วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1439

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 1 “อิสระจากความกลัวตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ในวันนี้ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง” ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เรากลัวอะไรบ้าง?  กลัวเจ็บป่วย กลัวอดอยาก กลัวทุกข์ยากลำบาก กลัวตาย กลัวถูกพิพากษาหลังความตาย จะไปอยู่ไหนไม่รู้ กลัวอุบัติเหตุ กลัวความไม่แน่นอน คือความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้  เรากลัวไปหมดเลย เราจึงจะมาเรียนรู้จักจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูอธิบายให้เราฟัง จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวทั้งหมดเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มีสันติสุขและมีความหวัง อันมั่นคง แข็งแกร่ง สามารถเผชิญได้ทุกๆ สถานการณ์

            และหวังว่าความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ ฉะนั้น ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ เริ่มวันนี้ตอนที่ 1 เลย “อิสระจากความกลัวตาย” ในที่นี้ พี่น้องที่อยู่ทางบ้านด้วย ถามจริงๆ เป็นคริสเตียนหรือยัง? เป็นแล้ว มีใครยังกลัวตายอยู่ไหม? ตอบในใจก็ได้ ตอบมีเสียงก็ได้ ลองคิดถึงตัวเราเองว่าเรากลัวตายไหม?  เราเป็นคริสเตียน  ถ้ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อเลย  อันนี้ไม่ต้องพูดถึง  เพราะพระคัมภีร์บอกความจริงว่าเพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา กลัวตาย เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของทุกคนอยู่แล้ว เพราะว่าตกอยู่ใต้ความบาปและคำสาปแช่งของความตายและความบาป ด้วยกันทุกคน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  เกิดมา ก็ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและคำสาปแช่งในวิญญาณ  เป็นบาปอยู่

            เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดความกลัวอยู่ในใจลึกๆ  อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ กลัวตาย ส่วนจะแสดงออกเป็นการกลัวตายอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่แต่ละคน แต่ละคนในใจลึกๆ กลัวตายทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งผู้ที่เป็นคริสเตียนด้วยนะ ในลึกๆ มันยังคงค้างอยู่ คงเหลืออยู่ แต่เราอาจจะอย่างที่บอก เรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า  เราไม่กลัวตาย  อันนั้นเป็นส่วนของความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า แต่ส่วนข้างในลึกๆ เรายังกลัวตายอยู่ เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความกลัวตาย  บนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม  ที่ทำให้กลัวตาย ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่ไปหาหมอ กินยาหรอก  อดทนเอา ตายก็ดี  ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่พยายามที่จะหนี หรือหาอะไรปกปิด ร่างกายเราให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง

            สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าลึกๆ เราก็ยังกลัวอยู่  แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ

            ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงสอนเราในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเรารู้ความจริงเหล่านี้ เข้าไปลึกๆ อยู่ในสมองของเราแล้ว ความกลัวมันจะหายไปจากสมอง จากความคิดของเรา ความจริงเหล่านี้จะมาเป็นตัวลบ เอาความกลัวออกจากความคิดของเรา ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ จะเป็นโล่ป้องกันความกลัวที่ส่งเข้ามาจากโลกนี้ ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งความคิดเก่าๆ ของเราด้วย

            เพราะฉะนั้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ใส่เข้าไปในจิตใจของเรา  เข้าไปในสมอง ไปล้างของเก่า ล้างความกลัวออกไปจากสมองให้มันหมด มันอาจจะไม่หมดหรอก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  เรายังได้รับอิทธิพลจากความบาปและความตาย  จากความกลัวบนโลกใบนี้อยู่ แต่อย่างน้อย มันน้อยลง  เท่าที่จะเป็นไปได้  เอเมนไหม? นี่คือความจริง

            ดังนั้น สามารถตอบเมื่อตะกี้นี้ได้ว่ายังกลัวไหม? ก็ต้องตอบไปตามธรรมชาติว่ามันก็ต้องกลัวแหละ  เพราะตามธรรมชาติอยู่บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความกลัว ก็กลัวมาก กลัวน้อยเท่านั้นเอง

            ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูบอก  ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวนี้ วันนี้จะยกมาแค่ไม่กี่ข้อความเท่านั้นเอง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดแล้ว จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวมากเลย ซึ่งมันมีถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้อีกเยอะแยะมากมาย ในหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ได้พูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อจะเป็นอิสระจากความกลัว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และเป้าหมายของเราในการพุ่งตรงไปข้างหน้า ด้วยความเชื่อศรัทธา

            ความจริงอันดับแรกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณนี้ให้กับพวกเราได้รู้ ฟังดูแล้วจะรู้สึกเลยว่ามันเกิดความฮึกเหิม เกิดความมั่นใจ  ที่เราเรียกกันว่าความเชื่อ  เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของเราแล้ว  แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอกลับมาใคร่ครวญ ไต่ตรองถึงถ้อยคำความจริงเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ในเช้าวันนี้ จะทำให้เรารู้สึกเพิ่มพูนความมั่นใจ ความหวังใจอย่างชัดเจนขึ้นในชีวิตของเรา  ทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย อย่างน้อยก็ได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            เริ่มต้นที่ยอห์น 11:25-26 พระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้พูดความจริงตรงนี้อย่างชัดเจน บอกว่าเราจะบอกความจริงให้กับท่าน นี่คือความจริง …

        ยอห์น 11:25-26 “25 พระเยซูตรัสว่า “เรา คือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา  ผู้ที่เชื่อในเรา จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป 26 และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย  เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            มนุษย์เราเกิดมา ก็รู้ๆ กันอยู่ เราเกิดมา เผชิญกับความแก่ เจ็บ และตาย หนีไม่พ้น ทุกคน แล้วจู่ๆ พระเยซูมาประกาศความจริงในโลกวิญญาณว่าเราคือผู้ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย  และให้ชีวิตกับเขา ก็คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และก็เป็นขึ้นมาใหม่  โดยพระเยซูคริสต์บอก

            “ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้เขาตายไปแล้ว” พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าสิ้นลมไป ตายของเราในที่นี้ ก็คือหมดลมหายใจ มนุษย์กลัวตาย ก็เพราะว่ากลัวหมดลมหายใจ แต่พระเยซูบอกหมดลมหายใจ แต่ไม่ตาย  เกิดอะไรขึ้น

            “และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา” ก็คือขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มีชีวิตอยู่ใช่ไหม? เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่ตายเลย  ก็หมายถึงเขาจะแค่หมดลมหายใจ และเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปอยู่อีกลักษณะหนึ่ง  ก็คือยังมีชีวิตอยู่ ด้วยร่างกายใหม่  พระองค์ถามมนุษย์ทุกคนว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            ตอบสิครับ ผมก็จะถามตามที่พระเยซูถามว่า “ท่านเชื่อตามที่พระเยซูบอกความจริงตรงนี้หรือไม่ว่าถ้าวางใจในพระองค์ ท่านเกิด แก่ เจ็บ และไม่ตาย”

            “อ้าว! แล้วสิ้นลมล่ะ”

            เดี๋ยวฟังต่อไปว่าไม่ตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น  ยังมีชีวิตอยู่ต่อ แค่นี้ก็ตกใจแล้วนะ นี่คือคำพูดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงประกาศอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์  ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ ถ้อยคำของพระองค์พูดเหล่านี้ ไม่มีสาระ มันเป็นการโกหก น่าเกลียดที่สุดเลย เกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย มันไม่ควรเชื่อเลย แต่ 2,000 ปี พิสูจน์มาเห็นชัดเจนว่ามีผู้เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่พูดไว้ตรงนี้มากขึ้นและมากขึ้น และมากขึ้นทุกวันๆ เอเมน

            ก็แสดงว่ามันต้องมีมูลเหตุแน่นอน  ที่คำเหล่านี้เป็นจริง ถ้าไม่จริง มันคงไม่เป็นเยอะขนาดนี้หรอก มนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ เป็นหลายๆ ล้านคนเหล่านี้ ใน 2,000 ปีนี้ มาเชื่อเรื่องโง่ๆ อย่างนี้หรือ? มาเชื่อเรื่องหลอกลวงแบบนี้หรือ? เป็นไปได้ไหม? พอคิดอย่างนี้แล้ว พอเราเป็น คริสเตียนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว เราสามารถตอบตรงนี้เลยว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            “เอเมน เชื่อครับ”

            ความคิด กลัวตายของเรามันจะลดลงทันทีเลย มันจะมั่นใจขึ้นทันทีเลย ที่พูดมาทั้งหมด ใช่หมดเลย ลืมคิดไป เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 20 ปี เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 10 ปี เชื่อพระเจ้ามา 1 ปี เชื่อพระเจ้ามา 4-5 วัน ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปว่าเราไม่ควรกลัวเลย ใช่ไหม?

