คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 12 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กุมภาพันธ์  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 12 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อุปมาคำสอนของพระเยซู ตอนที่ 12 ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็เป็นเรื่องต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเราได้เรียนเรื่อง “ของหายแล้วได้คืน” เป็นอุปมาที่เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเวลาเราทำของที่มีค่าในชีวิตของเราหาย หมายถึงมีค่าจริงๆ ยิ่งมีค่า เรายิ่งอยากได้กลับคืน ถ้ามีค่ากับเรามากเท่าไร? เราจะมีความรู้สึกดีใจ ที่ได้ของนั้นกลับคืนมาเท่านั้น มากกว่านั้นสักเท่าใด ของที่มันหายไป  ถ้าเป็นลูกของเรา แล้วเราไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร? แล้วจู่ๆ ได้ข่าวดีว่าเขายังอยู่ แล้วได้กลับมาเจอกัน นี่คือความรู้สึก พระเยซูจึงเอาความรู้สึกของมนุษย์ธรรมดา มาเป็นอุปมาให้เราได้เห็นภาพของพระเจ้าว่ารู้สึกอย่างไร?

จำได้ไหมที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้วว่าประสบการณ์ของตัวเอง ตอนที่ลูกเล็กๆ แล้วพากันไปเดินห้าง แล้วพลัดหลงกันไป หายไป ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าทั้งตอนที่ลูกหายไป ไม่รู้ไปไหน? ถูกตัดแขนตัดขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนหายไป เรามานับไม่กี่ชั่วโมงไม่ได้  เพราะมันยังไม่เจอ ท่านเข้าใจไหมครับ? ถ้าตราบใดยังไม่เจอ ก็นับไม่ได้ว่ามันไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเจอจึงจะมานับย้อนไป เอ่อ! หายไปกี่ชั่วโมง แต่ตอนหายไป มันคือหายนะ นั่นแหละ ความรู้สึกเดียวกันกับหายไปตลอดเท่ากัน เพราะฉะนั้น มันก็ตกใจ แล้วก็หวาดกลัว แล้วก็เป็นห่วงมากถึงมากที่สุด พอเจอ ดีใจสุดหัวใจเลย จึงมีความรู้สึกดีว่าพระเจ้ารู้สึกอย่างไร เมื่อมีคนใดคนหนึ่ง รับเชื่อในพระเจ้า และกลับมาหาพระองค์ มาบังเกิดใหม่อีกทีหนึ่ง พระองค์ดีใจขนาดไหน?

พระเยซูจึงเอาตรงนี้มาเป็นอุปมาสอนเราว่าในสวรรค์มันเป็นเช่นไร? ความคิดของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? และความคิดของมนุษย์เป็นอย่างไร?

อุปมาคำสอนของพระเยซู เกี่ยวกับเรื่องของหายได้คืนมีอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งอยู่ในหนังสือลูกา บทที่ 15 ที่เราเรียนกันอยู่นี้ ซึ่งหัวใจสำคัญของทั้ง 3 เรื่องนี้ ก็คือมวลมนุษยชาติ ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระเจ้า  ทุกคนเหล่านี้ ที่ได้หาย ได้หลงไป พระเจ้าได้ถือว่าเขาได้หลงไป แต่เขายังเป็นลูก ตอนที่ลูกผมหายไป เขายังเป็นลูกผม มวลมนุษยชาติ คือลูกๆ ของพระเจ้าทุกคนหลงหายไปในความบาป พอบาปปุ๊บ เท่ากับหลุดจากพระเจ้าไปเลย เหมือนลูกผมหลุดจากมือผม ไปไหนก็ไม่รู้ จะเป็นตายร้ายดี ก็ไม่รู้ อาจจะตายไปตลอด ก็ได้ ไม่ได้กลับมาเจอกันอีกเลย

พระเยซูกำลังให้เราเห็นภาพว่าเราเป็นสิ่งที่มีค่า ในสายพระเนตรพระเจ้าเท่าไร? มีความหมาย มีความสำคัญขนาดไหน? สำหรับพระเจ้าของเรา เป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์ขนาดไหน? เมื่อเราหายไป มนุษย์หายไป พระเจ้าก็ออกตามหา ด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ห่วงใยอย่างมาก ด้วยความมุ่งมั่นอย่างมาก และเมื่อได้กลับคืนมาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์ก็ชื่นชมยินดีถึงขนาดไหน? ในอุปมานี้นะ

ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนกันไป 2 เรื่อง เรื่องแรกที่เราได้เรียนกันไป ที่เจ้าของมีแกะ 100 ตัว แล้วตัวหนึ่งหายไป พระเยซูบอกว่าเจ้าของก็จะละแกะ 99 ตัว แล้วออกตามหาแกะหนึ่งตัวที่หายไป ทิ้ง 99 ตัวไว้ก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง มุ่งเน้นไปแต่ตัวที่มันหายไป  คนไหนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าละไว้ก่อน สบายแล้ว อยู่กับเราตลอดแล้ว ตอนนี้มุ่งหาแต่พวกที่ยังไม่เข้ามา ยังไม่เจอ

ส่วนเรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องหญิงคนหนึ่งมีเหรียญ 10 เหรียญ แล้วหายไปเหรียญหนึ่ง พระเยซูบอกหญิงจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบหรือ? พระเยซูบอก หญิงนั้น ก็คือพระเจ้า  … พระเจ้าจะไม่ค้นหาคนบาป ลูกๆ ของพระองค์ที่หายไปเหล่านั้น คนเดียวนะ ในนี้บอกว่าแค่เหรียญเดียว แค่คนเดียวเท่านั้นเอง พระองค์จะทำอะไร?

“จุดตะเกียงกวาดเรือน ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ”

ท่านลองคิดดูสิ หมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าจุดตะเกียง … จุดตะเกียงคืออะไร? พระเยซู คือตะเกียงของพระองค์ ส่งพระเยซูมา มาทำอะไร? จุดตะเกียงแล้วกวาดเรือนเลย คือทุกซอกทุกมุม ซอกเล็กๆ ต้องเห็นหมด ละเอียดขนาดไหน? ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ ถ้าไม่พบ ก็ไม่หยุด

คำสั้นๆ เล็กๆ พระเยซูยกมา มีความหมายทั้งนั้นเลย ในคำอุปมาของพระเยซู มันเป็นอย่างนั้น ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะอุปมาเรื่องใดก็ตาม บางครั้งเราอ่านแค่คำเดียว ท่านลองอ่านดู ใคร่ครวญดูคำเหล่านั้นคำเดียว ความหมายมันลึกซึ้งมาก อย่างนี้ แค่ประโยคเดียว “ค้นหาอย่างถี่ถ้วน จนกว่าจะพบ” อย่างถี่ถ้วนด้วยนะ  คือละเอียดยิ๊บ ไม่หยุด จนกว่าจะพบ

ตะกี้บอกเหรียญ 1 เหรียญกับแกะ 1 ตัว หมายถึงคนบาปเพียงคนเดียว มวลมนุษยชาติใช่ พระเจ้าห่วงทุกคน แม้คนๆ เดียวก็ห่วง ห่วงแต่ละคนด้วย ละเอียดถึงขนาดนั้น และพระองค์ต้องการให้คนๆ นั้นคนเดียวกลับมาหาพระองค์ กลับมารอด มาเจอกัน ให้ครบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหายไป พระองค์จะออกตามหาจนกว่าจะพบ ถ้าไม่พบ ก็หาต่อไป แสดงถึงความรัก ความห่วงใยของพระเจ้าอย่างมากมาย ที่มีต่อมนุษย์บาปอย่างเรา

และสิ่งที่เหมือนกันใน 2 อุปมานี้ คือในตอนจบ หลังจากที่พบแกะ พบเหรียญที่หายไปแล้ว เจ้าของก็จะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงเฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โต พระคัมภีร์บอกว่าในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปเพียงคนเดียว ที่กลับใจใหม่ มากกว่าในคนชอบธรรม 99 คนที่ไม่จำเป็นต้องการได้รับการกลับใจใหม่ ก็หมายถึงมากกว่าคนที่เชื่อแล้ว ไม่ต้องกลับใจ เพราะเขากลับใจไปแล้ว แต่คนๆ นี้ที่เขากลับใจ พระเจ้าดีใจมาก เพราะคนๆ เดียว จัดงานเลี้ยงใหญ่โตเลย

วันนี้ เราจะมาต่ออุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องของหายได้คืน เรื่องที่ 3 คือเรื่องบุตรน้อยหลงหาย คำอุปมาเรื่องนี้ เป็นเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่ง อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี พอมีสมบัติ มีไร่นา มีบริวารมากมาย แต่ชายหนุ่มคนนี้ อยู่ๆ วันหนึ่ง ก็อยากเป็นอิสระ เรียกร้องขอสมบัติจากพ่อ อยากไปใช้ชีวิตตัวเอง อยากพึ่งตัวเอง อยากพึ่งการกระทำของตัวเอง อยากจะทำเอง ไม่อยากพึ่งพระเจ้า ไม่อยากพึ่งพ่อ ลูกา 15:11-12

ลูกา 15:11-12 “11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้นบิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตน ให้บุตรทั้งสอง”

 

เคยอยู่กับพ่อกับพี่ชาย ดูแลทรัพย์สมบัติไร่นา ก็ดีๆ อยู่แล้ว แต่อยู่ๆ ลุกขึ้นมาขอแบ่งสมบัติ

“พ่อ ฉันอยากจะไปใช้ชีวิตส่วนตัว”

อะไรอย่างนี้ มันเกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา ไม่เชื่อฟังพ่อแล้ว พ่ออาจจะบอกว่า …

“ข้างนอกมันอันตราย อย่าไปเลย”

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันจะอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพ่อก็ได้  ส่วนของฉันมีอะไร? เอามาให้หมดเลย”

ประมาณนี้  และคิดว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อให้เยอะ ก็คงอยู่อย่างอิสระ แล้วก็ไม่ต้องทำงาน อยู่ได้แน่ๆ แต่ปรากฏว่าไปไม่รอด เพราะในนี้บอกว่าใช้ชีวิตแบบนักเลง สำมะเรเทเมา ไม่นานทรัพย์สินที่ได้แบ่งมา ก็หมดลง ลองมาดูสิว่าต่อไปเป็นอย่างไร? ลูกา 15:13-16

