คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 43

โดย  วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรายังอยู่ในถ้อยคำที่พระองค์ตรัสกับเราว่า “อย่ากลัวเลย” ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งในช่วงนี้ มันมีเรื่องราวมากมาย ทำให้เราเกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงบอกเราเสมอว่า “อย่ากลัว” เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงนำพาทุกย่างก้าวของเรา  และพระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเราเช่นเดียวกัน

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่าถ้อยคำนี้ เราเรียนมาหลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้ง พระเจ้าบอกว่าถ้อยคำของพระองค์ สดใหม่อยู่เสมอ และเป็นถ้อยคำที่พระองค์จะพูดเข้าไปในวิญญาณจิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เลี้ยงที่ดีของเรา ในหนังสือมัทธิว 6:25-34 ซึ่งถ้าเราอยู่ในทางของพระเจ้า เราจะรู้ว่าถ้อยคำตรงนี้สามารถที่จะหนุนจิตชูใจเราได้ทุกเวลา ทุกโอกาสในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราจะอยู่กันอย่างไร ในเวลาที่ลำบากขนาดนี้? พระเจ้าทรงทราบหรือเปล่า? หรือพระองค์ทรงรู้ความต้องการของเราหรือไม่? หรือพระองค์จะสามารถช่วยเราให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้หรือเปล่า? แต่ถ้อยคำของพระองค์ ก็ยังคงยืนยันกับเราเสมอว่าพระองค์ทรงสามารถ และพระองค์ทรงห่วงใยเรามากกว่าที่เราห่วงใยตัวเองด้วยซ้ำไป พระองค์ทรงสามารถที่จะนำพาย่างก้าวของเราทุกเวลา เรารู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราลำบากมากเลย แต่พระองค์ทรงมีหนทางให้กับพวกเราเสมอ

มัทธิว 6:25 “เหตุฉะนั้น  เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน ว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม  ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ  และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”

 

ชีวิตที่พระเยซูพูดถึงนี้ คือชีวิตจริงๆ ของเรา ชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้กับพวกเราผู้เชื่อ ฉะนั้นเวลาเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งแรกที่พระองค์ตรัสกับเรา คือพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เหมือนพระเจ้า อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ขณะที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ โลกวัตถุ เรายังต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เราจะอยู่อย่างไร? เราจะกินอย่างไร? เราจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเลย ลำบากขนาดนี้  แล้วเราจะรอดไหม? พระองค์ก็คงยืนยันกับเราว่าไม่ต้องไปกระวนกระวายเรื่องเหล่านี้ ชีวิตของเราฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเพียงเหมือนกับทางผ่าน ที่พระเจ้าทรงโปรดให้เราเดินผ่านไปในแต่ละวัน แล้วพระองค์ทรงพิสูจน์พระองค์เองว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หลายๆ คนรู้สึกลำบาก แต่ว่าเรายังอยู่ได้จนถึงวันนี้ แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา มันคือความจริง ต่อให้เราจะรู้สึกว่าเราไม่ไหวแล้ว เราไปต่อไม่ได้แล้ว เศรษฐกิจหยุดชะงักหมด การงานเราก็ไม่สามารถที่จะทำได้  แต่พระคัมภีร์ก็ยังยืนยันกับเราว่าชีวิตเราสำคัญกว่า พระเจ้าทรงเฝ้ามองดูเราอยู่ และพระองค์จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา ให้เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ถ้าพระเจ้าทรงให้วิกฤตินี้ลากยาวไปอีก เราในฐานะผู้เชื่อ เราก็จะสามารถผ่านไปได้อีกเหมือนกัน พระเจ้าบอก …

“อึดใจเดียวลูก แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

แล้วเราหันกลับไปดูสิ อึดใจเดียวจริงๆ จากเริ่มต้นที่มีปัญหา เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องของไวรัสที่ระบาด ทำให้เราทุกคนต้องหยุดชะงัก เป็นหลายเดือนที่เราไปไหนไม่ได้ เป็นหลายเดือนที่เราอยู่บ้าน เป็นหลายเดือนที่โบสถ์เปิดไม่ได้ ก็ปิดไม่ให้สมาชิกมาโบสถ์ แล้วก็เป็นหลายเดือนที่เรานั่งนมัสการอยู่ที่บ้าน  แต่ว่าไม่ว่าด้วยวิธีใด เราก็ยังคงสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ ต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ที่จะส่งไปให้พี่น้อง ถึงที่บ้าน ที่จะร่วมนมัสการด้วยกัน  ที่จะฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วยกัน ต่อให้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราก็ยังสามารถที่จะนมัสการพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราสามารถที่จะร้องเพลงพระเจ้า ด้วยบทเพลงที่บ้าน เครื่องดนตรีไม่มี ก็ไม่เป็นปัญหา เราก็สามารถร้องเพลงถวายพระเจ้าได้ เราสามารถที่จะเปิดถ้อยคำของพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ และเป็นพระคัมภีร์ที่เมื่อเราอ่าน เราได้รับการหนุนจิตชูใจ เรารู้ว่าพระองค์ตรัสกับเราอยู่

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือสิ่งที่เรามีประสบการณ์ในช่วงวิกฤตตรงนี้ แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงเมตตาที่เรามีเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งอย่างน้อยๆ พี่น้องหลายๆ ท่านที่ไม่สามารถเดินทางมาคริสตจักรได้ เนื่องด้วยสุขภาพร่างกาย เนื่องด้วยอายุเยอะแล้ว ก็ไม่อยากให้มาเสี่ยง ก็จะบอก …

“พี่นมัสการอยู่ที่บ้านเถอะ ยังไม่ต้องมา” อะไรประมาณนี้

ฉะนั้น ไม่ว่าด้วยอะไรทั้งหมด ไม่สามารถที่จะหยุดเราในการแสวงหาพระเจ้า ในการเข้ามาหาพระเจ้า ในการที่จะฟังถ้อยคำของพระเจ้า ในการที่จะนมัสการพระเจ้า พระเยซูบอกเราว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากังวลในโลกใบนี้ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่เราจะต้องกังวล …

“พรุ่งนี้เราจะมีกินไหม? เราจะมีเครื่องนุ่มห่มไหม?”

แต่พระเยซูบอกเราว่าชีวิตสำคัญกว่า สำคัญกว่าทั้งเรื่องของอาหาร ทั้งเรื่องของเสื้อผ้า ทั้งเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด เมื่อเรามีชีวิตในพระเจ้า ก็คือเลิศที่สุด สำหรับชีวิตคริสเตียน สำหรับพวกเราที่อยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารู้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว

มัทธิว 6:26 “จงดูนกในอากาศ  มันมิได้หว่าน  มิได้เกี่ยว  มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง  แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย  ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้  ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ”

 

ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ใดก็ตาม อยู่ในเมือง หรืออยู่นอกเมือง ถ้าเราอยู่นอกเมือง ตามชนบท เราจะเห็นชัดกว่า เพราะว่ามันจะมีนกบินทุกเช้า มันจะมาร้องเสียงดังปลุกเรา อย่างที่โบสถ์ เช้าๆ นกคุยกันเสียงดังมาก แล้วพระเจ้าบอกว่าดูสิ นกในอากาศ มีชีวิตทุกวัน ไม่ใช่นกทุกตัวที่ถูกเลี้ยง โดยคนซื้อมา แล้วก็เอาไปอยู่ในกรง ทุกเช้าก็จะให้อาหารเขา มีคนเลี้ยงดู แต่พระเจ้าให้เราดูนกในอากาศ คือนกที่ไม่มีเจ้าของ แต่ว่าเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ บินไปไหนมาไหนอย่างอิสระได้ สามารถที่จะแพร่พันธุ์ได้มากมายเยอะแยะ และพระองค์ทรงเตรียมอาหารไว้ให้นกเหล่านี้ แล้วพระเจ้าก็ทรงบอกเราว่าพวกเรา ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า ตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าตั้งใจสร้างเรา และพระองค์ทรงระบายลมปรานของพระองค์ลงมาในชีวิตของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีชีวิต มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพเหมือน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นฉายา คือเป็นภาพเหมือนของพระเจ้าเลย ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าจะดูแลเรามากกว่านกในอากาศซะอีก เมื่อพระองค์ทรงสัญญากับเรา แบบนี้แล้ว เราก็อุ่นใจขึ้นใช่ไหม? แต่ความเป็นมนุษย์ต่อให้อุ่นใจ เราก็ยังกังวลอยู่ดี แต่ว่าขอพระคุณพระเจ้าช่วยเรา กังวลได้ แต่อย่าไปจมปลักกังวลจนทั้งวัน เราไม่สามารถที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงสัญญากับเราแล้ว แล้วถ้าพี่น้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าจริงๆ พี่น้องจะสามารถเอเมนได้เลย ซึ่งที่ผ่านมา เราถือว่าแย่ที่สุดแล้ว สำหรับชีวิตของเรา ชีวิตหนึ่งที่เราได้พบเจอ ตั้งแต่เราเกิดมา เราก็เห็น ต่อให้เรามีเรื่องมากมาย มีโรคระบาด มีอะไร มันก็ไม่สาหัสขนาดที่ว่าต้องปิดประเทศ ขนาดปิดการสื่อสาร ขนาดปิดการค้าขาย ของเข้าไม่ได้ ออกไม่ได้ อะไรประมาณนี้ ไม่ถึงขนาดนี้ แต่ว่าเราก็ยังขอบคุณพระเจ้า ที่เราสามารถผ่านวิกฤตนี้มาได้เกือบปีแล้ว หรือถ้าเกิดจะต้องลากยาวไปอีก พระองค์ก็จะทรงพาเราผ่านเช่นเดิม

เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการทดลอง หรือไม่มีความทุกข์ยากใดๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ที่เราจะไม่สามารถทนได้  พระเจ้าจะให้กำลังเรา ที่เราจะสามารทนได้  ผ่านไปได้

มัทธิว 6:27-29 “27 มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย  อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ 28 ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม    จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนา ว่ามันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร  มันไม่ทำงาน  มันไม่ปั่นด้าย 29 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอน  เมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี  ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง”

 

พระเจ้าบอกเราว่ากระวนกระวายไป ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะว่าโดยความกระวนกระวายของเรา ก็ไม่สามารถทำให้ สถานการณ์ดีขึ้น หรือแย่ลง แต่ว่าคนที่จะแย่ลง ก็คือตัวเราเองนั่นแหละ ที่เรากระวนกระวาย ทำให้เราทุกข์ใจ ซึ่งเราสามารถที่จะเดินผ่านวิกฤตนี้ ด้วยพระคุณ ด้วยสันติสุข ด้วยความชื่นชมยินดี ซึ่งมาจากพระเจ้าได้ แทนการกระวนกระวาย เราก็ขอบคุณพระเจ้า  ที่พระองค์นำพาเราทุกวันๆ ขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยตื่นขึ้นมาวันนี้ พระองค์ให้ลมหายใจเราอยู่ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ยังให้สุขภาพเราแข็งแรง  ที่เราสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวเองได้ ขอบคุณพระเจ้าที่เรายังสามารถเดินออกจากบ้าน เราอยากจะไปไหน เราก็ยังไปได้ แม้ว่ามันลำบากนิดหนึ่ง ตรงที่เราต้องใส่หน้ากากอนามัย เวลาออกจากบ้าน มันก็แค่ลำบากนิดหนึ่ง แต่ว่ามันก็ไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพของเรามากจนเกินไป จนเรากระดิกตัวไม่ได้ หรือบางคนก็ยังสามารถที่จะไปทำงานได้ สามารถที่จะมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเรามองเห็นภาพ เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา แม้ว่าหลายๆ คน ไปทำงาน รายรับอาจจะลดลง แต่พระเจ้าก็ประคับประคองเราสามารถที่จะผ่านไปได้ เราก็ใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยให้น้อยลง อย่างถ้าเป็นสมัยก่อนที่รายรับเราเยอะ เราก็ยังสามารถที่จะจับจ่ายใช้สอยได้แบบสบายๆ แต่เมื่อลดลง เราก็ปรับตัวเอง แทนที่เราจะไปกินเหลาทุกมื้อ  เราก็อยู่บ้านกินดีไหม?  หุงข้าวทานเองดีไหม? เจียวไข่ อะไรก็ได้ ชีวิตไม่ได้ยากขนาดนั้น พระเจ้ายังคงดูแลย่างเท้าของพวกเราอยู่ ที่เราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

ฉะนั้น ถ้าเรากระวนกระวาย โดยที่เหตุการณ์ยังไม่เกิดขึ้นเลย เรากังวลไปล่วงหน้า เราก็ขาดทุน เพราะว่าเหนื่อยฟรีๆ ไปเฉยๆ อย่างนั้นแหละ ตรงที่เหตุการณ์ยังไม่ทันเกิดขึ้น  เราก็ห่วง หรือกังวลล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา

พระเจ้าให้เราเห็นภาพของต้นหญ้า พระเยซูคริสต์ได้ยกตัวอย่างของกษัตริย์ซาโลมอนขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ากษัตริย์ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงอำนวยพระพร เป็นคนที่มีสติปัญญามากที่สุด ตั้งแต่มีมา  พระเจ้าให้สติปัญญา คือก่อนหน้า ก็ไม่มีใครฉลาดขนาดนี้ ให้หลังกษัตริย์ซาโลมอน ก็ยังไม่มีใครฉลาดเท่าพระองค์ แล้วพระองค์มีทรัพย์สมบัติเยอะมาก เพราะว่าทุกคนเดินทางมาจากทุกทิศทุกทาง เพื่อที่จะมาฟังสติปัญญาของพระองค์ เวลาเขาเดินทางมาฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน ก็ไม่ได้เดินทางมาตัวเปล่า คือจะมาพร้อมกับเครื่องบรรณาการเยอะแยะมากมาย ทั้งเงิน ทั้งทอง ทั้งอะไรเยอะแยะไปหมด มาถวายให้กษัตริย์ซาโลมอน

แล้วในยุคของกษัตริย์ซาโลมอน พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเยอะ จนแบบทองคำก็เยอะ เงินก็เยอะ  ทองแดงก็เยอะ พวกไม้สนสีดาห์ก็เยอะ ทุกอย่างเยอะหมดเลย เยอะจนมีช่วงหนึ่ง เขาขี้เกียจนับ พี่น้องเคยมีความรู้สึกไหมว่าเงินเราเยอะ จนขี้เกียจนับ เพราะใช้ทั้งชาติ เราก็ใช้ไม่หมด อย่าไปนับมันเลย อะไรประมาณนั้น กษัตริย์ซาโลมอนเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือเยอะมาก แต่พระเจ้าเอากษัตริย์ซาโลมอนมาเปรียบเทียบกับดอกไม้ ในทุ่งนา เราเห็นดอกไม้สด เวลางอกงามขึ้น ไม่ต้องขนาดดอกหญ้า ในนี้เขาเปรียบเทียบดอกหญ้า เราเอาดอกที่อยู่ได้ทนๆ อย่างพวกดอกกุหลาบ เวลาอยู่บนต้นก็ทน ดอกลิลลี่ อยู่ได้เป็นครึ่งเดือน แต่ดอกไม้เหล่านั้นไม่ว่าชีวิตเขาจะอยู่ยาวขนาดไหน? ก็รอวันเหี่ยว แล้วก็เฉาตายไป

แต่ในตรงนี้ พระเยซูเปรียบให้เห็น ดอกหญ้า คือวันนี้สวยงามเลย พรุ่งนี้ก็ตายแล้ว แต่ดอกหญ้าอันนี้มีค่า หรือมีสง่าราศีมากกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอน แปลว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม พระหัตถ์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม คือสิ่งที่มีค่าที่สุด ถึงแม้ว่าในสายตาของมนุษย์ดูว่ามันนิดเดียวเอง ดูไม่สำคัญ แต่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญ พระองค์บอกว่าสวยกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอนซะอีก

มัทธิว 6:30 “แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น  ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ  โอ  ผู้มีความเชื่อน้อย  พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ”

 

แค่ดอกหญ้า ดอกหนึ่ง พระเจ้าให้ความสำคัญ ตกแต่งให้สวยงาม แต่เราซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และในขณะนี้ที่พระเยซูพูด พูดกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่พระองค์ทรงเลือกเราให้เข้ามาเป็นบุตรของพระองค์ เข้ามารับสง่าราศีร่วมกับพระเยซูคริสต์ เข้ามารับความรอด โดยที่เราไม่ต้องไปตกนรก  ไม่ต้องไปชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของเราอีกต่อไป เมื่อพระเยซูคริสต์ชดใช้หนี้บาปให้เรา เราได้รับความรอดสมบูรณ์

พระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ไร้มลทินเลย ฉะนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นคนที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้แล้ว แยกเราออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกันที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะตกแต่งเรามากยิ่งกว่านั้น พระองค์ไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือว่าทิ้งขว้างเรา ไม่ใช่แค่บอกว่าวิญญาณเรารอดแล้ว เนื้อหนัง ร่างกายนี้ จะเป็นอะไร พระองค์ก็บอกช่างหัวมัน ไม่ใช่ พระองค์ก็ยังคงดูแลอยู่ พระองค์ทรงดูแลทุกย่างก้าวของเรา ไม่ว่าเราหลับ ไม่ว่าเราตื่น ไม่ว่าเราจะเดินทางไปไหน พระองค์ไปด้วยกับเรา เราทุกข์ พระองค์ทุกข์กับเรา เราสุข พระองค์สุขกับเรา  พระเยซูไม่เคยทิ้งเรา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระองค์เป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา เมื่อพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราก็จะมีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าไม่ว่าปัญหาจะใหญ่ขนาดไหน? พระองค์จะพาเราผ่าน ผ่านด้วยวิธีอะไร? นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่พระองค์บอกว่าพระองค์พาเราผ่านแน่นอน

มัทธิว 6:31-32 “31 เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน  หรือจะเอาอะไรดื่ม  หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32 เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้  แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า  ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้”

 

พวกต่างชาติ คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ต้องการสิ่งต่างเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ ความอยู่ดีกินดี คนต่างชาติก็ต้องการแค่นั้น แต่พระเจ้าบอกว่าข้างในเราต้องการอะไร พระองค์รู้หมดเลย  แล้วพระองค์เห็นว่าอะไรที่สมควร เหมาะสมกับชีวิตของเรา  พระองค์จะประทานให้กับเรา

ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่ต้องไปแสวงหา เพราะว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราจะเห็นภาพความรักของพระเจ้า พระบิดา จากครอบครัว ครอบครัวแต่ละครอบครัวในโลกใบนี้ ไม่ว่าเขาจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม คนสองคนแต่งงานกัน แล้วเขามีลูก สิ่งที่ผูกเขาทั้งสองคน คู่สามีภรรยา คือลูก และลูก คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของพ่อแม่ ฉะนั้น เมื่อลูกคลอดออกมา ลูกไม่ต้องไปกังวลเลยว่า …

“ฉันคลอดออกมา จะมีผ้าอ้อมไหม? จะมีนมให้กินไหม? จะมีเปลให้เรานอนไหม? หรือกลับบ้าน ถ้าเจอหน้าหนาวจะมีผ้าห่มให้เราไหม? มีหมอน มีเบาะ มีอะไรไหม?”

ไม่เห็นมีทารกคนไหนมากังวลเรื่องเหล่านี้ อย่าว่าแต่คลอดออกมาเลย เชื่อว่าเวลาคุณแม่ตั้งครรภ์ จะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็บอกอย่าเพิ่งจัดเตรียมอะไร เป็นเคล็ดอะไรของเขา แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าทุกอย่างดีหมดเลย พระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีๆ ให้กับเรา เราก็จะเตรียมทุกอย่างเลย ซื้อโน่น ซื้อนี่ อะไรที่จำเป็น ที่ลูกจะต้องใช้สอย เราจัดเตรียมให้หมดเลย ถ้าคุณแม่บางคนไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน ก็ต้องไปสรรหา ซื้อนมผง ก็คือทุกอย่างพ่อแม่จัดเตรียมไว้ให้หมดเลย ลูกไม่เคยต้องมานั่งกังวลว่า …

“ถ้าฉันร้อง จะมีนมให้ฉันกินไหม?”

