คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4 “มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4

“มรดกของผู้เชื่อในพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 7 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 4  ซึ่งมีเก้าอี้ 2 ตัวนี้อยู่เหมือนเดิม แต่วันนี้จะเน้นนิดหนึ่ง คือ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” เรื่องมรดกของผู้เชื่อในพระเยซู

เรามาสรุปกันก่อนว่าความหมายและความแตกต่างของ 2 อาณาจักรจากโลกวิญญาณ ที่เราได้เรียนกันมา 6 ตอนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ก็คือโลกวิญญาณที่ซ้อนอยู่บนโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ ในพระคัมภีร์บอกว่ามี 2 อาณาจักร … อาณาจักรแรกที่เห็นทางซ้ายมือของท่านนั้น จะเป็นแบบสว่างหน่อย ทางขวามือมืดหน่อย จริงๆ ไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเรา แต่พระเจ้าบอกจงมองให้เห็นเถิด

ชีวิตในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตัวจริงของเขาได้อาศัยอยู่ในครอบครัวพระคริสต์นี้ทันที เขาจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ตาม ก็ยังนับว่าเป็นถูกเสมอ นี่พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่ว่าทำผิดอะไรแค่ไหน? ก็ยังถูก เพราะว่าแกนมันถูก พระเยซูบอกว่าต้นไม้ดี ก็จะให้ผลที่ดี ต้นไม้เลว ก็จะให้ผลที่เลว มันไม่ได้อยู่ที่ผล แต่มันอยู่ที่ต้นตอ

มาอีกอันหนึ่ง ทางขวามือของท่าน ก็คือมืดๆ พระคัมภีร์ให้ชื่อว่า “ครอบครัวของอาดัม” ใครที่อยู่ในอาดัม ก็คือใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เพราะมันมีอยู่ 2 อันเท่านั้นเอง จะบอกว่า …

“ฉันอยู่ตรงกลาง”

พระคัมภีร์บอกไม่มี มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมืดหรือสว่าง ในครอบครัวอาดัมหรือในครอบครัวพระคริสต์

ใครอยู่ในครอบครัวอาดัม คนนั้นมีสถานะ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคนอธรรมนิรันดร์ ก็คือผู้มีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ ซึ่งตรงกันข้ามกับแสงสว่าง คนที่มาอยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าคนชอบธรรม

เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัม พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนอธรรมนิรันดร์ อธรรม คือยังคงมีบาป ต้องชดใช้บาปเวรกรรมของเขาไปนิรันดร์ และคนที่วิญญาณอยู่ในอาดัม เขาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทำถูก ทำดีแค่ไหน ก็ยังผิด นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะว่าแกนมันผิด ไส้ในผิด เพราะว่าเป็นต้นไม้เลวแล้ว มันออกลูกอะไรมา มันก็ผิดทั้งนั้น เป็นต้นไม้ที่ออกผลมาเป็นเลวหมด นี่คือพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

สรุปแล้ว 6 สัปดาห์เรียนมาได้แค่นี้ พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ต้องให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร?  แสดงว่าต้นไม้ดีหรือเลว ก็ต้องมองไปที่โลกวิญญาณ เพราะโลกวิญญาณ คือแกนของมนุษย์ทั้งปวง วิญญาณจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ แต่เนื้อหนังร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์นั้น สำคัญมากที่สุด  แต่ว่าพอเรามาคุย เรื่องความจริงแบบนี้ เนื้อหนัง คือความคิดของมนุษย์ ความเคยชินในความคิดของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า บางครั้งถ้อยคำของพระเจ้า มันตรงกับความคิดของมนุษย์ก็มี แต่หลายครั้ง ความคิดของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ ไม่สามารถจะเข้าใจโลกวิญญาณได้ พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ เนื้อหนัง ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ มันก็เริ่มทำงานแล้ว มันเริ่มต่อต้าน พอเริ่มรู้ความจริงว่าพอเราได้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ปุ๊บ พอเรารู้ความจริงว่าเราเกิดมา ก็อยู่ในอาดัม

พระคัมภีร์บอกมนุษย์ ตั้งแต่เกิดก็อยู่ในอาดัมแล้ว เพราะว่ามันได้พรีโปรแกรมแล้ว ยกตัวอย่างลูกของผม ก็อยู่ในตัวผม ตั้งแต่เกิดแล้ว DNA ของผม ก็ถ่ายทอดไปที่เขา ในทำนองเดียวกัน ไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงสุด มนุษย์ทั้งปวง ก็มาจากอาดัม นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น บรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัม เพราะเราเกิดมาก็อยู่ในอาดัม … อาดัมบาป เราก็บาป อาดัม DNA ในวิญญาณเขาบาป เราก็ DNA เป็นบาป แต่พอเรามาเชื่อพระเยซู ที่ได้ไถ่บาป “เชื่อ” คำนี้ แปลว่ายอมรับว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับผมจริงๆ ผมเชื่อจริงๆ ผมก็รับสิทธิของผม พระเยซูทำให้ผม 2,000 ปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้รู้เรื่อง พอผมรู้ ผมจะใช้สิทธิของผมบ้างแล้ว พระเยซูเป็นตัวแทนผม รับบาปของผมไปแล้ว พอผมเชื่อปุ๊บ ทันทีทันใด พระเจ้าก็ให้วิญญาณผมบังเกิดใหม่ มาอยู่อาณาจักรแสงสว่าง ทันทีทันใด ผมก็เป็นลูกของพระเจ้า และผมจะอยู่ที่นี่ตลอดไป พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

พอคนเราฟังอย่างนี้ มันทำอะไรผิดก็ถูกหมดเลย เพราะเราอยู่ที่ขาวแล้ว คนที่อยู่ที่ดำ ทำอะไรที่ดีๆ ก็ผิดหมดเลย  ทำไมเป็นอย่างนั้น มันรับไม่ได้ใช่ไหม? ก็เลยเกิดความขัดแย้งว่าถ้าอย่างนี้ คนที่อยู่ในแสงสว่างแล้ว สะอาดนิรันดร์แล้ว พ้นจากบาปนิรันดร์ ไปสวรรค์แน่นอนนิรันดร์แล้ว

“อ้าว! อย่างนี้ จากนี้ต่อไป ผมอยู่ที่นี่ ก็จะทำอะไรก็ได้  ผมไปสวรรค์แล้ว ก็จะทำดีไปทำไม ไม่ต้องทำดีแล้ว ไม่ต้องรักตัว สงวนตัว หรือว่าพยายามฝึกฝนประพฤติแต่สิ่งที่ดีๆ ในโลกใบนี้ ก็สบายสิ พระเจ้าสอนให้มนุษย์เป็นคนเลวได้อย่างไร? ผมจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างไรก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว จริงหรือไม่จริง”

จริงในทางความคิดและสติปัญญาของมนุษย์อันน้อยนิด ทุกคนก็จะคิดอย่างนี้

พระคัมภีร์สอนให้เรามีความรัก มีความเมตตา กระทำดีกับผู้อื่น ไม่โลภ พระเยซูบอกว่าจงอย่าโลภ สอนให้เราไม่อิจฉา สอนให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง และสอนเราในเรื่องผลของพระวิญญาณ 9 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราทำดี ละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อที่จะได้รับความรอดจากบาป ที่ติดมาจากอาดัมที่เป็นเชื้อบาป เพื่อที่เราจะย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่ความสว่าง เพราะว่าไม่มีใครทำได้ดีพร้อมตามที่กฎเกณฑ์พระเจ้าได้วางเอาไว้ คือทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีเลย พระเจ้าจึงได้ส่งพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ทำแทนเรา เพราะฉะนั้น การจะได้รับสิ่งเหล่านี้ จะได้รับจากพระเยซูเท่านั้น

แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้า โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่มาไถ่บาปให้กับเรา พอเราได้รับความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าอย่างนี้แล้ว พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ว่าเราก็ควร หรือสมควรที่จะเป็นลูกที่เชื่อฟัง ทำตามคำสอน เพื่อให้เป็นที่พอใจ หรือสบายใจของพ่อเรา  คือพระเจ้า ทดแทนพระคุณ ความรักของพ่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าเรา ผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่ย้ายไปอยู่ ที่เก้าอี้พระเยซูคริสต์แล้ว สะอาดหมดจดแล้ว อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตั้งใจจะทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า หรือเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เพราะเราได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เพราะเราได้เป็นลูกแล้ว เราจึงสำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ที่เป็นผู้พาเราไปตรงนั้น เราสะอาดแล้ว เราจึงไม่อยากทำสิ่งสกปรกแล้ว

วิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริง เราได้รับกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา  ที่จะช่วยนำพาเรา ให้ดำเนินชีวิตตามแผนการที่พระเจ้าวางไว้สำหรับเรา ตามคำสอนของพระองค์ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้ทำอะไร? พระวิญญาณก็จะพาเราไปทำสิ่งเหล่านั้น  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ผลแห่งพระวิญญาณ” เพราะว่าไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่ผลแห่งการบังเกิดใหม่ของวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา  เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ย้ายมาตรงนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเรา พระเจ้าก็อยู่กับเรา  วิญญาณเราก็สะอาดหมดจดแล้ว ไม่อยากจะทำอะไรที่เสื่อมเสีย สกปรกหรอก มันเป็นอย่างนี้

นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เราไม่ได้ทำความดีหรือละเว้นความชั่ว เพราะความกลัวอีกต่อไป แต่ก่อนนี้ เราพยายามทำดี เพราะเรากลัวจะถูกลงโทษ เรากลัวจะตกนรก เราจึงไม่กล้าทำ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปสวรรค์แน่นอน แต่เราทำ เพราะเรารักพ่อของเรา และทำเพราะเนเจอร์หรือธรรมชาติ ตัวจริงๆ ของเราเป็นบริสุทธิ์เหมือนพ่อเรา

เคยได้ยินเรื่องธรรมชาตินี้ไหม? เขาเอาหมู ทำให้สะอาดเลย โกนขน ชมพู เป็นเบ๊บเลยนะ แล้วก็ผูกคอด้วย ใส่กระดิ่ง เหมือนสุนัขคล้องเชือก เดินไปด้วยกัน ในห้างสรรพสินค้า คนก็มอง น่ารักมากเลย สักพักเราก็อุ้มมันขึ้นรถ พอกลับมาบ้าน เราก็ปลดโซ่ออก พอปลดออก มันวิ่งไปหาโคลนนอกบ้านทันที เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แต่เราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติในวิญญาณของเรา เหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะไม่วิ่งไปหาสิ่งสกปรก ถ้ามันไปเจอสิ่งสกปรก มันจะรีบวิ่งไปห้องน้ำ ไปขัดมันออก เพราะว่าธรรมชาติต้องการความสะอาด ตรงกันข้ามกับหมู ท่านเห็นภาพไหม? ของเราสะอาดหมดจดแล้ว มันก็จะวิ่งไปหาความสะอาด เพราะวิญญาณมันสะอาด อย่างไรก็วิ่งไปหาความสะอาด แต่ถ้าข้างในสกปรก เดี๋ยวมันก็ทนไม่ไหว ไปหาโคลน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่

อีกอันหนึ่ง ก็คือที่เราทำสิ่งที่ดีงาม ละเว้นความชั่ว เพราะว่าเรามั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ เป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของเราแล้ว เราอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว ในหนังสือโรม 8 ข้อท้ายๆ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีฤทธิ์อำนาจใหญ่ขนาดไหน? ใคร? หรือทูตสวรรค์ หรืออะไรก็ตามที่จะมาเอาเราออกไปจากความรักของพระเจ้า ที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราทั้งหลายอีกแล้ว อยู่ในกำมือพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเอาออกไปแล้ว พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงกระทำสิ่งสารพัด ไม่มีผู้ใด หรือสิ่งใดขัดขวางได้  พอไหม? พระเจ้ารับประกันขนาดนี้  พอแล้ว ท่านก็จะได้เดินอย่างสบาย แล้วก็ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี เพราะว่าเราสำนึกในพระคุณ ความรัก ความเมตตา ที่พระเจ้ามีต่อเรา