ลูกา 15:13-16 “13 ต่อมาไม่นาน  บุตรชายคนเล็กนี้  ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตน แล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว  ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน  แต่ไม่มีใคร  ให้อะไรเขากิน”

 

พูดง่ายๆ เขาไปรับจ้างเลี้ยงหมู  พอเริ่มต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบาก สติก็เริ่มมา จากที่เคยกบฏต่อพ่อ นึกหยิ่งผยองอวดดี อยากใช้ชีวิตตามลำพัง อยากทำด้วยตัวเอง ปรากฏว่าชักไม่ไหว ที่เคยคิดว่าจะอยู่ด้วยตัวเอง จะพึ่งตัวเอง มันพึ่งไม่ไหว มันอ่อนแรงเหลือเกิน พอเริ่มลำบาก เริ่มเอาตัวไม่รอด ก็เริ่มคิดได้ สำหรับคนยิวในสมัยนั้น  อาชีพรับจ้างเลี้ยงหมู ถือเป็นอาชีพที่ต่ำที่สุด เพราะว่าหมูเป็นสัตว์พึงรังเกียจ สัตว์ที่มีมลทินในบัญญัติของพระเจ้าว่าไว้

ฉะนั้น ชายหนุ่มคนนี้  ตามอุปมานี้ ต้องไปขออาศัยอยู่กับชาวบ้าน และแลกด้วยการเลี้ยงหมู ถือว่าต่ำสุดๆ ของชีวิตแล้ว ไปไม่รอดจริงๆ แล้ว ถึงยอมทำ มนุษย์ก็อย่างนี้ มันไปไม่รอดจริงๆ

“ฉันไม่รอดแล้ว ใครก็ได้ช่วยฉันที”

นั่นแหละ มันจะถึงมือพระเจ้า นี่เหมือนกัน พอไปไม่รอด จุดต่ำสุด จึงสำนึกได้ว่าเรากลับไปหาพ่อเราดีกว่า ขณะที่พูดอยู่นี้ พระเยซูกำลังพูดให้ทั้งชาวยิวที่เป็นพวกรักษาบัญญัติ พวกฟาริสี พวกที่เรียนเรื่องบัญญัติของพระเจ้า แล้วเคร่งครัดในศาสนาอย่างมาก และมีชาวยิวที่เลี้ยงหมู รู้สึกตัวเองเป็นชาวยิวชั้น 2 ที่ต่ำต้อยมาก พระเจ้าไม่เอาด้วยเลย เพราะฉันไม่ได้อยู่ในบัญญัติพระเจ้าเลย รักษาไม่ไหว แม้กระทั่ง เลี้ยงหมู คือคนยิวเหล่านี้  เป็นคนยิวที่รับใช้โรมัน ชาวโรมัน ตอนนั้นครอบครองประเทศอิสราเอลอยู่ และจ้างยิวเหล่านี้มาเป็นคนเก็บภาษี เก็บภาษีคนกันเอง รับจ้างคนที่เป็นนายเรา ที่มาครอบครองประเทศเรา มันต่ำสุดแล้ว ฉะนั้น คนยิวจึงรังเกียจคนเก็บภาษีเหล่านี้มาก เวลาพระเยซูไปกินข้าวกับคนเก็บภาษี ไปคุยกับคนเก็บภาษี คนยิวแบบนินทาว่าร้ายพระเยซูใหญ่ เพราะพระเยซูไปกินข้าวบ้านซีโมน  แม้กระทั่งสาวกคนหนึ่งที่ชื่อมัทธิว ก็คือคนเก็บภาษี อีกคนหนึ่งก็ศักเคียส  ก็คนเก็บภาษี แต่พระเยซูไปบ้านเขา ทำให้ฮือฮามากเลย  นี่เหรอผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า  ผู้รับใช้พระเจ้าไปทานข้าวกับคนเก็บภาษีได้อย่างไร? นี่ความรู้สึกของคนที่เป็นคนเคร่งในศาสนา  ในสมัยโน้นที่พระเยซูกำลังพูดอยู่ ท่านคิดเอาแล้วกันว่าปัจจุบันมีไหม?

มาลองเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา ในนี้ หรือมนุษย์เราปัจจุบัน เราทุกคนเริ่มต้นมาจากการเป็นคนบาป เกิดมาก็บาปแล้ว เริ่มจากการกบฏต่อพระเจ้า กบฏทั้งทางตรงและทางอ้อม ก็คือวิญญาณไม่เชื่อพระเจ้าอยู่แล้ว จะพูดเรื่องอะไรก็ได้ แต่อย่ามาพูดเรื่องพระเจ้ากับฉัน จะพูดสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ได้ จะพูดฤทธิ์เดชอะไรก็ได้ จะพูดเข้าเจ้าเข้าทรงอะไรก็ได้ พูดต้นไม้มีฤทธิ์ก็ได้ ฉันจะฟังทั้งหมด  แต่พอพูดเรื่องพระเยซู ไม่ฟัง หยุดๆ คุ้นๆ ไหม? ฟังแล้วมันรำคาญ มันอยู่ข้างใน  กำลังบ่งบอกถึงว่าเราไม่อยากรู้จักพระเจ้า เราไม่ต้องการพระเจ้า เราต้องการพึ่งตัวเอง นี่แหละ

แล้วประสบการณ์ของหลายๆ คน ก็คล้ายๆ ชายคนนี้ คือชีวิตต้องเจออะไรบางอย่าง เจอความทุกข์หนัก เจอมรสุมชีวิต  เหมือนกับต้องไปเลี้ยงหมู ที่ชาวยิวจำเป็นต้องไปเลี้ยง ต่ำสุดแล้ว ก็เริ่มหันมาฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่า …

“นี่น่ะ วันนั้นเพื่อนมาคุยให้ฟัง จำไม่ได้ ฟังมาหลายครั้งแล้ว แล้วเราก็ไล่เขาไปแล้ว วันนี้เราคิดว่าเราจำได้ ที่เขาบอกว่าพระเยซูช่วยเธอได้ แล้วเราก็ไปอธิษฐาน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอธิษฐานอะไร เพราะเขาบอกว่าให้ไปคุยกับพระเยซูเลย พระเยซูอยู่ทุกหนทุกแห่ง รอเธออยู่ ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จุดต่ำสุดแล้ว สิ่งที่ฉันไม่เคยทำ สิ่งที่ฉันว่ากล่าว สิ่งที่ฉันต่อต้าน สิ่งที่ฉันว่าเสียๆ หายๆ ฉันยอมคุกเข่าลง และบอกว่าพระเยซูอยู่ไหน สำแดงพระองค์เองให้ลูกได้รู้”

นี่พูดทั่วๆ ไป  บอก … “พระเยซูช่วยด้วย ไม่ไหวแล้ว”

ทันทีทันใดนั้น ชีวิตเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง วันต่อมา ก็จะมีคนค่อยๆ เอาข่าวดีมาบอกเขา เพราะเขาจะเริ่มเปิดรับ จนในที่สุด คือวันสุดท้าย เขาก็จะเปิดใจ แล้วก็ต้อนรับข่าวดี วันนั้นอาจจะเป็นคืนนั้นเลยก็ได้ หรืออาจจะอีกวันหนึ่งก็ได้  แต่ไม่มีวันพลาดสำหรับพระเจ้า เพราะพระเจ้ารออยู่แล้ว รอวันที่เธอจะเปิดใจสักที และไม่มีวันเปิดใจเลย ถ้าเผื่อเธอยังประสบผลสำเร็จอยู่ ตลอดชีวิต เธอยังใช้ทรัพย์สมบัติไม่หมดเลย  ไม่เหมือนชายหนุ่มคนนี้ ใช้หมดแล้ว เกลี้ยงแล้ว ต้องไปเลี้ยงหมู เธอยังไม่ได้เลี้ยงหมู เธอยังเป็นเจ้านายอยู่เลย โอกาสที่จะมาคุกเข่า นึกว่าท่านไปไม่รอดแล้ว มันแทบไม่มี มันยาก พระเยซูจึงบอกว่ามันยากที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง เอเมน พระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่ง แม้ร่ำรวยจะเข้ายาก เดี๋ยวพระเจ้าเอาเงินออกไป แป๊บเดี๋ยวง่ายทันที หรือมาทั้งร่ำรวยได้หรือไม่ได้ ได้ สำหรับพระเจ้าได้ แต่มันยากไง พระเยซูบอกเหมือนอูฐรอดรูเข็ม คนบอกอูฐรอดรูเข็มไม่ได้ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่อย่างนั้น อุปมานี้ อูฐรอดรูเข็ม หมายถึงชาวยิวในเมืองอิสราเอล สมัยนั้น เป็นเหมือนสมัยโบราณ ท่านนึกออก เวลาจะเข้าเมือง เขาจะมี 2 ประตู คือประตูใหญ่ เวลามีสงครามเขาจะปิดประตูนี้ แต่ถ้าสมมติว่า 6 โมงเย็น ประตูเมืองปิดแล้ว เขาก็จะมีประตูเล็ก สำหรับคนเดินเข้าเดินออก ประตูเล็กอูฐเข้าไม่ได้ มันเตี้ย ไม่ใช่เข้าไม่ได้ มันเข้าลำบาก อูฐบางตัวมันตัวสูง คอยาว เวลาเข้า เขาจึงพยายามกดศีรษะมัน หรือลดขา ผมไม่รู้ ให้มันพยายามรอดรู ประตูนี้เขาเรียกประตูอูฐ มันหมายความว่าอย่างนั้น ถามว่าได้ไหม? ได้ แต่มันยากหน่อย จัดการมันๆ มันหยิ่งมากใช่ไหม? เข้ารูเข็มไม่ได้ หมายถึงเข้าประตูนี้ไม่ได้ หยิ่งมาก ตีขามัน ก็อ่อนลง กดหัวมันลง ในที่สุดมันเข้าได้ เพราะฉะนั้น คนรวยก็เข้าลำบาก คนจนเข้าง่ายกว่า เพราะมันเจ็บจน ไม่มีศักดิ์ศรีเหลือแล้ว มันไปเลี้ยงหมูแล้ว