            มาข้อต่อไป 1 เธสะโลนิกา 4:13-14 พูดถึงเกี่ยวกับคนที่หมดลมหายใจไปว่าคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว เมื่อเกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย แต่หมดลมหายใจไป เป็นอย่างไร? เขาเรียกกันว่าอะไร? แล้วเราควรจะมีท่าทีอย่างไร?  สำหรับลักษณะอาการอย่างนั้น ที่เขาสิ้นลมไป …

        1 เธสะโลนิกา 4:13-14 “13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่าน ไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซู (ก่อนหน้า) นั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น (ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซู) มากับพระองค์ (ในวันพิพากษาโลก) ด้วย”

            “แต่พี่น้องทั้งหลาย” ก็คือบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย หรือในกลุ่มของคริสเตียน  เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเรียกกันว่าเป็นพี่น้องกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่ในครอบครัวในพระเยซูคริสต์ “ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไป” สังเกตเห็นไหมครับ? พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” แทนคำว่า “ตาย” เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ล่วงหลับ เพราะฉะนั้น เป้าหมายของเรา  มองไปที่อนาคตของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเกิด แก่หรือยังตอนนี้ แก่อยู่ เจ็บมากเจ็บน้อย ก็เจ็บอยู่ เจ็บหนีไม่พ้น แต่เราพ้นความตายแล้ว เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเกิด แก่ เจ็บ แล้วเราก็หลับไป  เพราะสำหรับผู้เชื่อ คือเป็นคริสเตียนแล้ว จะไม่มีการใช้คำว่า “ตาย” อีกแล้ว นี่คือความจริง  เพราะความตาย คือโทษของความบาป เมื่อเรารอดจากโทษของความบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราก็ไม่ต้องตาย ชัดเจนเลย

            คำว่า “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็แปลว่าอยากให้ท่านทราบนั่นเอง  เป็นสำนวนที่เน้นว่านี่คือความจริงที่อยากให้ท่านรู้ “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็คืออยากมากเลย ให้ท่านทราบความจริงนี้ เรื่องเกี่ยวกับความจริงในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความตาย มันคืออะไร? เราจะเรียนรู้ต่อไป อยากให้ทราบถึงความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ว่าคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว คือคนที่มนุษย์บนโลกใบนี้บอกว่าสิ้นลมแล้ว ตายแล้ว เขาได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่หลับไป วิญญาณออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่เลย  ไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านทราบสิ่งเหล่านี้  เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า พี่น้องที่เป็นคริสเตียนเอง เราก็จะหลับไปอย่างนี้เช่นเดียวกัน

            นั่นเกิดขึ้นกับเขา ไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้เหมือนกัน  คือไม่ได้ตาย สิ้นลม หลับไปเท่านั้นเองแล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้รับความจริงอย่างนี้แล้ว  รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะได้ไม่ต้องกลัวความตาย คือเป็นอิสระจากความกลัวตาย เพราะนี่คือความจริง  เมื่อเป็นอิสระจากคาวมกลัวตายแล้ว ท่านก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินเหตุ สำหรับคนที่เรารัก จากไปก่อน สิ้นลมไปก่อน  ล่วงหลับไปก่อน  เราก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินกว่าเหตุ เหมือนกับคนอื่นๆ บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้จักเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ เขากลัวกัน เขาโศกเศร้าเสียใจ  ไม่เจอกันอีกแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่เราจะไม่โศกเศร้าอย่างนั้น  เพราะเรามีความหวังที่ชัดเจน ในความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แต่เขาไม่มีความหวังแบบนี้ เหมือนเรา เพราะเขายังไม่ได้เชื่อในความจริง ในคำพูดของพระเยซูคริสต์

            และถ้าเราได้มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา สมมติว่าพรุ่งนี้ เรายังหายใจอยู่ ยังไม่สิ้นลม พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก คนเหล่านั้น ที่จากไปก่อนแล้ว  ล่วงหลับไปก่อนแล้ว  ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว จะกลับมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  กลับมาพิพากษาโลกพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

            เห็นภาพอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าโอ้โห! ไม่มีความตาย สำหรับผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเลย ไม่มีเลย ไม่มีการตายอีกแล้ว มีแต่การเปลี่ยนแปลงมิติ เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงร่างกาย