ไม่มี ทำหน้าที่ คือกิน นอน ฉี่ อึ จบ นี่เด็ก มีหน้าที่แค่นั้น ฉะนั้น พอโตสักระดับหนึ่ง พ่อแม่ก็จะเตรียมแล้ว …

“ลูกเราจะไปเรียนโรงเรียนไหนดี? โรงเรียนไหนที่สิ่งแวดล้อมดี? ครูสอนดี?”

คืออะไรดีๆ พ่อแม่จะเตรียมให้หมด แล้วพ่อแม่ก็จะไม่เหนื่อย ที่จะยอมทำงานหนัก เพื่อจะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกได้เรียน ได้กิน ได้ใช้ ตามสถานะ อันนี้ต้องตามสถานะ แต่อย่างไรพ่อแม่ก็ต้องจัดเตรียมให้

ในพระคัมภีร์บอกเราว่าแม้มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าจะรักเรามากกว่านั้นอีก พระองค์จะไม่ปล่อยให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวของเราเอง

เด็กพอโตขึ้น เรียนหนังสือจบ เขาต้องทำงาน แต่ในขณะที่เขาทำงาน ถามว่าพ่อแม่เลิกห่วงไหม? ไม่มีการเลิกห่วง จนกว่าลูกเราตายจากกัน ไม่พ่อแม่ตายก่อน ลูกตายก่อน ก็ยังคงห่วงใย

“ตกลงลูกเราทำงาน เงินเดือนเขาพอใช้ไหม?”

เป็นไหม? พ่อแม่เป็น เงินเดือนเขาพอใช้ไหม? เดือนไหนรู้สึกเขาขัดสนนิดหนึ่ง เขาไม่พอใช้ เราก็แอบควักกระเป๋า แล้วก็เอาใส่มือให้

“ลูกเอาไปใช้นะ”

นั่นคือหัวใจพ่อแม่ พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระองค์ก็ทรงดูแลเราแบบนี้ พระองค์ทรงห่วงใย พระองค์ทรงรู้ว่าเราขาดอะไร? เราต้องการอะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? พระองค์จะประทานให้กับพวกเราจากฟ้าสวรรค์

ในข้อ 33 พระเยซูสอนเราว่าสิ่งที่เราควรทำ คือ …

มัทธิว 6:33-34 “33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า  และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน  แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34 “เหตุฉะนั้น  อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้  เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง  แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว”

 

ไม่ต้องทุกข์ล่วงหน้า ทุกวันมีแต่ความทุกข์ ถ้าเรากังวลถึงพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึงเลย เรากังวลล่วงหน้า มันก็กังวลฟรีๆ พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้ คืนนี้นอนหลับ แล้วพระเจ้าก็บอก …

“วราพรกลับบ้านได้แล้ว งานจบแล้ว”

เราก็หลับไปอยู่กับพระเจ้า กังวลฟรี เหนื่อยฟรี ฉะนั้น พระเยซูสอนเราว่าอย่าไปกังวลเผื่อพรุ่งนี้ แต่ละวันมันก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปหาทุกข์ใส่ตัวมากขึ้น สิ่งที่เราควรทำ คือแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ที่อาจารย์นครพูดบ่อยๆ คือจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจในถ้อยคำของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้า คืออะไรก็ตามที่พระเยซูได้ทรงสอนเราไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า จดจ่อว่าขณะนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เราเป็นผู้บริสุทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราสามารถที่จะมีสันติสุขในพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก หรือปัญหาร้อยแปดพันเก้าที่ล้อมรอบตัวเรา เราสามารถมีสันติสุขได้ เพราะตาเราไม่ได้จ้องอยู่ที่ปัญหา แต่ตาเราจ้องอยู่ที่เบื้องบนว่าพระเจ้าเตรียมพระพรนานับประการให้เราเรียบร้อยแล้ว เรารอแค่ว่าเมื่อไรที่พระเจ้าเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะได้จบงาน เมื่อไรจะถึง 5 โมงเย็น office จะปิด เราก็จะได้ถึงเวลากลับบ้าน เราก็ทิ้งร่างกายนี้ไว้ วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์สถานนิรันดร์กาล

นี่คือพระพรที่พระองค์ได้บอกกับเรา ถ้าเรามองที่ปัญหา ชีวิตเราก็ไม่มีความสุข แต่ถ้าเรามองที่พระสัญญาของพระเจ้า ไม่ว่าทุกข์ยากลำบากแค่ไหน? เราก็จะคิดแค่ หายใจเข้า หายใจออก อึดใจเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป มันมีมา มันก็จะมีไป แล้วเมื่อถึงเวลา เราก็จะได้พักผ่อน ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข สิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่ามกลางปัญหาอุปสรรค ด้วยสันติสุข ซึ่งมาจากพระเจ้า

ในหนังสือมัทธิว 10:26-27 “26 “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา  เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับ  ที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 27 ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด  ท่านจงกล่าวในที่แจ้ง  และซึ่งท่านได้ยินกระซิบที่หู  จงตะโกนจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน”

 

ถ้อยคำตรงนี้ พระเยซูตรัสกับสาวก หลังจากที่พระเยซูบอกกับสาวกว่าศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู ในยุคนั้น เมื่อพระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ก็บอกกับผู้คนทั่วไปว่าพระเยซูใช้อำนาจของเบเอลเซบู ซึ่งเป็นนายผี  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจนี้มาจากพระเจ้า เขาหาว่าพระเยซูเป็นนายผี

ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่าถ้าผีกับผีตีกันเอง อาณาจักรคงไม่สามารถอยู่ได้ คือมันจะล่มสลายไป พระเยซูบอกว่าปล่อยเขาไปเถอะพวกนี้ ถ้าขนาดพระเยซูเองยังถูกเรียกว่านายผี หรือพระเยซูเองยังไม่ได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้  พวกสาวกก็อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะได้รับเกียรติจากผู้คนเหล่านี้ แต่สิ่งที่สำคัญ คือไม่ต้องไปกลัวเขา ไม่ว่าเขาจะมาในรูปแบบไหนก็ตาม ก็ไม่ต้องกลัว แต่ให้สาวกของพระองค์ประกาศพระนามของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้กับสาวก ในที่ลับ ให้ประกาศออกไป  จนตอนที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปสู่ฟ้าสวรรค์

หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วอยู่กับสาวก 40 วัน พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่าเหตุฉะนั้น ให้เราออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ สอนทุกคนให้เรียนรู้จักพระองค์ แผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์ต้องการให้เราออกไปประกาศ เพื่อนำผู้คนมากมาย บนโลกใบนี้ ที่ยังตกอยู่ ภายใต้อำนาจของผีมารซาตาน ให้เขาได้สัมผัส ได้เปิดตาใจ ได้ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เพราะไม่มีมนุษย์คนไหน ช่วยให้หลุดพ้นจากความผิดบาป เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดยอมรับการช่วยเหลือ จากพระเจ้า เขาจะได้รับอิสรภาพ เขาจะไม่ตกอยู่ภายใต้มือของผีมารซาตาน  แต่วิญญาณเขาจะสลับขั้วมาอยู่ที่พระหัตถ์ของพระเจ้า เขาจะถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง เขาจะถูกปลดปล่อยอิสระ เขาจะไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตานอีกต่อไป  เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในคนๆ นั้น เป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าต้องการให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป ต้องการที่จะให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ ได้รับอิสรภาพจากการถูกผูกมัด โดยผีมารซาตาน ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกว่าให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์

มัทธิว 10:28 “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ  แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์  ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้”

 

พระเยซูบอกอย่ากลัว ทำไมต้องบอกสาวก “อย่ากลัว” ในยุคนั้น หลังจากที่ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ สาวกออกไปประกาศ จะถูกข่มเหง บางคนถูกจับไปติดคุก บางคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ คือจะมีทุกรูปแบบ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า ในยุคนั้น พระเจ้าประทานกำลังให้กับสาวกมากมาย แม้ว่าจะถูกฆ่าตาย ถูกจับติดคุก ถูกทรมานมากมาย ไม่มีคนไหนที่ปฏิเสธพระเยซู เมื่อมีโอกาส เขาก็ยังเลือกที่จะประกาศพระนามของพระเจ้า ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า เหมือนกับอาจารย์เปาโล เมื่อกลับใจใหม่ ท่านก็ไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด ก็พูดเรื่องเดิมเลย ถ้าพี่น้องไปอ่านพระคัมภีร์จริงๆ เปาโลเมื่อไปเจอนายคุก ไปเจอกษัตริย์ ไปเจอใครก็ตาม อาจารย์เปาโลจะเริ่มต้นเล่าเรื่องพระเยซูว่า …

“เพราะเหตุนี้ พระเจ้าส่งพระเยซูมา แล้วพวกเธอไม่เชื่อฟัง เอาพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน  แต่ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย”

นั่นคือข่าวประเสริฐเนื้อๆ จริงๆ อาจารย์เปาโลพูดทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง  พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว ทุกเวลา ซึ่งนั่นคือฤทธิ์เดช ในพระคัมภีร์บอกว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช ไม่ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เมื่อข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป คนที่ได้ยิน ได้ฟังเขาจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

ตรงนี้พระเจ้าเลยบอกกับสาวกของพระองค์  … “ไม่ต้องไปกลัวหรอกพวกนี้ ฆ่าเธอได้แค่ร่างกายนี้เท่านั้น”

สาวกในยุคนั้น แม้ถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่กลัว ไม่ยกเลิกที่จะเชื่อพระเยซู เขายังประกาศพระเยซูจนถึงวินาทีสุดท้าย

จะมีภาพหนึ่งในหนังสือกิจการ คนที่ติดตามพระเยซูที่ชื่อสเตเฟน เขาไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ ประกาศเรื่องราวเดียวกันกับอาจารย์เปโตร … 2 คนนี้จะได้ภาพที่ต่างกันมาก ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศพระนามของพระเยซู ประกาศเรื่องเดียวกันเลย พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน มีคนเชื่อพระเจ้า ครั้งแรก 3,000 คนและติดตามมาเป็น 5,000 คน ข่าวประเสริฐถูกประกาศออกไป แบบเยอะแยะมากมาย คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า

แต่สเตเฟนเป็นอีกภาพหนึ่ง ที่ในพระคัมภีร์บันทึกให้เราเห็นภาพว่าสเตเฟนประกาศเรื่องเดียวกัน   และในพระคัมภีร์เขียนว่าทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง   รู้สึกบาดใจ   มีท่าทีต่างกัน   ตอนที่อาจารย์เปโตรประกาศ  ทุกคนสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยเขาขนาดนั้น  ทุกคนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า    แต่ว่าคนที่สเตเฟนไปประกาศ   เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน    แล้วหยิบก้อนหินขว้างสเตเฟนตายคาที่เลย   แล้ว  สเตเฟนคุกเข่าพูดคำเดียวกับพระเยซูตรัสบนไม้กางเขนว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้เขาด้วย”

ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่สเตเฟนประกาศให้เขาได้ยินได้ฟัง  คือพระพร  คืออิสรภาพ  คือการปลดปล่อย  ที่พระเยซูคริสต์มาทำ      เพื่อพวกเขาบนไม้กางเขน   เขาจะไม่เอาหินขว้างสเตเฟนให้ตาย   แต่ขณะที่สเตเฟนลมหายใจออกจากร่าง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขายอมตาย เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพราะว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช แม้ว่าร่างกายของเขาตาย แต่จิตวิญญาณของเขาได้อยู่กับพระเจ้า เขามีชีวิตนิรันดร์

เราจะเห็นภาพว่าไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จเหมือนกับอาจารย์เปโตร อาจารย์เปาโลไปประกาศข่าวประเสริฐ บางที่ก็มีคนต้อนรับ บางที่ก็มีคนไล่ตี อาจารย์เปาโลก็ยังไม่เคยถอดใจ แต่จะประกาศพระนามของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่าอย่าไปกลัวพวกที่ฆ่าเราได้แต่กาย ร่างกายนี้ เราจะอยู่กี่ปี มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จริงๆ แล้ว พอเรารู้เรื่องราวของพระเจ้า ก็ไม่อยากอยู่นานหรอก ไม่อยากชีวิตยืนนาน ตอนนี้ถ้าใครมาอธิษฐาน ขอพระเจ้าอวยพรให้ชีวิตยืนยาว ไม่เอานะคะ  เพราะเรารู้ว่าชีวิตเรายิ่งยาวมากเท่าไร? เราก็ต้องลากยาวกับโลกใบนี้ ต้องดิ้นรน ต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค แต่ถ้าใครที่ถึงเวลากำหนด พระเจ้าเอาลมหายใจเขาออกจากร่าง คือเขาสบายเลย  เขาได้พักผ่อน แล้วเราทุกคน เราก็อยากได้แบบนั้นแหละ เมื่อถึงเวลา เราก็อยากพักผ่อน เราไม่อยากมีชีวิตยืนยาว แต่เราก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกำหนดให้แต่ละคนมีอายุเท่าไร? เราไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าถ้าพระเจ้าให้เรากลับบ้านเร็ว เราก็มีความสุข แต่ถ้าพระเจ้ายังไม่ให้เรากลับบ้าน เราก็ทำหน้าที่ของเราในชีวิตประจำวันให้ดีที่สุดเท่าที่พระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา แค่นั้นเอง

พระเยซูบอกว่าไม่ต้องไปกลัวหรอก คนที่ฆ่าเราได้แต่กาย แต่จงกลัวพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่จะฆ่าทั้งกายและวิญญาณได้ ถ้าเราไม่มีพระเจ้า ชีวิตเราจบเลย คืออยู่บนโลกใบนี้ อาจจะมีความสุขแค่ชั่วขณะหนึ่ง แต่หลังความตาย  มีอะไรเยอะแยะมากมาย มันยาวนานมาก  ที่พระเจ้าบอกว่านิรันดร์ ไม่มีจุดจบ

ถ้าเรามีพระเจ้า ร่างกายนี้เราอาจจะตายไป แต่เรามีความมั่นใจ มีหลักประกันว่าวิญญาณเรารอด เราได้มีความสุขนิรันดร์ หลังความตายอยู่กับพระเจ้า ถ้ามีคนเขาบังคับเรา

“ปฏิเสธพระเยซูนะ ไม่งั้นเธอตายแน่”

แล้วเราก็กลัวตาย เราขอปฏิเสธ ซึ่งพระเยซูบอก อันนั้นแหละ คือการตัดสินใจที่เรียกว่าขาดทุนย่อยยับเลยล่ะ แต่เรายังเชื่อสิ่งที่พระเจ้าบอกกับเราว่าแกะของเราจะฟังเสียงของเรา คนที่เป็นแกะของพระองค์ เมื่อถึงเวลาคับขันจริงๆ ที่เราต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะเอาชีวิต หรือเราจะเอาพระเยซู พระเจ้าจะให้กำลังเราเลือกพระเยซู เอเมน เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าในยุคปัจจุบัน ไม่น่าจะเจอ แต่ถ้าเจอจริงๆ พระเจ้าจะประทานพระคุณให้กับเรา

มัทธิว 10:29-31 “29 นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ  แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ  นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ 30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย  ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น 31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย     ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว”

 

อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงยกเอานกมาเปรียบเทียบว่านกกระจาบ ในยุคนั้น ราคาถูก ไม่กี่ตังค์เอง แต่ว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ ถ้าพระองค์ไม่เห็นชอบ ต่อให้นายพราน หรือพวกดักนกเก่งขนาดไหน? ก็ไม่สามารถจับนกได้ หรือยิงให้มันตายได้ พระเจ้าบอกอย่างนั้น

ฉะนั้น พระเยซูบอกว่าพวกท่าน ซึ่งพระองค์เลือกให้เป็นลูกของพระเจ้า ก็ประเสริฐกว่านกหลายตัว ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมาย เพราะว่าพระเจ้าเฝ้ามองเราอยู่ แล้วพระองค์อยู่ในเราด้วย คอยพาเราผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ … ในลูกา 12:2-9 จะเป็นเรื่องคล้ายๆ กัน แต่จะยกมาอ่านให้พี่น้องฟังว่าพระเจ้าพูดอะไร

ลูกา 12:2-9 “2 แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย  หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 3 เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืด  จะได้ยินในที่แจ้ง  และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัว  จะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน 4 “มิตรสหายของเราเอ๋ย  เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย  และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5 แต่เราจะเตือนให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด  จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตน  แล้วก็ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้  แท้จริง  เราบอกท่านว่าจงกลัวพระองค์นั้นแหละ

6 นกกระจาบห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ  และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย 7 ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น  อย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่า นกกระจาบหลายตัว 8 “และเราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์  บุตรมนุษย์ก็จะรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 9 แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์  เราจะไม่ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า”

 

เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องใกล้เคียงกันมาก แต่บันทึกโดยลูกากับมัทธิว พระเจ้าบอกผมทุกเส้นบนศีรษะของเรา พระเจ้านับไว้หมดเลย เป็นความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยละเลย

พี่น้องทุกวันนี้หวีผม ผมร่วงไหม? ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งร่วงเยอะ คนอายุเยอะ จะหัวล้านไปเรื่อยๆ เพราะว่าผมมันหลุดไปเรื่อยๆ สร้างผมใหม่ไม่ทัน แต่ว่าถ้ามันไม่ได้ร่วงเยอะ จนออกมาเป็นกระจุก เราก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร? ร่วงก็ร่วงไป วันนี้ร่วงไป 10 เส้น 20 เส้น เราก็โกยๆ ใส่ถังขยะไป แต่พระคัมภีร์เขียนว่าผมทุกเส้นพระองค์ทรงนับไว้ เล็งถึงความละเอียดอ่อนที่พระเจ้าไม่เคยทรงละเลย ในเรื่องเล็ก เรื่องน้อย เรื่องฝอยในชีวิตของเรา พระองค์ทรงดูแลเราอยู่

แล้วในข้อ 8-9 ที่บอกว่า … “เราบอกคนทั้งหลายว่าทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์” หมายถึงเราอยู่บนโลกใบนี้ เรายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราต้อนรับพระองค์เข้ามาในใจของเรา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับอย่างนี้ ถึงวันหนึ่งข้างหน้า ที่เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกว่ารู้จักเรา เพราะว่าเรารับพระองค์ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เราก็สามารถที่จะอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้านิรันดร์กาล ซึ่งวิญญาณเราตอนนี้ก็อยู่ที่สวรรค์แล้ว  แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้ เราก็สามารถเข้าสวรรค์ได้

“แต่ส่วนคนที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์” ก็คือคนที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ได้ฟังมาอย่างดีเลย เห็นว่าดีนะ แต่ไม่เอา ยังไม่สนใจพระเจ้า รู้สึกว่าตัวเองยังดีอยู่ ยังสามารถช่วยตัวเองได้ เราสามารถที่จะพัฒนาชีวิตของเราเองด้วยกำลัง ด้วยสติปัญญา ด้วยการกระทำของเรา เพื่อเราจะได้ส่ำสมบุญบารมีด้วยตัวของเราเอง เพื่อขึ้นสวรรค์ คนเหล่านั้นแหละ ถึงวันที่ลมหายใจเขาออกจากร่าง เขาจะเสียใจมากที่สุด เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหน? สามารถที่จะดีครบถ้วน 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แล้วเมื่อถึงวันนั้น พระเยซูก็จะบอกคนนั้นว่า … “เราไม่รู้จักเจ้า” ก็คือคนกลุ่มนี้จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า แล้วที่ที่คนกลุ่มนี้จะไป  คือนรกนิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 4

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้ก็จะมาบรรยายกันต่อถึงเรื่องสำคัญ เรื่องนี้แหละ ซีรีย์นี้ต้องเรียนอย่างละเอียดมาก เป็นเรื่องความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่สำคัญมากๆ ที่สุด สำคัญสำหรับชีวิตเราที่เชื่อแล้ว และสำคัญสำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วย คือข่าวดีจริงๆ ที่จะไปถึงเขา ก็คือเรื่องรอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ซึ่งเป็นคำถามที่เขาถามกันทั่วไป ไม่ว่าคนมาเชื่อแล้วก็ตาม หรือคนที่ไม่เชื่อยิ่งถามใหญ่เลย …

“เป็นคริสเตียนแล้วทำอะไรก็ได้หรือ?”