ลูกา 15:17-19 “17 เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่าบิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเรา และกล่าวกับท่านว่าบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”

 

ชายหนุ่มคนนี้ เริ่มสำนึกตัวเอง เริ่มรู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว เริ่มรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดต่อพ่อไว้เยอะ และรู้ตัวเองว่าเป็นความผิดที่ใหญ่เกินกว่าจะรับการอภัยได้ ความตั้งใจจริงๆ คือจะขอกลับไปหาพ่อ สารภาพผิด แล้วจะขอกลับไปอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ในฐานะลูก เพราะตัวเองรู้สึกคุณค่าไม่พอแล้ว ขออยู่ในฐานะลูกจ้างก็พอแล้ว เป็นลูกของพระองค์ ประชาชนขั้นที่ 2 ขอเพียงอยู่ในบ้านพระองค์พอแล้ว หลายคนเมื่อสุดท้าย ไปไม่รอด พอเชื่อพระเจ้า คิดขอเกาะพระเยซู ไปอยู่สวรรค์พอแล้ว ไม่เหมือนคนรับใช้คนอื่น เขารับใช้เยอะแยะ เขารับใช้พระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ให้เขาดีๆ สำหรับฉัน ฉันขอไปอยู่ในสวรรค์พอแล้ว เป็นประชาชนชั้น 2 ลูกของพระองค์ชั้น 2 ในสวรรค์ของพระเจ้า คิดอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ นี่เป็นสิ่งที่คนสำนึกผิดจริงๆ มันไม่ไหวแล้ว คือคิดว่าความผิดที่เคยทำนั้น มันใหญ่เหลือเกิน พ่อคงไม่ให้อภัยแน่ๆ แต่ก็จะกลับไป ขออยู่แบบลูกจ้าง ซึ่งไม่รู้ว่าพ่อจะยอมหรือเปล่าแค่นั้น เป็นลูกจ้างจะยอมไหม? กลับไปเจอไม้ตะพด แกออกไปหรือเปล่า? กลัวไปหมด แต่ถ้าไม่กลับ เลี้ยงหมูต่อไป ตายอย่างเขียด ตายอย่างมีเกียรติยังดี แต่มาตายอย่างไม่มีเกียรติอีกต่างหาก อดอาหารตาย แล้วยังต้องเลี้ยงหมูอีก นี่คือความคิดที่ยุติธรรมที่สุดของบรรดาความคิดของมนุษย์ทั่วไป มันควรจะเป็นอย่างนั้น ทำอะไรผิดมา ก็ควรได้รับโทษสิ ไปทำร้ายเขา ก็ควรได้รับการปรับโทษ ไปติดคุก เรื่องธรรมดา

เด็กหนุ่มคนนี้ ก็คิดแบบนี้ คือคิดว่าอย่างไร? ก็ต้องโดนลงโทษแน่ๆ ไม่มากก็น้อย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เคยไหม? ลองเป็นมนุษย์เหล่านี้ เราทำอะไรผิด  กลับไปหาพ่อ หรือกลับไปหาใครก็ได้ ที่เราทำผิดต่อเขา เจ้านายของเรา หรือเพื่อน หรือใครก็ตาม ลองคิด จะเตรียมคำพูดอย่างไรดี จะเริ่มทำอะไรดีๆ เรารู้ หมายถึงคนที่สำนึกว่าตัวเองผิดจริงๆ

“ฉันจะไปเริ่มคำแรกกับเขาอย่างไรดี ที่คิดว่าจะทำให้พ่อใจอ่อนมากที่สุด เข้าใจเรามากที่สุด จากคำพูดของเรานั่นแหละ”

ความคิดของเราตอนนั้น ก็คือแค่พ่อยอมรับเราในฐานะลูกจ้างก็พอแล้ว ดีกว่าอยู่ตรงนี้เยอะเลย ก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว เตรียมคำพูดที่ถ่อมใจ เด็กหนุ่มก็อาจจะเตรียมคำพูดอย่างนี้ก็ได้

“พ่อจ๋า ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพ่อเลย ฮือๆๆๆ ลูกแย่จริงๆ ลูกมันเลว ลูกเลวมากเลยจริงๆ ลูกมันชั่วมาก ลูกไม่ควรทำอย่างนั้นเลย”

พูดอย่างนี้ตลอดเลย ถูกไหม? เขาคงคิดในใจว่าเขาควรพูดอย่างไร ให้พ่อซาบซึ้ง

“พ่อมีพระคุณต่อลูกอย่างมากมาย ลูกไม่ควรทำอย่างนี้เลย ลูกเย่อหยิ่งจองหอง ลูกไม่น่าทำอันนั้นอันนี้”

พูดถึงสิ่งที่เขาเอาเงินไปพลาญนั้น “ลูกไปเที่ยวเสเพล ไปเป็นนักเลง ลูกไม่เชื่อพ่อ”

ต้องคิดในใจ เขาต้องคิดว่าอะไรที่มันแทงใจพ่อ แล้วได้พระคุณ ได้ความเมตตาจากพ่อได้มากที่สุด เพื่อพ่อจะได้อภัยให้เขาได้ นี่คือความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทุกๆ คนเป็นอย่างนี้ มาดูต่อว่าเกิดอะไรขึ้น

ลูกา 15:20-24 “20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขา ก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชาย แล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป 22แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมา ให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

 

เร่งมากเลย เร็วเข้าๆ คำเล็กๆ น้อยๆ พอเรารู้ซึ้งถึงอะไรบางอย่างในถ้อยคำพระเจ้า เมื่อพระวิญญาณเปิดแค่คำเดียว ทำไมแต่ก่อนเราไม่เห็น “เร็วเข้า” แค่คำเดียวนะ ลองนึกภาพตาม ใช้จินตนาการนิดหนึ่ง ท่ามกลางทุ่งนาขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งมอมแมมมา เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เหมือนคนขอทาน กำลังเดินคอตก นึกอยู่ในใจ ท่องสคริปใหญ่เลย

และอีกฝั่งหนึ่ง ก็เป็นพ่อยืนอยู่หน้าบ้านไกลๆ มองไป พอเห็นเด็กหนุ่มมอมแมมเดินมาแต่ไกล คลับคล้ายคลับคลา จริงๆ รู้เลยว่าเป็นลูกของตัวเอง ก็ตื่นเต้นดีใจ ทุกอย่างรีบหมด นึกภาพตามนะ รีบวิ่งออกมารับ แล้วก็โอบกอด

ปรากฏว่าพอลูกชายเริ่มพูด ตามสคริปที่ท่องมาทั้งวัน อาจจะหลายวันแล้ว พ่อไม่ได้ฟังเลยสักคำ เราเห็นภาพนะ เพราะมัวแต่วิ่ง ดีใจ โอบกอด ขณะที่โอบกอดไป ผมคิดนะ ในนั้น ลูกก็พูดไป พ่อก็ดีใจไป พร้อมกับสั่งคนงาน รีบไปเอาเสื้อ เอาแหวน เอารองเท้า สั่งจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เตรียมรับขวัญลูกชายที่กลับมา พอเห็นภาพอะไรไหม? ในขณะที่ลูกชายกำลังกังวลอยู่ คอตก ท่องสคริปมา แย่แล้ว ทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าพ่อจะยกโทษให้หรือเปล่า? จะลงโทษขนาดไหนก็ไม่รู้ เพราะรู้ตัวเองว่าผิด สำนึกแล้ว แต่คนเป็นพ่อ ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเลย ทำเหมือนลูกไม่ได้ทำผิดอะไรเลยสักนิด สั่งจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ต้อนรับ เหมือนกับลูกไปทำงานมา แล้วกลับมาบ้าน อย่างไงอย่างงั้น ไม่เจอกันตั้งนาน อะไรประมาณนั้น ผมนึกถึงภาพตามนี้ว่าพ่อรีบหมด ขณะที่พ่อวิ่งไป ลูกเรานี่ ตะโกนตั้งแต่ตอนนั้น

“ไปเอารองเท้า เอาเสื้อ เอาแหวนมาเร็วๆ ลูกมา จัดงานเลี้ยงเลยๆ ใช่แล้ว ใช่แน่ๆ ฉันรู้ ฉันคิดถึงเขามากเลย”

ลูกมาถึงปุ๊บ กอดหน่อย  เรากอด ลูกก็จะพูด “ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่ดี”

“หยุดๆ ไม่ต้องพูดอะไร? ไปเอามาเร็ว”

แต่ก่อนนี้ผมก็ไม่เห็นภาพนี้ แต่ตอนนี้ ผมเห็นเป็นอย่างนี้จริงๆ คำเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ผมเห็นภาพชัดเจน บวกกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์เยอะแยะมากมาย ที่บอกว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ขอบคุณพระเจ้า

จริงๆ ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ทำให้ผมมาเชื่อพระเจ้านะ ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ ไม่ถึงขนาดผมไปเลี้ยงหมู ส่วนหนึ่ง คือความรู้สึกผมตอนนั้น เมื่อคืนวันนั้น คืนวันที่ 18 มิถุนายน ปี 1988 ผมรู้สึกอย่างนี้ในห้องส่วนตัว มีคนมาพูดเรื่องพระเยซูเยอะมากมาย แต่คืนนั้น เป็นคืนที่บางอย่างไม่ไหวแล้ว ชีวิตทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ มันเหนื่อยเหลือเกิน  หลายเรื่องเหลือเกิน ลำบากลำบนเหลือเกิน เหมือนชาวยิวเลี้ยงหมูเลย พระเยซูอยู่ไหน? ไหนมีจริง ปรากฏพระองค์เอง ให้ลูกได้ลูกจักสิ สั้นๆ เริ่มจากวันนั้นแหละ ได้รู้จักจริงๆ