            ข่าวดีในเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเราได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราเริ่มต้นเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณของเรา  เรียกว่าได้รับบัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซู เข้าไปเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของคนนั้น  ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเขา ชีวิตของฉันได้ถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ ติดอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ฟังถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ชีวิตของท่าน คือวิญญาณของท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์และท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเจ้า พระบิดา  และพระเจ้าพระบิดา ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้มาเป็นพี่เลี้ยงของท่าน อยู่กับท่านตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ท่านนั่งอยู่นั้น ในวิญญาณของท่านมีตรีเอกานุภาพ  คือพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ ปกคลุมอยู่ในตัวของท่านตลอดเวลา จะตายได้อย่างไร? ท่านไปไหนมาไหน ก็มี 4 บุคคลไปกับท่านตลอด  ก็คือพระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในชีวิตของท่าน

            สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ รอวันออกจากที่ซ่อน วันไหนที่ออกจากที่ซ่อน  วันที่ท่านล่วงหลับนั่นแหละ  พอล่วงหลับปุ๊บ ท่านออกจากที่ซ่อนทันทีเลย ท่านจะปรากฏโฉม เต็มด้วยสิริ สง่าราศี  งดงามเหมือนพระเยซูคริสต์เลย รอวันนั้น วันที่ภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้ ต้องการให้เรากลัว ก็คือวันที่ตาย แต่ของเราไม่ใช่  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วันนั้น คือวันที่เราล่วงหลับ  หมดลมหายใจ  เราจะปรากฏตัวของเรา ตัวตนแท้จริงของเรา ด้วยการสวมร่างกายใหม่  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู

            ข่าวดีในเรื่องพระเยซู คือพระเยซูหัวหน้ามนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่มีตาย  พันธุ์ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง พันธุ์ที่ชนะความตายแล้ว มนุษย์ที่อยู่เดิมนั้น  ก่อนพระเยซูและหลังพระเยซู ถ้าไม่ได้เชื่อพระเยซู เขายังเป็นมนุษย์พันธุ์เดิมอยู่ คือพันธุ์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย  ถ้าใครย้ายตัวเองมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาก็เกิด แก่ เจ็บ และไม่ต้องตาย  แต่ได้บังเกิดใหม่  เป็นไปตามที่ตะกี้นี้ ผมอธิบายให้ฟัง

            ข่าวดี คือพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พระเยซูเป็นพระบุตร เป็นบุตรของมนุษย์ เป็นมนุษย์แท้ๆ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะมาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าส่วนร่วมในร่างกายแบบเราอย่างนี้ เหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย  เพราะฉะนั้น  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในนามของมนุษย์ ก็หมายถึงพระเยซูทรงกระทำอะไร ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยทั้งสิ้น นี่คือข่าวดีของพระเยซู เพราะฉะนั้น พระเยซูได้รับอะไร ที่เป็นสิ่งดีๆ ที่เป็นพร มวลมนุษย์ก็จะได้รับไปด้วย  พระเยซูเป็นอะไร มนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะพระองค์ทรงเป็นตัวแทน  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ เหนือความตาย เราก็เป็นผู้มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  และเป็นตัวแทนของฉัน พระองค์ได้อะไร ฉันก็ได้ด้วย พระองค์ทรงทำอะไร เราก็ทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงกระทำแทนเรา 1 โครินธ์ 15:54-57 ยิ่งอ่านตรงนี้ ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย อ่านแล้วยิ่งชนะแบบหลุดลอยไปสู่อิสรภาพ …

        1 โครินธ์ 15:54-57 “54 เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น   สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป“  55 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ ชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กไนของเจ้า” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย” เสื่อมสลาย คือหมดไป สูญสิ้นไป เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น หมายถึงเมื่อร่างกายของเรา ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และที่สุดก็เอาไปเผาไฟ หรือเอาไปฝัง และในที่สุด ก็กลายเป็นปุ๋ย กลายเป็นดินไป  หรือจะเอาไปทำอะไรก็ตาม ที่มันสูญสิ้นไป ร่างกายที่ท่านอยู่อาศัยตอนนี้ ร่างกายที่ท่านมองเห็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ในวันหนึ่ง มันจะสูญสิ้นไป