เราจะตอบเขาอย่างไร? คือข่าวดีนั้นเอง เราจะมาดูกันต่อ วันนี้เป็นตอนที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ มีคนเข้าใจผิดเยอะ และที่สำคัญเป็นการเข้าใจผิดที่ทำให้ข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ไปถึงมนุษย์ทั้งปวง มันผิดเพี้ยนไป เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้กันอย่างละเอียดลึกซึ้ง ต้องมาจูน มาปรับพื้นฐานความเชื่อกันใหม่ ตามถ้อยคำพระเจ้า

มาทบทวนนิดหนึ่งว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อกัน ที่เรารู้กัน รายละเอียดคืออะไร? ไม่อย่างนั้นมันก็จะทำให้เราไม่มั่นใจในการที่จะเล่า หรือดำเนินชีวิตให้สมกับผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว ก็คือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่ดีนั้นเอง ให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเรา เราจะมาทบทวนว่าในเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้อะไรกันไปแล้วบ้าง? ใน 3 ตอนที่ผ่านมานะครับ ก็คือ …

          ตอนที่ 1 สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีแล้ว ความประพฤติและการกระทำทุกอย่างไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณเลย แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น

          ตอนที่ 2 เน้นเรื่องอย่าดับพระวิญญาณ ทางเลือกและผลที่จะเกิดขึ้น ระหว่างทำตามพระวิญญาณกับดับพระวิญญาณ ซึ่งไม่เหมือนกัน

          ตอนที่ 3 คือกฎแห่งการหว่าน และการเก็บเกี่ยว ที่เราได้เรียนด้วยกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของสิ่งนั้น

          วันนี้ ตอนที่ 4 คือเราบังเกิดใหม่เป็นคนดีแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาป หรือทาสบาปอีกต่อไปแล้ว

แน่ใจไหม? เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นไปตามหัวข้อนี้จริงหรือไม่? เรามาติดตามกัน

ที่ผ่านมาเราได้เรียนกันไปแล้วว่าถึงแม้จะเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว หลายครั้งเรายังดำเนินชีวิตวนเวียนอยูกับการประพฤติไม่ดี หรือเรียกว่าประพฤติบาปอยู่เลย  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะคอยสอน คอยแนะนำ คอยตักเตือน ด้วยความทะนุถนอมค่อยๆ นำพาเรา สอนเรา ให้ประพฤติในสิ่งที่ดี  เพื่อให้สมกับธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีแต่ประพฤติดี เราได้เรียนรู้ตรงนี้ไปแล้ว

ซึ่งพระวิญญาณจะนำ จะสอนอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีคริสเตียนคนไหนที่สามารถทำดีได้ครบ 100% สักคนหนึ่ง หรือว่ามี? ไม่มีถูกไหม?  เราได้เรียนรู้แล้ว และทุกครั้งที่เราทำบาป หรือทำไม่ถูกต้อง หรือเรียกว่าไม่เชื่อฟังการนำของพระวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา  ก็จะทุกข์ใจ เสียใจ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก เราจะได้รับความทุกข์ เราได้รับความไม่ดีกลับเข้ามาในชีวิตเรา เราดื้อไง พระองค์ก็เสียใจ ทุกข์ใจ ไม่ตีเราเพิ่มหรอก พยายามจะช่วยเรา

เพราะเราหว่าน หรือเรากระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระวิญญาณสอน  เราหว่านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านลงไปในบาป เราก็ต้องเก็บเกี่ยวผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ออกมาในสิ่งที่ไม่ดี ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เรียกว่าพระพร แทนที่จะได้พระพร กลายเป็นได้คำสาปแช่งแทน พระเจ้าก็เสียใจ ซึ่งแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจก็ตาม และอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ตาม เราก็ต้องรับผลกรรม ที่ได้หว่าน ที่ไม่เชื่อฟัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เหมือนกัน

สรุปก็คือเชื่อข่าวดี ได้รับการบังเกิดใหม่ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ตลอดไปไม่มีการเปลี่ยนใดๆ เลย ไม่ว่าจะประพฤติตัวเช่นไรบนโลกใบนี้ก็ตาม จริงไหม? จริง แต่มันตอบยากนะ ตอนนี้ท่านตอบง่ายขึ้นแล้วนะ พระคัมภีร์บอกความจริงเรา อะไรบ้าง? ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท แต่ว่าพอความจริงอันนี้ออกมาปุ๊บ เราก็เกิดคำถามขึ้นในใจ ไม่ใช่เราคนเดียว พอบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เราจะประพฤติอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะในการเป็นลูกพระเจ้า เราก็รู้สึกในใจมันใช่หรือ? ถ้าเราไม่มีความจริง เราก็ไม่เป็นไท เราก็ไม่เป็นอิสระ เราก็จะตะขิดตะขวางในใจ ก็มันใช่ไหม? เป็นอย่างนั้นหรือ?  คนอื่นที่ไม่เชื่อพระเจ้า ที่อยู่รอบข้างเรา ยิ่งหนักกว่านั้นอีก พอเราไปพูดอย่างนี้ รับไม่ได้เลย …

“อะไร เป็นคริสเตียน จะทำอะไรก็ได้หรือ? ไปสวรรค์แน่นอนหรือ?”

ก็จะตั้งคำถามใส่เราเลย หรือว่าแม้เราจะตั้งคำถามในใจตัวเองก็ตาม คำถามก็คือ …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็ สนุกสนานในการทำชั่วได้สิ ก็ไม่ได้ต้องรับโทษแล้วสิ”

เคยคิดไหม? เล็กๆ ใช่ไหม?

สองตอนที่เราได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการดับพระวิญญาณ คือการไม่เชื่อพระเจ้า กับกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยวว่ามีทั้งหว่านทางบาป ก็ได้ หว่านทางพระวิญญาณก็ได้ อาจารย์เปาโลย้ำเตือน กับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว เรื่องพระคุณของพระเจ้า ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านได้มองเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในความสว่าง และการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาชีวิตในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกเดินตามฝั่งตรงข้าม ก็คือเลือกเดินไม่เชื่อพระเจ้า ดับพระวิญญาณอยู่หรือ? ซึ่งจะให้ผล คือความพินาศในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านยังจะเลือกในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามอีกหรือ? …

“ถ้าอย่างนั้นเป็นคริสเตียนก็สนุกสนานในการทำบาปอย่างนั้นหรือ?”

เปาโลก็ตอบคำถามนี้เลย ในโรม 6:1-11 นี่คือคำตอบคำถามที่เป็นหัวใจของคริสเตียนทุกคน ที่จะมีคนถาม โดยเฉพาะตัวเองถามตัวเอง และคนรอบข้างจะถามเราแน่นอน เราจะต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ

โรม 6:1-11 “1 เช่นนี้แล้ว เราจะว่าอย่างไร เราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ 2 อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ตายต่อบาปแล้ว เราจะดำเนินชีวิตในบาปต่อไป ได้อย่างไร  3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์  4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป 7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป 8 ถ้าเราตายกับพระคริสต์แล้ว  เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตกับพระองค์ด้วย 9 เพราะเรารู้ว่าในเมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายแล้ว พระองค์จะไม่มีวันตายอีก  ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 ที่พระองค์ทรงตายนั้น ทรงตายต่อบาปครั้งเดียวเป็นพอ แต่ที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น ทรงมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกัน จงถือว่าตัวท่านเอง ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”

 

“เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร?” … คําถามที่ควรจะถามเรา ก็คือเราควรจะทำบาปต่อไป เพื่อพระคุณจะได้มีมากยิ่งขึ้นหรือ?  ก็คือย้อนกลับมาที่คำถามเมื่อตะกี้ ที่คนจะถามเรา แล้วเราจะถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้น เป็นคริสเตียน ก็ทำบาปได้เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ? เป๊ะไหม? อาจารย์เปาโลก็เลยตอบ ก็คือพระเจ้าตอบเราว่าพอเรารู้แล้วว่าพระคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ให้เราบังเกิดใหม่ฟรีๆ โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของเราเลย ให้เราได้อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ตลอดไปเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรารู้แล้วอย่างนี้ ก็เลยทำบาปต่อไป เพื่อจะให้เห็นพระคุณพระเจ้าชัดเจนมากยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ? ใช่หรือ? แน่ใจอย่างนั้นหรือ? ข้อที่สองก็เลยตอบอย่างชัดเจน เน้นบอกว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”

คำว่า “อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย” มาจากภาษาอังกฤษคำว่า certainly not ซึ่งจริงๆ แล้ว ควรจะแปลได้ว่า “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน” ความคิดเราเปลี่ยนไปทันที พระเจ้าหรือเปาโลบอกว่า …

“มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน ที่ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้น ก็ทำบาปได้สิ เห็นพระคุณเยอะแยะ”

เราจะตอบว่า … “มันไม่เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน”

เพราะอะไร? มันไม่เป็นไปอย่างที่บอกมานั่นแหละ ที่พูดนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก พูดง่ายๆ

ท่านก็จะถาม คนข้างๆ ก็จะถาม เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร? มาดูกันต่อไป มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่สามารถทำบาปต่อไปอีกได้แล้ว ก็เพราะว่าเราได้ตายต่อบาป และจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? ในข้อพระคัมภีร์บอกไว้ เราได้ตายต่อบาปแล้ว ในที่นี้หมายถึงตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณของเรา ตัวตนของเราก่อนจะเชื่อพระเจ้า เราสกปรกขนาดไหน? เราเป็นบาป และเป็นทาสบาป ตอนนี้พอเราเชื่อพระเจ้า ตัวตนนั้น ตัวจริงๆ ของเราได้ตายไปแล้ว ตายต่อบาป ตัวบาปนั้นมันตายไปแล้ว เมื่อตายต่อบาปแล้ว ก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตในบาปได้อีกไงเล่า มันง่ายนิดเดียว เมื่อตายต่อบาปแล้ว มาอยู่ในชีวิตของพระเจ้าแล้ว มันก็ไม่ใช่อยู่ในบาปนั้น ไม่อยู่ในบาป แล้วจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปได้อย่างไร?

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้มันหมายถึงมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ความประพฤติ คำว่าดำเนินชีวิต ตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ มันหมายถึงพระเจ้ากำลังบอก เปาโลกำลังบอกว่าตัวเก่าท่านอยู่ในบาป ตอนนี้ท่านอยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระเจ้าแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไปแล้ว เพราะตัวเก่ามันตายไปแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น

พอพูดแบบนี้ หลายคนก็เริ่มงงเลย อ้าว! ถ้าอย่างนั้น แล้วที่บอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังทำบาปได้อยู่ ยังประพฤติชั่วได้อยู่ ความหมายว่าอย่างไร? ก็เราเรียนมาหยกๆ บอกคริสเตียนก็ยังทำชั่วอยู่ ไม่ได้ดำเนินชีวิตในบาปแล้ว แล้วทำชั่วอย่างไร?

ตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านๆ มา และปัจจุบันนี้ ยังมีคนสอนไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ ในบริบทนี้ จะมีคนสอนกันเยอะว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้วก็ตาม แต่เรายังอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นตัวตนเดิมอยู่ ยังมีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวตนเรา ตั้งใจ ค่อยๆ ฟัง  เราก็ยังคงสู้กันอยู่ในตัวเอง ระหว่างตัวตนเดิม ที่ยังเป็นบาปอยู่กับตัวตนใหม่ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ซึ่งการต่อสู้นี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสำคัญ เราจะให้อาหาร เราจะฟัง หรือให้น้ำหนักฝั่งไหนเยอะกว่ากัน ฝั่งนั้นก็ชนะ จะให้ฝั่งดำหรือขาว ทั้งขาวทั้งดำอยู่ในตัวของเรา นี่เขาสอนกันอย่างนี้

ซึ่งคำสอนหรือคำอธิบายอย่างนี้ ไม่ได้ตรงตามบริบทที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้  ซึ่งเรากำลังจะเรียนรู้กันต่อไป สำคัญมาก เพราะมันคือหัวใจของข่าวประเสริฐ ผลของข่าวประเสริฐ ก็ต้องตั้งใจ

อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร? ในข้อที่ 3 กับข้อที่ 4 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็แสดงว่ามีคนไม่รู้จริงๆ  เราทั้งปวงที่รับบัพิตศมา เรา ตรงนี้ หมายถึงคนที่เชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซู ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาในความตายนั้น

บัพติศมา แปลว่าฝังลง มุดลง จุ่มลงไปมิด เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ไปแล้ว

คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าภายในตัวเรา ที่เราเห็นอยู่นี้ มี 2 ตัวตน ที่ยังต่อสู้กันอยู่ ระหว่างฝั่งขาวกับฝั่งดำ ตัวตนที่เป็นฝั่งขาว ก็รู้กันอยู่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด และบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ตัวตนเก่าก็ยังอยู่อะไรอย่างนี้  ตีกันอยู่ คนที่เข้าใจแบบนี้อยู่ ก็เพราะว่าเขายังไม่ได้ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเรา ก็คือที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว  ตัวตนเดิมที่เป็นบาป ได้ตายไปจริงๆ แล้ว ตายไปแล้ว ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ในการบัพติศมาของพระเจ้า บัพติศมาเราลงไปในความตายของพระเยซูคริสต์ เราตายพร้อมพระองค์ไปแล้ว และเราคือตัวตนใหม่ ได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซู ก็เพราะเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในข่าวดี คือเชื่อในการตายของพระเยซู และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู พอเชื่อปุ๊บ เราก็ตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ เชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย? เชื่อ ถ้าเชื่อก็จริง ก็ต้องรู้ว่าเราก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์จริงๆ เราก็เป็นตัวใหม่จริงๆ แล้ว

ในข้อ 6 เปาโลจึงบอกอย่างนี้ว่า … เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา   ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาป คือกายบาปนั้น จะได้ถูกขจัดไป จะถูกทำให้สิ้นไป หมดไป สูญไป ตายไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  ไม่เป็นทาส ก็คือไม่ได้อยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ถูกครอบงำ หลุดออกมาแล้ว

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ซึมซับความจริงตรงนี้ เขาก็จะเป็นอิสระ เป็นไท เขาจะรู้ทันทีว่าตัวตนที่เป็นบาปของเขา ที่เป็นตัวตนคนบาปของเขา มันได้ตายไปแล้วจริงๆ  ถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่มีการเป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ได้อยู่ในบาปอีกต่อไป เพราะมันตายไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเขามีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้เดียวเท่านั้น เราก็คือเราเท่านั้น คือตัวตนที่ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เอเมน ในตัวเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่ มี 2 ตัวอยู่ในตัวเรา เราเป็นตัวเราคนเดียว

ก็จะถามต่อใช่ไหม … “อ้าว! แล้วถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเราไม่ได้เป็นทาสบาป ไม่ได้เป็นคนบาป ทำไมเราที่เป็นคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้ว ที่บอกสะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่”

แน่นอน ต้องมีคนถาม เขาก็ถามกันอย่างนี้แหละ ในอดีต 2000 ปีก่อน เขาก็ถามอย่างนี้ ตอนข่าวประเสริฐถูกประกาศใหม่ๆ เปาโลก็ตอบให้ เดี๋ยวมาฟังต่อไป มาหาคำตอบกันต่อไป ในโรม 6:12 ได้บอกว่า …

โรม 6:12 “เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของกายนั้น”

 

“เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปครอบครอง”

อยากจะบอกว่าตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า … เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครอง”

อย่าให้บาปครอบครอง อย่าให้บาปมันครอบครองนั้น มันต่างกันเยอะมากมากมหาศาล เพราะอย่าให้บาปครอบครอง รู้สึกตัวเราเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง มีศัตรู ถ้าอย่าให้บาปครอบครองเฉยๆ  ตัวเองเป็นศัตรูตัวเอง สู้กับตัวเอง แต่พอบอกอย่าให้มันครอบครอง เรามองแล้ว มันคือใคร?  มันคือไม่ใช่ตัวเราแน่นอน  เพราะฉะนั้น เราจะตั้งหลัก ตั้งการ์ดสู้กับเขาแล้ว เห็นไหมมันต่างกันตรงนี้

เหตุฉะนั้น อย่าให้บาปมันครอบครองกายที่ต้องตายของท่าน  ก็คือร่างกายนี้  ซึ่งทำให้ท่านต้องยอมทำตามความปรารถนาชั่วของมัน ของเก่าแปลว่าความปรารถนาชั่วของกาย กลับมาที่เราอีกแล้ว  ผิดไง ผิดนิดเดียว แต่มันมาหันความเข้าใจเลย  เห็นไหม? ความปรารถนาชั่วของมัน มันไม่ใช่ความปรารถนาชั่วของเรา ที่เกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เราอยากจะเหมือนพระเจ้าเลย เพราะธรรมชาติของเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราเป็นความดี เราอยากทำสิ่งที่ดีๆ  แต่มัน มันเดี๋ยวจะได้รู้มันคือใคร? แต่มันปรารถนาชั่ว จะพยายามบังคับเรา จะพยายามครอบครองเรา ให้ทำตามความปรารถนากิเลสตัณหาชั่วของมัน พอเราทำอะไรไม่ดี (โทษทีนะ) กูอีกแล้ว

“ฉันทำไมมันเลวอย่างนี้ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมฉันเลวอย่างนี้”

เห็นไหม? ศัตรูนั่งหัวเราะ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ ผมเชื่อว่าถ้าเผื่อความจริงนี้ได้ถูกประกาศออกไปมากๆ คนจะมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะ เหมือนในอดีต แล้วผมก็เชื่อว่าในอดีตคนที่มาเชื่อพระเจ้า เขาไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า เพราะว่าจะแสวงหาการอัศจรรย์ การหายโรค การเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เพราะส่วนใหญ่ที่อ่านดูในพระคัมภีร์ไม่ได้เจริญรุ่งเรือง ก็ยังขัดสนตามประสามนุษย์ธรรมดา ก็ยังเจ็บป่วยตามภาษามนุษย์ธรรมดา แม้กระทั่งอาจารย์เปาโลเองก็ตาม แต่อะไรทำให้เขามาเชื่อในข่าวดี อะไรให้เราแบกภาระหนัก แล้วมาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย แล้วเป็นสุข ก็คือเขาไม่ต้องมาต่อสู้กับตัวเองอีกแล้ว เขาไม่ต้องมานั่งดุด่าว่ากล่าวตัวเอง เขารู้แล้วว่าศัตรูคือใคร? พระเจ้านำพาเข้าไปหาศัตรูว่า …

“ลูกเอ่ย นี่ศัตรูเรา เป็นตัวนี้แหละ”

เพราะฉะนั้น ตัวตนที่แท้จริงของเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ไม่ได้เป็นคนบาปเลย แต่มันยังมีตัวบาปที่เป็นกาฝากเกาะอยู่ แอบอยู่ในชีวิต ในกายของเรานี่แหละ มันแอบอยู่ มันมีตัวตนจริงๆ มันเป็นกาฝาก มันคือพยาธิ ถ้าเราเทียบอย่างนี้ชัดเจน ท่านว่าตัวท่านเองกับพยาธิคนละคนหรือเปล่า? พยาธิคือตัวท่านไหม?  ไม่ใช่ แต่พยาธิอยู่ในตัวท่านหรือเปล่า? อยู่ในตัว เวลามันร้องหิวอาหารที่ท่านไม่อยากกิน แต่มันอยากกิน มันร้อง ท่านรู้ตัวไหม? ท่านไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่เห็นตัวพยาธิ ท่านก็ไม่รู้ตัว ถ้าท่านไม่ให้หมอตรวจ เขาไม่บอกท่าน ท่านก็ไม่รู้ตัวว่าที่ท่านหิว ท่านไม่ได้หิวหรอก ตัวที่หิวมัน คือตัวพยาธิที่อยู่ในตัว กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน

“เอ๊ะ! ทำไมฉันกินไม่อ้วนสักที”

อันนี้สมมติให้ฟัง พยาธิไม่ใช่ตัวท่าน แต่มันแอบอยู่ในท่าน เราจึงเรียกว่ากาฝาก บาปมันแอบอยู่ในตัวเรา เป็นกาฝาก ต้องเรียกมันว่ามัน จริงนะในพระคัมภีร์เรียกมันว่ามันจริงๆ ภาษาเดิม

เพราะฉะนั้น ถามว่าคนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่หรือ? เป็นไปได้ไหม? ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่เลย  กินมากมหาศาลเลย กินเท่าไร ก็ไม่อิ่มสักที กินเยอะแยะ สมมตินะ มีพยาธิอยู่ในตัว เมื่อเอาพยาธิออกไปจากตัว สมมติว่าฆ่าพยาธิ เราตายต่อพยาธิแล้ว เราก็กลับมาที่เดิม คล้ายๆ อย่างนั้น  คนที่ตายต่อบาปแล้ว ยังอยากทำบาปอยู่อีกหรือ? มันไม่ใช่เลย เป็นไปไม่ได้   แต่มันเป็นจากเจ้ากาฝากมันเกาะอยู่ เป็นตัวที่คอยกระตุ้นให้คริสเตียนทำตามมัน  กระตุ้น กระซิบ  แหย่  คำราม  ถ้าเชื่อมัน ก็ถูกกัดกิน มันจะคอยส่งเสียงกระตุ้น โน้มน้าว ให้เราทำตาม ซึ่งคือความปรารถนาชั่วอย่างเดียว เพราะมันเป็นบาป ทำบาปนั่นเอง

ปัญหา คือผู้เชื่อที่ยังไม่มั่นคงในพื้นฐานความจริงตรงนี้ เรื่องตัวตนที่แท้จริง ที่เกิดใหม่ ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของการตายต่อบาป  ตัวเก่าเราตายแล้ว บาปมันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว ถ้ายังไม่รู้เรื่องตรงนี้อาจจะยังไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจน ระหว่างเสียงของเจ้ากาฝากที่แอบอยู่ในตัวของเรา กับเสียงของตัวเอง ที่มาจากตัวตนแท้จริงของตัวเราเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราตลอดเวลา แยกแยะไม่ออก เราก็เลยนึกว่าเสียงกาฝากนั้น มันเป็นเสียงตัวเราที่ชั่วร้าย ในเมื่อพระวิญญาณบอกว่า …

“ไม่ใช่ เธอเป็นคนดี เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอไม่ได้ชั่วหรอก มันๆๆๆ ไม่ดี”

เราก็บอกว่า … “ฉันไม่ดี ฉันมันเลว”

ถูกไหม? เพราะในอดีตเราเคยเป็นอย่างนั้น ในอดีตเราเป็นทาสมัน  เรายอมมันทุกอย่าง มันก็ติดนิสัย เราก็กลัวมัน เราก็นึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น เหมือนเดิม แต่พระเจ้าบอก …

“ไม่ใช่ เจ้าเป็นลูกเราแล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว มันต่างหากที่ยังแอบเป็นกาฝากอยู่ เราเป็นอิสระจากมันแล้ว”

โรม 6:13-14 อธิบายต่อไป “13 อย่ายกส่วนต่างๆ  ในกายของท่าน ให้แก่บาป  เป็นเครื่องมือของความชั่วร้าย แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในกายของท่านแด่พระองค์ ให้เป็นเครื่องมือของความชอบธรรม 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ

 

เห็นไหมพอแปลเมื่อสักครู่ ข้อ 12 ถูกปุ๊บ รู้ว่ามีอะไรแอบอยู่ มีศัตรูเป็นใคร? พอมาอ่านต่อไป คราวนี้ โอ้โห ชัดมากเลยนะ

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกาย อวัยวะในร่างกายให้แก่มัน”

ก็คือบาป ชัด ตัวตนออกมา เห็นภาพเลย  อย่ายอมมัน พูดง่ายๆ  มันจะใช้ร่างกายเราไปด่าคนอื่น ไม่ยอม แต่ก่อนนี้ต้องยอม เพราะแต่ก่อนนี้เป็นทาสมัน ตัวตนแท้จริงของเรา คือบาป แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ไม่ต้องยอม

“อย่ายกส่วนต่างๆ ในร่างกายของท่านให้แก่มัน เป็นเครื่องมือของการทำชั่วร้าย แต่จงถวายตัวท่านเอง แด่พระเจ้า”

ก็คือให้พระเจ้านำ ให้พระวิญญาณนำ ไม่ดับพระวิญญาณดีกว่า พูดง่ายๆ

ข้อ 13 ตรงนี้ยังอยากจะอ่านอยู่นิดนึง “… แต่จงถวายตัวของท่านเองแด่พระเจ้า ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากตาย”

เห็นไหม? เป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า มาให้พระเจ้าใช้ดีกว่า  ในฐานะที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว และถวายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของท่าน แด่พระองค์ให้เป็นเครื่องมือของความดีงาม ชอบธรรม

ข้อ 14 บอกเพราะบาป มันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไปแล้ว มันไปแล้ว มันไม่ได้อยู่ในบ้านนี้แล้ว  บ้านนี้เจ้านายคือพระเยซูคริสต์ต่างหาก เพราะบาปมันไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ พระคุณนี้ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ท่านอยู่ใต้พระเยซูคริสต์ ไม่ได้อยู่ใต้บาป บัญญัติต่างๆ นี้ ก็คือเครื่องมือของบาป พระคุณ ก็คือเครื่องมือของพระเจ้า เครื่องมือของบาป ก็คือมาร เครื่องมือของพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ โดยพระคุณ ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ตกนรก โดยกฎ กฎ ก็คือมารนั่นเอง มาอ่านต่อไป ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

โรม 6:15-18 “15 เช่นนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด  ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น  ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้นอย่างสุดใจ 18 ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

 

ข้อที่ 15 บอกว่า … “เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาป เพราะเราไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย

ก็ต้องแปลว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน เราจะรู้แล้ว มันไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน รู้ว่าศัตรูของเราคือใคร? เรามั่นใจแล้วว่าตัวเราเอง เป็นคนดีขนาดไหน?  มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เช่นนี้แล้ว ก็คือย้อนกลับไปที่ข้อก่อนหน้านี้ ก็คือเปาโลได้อธิบายตั้งแต่บทที่ 6 ข้อ 1 มาแล้ว ที่ตะกี้นี้เราอ่านพร้อมกันว่าเราได้ตายต่อบาปแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว โดยการบัพติศมา วิญญาณเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน   ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์  เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย และได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมต่อติดสนิท เขาเรียกว่าสัมพันธ์สนิทมาก พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกาของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

และเรายังไปทำบาปได้เหรอ? ทำได้ไหม มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเห็นภาพ มันไม่ใช่ความปรารถนาแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานความปรารถนาเข้ามาในใจของเรา นี่แหละคือความปรารถนา

ความปรารถนา คือนมัสการพระเจ้า แปลว่ายอมสยบต่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า และเป็นทาสในลักษณะเป็นทาสของพระคุณ ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ที่เป็นทาสมาร มันกดขี่ข่มเหงเรา แต่มาเป็นทาสของพระเจ้า เขายกตัวอย่างให้เห็นว่าสมัยก่อนเป็นทาสมาร ถูกครอบงำยังไง ต้องเชื่อมันยังไง ถูกบังคับยังไง ตอนนี้มาเชื่อพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ไม่บังคับ แต่ดูแลเราด้วยความรักนิรันดร์ รักแบบอมตะ รักแบบไม่มีเงื่อนไข

นี่คือชัดเจน เราเป็นทาสของพระเจ้า อยู่ในพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจะไม่มีบาปอีกต่อไป ความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ก็จะไม่มีผลต่อความรอด ที่เรารอดโดยพระคุณนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีผลต่อชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว จากพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกที่เราได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่วันแรกที่เราได้ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณเรา จนถึงวันนี้ เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรที่คิดว่าเป็นบาปหรือไม่ดีมากขนาดไหนก็ตาม ถูกต้องไหม? ถูกต้อง ตอนนี้เราจะมั่นใจ กล้าตอบได้ว่าถูกต้อง  เพราะว่าทั้งหมดนั้นที่เราได้รับ เราได้รับมาจากการเกิดใหม่ เกิดมาเป็นคนดี  ไม่ใช่เราทำดี  เราเกิดมาเป็นคนดี  เราจึงทำดีทีหลัง แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราเป็นคนชั่ว เราก็ไม่ได้ทำชั่ว แล้วก็เป็นคนชั่ว  แต่เราเกิดมาเป็นคนชั่ว แล้วจึงทำชั่วทีหลัง เหมืนอกัน แต่คนละด้านเท่านั้นเอง

ในข้อที่ 15 เปาโลจึงสอนด้วยวิธีการตั้งคำถามว่าเมื่อท่านได้ทราบความจริงเช่นนี้แล้ว ท่านก็จะถามว่าผู้เชื่อทั้งหลาย จะอ้างพระคุณของพระเจ้า เป็นข้ออ้างในการทำบาปต่อไปหรือ? เหมือนหัวข้อที่เราได้ตั้งชื่อมาอย่างนั้นหรือ?  ซึ่งคำตอบ ก็คือมันไม่ใช่อย่างนั้น แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย ใครถามท่านตอนนี้ ท่านจะรู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้ เพราะมันไม่เป็นไปตามความจริง ตามธรรมชาติที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว มันถูกใส่ร้าย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะ …

“ฉันเกิดใหม่แล้ว ในพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นคนดีแล้ว”

ข้อที่ 16 … “ท่านไม่รู้หรือ? เมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น”

เห็นไหม? เป็นเหตุผลชัดเจนเลย คือเราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น ทำไมเขาใช้คำว่า “ทาส” รู้ไหม? วัฒนธรรมในสมัยนั้น การเป็นอยู่ของคนสมัยเมื่อ 2000 ปีก่อน ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ทาสเหมือนไม่มีชีวิต ชีวิตของทาสเป็นของนายเลยนะ ไม่ใช่เหมือนทาสปัจจุบัน ทาสเป็นเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง เหมือนกับตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้านี้เป็นของนาย นายจะเอาไปคว่ำทิ้ง เอาไปเผาทิ้ง เอาไปทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ทาสไม่มีชีวิต ชีวิตเขาเป็นของเจ้านายทุกอย่าง แม้กระทั่งร่างกายของเขา อย่างเช่นทาสที่เป็น ผู้หญิง เจ้านายจะสามารถนำไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีศีลธรรมอะไรก็ได้ ไปฆ่าให้ตายก็ไม่ผิด เพราะว่าเขาเป็นทาส เขาถึงใช้คำว่า “ทาส” ท่านจะได้ลึกซึ้ง พอพูดถึง “ทาส”

ในนี้บอกว่า … “เราเป็นทาสของใคร เราก็เชื่อฟังผู้นั้น”

ถ้าเราเป็นทาสของมาร ชีวิตเราขึ้นอยู่กับมารผู้เดียวเท่านั้น ชี้นกเป็นนก พูดอะไรเราต้องทำ  เพราะเราถูกบังคับ ถ้าเราเป็นทาสของพระเจ้า เราก็เชื่อฟังพระเจ้า เขาเลยเอามาเปรียบเทียบว่าเมื่อเราหลุด เป็นอิสระแล้ว แทนที่จะเป็นทาสมาร มามีชีวิตใหม่ในพระเจ้า เป็นทาสพระเจ้า ยกตัวอย่างให้เห็น แต่พระเจ้าไม่ได้ควบคุมชีวิตเรา เป็นแบบบังคับ ด้วยความชั่วร้าย ไม่ใช่ ด้วยความดี ด้วยพระคุณของพระองค์ รับเราเป็นลูก แต่ให้เราทั้งหลายเป็นเหมือนทาส ก็คือมอบชีวิตให้พระองค์ พระองค์เอาไปเลยๆ ยอมเป็นทาส แต่ทาสด้วยความรัก พอเข้าใจนะ

แล้วเราจะดูว่าเราเป็นทาสใคร? มันง่ายนิดเดียว ก็ดูที่เราเป็นทาสใครตอนนี้ พระคัมภีร์ในหนังสือโคโลสีบอกว่าพระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราอยู่ในความสว่าง เราไม่ได้อยู่ในความมืด เราอยู่ในความชอบธรรม เราไม่ได้อยู่ในความบาป พระเจ้าได้ย้ายเราออกมาแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ลูกมาร ไม่ใช่ทาสมารอีกต่อไป

ในข้อ 18 บอกว่า … “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมไปแล้ว ท่านได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความบาป มาสู่อาณาจักรของความชอบธรรมของพระเจ้า ได้ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดมาสู่อาณาจักรของความสว่าง”

ชัดไหม? ชัด ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของมาร ของอาดัมมาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้า ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป ชีวิตของท่านเป็นของพระเจ้า สมัยก่อนชีวิตของเราเป็นของมาร ซึ่งอาศัยความบาปเป็นเครื่องมือ

เป็นทาสของความชอบธรรม ก็คือเป็นทาสของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังพระวิญญาณ ไม่ดับพระวิญญาณอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลออกมาเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะนำเรา รวมความแล้ว เราบอกเชื่อพระเจ้า เชื่อพระวิญญาณ มันดูไม่เห็น เพราะเราบอกเชื่อๆ แต่สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือผลของพระวิญญาณ มันจะออกมาเป็นกลุ่มนี้แหละ เราไม่ได้ดับพระวิญญาณ และตอนที่เราดับพระวิญญาณ แล้วเราไปทำบาป ก็เพราะเราเผลอไปเชื่อมัน เชื่อปรสิต เชื่อกาฝากที่แอบอยู่ในตัวมันคอยกระซิบ กระตุ้นๆ เราเผลอหล่นลงไป  ทำตามมัน นั่นแหละคือดับวิญญาณ ไม่ทำตามพระเจ้า ที่เราเรียกว่าล้มลง ในการทำบาป เป็นคริสเตียน แล้วทำบาป มันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วใช่ตัวเราทำไหม? มันดูเหมือนตัวเราทำ  สาเหตุต้นเหตุ คือใคร? เราทำจริง แต่ใครเป็นคนจ้างเราทำ ตัวจ้างเรา ตัวต้นเหตุ เราไม่อยากทำหรอก แต่มันกระตุ้นเรา แล้วเราเผลอปุ๊บ หล่นลงไปเชื่อมัน ผลของพระวิญญาณที่บังเกิดขึ้น ในตอนที่เราเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะมองเห็นได้ ก็อย่างเช่นในกาลาเทีย 5:25 ที่บอกว่า  …

“ในเมื่อเราได้เกิดใหม่แล้ว มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

เราเป็นลูกพระเจ้า และพระเจ้าจะบอกเราให้เราเดินตามพระวิญญาณ ผู้ใดดำเนินตามพระวิญญาณ ก็จะสะท้อนออกมาถึงลักษณะนิสัยของพระวิญญาณออกมาจากตัวของเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเป็นความรัก ความชื่นชมยินดี ความอดทน ความเมตตา ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเองได้ สิ่งเหล่านี้จะออกมาจากตัวเรา เมื่อเราอยู่ในกลุ่มนี้เมื่อไร? เราจะรู้ว่าเรากำลังเป็นตัวตนแท้จริงของเรา

ซึ่งถามจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ ผลพระวิญญาณตอนนี้ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในกฎหรือไม่กฎ ไม่มีกฎข้อใดห้ามเลย  เป็นเอกฉันท์ เขาเรียกว่าความดี ถูกไหม? อยากถามว่าทั้งกลุ่มนี้เขาเรียกว่าอะไร? ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความเมตตา ความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง ทั้งหมดนี้ เขาเรียกว่าความดี และทั้งหมดนี้คือตัวท่าน

ทั้งหมดนี้เป็นผลที่อยู่ในตัวท่าน เมื่อท่านสะท้อนออกมาจากตัวท่าน นี่แหละสมกับเป็นลูกพระเจ้า ของแท้ คือของดี เพราะฉะนั้นถามตัวท่านเป็นคนดีไหม? ก็คือคนดีสิ แต่คนดี ซึ่งเผลอไปประพฤติชั่ว เพราะว่าถูกมารมันกระตุ้น หลอกเรา ให้เราไปเชื่อมัน พอเชื่อมัน เราก็มอบอวัยวะในร่างกายเรา เหมือนที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็น เราก็มอบมือไม้ จมูก หู กาย ความคิดของเราให้กับมัน พอมันกระตุ้น เราไปมอบให้มัน แทนที่จะรัก เราเก็เลยเกลียด  เพราะมารและบาป อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต้องการให้เราทำอะไรก็ตาม ที่มันตรงข้ามกับในใจของเรา ถ้าเราทำตามมัน เราก็กำลังดับพระวิญญาณ แทนที่จะสะท้อนความชื่นชมยินดีออกมา ก็สะท้อนความโศกเศร้า เสียใจ ความโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคืองออกมา แทนที่จะสะท้อนสันติสุขออกมา ก็สะท้อนความวิตกกังวล แทนที่จะสะท้อนความอดทน ก็อดทนไม่ได้ โมโห จะเอาเดี๋ยวนี้ จะเห็นแก่ตัว แทนที่สะท้อนความเมตตา ก็จะชอบความรุนแรง อะไรที่เป็นความรุนแรง ก้าวร้าว ทำมันหมดทุกอย่าง

ทั้งหมดเหล่านี้คือตรงกันข้ามกับผลของพระวิญญาณ คือสิ่งที่มารต้องการกระทำ ให้เป็นศัตรูกับพระเจ้า และกระตุ้นเรา ส่งเสียงคำราม บอก กล่อมเกลา พยายามที่จะมีอำนาจอยู่เหนือเรา  ทั้งๆที่ไม่มีแล้ว แต่พยายามนึกว่าตัวเอง มันมีๆ มันพยายามๆ และถ้าเราหลงไปตามมัน ไม่พอ พอตามมัน เสร็จปุ๊บ มันยังซ้ำเติมเรา เพราะมันเป็นศัตรู …

“แกเป็นคนทำ เพราะฉะนั้น แกมันเลว แกเป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร แกยังทำอย่างนี้อยู่เลย”

พอเห็นอะไรไหม ตำราพิชัยสงคราม ถ้ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เรารู้ว่าตัวมันแอบอยู่ ไม่งั้นมันหลอกเรา หาว่าเราเป็นศัตรูกับพระเจ้าเอง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว มันบอกว่าเราเป็น ทำไมเราเป็น ก็เรายังคงทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าบอก …

“แกมันเลว แกเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร? แกทำบาปอยู่”

แต่พอเราเห็นภาพชัดเจน เรารู้ความจริง

“ฉันไม่ได้เป็นคนทำ แกเป็นคนมากระตุ้น เป็นคนมาหลอกฉัน ล่อลวงฉัน ให้ฉันเป็นศัตรูกับพ่อของฉัน ให้ฉันคิดจะทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพ่อฉัน”

นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่ทำให้คริสเตียนเป็นไท หรือคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ยิ่งเป็นไทใหญ่เลย  คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ยิ่งเป็นไทใหญ่เลยว่า …

“สิ่งที่ฉันทำลงไปต่างๆ เหล่านั้น ฉันมีโอกาสเป็นอิสระจากมัน เพราะว่าพระเจ้า ประทานพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต่อไปนี้ ฉันสามารถที่จะไม่ต้องพึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว ที่จะเอาชนะตัวบาปนี้  แต่ให้พระเยซูคริสต์มาช่วยฉัน ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ ชนะบาปได้ โดยวิธีนี้ คือเกิดใหม่”