มีหลายคนที่ไม่กล้าเข้าหาพระเจ้า  เพราะคิดว่าทำผิดทำบาปไปเยอะ คิดว่าคงไม่มีใครให้อภัย เหมือนเด็ก เวลาทำผิด ทะเลาะกับพ่อแม่ หนีออกจากบ้านไป ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เมื่อออกไป ไม่กล้ากลับเข้ามา เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะโกรธ ในสิ่งที่เราทำไม่ดี ไปเถียง ไปว่าพ่อแม่ ตวาดพ่อแม่ หรือทำอะไรไม่ดี หนีออกไปเลย ไม่กล้ากลับมา เขาไม่รู้ว่าพ่อแม่กำลังตามหาเขามากกว่า เพราะว่าพ่อแม่ไม่เคยที่จะไปโกรธเขาเลย อภัยให้อยู่แล้ว ดั่งที่เราได้เห็นอยู่บ่อย ตามหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องตามหาเด็กหาย ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วย หรือลงท้ายด้วย

“เด็กชาย … กลับบ้านด่วน เรื่องทั้งหมด พ่อแม่ได้อภัยให้แล้ว” ไม่ได้คิดอะไรเลย

“นาย .., นาง .. กลับบ้านด่วน พ่อแม่ได้ให้อภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว” ประกาศก็จะเป็นอย่างนี้

เหมือนคำอุปมาเรื่องนี้ สิ่งที่คนเป็นพ่อแสดงออกมา ก็คือชัดเจนว่าพ่ออภัยให้หมดแล้ว อภัยก่อนแกจะพูดอีก อภัยตั้งแต่แกอยู่เลี้ยงหมู เขาเลี้ยงหมู เขาเป็นลูกของพ่อหรือยัง?  เป็นแล้ว เพียงแต่เขาเป็นลูกที่หลงหายไป ท่านพอเห็นภาพไหม? และเมื่อเขากลับมา เขาก็เป็นลูกเหมือนเดิม สิทธิอำนาจในการเป็นลูก ก็คงได้รับอยู่เหมือนเดิม เป็นสิ่งที่เกินความคาดฝันของลูกอย่างมาก

ในความคิดของคนเป็นพ่อ คือลูกของเราคนนี้ ได้ตายแล้ว และกลับเป็นอีก หายไปแล้ว และได้พบกันอีก เขาทั้งหลายต่างมีความชื่นชมยินดี สำหรับพ่อคิดแค่นี้ เหมือนตายไปแล้ว ได้กลับมาอีก แค่นี้ก็ดีใจจะตายแล้ว เราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ อาจจะคิดว่าบาปนี้ใหญ่ บาปนั้นเล็ก บาปนี้น้อย บาปนั้นมาก บาปอย่างนี้ร้ายแรงกว่าบาปอย่างนี้ บาปนี้ร้ายแรงกว่าบาปอย่างโน้น พระเจ้าคงรับไม่ได้สำหรับบาปนี้ แต่บาปโน้นอาจจะรับได้หน่อยหนึ่ง เพราะมันเบากว่า นี่คือมนุษย์คิด ถ้าบาปอย่างนี้ พระเจ้าไม่มีทางให้อภัยเลย

หลายครั้งที่เราทำผิดซ้ำๆ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามักคิดอยู่ในใจว่าอย่างนี้พระเจ้ารับเราไม่ได้ อย่างนี้แย่มาก พระเจ้าตัดหางปล่อยวัด ไม่แหย่เสเราแล้ว ลงโทษเรารุนแรงเลย  ใช่หรือไม่? พระเจ้าจะตีสอนเรา อัดเรา แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย พระเจ้าเป็นความรัก ซึ่งจริงๆ แล้ว สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าบาปเล็กหรือบาปใหญ่ ในสายตาของมนุษย์ แต่ในสายตาของพระเจ้า คือบาปใหญ่ทั้งนั้น เพราะบาป มันทำให้มนุษย์ตายจากพระองค์ หลุดหลงหายไปนั่นแหละ เหมือนที่พระเยซูได้ตรัสสอนว่าแค่คิดในใจ ก็มีค่าเท่ากับทำบาปนั้นแล้ว แค่คิดอาฆาตเขา ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว คิดโกรธก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว คิดว่าผู้หญิงคนนี้สวย ผู้ชายคนนี้หล่อ ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว เท่ากันเลย คิดโลภนิดหนึ่ง ก็เท่ากับขโมยของเขาแล้ว แค่คิด ก็เป็นแล้ว ในสายตาพระเจ้า จึงไม่มีใครสักคนหนึ่งบนโลกนี้เลย ที่เป็นคนดี ทุกคนต่างเป็นคนชั่วทั้งสิ้น พระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจน จึงไม่มีคนไหน ดีกว่าคนไหน? ไม่มีคนนี้ชั่วกว่าคนอื่น คนนี้เลวกว่าคนอื่น ในสายพระเนตรพระเจ้าไม่มีเลย ทุกคนบาปเท่ากัน

ฟาริสีเขาคิดว่าตัวเขาเองบาป แต่น้อยกว่าคนเก็บภาษี ชาวยิวที่เก็บภาษี ไม่รักษาบัญญัติของพระเจ้าเลย ไม่สนใจพระเจ้าเลย แล้วยังทำงานอย่างนี้อีก มันฝืนบัญญัติของพระเจ้ามาก พวกนี้บาปหนา แต่สำหรับเรา อดอาหารอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ถวายสิบลดเป็นประจำ เข้าอธิษฐานทุกเมื่อ พยายามรักษาบัญญัติของพระเจ้าทุกอย่าง ไม่เหมือนคนเก็บภาษี เหมือนชายหนุ่มคนนี้ สำมะเรเทเมา ไปเที่ยวโสเภณีด้วย นี่เรารักษาได้ ไม่ล่วงประเวณี ไม่ไปเที่ยวโสเภณีเลย แต่พระเยซูกำลังฉีกหน้า จี้เข้าไปในใจเขา ให้เขาเห็นภาพว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในความบาปทั้งสิ้น บาปหมด  และเมื่ออยู่ในความบาป ทุกคนก็อยู่ในความตาย คือตายจากพระเจ้า หลงหายไปจากพระเจ้า เมื่อมีบาปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ บาป แปลว่าเป็นปฏิปักษ์ บาป แปลว่า Miss the target พลาดจากเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ให้อยู่กับเรา ตอนนี้พลาดเป้าหมายไว้ กลายเป็นอยู่กับศัตรู ไม่ฟังพระเจ้า ไม่เห็นพระองค์ ไม่รู้จักพระองค์ ต่อต้านพระองค์ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เขาอยู่ในความพินาศทั้งสิ้น อยู่ในความพินาศนิรันดร์ เขาต้องอยู่ในที่มืด อยู่ในที่เขาต้องอยู่ ไม่มีพระเจ้าเช่นกัน ทุกข์ทรมานนิรันดร์ และพระเจ้ารู้อย่างนั้น ทำอะไร?  ก็จัดการ พระเจ้าได้อภัยให้กับมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  ด้วยการส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ไถ่บาป ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษของความบาป คือความตายได้ และได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ ในพระองค์ สามารถกลับเข้ามาเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม และกลับมาอยู่ในสวรรค์เท่าเทียมกันหมด ทุกคน เป็นลูกๆ ทั้งนั้น เอเมน

“ได้” แปลว่าทำมาแล้ว ถามว่าเมื่อไร? ได้อภัยให้เรา 2,000 ปีแล้ว ก่อนที่เราจะเกิดด้วยซ้ำ ก่อนที่เราจะคิดว่าเราทำบาปเล็ก บาปใหญ่ บาปน้อย ก่อนที่เราจะทำด้วยซ้ำ  อภัยก่อนเลย  พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน แม้ว่าการงาน การไถ่บาป จะสำเร็จ 2,000 ปี แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากมาย  ที่ยังไม่ได้รับข่าวดี หรืออาจจะไม่ได้ยินข่าวดีจริงๆ บางทีอาจจะเป็นข่าวที่ไม่ดีจริง หรือดีครึ่งๆ  กลางๆ ยังไม่ได้ฟังข่าวดีจริงๆ ว่ามันรับกันง่ายๆ อย่างนี้ ฉันใช้สิทธิแค่นี้เอง หรือได้ยินได้ฟังแล้ว ยังไม่เชื่อ อาจจะเป็นเพราะอะไร เราก็ไม่รู้ ไม่ได้ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา เรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วทำอย่างไร? พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ก็รอคอยวันนั้น วันที่เขาจะกลับมาหาพระองค์ กลับมาหาพ่อสักทีสิ ไม่เหนื่อยอีกเหรอ ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่พออีกเหรอ ยังค่ะ ยังครับ ยังสู้ต่อได้ ไม่เหนื่อยอีกเหรอ พระเจ้าพูดอยู่ตลอด คอยเงี่ยหู ตอนกลางคืนกลับมา พระเจ้าถาม ไม่เหนื่อยอีกเหรอ ยังสู้ต่อเหรอ

“ฉันสู้ต่อ ฉันสู้ด้วยตัวเองได้”

“ยังสู้ต่อเหรอ ไปไม่รอดแล้ว”

“ฉันอยู่ ฉันจะหาต่อไป”

พระเยซูก็ไล่ตามตลอดเวลา เคาะตลอดเวลา ในใจที่หลงหายไป แม้คนๆ เดียว พระองค์ก็จะทำ   จนสุดความสามารถ พระเจ้าพระบิดาก็รอคอยวันนั้น วันที่คนๆ นั้น หรือเขาคนนั้น จะกลับมาหาพระองค์ กลับมาทำอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย  กลับมา ก็คือใช้สิทธิ์ ด้วยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้กับเขา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อเขาจะได้กลับมาเป็นลูกของพระองค์ มาเป็นลูกที่อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ทันที และไปกระทั่งถึงนิรันดร์กาล นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ พระเจ้ามีความรู้สึกอย่างนี้

และอย่างที่อุปมานี้ เราเรียนรู้กัน พระเยซูเน้นคำนี้ แม้เหรียญๆ เดียว แม้แกะตัวเดียว แม้เพียงคนเดียว ใช้สิทธิของเขา  … การใช้สิทธิ ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือการกลับใจใหม่  มิได้หมายถึงการกลับใจ ไม่ทำบาป ไม่ใช่ การกลับใจใหม่ หมายถึงการกลับใจจากการไม่เชื่อในพระเจ้ากลับมาเชื่อ กลับใจจากบาป คือกลับใจจากสภาพวิญญาณที่เป็นบาป เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ มันหมายความว่าอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกับการกระทำว่าพอกลับใจใหม่แล้ว ฉันจะไม่กระทำอันนี้ ไม่ใช่ เพราะถ้าท่านคิดว่ากลับใจแล้ว ต่อไปนี้ ฉันจะไม่ขโมย ท่านมาหาพระเยซู เดี๋ยวก็ขโมยอีก มันก็เละเลย กลับใจใหม่ ต่อไปนี้ ฉันจะเลิกสูบบุหรี่แล้ว  มาหาพระเยซูอดไม่ได้ มันก็เละไปหมดเลย