นอกเหนือจากพระคุณพระเจ้าที่มีเมตตาต่อเราแล้ว เรายังยำเกรง เราไม่อยากจะเจอกับสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์บนโลกใบนี้ เพราะพ่อเราสอนไว้ ไม่ใช่พ่อเราบอกว่าเราจะตกนรก แต่พ่อบอกจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ แต่ถ้าเธอไปเจอของสกปรกมา เธอแพ้นะ เธอผื่นขึ้นนะ เธออาจจะเป็นโรคผิวหนังนะ ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน เธอจะเจ็บปวดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มันทุกข์ลำบากนะ แต่ถ้าเธอเชื่อฉัน มันก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบสันติสุข ทุกข์น้อยหน่อย เอาแบบไหน? ลูกก็บอกอยากจะเดินอย่างดี เผลอไปทำไม่ดีบ้าง ก็เกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นในชีวิตเรา ซึ่งเราเรียกตามภาษาทั่วๆ ไปว่าผลกรรมของโลกใบนี้ คือหว่านอะไรไปแล้ว ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้นเข้ามา เป็นผลทั่วๆ ไป

สมัยต้องทำบ้าน ตกแต่งบ้านใหม่ ลูกก็ยังเล็กอยู่ … อยู่ไปด้วย ทำไปด้วย ไม่ได้สร้างใหม่ เขาก็กองไม้ไว้เยอะแยะ ทั้งไม้ที่ติดตะปู ก็พาลูกไป

“ลูกจำไว้นะ แถบสนามห้ามเข้าไปเลยนะ แต่ก่อนวิ่งได้ แต่ตอนนี้วิ่งไม่ได้ ตะปูมันเยอะแยะไปหมด เหยียบเข้าไป มันทะลุเข้าไปที่เท้าเจ็บปวดนะ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจ”

วันหนึ่ง พ่อแม่ไม่อยู่ ลืมที่พ่อแม่สั่งไว้ อย่าเข้าไปในสนาม เล่นเพลินเพลิด เข้าไปในสนาม ก็ไปโดนไม้ที่มีตะปูจริงๆ ทิ่มทะลุรองเท้าผ้าใบ อายุประมาณ 4-5 ขวบ ทะลุรองเท้า เลือดไหลโชกเลย ไม่ร้องไห้สักคำ เพราะรู้ว่าไม่น่าเลย พ่อสั่งไว้แล้ว รีบไปให้แม่บ้านช่วยทายาให้ พอผมกลับมา ทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย  จนแม่บ้านมาฟ้อง

“วันนี้เหยียบไปเลือดไหลโชกเลย”

“ทำไมเขาเดินเหมือนไม่มีอะไรเลย”

ไม่กล้าบอก เพราะเราสอนแล้ว รู้สึกแล้วว่าถ้าเผื่อไม่เชื่อฟัง มันก็ได้ผลไม่ดี เหมือนที่พ่อได้บอกไว้ แล้วผมกลับมา ผมรู้แล้ว ผมจะทำอย่างนี้ไหม?  ไม่เชื่อฟัง เตะออกนอกบ้านไปเลย  ผมไม่ทำ เพราะเป็นลูกผม ต่อให้ทำมากกว่านี้ ก็ยังเป็นลูกอยู่ดี เห็นไหม?  ก็เหมือนกันเรากับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าอย่าโลภ พอเราโลภ พระเจ้ามาบอก

“สมน้ำหน้า บอกอย่าโลภ ยังโลภ”

พระเจ้าพูดอย่างนี้ไหม?  พระเจ้าก็มาถึง ลูบหัว พ่อก็บอกแล้วไง แล้วเราก็บอกว่า

“ไม่น่าเลย วันหลังไม่เอาแล้วจริงๆ พ่อจ๋าช่วยด้วย”

พอปีต่อมา เราก็โลภอีก เพลินๆ ไป แล้วก็เผลอ เหมือนเด็กตะกี้นี้ เพลินๆ ไป วิ่งเล่นเข้าไปในสนามหญ้า ก็บอกอย่าไป  มันลืม เมื่อพลาด แทบจะไม่อยากกลับมาอธิษฐานเลย เพราะอาย นี่แหละคือความสำนึกที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ความกลัวแบบสมัยก่อน รู้ว่าอย่างไรเราก็รอด รู้ว่าอย่างไร? พระเจ้าก็ไม่ไล่เราออกจากบ้าน รู้ว่าอย่างไรเราก็อยากจะเชื่อฟัง แต่บางครั้งมันเพลินไปหน่อย เพราะว่าเนื้อหนังของมนุษย์ มันยังมีอิทธิพลของความบาป ยังต้องต่อสู้กันอยู่ บางครั้งเราก็ชนะเนื้อหนัง ทำตามถ้อยคำพระเจ้า ที่สอนเรา บางครั้งลืมตัวไปหน่อย โลภไปหน่อย พระเจ้าบอกให้เราอภัย ตอนนี้อภัยไม่ได้ เพราะมันเห็นต่อหน้า และเป็นครั้งที่ 10 แล้ว ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ไหวจริงๆ บางคนไม่ถึง 10 หรอก แค่ครั้งเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว  อภัยไม่ได้ พระเจ้าบอกถ้าไม่อภัย คืนนี้นอนไม่หลับนะ คืนนี้ก่อนจะนอนหลับ อภัยได้ไหม?  เป็นคนนอนเที่ยงคืน ถึงเที่ยงคืน อ้าว! อภัยแล้ว หลับ ได้หรือเปล่า? ง่ายอย่างนั้นไหม? ไม่ง่าย ไม่อภัย แล้วหลับไป ด้วยความโกรธ กัดฟันก๊อตๆ นอนก็ไม่หลับ แล้วก็แค้น แล้วใครทุกข์ คนที่เราโกรธ เขาทุกข์ไหม?  คนที่เขาทำเรา เขาทุกข์ไหม?  เราไม่รู้ แต่เรานั่น ทุกข์เห็นชัดๆ นอนก็ไม่หลับ ความดันขึ้นอีก ก็พ่อเราบอกแล้ว ตื่นเช้ามา พ่อบอก

“ก็ฉันพูด แล้วเธอไม่เชื่อฟัง บอกให้อภัย เห็นไหม?  ไป ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้”

เป็นไปได้ไหม?  ไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ นอกจากพระคุณความรักของพระเจ้า ที่เราจะทดแทนแล้ว ความไม่อยากจะเจอสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระเจ้าบอกอย่าโลภ เราก็ไม่โลภ พระเจ้าบอกถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อที่คอหอยของท่าน  พอมันจะกลืน ท่านแทงมันเลย  เคี้ยว แล้วคายออกมา ทำได้ไหม? ถ้าท่านตะกละ จงเอามีดจ่อไว้ ก็คือถ้าท่านไม่ยอมหยุดยั้งในกิเลส หรือความอยากได้ พูดถึงอาหารยิ่งชัดเจน ถ้าท่านกินไม่เลือก ท่านก็จะต้องรับผลของมัน เมื่ออายุมากขึ้น แล้วมันส่งผลมา ท่านกินเข้าไปเลย แป้ง บอกกินน้อยหน่อย ก็กินเยอะ น้ำตาล บอกให้กินน้อยหน่อย ก็จะกินเยอะ มันอร่อย มันหวาน น้ำมันที่ไม่ดี บอกอย่ากิน มันอร่อย มันทอด แล้วมันสนุก ชีวิตมันต้องสนุกบ้าง นั่นพูด และในที่สุด ก็ต้องรับผลของมัน แล้วพ่อเราดีใจไหม? ดีใจ บอกแล้วอย่าทำ ทำ ถึงเป็นเบาหวาน ต้องไปตัดขา สมมตินะ

พ่อเราเป็นอย่างนี้ไหม? ไม่หรอก พ่อเราคงเสียใจ นี่แหละ คือความเสียใจ เมื่อเราทำบาป ขณะที่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เราอยู่ในความสว่างตรงนี้แล้ว ที่บอกทำให้พ่อเสียใจ เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งดี เพราะรักเรา  ไม่ได้เสียใจ เพราะเราทำบาป เราทำให้พ่อเราเสียเกียรติ ไม่ใช่ พ่อเรามีเกียรติเยอะแยะ แล้วพ่อไม่สนใจเกียรติอีกแล้ว แต่สนใจชีวิตเราว่าเราคงทรมาน ลูกเราไปเหยียบตะปู เลือดสาด ถ้าเขาเชื่อเรา เขาก็ไม่เป็นอย่างนี้  เจ็บใจตัวเอง ใช่ไหม? ถ้าเป็นมนุษย์ คงโกรธ เพราะรัก แต่ถ้าเป็นพระเจ้าไม่โกรธแล้ว เพียงแต่เสียใจว่า …

“ถ้าลูกไปทำอย่างนี้ ลูกก็มีความทุกข์ ลูกอย่าทำเลย เชื่อพ่อเถอะ”

แต่พ่อก็เข้าใจว่าทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงช่วยเรา ให้ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ให้ทุกข์น้อยที่สุด เพราะอยู่บนโลกใบนี้ มันทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลกใบนี้มันเสียหาย ตั้งแต่สมัยที่อาดัมมอบโลกใบนี้ ให้กับมาร ตกอยู่ในความมืดนั้น ความสาปแช่ง มันเข้ามา และคำสาปแช่งนั้น ก็ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้อยู่ ยกเว้นคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ พระเยซูไถ่หมดแล้ว เอเมน แต่วันหนึ่งข้างหน้า พระเยซูจะมาไถ่โลกวัตถุนี้ให้กับเรา คือวันที่พระองค์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันที่เราได้รับร่างกายใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ จะใหม่ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะถูกทำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าเยรูซาเล็ม เอเมน

ท่านเห็นไหม? พอเราเอาความจริงในถ้อยคำพระเจ้ามาพูดกันอย่างชัดๆ เราจะเห็นความรู้สึกของพระเจ้า เราจะเห็นมันเป็นจริงๆ นี่คือมันเกินสติปัญญาของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ นี่คือสติปัญญาของพระเจ้าที่เขียนในพระคัมภีร์ให้เราได้เห็นอย่างนี้

ฟังดีๆ นะ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เชื่อฟัง เพราะความกลัว ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำจะถูกลงโทษอย่างโหด ตามพระคัมภีร์เขาเรียกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอามันให้ตาย  ถามว่าเด็กเชื่อฟังไหม? เชื่อ เพราะกลัว แต่พอโต อาจจะสู้พ่อแม่ โตแล้ว เขาก็ออกไปใช้ชีวิตเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ เขาไม่ได้คิดถึงพ่อแม่อีกแล้ว แต่ถ้าเราเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก ด้วยความอบอุ่น ไม่ใช้การข่มขู่ ไม่ใช้การคาดโทษ อย่างที่ผมบอก ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ใช้ฝึกวินัย มีการลงโทษเหมือนกัน ลงโทษด้วยความรัก เขาเรียกว่าฝึกวินัย ลงโทษด้วยความโหดร้าย เขาเรียกตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาให้มันตายเลย ว่ากันตามกฎเลย ตรงแป๊ะเลย

ความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขานั้นแหละ ที่จะเป็นเกราะคุ้มกัน ไม่ให้เขาเดินไปในทางที่ผิด เพราะเขาไม่ได้กลัวการถูกลงโทษ แต่เขาไม่อยากจะทำให้พ่อแม่เสียใจ เพราะเขารักพ่อแม่ เขาสัมผัสความรักที่พ่อแม่มีให้กับเขาได้ เวลาท่านเลี้ยงลูกในครอบครัว ถามว่าลูกสัมผัสความรักของท่านในครอบครัวได้ไหม? ท่านถามตัวเอง ท่านจะรู้เอง  ไม่ต้องมีใครเช็คท่าน ลูกสัมผัสความรักของท่านได้ไหม? หรือว่าลูกเข้าหาท่านทีไร ขาสั่นตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เด็กก็จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะพยายามทำสิ่งที่พ่อแม่สอนทั้งต่อหน้าและลับหลังให้ดีที่สุด หรือถ้าเผลอๆ ไปทำผิดอะไรจริงๆ เขาก็จะมาบอกเรา มาขอโทษ เพราะเขามั่นใจในเราว่าเรารักเขา เพื่อให้เราปลอบโยนเขา พันแผลให้เขา เขาไม่ได้มาขอให้เรายกโทษ เขารู้อยู่แล้วว่าเรายกโทษ เข้าใจไหม? การที่เราเข้าไปหาพระเจ้า เมื่อเราทำผิด คือให้พระเจ้าพันแผล ไม่ใช่ขอพระเจ้ายกโทษ … ยกโทษอะไร ก็ยกโทษตั้งแต่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ท่านได้รับความรอดแล้ว ถามว่ามีใครที่รับพระเยซูแล้ว อยู่ในความเชื่อแล้ว อยู่ในแสงสว่างนี้แล้ว

“โอ! พระเจ้า ขอช่วยลูกให้ได้รับความรอดจากอาณาจักรของความมืด รอดจากนรกที”

“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกทำอะไรผิดไป ลูกกลัวนรกนะ ชำระล้างลูกด้วย ให้ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”

ใครยังอธิษฐานแบบนี้อยู่ ความรอดมาพร้อมความชอบธรรม มาพร้อมกับการบังเกิดใหม่ มาพร้อมกันทั้งกล่อง อภัยโทษทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต ได้รับความรอด วิญญาณเปลี่ยนใหม่ บังเกิดใหม่ ทุกอย่างอยู่ในนี้ครบแล้ว แต่เนื่องจากชีวิตเดิมๆ ของเรามันเป็นอย่างนั้น  เราจึงไม่สามารถที่จะรับความผิดตรงนั้น พระเจ้าดูเราเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง แล้วเราตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่ผมบอกว่ายิ่งคนที่ไม่เข้าใจพระเจ้ามากเท่าไร? ไม่ได้มาบังเกิดมากเท่าไร? ก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าสอนมากเท่านั้น แต่พอมาเรียนรู้กันตามถ้อยคำพระเจ้า ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร?

ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ในเรื่องนี้ที่บอกว่าเราไม่ต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์ แต่เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึงทำดี ตามธรรมชาติ แบบชาวสวรรค์ สำหรับคนภายนอกฟัง ตกใจ มันเป็นไปได้อย่างไร? แต่สำหรับเรา เราเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในวงจรความคิดแบบเก่าๆ เคยถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ก็ต้องได้ดีสิ  ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว มันถูกในเรื่องของโลกวัตถุ แต่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมีผลเหมือนกันในทางวัตถุ ก็คือทางโลกวิญญาณ ถ้าเผื่อเราได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้า … พระเจ้าก็จะช่วยเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามบนโลกใบนี้ ได้สิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ มากขึ้นกว่าไม่มีใครช่วยเราเลย เพราะเราถูกปลูกฝังมานานว่าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรก มันติดอยู่ในใจเราตลอดเวลา โดยเฉพาะคนเอเชีย ติดเยอะ

พอไปอยู่ในที่สว่างแล้ว พระเจ้าบอกนิรันดร์ พอเราทำอะไรผิดไป เราก็นึกว่าต้องลงนรกอีกแล้ว มันก็เลยไม่ตรงตามพระคัมภีร์ แค่นั้นเอง พระเจ้าจึงบอกว่าคนๆ นั้นต้องได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณ ต้องมองทะลุเข้าไปทางวิญญาณ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ได้ ไม่อย่างนั้นลำบากมากเลย

การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ จึงสำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้น เราไปสะเปะสะปะในโลกวัตถุ   จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด ผิดหมด เบี้ยวไปเบี้ยวมา ถ้าท่านเริ่มที่โลกวิญญาณก่อน ท่านจะเริ่มถูกต้องแล้ว  มันอาจจะติดช้าหน่อย แต่ติดถูกเม็ด เพราะฉะนั้น ต่อไป มันก็เรียงตรง

เปาโลเป็นนักประกาศ พอมีคนเชื่อใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็อธิษฐานไม่หยุดหย่อนเลย ในเอเฟซัส 1:17

เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์”

 

เปาโลบอก “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เสมอๆ เลย ไม่ใช่เสมอธรรมดา “ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดา ผู้ทรงพระเกียรติสิริ”

ก็คือขอให้พระเจ้า พ่อของพระเยซูที่เราเชื่อกันอยู่ กำลังพูดกับผู้เชื่อใหม่ชาวเอเฟซัส “เรา” ในที่นี้ รวมทั้งเปาโลด้วย

แสดงว่าที่ท่านได้ยินข่าวประเสริฐมา มันไม่พอ เพื่อท่านจะได้รู้มากกว่านั้น

“ขอพระเจ้า ให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และมีวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้”

วิญญาณนี้ หมายถึงโลกวิญญาณ … วิญญาณนี้ไม่ได้หมายถึง เพื่อท่านจะได้มีสติปัญญาแบบมนุษย์ เพื่อท่านจะขยันอ่านพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะขยันท่องพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันไปโรงเรียนพระคัมภีร์ เพื่อท่านจะได้ขยันมาโบสถ์ เพื่อท่านจะขยันเข้าห้องเรียนพระคัมภีร์ สิ่งเหล่านี้ดีหมด แต่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  สิ่งสำคัญที่สุด นอกเหนือจากที่พูดมาทั้งหมด ต้องเริ่มที่วิญญาณ … วิญญาณตรงนี้อาจจะหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่เรามาอยู่ที่นี่ วิญญาณของท่านเป็นวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่ อยู่ด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กับเรา เมื่อเราบังเกิดใหม่ มาเป็นพี่เลี้ยงเรา สอนเราในเรื่องเกี่ยวกับพ่อเรา เกี่ยวกับพระเจ้าและพระคริสต์ว่าในวิญญาณเป็นอย่างไร?

วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ตรงนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Revelation คนชอบไปใช้ผิด  พระเจ้าสำแดงความรู้ให้กับเราแล้ว รู้ว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? อีกประมาณ 10 กว่าปี ได้กลับแน่ โอ้! วิญญาณสำแดงให้เรารู้แล้ว รู้ว่าพระเจ้าจะอวยพรท่านในการทำธุรกิจนี้เจริญเติบโตจริงๆ ทำต่อไป ถูกหรือไม่ถูก?

“พระเจ้าประทานวิญญาณแห่งความรู้ให้กับผมแล้ว รู้ว่าตอนนี้ คุณเป็นโรคอะไร?”

เขาพูดอย่างนี้ คุณคิดว่าถูกไหม? บางครั้งผลของมันมา ที่ตะกี้พูด มันอาจจะตรงกับความจริงบ้าง? แต่มันไม่ใช่เรื่องของพระคริสต์ ที่ตรงบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น บางครั้งมาจากเรื่องลี้ลับ ไม่ได้มาจากเรื่องพระเยซู ก็ยังทำได้เลย ใช้พลังจิตก็ได้ ใช้หลักไสยศาสตร์ ก็ทำได้ วิทยาคมก็ทำได้ เราก็จะหลงไปในทางนั้น เรามาดูจริงๆ พระคัมภีร์บอกว่ามันคืออะไร?

วิญญาณแห่งสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์อย่างเดียว  ไม่เกี่ยวกับอย่างอื่นเลย ไม่เกี่ยวกับว่าปีหน้าไปทำงานที่นี่ ออกจากที่นี่ดีไหม? ปีนี้จะแต่งงานกับคนนี้ ดีไหม?  ผู้รับใช้พระเจ้าคนนี้มีของประทานมากในการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณ จะมาบอกว่าอนาคตของท่าน ไปไหม?  ไม่ต้องไป ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไป ไปหาหมอดูดีกว่า อาจจะเก่งกว่า เข้าใจไหม? ผมกำลังจะบอกท่านว่าวิญญาณสำแดงความรู้ เกี่ยวกับพระคริสต์ … พระคริสต์อย่างเดียวเลย ท่านต้องรู้โลกวิญญาณตรงนี้

ต่อไป “เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์”

เพิ่งมาเชื่อเอง ยังไม่สนิทสนมเลย ไม่รู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? พ่อของเราเป็นใคร? พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณจะสำแดง พระเจ้าให้เรารู้ พอเรามาตรงนี้แล้ว ขอเสมอ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้เรามีสติปัญญาและความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อเราจะได้รู้จักพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเจ้า อย่างลึกซึ้งและสนิทสนมกับพระองค์ เป็นการส่วนตัวเลย ไม่ใช่ฟังมาจากพาสเตอร์บรรยายให้ฟัง อันนั้น เป็นส่วนเริ่ม จริงๆ จากข้างในเราเองนั่นแหละ สำคัญกว่า ถ้าท่านฟังผม แล้วท่านไม่เข้าใจ ไม่ต้องพยายามมาเชื่อผม แต่ถ้าท่านฟัง แล้วท่านเอาไปคิดตามอะไรต่างๆ พระวิญญาณคอนเฟิร์มว่านี่ คือพระคัมภีร์ในนั้นจริงไหม?  ถ้าจริง ถ้าท่านเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้าไป เป็นการส่วนตัว และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริง เรื่องพระองค์ เพราะฉะนั้น มันก็จะมีเรื่องที่ไม่แท้จริงของพระองค์แฝงอยู่ในนี้  ถูกไหม? ผมยกตัวอย่างให้ท่านเห็น ชัดเจนเลย มาดูในข้อที่ 18

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณเปิดออก (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน)”

ไม่ใช่ตาเนื้อหนัง ที่เป็นสติปัญญาของท่าน ที่ท่านเรียนหนังสือ หรือเรียนปรัชญาของชีวิต ตาวิญญาณของท่านสว่าง เพื่อรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ เรื่องพระเจ้าจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่นแหละ ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น อันนี้เปาโลบอกสำคัญมาก ตาวิญญาณท่านต้องถูกเปิดออก  และพระเจ้าช่วยท่าน เพื่อท่านจะได้ รับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านแล้ว ผู้ที่ได้เป็นประชากรบริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

แล้วแปลว่าเสร็จแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้ว มีมรดก จัดเตรียมให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่ย้ายจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ทันทีทันใด เขามีมรดกแล้ว

อาจารย์เปาโลทำหน้าที่เป็นพระเอก ไปค้นหาทายาทพันล้าน ก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างจังหวัด น่ารักเชียว ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ ก็ปลอมตัว เป็นเด็กเกเร ทำท่าเป็นผู้ชาย มีปมด้อย ไม่อยากจะเป็นผู้หญิง เสร็จแล้ว ก็ช่วยอุปการะ เรียกมาทำงานที่บ้าน ปรากฏว่ามาทำงานที่บ้าน โดนคนโน้นคนนี้รังแก ข่มเหง จนกระทั่ง เสียศูนย์ เสียสติไปเลย เสียมากๆ ในที่สุด วันหนึ่ง พ่อของพระเอกก็ตาย พ่อพระเอกเป็นเจ้าของมรดกมากมาย ก็ปรากฏว่าในพินัยกรรม เขียนมรดกให้เด็กคนนี้เป็นเจ้าของทั้งหมด แล้วทุกคนทั้งทนายความ ทั้งแม่และคนอื่นๆ ก็เป็นคนไปบอกว่า …

“มรดกเป็นของเธอ บัดนี้ เธอไม่ได้เป็นเด็กรับใช้ที่นี่ต่อไปแล้ว เธอเป็นเจ้าของบ้านเลย จะไล่คนไหนออก ก็ไล่ได้เลย”

ไม่เชื่อ ร้องไห้ วิ่งหนีไปเลย  ขนาดหาหลักฐานว่าในหนังสือพินัยกรรมบอกไว้ว่าคนๆ นี้ มีปานอยู่ข้างหลัง สีแดง 1 ปาน สีชมพู 1 ปาน สีน้ำตาล 1 ปาน สมมตินะ ไปดูได้ หลักฐานต้องเป็นคนนี้แน่นอน ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน คงเป็น DNA ในหนังสือพินัยกรรมเขียนอย่างนั้นจริงๆ ปรากฏทนายและทุกคนตรวจ นางเอกคนนี้มีหลักฐานครบถ้วนบริบูรณ์ พอไปบอก นางเอกได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ร้องไห้ ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ วิ่งหนีไปอีก

ถ้าอย่างนี้ต้องถึงเราแล้วสิ พระเอกก็เดินเข้าไปอธิบายด้วยความรัก เพราะพระเอกรักเขาอยู่แล้ว

