราได้ยินคำเทศน์ หรือคำบรรยาย หรือถ้อยคำพระเจ้าอะไรต่างๆ หรือข้อความอะไรบางอย่างเข้ามา แล้วเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นที่สรรเสริญพระเจ้า  เราสามารถตะโกนดังลั่นว่า “เอเมน” มันเป็นอย่างนั้นแหละ บางคนบอกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรารีบบอกเลยว่าอาเมน อย่างนี้เป็นต้น ท่านควรทราบ และเอาไปใช้ให้ถูกต้องนะ

Apostle’s Creed หรือหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้  ไม่ได้เป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือว่ามีสิทธิอำนาจอะไร? อย่าเข้าใจผิด เพียงแต่ เป็นการรวบรวมความเชื่อ ตามหลักข้อพระคัมภีร์ ที่บรรดาอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ได้บันทึกเอาไว้ แล้วพระคัมภีร์ทุกฉบับ ไม่ว่าอัครทูตคนไหนก็ตาม ใครเป็นคนเขียนก็ตาม ในพระคัมภีร์นั้น  เป็นถ้อยคำของพระเจ้าทั้งหมด ได้รับการดลใจจากพระเจ้า  ซึ่งเราเรียกกันว่าพระวจนะของพระเจ้า หรือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง 2 ทิโมธี 3:14-16 ได้บันทึกไว้

2 ทิโมธี 3:14-16 “14 แต่ส่วนท่านจงดำเนินต่อไป ในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ และได้เชื่อมั่น เพราะท่านรู้จักคนเหล่านั้น ที่ท่านเรียนรู้จากเขา 15 และรู้ว่าตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้รู้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถทำให้ท่านมีปัญญา ที่จะมาถึงความรอดได้ โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม”

 

สรุปหลักข้อเชื่อ ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นหลักความเชื่อตามพระวจนะ หรือถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ บางคนถามว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย? ทำไมเราต้องให้ความสนใจกับหลักข้อเชื่อนี้? ที่เราควรจะสนใจ ก็เพราะเขาสรุปมาให้เป็นแก่น เป็นสาระสำคัญเหมือนที่บอกมาโบสถ์สำคัญ ก็สำคัญ แล้วไม่มาโบสถ์ได้ไหม? ได้รับความรอดไหม? ก็ได้รับ ไม่ใช่เอามาบังคับว่าจะต้องมา ท่านถึงได้รับความรอด อย่างนี้เป็นต้น

การเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องหลักข้อเชื่อต่างๆ ตรงนี้ ก็จะช่วยให้ท่านมีความเข้าใจที่ดีขึ้น กระจ่างขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความรอด หรือพระคุณของพระเจ้า และสามารถดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ได้ถูกต้อง เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นอิสระจากระบบพิธีการของมนุษย์ที่คิดขึ้นมาเอง เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในกรอบที่มนุษย์คิดขึ้นมา ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้  แล้วท่านจะรู้ว่าเราควรจะทำอะไรตามที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลสอนเรา บอกเราว่าเมื่อเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียน เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร?  ทำอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นที่พอพระทัย ถึงเรียกว่าถูกต้อง เอเมน

สาเหตุที่ต้องมีหลักข้อเชื่อนี้ ก็เพราะว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยคริสตจักรแรกๆ มีหลายคนที่เข้าใจเนื้อหาในพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง แล้วก็มีการสอนกันแบบผิดๆ จนมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีผิดอยู่ และการผิดนี้ มีสองอย่างเท่านั้นเอง คือ …

มาจากผิดแบบบริสุทธิ์ใจ คือไม่รู้จริงๆ เขาสอนมาอย่างนี้ เราก็เชื่อมาอย่างนี้ ก็ว่าไป พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เขาเชื่อมาอย่างนี้ เขาบอกมาอย่างนี้ ก็เชื่อไป

แต่มีบางอย่าง ที่ผิดแบบไม่บริสุทธิ์ใจ คือตั้งใจสอนแบบผิดๆ เพื่อแสวงหาลาภ ยศ และสรรเสริญ อันนี้ก็น่ากลัวด้วย มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยโน่นแล้ว เพื่อปากท้องของคนสอน เพื่อปากท้องของคนเล่าให้ฟัง ก็ต้องระวัง เพราะฉะนั้น หลักข้อเชื่อนี้จึงมีประโยชน์ ที่เราต้องยึดถือ เราก็เอาตรงนี้เป็นหลักเกณฑ์ไว้ ยึดตรงนี้  เรื่องอื่นๆ นอกจาก 12 ข้อนี้ อาจจะมีความสำคัญเหมือนกัน แต่มันน้อยหน่อย ซึ่งเราต้องมีความเข้าใจ แต่ในเรื่องของความสำคัญที่สุด ก็คือความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า และเรื่องเกี่ยวกับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์ นี่สำคัญที่สุด นี่คือหัวใจของพระคัมภีร์ รอดเพราะอะไร? ทำอย่างไรถึงรอด เชื่ออย่างไรถึงรอด ซึ่งมีแก่นอยู่ 12 ข้อ เลยจากนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะถวายหรือไม่ถวาย มันก็ไม่เกี่ยวกับความรอด ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์วันอาทิตย์หรือไม่มา ก็ไม่เกี่ยวกับความรอด แต่ถามว่าทั้งสองอย่างนั้นดีไหม? ถ้าท่านปฏิบัติ ดี บางคนสอนผิด เพื่อเอาลาภ ยศ สรรเสริญ ก็บอกให้ท่านมาถวายๆ มาโบสถ์สิ เพื่อจะได้ถวาย อย่างนี้ก็มี ไม่ใช่มีทุกแห่ง

เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง จึงมีการรวบรวมหลักข้อเชื่อขึ้นมา เพื่อเป็นบรรทัดฐาน  เป็นแบบฉบับในการหล่อหลอมความเชื่อของมวลคริสตจักรทั้งปวง ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ให้ถูกต้อง ไม่ถูกหลอก และไม่เข้าใจผิดด้วย

เรากลับมาที่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพระคุณความรอดจากบาป อยู่ในหนังสือโรม 10:8-10

โรม 10:8-10 “8 ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร? “ถ้อยคำนี้อยู่ใกล้ตัวท่าน อยู่ในปาก และอยู่ในใจของท่าน” คือถ้อยคำแห่งความเชื่อ ที่เรากำลังประกาศอยู่ 9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด” เอเมน

 

บอกไว้ชัดเจนว่าถ้อยคำแห่งความเชื่อที่เราประกาศอยู่นั้น คือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้น ความรอด ขึ้นอยู่กับความเชื่ออย่างเดียว

มาโบสถ์เป็นประจำ แล้วลุกขึ้นยืนตามพ่อแม่ แล้วให้ศิษยาภิบาลทำพิธีให้ ประกาศว่าเราเป็นผู้เชื่อ ผู้ได้รับความรอดแล้ว ไม่ได้ เพราะในนี้บอกว่าประกาศความเชื่อด้วยปาก และยอมรับความเชื่อนั้น ด้วยใจ การเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถที่จะพูดหรือท่องถ้อยคำพระเจ้าได้ ต่อให้เราท่องถ้อยคำพระเจ้าได้หมดทั้งเล่มเลย ก็ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคริสเตียน

ตรงนี้  ที่บอกว่าเชื่อด้วยใจ ไม่ได้หมายความว่าเชื่อว่ามันเป็นจริงเท่านั้น  แต่ต้องวางใจด้วย

หลักข้อเชื่อใช้คำว่าข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์วางใจในพระองค์เลย ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Believe by faith” คือเป็นความเชื่อที่ออกมาจากข้างในใจจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ

“ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ” พร้อมที่จะทุ่มเท หรือมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความเชื่อนี้ หรือพูดง่ายๆ ยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อความเชื่อนี้ เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย ต่อให้ใครไม่ไป ฉันก็จะไป เพราะฉันเชื่อวางใจในพระองค์ มันต่างกับความเชื่อเฉยๆ

“ผมไม่ได้เชื่อพระเยซูคริสต์เฉยๆ แต่ผมเชื่อศรัทธาเลย ก็คือผมเชื่อและวางใจ วางชีวิตไว้แล้ว ทุกอย่าง เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น ยอมทุกอย่าง  เอเมน”

มีนักไต่ลวดคนหนึ่ง ตระเวนแสดงการไต่ลวดไปตามสถานที่ต่างๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งชายคนนี้ ก็เปิดการแสดงไต่ลวด คราวนี้ก็เป็นการแสดงแบบท้าทายมาก เป็นการขึงลวดระหว่างภูเขา 2 ลูกข้างผาชัน แล้วสำคัญที่สุด คือไม่มีตะข่ายรองรับ เรียกว่าถ้าพลาด ชีวิตไม่รอด การแสดงครั้งนี้ มีคนดูเยอะมากเลย เงยดูกัน ก่อนเริ่มการแสดงนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนถามคนดูที่อยู่ข้างล่างว่า …

“ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับว่าผมสามารถไต่ลวด เดินข้ามไปได้”

คนดู ก็ตะโกนตอบด้วยความมั่นคงมั่นใจว่า …

“เชื่อ แน่นอน”

เพราะว่าเขาเคยดูคนนี้ ไปเล่นมาทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยก็เคยมา คนนี้ดังมาก ดูในยูทูปมาตลอด ยังไงก็เดินได้ รับรอง 100% แค่นี้ง่ายสำหรับเขามาก  นักไต่ลวดคนนี้ ก็เริ่มการแสดงของเขา จนในที่สุด ก็สำเร็จ เดินข้ามไปได้

การแสดงก็จบลง ท่ามกลางความระทึกตื่นเต้นของผู้ชมมากมาย และเพิ่มความเชื่อให้กับผู้ชมมากมายว่าคนนี้ทำได้ จากนั้น คนนี้ก็ประกาศว่า …

“คราวนี้จะเป็นชุดฟินาเล่ ตอนจบ คือชุดการแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผมจะเดินข้ามเส้นลวดนี้กลับไปที่เดิม โดยที่จะแบกคนหนึ่งคนไว้ที่ข้างหลัง แล้วข้ามไปพร้อมกับผมด้วย ท่านเชื่อไหมครับว่าผมสามารถทำได้”

คนดูก็เชียร์กันใหญ่เลยว่า … “เชื่อ”

แล้วนักไต่ลวดคนนี้ ก็ตะโกนว่า …

“เอาล่ะครับ ผมขออาสาสมัคร 1 คนที่จะเกาะหลัง แล้วเดินข้ามลวดนี้ไปกับผมด้วย”

ปรากฏว่าคนดูทั้งหมด เงียบกริบเลย สักพักก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยกมือขึ้น ขอเป็นอาสาสมัคร ว่าแล้วเด็กชายคนนี้ ก็ค่อยๆ ปีนบันได ขึ้นไปขี่หลังนักไต่ลวดคนนี้ แล้วก็เริ่มต้นข้ามเส้นลวดนี้ไปพร้อมๆ กับชายคนที่ไต่ลวดคนนี้ ด้วยความหวาดเสียว ในที่สุด ก็ข้ามไปได้ด้วยดี ทุกคนปรบมือกันใหญ่เลย การแสดงจบลง ก็มีคนรีบเข้าไปถามเด็กคนนี้ว่า …

“เมื่อกี้ ทำไมหนูถึงใจกล้าจัง ไม่กลัวบ้างหรือ?”