การกลับใจใหม่ หมายถึงหันมาหาพระเจ้า มาอยู่กับพระเจ้าแล้ว จบ การกลับใจใหม่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มันแปลว่าอย่างนี้ หันหลังกลับจากอาณาจักรหนึ่ง จากดำมาสู่ขาว แค่นี้คือกลับใจใหม่  ตอนนี้ผมอยู่อย่างนี้ มาร ดำ บาป ผมกลับใจใหม่ ผมเชื่อแล้ว พระเยซูบอก มีอีกอาณาจักรหนึ่ง ผมหันหลังให้เขา ผมเดินมาตรงนี้แล้ว นี่แค่นี้เอง กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าทันที นี่คือการกลับใจใหม่ เมื่อมีคนกลับใจใหม่สักคนเดียวก็พอ พระเจ้าก็จะเปรมปรีดิ์ ยินดีมาก ถึงขนาดมีการจัดเลี้ยงใหญ่โตในสวรรค์ทีเดียว แค่คนๆ เดียวเท่านั้น ที่ได้กลับใจใหม่ หันกลับมาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้เขา ที่ไม้กางเขนเท่านั้นเอง เอเมน

พระเจ้าเฝ้ารอคอยทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้หยุด ไม่ได้หย่อนเลย พระคัมภีร์บอกไว้ พระเยซูอธิษฐานให้เราทั้งวันทั้งคืน รอที่จะรับเรากลับบ้าน กลับบ้านสักทีลูก อภัยให้เราหมดแล้ว ไม่ว่าเราหรือใครก็ตามจะเคยทำผิดบาปมากมายขนาดไหนก็ตาม ทันทีที่เราหันกลับมาใช้สิทธิของเรา ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วนั้น ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหมือนพระเยซูเลย พ้นจากมลทินบาปทั้งปวง ก็จะเป็นของเราทันที ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้แล้ว เราจะได้รับสิทธิ เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่ ในครอบครัวพระเจ้า และพระเจ้าก็จะสั่งงาน จัดเลี้ยงใหญ่โตบนสวรรค์ ต้อนรับการกลับใจใหม่ การเกิดใหม่ของเรา ด้วยความชื่นชมยินดี

นี่คือเรื่องจริงๆ กับประสบการณ์ การเรียนรู้กับพระเจ้า และสิ่งที่เรียนรู้มาในอดีต มนุษย์มักคิดว่าความดีเท่านั้น ที่จะต้องสะสมไปในโลกหน้า จึงจ้องมองไปที่ความดี ทำความดี สะสมความดี เป็นหลักชัยในชีวิต พระเจ้าตรัสในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนเราว่าความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่จะต้องสะสมไปสำหรับโลกหน้า จงจ้องมองไปที่พระเยซูคริสต์เป็นหลักชัย เอเมน

เหมือนเพลงที่โต๋ร้อง “ไม่ใช่ความดีที่ข้าเคยทำ แต่เป็นความงามในรักพระองค์”

ไม่ใช่ความดีที่เราเคยทำ ถ้าเราบอกว่าเราจะพึ่งความดี สะสมความดี แล้วเราไม่สะสมความชั่วเหรอ ถ้าเราจะรับแต่ความดี มันไม่ได้ ถ้าจะเอาตัวเองเข้ามา ก็ต้องเอาตัวเองเข้ามารับผิดชอบ เพราะฉะนั้น เมื่อชอบจะรับ ก็ต้องผิดรับด้วย แต่มาเชื่อพระเยซู ฉันไม่รับผิดชอบ เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ดูเหมือนตลกแปลกนะครับ ไปเรียนรู้มาก เรื่องบุตรน้อยหลงหาย น่าจะจบ Happy ending งานเลี้ยงใหญ่โตใช่ไหมครับ แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบ อุปมานี้ยังไม่จบ ยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งที่เป็นพี่ชาย ยังไม่ได้ฟังเลยว่าเมื่อน้องชายกลับมา พ่อดีใจถึงขนาดนั้น ต้อนรับน้องชาย พี่ชายที่อยู่ด้วยกัน จะคิดอย่างไร? จะมีความรู้สึกอย่างไร? พี่ชายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง? เอาไว้ต่อสัปดาห์ต่อไป ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 11 “ของหายได้คืน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กุมภาพันธ์  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 11 “ของหายได้คืน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องอุปมา คำสอนของพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 11 สรุปประเด็นสั้นๆ ของตอนที่แล้วก่อน อุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราเรียนกันไปครั้งที่แล้ว เป็นเรื่องคนงานที่รับจ้างทำงานที่สวนองุ่น และได้รับค่าแรง 1 เหรียญเท่ากันหมด ทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น ก็ได้ 1 เหรียญ ทำงานตั้งแต่บ่าย ทำ 4 ชั่วโมง ก็ได้ 1 เหรียญ เริ่มทำงาน 5 โมงเย็น ทำงานชั่วโมงเดียว ก็ได้ 1 เหรียญ แล้วพระเยซูก็ตรัสสรุปสุดท้ายว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคำสุดท้าย หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย และไม่มีใครเป็นคนต้น ทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร

ความหมายของคำว่า “คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย” ก็คือพระเยซูกำลังเล่าให้เราฟัง ถึงสภาพของสวรรค์ว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งคิดว่าเป็นอย่างนี้ นั่นเป็นระบบของโลก สวรรค์เป็นอย่างนี้แหละ บนสวรรค์ทุกคนเท่ากันหมด เป็นลูก ก็เป็นลูกเท่ากัน ไม่มีใครเป็นคนแรก ไม่มีใครเป็นคนสุดท้าย  ทุกคนจะได้รับรางวัลเหมือนกันหมดในสวรรค์ เพราะพระเยซูจะให้รางวัลแบบเดียวกันกับเจ้าของสวนองุ่น ในเรื่องอุปมาครั้งที่แล้ว ที่จ่ายค่าจ้างให้ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าคนนั้น จะทำดีเยอะขนาดไหน? ทำมากขนาดไหน? ก็จะได้รับเท่ากัน ไม่ว่าคนนี้จะทำขนาดไหน? คนนี้จะรักษาบัญญัติ เคร่งศาสนาขนาดไหน? ถ้าเชื่อพระเยซูก็จะได้รับเท่ากันหมด เหมือนกัน จะเชื่อมานานขนาดไหน? หรือเชื่อในวินาทีสุดท้ายของชีวิต พอขึ้นสวรรค์ได้รับรางวัลจากพระเจ้า ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ทั้งหมด ทุกคนก็จะได้เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องรู้ตรงนี้ไว้ จะได้ไม่เอ๋อ คิดว่าขึ้นสวรรค์จะได้มากกว่าคนอื่น ตกใจ เอ๋อเลยไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บางคนกะว่าได้แน่ กลายเป็นได้น้อย จริงๆ แล้วไม่มีใครได้มากกว่ากัน หรือได้น้อยกว่ากัน เพราะว่าทุกคน ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? หรือทำชั่วขนาดไหน? ก็ต้องเชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่ทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อ ก็เข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องเชื่อพระเยซูทั้งนั้น ไม่ว่าจะชั่วมากหรือชั่วน้อย ก็ต้องพึ่งพระเยซูเท่าๆ กัน คือต้องเกิดใหม่เท่าๆ กัน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครดีกว่าใครเลย ทุกคนจึงได้รับเท่ากันหมด เอเมน

เทียบได้กับมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเกิดจากครอบครัวเศรษฐี ครอบครัวยาจก เกิดมา ก็เท่ากัน เสื้อผ้ายังไม่มีเลย  เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ไม่มีอีกแล้ว ที่บอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามานาน”

หรือไม่มีคนที่รับใช้พระเจ้ามาเยอะๆ เป็นนักประกาศเยอะ พอไปสวรรค์จะได้รับรางวัลเยอะกว่า ได้ห้องที่อยู่บนสวรรค์ใหญ่กว่า ได้เสื้อผ้าที่ดีกว่า ได้นั่งใกล้พระเจ้ามากกว่า (เราหรือใครก็ตามที่คิดว่าเขาทำน้อยกว่าเรา) ใครที่เคยคิดอย่างนี้ แบบนี้ เปลี่ยนความคิดได้แล้ว พระเยซูเตือนว่าอย่าไปคิดอย่างนั้นเลย ทุกคนเท่ากันหมด ส่วนจะทำอะไรนั้น พระวิญญาณจะนำท่านไปเองว่าจะเป็นนักประกาศ จะเป็นนักบรรยาย จะเป็นนักเทศน์ หรือเป็นนักฟัง หรือมาทำงานที่โบสถ์ ช่วยโบสถ์ หรืออะไรก็ตาม พระวิญญาณจะนำท่านเอง จะพาท่านไปทีละวันๆ เอเมนไหม? สบายใจหรือยัง? เพราะที่นั่งที่นี่ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำหรือเปล่า? ทำ ทำตามหน้าที่ของเรา พระเจ้าสั่งให้เราทำอะไร? เราก็ทำตามนั้นแหละ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักเทศน์หมด ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักประกาศหมด ไม่ใช่ แต่ประกาศทั้งหมดในชีวิตของเรา คือความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อ 100% นั่นเอง