“เป็นอย่างนี้นะ ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ เพราะรักเธอ”

แค่บอกว่ารัก ผู้หญิงสัมผัสได้ เพราะว่าพระเอกทำดีกับเขามาตลอด ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาสัมผัสความรักได้ ก็เริ่มเปิดใจ จริงก็จริง เชื่อ ก็เลยเปลี่ยนสภาพตัวเอง จากหญิงสาวใช้ ถูกรังแก กลายเป็นเจ้าของบ้าน มีมรดกเยอะแยะมากมาย เพราะความรัก

เพราะฉะนั้น เวลาเราไปประกาศให้ใคร ต้องประกาศด้วยความรัก ให้ความรักสัมผัสเขา ค่อยๆ อดทน ให้พระวิญญาณทำงาน บางทีเราอดทนไม่ได้ กิเลสตัณหาเรา มันสูงกว่า เราจะเอาด้วยตัวเอง แล้วในที่สุด มันก็จะเกิดปัญหา พระคัมภีร์ หนังสือภาษาเดิมแปลว่าหนังสือมรดก ที่บอกให้ท่านอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ที่ให้ท่านศึกษาพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะพระคัมภีร์ใหม่หรือพระคัมภีร์เก่า แปลว่ามรดกเก่า มรดกใหม่ มีในนั้นบอกเสร็จเลยว่ามรดกท่านเป็นอะไร? ท่านจะไปรับได้อย่างไร? New Testament แปลว่ามรดกใหม่

ในนี้บอกว่ามรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน คือเปาโลไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว มันใหญ่มหึมามาก นี่สุดแล้ว สุดของสุด ซึ่งการกระทำสิ่งเหล่านี้ ผ่านทางความเชื่อ

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราตอนนี้ เราอธิษฐานให้ตัวเราเองด้วย  อธิษฐานให้คนอื่นด้วยว่าขอพระเจ้าช่วยเรา ให้เราเข้าใจในโลกวิญญาณ มันสำคัญมาก อะไรที่ไม่เข้าใจ อย่าพึ่งติเตียนใคร อย่าพยายามคิดด้วยสติปัญญาของมนุษย์ ให้วางใจในพระเจ้า แล้วอธิษฐาน

“ขอให้พระเจ้าประทานวิญญาณสติปัญญา ในการสำแดงความรู้ ให้กับลูกด้วย ลูกจะได้มีปัญญาเข้าใจ ลูกไม่เข้าใจหรอก”

แล้วก็ฝากไว้ที่พระองค์ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แล้วก็หงุดหงิด เดี๋ยวอยู่ดีๆ มันก็จะเข้าใจไปเอง เอเมน เขาเรียกว่าเจริญเติบโตขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2017

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 6 “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 6 ยังอยู่ “สองอาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ” ตอนที่ 3 เรามาทบทวนความเข้าใจ ขั้นพื้นฐานของเรื่องโลกวิญญาณที่เราได้สรุปไว้ในครั้งที่แล้วกันก่อน ถ้าเราอยากจะเรียนรู้เรื่องพระเจ้าได้มากขึ้น  อยากจะเรียนรู้จักพระเยซูมากขึ้น  อยากจะมีชีวิตที่เจริญเติบโตในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น อยากจะคุยกับใครถึงเรื่องพระเจ้า อยากจะตอบคำถามที่อยู่ในใจเราตั้งนานแล้วมากขึ้น เราต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ความจริงในโลกวิญญาณนั้นว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ ให้มีความมั่นใจ มองอะไรต่างๆ ในชีวิตนี้ มันจะเปลี่ยนไปหมดเลยว่าเรามองทะลุไปถึง เรื่องทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ

เรามาทวนนิดหนึ่ง เริ่มต้นตั้งแต่โลกวิญญาณทั้งหมด มีพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมและครอบครองยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรแห่งความสว่างของพระเจ้า ที่มนุษย์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

แล้วต่อมามนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าสร้าง ก็กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า หันไปเชื่อฟังคำพูดของศัตรูต่อพระเจ้า ก็คือมาร ขัดคำสั่งพระเจ้า เราเรียกกันตามภาษาพระคัมภีร์ว่าล้มลงในบาป “บาป” ก็คือการพลาดจากเป้าพลาด (Miss the target) ที่พระเจ้าตั้งใจให้ลูกพระองค์เป็นอย่างนี้ มันพลาดเป้าไป บาปก็เข้ามาในมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น คือโลกวิญญาณ ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง  ก็กลายเป็นอาณาจักรแห่งความมืด ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมาร และมนุษย์ทั้งหลายก็ได้รับเชื้อหนึ่ง เรียกว่าบาปกันหมดเลย เป็นตระกูลแห่งการกบฏ เพราะมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม กลายเป็นมนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาป ถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขา โลกกบฏต่อพระเจ้า ความมืดเข้ามา

จนมาถึงเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และมารับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ตั้งแต่วันนั้น จนมาถึงวันนี้ โลกวิญญาณ ก็เกิดเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งแสงสว่างกับอาณาจักรแห่งความมืด ซ้อนกันอยู่ ซึ่งเปรียบได้กับ 2 เผ่าพันธุ์ 2 ครอบครัวใหญ่ๆ ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้นั่นเอง

อาณาจักรแห่งความสว่าง ก็คืออาณาจักรของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ปกครองครอบครัวนี้ด้วยความรัก มีพระเยซูเป็นพี่ เรียกเราทั้งหลายว่าน้อง เรียกว่าครอบครัวพระคริสต์

อาณาจักรแห่งความมืด ก็คืออาณาจักรของมาร ซึ่งมีอาดัมเป็นบรรพบุรุษ หรือเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็มีมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยังไม่เชื่อในพระเยซู เป็นสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวนี้ปกครองด้วยการกดขี่ข่มขู่ ลักษณะเป็นทาส เป็นนักโทษ เป็นลูกหนี้ คอยถูกตามทวงตลอดชีวิต นี่คือภาพของอาณาจักรแห่งความมืด

และมนุษย์ทุกคนจะต้องเป็นสมาชิกอยู่ในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่เป็นสมาชิกในครอบครัวของอาดัม ก็จะเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ไม่ว่าท่านจะนั่งอยู่ที่นี่ หรืออยู่ในประเทศใดในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ไม่เกี่ยวกับประเทศไทย ไม่เกี่ยวกับประเทศจีน ไม่เกี่ยวกับอเมริกา เกี่ยวกับ 2 อาณาจักรเท่านั้น คือท่านไม่อยู่ในอาดัม ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านไม่อยู่ในความสว่าง ท่านก็อยู่ในความมืด พระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนั้น

เมื่อเรารู้ความจริงในเรื่องถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ไม่ถูกมารหลอก ผ่านการเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านความคิดเก่าๆ ของเรา ผ่านทางเพื่อนฝูงของเรา และผ่านทางในคริสตจักรเอง โดยเราไม่รู้อะไร แล้วสอนผิดไป ก็ถูกหลอก โดยรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง บางครั้งไม่รู้ เพราะว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังมันบังไว้ บางทีเราอยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สรรเสริญ มันก็เผลอตัวไป ถูกหลอก แล้วก็สอนในสิ่งที่ผิดไป ก็เป็นไปได้ หรือบางทีไม่ได้ตั้งใจจะหลอก และไม่ได้ตั้งใจอยากได้อะไร? แต่มันไม่รู้จริงๆ นึกว่าถูกแล้ว ก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย สามารถจะถูกหลอก ในเรื่องเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกัน เหมือนครั้งหนึ่งที่เราเคยอยู่ที่นี่

ตอนที่เริ่มใหม่ๆ เมื่อ 24 ปีที่แล้ว เราก็สอนอะไรหลายอย่างที่มันผิดไป แต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนั้น เรานึกว่ามันถูกแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องอำนาจ จะต้องเรียกเงินเข้ามา จะต้องหายโรค จะต้องอะไรต่างๆ เราไม่รู้จริงๆ แต่เมื่อเรารู้ พระวิญญาณสอนเรา เราก็คำนับ และรับเอาสิ่งนั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ ให้มันถูกต้องว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ที่เราเคยสอนว่ารักษาเราหายทุกโรค ถ้าเราเชื่อในถ้อยคำนี้ มะเร็งเราก็หาย มันไม่จริง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเรื่องโลกวิญญาณ เราก็อยากได้ทางโลกวัตถุ  แต่ในโลกวิญญาณหมายถึงด้วยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน รักษาเราให้หายจากโรคบาป ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ วิญญาณเราหายแล้ว เหมือนกับที่เรากำลังเรียนรู้เรื่อง 2 โลกว่าตอนนี้เราอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

และเมื่อเราทั้งหลายรู้แล้วว่าเรามาเชื่อพระเจ้า … เชื่อพระเจ้า หมายถึงยอมรับในข่าวประเสริฐของพระเยซู ยอมรับเชื่อ ในพระคัมภีร์จะพูดเสมอว่าให้ท่านเชื่อ ท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านคิดว่าพระคัมภีร์บอกให้ท่านเชื่อ หมายถึงเชื่อว่าพระเยซูรักษาท่านหายโรคได้ พระเยซูทำให้ท่านร่ำรวยได้ พระเยซูสามารถใช้หนี้สินที่ยังติดอยู่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้วเอาอาณาจักรแห่งความสว่างมาสถาปนา ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา แล้วท่านยอมรับตรงนี้ ที่ท่านยอมรับพระเยซูว่าท่านเชื่อตรงนี้  ทันทีทันใดนั้น ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง วินาทีนั้นเลย แต่เราไม่รู้ว่ามันวินาทีไหน? ที่เราเชื่อจริงๆ เราอาจจะได้ยินคนพูดเรื่องนี้มา 5 ครั้งแล้ว เริ่มต้นเชื่อนิดๆ หน่อยๆ แต่มันยังไม่เกิดขึ้นในวิญญาณเราจริงๆ ก็ได้ อาจจะเป็นครั้งที่ 15  ที่เราได้ยินเรื่องนี้ หรืออาจเป็นครั้งที่ 500 เราได้ยินเรื่องนี้ แล้วเราปิ๊งขึ้นมาทันทีในวิญญาณของเรา ในวินาทีนั้น มันเกิดสิ่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือเราได้บังเกิดใหม่ ย้ายจากโลกวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าทันทีเลย

ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มีผู้ใด หรืออำนาจใด หรือสิ่งใดๆ หรือการกระทำใดๆ ที่จะสามารถนำท่านออกไปจากอาณาจักรนี้ได้อีกแล้ว ท่านจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย

ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อท่านย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง โดยที่ท่านเชื่อในพระเยซู ในการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์ พอท่านย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแสงสว่างแล้ว ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่มีทางออกไปอีกแล้ว มันจริงตามนั้น เพราะท่านเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีทางเลย มันอยู่ไปตลอด ไม่มีการมาอยู่ แล้วก็ออก เข้าๆ ออกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าควบคุมทุกสิ่ง ตอนนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ท่านออกไปได้ไหม ถ้าเราเข้าไป แล้วเราออกมาได้ ก็แสดงว่าวันนี้เข้า พรุ่งนี้ออก วันนี้ทำดี ก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้า พรุ่งนี้ไปตะคอก ไปโกหกเขา ไปโมโหด่าเขา ทันทีทันใด ไปอยู่ที่มืดแล้ว ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหม? ท่านอยู่กับพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเรียกว่าดองกัน แยกกันไม่ออกเลย  วันนี้ทำดี วันนี้มาโบสถ์วันอาทิตย์ เลยอยู่ที่นี่  เดี๋ยวเดินออกไป แดดมันร้อน โมโห หงุดหงิด ไปด่าคนเขาบนรถเมล์ มาอยู่มืดเลยเหรอ กลับไปถึงบ้าน นึกขึ้นได้ พระเจ้าขอโทษด้วยๆ ทำผิดไปแล้ว เข้าไปอยู่สว่าง ลูกทำข้าวให้กินวันนี้ โมโหหิว ทุกทีให้ทำ 6 โมงเย็น ทำไมวันนี้ ไม่ทำ ลูกบอกลืมไป ตวาดลูก กลับไปอยู่มืดอีก อย่างนี้เหรอ เพลินๆ อิ่มแล้วสบายใจ นึกขึ้นได้ตะกี้ไปตวาดลูก บอกพระเจ้าลูกเสียใจด้วย  ท่านจะกลับไปกลับมาวันละกี่ครั้ง? ท่านลองนึกดู เป็นไปได้ไหม?