เด็กคนนี้ก็ตอบว่า …

“ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะผู้ชายที่ผมกำลังเกาะหลังอยู่นั้น ก็คือพ่อของผมเอง ผมมั่นใจว่ายังไงๆ พ่อก็ต้องพาผมผ่านข้ามไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอนเลยทีเดียว”

อย่างนี้เรียกว่าเชื่อศรัทธา

นี่คือตัวอย่างของความหมายที่บอกว่าไม่ใช่แค่เชื่อเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อและวางใจ ยอมทุ่มเท ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตของตน ยอมเสี่ยง เพื่อความเชื่อ (ศรัทธา) นั้น มันจึงพิสูจน์ความเชื่อศรัทธานี้ได้ ถ้าไม่ยอมเสี่ยง ก็ยังไม่รู้

เพราะฉะนั้นหลายครั้ง พระเจ้าต้องพาเราผ่านพายุ ให้เราไปพบกับอุปสรรค ปัญหา จึงได้รู้ว่าจริงหรือเปล่า?

“นี่ เชื่อฉันจริงไหม?” หรือว่าเชื่อแค่อยากหายโรค หรือเชื่อแค่ อยากได้พระพรทางการงานการเงิน หรือเชื่อแค่ชีวิตสบายใจ ไม่ต้องลงนรก แค่นั้น ตอนความทุกข์ยากลำบากเข้ามา เหมือนพระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้ว ยังเชื่ออีกไหม?  

ถ้าท่านตอบตรงนี้ได้ว่ายังเชื่ออยู่ ท่านกำลังเชื่อศรัทธาอยู่ ขณะที่ท่านนอนบนเตียง หายใจ ดูน่าเกลียด เอาอะไรครอบ จะไปหรือไม่ไป ทุกข์ทรมาน ท่านยังเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอยู่ไหม? ท่านยังสามารถเอเมนไหม เวลาศิษยาภิบาลหรือใครไปอธิษฐานที่ที่นอน  ท่านพูดไม่ออก ท่านยังพยักหน้า เอเมน หรือท่านบอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่ไหว พระเจ้าช่วยด้วย ท่านลองคิดดูแล้วกันว่าท่านอยู่ในสถานะตรงไหน? ความเชื่อนี้ ต้องบวกกับความศรัทธา  เชื่อและวางใจในลักษณะนี้เท่านั้น  ถึงเรียกว่า Apostle’s Creed ได้ ความเชื่อที่ท่านพูด 12 อย่าง

“ฉันเชื่อวางใจว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ พระองค์เป็นพระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”

มันหมายถึงท่านวางใจในพระองค์ได้ ท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อว่า ไว้วางใจว่า ศรัทธาว่าพระองค์ เป็นอย่างนั้นๆ ไม่ใช่พูดลอยๆ ว่าพระองค์เป็นอย่างนั้น ได้ยินได้ฟัง มั่นใจในข้อมูล ไม่ใช่ มันต้องอยู่ข้างใน เชื่อศรัทธาด้วยใจข้างใน แล้วปากพูดออกมานั่นแหละของแท้  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2016 เรื่อง “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

เรายังเกาะติดสถานการณ์ หลังการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระเยซูได้ปรากฏพระองค์ 40 วัน หลังจาก 40 วัน พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ไปประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น จากอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 36 แล้ว วันพฤหัสฯ ที่จะถึงนี้ ก็ครบ 40 วันพอดี เป็นวันที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้า นี่พูดถึง 2,000 ปีที่ผ่านมา

พระเยซูต้องทนทุกข์ทรมาน และยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป เพื่อรับบาปของมนุษย์ไว้ เพื่อเป็นแพะรับบาป  และพระเจ้าให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงพูดไว้  เป็นความจริง  และที่สำคัญ  ก็คือให้เราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู  มีส่วนในการเป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูด้วย ตรงนี้สำคัญที่สุด

 

พระเยซูต้องปรากฏพระองค์เอง เดินอยู่กับมนุษย์ 40 วันเท่านั้นเอง เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ มากินข้าวกินปลา พูดคุย จับมือ ถือแขนกับพวกสาวกมากมาย เพื่อประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่เคยประกาศก่อนจะสิ้นพระชนม์ และเพื่อส่งสาวกของพระองค์ออกไปเป็นพยานว่าพระองค์ เป็นอยู่ ทรงพระชนม์อยู่ เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

“จริงๆ ฉันเห็นมากับตา ฉันจับมากับมือจริงๆ”

ตัวนี้สำคัญ ทุกเหตุการณ์มีที่มาที่ไป มีเหตุผล ซึ่งพระคัมภีร์มีบันทึกไว้ทั้งหมด

ยอห์น 16:7 “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าการที่เราจะจากพวกท่านไป ก็เพื่อผลดีของพวกท่าน ถ้าเราไม่ไป องค์ที่ปรึกษา ก็จะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน”

 

ที่พระเยซูต้องถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ ก็เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จไปอยู่ในสวรรค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่เสด็จลงมา พระเยซูจึงบอกว่าการที่พระองค์จะจากพวกเราไป เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานนั้น ก็เพื่อผลดีของพวกเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ลงมาสถิตอยู่ในตัวเราเลย เพื่อมาช่วยเราในระหว่างยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้