เพราะฉะนั้น ท่านตอบคำถามนี้ได้แล้วใช่ไหมว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ไม่ต้องอาศัยความประพฤติ เพราะฉะนั้น ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ท่านตอบได้แล้ว ท่านชัดเจนแล้ว จาก 4 ตอน ตอบได้แล้ว ท่านก็จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข สันติสุข อย่าลืมนะว่าเราเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า ว่ากันตามตรงแล้ว มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ จะเชื่อข่าวดีหรือไม่เชื่อ เป็นฝ่ายพระเจ้าทั้งนั้น แต่ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว ยิ่งเป็นฝ่ายของพระเจ้ามากใหญ่ โดยธรรมชาติด้วย ไม่ใช่โดยความอยากอย่างเดียว ถ้ามนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ต้องการทำความดี นั่นแหละเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้า แต่เขาไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเขาอยู่ฝ่ายพระเจ้าก็จริง แต่ยังเป็นนักโทษ อยู่ในมือของศัตรูอยู่ อยู่ในมือของมารอยู่ พระเจ้าต้องช่วยเขาออกมาก่อน จากการเป็นทาส เป็นนักโทษ จากคุกของมารก่อน ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ทำบาป แล้วมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ฉันทำบาป มีความสุข”

ไม่มีแม้แม้แต่คนเดียวเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่อยากจะทำบาป  แต่ที่เขาทำ เพราะเขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเขาอยู่ในอำนาจ อยู่ในคุก เป็นนักโทษ เป็นทาสของบาป  บังคับเลย ไม่มีสิทธิ์เงยหัวเลย  ซึ่งอาจารย์เปาโลพูดไว้ในหนังสือโรม บอกว่า …

“สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ต้องทำ”

ก็คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเป็นอย่างนี้ อยากทำดีไหม? อยากจะตาย  เพราะจิตสำนึก พระเจ้าเขียนเอาไว้แล้วในใจของคนว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้ ทำบาป อยากทำไหม? ไม่อยาก แต่ต้องทำ เพราะมันนั่นแหละ เพราะเราเป็นทาสมัน

อาจารย์เปาโลบอก ตอนที่อาจารย์เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่น่าสมเพช ยกตัวอย่างตัวเองแทนคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย  อาจารย์เปาโลพูดไว้อย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย เหมือนกับแก ตอนที่แกยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็เป็นอย่างนั้นแหละ คือ …

“ข้าพเจ้าน่าสมเพชขนาดไหน? สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำมากๆ เลย ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำเลย ข้าพเจ้าไม่อยากรังแก ข่มเหงคริสเตียน ผู้เชื่อ ไม่อยากจะฆ่าเขาตาย แต่ข้าพเจ้าก็ต้องทำ เพราะถูกมันบังคับ ข้าพเจ้าไม่อยากโกรธ ข้าพเจ้าก็โกรธ”

เหมือนไหม? เหมือนเราในอดีตไหม? อาจารย์เปาโลบอก …

“แต่ขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวนี้ มารู้จักพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้า วิญญาณทั้งหมดเป็นของพระเจ้าแล้ว ทั้งตัวตน ทั้งชีวิตเป็นของพระเจ้า พระเจ้าก็ใช้ในทางชอบธรรม ในทางดีงามทั้งนั้น”

เพราะฉะนั้น ไม่มีคนไหนหรอก อย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว รอดโดยพระคุณแล้ว และจะทำบาปอะไรก็ได้  อย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครอยากทำหรอก แล้วก็ทำไม่ได้ ตามที่เราเรียนแล้ว

คำถามนี้สามารถถามคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็ไม่อยากทำหรอก อ๋อ! เป็นคริสเตียนแล้วอยากทำบาป ไม่อยากทำ แต่ที่ทำ เพราะมันเลิกไม่ได้ มันถูกควบคุมอยู่ เหมือนคนติดยา ก็เป็นทาสยา คนติดยาบ้า ก็เป็นทาสยาบ้า คนติดยาเสพติดเฮโรอีน ก็เป็นทาสเฮโรอีน เขาอยากหรือ?  เขาไม่อยาก แต่เขาติดแล้ว มันทำไง อยากจะเลิก ก็เลิกไม่ได้ เหมือนกัน ฉันใดฉันนั้น แต่เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เรารู้แล้วว่ายาเสพติดนั่นมันคืออะไร? เรารู้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน? มันไม่ใช่ตัวเรา

อยากบอกพี่น้องที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่ได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ว่าสิ่งนี้ ที่เราได้เรียนรู้กันมา มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนา ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม พูดตรงๆ แล้ว มันไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไหม? ก็เห็นชัดๆ บอกว่ารอด โดยพระคุณ รอดจากความบาป  รอดจากการเป็นนักโทษในความบาป รอดจากการทำชั่วต่างๆ พลังอำนาจความชั่วต่างๆ รอดโดย ไม่ใช่การกระทำที่ตัวเองไปสู้กับมัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่ารอดด้วยความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ คือโดยพระคุณ พระเจ้าประทานฤทธิ์เดชอำนาจ  ประทานพระเยซูคริสต์ให้ฟรีๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ชีวิตท่านก็จะเปลี่ยนใหม่ คือได้บังเกิดใหม่

และการบังเกิดใหม่ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษของความบาป เป็นนักโทษของมาร เป็นนักโทษที่มันจะบงการให้ท่านทำสิ่งที่ชั่วร้าย ท่านจะได้ไม่ต้องทำตามมัน ท่านจะได้ทำตามใจปรารถนาของท่าน ที่ท่านอยากจะทำ ท่านจะได้ทำแล้วตอนนี้  เพราะพระเจ้าจะเป็นกำลังให้กับท่าน พระเยซูคริสต์จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน พระวิญญาณจะนำท่าน เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ท่านแค่เชื่อในข่าวดีนี้  นี่เรียกว่าข่าวดี มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพื่อเขาจะได้มีอิสรภาพ เพราะพระเจ้าทรงรักพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนอย่างเดียว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รักดังแก้วตาดวงใจของพระองค์ อยากให้ทุกคนเข้ามา ติดสนิทอยู่กับพระองค์ เป็นอิสระ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก และสามารถดูแลเราได้ตลอดไป พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อบรรยายในวันนี้ “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 3 เรายังอยู่กันที่หัวข้อเรื่องเดิมนะ ซึ่งต้องละเอียดหน่อยข้อนี้  สมมติมีคนมาถามเรา รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  เราจะได้รู้ เข้าใจถึงถ้อยคำพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระองค์ เราจะได้ตอบเขาได้ว่ามันเป็นอย่างไร?

เราย้ำกันไป 2 ตอนแล้วนะว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีผลใดๆ ต่อความรอดทางวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราอย่างนี้แน่นอน

คำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ยังคงมีอยู่ และจะมีผลต่อผู้ที่เชื่อ ผู้ที่เป็นคริสเตียน หรือผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียน  เชื่อหรือไม่เชื่อข่าวประเสริฐ ก็ยังมีผลอยู่ ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่เป็นผลของการเก็บเกี่ยว การเกิดขึ้น เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับผลทางด้านวิญญาณ หลังความตายเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือข่าวดีของพระเจ้า นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า

นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา  สอนเราว่าการกระทำบนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวข้องกันกับโลกภายหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่าถ้าคิดถึงโลกภายหน้า เกิดผลได้อย่างเดียว คือเกิดมาเป็น พระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็บาปแล้ว

ผลของการทำความชั่วของโลกใบนี้ ก็คือผลของความบาปที่เกิดมาเป็น เพราะฉะนั้น จะแก้ไข ก็ต้องไปแก้ที่ต้นตอ จะหายจากบาปได้ ก็ต้องไปเกิดใหม่ซะ เพราะฉะนั้น การกระทำบนโลกใบนี้ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็สำคัญอยู่ เพราะเราเรียนรู้อยู่ว่ามันสำคัญอย่างไร?

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ในประเด็นที่ว่าการดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอยู่ 2 ทางให้เลือกเท่านั้น …

ทางหนึ่ง คือวางใจในพระเจ้า

อีกทางหนึ่งคือวางใจในระบบของโลกนี้  แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้  แล้วจะอยู่ไปตลอดกาล ก็ตาม

ก็มี 2 ทางเลือกให้เราบนโลกใบนี้ว่าจะเอาเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อตัวเอง

เราสามารถที่จะเลือกเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ได้ผล คือพระพรของพระเจ้า หรือจะ เลือกเชื่อระบบของโลกนี้ ที่พระคัมภีร์เรียกว่ากิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง แล้วก็ได้รับโทษ ไม่ได้รับประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามีสิทธิ์เลือกได้ทั้งสองอย่าง

(1) เชื่อพระเจ้าและทำตามพระวิญญาณ

(2) ไม่เชื่อ ทำตามระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ต้องเน้นตรงนี้ แล้วเดี๋ยวค่อยๆ เรียนรู้ไป “มัน” แสดงว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว มันมีอิทธิพลอยู่ มันแอบอยู่ ถ้าเราทำตามมัน เราก็จะได้รับโทษในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเน้นตรงนี้  เดี๋ยวคิดว่าได้รับโทษ ชีวิตหลังความตาย ไม่ใช่นะ

แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม จะเชื่อพระเจ้าตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือไม่เชื่อก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงรักเราอย่างแก้วตาดวงใจ และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์อย่างนี้ตลอดไป และพระองค์ก็อยู่ฝ่ายเรา อยู่ข้างเรา  คอยประคับประคอง ช่วยเรา  ถ้าเราเลือกผิดทาง ก็ประคับประคอง ช่วยเราให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้มีความสุข เท่าที่จะสามารถทำได้

เพราะฉะนั้น ต้องจำไว้เลยว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ในความเชื่อ ในการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนเท่านั้น เราจึงจะได้รับความรอดจากบาป  สามารถเกิดใหม่และมาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บริสุทธิ์สะอาด และจะเป็นอยู่อย่างนี้กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม ผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ ซึ่งจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นคนฟัง อย่างที่บอก ตามเหตุผลของมนุษย์แล้วไม่อยากจะเชื่ออย่างนี้เลย มันไม่มีเหตุผล ทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร? คิดอย่างนั้นหรือ? ทำไม่ดี ก็ไม่ได้ดีสิ แต่ไม่ได้ดีเฉพาะบนโลกใบนี้นะ จึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด

วันนี้เราก็จะมาย้ำกันอีกครั้ง ที่คำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกว่าอย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน สมควรที่จะรับรู้ และเตือนสติตนเองในโลกใบนี้ว่าอย่าดับไฟพระวิญญาณ เราได้เรียนรู้มา 2 ครั้งแล้ว คือไม่เชื่อฟังพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์ให้แนวทางไว้ด้วยว่าถ้าไม่อยากดับพระวิญญาณ  ไม่อยากจะเป็นเด็กดื้อต่อพระเจ้า เราควรทำตามนี้ คือในหนังสือ 1 เธสะโลนิกา 5:16-22 อธิบายไว้ชัดเจนเลย

1 เธสะโลนิกา 5:16-22  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

 

สังเกตดูนะ ตั้งแต่ข้อ 16-18 เป็นช่วงหนึ่ง และข้อ 19 เป็นอีกช่วงหนึ่ง ในข้อ 16-18 ได้บอกไว้ว่าให้เราทำการชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน  สิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว จากการกระทำของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปให้กับเรา การเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลาย ที่ไม้กางเขนนั้น เพื่อให้เราระลึกถึง จดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจถึงเบื้องบน คือหมายถึงตรงนี้ โคโลสี 3:1-4 หมายถึงตรงนี้ เพราะฉะนั้นพี่น้องจงจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ Set your mind คือตั้งความคิด จดจ่อไปที่เบื้องบน มันหมายถึงตรงนี้

เบื้องบน คือในที่โลกวิญญาณ ที่ดีกว่าโลกเนื้อหนัง ระบบของโลกวัตถุนี้   ที่พระเยซูคริสต์ได้มีชัยชนะ เพื่อเราทั้งหลาย เรียบร้อยไปแล้ว ที่โลกวิญญาณนี่แหละ ที่เราจดจ่อ ก็คือสถานที่ที่เรียกว่าสวรรค์ หรือในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ให้เราจดจ่อตรงนี้ ให้เรานับพระพรที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์สถานตรงนี้ ให้เรียบร้อยแล้ว ให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ แล้วมันเกิดความชื่นชมยินดีในจิตใจเสมอๆ ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว มันถึงชื่นชมยินดีได้ ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ อธิษฐานกับพระเจ้าอยู่เสมอได้อย่างไร? ก็เพราะวิญญาณเรากับวิญญาณพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ คิดอย่างนี้ จดจ่อเรื่องนี้ตลอดเวลา มันก็ชื่นชมยินดีได้ตลอดเวลา สามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้  คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์กับพระคริสต์ ผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ก็คือเราทั้งหลาย

เห็นไหมครับ? ถ้าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงสิ่งเหล่านี้ ข้อที่ 19 ก็ทำได้ง่ายขึ้น  เราก็ไม่ดับไฟแห่งพระวิญญาณ เห็นหรือยัง? ใครไม่อยากดับพระวิญญาณ ก็ต้องสนใจ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจรับรู้ตลอดเวลาว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว มันคืออะไร?  ไปศึกษา ไปดูแล ไปจดจ่อ ดูบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เห็นตัวเองบ่อยๆ ในพระเยซูคริสต์ มันก็จะดับไฟพระวิญญาณน้อยลงเท่านั้น ชัดเจน  ถ้าไม่ทำอย่างนั้น โอกาสดับไฟพระวิญญาณ  ก็มีเยอะ ซึ่งทำให้พระองค์เสียใจ และทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เกินกว่าเท่าที่เราจะเป็น ที่จะต้องได้รับบนโลกใบนี้

ข้อ 20 บอกว่า “อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ” หลายคนเอาไปใช้ แบบผิดๆ บางคนพยายามเป็นหมอดูคริสเตียน เที่ยวไปบอกชาวบ้านถึงอนาคตว่าคุณจะเป็นอย่างนั้น คุณจะเป็นอย่างนี้ ยกตัวอย่าง

“พระเจ้าบอกคุณให้แต่งงานกับผม” อย่างนี้ บอกล่วงหน้า

“พระเจ้าบอกคุณให้ไปอย่างโน้นอย่างนี้” อะไรต่างๆ เหล่านั้น

“แล้วทำไมพระเจ้าไม่บอกคนๆ นั้นเอง”

“ไม่ได้ เรา ฉัน ผมเป็นผู้เผยพระวจนะ”

เผยพระวจนะตรงนี้ไม่ได้หมายถึงการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าการเผยพระวจนะทั้งหมด มาเผยพระวจนะทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์คือคำเผยพระวจนะทั้งหมด เพราะฉะนั้น อ่านพระคัมภีร์ คำสอนต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องในพระเยซูคริสต์ บัญญัติใหม่ พันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? นั่นแหละ คือคำเผยพระวจนะ และเผยเรียบร้อยแล้ว เขียนในพระคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็มีครูเอย อาจารย์เอยมาเทศนา สั่งสอน มาบอกเล่าถึงถ้อยคำพระเจ้าเหล่านั้น แล้วเราได้ยิน “อย่าลบหลู่” ก็คืออย่าดื้อนั่นเอง  อย่าดับไฟพระวิญญาณ  ยกตัวอย่างบางทีเรามาคริสตจักรได้ยินคำเผยพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางผู้เทศนา

ผู้เทศนาบอกว่าเราควรให้อภัย อย่าโกรธเลย เผอิญตอนนั้น เรากำลังโกรธใครอยู่? เขาทำอะไรให้เราไม่ดี นี่แหละคือคำเผยพระวจนะมา แล้วอย่าลบหลู่ คืออย่าเพิกเฉย ให้เชื่อฟัง อย่าดับพระวิญญาณ เชื่อฟังซะ ตัดสินใจที่จะให้อภัยตามที่พระเจ้าสอนเรา เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นผลดี เป็นพรกับตัวเอง  อย่างนี้เป็นต้น

แล้วทั้งหมดนั้น ทำไปเพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี “ทดสอบทุกสิ่ง” คืออะไร? พระวิญญาณจะนำเรา  ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณจะนำเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย  เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเรา  ให้เรารู้จักว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรเป็นพร สำหรับชีวิตเรา อะไรเป็นโทษสำหรับชีวิตเรา  ให้เราเข้าไปมีประสบการณ์ทดสอบ ให้เรามีประสบการณ์กับพระวิญญาณ ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่พระวิญญาณนำพาเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ทีละอย่างๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องความโลภ เราจะได้รับการนำจากพระเจ้า เช่นเราไปถูกเขาโกงมา เขาเอาเปรียบเรา  เราไปเชื่อเขา  เราถูกหลอก  ถูกโกง เราก็มาโอดครวญกับพระเจ้า …

“พระเจ้า คนนั้นเขาเอาเปรียบเราอย่างนั้น”

พระวิญญาณก็จะนำเรา ปลอบโยนจิตใจเรา ที่เราสูญเสีย เสียหายไปอะไรต่างๆ ปลอบโยนจิตใจเราในขั้นแรก  ก็คือให้อภัยเขาเถอะ แล้วก็อาจจะบอกเราว่าทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ เป็นของพระเจ้า  ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าพระองค์จะให้ พระองค์ก็ให้เอง แสวงหาพระเจ้าดีกว่า ยึดมั่นในสันติสุข ให้อภัยเขาเถิด จบแค่นี้

เราทำได้ไหม? ทำได้ แต่ตอนที่เราทำนั้น เราอาจจะเชื่อพระเจ้ามาแค่ 1 ปี สมมติต่อไปพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเราอีก สอนเราเรื่องนี้  แต่สอนเราละเอียดขึ้น เพราะเราโตขึ้น อย่างนี้ อนาคตเราก็รู้จักการให้อภัย แล้วก็ฉลาดขึ้น ในการไม่ถูกหลอกลวง ปรากฏครั้งต่อไปเราก็โดนอีก ลักษณะเดียวกันอย่างนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราเพิ่มเติม ปลอบโยนเรา เราให้อภัยได้แล้ว ก็จะเริ่มสอนเราบอกว่าที่เราถูกเขาโกง  ที่เราถูกเขาเอาเปรียบนั้น ที่เรากล่าวโทษเขาว่าเขามาโกงเรา  พระวิญญาณเริ่มสอนเราสูงขึ้นว่า …

“เพราะตัวเจ้าเองนั้นแหละ อนุญาตให้เขาโกง เพราะความโลภอยู่ในใจของเจ้า ความโลภทำให้เจ้าเปิดประตู ทำให้เขาเข้ามาได้ ถ้าเจ้าไม่โลภ เจ้าก็ไม่โดนโกงหรอก”

อย่างนี้เป็นต้น เห็นไหม? ละเอียดขึ้นไหม? ละเอียดขึ้น นี่ทดสอบทุกสิ่ง ยึดมั่นในสิ่งที่ดี  พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว เริ่มโตขึ้น  พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราถูกทดลอง ในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลองให้เกิดความทุกข์ยาก เพราะกิเลสตัณหาของเนื้อหนังของท่านเอง ท่านอยากได้เอง เห็นไหม? แต่แรกๆ พระวิญญาณยังไม่สอนตรงนั้นหรอก เพราะเรายังเล็กอยู่ ยังไม่โตพอ เอาระดับหนึ่งก่อน เราก็จะได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าโลภ ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้น และถ้ายังมีเวลาอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ พระวิญญาณก็จะสอนเราอย่างละเอียดขึ้น นี่เรื่องโลภเรื่องเดียว ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายในชีวิตของคนเราเลย เรื่องความรัก เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการติดต่อกับบรรดาผู้คน เรื่องนิสัยใจคอ มันจะละเอียดขึ้น

นี่แหละความหมายของคำว่า “จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” เห็นไหม? ฉันเอง แทนที่จะไปกล่าวโทษเขา กลายเป็นอภัยให้เขา  ตอนนี้ไม่กล่าวโทษเขาเลย พอโดนโกง โดนเอาเปรียบปุ๊บ นึกถึงตัวเองเลยว่า

“ฉันไปทำอะไร?”