ความคิดเดิม ความเชื่อเดิม เราคิดอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่เราไม่ได้เอามาเจาะให้มันลึกละเอียดๆ อย่างนี้  พอเจาะละเอียดๆ อย่างนี้ เราก็จะรู้ว่าเราคิดผิด มันไม่ใช่ พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าใคร พระเจ้าบอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ไม่มีใครต้านทานได้ ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจใด ก็ไม่สามารถเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าได้ อย่างนี้ค่อยสมควรร้องเพลงพระเจ้ายิ่งใหญ่ ถูกไหม? ไม่ใช่กลับไปกลับมา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูจริงๆ แล้ว ตลอด เราจะอยู่ในความสว่าง

ตอนนี้ถ้าท่านต้องกลับไปที่บ้านทุกคืน แล้วนั่งคิดว่าวันนี้ตรงไหนบ้างที่ฉันยังไม่ได้สารภาพบาป แล้วเกิดลืมไป ทำอย่างไร? ท่านต้องเอากระดาษแผ่นหนึ่ง เดินไปที่ไหนท่านคอยจด อันนี้ทำไม่ถูกต้อง กลับมาถึงบ้านเปิดลิสมาเลย 1, 2, 3, 4  สารภาพไปเลย สบายใจหน่อย หลับสนิท อย่างนั้นเหรอ ท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ อีกทางหนึ่งต้องใช่สิ นั่นแหละคือทางพระคัมภีร์เป๊ะเลย ผมจะพาท่านไปอ่าน โรม 3:22-26

โรม 3:22-26 “22 ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้ ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน 23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงได้ไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป  แก่ผู้ที่มีความเชื่อ ในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ เพราะโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ทรงลงโทษบาป ที่ทำไปก่อนหน้านั้น 26 พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ในกาลปัจจุบัน เพื่อว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ให้บรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”

 

ความชอบธรรมจากพระเจ้า คือพระเจ้าตัดสิน แล้วว่าท่านไม่มีบาปแล้ว  ท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ไม่มีโทษ ไม่มีตำหนิ ขาวมาก เรียกว่าผู้ชอบธรรม  … อธรรม คือท่านอยู่ตรงนี้ (ฝั่งดำ) ท่านเต็มไปด้วยความบาป สกปรก กบฏต่อพระเจ้า ต้องใช้หนี้เขา แต่บัดนี้ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซู เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าเรียกท่านว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว อยู่ที่โลกแห่งความสว่าง อยู่กับพระเยซู อยู่กับพระเจ้าแล้ว ทันทีทันใด ในขณะที่ท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านก็อยู่ในความสว่างนั้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยไป เอเมน

ไม่มีข้อแตกต่างกัน เพราะทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ ได้ไถ่ แสดงว่ามันสำเร็จไปแล้ว ตอนพระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน พระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว ได้ไถ่แล้ว ได้จ่ายเงินให้ครบหมดเรียบร้อยแล้ว จ่ายหนี้ให้พวกเธอหมดแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว เมื่อไรใครรับเชื่อ ก็ได้เลย” เอเมน

“ได้” คือสำเร็จแล้ว  พูดถึงการไถ่ของพระเยซู เมื่อไร? ในพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ยุคคริสเตียน หรือหลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว จะใช้คำว่า “ได้” ทั้งนั้น ผ่านมาแล้วทั้งนั้น เป็นอดีตไปแล้วทั้งนั้น  เอเมน แค่นี้นิดเดียว ความเชื่อเราเปลี่ยนไปแล้ว นึกว่ายังไม่ได้ รออยู่ตั้งนาน ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่พวกเขา

หมายถึง 2 พวกเท่านั้นเอง คือคนที่เชื่อพระเยซู และคนอิสราเอล 2 พวกนี้พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เป็นผู้ชอบธรรม โลกนี้มี 2 เผ่าพันธุ์ คือยิวและอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่ได้เป็นยิว เราก็อยู่ในพวกที่ไม่ได้เป็นยิว แต่เราเชื่อในข่าวดี คนที่เป็นยิว เขาก็จะต้องเชื่อในข่าวดีเหมือนกัน เขาจึงจะได้รับความรอด ไม่แตกต่างกัน เอเมน

ในนี้ก็เหมือนกัน พระเจ้าทรงให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตพระเยซู ถ้าท่านฟังผมพูด ท่านจะรู้แล้วว่าตรงนี้ต้องแปลว่าพระเจ้าได้ให้พระเยซูเป็นเครื่องลบบาป ทำเสร็จไปแล้วทั้งนั้น แก่ผู้ที่มีความเชื่อ เชื่อในพระโลหิตของพระเยซู พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้  คือส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทำให้เรียบร้อย ต้องเขียนคำว่า …

“พระเจ้าได้กระทำเช่นนี้ เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ สำแดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ และโดยความอดกลั้นพระทัย พระองค์จึงไม่ได้ลงโทษบาปที่ทำไปก่อนหน้านั้น”

ก่อนพระเยซูคริสต์จะเกิด ลบออกหมดเลย หลังพระเยซูคริสต์ ลบออกหมดเลย พระองค์ได้กระทำเช่นนี้  เพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระองค์ ในการปัจจุบัน ก็คือหลังจากพระเยซูตายและเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เพื่อว่าพระองค์จะเป็นผู้เที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่ในบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซู ก็คือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เชื่อในพระเยซู พระองค์นับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้านับเราเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ตัดสินเราเรียบร้อยแล้วว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม สมควรนั่งกับพระเยซูในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์ หรือเรียกว่าในพระคริสต์ ทันทีทันใด เมื่อใครก็ตาม เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด ขณะที่เขาเริ่มต้นเชื่อ เขาอาจจะฟังครั้งแรก มีคนมาพูด เขาก็สนใจนะ หรืออาจจะไม่สนใจก็ได้ ฟังครั้งที่ 2 จากวิทยุ เขาพูด ก็ดี อีกครั้งหนึ่ง ฟังครั้งที่ 300 จากใบปลิว ก็ดีเหมือนกัน ฟังครั้งที่ 7,000 จากเพื่อนสนิท ฟังครั้งที่หนึ่งหมื่น  จากภรรยาตัวเอง  มันเกิดอะไรขึ้นมา เกิดเอาไปคิด นั่งอยู่ที่บ้านก็คิดๆ ในเช้าวันหนึ่ง ก็คิด

“ฉันเอาดีกว่า ฉันเชื่อแล้วล่ะ”

นั่นแหละเขาเรียกว่ารับเชื่อ ในวิญญาณของเขามันเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เขายังไม่รู้ตัวเลย ไม่ต้องมีความรู้สึกขนลุก ขนพอง สยองเกล้า ไม่ต้องมีดีใจ ร้องไห้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ บางคนไม่ได้ขึ้นอยู่ตรงนั้น บางคนอาจจะรู้สึก เชื่อพระเจ้าดีกว่า ซึ่งอาจจะเป็น ณ วินาทีนั้นก็ได้ ที่วิญญาณของเขาเกิดใหม่จริงๆ พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเจิมเขา เรียกว่าชุบเขา เรียกว่าบัพติศมาเขา ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าย้ายเขามาอยู่นี่เลย  และนับเขาว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าเขายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปแล้ว พระเยซูรับเขาแล้ว จบ เขาก็มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ทำให้มาตั้งนานแล้ว แล้วเขาไม่ใช้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของเขา มันอยู่ตรงนั้นมาตั้งนาน เป็นมรดกให้เขาตั้งนานแล้ว อยู่ที่เขาจะมารับหรือไม่รับ ใครไปรับแทนเขาก็ไม่ได้ ใครจะผลักเขามารับ ก็ไม่ได้ ต้องเขาเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่มีใครเอาเขาออกไปอีกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไป จบแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของพระเจ้า

คำถามที่มักมีคนถาม แม้กระทั่งตัวเราเอง อาจจะถามในใจว่าถ้าอย่างนั้น การมาเป็นคริสเตียน การเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ยอมรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเมื่อรับเชื่อแล้ว ไม่ต้องทำความดีก็ได้สิ

ฟังให้ดีๆ ถูกไหม? ท่านจะถูกคนแย้งตามเหตุผลมนุษย์ ทำแต่เรื่องผิดๆ ก็ได้  เพราะแค่เชื่ออย่างเดียว ก็ได้รับความรอดแล้ว จริงไหม? มาดูโรม 12:1-2

โรม 12:1-2 “1 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายเมื่อพิจารณาถึงพระเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ และที่พระเจ้าพอพระทัย นี่เป็นการนมัสการที่แท้จริง 2 อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดี อันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์

 

ถ้าแปลตรงนี้ง่ายๆ ก็เหมือนตะกี้เราเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราก็เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเลย  สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เหมือนพระเจ้า เราอยู่กับพระเจ้า ในนั้น แต่เนื้อหนังข้างนอกเรายังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิม สรุปเป็นเหมือนกับการหนุนใจพี่น้องในครอบครัวแห่งความสว่าง ที่เขาอยู่กันด้วยความรัก

“น้อง!  น้องเข้ามาอยู่ใหม่  หรือน้องที่อยู่นานแล้ว  พระเจ้ารักเรามากนะ  ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เรา  รู้อยู่แล้วใช่ไหม? เราเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด”

“เพราะฉะนั้น  เนื้อหนังร่างกาย ก็พยายามทำอะไรก็ตาม ให้มันเป็นไปตามวิญญาณ … วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว อย่าไปทำสิ่งสกปรกเหมือนเดิมนะ เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่พ่อเรา พ่อเรารักเรามากเลย”

รวมสรุป ต้องการให้เรารู้แค่นี้เอง  และเป็นอย่างนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่มันสมควรที่จะกระทำ เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ เราสะอาดหมดจด เราสมควรทำสิ่งที่เป็นสะอาดๆ อย่าไปทำสิ่งเก่าๆ พระเจ้าจะไม่สอนเราว่า …

“รู้ไหม? ทำไมถึงเข้ามาในนี้ได้ เพราะพระเจ้ารักนครมากไง”

ไม่ใช่ รักเท่ากันทุกคนแหละ เข้าใจไหม?

“เพราะนครก่อนมาเชื่อ เขาทำดีไว้เยอะ พระเจ้ามองดูอยู่แล้ว”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง

“ก่อนมาเชื่อพระเจ้า เธอเคยไปสร้างโบสถ์คริสเตียนไง”

จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง หรือมาเชื่อแล้วก็ตาม

“เธอต้องทำดีเยอะๆ เลยนะ พระเจ้ารักคนที่ทำดีมากๆ”

ไม่ใช่อีกแหละ ถ้าเธอทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว พระเจ้าเกลียดเธอเลย  จริงหรือไม่จริง? ไม่จริง เพราะพระเจ้ารักเราแล้ว และรักตลอดไป และอภัยให้เราตลอดไป เอเมน

ท่านพอมองเห็นภาพไหมว่าผมกำลังนำท่านให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ เราได้รับความรอด เพราะเป็นพระคุณ ความรัก ความเมตตาจากพระเจ้าที่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจึงมีความรู้สึกตั้งใจ เชื่อฟังและจะทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อเรา พ่อเราดีใจ เรารักพ่อเราแล้ว แต่เราทำได้หมดไหม?  ไม่ได้  พอไม่ได้ พ่อเราโกรธ ว่า ตบซ้ายขวาหัน กระเด็นเป็นอย่างนั้นหรือ?

พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก  พระเจ้าเป็นความรัก

พระเจ้าอภัยให้เราเสมอแหละ พระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้นเลย ทุกวันนี้ มานั่งบรรยายแก้ต่างให้พระเจ้าของเรา  ฟังให้ดีๆ นะ เราไม่ได้ทำความดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า หรือเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะกระทำความดี เพื่อจะย้ายตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อจะมาอยู่ในพระคริสต์ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วยความเชื่อ โดยไม่ได้ทำอะไรเลย ในพระเยซูคริสต์ เราจึงได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง พออยู่ในความสว่าง เราจึงสำนึกในพระคุณความเมตตาจากพระเจ้า และได้กำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่กับเรา ให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนของพระองค์ ในพระคัมภีร์ได้ เอเมน คำว่าได้เมื่อตะกี้ ผมไม่ได้หมายถึงได้หมด หมายถึงตั้งใจ เราถึงจะมีความตั้งใจอย่างนั้น วิญญาณของทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ไม่มีวิญญาณไหนอยากจะทำสิ่งที่ผิดพลาด เขาอยากจะทำถูกต้องหมด เพราะว่าวิญญาณเขาสะอาดหมดจด แต่ปัญหามันอยู่ที่ร่างกายเก่า ความคิดเก่าๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ พระคัมภีร์บอกได้รับการเปลี่ยน ที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เราอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ หรือเราฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวันนี้ หรือเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้าทุกวันนี้ พระวิญญาณกำลังสอนเรา กำลังเปลี่ยนแปลงเราไปเรื่อยๆ ในวิญญาณของเรา

เราสำนึกอยู่ในใจว่าเราสมควรทำในสิ่งที่พ่อเราบอก พ่อเราบอกว่าดี เราก็ทำ เราต้องยึดมั่นคงในความเชื่อว่าเราอยู่ในความสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้เพียงกรณีเดียว ก็คือเพราะว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราต้องยึดกอดตรงนี้ไว้ให้แน่น เพราะเรามาเชื่อพระเจ้า เดี๋ยวมันก็เซไปเรื่อยๆ ว่าเราต้องทำอันโน้น เราต้องทำอันนี้ เพื่อเราจะรักษาตำแหน่งให้อยู่ตรงความสว่าง ไม่ใช่เลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คุณก็อยู่ในความสว่าง เอเมน มันฝืนกับความคิดเก่าๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เราไม่ได้ทำความดี หรือละเว้นการกระทำชั่ว เพราะความกลัวต่อไปแล้ว สมัยก่อนเราทำ เพราะเรากลัว แต่ตอนนี้ เราทำ ไม่ใช่ เพราะกลัวพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก ไม่กลัวแล้วว่าถ้าไม่สะสมความดี จะไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่กลัวแล้วว่าถ้าทำบาป จะต้องไปนรก ถ้าท่านกลัวอย่างนั้น อย่างที่ผมบอก แล้วท่านรู้ได้อย่างไรวันหนึ่ง ท่านทำบาปไปกี่ครั้ง แค่ไปตะคอกเขา แค่อารมณ์เสียใส่เขา ก็บาปแล้ว พระเยซูบอก แค่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ก็ตกนรกแล้ว แค่เห็นผู้หญิง แล้วคุณมีความรู้สึก ความคิด ตกนรกแล้ว

พระเยซูกำลังจะบอกว่าไม่มีใครทำได้หรอก มาตรฐานของพระเจ้าในความบริสุทธิ์ โดยการกระทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าตาพาไปทำผิด ควักตาออก ถ้ามือขโมยของ ตัดมือทิ้ง ถ้าขาพาไปชั่ว ตัด ทุกคนเข้าสวรรค์ คงเป็นพิการหมด พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันทำไม่ได้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร?

“ท่านจงอธิษฐานอย่างนี้”

จบสุดท้ายบอกว่า “ถ้าท่านยกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อท่าน เหมือนกับที่พระเจ้ายกโทษให้กับท่าน พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่านด้วย  ฟังให้ดีๆ พระเจ้าจะอภัยให้กับคนที่อภัยให้กับคนอื่นที่ทำไม่ดีต่อท่าน ท่านว่าเป็นไปได้ไหม? มีคนทำได้ไหม? แล้วพระองค์ก็ตรัส ที่ตะกี้นี้บอกว่าถ้าตา ทำให้ท่านไปทำบาป  ตัดทิ้ง  พูดง่ายๆ  พูดอะไรออกมา  มนุษย์ทำไม่ได้ทั้งหมดเลย  พวกฟาริสีเหล่านั้น เขารู้ทันทีว่าใครจะไปทำได้ โกรธเขา อภัยให้ตลอดเลย เขาทำอะไรให้ อภัยให้ตลอดเลย มันทำไม่ได้ นั่นแหละ พระเยซูกำลังบอกว่าทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ กำลังจะบอกว่าเราต้องพึ่งพระเจ้า พึ่งในการไถ่บาปของพระเยซู เวลาท่านอ่านไป พอท่านรู้ แล้วท่านจะขำว่าเสร็จแล้วเกิดอะไรขึ้น ฟาริสีเกิด 2 พวก พวกหนึ่งก็งง อีกพวกหนึ่งเจ็บแค้น พระเยซูเหมือนกับว่าเขาทางอ้อมว่าหน้าซื่อใจคด

อย่างที่ผมบอก พระเจ้าอภัยให้เราหมดแล้วที่ไม้กางเขน ที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” หมายถึงบาปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ท่านคิดดู มีเหตุผลไหม? บาปในอดีตของเรามาจากไหน? มาจากเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่มาจากเราไปทำบาปนะ มันมาจากเราเกิดมา เราก็บาปแล้ว แล้วพอพระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้  มีคนไถ่บาปให้กับเรา มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำดีอะไรเลย ก็พ้นจากบาปแล้ว ทีอย่างนี้ไม่เอา แต่ที่บอกว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาก็บาปแล้ว ต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม เอา ไม่มีเหตุผลเลย  อยู่ดีๆ เกิดมา ใช้หนี้ ใช้กรรม

“อะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำอะไร เมื่อไร บอกมาสิ ไม่เห็นมีใครบอก มีแต่บอกว่าเกิดมาต้องใช้หนี้ ใช้เวร ใช้กรรม”

แล้วเราก็เชื่อ แล้วมีอีกฝ่ายหนึ่งมาบอกข่าวดีของพระเยซูว่า …

“เธอมีหนี้ เวร กรรมต้องใช้ใช่ไหม? พระเยซูใช้ให้หมดแล้ว ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องทำอะไร? แค่เชื่อพระเยซูก็ใช้หมดแล้ว”

“เป็นไปไม่ได้  คนเราต้องทำสิ่งที่ดีๆ มันเป็นไปได้อย่างไร?”

อ้าว! ตอนที่คุณรับ บอกว่าผิด มีบาป ใช้เวร ใช้กรรม คุณไม่เห็นพูดกับเขาเลย

“ผมไปทำเวรกรรมที่ไหน? บอกผมมาสิ ผมต้องใช้แค่ไหน? ผมต้องทำดีเท่าไร ถึงจะใช้มันหมด กี่ตังค์ว่ามา”

ไม่เห็นพูดเลย “ใช้ไปกี่ปี กี่ชาติก็ไม่มีวันจบ”

อ้าว! พูดอย่างนั้นอีก แล้วคุณก็เชื่อด้วยนะว่าเกิดมาใช้เวร ใช้กรรมตลอด พอพระเยซูมาบอก พระเจ้าส่งพระเยซูมา เพื่อเราจะหมดเวร หมดกรรม หมดเลย มันเชื่อยากจริงๆ

นี่พูดให้ท่านเห็นชัดๆ การมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็เพื่อให้ท่านเกิดความมั่นใจว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรสวรรค์ จะเป็นที่อยู่ถาวรนิรันดร์ของท่าน ท่านแค่ยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ส่งมาเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แค่นั้นเอง ในโลกวิญญาณมีแค่นั้น นอกนั้น ท่านคิดกันเองหมด แล้วต่อจากนั้น เราทำสิ่งที่ดีๆ ก็เพราะเราสำนึกในพระคุณ เรารักพ่อของเรา เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ ทำผิดพลาดไป พ่อเราก็อภัย แต่เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี แค่นั้นเอง จบ แล้วก็มั่นใจว่าพระคริสต์นำพาเราได้ ฤทธิ์เดชอำนาจพระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกินมหาศาล

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่บอกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างของพระคริสต์ เขาปกครองกันแบบครอบครัว เต็มไปด้วยความรักอย่างนี้แหละ มันไม่เหมือนกับโลกของความมืด ที่ตะกี้เราบอกว่าควบคุมโดยความบาปของมาร อยู่เหมือนเป็นทาส ถูกข่มเหง ถูกตวาด ถูกข่มขู่ ถูกใช้งาน เหนื่อย เข้ามาอยู่กับพระเยซูหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณเป็นเรื่องความจริงที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น หูมนุษย์ ก็ไม่ได้ยิน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของเรา มันจึงยากที่จะเข้าใจ มันจึงต้องใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา ทีละนิดทีละหน่อย แล้วค่อยๆ ให้พระวิญญาณนำไป ย่อยไปทีละนิด ถึงจะเข้าใจได้ อย่าใช้ความรู้สึก ซึ่งอยู่ในสัมผัส อย่าใช้ตา ต้องเห็น อย่าใช้มือ ต้องจับ ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใต้สำนึก ไม่ได้ช่วยเราในเรื่องพระเจ้าเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าใครไปยึดติดอยู่ตรงนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลับกลายเป็นแย่ด้วยซ้ำไป ในเรื่องของสัมผัสว่าถ้าพระวิญญาณมา ต้องขนลุกนิดๆ ถ้าพระวิญญาณมา ต้องลอยไปลอยมา หรือพระวิญญาณมาได้รับการเจิม ต้องนอนกลิ้งไป หรือล้มลงไป ไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น

นี่คือความจริง จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการที่จะมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ แล้วตอนนี้ ฉันอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกวิญญาณจริงๆ ไม่ว่าจะโลกวิญญาณ แบบที่เรียกว่าโลกแห่งความสว่างของพระเจ้า หรือโลกวิญญาณที่เรียกว่าความมืด ฉันอยู่ที่ใดที่หนึ่งจริงๆ ที่เราจะมั่นใจว่ามันเป็นจริง ร่างกายฉันตอนนี้นั่งอยู่ในโบสถ์โฮลี่ อยู่ที่ซอย 8 กรุงเทพกรีฑาก็จริง แต่วิญญาณอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เอเมน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าคนที่จะได้รับรู้ เรื่องโลกวิญญาณ เรียนรู้อย่างนี้  แล้วก็มากขึ้นในโลกวิญญาณ เข้าใจ จึงไม่สามารถจะใช้อธิบายด้วยตามนุษย์ หรือปากมนุษย์ หรือความคิดแบบมนุษย์ แล้วเข้าใจอย่างนี้ได้

ตอนนี้เราจะพูดถึงคนที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เป็นอย่างไร? พอย้ายมาแล้ว มาอยู่ในความสว่างก็จริง แต่นิสัยเดิมๆ ความคิดเดิม มันก็ติดมาหมดแหละ สมมติเสื้อตัวนี้ คือร่างกายเรา ร่างกายก็ร่างกายเดิม มีวิญญาณเท่านั้นที่เป็นขาวใหม่ เท่านั้นเอง ในหนังสือเอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานให้กับบรรดาผู้เชื่อเริ่มต้นเหล่านี้ว่าเธอต้องได้รับตรงนี้ แล้วเธอถึงจะเจริญเติบโต รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน? มีชีวิตที่เต็มไปด้วยชัยชนะ มีชีวิตที่จะสามารถสัมผัสกับบรรดาผู้คนมากมาย เพื่อให้ข่าวประเสริฐไปหาเขาทุกคนได้ เป็นชีวิตที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ได้

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

แปลจากอันสุดท้ายขึ้นมาก่อน “ผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูไถ่บาปให้ท่าน”  ผมนั่งอยู่ที่นี่ ผมได้ยินข่าวประเสริฐ เขาบอกว่าพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปเวรกรรมให้กับมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์ทรงทำเสร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปี ผมได้ยินอย่างนั้น ผ่านทางความเชื่อ รับสิทธิที่พระเยซูทำให้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมจะรับสิทธิของผมแล้ว ผมจะได้รับการไถ่บาป พอได้รับการไถ่บาปปุ๊บ ผมก็กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้า

บริสุทธิ์นี้ ใช้คำๆ เดียวกับโบสถ์เลย Holy ใช้คำเดียวกับที่พระเยซูทำเลย ก็คือชำระ ซึ่งได้รับเป็นประชากรของพระเจ้า ที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์สะอาด ชอบธรรม ไม่มีบาปเลยของพระเจ้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อยู่ที่มืดๆ ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะย้ายมาตรงนี้แล้ว

ตอนต้นบอกว่า  “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้าให้ตาวิญญาณ” วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน ที่เราเห็นกันอยู่ นั่งกันอยู่ ไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา ร่างกายเราถูกสร้างด้วยดิน ก็ต้องกลับไปสู่ดิน เวลาเขาทำพิธีฝังศพที่สุสาน ศิษยาภิบาลก็จะบอกว่ามาจากดิน ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็ไปสู่ดิน แล้วก็เอาดินกลบ  เป็นสัญลักษณ์ ดินนั้น ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง 4 บนโลกใบนี้  พอเราตาย ร่างกายนี้ ถูกฝังเข้าไปในดิน บางคนกลัวถูกเผา เป็นคริสเตียน ไม่กล้าให้เผา เพราะกลัวร้อน  งง จริงๆ มีบางคน ติดจากของเก่า กลัวร้อน แล้วบางคนก็บอกว่าเดี๋ยวตอนพระเยซูกลับมาใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าร่างกายของเราที่ตายไปแล้ว จะกลับขึ้นมาใหม่ แล้วมันจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? มันถูกเผาไปหมดแล้ว คิดไปถึงขนาดนั้น ลืมคิดไปว่าฝังลงไปในดิน มันก็หายไปหมด เหมือนกัน

ดินก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ ลมก็ไปสู่ลม หมดทั้งตัว ไม่เหลืออะไรเลย คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” พระเจ้ามีวิธีทำให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ด้วยร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เอเมน ไม่ต้องพยายามคิดหรอกว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร?