ถ้าพระเยซูเดินอยู่กับเราตลอดอย่างนี้   ก็แค่อยู่ข้างนอกตัวเรา   แต่ถ้าพระเยซูเสด็จไป พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา พระวิญญาณจะอยู่ในใจของเรา ในวิญญาณของเรา ต่างกันเยอะ เห็นหรือยังว่าพระเจ้าวางแผนอะไรไว้ พระเจ้าสามารถมาสถิตกับเราได้ อยู่กับมนุษย์ได้

ในยอห์น 14:26-27 พระองค์พูดถึงเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สัญญาว่าจะให้มาช่วยเรา

ยอห์น 14:26-27  “26  องค์ที่ปรึกษา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมา ในนามของเรา จะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 27 เรามอบสันติสุขแก่พวกท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านทุกข์ร้อน  และอย่ากลัวเลย” เอเมน

 

พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณ    ทั้ง 3 พระองค์นี้    ในพระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกันเราอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องสภาพของวิญญาณ แต่พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณอยู่ในเรา ก็คือพระเจ้าพระบิดาอยู่ในเราด้วย พระเยซูก็สถิตอยู่กับเราด้วย

“อ้าว! แล้วพระเยซู ในพระคัมภีร์บอกสถิตอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์”

ใช่พระองค์ สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ ในขณะเดียวกัน เราเป็นมนุษย์ เราคิดไม่ถึง เหมือนเราไปบอกมดว่า …

“เดี๋ยวเราจะเดินไปหน้าโบสถ์ ใช้เวลา 1 นาที”

มดมันบอกว่า “จะบ้าหรือ! ทำไปได้อย่างไร ใช้เวลา 1 นาที เขาต้องเดินกันเป็นเดือนๆ”

สมมติให้ฟัง มดมองไปไม่มีภูเขา มองทางราบอย่างเดียว แต่เรามองไป โอ้โห! มีเก้าอี้ขวางอยู่ ประตูสูง  เขาบอกเขามองราบอย่างเดียว ไม่เห็นมีอะไรเลย เข้าใจใช่ไหมครับว่าสายตาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน นี่คือใจความสำคัญที่บอกว่าพระวิญญาณมาอยู่กับเราดีกว่าอย่างไร?  ก็คือพระเจ้าพระเยซูสถิตอยู่ข้างในตัวเราเลย

หลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์ 10 วัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงลงมา 10 วัน   บวกกับอีก  40  วันหลังวันอีสเตอร์ ก็คือ 50 วัน วันที่ 50 หลังจากวันอีสเตอร์นั่นเอง

วันที่ 50 ภาษาฮีบรูเขาเรียกว่า เพ็นต้า … เพ็นต้า ก็คือ 5 … เพนเทคอสต์เดย์ วันที่ 50 นับจากวันอีสเตอร์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าวันเพนเทคอสต์ และปีนี้ตรงกับวันที่ 15 เดือนนี้

แล้วเมื่อถึงวันเพนเทคอสต์ ทุกคนก็รู้ โดยเฉพาะที่นี่ ต้องรู้เลย เพราะเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง  คริสตจักรแห่งนี้ก่อกำเนิดขึ้น ในวันเพนเทคอสต์ เมื่อ 23 ปีที่แล้ว

วันศุกร์ประเสริฐ คือวันที่พระเจ้าไถ่บาปให้กับเรา

วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเจ้าเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

และวันเพนเทคอสต์ คือวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาสถิตอยู่กับเรา

 

ครั้งที่แล้ว เราได้สรุปว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีความมั่นใจอยู่ 2 สิ่ง คือ …

(1) มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ และมั่นใจในร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจะประทานให้กับเรา แทนร่างกายที่เราเห็นทุกวันนี้ ก็คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์นั่นเอง  พระเยซูไถ่เราที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่าเราจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์

(2) มั่นใจว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่กับเราด้วยทุกหนทุกแห่ง ก็คือผลจากวันเพนเทคอสต์นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราได้ยกตัวอย่างชีวิตของโยเซฟ บุตรชายคนโปรดของยาโคบ ที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน จากการถูกพวกพี่ชายกลั่นแกล้งและขายให้ไปเป็นทาสที่เมืองอียิปต์ ถูกใส่ร้ายจนติดคุก จนกระทั่งได้มีโอกาสทำนายฝันให้กับกษัตริย์ฟาโรห์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง มีอำนาจใหญ่โตในอียิปต์

จนวันหนึ่ง เกิดกันดารอาหาร  และพวกพี่ชายของโยเซฟ   ต้องพากันมา ขอซื้อข้าวที่อียิปต์ และได้พบกับโยเซฟ ซึ่งตอนนั้น โยเซฟได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการไปแล้ว แทนที่โยเซฟจะโกรธพวกพี่ชายที่ได้เคยจะฆ่าตัวเอง โยเซฟกลับบอกพวกพี่ชายว่า …

“เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่เพราะพวกพี่คิดเองหรอก แต่เป็นเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นต่างหาก”

ให้อภัยหมดเลย  เกินกว่าคำว่าให้อภัยอีก เพราะไม่ได้คิดเลยว่าเขาทำอะไร? คิดว่าเป็นพระเจ้าผู้เดียวที่เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เหมือนพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟ ไม่มีต่างกันเลย  แต่ชีวิตของโยเซฟก็ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราทั้งหลาย ก็เหมือนกัน โยเซฟยังต้องเจออุปสรรคปัญหา และเจอความทุกข์ยากลำบากมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่พระเจ้ายังคงสถิตอยู่กับโยเซฟ เห็นไหม?