            นี่คือความจริงที่มองเห็นอยู่ และมนุษย์ก็รู้อยู่ แต่ในโลกวิญญาณ ก็มีความจริงอีกอันหนึ่งเหมือนกัน ที่บอกถึงความจริงที่เป็นอยู่ ที่มนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มนุษย์จึงไม่เชื่อ โลกจึงไม่เชื่อ โลกจึงพยายามที่จะผลักดันเราไปเชื่อในสิ่งที่ต้องจับต้องได้ ถ้าจับต้องมองเห็นไม่ได้ อย่าเชื่อนะ นี่คือข้อมูลจากโลกนี้ แต่ข้อมูลจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน ที่จับต้องมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้นั้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง เอเมน

            เมื่อที่เสื่อมสลายได้นั้น ก็คือร่างกายที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็คือร่างกายที่ต้องตายนั้น มันสูญสิ้นไปก็ตาม แต่มันไม่สูญสิ้น เพราะว่าเมื่อมาเชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก พอหมดลมหายใจทันทีปุ๊บ สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็มีร่างกายใหม่ที่เป็นอมตะ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์สวมเข้ามาทันที  เมื่อล่วงหลับ เมื่อลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ สวมทันที สวมร่างกายที่เป็นอมตะ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี

            และในนี้อธิบายว่า … “และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตาย” เห็นหรือยัง? ร่างกายที่ตายได้ สวมร่างกายใหม่ ที่ไม่มีวันตายอีกต่อไป  ไม่มีวันสิ้นลมอีกต่อไป ไม่มีวันสูญสิ้นอีกต่อไป

            “คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง” เป็นจริงตามถ้อยคำบันทึกไว้ โดยพระเจ้านั่นเอง คือความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป  เห็นไหม? ไม่เห็นมีความตายเลย ความตายอยู่ไหน?  เกิด แก่ เจ็บ แล้วเปลี่ยนร่าง พระเยซูมาทำให้มนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่เชื่อในพระองค์นั้น แทนที่จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วตาย  กลายเป็นเกิด แก่ เจ็บ และก็เปลี่ยนร่าง เพราะฉะนั้น ก็คือความตายก็พ่ายแพ้  ถูกกลืนหายไป

            ข้อ 55 ดีมากเลย ขอบคุณพระเจ้า จำง่ายเลย 1 โครินธ์ 15:55 มี 5 กี่ตัว? 555 ห้าสามตัว ห้า สามตัวเขาเรียกว่า 555 ข้อ 55 เลยบอกว่า “555 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กในของเจ้า 555” ลองหัวเราะสิ

            เวลาที่เราเกิดความคิดกลัวตายขึ้นมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร? กลัวขึ้นมาแล้วแต่ ให้สมองเราคิด 1 โครินธ์ 15:55 ความตายเอ๋ย เจ้าพ่ายแพ้ไปแล้ว เหล็กในเจ้าอยู่ที่ไหน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่ทำให้เราต้องกลัวเหล็กในของความตาย คือความบาป  เหล็กใน คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ อำนาจความตาย คือความบาป และอนุภาพของความบาป คือบทบัญญัติ

            ความบาป เกิดมาจากการกระทำผิดบาป ตามบทบัญญัติ  ตามกฎศีลธรรม  แต่เราได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากความบาปและการผิดศีลธรรมเหล่านี้แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากความบาปนี้ เราจึงพ้นจากความบาปและอำนาจของความตาย  จึงไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราอีกต่อไป เราจึงได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ข้อ 57 “แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงประทานชัยชนะแก่เรา” ชัยชนะเหนือความตาย  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เราจึงไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไปแล้ว เอเมน

            “โดยพระเยซูคริสต์ ฉันไม่กลัวตายอีกแล้ว” เอเมน

            จากการที่พระเยซูคริสต์เอาชนะความบาปและความตาย  และได้ทำลายล้างอำนาจ หรือเหล็กในของความบาปและความตาย ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตกเป็นทาสแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง จนหมดสิ้น  พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป และที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปเหล่านี้ ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะด้วย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเพื่อเราทั้งหลาย พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป มีชัยชนะ เราจึงมีชัยชนะด้วย

            พระเยซูคริสต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิต เอาชนะความบาปและความตาย  โดยพระองค์ได้ทรงเสียสละ ยอมเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แบกรับเอาความบาป เอาคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมานไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่พวกเราบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ได้รับชัยชนะนี้มาด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  พระคัมภีร์จึงเรียกพระเยซูว่าเป็นผู้พิชิตความตาย เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราได้มาฟรีๆ แค่เปิดใจรับสิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ฮีบรู 2:14-15 …

        ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส  เนื่องจากกลัวความตาย”

            “เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร” เห็นไหมครับ? อำนาจของความตาย คือมาร ถูกทำลาย ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชีวิตตกเป็นทาส เนื่องจากกลัวความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดมาปุ๊บ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือเกิดมา ก็ต้องอยู่ในกฎของโลกใบนี้ กฎแห่งกรรมบนโลกใบนี้ ก็คือเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่ และเจ็บ และตาย สูญสิ้นไป จึงตกเป็นทาส เนื่องจากความกลัวตาย  แต่พระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้พ้นจากอำนาจนี้แล้ว  เป็นอิสระจากความกลัวตาย ความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะมันเป็นเรื่องจริงๆ  ที่เกิดขึ้นจริงๆ อย่าให้โลกนี้ ระบบของโลกนี้ ซึ่งมารใช้หลอกลวงมนุษย์ มาหลอกเราอีกต่อไป ให้เรากลัวตาย  เพราะเราไม่ได้เป็นทาสของความตายอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว  เราเป็นอิสระจากโลกนี้แล้ว เราจึงเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะเราไม่ต้องตายแล้ว เอเมน

            เราผู้เชื่อหรือคริสเตียนทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลยทันที เรียบร้อยแล้ว  จบแล้ว ที่วิญญาณของเรา คือที่วิญญาณและจิตใจของเรา ที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าวิญญาณและจิตใจภายในของเรา  ได้เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม  ได้บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนเลย เพียงแค่รอเราเปลี่ยนแปลงร่างกายที่ต้องสูญสิ้นไป หมดลมไปในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นร่างกายภายนอกที่เรามองเห็น เรียกว่าเสื้อเก่าก็ได้ เสื้อก็ได้ รอวันที่จะเปลี่ยนเสื้อใหม่ เสื้อนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ ตัวเราคือตัวเรา เสื้อคือเสื้อ วิญญาณของเรา และจิตใจของเรา คือตัวเราจริงๆ แท้ๆ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม สวมร่างกายเดิมนี้ ซึ่งร่างกายจะมีวันหนึ่งข้างหน้า จะล่วงหลับ และสูญสิ้นไป เราจะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาแทนที่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ความตาย หรือที่เรียกกันว่าหลับ หรือที่เรียกกันว่าสูญสิ้น เมื่อถึงวันนั้น ที่โลกนี้เรียกว่าความตาย การเกิด แก่ เจ็บ ตายของคริสเตียนนั้น  ความตายจึงเป็นเพียงแค่ประตูสุดท้ายแห่งชัยชนะของเราบนโลกใบนี้  คือเป็นแค่ประตูแห่งการเปลี่ยนมิติ เข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณ อย่างเต็ม สมบูรณ์แบบของเรา ก็คือวิญญาณและใจ ที่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือได้สวมร่างกายที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ครบหมดเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ครบหมด เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ทันที เต็มด้วยสง่าราศีทั้งวิญญาณ และจิตใจที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริ  เต็มไปด้วยความบรรเจิด เหมือนพระเยซูคริสต์ครบหมดเลย  และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตาฝ่ายวิญญาณ เราก็จะมีความสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ เห็นผู้คนที่อยู่ในสวรรค์ก่อนหน้าเรา หน้าต่อหน้าได้ และที่สำคัญที่สุด เห็นตัวตนแท้จริงของเราหน้าต่อหน้าได้ เหมือนเห็นในกระจก

            ทุกวันนี้ เราอยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่ในวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซู จิตใจข้างในเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์  แต่เรามองในกระจกในปัจจุบัน ท่านเห็นใครในกระจกเมื่อเช้านี้? ท่านเห็นวิญญาณของท่านไหม? ไม่เห็น  เห็นใจของท่านที่เหมือนพระเยซูไหม?  ไม่เห็น เห็นอะไร? เห็นร่างกายที่เป็นตัวเดิมของท่าน ที่แก่ลงไปทุกวัน เจ็บลงไปทุกวัน และกำลังไปสู่ความสูญสิ้น  ถูกไหม? เห็นตัวจริงๆ ของท่าน  ก็คือเห็นตามโลกใบนี้  เพราะตาท่านมีความสามารถแค่นั้น  แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว  ท่านจะเห็นตัวท่านเอง ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซู ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าตัวท่านเองเป็นอย่างนั้นแหละ เอเมน 2 ทิโมธี 1:9-10 …