มาเข้าเรื่องการบรรยายวันนี้ ซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอนที่ 11 มีชื่อตอนว่า “ของหาย แล้วได้คืน”  เหมือนเวลาเราไปเดินตามห้างต่างๆ เขาจะมีแผนกประกาศของหาย Lost and Found ท่านใดที่ทำกุญแจหาย มารับได้ที่ประชาสัมพันธ์ด่วน ใครเคยทำลูกหาย แหวนเพชรก็ได้ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ  ผมเคยทำลูกหาย ผมจึงเข้าใจตรงนี้ดีว่าแทนที่ประชาสัมพันธ์ของห้างเขาจะตะโกนดังๆ เขากลับพูดเบาๆ เราเงี่ยหูฟัง ประกาศอะไรๆ เพราะคนที่หาย ทุกข์ใจจริงๆ เพราะว่าตอนที่คุยให้ฟังผมเจอแล้ว แต่ตอนที่หายไป เราไม่รู้ มีค่าเท่ากับเขาตายไปแล้ว เหมือนเขาหายไปเลย เราจะไม่เจอเขาอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองของมนุษย์คิดใหญ่ คิดในทางที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เป็นลบ ไปแล้วแน่นอน

เราไปห้าง คนเยอะ แน่นมาก ที่ราชดำริ พาลูกไปสองคน คนโตประมาณ 4 ขวบกว่าๆ มีพี่เลี้ยง 1 คน แล้วก็ช่วยกันอุ้ม เราผู้ใหญ่มี 3 คน มีเด็ก 2 คน คนหนึ่งอุ้มอยู่กับตัว คือคนเล็ก ชื่อเต๋ เพราะยังเล็กอยู่ คนโต๋ พอเดินได้ คนโน้นรู้จัก ก็อุ้มบ้าง คนนี้มาทักทายบ้าง พอจะกลับ หายไปคนหนึ่ง แล้วเผอิญช่วงนั้น สำคัญที่สุด มีข่าวจริงๆ ที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ คือมีคนมาขโมยเด็ก เอาไปตัดแขนตัดขา แล้วเอาไปช่วยขอทาน บางรายก็หาลูกเจอ บางรายก็ไม่เจอ ก็ยิ่งตกใจ ยิ่งระวังๆ อยู่ ตะกี้บอกอยู่ที่นี่ไง หากันใหญ่เลย ไม่รู้ว่าใครเอาไป

ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นท่าน ท่านคิดอย่างไร? ผู้ใหญ่ 3 คนมาเจอกัน ไม่รู้เลยว่าเขาไปไหน? หายไปในฝูงชน 4, 5 ชั้นของห้างสรรพสินค้า ลองคิดดู หาไม่เจอเลย ถามว่าในหัวใจของพ่อแม่ คิดว่า …

“ประเดี๋ยวเจอเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ไปช้อปปิ้งต่อ เดี๋ยวก็มา”

ไม่มีใครคิดอย่างนี้หรอก อย่างที่บอก แล้วยังมีข่าวกำลังแพร่สะพัดว่าเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองของตำรวจ เรื่องลักเด็กไปขายบ้าง ไปทำอะไรก็ตาม ความรู้สึกในใจ จึงเข้าใจ รู้เลยว่าคนที่สูญเสียอะไรไป ที่ตัวเองรัก แก้วตาดวงใจ มันทรมานขนาดไหน? หนึ่งนาที มันเหมือนหนึ่งปี มันมีความรู้สึกว่าหายไปจริงๆ เขาตายไปจริงๆ เราจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว สงสัยถูกตัดแขนตัดขา ดีนะไม่ตัด ไม่อย่างนั้น เล่นเปียโนไม่ได้เลย ตื่นเต้นมาก วิ่งไปหาตรงโน้น คอยจะเอียงหูฟังประชาสัมพันธ์ประกาศอย่างไร? เด็กอายุเท่านี้? หน้าตาอย่างนี้หายไป ให้เขาประกาศ ให้เขาร้องข่าวดีไง รอข่าวดีเมื่อไร ประชาสัมพันธ์จะประกาศสักที เขาก็เบาๆ เราก็เงี่ยหูฟังว่าเมื่อไรจะเจอสักที จนในที่สุด ก็เจอ ดีใจมาก เข้าไปกอด อย่างกับไม่ได้เจอกันเป็นปี แต่จริงๆ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง อาจจะไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป แต่เราดีใจมากเลย เพราะว่าสำหรับเราพ่อแม่ เขาก็ได้หายไป ได้ตายไปแล้ว แล้วก็ได้เกิดใหม่ ได้เจอกันอีกที

เรื่องที่เราจะเรียนรู้กันในอุปมาครั้งนี้ ก็เป็นลักษณะอย่างนี้ พระเยซูกำลังยกตัวอย่างเหล่านี้มาให้เราฟัง ใครที่ไม่เคยสูญเสียอะไรที่ตัวเองรัก จะไม่รู้หรอกว่าเวลาพระเจ้าส่งพระเยซูมาช่วยเรา มาในลักษณะอย่างไร? มาในสภาพแตกสลายอย่างไร? มากกว่าที่ผมเล่าให้ฟังเยอะเลย

คำสอนของพระเยซู ซึ่งเราจะเรียนกันในวันนี้ อยู่ในหนังสือลูกา ซึ่งพระเยซูกล่าวเป็นคำอุปมา 3 เรื่อง ใน 3 เรื่อง ทุกเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับของที่มีค่า หายไป แล้วได้กลับคืนมา ความรู้สึกของคนที่ของหาย แล้วได้กลับคืนมา เป็นเช่นไร? ซึ่งหัวใจสำคัญของทั้ง 3 เรื่องนี้ คือมนุษย์ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ที่ได้ตายไป มีค่า มีความหมาย และมีความสำคัญมากมายมหาศาลขนาดไหนในสายพระเนตรพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ รักขนาดไหน? ตกใจขนาดไหน? เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? รอคอยขนาดไหน? ที่ลูกหายไป เหมือนตายไปแล้ว ซึ่งตายจริงๆ ทางวิญญาณ ลูกา 15:1-2

ลูกา 15:1-2  “1 ครั้งนั้น คนเก็บภาษีและ “คนบาป” มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระเยซู 2 แต่พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บ่นพึมพำว่า “ชายคนนี้ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานกับพวกเขา”

 

นี่คือเหตุผลและที่มาของอุปมาคำสอนของพระเยซู ที่เราจะเรียนกันในวันนี้ ก็คือเริ่มจากช่วงที่พระเยซูตระเวณประกาศสั่งสอนผู้คน เรื่องเกี่ยวกับการไปสวรรค์ ไปอย่างไร? บังเกิดใหม่อย่างไร? สวรรค์เขาทำกันอย่างไร? เขามีระบบ เขาคิดกันอย่างไร? แล้วในบรรดาผู้คนเหล่านั้น ที่มาร่วมชุมนุมกัน ที่ฟังพระเยซูก็มีทั้งคนเก็บภาษี ที่เรียกว่าคนบาปและคนอื่นๆ จำนวนมาก ซึ่งในสายตาพวกฟาริสี พวกยิวที่เคร่งศาสนา มองว่าคนเหล่านี้เป็นคนบาปหนา เขาก็รู้ตัวเองว่าเขาบาปนะ แต่พวกนี้หนากว่า พวกที่ไม่ใช่ยิว  แถมเป็นพวกที่ไม่เคร่งศาสนา บาปหนา ชั่วมาก พูดง่ายๆ ซึ่งไม่ควรที่จะไปคบหาสมาคมด้วย เพราะเราบริสุทธิ์กว่า แต่พระเยซูกลับต้อนรับ ดูแลเอาใจใส่คนเหล่านี้อย่างดี แถมร่วมรับประทานอาหารกับเขาด้วย ให้เกียรติมากกว่าพวกฟาริสี พวกยิวอีก เขาคิดอย่างนี้ ก็รวมหัวกันบ่นพึมพำและนินทาว่า …

“ชายคนนี้  (หมายถึงพระเยซู)  ต้อนรับคนบาป และร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา”

คิดในใจ บ่นพึมพำ เหมือนครั้งที่แล้ว เรื่องผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นอย่างนี้ ไม่พอใจ พอพระเยซูได้ยินพวกฟาริสีพากันบ่มพึมพำ ก็ตรัสเป็นคำอุปมา 3 เรื่องนี้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่า 3 เรื่องนี้มาจากเรื่องใด เราจะได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์จากบริบทของมัน ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับของหาย แล้วได้คืน ความรู้สึกของพระเจ้าของหาย แล้วได้คืน ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องของสวรรค์ทั้งสิ้น สวรรค์ที่มาถึง เมื่อพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม ในสวรรค์เป็นอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? เริ่มที่คำอุปมาเรื่องแรก เรื่องแกะหลงหาย อยู่ในข้อ 3 – 4

ลูกา 15:3-4 “3 พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า 4 “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่ง มีแกะหนึ่งร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น  จนกว่าจะพบหรือ”

 

“แกะ” ในคำอุปมาตรงนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ยิว ไม่ใช่ผู้เชื่อ ไม่ใช่คนดี แต่มนุษย์ทุกคนที่เป็นลูกๆ ของพระเจ้า และพระองค์ต้องการที่จะตามกลับมา ให้ได้ครบ (มากที่สุด) ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งหายไป พระองค์ก็จะออกตามหาอย่างใจจดใจจ่อ

คำว่า “ละแกะทั้ง 99 ตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบ” ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นความสำคัญของลูกๆ คนอื่นๆ แต่พระเยซูกำลังให้เราเห็นภาพว่าในขณะที่มีลูกหายไปนั้น พระองค์เสียใจขนาดไหน? เป็นห่วงขนาดไหน? และมีความพยายามตั้งใจขนาดไหนที่จะค้นหาให้พบ ส่วนลูกคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าไม่รัก หรือไม่สนใจ แต่พระองค์ทราบดีว่าลูกคนอื่นๆ ทุกคนอยู่กับพระองค์ปลอดภัยดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงทั้งสิ้น

ที่ผมยกประสบการณ์ให้ฟัง ไม่ใช่ไม่รักเต๋ แต่ตอนนั้นคิดถึงโต๋คนเดียว เขาอยู่ไหน? เหมือนเขาตายไปแล้ว เต๋อยู่ในอ้อมกอดของเราอยู่แล้ว พอมองเห็นภาพนะ เหมือนกันเลย ละทุกอย่าง ออกไปหา เพราะทุกอย่างอยู่ในที่ปกป้องเรียบร้อยแล้ว แต่คนนี้ยังไม่มารับเชื่อเลย เพราะฉะนั้น พุ่งตรงไปที่เขาตายอยู่ เขาหลงไปอยู่ ไปพาเขากลับมา อย่างนี้เป็นต้น