ยกตัวอย่างอันหนึ่งให้ดู เอาใกล้เคียงที่สุดเคยเห็นต้นข้าวไหม? ต้นข้าว ออกดอกเหลืองอร่าม แล้วช่อก็สวยงาม ต้นนี้เปรียบเหมือนเราได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ต้นข้าวเริ่มต้นจากเมล็ดเดียวเล็กๆ  แล้วในพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์ 15 บอก เมล็ดนั้นต้องลงไปที่ดิน ต้องเน่าก่อน ใช้คำว่าเน่าเลย  แล้วมันถึงเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา

ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ซึ่งจะอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรืออยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ก็จะอยู่ที่นั่นตลอดไป และวิญญาณตัวนั้น มีตาวิญญาณที่จะรับรู้ ให้ตาวิญญาณของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงท่าน นำพาท่านไป ตามทางที่พระเจ้าวางไว้

เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ท่านนั่งอยู่นั่น สวรรค์แล้ว ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านจะได้มีความมั่นใจว่าท่านนั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเจ้าได้พาท่านเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว เรียนรู้ด้วยทางวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้ด้วยความคิดมนุษย์ ท่านต้องเรียนรู้ใหม่

อย่างเช่น เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักรแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

“และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ได้รับมรดกเรียบร้อยแล้ว”

ยกตัวอย่าง นางเอกถูกข่มเหงตลอด มารู้ทีหลังว่าเป็นทายาท คุณปู่ยกสมบัติให้ แต่เธอไม่เชื่อ พระเอกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะไปขุดเอาคุณปู่ขึ้นมา ก็ไม่ได้ เพราะคุณปู่ตายแล้ว เอาแม่ของตัวเอง ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณปู่มา ยืนยัน ใช่จริงๆ ตอนเธอเกิด คุณปู่บอกเลยว่าเธอเป็นลูกคนโน้นคนนี้ เขารักเธอมาก ยกให้เธอคนเดียวเลย ไม่เชื่อหรือ? คุณปู่บอกฉันว่าเธอมีปานซ้าย ที่มือขวาข้างหลัง อะไรก็ว่าไป เปิดมาดู มีจริงๆ ใช่แน่นอน นางเอกบอกว่าไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้

เพราะสิ่งเหล่านี้ มาเทียบกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า มาตรงเลย เพราะเอาเหตุผลของมนุษย์มาเทียบไม่ได้เลย ต้องทางวิญญาณจริงๆ แล้วทำอย่างไรนางเอกถึงจะเปลี่ยนใจได้ พระเอกมาบอกใหม่

“ฉันบอกความจริงเธอทั้งหมด เพราะฉันรักเธอจริงๆ”

โอ้โห! รับได้เลย เพราะไม่ได้ด้วยเหตุผลแล้ว ความรัก คืออะไรบางอย่างที่มันเหนือเหตุผล

“เพราะฉันรักเธอ ฉันไม่โกหกเธอหรอก”

“ใช่”

เห็นไหม? ความคิดมนุษย์ จะไปบอกเรื่องพระเยซูกับใคร? มรดกยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ไม่เชื่อหรอก เหมือนนางเอกเรื่องนี้ แต่ในที่สุด เขาก็ได้รับมรดกของเขา ตามที่เขาสมควรจะได้รับ เพราะมีใครบางคนรักเขาจริงๆ เขามั่นใจคนนี้ จากนั้นเขาเลยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องกฎหมาย ไปอ่านดู มรดกที่เขียนไว้ เริ่มเข้าใจ อันนี้ก็ของฉันจริงๆ นี่ก็ของฉันจริงๆ จากนั้นนางเอกเปลี่ยนจากเป็นคนใช้ กลายเป็นคนใช้เขา กลายเป็นเจ้าของบ้าน ชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ เรียนรู้กันเรื่องนี้ ต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะนำท่านต่อไปเอง แล้วท่านจะเดินต่อไป เราเรียกที่นี่ว่าในพระคริสต์  … ในพระคริสต์ เราจึงมีความหวัง … ความหวังไม่ใช่พึ่งการกระทำของตัวอีกต่อไป ความหวังไม่ใช่พึ่งความสามารถของตนเองอีกแล้ว

ความหวัง ก็คือฉันฝากชีวิตไว้กับพระเยซู ฉันจะเดินกับพระองค์ เหมือนกับเพลงที่บอกว่าอยู่ในพระคริสต์ เดินอยู่กับพระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร เพราะหมดหน้าที่ มอบให้กับพระเจ้าแล้ว เป็นของพระองค์ต่อไป เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017 เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2017

เรื่อง “หนังสือฮักกัย บทที่ 2 นิเวศน์พระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ช่วงนี้เราย่ำกันอยู่เรื่อยๆ ถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ต้องย่ำกันอยู่เรื่อยๆ อย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย คำแรก ก็คือคำว่า “พระเจ้าสร้างโลก” นั่นแหละ ตอนนั้น ในปฐมกาล จนถึงหน้าสุดท้ายวิวรณ์ ต้องมองไปที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น ล้วนเล็งถึงโลกวิญญาณ

การเล็งถึงโลกวิญญาณหมายถึงอะไร? หมายถึงพระเจ้ากำลังบอกถึงแผนการล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระองค์จะทำอะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณจะเกิดอะไรขึ้น ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าอาพกกะลิฟ ก็คือนิมิต คือเรื่องราวที่บอกถึงโลกวิญญาณ คือการนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกวัตถุมาเป็นเหมือนตัวแสดงให้เห็นว่ามันเล็งถึงอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไป

เพราะฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม แล้วโยงมาถึงเรื่องราวทางโลก เรื่องทางกายภาพทางโลก เรื่องทางวัตถุทางโลก แล้วเราก็นึกว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ทางโลก  เราก็มีความรู้สึกมันขัดแย้งกัน ข้อนี้ไปแย้งกับข้อนั้น  ข้อนั้นจะไปแย้งกับข้อนี้ ยุ่งไปหมดเลย มันจะไม่เข้าใจ มันจะไม่เป็นเรื่องเดียว จะเป็นแปดสิบ ร้อยพันเรื่อง ยุ่งวุ่นวายไปหมดว่าทำไมมันแย้งกันเต็มไปหมด

ยกตัวอย่างเช่นทำไมพระเจ้าเป็นความรัก แล้วทำไมพระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้  มันจะยุ่งไปหมด ทำไมพระเจ้าสั่งให้ฆ่าไปหมดเลย มันไม่เข้าใจ เล็งไปถึงโลกวิญญาณ มันจะอ๋อๆๆๆ ทุกคำตลอดไปเลย  นี่คือเคล็ดลับ

พระคัมภีร์บอกนี้คือตัวอย่าง ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวัตถุ เล็งไปถึงสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ใช่พระคัมภีร์ ท่านจะงงไปหมดเลย  ยกตัวอย่างเช่นอะไร อันนี้ชัดเจน พระคัมภีร์บอกว่าอะไร?

“โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู เราได้รับการรักษาให้หาย”

ถูกไหม? แล้วเราก็ไปเชื่อว่าอ๋อ! หมายถึงเราเชื่อพระเยซู เราจะได้รับการรักษาให้หายโรค พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ถูกเฆี่ยน รอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ ทำให้เราหายโรค จากโรคมะเร็ง โรคหวัด โรคเจ็บคอ โรคอะไรแล้วแต่ สมมติ เราคิดว่ามันเป็นเรื่องวัตถุ เสร็จเลย

“เอ๊ะ ทำไมคนนี้ป่วยตาย เป็นคริสเตียน ทำไมป่วยเป็นมะเร็งตาย”

มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย แต่ถ้าท่านเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าตรงนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้ กำลังบอกเราล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนี้  รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซู พระเยซูมารับบาปของเรา เอาบาปของเราออกไป เราหายจากโรคบาปทางวิญญาณแล้ว  จบเลย  วิญญาณเราใสปิ้ง ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน ส่วนร่างกายก็ว่ากันไป ตามที่พระเจ้าจะนำพาเราต่อไป เอเมน อย่างนี้มันเป๊ะเลย มันไม่ยาก

อีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอก พระเยซูตรัสเองนะ … “จงขอแล้วจะได้ จงเคาะแล้วจะเปิด” พระเยซูตรัสเองเลย  จงขอแล้วจะได้ ปรากฏว่าเราขอมาตั้งนานแล้ว  ทั้งอดอาหาร ก็อดแล้ว อธิษฐานโต้รุ่งก็ทำมาแล้ว แต่ทั้งหมด ก็ยังไม่ได้ตามที่ขอเลย ถูกไหม?  เราก็ฟุ้งซ่านไปหมด พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าเราแสวงหาจริงจัง ในทางวิญญาณ เราจะได้พระพรตรงโน้น  เอเมน เห็นแล้วมันจะโอ้โห วิญญาณทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง พระคัมภีร์บอกว่าจงให้ออกไป แล้วเจ้าจะได้กลับมา 100 เท่า 1000 ทวี บางคนเอาไปใช้ 100 เท่า ให้ไป 100 เพราะฉะนั้น คูณ 100 เท่า ก็เป็นเท่าไร? 100000 หรือ? โอ้โห ไม่มีหุ้นไหนดีกว่านี้แล้ว มาลงทุนกับพระเจ้าดีกว่า เขาประกาศกันอย่างนี้  มาลงทุนกับพระเจ้า 1 ได้ 100 ถ้าความเชื่อน้อยที่สุด ได้ 30 เท่า แค่นี้ก็รวยแล้ว  ปรากฏว่าเราลงไปจริงๆ เลย  ความเชื่อมั่นคงเลยว่าถ้อยคำนี้เป็นจริง ปรากฏว่าแล้วได้ไหม?  ถ้าได้ผมไม่เห็น ผมไม่เห็นท่านนั่งรถเมล์มา  แต่นี่หลายคนก็ยังนั่งรถเมล์มาอยู่นะ  ให้ไปตั้งนานแล้ว ควรจะซื้อรถไปได้แล้ว จริงไหม? แต่ตรงนั้นมันหมายถึงท่านให้ไปด้วยความเชื่อศรัทธาในนี้  ด้วยวิญญาณของท่าน ไม่ต้องการจะได้รับสิ่งกลับคืนเลย  เป็นความรักแท้จริงในการให้ออกไปเลย ไม่ต้องการหวังสิ่งกลับคืน ท่านจะได้รับพระพรเป็นหมื่นๆ ทวี ทางวิญญาณ