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากจะได้อะไร? ก็ได้ตามใจ ไม่ใช่เป็นคนพิเศษ แต่มันหมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป จะใช้เรา … เราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในภาพใหญ่ๆ แผนงานใหญ่ของพระเจ้า เราเป็นแค่จิ๊กซอเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ

วันนี้มาดูกันต่อว่าโยเซฟ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย มีคุณลักษณะอย่างไร? และเขารับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าโยเซฟมีชีวิตที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา ในทุกสถานการณ์ของชีวิต และการกระทำของโยเซฟ ก็ทำให้คนรอบข้างเห็นถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของเขา นี่คือแบบอย่างที่ดี ที่เราควรเรียนรู้

ตอนที่คนอิชมาเอลซื้อโยเซฟมาจากพวกพี่ชาย ไปเป็นทาส แล้วเขาก็ขายต่อให้กับโปทิฟาร์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ สังเกตดูว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับโยเซฟอย่างไร? ดูปฐมกาล 39:2-6

ปฐมกาล 39:2-6 “2 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และทรงอวยพรให้เขาเจริญรุ่งเรืองขึ้น  ในบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์ 3 เมื่อนายเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้า  ประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ 4 โยเซฟจึงเป็นที่โปรดปราน และกลายเป็นคนสนิทของนาย  โปทิฟาร์จึงตั้งให้โยเซฟดูแลครัวเรือนของเขา และมอบทุกสิ่งที่เขามีอยู่ ไว้ในมือของโยเซฟ 5 ตั้งแต่นายมอบหมายให้ โยเซฟดูแลทุกสิ่งในครัวเรือน และทุกสิ่งที่เขามี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรครอบครัวของคนอียิปต์นั้น เพราะเห็นแก่โยเซฟ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกสิ่งของโปทิฟาร์  ทั้งในบ้านและในทุ่งนา 6 ดังนั้น โปทิฟาร์จึงไว้ใจให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เขามี เมื่อมีโยเซฟเป็นผู้ดูแล  เขาไม่ต้องรับรู้เรื่องใดเลย เว้นแต่อาหารที่จะรับประทาน”

 

คิดดูสิจากการเป็นทาส เขาทำ จนกระทั่งเจ้านาย เจ้าของบ้าน ยกให้เป็นเหมือนบ้านของเขาเลย แค่ถามว่าวันนี้มีอะไรกิน?  องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จในทุกสิ่ง ที่เขาทำ เห็นชัดไหม?

นี่หมายถึงคนอื่นเห็นนะ ไม่ใช่เราพูด นี่คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย โยเซฟก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา … เขาจึงมีความมั่นใจมาก เขารู้เลยว่าเขาไปเป็นทาส เดินเข้าไป ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่เขารู้ว่าเขาไปเป็นพระพร สำหรับบ้านหลังนี้ เขาจะทำให้ดีที่สุด

จำได้ไหมที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านทราบ ถึงเรื่องที่เราไปสมัครงาน เวลาไปสมัครงาน เราไม่ได้ไปของานเขาทำ แต่เรากำลังจะไปดูว่าพระเจ้าจะพาเราไปอวยพรบริษัทนี้ไหม?   ถ้าสัมภาษณ์เสร็จแล้ว    เขาไม่เอา    แสดงว่าพระเจ้ายังไม่อวยพรบริษัทนี้ ต้องมั่นใจอย่างนี้ ถึงเดินไปอย่างกล้าหาญ ไม่ใช่เดินไปจ๋องๆ ไปของานเขาทำ พอเขาไม่ให้งาน เสียใจมากเลย ไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

นี่คือคุณสมบัติพิเศษของผู้เชื่อว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันจริงๆ”

จะเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ชีวิตจะต้องเปลี่ยนจากลูกเศรษฐี กลายมาเป็นทาสรับใช้ในเรือนเจ้านาย แทนที่โยเซฟจะตีโพยตีพาย ร้อง ถามหา …

“พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมทิ้งเราเป็นอย่างนี้? ทำไมกลายเป็นตกต่ำอย่างนี้? ทำไมเสียฟอร์มอย่างนี้? ทำไมแย่อย่างนี้?”

หลายคนไม่เข้าใจ …

“พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วให้เป็นทาสทำไม? ไหนพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อวยพรให้เธอเป็นคริสเตียน  ทำไมจนอย่างนี้”

เคยได้ยินคนพูดไหม? เคย ไม่ต้องแคร์เขา ถ้าพระเจ้าให้ท่านอยู่อย่างนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เอเมน

และเมื่อตอนที่โยเซฟถูกภรรยาของเจ้านายใส่ร้าย กล่าวหาว่าโยเซฟเข้าไปลวนลาม จนกระทั่งโยเซฟถูกจับไปขังคุก มาดูว่าโยเซฟตอบสนองต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร? ปฐมกาล 39:20-23

ปฐมกาล 39:20-23 “20 และเจ้านายนำโยเซฟมาขังไว้ในคุกหลวง 21 แต่ขณะที่โยเซฟถูกขังอยู่ในคุกนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา และทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัศดี  22 ดังนั้น พัศดีจึงตั้งให้โยเซฟเป็นผู้ดูแลนักโทษทุกคน และให้เขารับผิดชอบงานทุกอย่างในคุก 23 พัศดีผู้นั้น ไม่ต้องใส่ใจต่อสิ่งใดๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ และประทานความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ” เอเมน

 