เห็นไหม แทนที่จะกล่าวโทษเขา

“ฉันไปเปิดประตูเอง ฉันยังโลภอยู่” อย่างนี้เป็นต้น

เขาเรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักแท้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สอน จงหลีกห่างจากความชั่วทุกชนิด เห็นไหม? พอเรารู้ปุ๊บ เราก็หลีกห่าง นี่เฉพาะยกตัวอย่างเรื่องเดียว  เรื่องอื่นๆ ท่านสามารถเอาไปใช้ได้

เพราะฉะนั้น เราก็จดจำประสบการณ์เหล่านี้ไว้ เป็นตัวสอนเราว่าพระวิญญาณสอนเราอะไรบ้าง ต่างๆ เหล่านั้น สอนเราแล้ว เราหายทุกข์ใจ พอหายทุกข์ใจ เราอภัยได้ แล้วทำไม?

“เราไม่ดีเอง เราสมควรแก้ไข”

แล้วก็ไม่ใช่ซึมเศร้าอยู่ตรงนั้น … “ฉันไม่ดีเอง ฉันถูกเขาโกง เพราะว่าฉันโลภ พระวิญญาณสอนแล้วก็ไม่จำ”

ไม่ใช่ พอรู้แล้ว จดจำแล้วว่าอะไรดีปุ๊บ จำไว้ แล้วทำอย่างไร? กลับไปทำข้อ 16-18 เหมือนเดิม กลับไปชื่นชมยินดีใหม่อีกทีหนึ่ง เหมือนเดิม ชื่นชมยินดีในสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่พระเยซู ที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้วนั้น ฉันเชื่อแล้ว ฉันได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว กลับไปที่เบื้องบน ชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี หมั่นอธิษฐานอยู่เสมอๆ ตลอดเวลา คุยกับพระเจ้าหนุงหนิงๆ ไป เห็นไหม? กลับมาอยู่ที่เดิม มันจะมีวันคืนที่พระวิญญาณเริ่มสอนเราอย่างนี้ เราก็กลับมายืนอยู่ตรงนี้ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่ามันมีสองทางให้เราเลือกเท่านั้นเอง คือเลือกที่จะเชื่อในพระวิญญาณ หรือดับพระวิญญาณ  แต่ไม่ว่าจะเชื่อพระวิญญาณ หรือไม่เชื่อก็ตาม เราก็มีความสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เมื่อเรากลับเข้ามาสู่ความรับรู้ในตัวตนจริงๆ ของเราในพระวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเลือกที่จะเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็ได้รับสิ่งที่เป็นพระพร ถ้าเราไม่เชื่อ เราดับไฟพระวิญญาณ  เราก็ได้ทุกข์ แต่มันเป็นทุกข์ชั่วคราวเอง เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เราอยู่ในสวรรค์แล้วเท่านั้นเอง

เลือกที่จะเชื่อตามพระวิญญาณ ก็ได้รับผลดี เป็นพรตามมา เลือกที่จะดับพระวิญญาณ และกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ได้รับความชั่วร้าย  เป็นผลตามมา เป็นกฎ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ด้วย แม้เราได้รับการอภัยในการกระทำบาปผิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ตาม แต่เราก็ได้รับผลร้าย จากการไม่เชื่อฟัง และทำให้พระเจ้าทุกข์ใจอีกต่างหาก เราทุกข์ พระเจ้าทุกข์ด้วย พูดง่ายๆ เราดับพระวิญญาณ เราได้รับความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าทุกข์ด้วย  เสียใจด้วย ไม่ได้โกรธแค้นอะไรเราเลย

เพราะฉะนั้น เมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการใช้เรา ก็คือให้เราส่งต่อความรักของพระเจ้าที่ใส่เข้ามาในจิตใจเรา ที่เราได้รับจากพระองค์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเราออกไป  พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ ก็คือความดีงามที่พระเจ้าใส่ลงไปในวิญญาณของเรา พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเรา ให้ส่งต่อความดีงาม ความรักนี้ออกจากวิญญาณของเรา  ทำจากข้างในออกไป ไม่ใช่ทำจากข้างนอกเข้ามา  เอเฟซัส 4:29-30 ก็ได้พูดรายละเอียดถึงเรื่องนี้ว่า …

เอเฟซัส 4:29-30 “29 อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควร หลุดออกจากปากของท่าน ไม่ว่าจะเป็น  ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยคำดูหมิ่นด่าว่า ถ้อยคำลามก ถ้อยคำไร้สาระ แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์  เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้น  ตามความจำเป็นของเขา  จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง 30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย  แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พอพระทัย  โดยพระวิญญาณนี้  ท่านได้รับการประทับตราแล้ว  สำหรับวันแห่งการทรงไถ่ครั้งสุดท้าย  ซึ่งเป็นวันสิ้นสุด  แห่งผลของความบาป”

 

พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา ในการที่จะสะท้อน  แสดง สำแดงภายในตัวเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณที่มี่ชีวิต เป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นความสว่างนั้น ให้เราฉายแสงนี้ออกไป  สะท้อนชีวิตของเรา  ซึ่งเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ ออกไปยังผู้คนรอบข้างบนโลกใบนี้  ซึ่งพระองค์ก็ทรงรักเขาทั้งหลาย  เหมือนรักเรานั่นแหละ และพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงรักเขามากมาย ต้องการให้ทุกคนบนโลกใบนี้มาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกับเรา ไม่พินาศ ไม่ต้องตกนรก  แต่พูดตรงๆ ให้ความสนใจกับพวกเขาตอนนี้มากกว่าเราอีก เพราะเรารอดแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว แต่เขายังไม่รู้เรื่องเลย  พระองค์ทรงอยากให้เราทั้งหลายส่งต่อความรัก ความห่วงใยของพระเจ้ายังเขาเหล่านี้

วิธีการ ก็คือให้พระวิญญาณฝึกฝนเราในการสำแดงความรัก ชนิดที่เป็นอากาเป้ เป็นของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราเป็น ตัวเราเป็นความรัก

“ฉันเป็นความรัก ฉันไม่ได้มีความรัก  ฉันเป็นความรักแล้วตอนนี้  วิญญาณตัวจริงๆ ของฉันเป็นความรัก เกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรัก”

เพราะฉะนั้น สำแดงความรักนี้ออกไปให้กับคนรอบข้างก่อน คนรอบข้างเราเยอะที่สุด ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ข้างๆ เรานั่นแหละ ฝึกฝนตรงนี้เลย  ถ้าขนาดพี่น้องเราที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าเหมือนกัน เรายังไม่มีความรักให้กับเขา  อย่าไปนึกว่าเราจะเอาความรักไปให้กับคนอื่นๆ ต่อไป เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านพอเข้าใจแล้วใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือตัวอย่าง อย่าให้ถ้อยคำที่ไม่สมควรออกจากปากท่าน อย่างเช่น ให้ถ้อยคำ หรือวาจาที่เกิดประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างผู้อื่น ให้ได้ดี ให้มีกำลังใจ พูดหนุนใจ พูดให้กำลังใจ พูดด้วยความรัก ให้ผู้คนเขาฟัง มีความสุข และเสริมสร้างเขาให้เจริญเติบโตในวิญญาณเช่นเดียวกัน  อย่างนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  พระวิญญาณต้องการนำเราไปอย่างนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือเราดับพระวิญญาณ  พระเจ้าทุกข์ใจ  ในนี้บอกว่าจะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง เห็นไหม? ผู้ฟังเกิดผลดีได้อย่างไร?  นั่นแหละ ท่านคิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่ต้องบอกรายละเอียดว่าทำอย่างไร? พระวิญญาณจะนำท่านเองว่าจะพูดอย่างไร?  ถึงจะเกิดประโยชน์  สำหรับชีวิตของคนฟังได้

อีกข้อหนึ่ง ข้อ 30 บอกว่าอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เห็นไหม? การทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้าเสียใจ การไปพูดว่ากล่าวรุนแรง พูดถากถาง ไปเยาะเย้ยเขา ไปดูหมิ่นเขา ให้คนฟังไม่มีการสร้างสรรค์ขึ้น พระเจ้าเสียใจ แต่จงแสวงหาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้  ท่านได้รับการประทับตรา หมายถึงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้ถูกเลือกเอาไว้ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เพียงผู้เดียว  คือเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า แต่เพียงผู้เดียว สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ท่านเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ประทับตรา ไม่มีใครมาจับได้เลย สะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ประทับตราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็แสดงว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ห่อหุ้มตัวเราอยู่ตลอดเวลาเลย ไปไหนไปด้วย  เราหลับพระองค์ ก็อยู่ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณที่อยู่ในเรา จะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นำพาเราให้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าให้เกิดความสุขที่สุด ดีที่สุด  และเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สุด สำหรับเราเอง และสำหรับผู้คนรอบข้าง ตั้งแต่ผู้เชื่อก่อน จนถึงผู้ไม่เชื่อ คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้นั่นเอง ซึ่งเราเรียกกันว่าดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า

และทั้งหมดนี้ คือความปรารถนาของพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามีความสุข อยู่อย่างสงบมากที่สุด เท่าที่ทำได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง และได้ประกาศข่าวดีของพระเจ้า ได้สำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งอยู่ภายในเรา ออกมาให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น เหมือนที่พระเยซูบอกว่าท่านเป็นความสว่าง จงให้ความสว่างภายในท่าน ฉายแสงออกมา

คริสเตียน คือผู้ที่กระทำดีจากข้างในออกมา ไม่ใช่ทำดีจากข้างนอก จากข้างใน ฉายแสงนั้นออกมา เพราะเราเกิดใหม่แล้ว ฉายแสงการเกิดใหม่ของเราออกมา มีผู้ช่วยเราเยอะแยะเลย นอกจากตัวเราแล้ว ก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็พระเยซูคริสต์อีก แล้วก็มีพระเจ้าพระบิดาอีก คอยช่วยเรา ที่จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และถ้าเราดื้อ เราไม่ทำตาม เกิดอะไรขึ้น เราก็ดับพระวิญญาณ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสวรรค์แล้วก็ตาม เราก็จะได้รับความทุกข์ ทุกข์ดับเบิ้ลเลย ทุกข์จากการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หาเรื่องเข้าตัว ทุกข์ที่สอง คือเราทำให้พระเจ้าเสียใจ  เราทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ  …

“ฉันเหรอ มนุษย์ตัวเล็กๆ บนแผ่นดินโลก ทำให้พระเจ้าเสียใจ”

ก็ใช่ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ สลับกัน ก็คือ …

“แสดงว่าพระเจ้ารักฉัน ให้เกียรติฉันมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดตัวฉันเล็กๆ เป็นคนหนึ่งในจำนวนกี่พันล้านคน พระเจ้าให้เกียรติฉันถึงขนาดนี้ ถึงขนาดที่ฉันสามารถทำให้พระเจ้าทุกข์ใจได้เลย ฉันทำให้พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ฉันทำให้พระองค์เสียใจได้หรือ?”

คิดอย่างนี้มากเท่าไร ก็จะรู้ว่าพระเจ้ารักท่าน รักเรามากขนาดไหน?  เอเฟซัส 4:31-32 ก็เพิ่มเติมตรงนี้อีก

เอเฟซัส 4:31-32 “31 จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะและการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ 32 จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้า ทรงอภัยแก่ท่าน ในพระคริสต์”

 

เอเฟซัส บทที่ 4 ตั้งแต่ข้อ 19 ตะกี้นี้ จนมาถึงข้อ 32 ตรงนี้ ท่านเห็นไหมว่าอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านี้  พระเจ้ากำลังสอนและเตือนผู้เชื่อ เตือนคริสเตียน เตือนเรา “เรา” ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วใช่ไหม? ที่สามารถมีความขมขื่น มีความเกรี้ยวกราด มีความโกรธแค้น มีการทะเลาะเบาะแว้ง แล้วยังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขาด้วย  อุ้ย! อายตายเลย แค่นั้นไม่พอ มีการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ มีการไม่ให้อภัยกันด้วย มีการกัดกินกัน ทะเลาะเบาะแว้งในหมู่ของคริสเตียน ผู้เชื่อ ลูกๆ ของพระองค์ทั้งนั้น พอมองเห็นอะไรไหม? นี่เตือนคริสเตียน

แสดงว่าการมาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถาน ตามที่พระคัมภีร์บอกแล้ว เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังสามารถที่จะพลาดทำบาปได้ จริงหรือไม่จริง? นี่ไง ชัดไหมล่ะ แต่มันสามารถทำน้อยได้  เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำพาเรา สอนเรา เราคงทำไม่ได้หมดทุกอย่าง ทุกข้อหรอก แต่เราสามารถทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะว่าเราเงี่ยหูฟังพระวิญญาณตลอด  เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเพ่งมองจดจ้อง จดจำ จนขึ้นใจถึงฐานะของเรา ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราทำบาปน้อยลง ก็คือเราเพ่งถึงพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรามากเท่าไรว่าพระเจ้าทำให้เรามากเท่าไร? โดยที่เรายังไม่ได้ทำดีเลย ให้เราก่อนแล้ว นั่นแหละเขาเรียกว่าพระคุณ เราเพ่งที่พระคุณมากเท่าไร เราก็จะทำบาปน้อยลงเท่านั้น พระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น  ไม่ใช่เพ่งไปที่ความบาป แล้วจะทำบาปน้อยลง ไม่ใช่ เพ่งไปที่ความบาป แล้วทำบาปน้อยลง นั่นคือศาสนาทั่วๆ ไป นั่นคือการดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติเดิม สมัยอดีต ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งเพ่ง ยิ่งทำใหญ่

แต่พระคุณพระเจ้า  คือให้เราเพ่งที่พระคุณของพระเจ้าว่าพระองค์ทำให้เราก่อนเลย อภัยให้เราก่อน  ก่อนที่จะบอกเราว่าให้เราอภัยให้คนอื่น  ถ้าพระคัมภีร์เดิม กฎเดิม คือบอกให้เราอภัยให้คนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจะอภัยให้เรา แต่พระคัมภีร์ใหม่บอกว่าพระเจ้าอภัยให้เราก่อนเลย  นี่คือพระคุณ …

“ไม่รู้แกจะเป็นคนอย่างไร? ทำอะไรไม่รู้ ฉันจะให้อภัยแล้ว”

นึกออกใช่ไหม? เพราะถ้าเรานึกถึงพระคุณเหล่านั้นมากๆ เราก็จะทำเหมือนพระเจ้า เราก็จะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนที่พระเจ้าปฏิบัติต่อเรา  พระเจ้าให้อภัยเรา โดยที่ไม่มีเงื่อนไข เราก็อภัยให้คนอื่น โดยไม่มีเงื่อนไขได้เหมือนกัน ใช่ไหมครับ?  นี่ไงหลักการของพระเจ้า

เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ คืออย่าดับไฟพระวิญญาณเลย ให้เราฉายแสงจากข้างในออกมา  เจ้าเป็นใคร? เจ้าต้องรู้ เราจะฉายแสงได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร?

และนอกจากเรื่องของการดับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สิ่งสำคัญอันดับที่สอง ตามมา ที่ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนควรจะรับรู้และควรจะเตือนสติตัวเองตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น พระคัมภีร์มีสอนในเรื่องนี้  นี่เป็นคำตอบของหัวข้อเรื่องนี้ได้อีกเช่นเดียวกัน รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? รอดโดยพระคุณ อ๋อ! ความประพฤติจะทำอะไรก็ได้ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?  ก็ต้องรับรู้ตรงนี้  กฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว เราหว่านสิ่งใด ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กาลาเทีย 6:7-8

กาลาเทีย 6:7-9  “7 อย่าหลงเลย  ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า  ใครหว่านอะไร  ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น  ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ  จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”

 

ถ้อยคำตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังย้ำ ในเรื่องของการเลือกทางเดิน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สอนเรา อย่างที่ผมพูดตั้งแต่ต้นว่าเราจะเลือกเดินตามพระวิญญาณ หรือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ เพื่อเดินตามเนื้อหนัง กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษ

ข้อ 7 บอกว่า “อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไร ย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น” พูดง่ายๆ ว่าโอ้ พระเจ้าไม่เห็น ทำอย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าไม่ต้องเห็นเลย เพราะว่ามันเป็นกฎอยู่แล้ว หลอกไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา มันเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ก็คือเปรียบเหมือนเป็นการหว่านเมล็ดพืช ที่เราสามารถที่จะเลือกผืนดิน ในการหว่านเมล็ดนั้น จะไปลงที่ผืนดินที่ไหน ถ้าเราหว่านในผืนดินที่ดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีคุณภาพดี แต่ถ้าเราหว่านในผืนดินที่เป็นดินเลว มันก็ออกผลมาเป็นสิ่งเลวๆ เช่นเดียวกันกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เรามี 2 ทางเลือกอย่างที่เราเรียนรู้กันมา ที่จะให้เราหว่านชีวิตของเรา หรือฝากชีวิตของเราไว้ที่ฝั่งไหน? ที่ตรงไหน?  เราจะเลือกหว่านชีวิตของเราที่ทางเลือกไหน? ดีหรือเลว  ถ้าเราหว่านเลว ไม่มีโอกาสที่จะได้เก็บผลดีหรอก เป็นไปไม่ได้

ในถ้อยคำตรงนี้ เปาโลกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างชัดเจนของผลที่จะเกิดขึ้นตามมา จากการเลือกหว่านของเรา ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  … วิสัยบาป ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น จากธรรมชาติบาปนั้น  วิสัยบาป นั่นคือธรรมชาติบาป ส่วนผู้ที่หว่าน เพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ

ในข้อที่ 9 บอกว่า … “อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราจะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”

ตรงนี้ให้ตั้งใจฟังนิดหนึ่ง ในข้อ 9 เพราะว่าหลายคนยังเข้าใจผิด ไปตีความหมายว่าระบบของโลก มันทำให้เราต้องทุกข์ลำบากในหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว ตามที่พระเยซูบอก แต่จงตั้งใจทำความดี อย่าท้อแท้ ก็คือหว่านในสิ่งที่ดี และรอไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม บนสวรรค์ มีความทุกข์บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำดีต่อไป  อย่าท้อแท้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อตายไปแล้ว เราจะเก็บเกี่ยวผลดีนั้น

ฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนใช่ ถูกไหม? แล้วใช่ไหม? คิดให้ดีๆ มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ มันก็กลับมาที่เดิมอีก …

“หว่านสิ่งที่ดีๆ สิ อดทนไว้ ตายไปแล้ว เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดีนั้น”

นี่คือศาสนาไง ทำดีได้ดี ก็ตะกี้เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีจริงๆ แต่เกิดผลเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น นี่ตอนนี้กำลังจะบอกว่าทำดี หว่านสิ่งที่ดีๆ เพื่อจะไปเก็บเกี่ยวผลดี เมื่อตอนตายไปแล้ว มันไม่ใช่ ไม่ตรงตามพระคัมภีร์ เพราะว่าผลในสวรรค์ สิ่งดีๆ ในสวรรค์ เรายังไม่ได้ทำดีเลย  แค่เราเชื่อในพระเยซู เราก็ได้รับไปแล้ว เห็นไหม? นี่มันหลอกเรานิดเดียวปุ๊บ พลาดปุ๊บ ไปแล้ว เราก็กลับมาที่เดิมอีก มายืนที่การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มาพึ่งตนเองอีก โอกาสจะประกาศข่าวดีให้คนอื่นเขาไม่มี เพราะว่ากลับมาอยู่ที่เดิม

ฟังดูแล้วมันเหมือนใช่ แต่สังเกตดีๆ ผมถึงพยายามเน้นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าแยกให้ออกโลกวิญญาณ พระเยซูบอกสำเร็จไปแล้ว  เมื่อเชื่อพระเยซู ก็ได้รับสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนั้นแหละ การบังเกิดใหม่ การเป็นลูกพระเจ้า การเป็นคนดีงาม การอยู่ในสวรรค์มันได้รับไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  พระเจ้าให้เราก่อนที่เราจะทำดีอีก แค่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เรายังทำชั่วอยู่เลย  พระองค์ก็ให้เราทั้งหมดนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเรียกว่าพระคุณไง รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ เพื่อไม่มีใครอวดได้ว่า …

“ฉันประพฤติดี พระเจ้าเลยให้ฉัน”

เปล่าเลย  ท่านยังไม่ได้ประพฤติดีเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้าให้ไปฟรี เป็นพระคุณครับ ใช่ไหม? มันไม่ตรงตามพระคัมภีร์