        2 ทิโมธี 1:9-10 “9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆ ของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 10 แต่บัดนี้ ทรงให้ประจักษ์แจ้ง โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐ”

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว พระเยซูพาเปาโลไปทัวร์สวรรค์ ให้เห็นในสวรรค์ว่าเป็นอย่างไร?  แล้วก็ให้กลับมาบนโลกใบนี้  ประกาศข่าวดีให้กับชาวต่างชาติ พาไปสวรรค์ เพราะภาระของอาจารย์เปาโล มันหนักมาก พระเยซูจะใช้ให้เป็นอัครทูต ให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ คนแรก บุกเบิกให้กับชนชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว เรียกว่าทั่วโลกก็ได้ ไปใหญ่เลย แล้วต้องถูกข่มเหงรังแก ทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แสนสาหัส ต้องใช้ความเชื่อเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความจริงในโลกวิญญาณว่าในสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร? มากๆ เลยทีเดียว  ถูกไหม? ผมคิดเอาเองนะ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ  ไม่อย่างนั้นจะทนไม่ได้กับการทุกข์ทรมาน ที่คนต่อต้านข่าวประเสริฐ ตามล่า ข่มเหงอาจารย์เปาโลอย่างทารุณ

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว ใช้คำว่า “การสูญสิ้น” หรือ “การหลับไป” การเปลี่ยนร่างใหม่ เข้าสู่ร่างกายสวรรค์นั้น เป็นเหมือนกับการพักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล คือก่อนจะเปลี่ยนร่าง ทำงานมาตลอด เพราะต้องทนทุกข์อยู่ในร่างกายเดิม ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์บนโลกใบนี้  เกิด แก่ เจ็บ เห็นๆ อันนี้มันหนีไม่พ้น นี่อาจารย์เปาโลคิดอย่างนั้น แต่เราเอง เราก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นแหละ มันไม่มีความสุขแท้จริงบนโลกใบนี้หรอก  เพราะทุกคนหนีไม่พ้นการเกิด แล้วแก่  หรือใครแก่เฉยๆ สบายจังเลย แก่ สิ่งที่ตามความแก่มา ก็คือความเสื่อมโทรมของร่างกาย ซึ่งมัน คือความทุกข์ คือความเจ็บปวด คือความเจ็บป่วยนั่นเอง จะเจ็บป่วยมากหรือน้อย มันก็คือเจ็บป่วย มันคือความทุกข์ ความลำบาก

            นี่คือภาระ ความกลัวอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันคือภาระ มันคือเหนื่อย เพราะฉะนั้น การหมดลมหายใจ  การสิ้นลม การเปลี่ยนร่างเข้าสู่สวรรค์นั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำว่าเราได้ไปพักผ่อน ได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์นิรันดร์เห็นไหม? ไม่ใช่ไปพักผ่อนในสวรรค์แค่ชั่วคราว เดี๋ยวกลับมาทำใหม่ ไม่มี เกษียณแล้วเกษียณเลย เกษียณจากโลกใบนี้ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว

            เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนร่าง ช่วงเวลาแห่งการล่วงหลับ สิ้นสุด หรือภาษาของโลกใบนี้ คือช่วงเวลาแห่งการตาย จากร่างกายนี้ มันคือความสุข ความชื่นชมยินดีสุดๆ ไม่ใช่ความกลัวเลย แม้แต่น้อย แต่มีแต่ความยินดีมากๆ ต่างหาก