ดีใจที่เขาอยู่ในคุกหรือ? ไม่ใช่ … ดีใจ เพราะเขาสำแดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาอีกแล้ว จนกระทั่งหัวหน้าดูแลคุก คือพัศดีได้เห็น ทั้งๆ ที่ตอนเข้าไปเขากลุ้มใจ เขาวิตกกังวล เดินคอตกเข้าไปในคุก เดินเข้าไปในการทดลอง แน่นอน ใครอยาก ก็เป็นมนุษย์  อยากสบายๆ ไปเจออย่างนี้ ทุกคนก็ต้องตกใจ แต่ขณะตกใจกลัว เขามีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย  ในนี้บันทึกไว้ …

“องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยเซฟ ทรงกรุณาเขา ทำให้โยเซฟเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพัสดีคนดูแล”

คนไม่รู้เรื่อง เขาจะถามว่า “ถ้าเผื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่อยู่ในคุก ไม่ดีกว่าเหรอ”

ถูกหรือเปล่า?  นี่คือความคิดของมนุษย์อีกแล้ว

มาถึงตอนที่โยเซฟ มีโอกาสทำนายฝัน ให้กับคนเชิญจอกเหล้าองุ่นของกษัตริย์ฟาโรห์ หลังจากที่ทำนายฝันให้แล้ว พูดอะไร? ปฐมกาล 40:14-15

ปฐมกาล 40:14-15 “14 เมื่อท่านได้ดีแล้ว โปรดระลึกถึงข้าและเมตตาสงสารข้าด้วย โปรดช่วยทูลฟาโรห์ เรื่องของข้า และช่วยข้าออกจากคุกนี้ 15 เพราะข้าถูกลากตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู และบัดนี้ ต้องมาอยู่ในคุก ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร”

 

เมื่อตอนต้นบอกว่าแม้จะอยู่ในคุก พระเจ้าก็ยังสถิตอยู่ด้วย และโยเซฟ ก็รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาด้วย และพระเจ้าอนุญาตให้เขาเข้ามาอยู่ในคุก รู้อย่างนี้แล้ว ทำไมยังต้องดิ้นรนหาทางออกจากคุกด้วย ทำไมมันแย้งกัน ฟังคำพูดเมื่อตะกี้ทรมานไหม? ทรมาน เขาอยากอยู่ในคุกไหม? ไม่อยาก เขาวิงวอนไหม? วิงวอน

แค่คำพูดว่า “ขอเมตตาสงสารข้าด้วยเถิด ข้าถูกใส่ร้าย”

แสดงว่าเขามีความคิดอย่างนี้ตลอดเวลา ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ในคุกนั้น ถูกไหม?  เขาไม่ได้มานั่งคิดตอนนี้ แต่เขาคงคิดตลอด  ขณะที่เขาคิดอย่างนี้ตลอดเวลา แต่การดำเนินชีวิตเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแรง ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้าตลอดเวลา จนผู้คนรอบข้างเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาจริงๆ แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียว ขณะที่เขาอธิษฐาน เขาอาจจะบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว”

แต่พอเขาเดินออกไปทำงาน  เขาก็ทำอย่างดีที่สุด  คริสเตียนเราเป็นอย่างนี้ ผู้คนมองเข้ามาเข้มแข็ง พอถึงวิญญาณ เราก็อ่อนแอ เราก็ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอความเมตตาจากพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ซาดิสต์ อยากทุกข์ทรมานมากๆ เขาก็อยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ใจ ทุกข์กาย เพราะกายนี้ มันเป็นกายเก่าที่มีเชื้อบาปอยู่ มันมีเจ็บปวด อ่อนแอมาก  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราก็อยากที่จะสบาย  พูดง่ายๆ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ดีงามทั้งหมด ไม่มีทุกข์ทรมานอย่างนี้ นี่มันมาจากบาป แต่ต้องอดทน เพราะการไถ่นั้นสำเร็จแล้ว แต่รอขบวนการครบถ้วนบริบูรณ์ก่อน ที่โยเซฟเป็นอย่างนี้ เพราะโยเซฟก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา มีเนื้อหนัง ไม่ใช่คนวิเศษ แตกต่างอะไรกับเราเลย ยังมีความกลัว มีความวิตกกังวล เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่เคยมีใครในโลกนี้ที่ชอบนะครับ แม้จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

“แต่ถ้าเลือกได้  ก็ขอให้ความทุกข์นี้ ออกไปจากข้าพระองค์เถิด”

ถูกไหม?  มันเป็นความคิดปกติของมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป  แม้กระทั่งพระเยซู ก็เป็นเช่นเดียวกัน  จนมาถึงตอนที่โยเซฟมีโอกาสทำนายฝันให้กับฟาโรห์ โยเซฟก็แสดงออกถึงคุณลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของผู้ที่เชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา นั่นก็คือเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ไม่เกรงกลัว ที่จะพูดในสิ่งที่มั่นใจว่าพระเจ้าอนุญาตให้เขาพูด พระเจ้าบอกเขาอย่างนั้นจริงๆ

ตอนที่คนเชิญจอกออกจากคุกแล้ว ก็ลืมโยเซฟไป 2 ปี แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระเจ้าประทานความฝันให้กับฟาโรห์ ไม่สามารถมีใครมาทำนายฝันได้ คนเชิญจอกคนนี้ นึกขึ้นได้ ยังมีคนรู้จักคนหนึ่ง ชื่อโยเซฟ พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ฟาโรห์ก็บอกให้เรียกมา โยเซฟก็ได้มีโอกาสมาพบฟาโรห์ โยเซฟได้ทำนายฝันให้ฟาโรห์ว่าจะมีการเก็บเกี่ยวผลอย่างมากมาย 7 ปี หลังจากนั้นอีก 7 ปีจะเกิดการกันดารอาหาร และฝันที่ฟาโรห์เห็นนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้เกิดขึ้น