หัวใจข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าสิ่งดีงามทั้งหลาย บนสวรรค์สถาน เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรออีกแล้ว  พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยไม่มีเงื่อนไข เขาถึงเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ที่พระเจ้ารักเราทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น ความหมายตรงนี้ อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้เราเห็นถึงประสบการณ์บนโลกใบนี้ ประโยชน์ที่เราจะได้รับบนโลกใบนี้เท่านั้น ผลดีที่เราจะได้รับจากการหว่านในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประสบการณ์ในสวรรค์ ประสบการณ์ในการมีชีวิต พระคริสต์ซึ่งอยู่ในเรา ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เราเริ่มเชื่อพระเจ้า  แต่เราหว่านในสิ่งที่เป็นวิญญาณ เราจะได้ประสบการณ์ จากความดีงาม  จากข้างในนั้นออกมา  ประสบการณ์การดำเนินชีวิตบนสวรรค์ เราได้รับเดี๋ยวนี้เลย ในทางกลับกัน โทษหรือผลร้าย ที่เราจะได้รับจากการหว่าน ชีวิตของเราตามเนื้อหนัง เราก็จะได้รับประสบการณ์ความตาย ความพินาศ เข้าใจคำว่าประสบการณ์ใช่ไหม? มันเข้าไปได้ลิ้มรส  เหมือนที่เขาบอกว่าพอเราหว่านเข้าไปในเนื้อหนัง ทำชั่วมากๆ  จริงๆ เขาทุกข์แสนสาหัสจริงๆ ที่คนไทยชอบพูดว่า …

“แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง”

มันทำนองเดียวกัน ถ้าเราหว่านถูกที่ หว่านในทางพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราก็จะรู้ว่าสวรรค์มีจริง  มันหมายถึงอย่างนี้  ถ้าท่านทำตามพระคัมภีร์บอก ตามที่พระเจ้าสอนท่าน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รู้จักให้อภัย รู้จักบังคับตนเอง  อดทนเอา ถึงเวลาหนึ่ง ท่านจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รู้ว่าสวรรค์ที่ท่านหวังไว้ในอนาคต มีจริง มันใช่ ในทำนองเดียวกัน ถ้าหว่านตรงกันข้าม ไปทางเนื้อหนัง ท่านจะมีประสบการณ์ว่านรกมีจริง นรกหนักกว่านี้อีก อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

ผลของทั้งสองทาง ที่เราเลือกหว่าน คือประพฤติตามการนำของเนื้อหนัง หรือประพฤติตามการนำของพระวิญญาณ ผลทั้งสองทางนี้ เราจะได้รับผลบนโลกใบนี้เลย เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราจะได้รู้สึกถึงนรกจริงๆ เลย ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ฉะนั้น คนที่ไปสวรรค์ เป็นผู้เชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดี อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์อยู่บนโลกนี้ เหมือนอยู่ในนรกเลยได้ ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ พอมองเห็นภาพ ใช่เลยจริงๆ และในทางกลับกัน คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเลย แต่เขาทำหลายสิ่งหลายอย่าง ตรงกันกับกฎของพระเจ้าที่วางไว้เรื่องเกี่ยวกับการหว่านและการเก็บเกี่ยว เขาก็ได้เก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เลย เขาอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนอยู่ในสวรรค์เลย  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเขาไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ไถ่บาปเขา  เขาถูกตัดสินพิพากษาลงโทษ  ถึงความพินาศในอนาคต ชีวิตหลังความตาย

ต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้  ถึงจะเห็นภาพชัดเจน ถึงจะรู้ว่าข่าวดีของพระเจ้า  คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ คือความจริงที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศ จากวิสัยบาปนั้น

อธิบายตรงนี้ให้ฟังนะ ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาป หรือพูดง่ายๆ ว่าผู้ที่หว่านในวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาปนั้น คำว่า “ผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาป” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษอธิบายความหมายว่ามันหมายถึง Lower Nature  คือธรรมชาติที่มันต่ำกว่าความเป็นจริง ต่ำกว่าธรรมชาติ มาตรฐานที่เป็นจริง ก็คือพูดง่ายๆ  ทำตัวไม่ตรงกับธรรมชาติ ลักษณะของคนๆ นั้น มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะธรรมชาติ ลักษณะของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ธรรมชาติ ลักษณะวิญญาณ ตัวจริงๆ เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับความชั่วร้าย ทำความชั่วร้ายไม่เป็นเลย อยู่ตรงกันข้ามกับความเลว ทำความเลวไม่เป็นเลย ไม่มีความชั่วร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือธรรมชาติจริงๆ ของเขา  แต่ในนี้บอกว่าผู้ที่หว่าน เพื่อวิสัยบาปของเขา ก็คือหว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติตัวจริงของเขา

คนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว บริสุทธิ์แล้วไปทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เขาเรียกว่าไปทำอีกทางหนึ่ง วิสัยบาป คือธรรมชาติของความบาปที่อยู่ในตัว ข้างในมันสำคัญมาก  ข้างนอกไม่สำคัญ ข้างในมันเป็นตัวบอกว่าเราจะไปทำอะไร

ยกตัวอย่างอย่างเช่น ลิงจะพยายามทำเหมือนคน หรือว่าเป็นคนอยู่ แล้วไปเดิน 4 ขาเหมือนลิง เราก็รู้อยู่ว่านี่คน ไม่ใช่ลิง แต่เขาไปทำลักษณะเหมือนลิงไหม? เหมือน แต่จริงๆ เป็นคน

อีกหนึ่งที่เห็นชัด ก็คือหมู เอาหมูตัวเล็กๆ มาเลี้ยง แล้วเลี้ยงให้เหมือนแมว สะอาดเลย ขัดสีฉวีวัน ใส่น้ำหอม ผูกหูกระต่ายให้มันอย่างดีเลย เสร็จแล้วเลี้ยงมัน จูงมัน เขาบอกว่าต่อให้เลี้ยงมันกี่ปีก็ตาม พอปลดปลอกคอมัน แล้วปล่อยมันออกนอกบ้าน มันจะวิ่งไปหาโคลน เพราะว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น

ในทำนองกลับกัน เป็นคริสเตียน ข้างในสะอาดหมดจด เพียงแต่ถูกหลอกอะไรบางอย่าง ถูกทำให้เขาตัดสินใจหว่าน หรือทำอะไรลงไป ฝืนธรรมชาติตัวเอง  มันไปไม่ได้ไกลหรอก มันฝืนธรรมชาติตัวเอง ก็เหมือนเอาหมูมาอาบน้ำ พอปล่อยปุ๊บ มันก็เข้าป่า ลงโคลน คริสเตียนเหมือนกัน ธรรมชาติของคริสเตียน เขาอยู่ในความบริสุทธิ์ของเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ปุ๊บ เขาจะพยายามหันทางกลับมาที่ความบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้อย่างนี้ เราจะรู้ว่าอ๋อ!

เพราะฉะนั้น การกระทำที่เป็นบาป ในชีวิตของคริสเตียน ในชีวิตของผู้เชื่อนั้น  ที่บอกว่าความรอด รอดโดยพระคุณความเชื่อ ความประพฤติไม่สำคัญนะ มันสำคัญ แต่มันถูกหลอกให้ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ มันถูกหลอก ก็แสดงว่าไม่ใช่ตัวเขาเองเป็นคนทำ แต่มันถูกหลอก หลอกให้ทำ  ถูกครอบงำให้ทำ ถูกหลอก เพราะไม่รู้ความจริง ความจริงทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ พอรู้ความจริงมากๆ เราก็เป็นอิสระมากๆ ก็ถูกหลอกน้อยลงไปเรื่อยๆ หลอกให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติที่อยู่ภายใน ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเราปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนัง และทำตัวไม่ตรงกันกับตัวจริงๆ ธรรมชาติจริงๆ ในวิญญาณของเรา  เราก็ต้องได้รับผล ตามสิ่งที่เราหว่านลงไป เชื่อลงไป ไม่ว่าเราจะถูกหลอกหรือไม่ก็ตาม คือเราถูกหลอกให้ทำ เราก็ต้องได้รับผล และใครหลอกเรา? พระเจ้าหลอกเราหรือ? พระเจ้าเสียใจ เราเป็นทุกข์ พระเจ้าทุกข์มากกว่าเรา แล้วใครล่ะ ตอนที่เราเป็นทุกข์ แล้วดีใจ ตอนที่เราถูกหลอกไป ก็ตัวที่หลอกเรา ก็คือมารไง ผ่านทางอิทธิพลของกิเลสตัณหา ระบบของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นบาปอยู่นั้น “มัน” ที่ผมพยายามเน้นว่ามัน เพื่อให้ท่านรู้ว่าไม่ใช่ตัวท่านเองเป็นคนทำ มันเป็นคนทำ ไม่ว่าท่านทำบาปอะไรก็ตามตอนนี้ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ทำอันนั้นผิด อันนี้ผิด จงรู้ว่ามันทำ ไม่ใช่ตัวท่าน มันเป็นคนทำ มันเป็นตัวหลอก ถ้าท่านรู้ความจริง ท่านจะไม่ทำ  เพราะตัวจริงๆ ข้างในนั้น ท่านเชื่อพระเจ้า จริงๆ แล้วท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านไม่มีทางทำบาปได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง มันทรมาณทรกรรมจิตใจของท่านมากเลย ที่ท่านไปทำบาป  ท่านอยากจะหนีมันสุดขีดเลย เพียงแต่ท่านไม่รู้จะหนีมันอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น มันคือไม่ใช่ตัวท่าน แต่เป็น “มัน” ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ เป็น “มัน”

เพราะหลายครั้งเราบอกเราเป็นคนทำ เราทำเลวอย่างนี้ เราทำไมแย่อย่างนี้  เราทำไมโกรธเขาอีกแล้ว เราบอกจะให้อภัยเขาไง เราไปว่าเขาอีกแล้ว เราไปอิจฉาอีกแล้ว เราไปโลภอีกแล้ว ไม่น่าเลย เราไปทะเลาะกับเขาอีกแล้ว ไปถกเถียงกับเขาอีกแล้ว  เราจะบอกว่า “เรา” อยู่เรื่อยๆ เลย ต่อไปนี้ต้องบอกว่า “มัน”

“มันหลอกฉันให้เป็นอย่างนี้ ฉันเป็นคนที่ให้อภัยคนจะตาย ฉันไม่เคยเกลียดใคร ไม่เคยโกรธใครเลย มันหลอกให้ฉันโกรธเขา มันหลอกให้ฉันพูดจาหยาบคายใส่ มันหลอกให้ฉันดูถูกเขา ดูหมิ่นเขา มันทำกับฉันอีกแล้ว มันต้องการให้ฉันลงไปสู่นรก บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่ยอมเด็ดขาด  พระเจ้าช่วยลูกด้วย”

ถ้าอย่างนี้ มาถูกทางแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่า “เรา” อยู่ เรา เราก็จะสับสนตัวเราเอง …

“สรุปว่าฉันควรจะไปสวรรค์ไหมเนี้ย ฉันยังโกรธ ยังเกลียดคนอื่นเขาอย่างนี้ ฉันจะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร? และมันก็พยายามหาคนข้างๆ มาทับถมฉันอีก ‘เธอนิสัยอย่างนี้ เธอยังคิดว่าจะไปสวรรค์อีกเหรอ  ยิ่งชัดใหญ่  ฉันยังเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกนิสัยไม่ดีเหล่านี้ไม่ได้เลย แล้วฉันสมควรจะไปสวรรค์ไหม? เห็นไหมพระคัมภีร์ยังบอกเลยว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีส่วนในสวรรค์’ ฉันแย่แล้ว”

เห็นไหม?  หนักหนาสาหัสไหมเวลาถูกหลอก ส่วนผู้ที่หว่านในพระวิญญาณ หรือเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิต หมายถึงจะได้มีประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันที ชีวิตนิรันดร์ ที่ได้หลังจากโลกใบนี้ เรียบร้อย หลังจากความตายนั้น มันได้เรียบร้อยไปแล้ว แต่โลกใบนี้  ตอนดำเนินชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ พอเลือกหว่านในวิญญาณ เชื่อในพระวิญญาณ เก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์ มีประสบการณ์ทันทีเลย ยกตัวอย่างเช่น อย่างตะกี้นี้ที่บอก พอให้ออกไป เขาโล่งเลย ใจเต็มไปด้วยสันติสุข … สันติสุข ก็คือผลพระวิญญาณ  ผลของชีวิตนิรันดร์ไง  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยความสุข ได้รับเดี๋ยวนี้เลยทันที มันหมายถึงอย่างนั้น

ผู้ที่เลือกเดิน ตามการนำของพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ มันหมายถึงตรงนี้นะ  เพราะฉะนั้น อย่าไปนึกว่าตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลของพระวิญญาณ หลังจากความตาย ไม่ใช่ๆ  เลือกตามพระวิญญาณ  เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลประสบการณ์ในชีวิตนิรันดร์เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้เลย

การเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ ก็คือการแสดงออกมา เป็นธรรมชาติที่ดี มีลักษณะของพระวิญญาณ ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งไหลออกมาจากชีวิตของเรา ข้างใน ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเช่นความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความเมตตา ความรัก การให้อภัย สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครบอกว่าไม่ดีเลย มันดีหมดเลย การรู้จักบังคับตนเอง มันดูดีไปหมด นี่แหละคือได้ลิ้มรสของสวรรค์ไปแล้ว ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์เป็นอย่างนี้ ขึ้นไปอยู่สวรรค์จริงๆ เราก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นชีวิตอย่างนี้

เคยให้อภัยเขาแบบสุดๆ ใจไหมบนโลกใบนี้ เคยรักใครแบบสุดๆ ใจไหม? แบบรักที่มีแต่ให้ ไม่มีเงื่อนไขไหม? แล้วรู้สึกมันชื่นใจไหม? นั่นแหละ ได้ลิ้มรสเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เลย เคยให้อะไรกับใคร ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนเลย  หวังอยากให้เขามีความสุข พอให้ไปจิตใจ มันรู้สึกอย่างไรครับ ตอบเองเลย นั่นแหละ คือเริ่มชิมรสของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า แต่ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ไม่มีบาปอีกต่อไป ไม่มีใครมาล่อลวงอีกต่อไปแล้ว ไม่มี “มัน” ตัวไม่ดีมาอีกแล้ว เราจะได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ แบบนี้ มากกว่านี้อีกหลายร้อย หลายพัน หลายล้านเท่า นั่นแหละ

อาจารย์เปาโลกำลังย้ำเตือนกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าเมื่อท่านได้เรียนรู้อย่างนี้แล้ว ท่านจะเลือกเดินทางไหน? เมื่อท่านเห็นประโยชน์ของการอยู่ในพระคริสต์ และให้พระวิญญาณนำ และทำตามพระวิญญาณแล้ว ท่านยังคงเลือกเดินตามทางที่เป็นโทษอีกหรือ! ไปตามทางที่พินาศอีกหรือ! มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วนะ ถึงบอกว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว  ไม่มีใครอยากจะเลือกตรงนั้นหรอก แต่ที่ยังทำอยู่ เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้ว ก็ต้องพยายามหนีแล้ว  เลิกแล้ว ไม่เอาดีกว่า พระวิญญาณนำเราทีละก้าวๆ ดีกว่า

เราจะมาดูกันครั้งต่อไปว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนเรา ให้เราสังเกตที่ความจริงในพระคุณของพระเจ้าว่าพระคุณของพระเจ้า ช่วยให้เราประพฤติดี ดีกว่าเก่าอีก ดีมากๆ ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ตามหัวข้อเรื่องที่บอกว่ารอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ? ก็ต้องตอบว่ารอด ก็รอดโดยพระคุณ ความประพฤติยังสำคัญมากเลยบนโลกใบนี้ เพราะว่าจะได้ทำตามน้ำพระทัย ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงาม และได้ฉายแสงชีวิตของพระเยซูคริสต์ ได้มีประสบการณ์ในการมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ออกมาทันที บนโลกใบนี้ ความหวังใจเราในโลกฝ่ายวิญญาณหลังความตาย มันจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็เหตุจากการประพฤติดีตามที่พระคัมภีร์บอกตรงนี้แหละ แม้ว่าเราจะประพฤติดีหรือไม่ดีตรงไหนก็ตาม พระคัมภีร์บอกโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้รับความรอดไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว แล้วจะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ก็ว่ากันไปตามที่เราหว่าน หว่านตรงไหน ก็เก็บเกี่ยวตรงนั้น หว่านพระวิญญาณ ก็เก็บเกี่ยวผลดี หว่านเนื้อหนัง ก็เก็บเกี่ยวผลไม่ดีบนโลกใบนี้เท่านั้น พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  ตุลาคม  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ในหัวข้อเรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” หลังจากที่ท่านได้ฟังคำบรรยายครั้งที่แล้ว ถ้าวันนี้มีใครถามท่านประโยคนี้ ท่านว่าท่านตอบได้ไหม?  พอตอบได้ไหม? คิดว่าน่าจะตอบได้แล้วนะ ใครมาถามท่าน …

“เป็นคริสเตียนก็สบายสิ ไม่ต้องไปรับผิดชอบอะไรบนโลกใบนี้ จะทำอะไรก็ได้  สบาย ทำบาป ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ดี”

ท่านสามารถตอบได้แล้วนะ

คำตอบตามพระคัมภีร์ คือสำหรับผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เชื่อด้วยปาก  รับเชื่อด้วยหัวใจ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ความประพฤติและการกระทำทุกอย่าง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความรอดเลย  ความเชื่อล้วนๆ ในโลกวิญญาณ แต่จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนๆ นั้น บนโลกใบนี้เท่านั้น ต้องจำเอาไว้ให้ดีๆ

ในเรื่องของความจริงของพระเจ้าที่เกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณในพระเยซูคริสต์ มันมีหลักการ มีพื้นฐานอยู่แค่นี้ ที่ท่านควรจำเอาไว้ ถ้าท่านจำได้ และมีพื้นฐานแค่นี้เอง ท่านสามารถที่จะตอบอะไรใครก็ได้ ตอบตัวเอง ตอบคนที่ถาม ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าความหวังใจของท่านในพระเยซูคริสต์ คืออะไร?