ลูกา 15:5-7 “5 เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี 6 และกลับบ้าน จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ 7 เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดี  ในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่า ในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่”

 

เมื่อเขาพบสิ่งที่หายไป สิ่งที่มีค่าดั่งแก้วตาดวงใจ ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน เป็นภาพที่เราคุ้นชินกันบ่อยๆ ที่เขาวาดภาพพระเยซู แล้วก็มีแกะอยู่บนบ่า จับสองเท้าหน้า สองเท้าหลัง พาดไว้ แล้วก็เดิน ในขณะที่รูปภาพนั้น ข้างล่างก็จะมีฝูงแกะอยู่ บางคนก็บอก …

“ฉันอยากจะเป็นแกะตัวนั้น”

อยากเป็นไหม?  อย่าเป็นเลยดีกว่า แสดงว่าเพิ่งหาเจอ ขอให้ฉันเป็นแกะตรงที่ทุ่งหญ้านั้นดีแล้ว เพราะว่าอยู่นานแล้ว รอดมานานแล้ว นึกภาพนี้ออกใช่ไหม? เป็นความรู้สึกของคนที่สูญเสียสิ่งที่รักไปมากๆ แล้วได้กลับคืนมา มันเป็นอย่างนั้น เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะใส่บ่ามาด้วยความชื่นชมยินดีและกลับบ้าน

พระเยซูแบกใคร? แบกคนที่เหมือนตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ได้กลับใจใหม่ ได้เป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ดีใจมาก ชื่นชมยินดี จัดงานเลี้ยงเลย อะไรประมาณนั้น

จะเห็นว่าพระองค์แบกอย่างทนุถนอม และด้วยความรักสุดหัวใจ และตัวอื่นๆ ก็มองขึ้นมาด้วยความอิจฉา เป็นเรื่องธรรมดา เพราะตัวอื่นๆ ยังอยู่บนโลกใบนี้ แต่ถ้าตัวอื่นๆ จากไปอยู่ในสวรรค์ เขาจะไม่อิจฉาแล้ว จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหาย เพื่อนบ้านมาพร้อมกัน

“ร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะที่หายไปแล้วนั้น”

สำหรับพระเจ้าแล้ว คำว่า “หาย” ตรงนี้ คือตายนั่นแหละ วิญญาณเราตายไปเลย สำหรับพระเจ้าแล้ว การที่ได้พบลูก สามารถกลับคืนดี เป็นขึ้นมาใหม่ได้สักคนหนึ่ง ซึ่งเคยตายไปแล้ว กลับมาพบหน้ากันได้อีก เกิดใหม่ เป็นเรื่องที่น่ายินดีของพระเจ้ามากมาย เป็นเรื่องที่ทำให้มีการฉลอง เลี้ยง รื่นเริง ไม่ใช่เลี้ยงธรรมดา เลี้ยงใหญ่โตเลย ซึ่งทำนองเดียวกัน ในสวรรค์ จะมีเรื่องยินดีในคนบาป คนหนึ่ง ซึ่งกลับใจใหม่ มากกว่าคนชอบธรรม 99 คน ซึ่งไม่จำเป็น หรือไม่ต้องการการกลับใจใหม่ หมายถึงใคร ไม่ต้องการกลับใจใหม่ ก็คือแกะที่อยู่บนทุ่งหญ้า ไม่ต้องการกลับใจ เพราะเป็นลูกไปแล้ว อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว

พระคัมภีร์บันทึกไว้หลายแห่งว่าทุกครั้งที่มีคนกลับใจใหม่ หมายถึงคนใช้สิทธิของเขา รับเชื่อในพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในสวรรค์จะมีการจัดเลี้ยงฉลองใหญ่โต เพราะพระเจ้าดีใจมาก เพราะเปรียบเหมือนกับคนสูญเสียของมีค่ามากมายมหาศาล แล้วได้กลับคืน ตะโกนดีใจมากเลย  พระเยซูกำลังจะบอกเราอย่างนี้ว่าเรามีค่าขนาดไหน? ในสวรรค์เป็นอย่างไร?

ลูกา 15:8-9 “8 หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ 9 และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว”

 

มาถึงคำอุปมานี้ เปรียบเทียบเหมือนเหรียญที่มีค่าหายไป ซึ่งก็เช่นเดียวกัน หมายถึงมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้หลงหายไป ซึ่งมีค่ามากมาย เพราะพระเจ้าทรงรักมาก มากขนาดไหน? เหรียญเดียวนะ คนๆ เดียว ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? และหายไปเหรียญหนึ่ง พระเยซูบอกว่าหญิงคนนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือนเลยเหรอ เหรียญเดียวเองนะ ท่านเข้าใจคำว่าจุดตะเกียงไหม? สมัยก่อนไม่ใช่กดสวิทส์ไฟ จุดตะเกียง มันใช้เงินนะ ไม่ใช่ทุกบ้านมีตะเกียงหมด ทำอย่างไร? กวาดเรือนเลย สมมติ 2 ชั้น กวาดเรือนหมดเลยเพื่อหาเหรียญ ส่องไปทั่วเลย เรานึกถึงภาพมีไฟฉายอันหนึ่ง อยู่ไหน? เมื่อไรจะเจอ ขึ้นไปชั้นบน ต่ออีกนะ และค้นหาอย่างถี่ถ้วน แปลว่าถ้ามีใต้ถุน มีซอก มีมุม เจอหรือยัง ไม่เจอๆ ถามว่านานเท่าไร? จนกว่าจะพบ นี่ความรู้สึกของสวรรค์ต่อคนที่หลงหายไป ข่าวดีของพระเยซูมีค่าเท่าไร? เมื่อเจอแล้ว ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่โต พระเยซูมาด้วยความตั้งใจ และค้นให้พบจริงๆ และยอมสละทุกอย่าง

ในนี้บอกว่าทั้งหมด 10 เหรียญ 9 เหรียญยังอยู่ ไม่สนใจเลย 9 เหรียญยังเก็บไว้ในเชฟ แกะมี 100 ตัว 99 ตัวไม่ยุ่ง อยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว อยู่ในคอกเรียบร้อยแล้ว พระเยซูบอก …

“ไม่มีใครเอาแกะของเราออกไปจากคอกของเราได้ ไม่มีทาง พระองค์มีฤทธิ์อำนาจดูแลได้”

แต่มีตัวที่อยู่ข้างนอก พระองค์ละ 99 ตัว ละเหรียญ 9 เหรียญ แล้วก็วิ่งออกไปหาตลอดเวลา   จนกว่าจะพบ ไม่พบก็ต้องหาต่อ พระองค์สละ 99 ตัว หมายถึงแกะบนทุ่งหญ้าเท่านั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าประทานพระบุตร คือพระเยซู ในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าพระเจ้ายอมรับการงานนี้ ในการมาช่วยมนุษย์ที่หลงหายไป ให้กลับคืนสู่พระเจ้า ด้วยการสละสภาพการเป็นพระเจ้าของพระองค์ ยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตามหาแกะที่หลงหาย  นี่หมายถึงอย่างนี้  ไม่ใช่เอาไฟฉายส่องธรรมดา ไม่ใช่จุดตะเกียงเฉยๆ ทำสุดความสามารถ ลดตัวลงมา ใต้ถุนก็จะมุดลงไป อยู่บนโลก ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพื่อคนๆ เดียวจะรอด ก็จะมา

ความหมายตรงนี้ แปลว่าเพื่อคนๆ เดียว สมมติว่ามาแล้ว ไม่มีใครเชื่อข่าวดีเลย มีคนเดียวที่เชื่อ ก็จะมา ก็จะยอมตายที่ไม้กางเขน ยอมทำทุกอย่าง เพื่อคนๆ นั้นคนเดียวที่จะได้รับความรอด นี่ความหมายของอุปมานี้ เป็นเช่นนี้  เราจะได้เห็นว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? และทำอะไรให้เราขนาดไหน? พระเยซูยอมสละสภาพพระเจ้า เป็นผู้ควบคุมจักรวาลทั้งหมด ควบคุมทั้งหมดในสวรรค์ ใหญ่ที่สุดในสวรรค์ รองจากพระเจ้า แล้วลงมาช่วยน้องๆ ที่หลงหายไป

แล้วสังเกตนะ ทุกครั้งที่ของหาย แล้วได้คืนกลับมา จะจบตรงที่มีการเลี้ยงรื่นเริง เฉลิมฉลองกันใหญ่โต ดีใจ เดี๋ยวเรื่องต่อไป ก็จะมีเรื่องการฉลองอีกเหมือนกัน เรื่องที่ 3 แสดงว่าความดีใจของพระเจ้า มีมากขนาดไหน? ทุกครั้งที่พระองค์ได้ตาม และได้พบลูก แม้กระทั่งคนเดียว ที่หลงหายไป แล้วได้กลับมาใหม่ ลูกา 15:10 ต่อไปนะ

ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดี ท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”

 

แม้เพียงคนเดียว ที่ได้ตัดสินใจใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูทำให้กับเขาที่ไม้กางเขน ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับบาปแทนเขา คนนั้นแหละ ได้ยอมทนทุกข์ทรมาน สละสภาพเป็นพระเจ้า ให้เขาย่ำยี ให้เขาทรมาน เพื่อคนๆ นั้นคนเดียว จะได้ใช้สิทธิของเขา เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา จะมีความชื่นชมยินดีอย่างมากมาย ถึงขนาดมีการจัดเลี้ยงใหญ่โตบนสวรรค์เลย

ลองย้อนกลับไปคิดว่าที่มาของทั้งหมด มันเป็นอย่างไร? ที่ให้พระเจ้าต้องออกมาตามหาเราขนาดนั้น นึกภาพว่าสาเหตุมาจากไหน? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก ในมหาจักรวาล ทั้งหมดเลย ทั้งสวรรค์ ทั้งบนโลก โลกวิญญาณทั้งหมด รวมทั้งทูตสวรรค์ ทั้งโลกมนุษย์ ทั้งตัวมนุษย์เอง รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดเลย ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ให้มีขึ้นทั้งนั้น แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ก็เกิดกบฏกับพระองค์ คิดดูสิ ฟังดูความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?