โยเซฟได้แสดงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่จะพูดออกไป เมื่อเขามีความมั่นใจว่านี่พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น   แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ    ถ้าเกิดขึ้นไม่จริงโยเซฟก็คอขาดพอดี  กล้าหาญขนาดไหน? นอกจากมีความกล้าหาญแล้ว ในความมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่  ทำให้เขาได้แสดงออกถึงความมีเมตตาและอภัยด้วย  จากเหตุการณ์การกันดารอาหาร ทำให้พวกพี่ชายมาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟแทนที่จะโกรธพี่ชาย  เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา พระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ชีวิตเขาอย่างเดียว ทุกคนทุกชีวิต มั่นใจมากเลย

ปฐมกาล 45:5-8 “5 บัดนี้ อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเอง ที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6 เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดิน สองปีแล้ว ยังอีกห้าปี จะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง 8 ฉะนั้น  มิใช่พี่ เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา”

 

ถ้าเราจะทำเหมือนกับโยเซฟ วันนี้เราจะต้องคิดให้ดีๆ เราอาจจะต้องไปขอบคุณผู้คนที่ครั้งหนึ่ง เคยทำไม่ดีกับเรา  ซึ่งตอนนั้นเราคิดว่ามันไม่ดี แต่เพราะเหตุการณ์นั้น  มันทำให้เรามาเชื่อพระเจ้าได้ทุกวันนี้ … วันนี้เราต้องคิดใหม่ ไม่ใช่ไม่โกรธเขาไม่พอนะ ต้องหาทางเอากระเช้าดอกไม้ไปขอบคุณเขา  …  เขาคงงง ทำอะไร?

เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เรามองไปทุกอย่างสบายๆ แล้ว คือคำว่า “สบายๆ” ก็ต้องผ่านเนื้อหนังอีก ถึงต้องมาสอนกัน เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์ต้องทำอย่างนั้น แต่ให้รู้ว่าข้างในเรา จะทำอย่างไร?  และถ้าเราทำได้ เราเองนั่นแหละ จะได้พรคนแรกเลย คือหายเหนื่อยและเป็นสุข  เอเมน

“ขอบคุณพระเจ้ามากๆ วันนั้นโกงผมไป ผมเลยมีงานใหม่ที่ดีกว่า ถ้าไม่โกง ผมไม่เจ๊ง ผมไม่มีทางมาทำงานนี้หรอก งานนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่สุด      คือผมไม่มีทางมาหาพระเจ้าหรอก     ผมเย่อหยิ่งมาตั้งนานแล้ว    แต่เนื่องจากเจอวันนั้น ไปไหนไม่รอด ผมจึงเชื่อ ได้รู้จักพระเจ้าจริงๆวันนี้ ชีวิตของผมเปลี่ยนไปหมดเลย  ทุกอย่างก็ดีกลับมาหมดเลย ขอบคุณมากๆ”

นี่คือความจริง มนุษย์รับยาก แต่เราต้องเรียนรู้กันไป

เรื่องราวของโยเซฟที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็คือคุณลักษณะพิเศษของผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย  ซึ่งจะต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ รอบข้างแบบนี้ และเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเชื่อในการทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่กับเราตลอดเวลา ควรเอาเป็นแบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต

 

เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ได้หมายความว่าเราอยากได้อะไร? ก็ได้ทุกอย่าง ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ตรงนี้เป็นหัวใจเลย

พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์จะทำงานในชีวิตเราจากนี้ต่อไป เรียกว่ารับใช้

ตอนนั้น อียิปต์ เป็นเหมือนกับประเทศมหาอำนาจ ร่ำรวยมาก โยเซฟเหมือนนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการ ใหญ่มาก เป็นคนฮีบรู เป็นยิว คนยิวก็แห่กันมา ย้ายจากที่ลำบากลำบนมาที่นี่  เส้นใหญ่ครับ เพราะผู้สำเร็จราชการเป็นชาวยิว ก็เลยเอื้ออำนวยให้คนยิวอยู่ดี กินดี เป็นเวลาหลายร้อยปี ผู้คนเหล่านั้น คือพี่น้องของโยเซฟ เป็นชาวยิวทั้งนั้น มีลูกมีเต้าเยอะแยะ ลูกก็แข็งแรง เพราะกินดีอยู่ดี  ฟาโรห์คนเก่า ที่รู้จักโยเซฟตายไป รุ่นของโยเซฟหมดไป ฟาโรห์คนใหม่ไม่รู้จักโยเซฟ มองไป คนยิวน่ากลัว เพราะแข็งแรง คนเยอะแยะมากมาย เกิดคิดกบฏขึ้นมาแย่เลย เพราะฉะนั้นต้องจัดการให้มันน้อยลง ก็กลั่นแกล้งต่างๆ นานา จนกระทั่งโมเสสก็เกิดในช่วงที่ถูกฟาโรห์คนใหม่ข่มเหง โมเสสเกิดที่นี่ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าโยเซฟได้รับพระพร ทำให้ชาวยิวมาที่นี่ ครอบครัวของโมเสสก็อยู่ที่นี่ โมเสสก็คลอดออกมา แล้วเกิดอะไรต่างๆ ที่ไม่ดี  พระเจ้าก็อนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อเป็นไปตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น โยเซฟก็เป็นแค่จิ๊กซอตัวหนึ่งที่ทำให้โมเสสมาเกิด แล้วโมเสสกระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด และตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้พวกเราทั้งหลาย นั่งอยู่ที่นี่ได้ รู้จักพระเจ้าได้ การไถ่ถอนของพระเจ้าสำเร็จ เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ก็เพราะส่วนหนึ่ง ก็คือโยเซฟที่ตกลงไปในบ่อน้ำ