ถ้าพระเจ้าจะให้ฉันอยู่อย่างขัดๆ สนๆ อยู่บนโลกใบนี้  ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อะไรประมาณนั้น ก็ว่ากันไปตามที่พระเจ้านำพา เอเมน แต่ไม่ขาด ก็แล้วกัน พระเจ้าสัญญาว่าไม่ขาด แต่ไม่ใช่โวยวายจะเอา 100 เท่า ป่านนี้ คริสเตียนรวยที่สุดแล้ว  ไม่จนอย่างนี้หรอก (จนทางกายภาพ) หมายถึงจนทางร่างกายวัตถุ การเงิน แต่ทางวิญญาณรวยมหารวยเลย คนที่เป็นคริสเตียน

นี่คือ 1 ในเหตุผลว่าทำไมผมถึงพยายามย่ำเรื่องโลกวิญญาณให้ท่าน มันเป็นเคล็ดลับอันหนึ่งที่ทำให้ท่านเป็นอิสระจากการถูกหลอกทั้งปวง ถ้ามาบอกท่านว่าระวัง  เดี๋ยวถูกหลอกเรื่องนี้  ระวังถูกหลอกเรื่องนี้ ต้องพูดไปอีก 8 หมื่นล้านครั้ง เพราะมันจะมีหลอกล่อมาหลายๆ เรื่อง  เยอะแยะไปหมด ตามไม่ทัน แต่ถ้าบอกเคล็ดลับท่านรู้ปุ๊บ ท่านอ๋อวันนี้  ต่อไปนี้ท่านจะไม่ถูกหลอกแล้ว เพราะท่านจะแปลไปทางโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เสียทีหนึ่ง  จะได้ไม่ถูกหลอก เลยต้องพูดวนไปวนมา  ถึงโลกวิญญาณว่าโลกวิญญาณมีจริง เรื่องทั้งหมด ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ นะ ทั้งสิ้นเลย  ทั้งหมดเลย  ไม่ว่าท่านจะเข้าใจตอนนี้ หรือไม่เข้าใจ พระเจ้าเปิดเผยให้ท่านอย่างไรก็ตาม แต่มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

เพราะผมรู้ว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และทุกครั้งที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านก็จะสามารถมองทะลุไปทางโลกฝ่ายวิญญาณว่าที่กำลังอ่าน มันเกี่ยวข้องอะไรกับทางโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวข้องอะไรกับพระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เกี่ยวข้องอะไรกับแผนการใหญ่ที่เรียกว่าข่าวดีของพระเจ้า ท่านจะมองทะลุหมดเลย  เกี่ยวข้องหมดเลย

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดูอีกข้อหนึ่ง เอาพระคัมภีร์ขึ้นมาเลย สมมติว่าท่านอ่านข้อพระคัมภีร์นี้  แล้วดูสิถ้าท่านคิดไปในทางโลก แปลไปในทางวัตถุ ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งแปลไปทางโลกวิญญาณ มันจะเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างนะครับ ฮักกัย 2:7-9 ท่านอ่านพระคัมภีร์ตามผมนะ ตรงนี้พระเจ้านะ  ตอนนี้เป็นเรื่องราวตอนสมัยอิสราเอล พระเจ้าปลดปล่อย ให้อพยพออกมาจากบาบิโลน จะมาสร้างเยรูซาเล็ม รื้อฟื้นเยรูซาเล็มใหม่

ฮักกัย 2:7-9 “7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

ถ้าท่านอ่านเฉยๆ แล้วท่านไม่ได้เล็งไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร?  ถ้าเราอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ แล้วก็ตีความแบบโลกวัตถุทั่วๆ ไป ตามตามองเห็น  ซึ่งไม่ตรงตามพระคัมภีร์ จะได้ความหมายอย่างไรครับ? นิเวศของพระเจ้าจะต้องเปี่ยมด้วยสง่าราศี  พระเจ้าจะทำให้สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบัน รุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม

เพราะฉะนั้น ถ้าคุยกันแบบโลกวัตถุ นิเวศน์ของพระเจ้า ก็คือคริสตจักรของพระเจ้า ถูกไหม?  คริสตจักรของพระเจ้าจะเปี่ยมด้วยสง่าราศี  ก็มีความหมายว่าคริสตจักรของพระเจ้าจะต้องใหญ่โต สวยงาม โอ่อ่าตระการ ดูภูมิฐาน สมพระเกียรติพระเจ้า ถูกไหม?  ถ้าท่านแปลว่าอย่างนี้ โอ้โห คริสตจักรต้องสวยงามสิ ต้องสมเกียรติพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่

สง่าราศีของนิเวศน์ปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศน์เดิม  พระเจ้าตรัสอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น ถ้าพระเจ้าจะให้เราสร้างคริสตจักรใหม่ ก็แปลว่าคริสตจักรใหม่จะต้องดีกว่าคริสตจักรเดิมอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น นี่ไปแล้วๆ เห็นหรือยัง? เห็นอะไรไหม?  ถูกไหม? แล้วท่านเชื่ออย่างนั้นไหม?  พอดีเลย โฮลี่กำลังจะมีคริสตจักรใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้  มันจะหมดสัญญาที่นี่แล้ว  เรากำลังอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าว่าจะให้เราดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าเราตีความตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราอ่านในฮักกัย เมื่อสักครู่นี้  เราก็ต้องมองไปหาที่ที่ทำไม? ใหญ่กว่านี้ สวยกว่านี้ ดีกว่านี้ โปเจคเตอร์ดีกว่านี้  เก้าอี้ที่นั่งดีกว่านี้  เอเมนไหม? ไม่เอเมน มันไม่ต่างกันกับพระเจ้าเอเมนได้อย่างไร?  เพราะท่านชินกับของเก่ามา ชินกับความรู้เก่าๆ  ชินกับสิ่งที่ท่านคิดว่ามันควรจะเป็น ท่านคิดเองว่าควรจะเป็น แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้สักหน่อย

ท่านคิดดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้า เราเอามาจากไหน? ที่ผมบอกตะกี้นี้ เอามาตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าตรัสผ่าน บอกล่วงหน้าถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ผ่านทางเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในสมัยอิสราเอลอพยพออกจากบาบิโลน มาสู่เยรูซาเล็ม แล้วก็ได้รื้อฟื้นสร้างเยรูซาเล็มใหม่  จากนั้นมา เยรูซาเล็มก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่  มาสุดท้ายจนจบ  อีกประมาณสักหลายร้อยปีต่อมา  สร้างจบตอนไหน?  จบตอนกษัตริย์เฮโรด ตอนที่พระเยซูเกิดนั้น  สร้างสวยงามเลย สวยงามจริงๆ  หล่อเป็นทอง เอาทองใส่เรียบร้อยเลย  คนเขานึกว่าแสดงว่าพระคัมภีร์บอกจริง แล้วจริงไหม? ปรากฏว่าสวยงามมากใช่ไหม? พระเยซูเดินผ่าน พระเยซูบอกแม้หินสักก้อน ก็จะไม่เหลือ ในอนาคตอีกไม่ช้า ปรากฏตอนนี้พระเยซูตายไปแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  กรุงโรมส่งทหารมา จัดการกับอิสราเอลเรียบวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิหารหลังนี้ถูกเผา ถูกเอาทอง ลอกเอาทองไป แม้แต่หินก้อนหนึ่ง ก็ไม่ให้เหลือตามที่พระเยซูบอกล่วงหน้าไว้แล้ว ไหนล่ะ สง่าราศีกว่าเดิมไง

แล้วจากวันนี้ต่อมา จนถึงทุกวันนี้  ก็ยังเป็นซากปรักหักพังอยู่ถึงทุกวันนี้เลย  ไหนสง่าราศีดีกว่าเดิม ไหนล่ะ ท่านก็จะแย้งกันแล้ว แล้วท่านก็จะเก็บไว้ในใจ ช่างมันๆ มันจะไม่เกิด มันก็ไม่เกิด แล้วแต่น้ำพระทัย ไม่ใช่น้ำพระทัย แต่เพราะท่านแปลผิด  เห็นหรือยัง? เห็นภาพหรือยัง? เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นอีกคนละเรื่องกัน  ท่านจะมองเห็นภาพแล้ว

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่างการอ่านพระคัมภีร์และตีความแบบผิดๆ  ซึ่งในความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้ เรามาดูกันนะ เราต้องอ่านและทำความเข้าใจในเนื้อหา บริบท และเล็งไปถึงโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ โลกวิญญาณอะไรที่เกิด พระเจ้ากำลังทำอะไร?  ซึ่งเราเรียกว่านิมิต เรากำลังเข้าไปหาการสำแดงความรู้ทางโลกวิญญาณว่าเปิดตาวิญญาณให้ลูกที ลูกจะได้เข้าใจตรงนี้ว่าพระองค์กำลังทำอะไรในโลกวิญญาณ

แล้วดูนะว่าความหมายในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? เราลองมาอ่านถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้  แล้วก็เติมก่อนหน้านี้อีกสักนิดหนึ่ง  เพื่อท่านจะได้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งก่อนหน้านี้ พระองค์ตรัสไว้ว่าอย่างไร? ในฮักกัย 2:4-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮักกัย 2:4-9 “4 แต่บัดนี้ จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด ประชาชนทั้งปวงในดินแดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และจงทำงานไปเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น 5 ‘ตามที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเจ้า เมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์ และจิตวิญญาณของเรายังคงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย6 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘อีกสักหน่อยหนึ่ง เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเล และผืนแผ่นดินอีกครั้ง 7 เราจะเขย่ามวลประชาชาติ และสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้ เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9 สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

มันหมายถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทำตอนที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และสร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา  ที่เราเรียกว่าโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสวรรค์ พระองค์กำลังพูดถึงนี้ นี่คือคริสตจักร นี่คือพระนิเวศน์ของพระเจ้า

สมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูจะเกิด พระนิเวศน์เดิม คืออะไร? คือพระเจ้ามาอยู่บนโลกใบนี้ ต้องอยู่กับมนุษย์ อยู่กับอาดัม อยู่กับมนุษย์ อยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่พอพระเยซูมา พระนิเวศน์ที่พระเยซูสร้างขึ้นในโลกวิญญาณนั้น พระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์หรือเปล่า? มาอยู่กับเราหรือเปล่า? ใครบอกยกมือขึ้น? มาอยู่ในเราแล้ว  ดีกว่าเก่าตั้งเยอะ แต่ก่อนนี้อยู่ข้างๆ  อยู่ท่ามกลาง แต่ตอนนี้อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว สง่าราศีตรงนี้ใหญ่กว่าเก่าตั้งเยอะ นี่เขาเรียกว่าการสำแดงความรู้ การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เข้าใจในโลกวิญญาณเห็นไหม?  ผิดไปเลยไหม? ผิดกับตะกี้เราแปลผิดปุ๊บ  ไปโลดเลย

เห็นไหม? พอท่านเข้าใจโลกวิญญาณ สมัยก่อนเดินกับอาดัม เดินกับมนุษย์ เดินกับโมเสส เดินกับโมเสส เดินกับอิสราเอล แต่ตอนนี้ เดินในผู้เชื่อในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ไม่ใช่อยู่ข้างๆ ร่วมกันเป็นหนึ่ง เอเมน

นี่คือประโยชน์ของการเรียนรู้โลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พูดถึงถ้อยคำพระเจ้า ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันตลอด ทิ้งไว้ก่อน อย่าไปแปลมัน อย่าพยายามมันทางโลก  ไม่รู้ช่างมัน  อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าจะแปลนึกถึงโลกวิญญาณและในโลกวิญญาณมีเรื่องเดียวที่เป็นพล่อยสำคัญที่สุด คือพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ สร้างคริสตจักรขึ้นมาใหม่ เอาอาณาจักรสวรรค์ เอาอาณาจักรแห่งแสงสว่างลงมาบนโลกใบนี้

นี่คือเมนของเรื่องเท่านั้น จบแล้ว ใครๆ ก็เรียนได้ และที่ยังไม่รู้ ก็อธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณเรา ให้เราเข้าใจโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  มันเกี่ยวข้องอะไรกับโลกวิญญาณบ้าง? เอเมน

 

********************