กบฏพวกแรก คือที่พระองค์ทรงสร้าง เหมือนทหารเอก คนสนิทกัน อย่าลืมว่าเรารู้แล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักอดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง พระองค์เป็นความรัก พระเยซูก็เป็นความรัก แต่คนที่กบฏต่อพระองค์ คือทูตสวรรค์ชั้นหัวหน้า ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ คิดดูสิ เราให้ความสนิทสนมกับเขามากเลย เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาเป็นทูตสวรรค์เราสร้างขึ้นมาเอง ให้เป็นผู้รับใช้ ให้เป็นทหารเอก ห้เกียรติเขา เป็นหัวหน้านำนมัสการที่ดีมาก ลูซีเฟอร์พอตกสวรรค์ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นซาตาน แปลว่าความชั่วร้าย  ลูซีเฟอร์ แปลว่าดาวรุ่งอรุณ ยกย่องมาก เราให้เกียรติกับสิ่งที่เราสร้างมาก เราเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ท่านเข้าใจไหมครับ? ยกย่อง ทุกอย่างดีหมด อยู่ดีๆ วันดีคืนดี มันโผล่ขึ้นมาเอง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราก็ไม่ต้องไปสนใจว่าทำไมมันถึงโผล่ ในพระคัมภีร์ไม่ได้อธิบายมากกว่านั้น พระคัมภีร์บอกแค่ว่าอยู่ดีๆ ลูซีเฟอร์ก็เกิดผยองตัวขึ้นมา เย่อหยิ่งเกินกว่าเหตุ เขายกย่องๆ มากๆ พระเจ้าก็ยกย่อง พระเยซูก็ยกย่อง อยากจะเป็นพระเยซูเอง อยากจะเป็นพระบุตรเอง ก็เลยกบฏ พอกบฏก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ถามว่าพระเจ้าโมโหเหรอ พระเจ้าเป็นความรัก ถามว่าพระเจ้าโมโหได้ไหม? พระเจ้าเป็นความรัก มีโมโหไหม? อันนี้ผมคิดเอง ไม่มี พระเยซูบอกพระเจ้าเป็นความรัก พระเยซูยืนยันพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างเราทั้งหลาย เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณเราเมื่อเกิดใหม่ ก็เป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก แต่ทำไมพระเจ้าต้องลงโทษ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบของมหาจักรวาล เมื่อทำผิด ก็ต้องได้อย่างนี้ เมื่อจับไฟฟ้าแรงสูง ก็ถูกช๊อต ถ้าจับไฟฟ้าแรงสูงมีชนวนอยู่ มันก็ไม่โดน อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าทำ แต่กฎระเบียบ ทำ คำพิพากษาวางไว้ก่อนแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อกบฏ ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า ก็ถูกขับออกจากสวรรค์ ไปอยู่คนละฟากกัน แค่นั้นเอง ท่านคิดหัวใจของพระเยซูเสียใจนะ ลูซีเฟอร์ทำไมเป็น ไม่น่าเลยๆ แค่นั้นไม่พอ พระคัมภีร์บอก มันเป็นตัวกลาง เป็นสาเหตุล่อลวงน้องๆ ของพระเยซู ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันมา ก็คือลูกของพระเจ้า  ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย  ไปล่อลวง ให้กบฏตามมันด้วย แล้วปรากฏว่ามนุษย์ก็กบฏตามมัน เมื่อกบฏตามมัน ก็โดนเหมือนเดิม ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเกลียด ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าโมโห พระเจ้าหัวใจแตกสลายเลย บอกลูกแล้วอย่าเอามือแยงลงไปที่ปลั๊กไฟ แยงแล้วมันจะช็อต ตายไป พระเจ้าดีใจเหรอ ฉันจะลงโทษแกให้ตายเหรอ ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเสียใจ ท่านเห็นภาพไหม?

เราเรียนสิ่งเหล่านี้ เราจะเห็นภาพชัดเจนว่าพระเยซูมา บนโลกใบนี้ เพื่อเล่าถึงอุปมาต่างๆ เล่าถึงสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา เป็นอย่างไร? ระบบมันเป็นอย่างไร?  มันไม่ใช่เหมือนที่เราคิดแบบมนุษย์ เอามาเทียบเคียงกับมนุษย์ มันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เสียใจ เจ็บแค้น ไม่ใช่โกรธใครนะ เจ็บแค้น คือมันเจ็บ บอกอย่าทำ ไม่น่าทำเลย ไม่ใช่โกรธ เกลียดมนุษย์เลย สงสารต่างหาก ห่วงใยต่างหาก โธ่ ลูกเรา ไม่น่าเลย ท่านเห็นภาพแล้วนะ ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เหตุมันมาจากตรงนี้

ดังนั้น การที่พระเยซูยอมลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะความรักตรงนี้ พระเจ้าจึงไม่ได้ดูมนุษย์เป็นคนแย่มากมายอะไรต่างๆ เป็นคนบาปชั่วร้ายอะไรต่างๆ เขาถูกล่อให้หลง ได้รับโทษ ตามบทบัญญัติที่ผู้พิพากษามหาจักรวาลวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าใครกบฎต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  มันต้องได้รับโทษอย่างนี้ไง ซึ่งเราเรียกว่าคำสาปแช่ง ท่านเห็นภาพหรือยัง? ตอนนี้ผมสามารถระบายสีพระเจ้า ให้ท่านเห็นชัด ดูสิว่าพระเจ้าเราเป็นพระเจ้าที่ดีงาม น่ารัก นุ่มนวลมากๆ ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ต้องดูแลความยุติธรรม มิฉะนั้น ดวงอาทิตย์วันดีคืนดี มันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก มันมาออกทางทิศตะวันตกอย่างนี้ มันจะยุ่งวุ่นวายกันไปหมดใช่ไหม? พระคัมภีร์พูดเสมอว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ควบคุมทุกอย่างอยู่ เพราะว่าความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่ตายไปแล้ว ขณะที่ตายไป ก็ยังเป็นลูกของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงรักเขาดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ในพระคัมภีร์ก็บันทึกไว้อย่างนี้นะ เป็นแก้วตาของพระองค์เลย  รักมาก  แม้เขาหลงหายไป ตายจากพระเจ้าไป พระองค์ก็ไม่เคยลดละความรักเลย ไม่มีน้อยลงเลย ยังคงวางแผน ตามหา จุดตะเกียง คอยดู ไม่เจอก็หาอีกๆ หาจนกว่าจะพบ เป็นห่วงมาก

มาพูดถึงตรงนี้ ผมว่าพระเจ้าน่าจะมีหนังสือไปถึงบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อข่าวดีนี้ ยังไม่ได้มารับสิทธิของเขา เขียนสั้นๆ ว่า …

“กลับมาเถิด พระเจ้ารักเธอ และห่วงใยเธอมาก”

แค่นี้ พระเจ้าเป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ พระเจ้าจะพูดอย่างนี้ตลอดเวลา พระเยซูบอกไปเคาะประตูของทุกคน เคาะ แล้วพูดว่า …

“เป็นห่วงมาก กลับมาเถอะ”

ถ้ายังไม่กลับ ก็ตามหาอยู่ ตามหาตลอด ให้เขากลับมา ซึ่งตรงนี้ พระคัมภีร์ใช้ตรงนี้ และมนุษย์ทุกคนก็ใช้คำนี้ แต่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจคำนี้ ได้ลึกซึ้ง คือคำว่า “พระคุณ” ไม่รู้จะพูดคำอะไร? ไม่ใช่อภัยให้เราอย่างเดียว มันเป็นพระคุณ ไม่ถือโทษ โกรธอะไรเลย เพราะรู้สาเหตุมันมาจากอะไร?

พระคุณของพระเจ้าตรงนี้ ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เยอะมาก หลายแห่ง แบบยิ่งใหญ่และลึกซึ้ง ซึ่งเกินกว่าที่จะบรรยายเป็นถ้อยคำของมนุษย์ได้ เราจึงมักใช้คำว่า “Amazing grace” Amazing แปลว่าพระคุณที่อัศจรรย์ใจ เราก็ได้แค่พูดตรงนี้ แต่พระเยซูกำลังระบายสีให้เราเห็นว่าพระคุณตรงนี้ มันคืออะไร? ความรู้สึกของพระเจ้าที่มีต่อเรา มนุษย์ทุกคนมันเป็นเช่นไร? ในบุตรน้อยหลงหาย ที่เรากำลังเรียนอุปมานี้อยู่

หลายคนฟังอุปมา 2 เรื่องนี้แล้ว อาจกำลังคิดว่าทั้งสองเรื่องนี้ ฟังดูแล้ว เหมือนเราจะให้ความสำคัญกับผู้เชื่อใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือคนที่หลงหายไป ตายไปแล้ว และเพิ่งได้รับเชื่อ ได้กลับคืนมา พระเยซูดีใจ บนสวรรค์จัดเลี้ยง งานใหญ่โตให้ ซึ่งเราทุกคนก็เคยได้รับตรงนี้เหมือนกัน ก็คือวันแรกที่เรารับเชื่อ ก็คือหลงหาย แล้วได้กลับมาใหม่ คือพระเจ้าได้ทำกับเรา แบบนี้เหมือนกัน แต่มาถึงวันนี้ พระเจ้าไม่ทำกับเราเหมือนเดิม ก็เพราะท่านเป็นผู้ที่ไม่ต้องการจะกลับใจแล้ว ท่านได้ไปแล้วไง บางคนเชื่อมาหลายสิบปีแล้ว อาจจะคิดว่าอุปมาเรื่องของได้คืน ที่ฟังมาทั้งหมดนี้ จะเกี่ยวกับเราตรงไหน? ที่เรียนมามันเกี่ยวกับคนใหม่ทั้งหมดเลย คนใหม่มา พระเจ้าดีใจ แล้วเราคนเก่า ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเราเลย แล้วเราฟัง จะมีประโยชน์อะไร? หลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ ก็อยากจะบอกว่าถ้าอยากรู้นะ รอติดตามตอนต่อไป เพราะวันนี้เล่าเรื่องที่สาม  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************************