ถ้าคิดมาย้อนปัจจุบัน ผมนึกถึงปู่ผม  … ปู่ผมมีครอบครัวที่ดีมากอยู่ที่ประเทศจีน ในสมัยนั้น เกิดสงครามกลางเมือง จำเป็นต้องอพยพออกมา เป็นคริสเตียนทั้งครอบครัว ก็อธิษฐานกับพระเจ้า …  พระเจ้าก็นำพาโดยอัศจรรย์ มาเมืองไทย อยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวที่มีฐานะที่ดี ไม่อย่างนั้นผมคงเกิดที่โน่น พระเจ้านำหมดเลย ตอนที่ปู่ผมตาย ผมยังไม่เชื่อพระเจ้าเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย มาลำบากลำบนเปล่า?

ปู่ผมไปอยู่กับพระเจ้าไม่กี่ปีต่อมา   ผมมาเชื่อพระเจ้า    …    พระเจ้ามองหมดแล้ว มันจะต้องเกิดวันนี้ คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ มีอายุครบ 23 ปี ก็ต้องมีคนๆ หนึ่ง มาช่วยกันกับอีกหลายๆ คน ทุกคนถูกเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว ให้มาทำอะไร? มันต้องมีคริสตจักรที่นี่ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรวันหนึ่งข้างหน้า ผมตายจากโลกนี้ไป ผมจะเห็นภาพอนาคตข้างหน้าว่าเพราะปู่ย้ายมาที่นี่ ผมมาเป็น คริสเตียน ผมมาร่วมกันก่อตั้งโบสถ์ที่นี่  มาประกาศข่าวประเสริฐ คนนี้ก็เชื่อจากการประกาศของผมออกไป ไม่ใช่ผมดีนะ ผมกำลังจะเล่าให้ท่านฟัง ผมไปประกาศ คนนี้เชื่อ แล้วเขาก็ไปทำงานของเขาเกิดผล ท่านพอจะเข้าใจอะไรไหม?

ผมกำลังพยายามให้ท่านเห็นภาพว่าเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ ของการงานของพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าใช้เราอย่างนี้ๆ เราไม่รู้เรื่อง เราก็ว่าของเราไปเรื่อยๆ ตายไป เรายังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราทำวันนี้  มันกระทบสู่ผลดีอะไร ภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า อีกมากมายขนาดไหนเราไม่รู้ แต่เรารู้แน่ๆ ว่ากระทบแน่นอน เพราะว่ามันเป็นแผนการใหญ่ของครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าครอบครัวของพระเจ้า เอเมน

ชีวิตผมเหมือนกัน ถ้าไม่มีวันนั้นลำบากลำบน ผมก็ไม่มาเชื่อพระเจ้า ต้องกลับไปขอบคุณอีกหลายคน ที่ทำให้ผมลำบากลำบนวันนั้น แล้วได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะไม่ใช่เขา แต่เป็นพระเจ้าจัดเตรียมแผนการให้เราเล็ดลอด ค่อยๆ เข้ามาสู่ทางของพระองค์ได้ ชีวิตเราก็ควรจะเป็นแบบโยเซฟ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ของแผนการของพระเจ้า และในทุกสิ่ง ให้เราคิดเหมือนกับที่โยเซฟคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเราก็ตาม จงเชื่อมั่นว่าพระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มันเกิดขึ้น เพื่อผลดีเสมอ ในขณะที่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ รู้แต่ว่าเมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เดี๋ยวมันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน สำหรับเราและผู้คนเยอะแยะมากมาย   ที่จะกระทบเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต   และจงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ให้ดีที่สุด และยึดมั่นไว้อย่างมั่นคงว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งตลอดเวลา ไม่ว่าจะนอนหลับ หรือตื่นอยู่ พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรืออยู่ในวัง จะมีกินหรืออดอยาก หรือจะเจ็บป่วย หรือจะแข็งแรง พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะถูกเขาดูถูกหรือถูกเขาสรรเสริญ พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอดเวลา ท่านก็ไปใส่ทุกอย่าง พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนี้ และเมื่อรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เราเป็นแผนการส่วนหนึ่งเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในภาพใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็ให้เราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ ก็จงดีใจ ไม่ใช่ดีใจ เพราะอยากมีชีวิตอยู่นะ

ตราบใด ท่านมีลมหายใจอยู่ ท่านมีคุณค่าที่จะมีชีวิตต่อไป ถ้าท่านรู้ว่าขณะที่ท่านมีลมหายใจ นั่นคือพระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ มันมีอะไรบางอย่างกระทบต่อไป ท่านอาจจะบอก …

“ก็นอนอยู่ในห้อง ICU ไม่ไปสักที”

พระเจ้ากำลังใช้ท่านอยู่ ไม่ต้องคิดว่าใช้อย่างไร? แต่ถ้าหมดลมหายใจ ก็จบงาน พักผ่อนแล้ว ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ท่านรับใช้ได้ตลอด ไม่ว่าเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ท่านก็รับใช้ได้ตลอด คือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ คุณค่าที่รู้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา และนำพาชีวิตเรา ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือแผนการใหญ่ของพระองค์ที่ดีงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาดี ไม่ใช่สำหรับเราคนเดียว แต่ดีสำหรับภาพรวมทุกคน เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