            อาจารย์เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว อย่างที่บอกใช้คำว่า “ออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้” ร่างกายอันต่ำต้อยนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ได้หมายถึงเกียรติ สง่าราศี แต่หมายถึงร่างกายอันอ่อนแอนี้ กระแทกทีหนึ่ง ก็เจ็บแล้ว เขาพูดมา ก็เศร้าใจแล้ว  เจอเรื่องร้ายๆ ก็เสียใจ ซึมเศร้า เจอเรื่องวุ่นวาย ก็เครียด กระเพาะอาหารก็ไม่ย่อย เจอโรคภัยไข้เจ็บ ก็ป่วยแล้ว เจอไวรัสนิดหนึ่ง ก็เป็นโควิดแทบตายแล้ว หรือเป็นโรคเยอะแยะไปหมด จากโรคนี้ก็ไปโรคนั้น จากโรคนั้นก็ไปโรคนี้ จากเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น มีแต่ปัญหาทั้งหมดเลยบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้ ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สมบูรณ์ด้วยสิริ เกียรติ และสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระองค์ ดีกว่าอยู่บนโลกที่ร่างกายอ่อนแอเป็นเรือนดินนี้ หมายถึงในที่สุด มันต้องกลับมาสู่ดิน ค่อยๆ หง่อมไปเรื่อยๆ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่ามันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เรารอคอยอยู่ ก็คือวันที่เราจะจากโลกนี้ไป แล้วไปสู่การพักผ่อนนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์ สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ กับการอยู่บนโลกใบนี้ อีกไม่นาน แล้วต้องทนทุกข์ทรมาน  แต่อาจารย์เปาโลก็บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า อยู่ที่แผนการของพระเจ้า แล้วแต่พระองค์ พระองค์จะให้อยู่บนโลกใบนี้ ทนทุกข์ทรมานต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการของพระองค์ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าให้ตัดสินใจนะ  สำหรับข้าพเจ้า อันนี้เปาโลบอกนะ ไปดีกว่าอยู่

            2 ทิโมธี 1:9-10 บอกว่าผู้ทรงช่วยเราให้รอด  และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา คือพระเจ้าเตรียมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือสวรรคสถานที่เราจะอยู่อาศัย หลังจากสิ้นลมแล้ว  เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า  ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกใบนี้อีก  พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น  พูดง่ายๆ ว่าแผนการของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขกับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ อยู่แบบพักผ่อนนิรันดร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์ผู้ช่วยให้รอดของเรา  ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงดำรงชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐมาให้กับเรา พระเยซูคริสต์ผู้ทรงทำลายความตาย ไม่มีตายอีกต่อไปแล้ว

            ผมว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แค่นี้น่าจะเพียงพอ สำหรับการที่จะทำให้เรา เป็นอิสระจากความกลัวตาย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นแสงสว่าง ที่เข้ามาในโลกนี้ คือมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย  อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด  ไม่มีใครหนีพ้นเลยสักคนหนึ่ง นี่คือความจริง ในโลกวัตถุ บนโลกนี้  แต่ข่าวดี คือพระเยซูชนะความตายเหล่านี้แล้ว ชนะกฎของความบาปและความตายแล้ว  และชัยชนะเหนือความตายนี้ เป็นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน  เพียงแค่มนุษย์คนนั้น ตัดสินใจ วางใจรับสิทธิของท่าน ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการวางใจและเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  และวางใจในพระเยซูที่ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อยแล้ว  โดยความเชื่อในการกระทำงานของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ  และผลเกิดขึ้นในเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มาแล้ว 2,000 ปี นี่คือข่าวดี และอยู่ที่ท่านตัดสินใจ ด้วยตัวท่านเองแล้ว พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสว่า … “ไฉน ท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อน

ที่​อยู่​ในตาของท่านเอง”

            มัทธิว 5:7 … “พระเยซูประกาศว่า … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน”

            คนที่มีพื้นฐานท่าทีในจิตใจที่มีเมตตาเห็นอกเห็นใจมนุษย์ ที่เป็นคนบาปด้วยกัน

            เพราะรู้ว่าต่างคนต่างก็เกิดมาเป็นคนบาปที่อ่อนแอ ป่วยทางวิญญาณเหมือนกัน ไม่ยกตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมมากกว่า เพราะถือรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมทำดีได้มากกว่า

            จึงไม่ชี้นิ้ว เหยียดหยาม แบ่งชั้นวรรณะว่าคนอื่นที่ทำผิดว่าเป็นคนบาปชั่ว เพราะยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาปชั่วเหมือนๆ กัน

            ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะต่างก็อยู่ในต้นไม้เลว ต้นตระกูลบาป คืออาดัมบรรพบุรุษเดียวกัน

            คนที่มีท่าทีในใจแบบนี้ มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เข้าสวรรค์ เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่ หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

            พระเยซูชี้ให้เห็นในมัทธิว 7:1-5 ว่า … “1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ 2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น 3 เหตุ​ไฉนท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณา ไม้ทั้งท่อนที่​อยู่​ในตาของท่านเอง  4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่​พี่​น้องของท่านว่า ‘​ให้​เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่​ดู​เถิด ไม้​ทั้งท่อนก็​อยู่​ในตาของท่านเอง  5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้​ถนัด  จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