หลักการพื้นฐานของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด โดยพระคุณ รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากการกระทำผิดบาป  ที่บอกว่าความรอดนี้ เป็นความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ไม่ใช่โดยการพยายามสะสมประพฤติดี ความจริงตรงนี้ มีหลักการพื้นฐาน คือมนุษย์ไม่สามารถที่จะทำความดีได้ 100% ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามเกณฑ์ของพระเจ้า คือไม่ทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่นิดเดียว แม้แต่จุดเดียว  มนุษย์จึงไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์เพียงพอ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ได้

นี่คือความจริงของพื้นฐาน หลักการของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับความรอด  โดยพระคุณ จึงมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือมนุษย์ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เหมือนที่เราคุยกันเล่นๆ  บ่อยๆ ว่าต้องเกิดใหม่ เรารู้ว่าคนนี้เขาร้องเพลงเป็นอย่างไร? เขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นนักร้องได้เลย ร้องเพี้ยนตลอด แล้วเขาบอก เขาอยากเป็นนักร้อง เราก็จะบอกว่า … “อย่างนี้ต้องไปเกิดใหม่” … อย่างนั้นมันถูกแล้ว

หรือเห็นคนนี้นิสัย กินไม่เลือก กินจนอ้วนตุ๊ต๊ะ บอกอยากลดน้ำหนัก ทำมากี่ครั้งแล้ว 10 กว่า 20 ครั้ง ตั้งใจลดทุกที แต่ไม่เคยลด  แล้วจะลดได้อย่างไร กินอย่างนี้  เราก็บอกว่า …

“อยากจะลด ต้องไปเกิดใหม่ซะ”

เราพูดกันเล่นๆ แต่มันเป็นจริง  สำหรับพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่าเราทำไม่ได้หรอก เราทำให้ตัวเองสะอาดหมดจด ไม่ทำบาปสักครั้งหนึ่ง  เป็นไปไม่ได้   เมื่อไม่ได้  ก็ต้องไปเกิดใหม่ พระเจ้าบอกเกิดใหม่สิ แต่พระเจ้าไม่ได้พูดเล่น  พระเจ้าพูดจริงๆ พระเจ้าทำจริง คือ …

“ลูกเอ๋ย ลูกต้องเกิดใหม่เท่านั้น ลูกจึงมาอยู่ในสวรรค์ได้”

เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป โดยธรรมชาติ คือเกิดมาบาป  มันไม่ใช่ทำบาป แล้วถึงเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปแล้ว ถึงทำบาป มันกลับกันนะ นี่คือหลักการ ต้องรู้ว่าเราเป็นคนบาป เพราะเราเกิดมาบาป จะได้ไปแก้ในจุดที่ถูกไง เราเกิดมาบาป ไม่ใช่เราทำบาป  แล้วเรากลายเป็นคนบาป แต่เราเกิดมา ก็บาปแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้น การจะทำตัวเองให้หายบาป พ้นจากบาป  ด้วยตัวเอง  มันจึงเป็นไปไม่ได้  เพราะตัวเองเกิดมาบาป เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียว  ก็ต้องไปเกิดใหม่ นี่คือหลักการ

ซึ่งพอพูดถึงเกิดใหม่ มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้  เป็นไปไม่ได้  พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่จะมาทำให้มนุษย์คนนั้นเกิดใหม่ได้ ซึ่งเราก็รู้แล้ว ผู้นั้น ก็คือพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

แล้วเราก็รู้ดีว่าถ้าเราจะเกิดใหม่ได้ มันต้องทำอะไรก่อน พระคัมภีร์ก็สอนเรา  หรือตามหลักธรรมชาติ เราก็รู้แล้ว ต้นข้าวก่อนที่มันจะโตได้ เมล็ดมันต้องเน่าก่อน  มันต้องตายก่อน  แล้วมันถึงจะงอกเป็นต้นใหม่มา มนุษย์จะเกิดใหม่ได้ มันต้องตายก่อน  ไม่ตาย แล้วจะเกิดได้อย่างไร?  นี่คือหลักการธรรมชาติ พระเจ้าจึงประทานผู้ช่วย คือพระเยซูมาเป็นต้นแบบของการตาย และเกิดใหม่

ถ้าผมยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ก็คือประทานพระเยซูคริสต์มา เป็นต้นแบบ ก็คือเหมือนกับตอนนี้ เขานิยมรถไฟฟ้า เริ่มต้นใช้รถไฟฟ้ากัน ไม่ใช้รถใช้น้ำมันแล้ว โพลูชั่นเยอะ ใช้รถไฟฟ้า ท่านรู้ไหมว่าเขาเตรียมการเรื่องนี้  เขาคิดค้นเรื่องนี้มาหลายสิบปี และอาจจะเป็น 10 ปีที่แล้วก็ได้  หรือ 20 ปีที่แล้วก็ได้ เขาเริ่มต้นสร้างรถต้นแบบขึ้นมา ปรับปรุงรถต้นแบบ จนใช้ได้เรียบร้อย ต้องเป็นอย่างนั้น เขาเรียกว่ารถตัวอย่าง รถต้นแบบ พอโอเค เรียบร้อยปุ๊บ เขาเอาต้นแบบนั้นเป็นตัวตั้ง จากนี้ไปใช้เครื่องผลิต ตามแบบนี้หมดเลย ออกมาเหมือนกันหมด ใช้งานได้

พระเยซูคริสต์ พระเจ้าประทานให้มาเป็นต้นแบบของมนุษยชาติ โดยการตาย เพื่อเป็นต้นแบบให้กับเราที่ไม้กางเขน  ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูนี้ คือข่าวดี ก็จะเข้าสู่ขบวนการเดียวกันกับต้นแบบ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ก็คือตายต่อบาป เคลื่อนเข้าไปสู่อุโมงค์ จากอุโมงค์เคลื่อนไปสู่การเป็นขึ้นจากความตาย  เกิดใหม่ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  พอจะเห็นไหม? เหมือนรถต้นแบบเมื่อตะกี้นี้ รถคันที่สองต่อไปจนถึงคันที่ล้าน ที่จะผลิต ก็จะเหมือนต้นแบบ คือเคลื่อนเข้าไปสู่การใส่เครื่อง เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ประตู เคลื่อนเข้าไปสู่การใส่ยางล้อ หรืออะไรก็ตาม จนสุดท้ายออกมาใช้ไฟฟ้า ขับเคลื่อนได้  จากรถเคยใช้น้ำมัน เป็นรถใช้ไฟฟ้า เหมือนรถเกิดใหม่

เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูต้องตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน แล้วก็ร่วมขบวนการเดียวกับที่พระองค์ทรงเป็นต้นแบบกระทำให้เรียบร้อยแล้ว คือตาย ฝังและเป็นขึ้นมาใหม่ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้า  พระเยซูจึงพูดก่อนที่จะกระทำสิ่งนี้ ที่ไม้กางเขน บอกว่า …

“พวกท่านทั้งหลาย จงแบกกางเขน และตามเรามา”

คนก็นึกว่าแบกกางเขน ต้องรับภาระ เหนื่อย พยายาม ไม่ใช่ มาตายด้วยกัน  เราจะทำเป็นตัวอย่าง ท่านแบกกางเขน และตามเรามา ตามเราไปที่ไม้กางเขน เพื่อว่าพอท่านแบกกางเขน ตามเรามาแล้ว แค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือ ท่านจะได้หายเหนื่อย และเป็นสุข อันนี้เรามาสอนกัน แบกกางเขน แล้วตามเรามา  เพื่อท่านจะได้แบกหนักขึ้นกว่าเก่าอีก ก่อนเชื่อ แบกอะไรก็ไม่รู้ พอมาเชื่อพระเจ้า แบกกางเขนเพิ่มเติมเข้าไป หนักขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่หายเหนื่อย แล้วก็ไม่เป็นสุข ทุกข์มากขึ้น เครียดมากขึ้น

นี่คือหลักการ  ในการที่บอกว่าความรอดของพระเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ หรือการสะสมความดี ไม่ใช่กระทำดี แล้วได้ดี ไม่ใช่ นี่คือหลักการของพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เราจะเห็นชัดเจน  เพราะทางโลกวิญญาณ คือโลกที่เป็นจริงๆ มากกว่าโลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ เยอะแยะมากมาย โลกวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่ชั่วคราว มันตั้งอยู่ และมันดับไป มันจะสูญไป  แต่โลกวิญญาณมันตั้งอยู่ และมันจะตั้งอยู่อย่างนี้ นิรันดร์กาล

วิญญาณตัวจริงๆ พร้อมความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ ได้ให้บังเกิดใหม่กับผู้เชื่อ วิญญาณนี้  ทั้งวิญญาณ ทั้งใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ คิดให้ดีๆ นะ เราเกิดใหม่ในพระเยซู วิญญาณใหม่ ที่ได้เกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงประทานความคิด จิตใจ หรือเรียกว่าใจใหม่ให้กับเราด้วย ซึ่งเป็นใจที่เหมือนพระเยซู คิดเหมือนพระเยซูเลย ให้กับวิญญาณนี้

วิญญาณและความคิดจิตใจจะอยู่ตลอดไป และพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณและความคิดจิตใจที่ได้ใหม่มาจากพระเจ้า  ที่เกิดใหม่ในพระเจ้า ที่บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าเป็นวิญญาณที่เชื่อมสัมพันธ์ต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อมกันเลย

ผมจะพยายามอธิบายให้ฟังช้าๆ แต่พอท่านเข้าใจ มันมีอยู่เพียงนิดเดียว ไม่ถึงนาที ท่านก็รู้ ความคิดท่าน คืออะไร?  แต่เวลาอธิบายต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ วิญญาณที่เราได้เกิดใหม่ ที่เข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่ ในพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่า สกปรกเหล่านั้น เข้าสู่ขบวนการสร้างใหม่ ขบวนการปั้มออกมาใหม่ …

ขบวนการที่ 1 คือขบวนการบังเกิดใหม่ โดยใส่ตัวเก่าเราไปที่พระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน จะได้ตายพร้อมพระองค์ และเคลื่อนต่อมา

ไปสู่ขบวนการที่ 2  คือฝังไว้ในอุโมงค์

ไปสู่ขบวนการที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

ไปสู่ขบวนการที่ 4 คือการได้แต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน

เห็นไหม? 4 ขบวนการนี้ เป็นไปตามเป๊ะๆ หมด โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร?  เพราะพระเจ้าจับตัวเก่าเราเข้าไปสู่ขบวนการสร้างใหม่  ใน 4 ขั้นตอนนี้ ถามว่าคืออะไร?

(1) ตายที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซู

(2) ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระเยซู

(3) ได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซู

(4) ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู

ถ้าท่านเห็นภาพชัดเจนเหล่านี้ ท่านจะตอบได้ ท่านจะเข้าใจว่าความรอด โดยพระคุณ ไม่ใช่ความประพฤตินั้น มันหมายถึงอะไร? และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซู เราก็รู้ว่าพระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น เราก็อยู่ในสวรรค์ด้วยสิ ก็ใช่นะสิ ก็เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

ซึ่งในสวรรค์นี้  พระคัมภีร์บางครั้ง ก็ใช้คำว่าในพระคริสต์ พอเราเกิดใหม่ เราก็อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ หรือในพระคริสต์ ในแสงสว่าง ไม่ใช่อาณาจักรความมืด  ไม่ใช่ในอาดัม ซึ่งแต่ก่อนนี้ ตัวเก่าเรายังอยู่ ถ้าตามที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือรถที่ใช้น้ำมันโบราณนั้น อยู่ในอาดัม แต่รถที่ใช้ไฟฟ้า อยู่ในพระคริสต์ พอนึกภาพออกนะ

ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเชื่อมสัมพันธ์กับพระเจ้า กับพระเยซู จริงๆ มันมากกว่าเชื่อมอีก คือรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกกันไม่ออกเลย โดยที่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างอย่างนี้ บางคนบอกว่าอยากจะมีพระเยซู ให้เต็มล้นในชีวิต บางคนบอกว่าอยากจะทำเหมือนพระเยซู บางคนบอกว่าขอให้เหมือนพระเยซู แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณของท่านเชื่อมกับวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน

ยกตัวอย่าง เป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงขนาดพระเยซูเป็นศีรษะ แล้วท่านเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ ท่านลองคิดดูสิว่าเราจะไปไหนไปด้วยกันไหมล่ะ สมมติว่าผมพูดอยู่กับท่านตอนนี้ ร่างกายผมอยู่บ้าน ตอนนี้ผมมีแต่หัวห้อยอยู่ หัวอยู่ที่นี่ ร่างกายอยู่ที่บ้าน  มันเป็นไปไม่ได้ แล้วร่างกายคืออะไร?  ร่างกายคือมีส่วนประกอบทั้งหมด เป็นอวัยวะต่างๆ นั่นแหละ คือผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด พระคัมภีร์ยกตัวอย่างชัดเจนว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ด้วยการบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ด้วยการกระทำดี สะสมความดีมากๆ มาเชื่อพระเจ้าแล้วสะสมความดี อธิษฐานเยอะๆ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ดีนะ ผมกำลังจะบอกให้ท่านฟังว่ามันได้ผลกับโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้ผลกับโลกวิญญาณเด็ดขาด เพราะนี่คือหลักการของพระเจ้าในเรื่องโลกวิญญาณ มันเกิดผลได้ ก็ต้องมีเหตุเกิดขึ้นอย่างนี้ มันมาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ต้องบอกว่ามาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของเราเลย ไม่ว่าเราจะสะสมความดี ประพฤติสิ่งที่ดีมากๆ ก็ตาม มาเชื่อพระเจ้า แล้วอธิษฐานมากๆ  ถวายทรัพย์มากๆ ดีไหม? ดี มาโบสถ์เป็นประจำดีไหม? ดีหมด แต่มันไม่ได้สามารถทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น มันไม่มีดีกว่านี้แล้ว  เราเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ไม่มีมากกว่านี้แล้ว เพียงแต่เรารับรู้ได้มากขึ้น ถ้าเราอธิษฐานได้มากขึ้น  ถ้าเราไปโบสถ์มากขึ้น  ถ้าเราให้เวลากับพระเจ้ามากขึ้น เราก็เรียนรู้จักตัวเราเองว่าสถานะตัวเราเอง เป็นอะไรในโลกวิญญาณ เขาเรียกว่ารับรู้พระคัมภีร์ของพระเจ้า เรื่องข่าวดีของพระเจ้า เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว จึงไม่มีการบังคับ ต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ แต่มีอย่างเดียว คือ “จงรับรู้” ว่าท่านคือใคร? ท่านเป็นอย่างไร? พระเจ้าทำให้ท่านอย่างไรแล้วบ้าง? แล้วการรับรู้นั้น ก็คือโดยการกระทำนั้นไง หลักการมันคืออย่างนี้

เราเข้าใจผิด เราคิดว่าหลักการ ก็คือความประพฤติเป็นใหญ่ ไม่ใช่ การบังเกิดใหม่ โดยความรอด เป็นใหญ่ พระคุณเป็นใหญ่ก่อน เสร็จแล้วการกระทำค่อยตามมา และเราก็รู้ว่าการกระทำนั้น ไม่ได้  เพื่อความรอดจะมาถึง ไม่ใช่ เพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้มากขึ้น ไม่ใช่ แต่การกระทำที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้านำไป เพื่อให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใคร? เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะได้พรเยอะ มากกว่าที่เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นใคร? ถ้าท่านอยู่ในประเทศไทย แล้วท่านไม่รู้ว่าท่านเป็นคนไทย ท่านคิดดู ท่านเสียอะไรไปเยอะเท่าไร?  ท่านไม่รู้จักใช้สิทธิ์โน้น สิทธิ์นี้ ท่านคิดว่าท่านต้องหลบๆ ซ่อนๆ  นึกว่าเป็นคนต่างชาติ เดี๋ยวตำรวจมาจับ ไม่มีใบต่างด้าว ท่านไม่กล้าทำอันนั้น อันนี้ แต่ทุกวันนี้ที่ท่านกล้าทำอันนั้น อันนี้  อย่างสง่าผ่าเผย ก็เพราะท่านรู้ว่าท่านเป็นคนไทย ลองดูคนต่างชาติสิ คนต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทย  ที่อยู่ในประเทศไทย ก็ต้องระมัดระวัง ไปไหนทีต้องเอาพาสปอร์ตติดตัวมา หรือบางคนไม่ได้ทำพาสปอร์ต ก็ยิ่งกลัวใหญ่ หมดอายุขออนุญาตการทำงาน หรือบางคนหลบเข้ามาด้วยซ้ำไป ไม่ถูกกฎหมาย ยิ่งต้องกลัวใหญ่เลย ไปไหนทีก็ต้องระแวง

เหมือนกัน เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าก็จะนำท่าน ให้เรียนรู้จักว่าพระคุณของพระเจ้าที่ให้ท่านเกิดใหม่นั้น มันคืออะไร? ท่านเป็นใครแล้ว อย่างไงล่ะ เพราะฉะนั้น ความประพฤติสำคัญไหม?  มันก็สำคัญ แต่มันไม่ได้สำคัญที่สุด มันสำคัญ เพื่อให้เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุข มีสันติสุขมากขึ้น และอยู่ในน้ำพระทัยมากขึ้นนั่นเอง

ตราบใดก็ตามที่เรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้  ตราบนั้น เราจงรู้ว่าไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และเข้าไปอยู่ในขบวนการ ผ่านขบวนการสร้างใหม่ เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ คือตาย  ฝัง  เป็นขึ้นมาในวันที่ 3 และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเรียบร้อยแล้ว  ตราบนั้น เราก็เป็นลูกของพระเจ้า  และเป็นอย่างนี้ตลอดไป  การกระทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้เลย

เพราะเรากับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียวกัน เป็นร่างกายกับศีรษะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่าเราทำอันนี้ แล้วเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้  เราทำบาปไป ทำให้เราตกนรก  พระเยซูก็ตกนรกไปพร้อมกับเราด้วย เพราะว่าร่างกายไปอยู่ในนรก แล้วศีรษะจะไปอยู่บนสวรรค์ได้อย่างไร? ท่านพอมองเห็นภาพไหม?

เพราะถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะเห็นชัดเจน  โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระเจ้ามานานๆ บางครั้ง การแนะนำ การบอก และโลกนี้แนะนำ  มันจะเน้นไปที่การกระทำมากจนเกินเลย จนทำให้ข่าวดีของพระเยซูด้อยลงไป จนในที่สุด ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลายเป็นเรื่องของศาสนาหนึ่ง …

“ทำดีแล้วได้ดีนะ พระเยซูจะช่วยให้เราทำดี  และจะได้ได้ดี”

คือมันถูก แต่มันต้องถูกในหลักการนี้  ที่กำลังอธิบาย หลักการของพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าพระเยซูเป็นศีรษะและเราเป็นร่างกายของพระองค์ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซู ศีรษะเป็นอย่างไร? ร่างกายก็เป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ เราเป็นความสว่าง พระเยซูบอกท่านเป็นความสว่าง เป็นความดีงาม ไม่บาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ไง ตรงไหมหลักการของพระเจ้า ตรงหมดเลย โดยพระคุณอย่างเดียวล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลย

ขณะที่ท่านว่ากล่าวคนด้วยความหงุดหงิด ด้วยความเห็นแก่ตัว รู้ว่าทำร้ายคนอื่นเขา ในขณะเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านวางใจในพระเยซู และเชื่อในพระเยซูแล้ว ผ่านขบวนการการเกิดใหม่แล้ว  ในขณะนั้น ท่านก็เป็นความดี เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสะอาด เป็นความรัก เป็นความสว่าง เพียงแต่ดับความสว่างไว้ชั่วคราว ไม่ปล่อยออกมาตอนนั้น ปล่อยเอาความมืด จากความคิดเดิมๆ ออกมา

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังได้รับกิเลสตัณหาทางความบาป ทางฝ่ายเนื้อหนัง และความคิดเก่าๆ ของเรา ก่อนที่จะถูกสร้างใหม่ มันยังวนเวียนอยู่ เหมือนกับซอฟแวร์ของคอมพิวเตอร์เก่า ได้รับเครื่องใหม่มาแล้ว แต่ของเก่ายังอยู่  ต้องทำการเอาของเก่าออกไป แล้วใส่อันใหม่เข้ามา พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงต้องการ พยายามให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ อย่าคิดแบบเดิมๆ อิทธิพลของโลกใบนี้ จะกระตุ้นผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งความคิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตามระบบของโลกนี้ มันอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซู มันเป็นศัตรูกัน

เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แน่นอนที่สุด คือโลกนี้ ระบบของโลกนี้เป็นศัตรูกับเรา “เรา” คือวิญญาณของเราข้างใน และจิตใจของเราที่ได้บังเกิดใหม่ และเราต้องการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่าวกายนี้ ร่างกายนี้เรามอบให้พระเจ้า เราตั้งใจจะทำอย่างนี้ แต่โลกนี้มันต่อต้านกับเรา  นี่คือหลักการ

เพราะฉะนั้น เรามีโอกาสทำผิดพลาดไปหลายครั้งเลย เพราะเดินไปสู้กันอยู่ตลอดเวลา ล้มลุกคลุกคลาน แต่ล้มไป พระเจ้าบอกลุกขึ้นมาใหม่ แล้วก็กลับมาที่เดิม ในความจริงของพระเจ้าว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เดินๆ ไป ล้มลงไปใหม่ ก็ลุกขึ้นมา แค่นั้นเอง ในขณะที่เรากำลังล้มๆ ลุกๆ พระวิญญาณที่สถิตอยู่ข้างในวิญญาณของเรา และพระเยซูคริสต์ที่เป็นศีรษะของเรา ผ่านทางพระวิญญาณ คอยเป็นพี่เลี้ยงที่กำลังสอนเราด้วยความรัก แนะนำด้วยความรัก …

“ลูกอย่างนี้อย่าทำ อภัยให้เขาเถอะ ไปโกรธเขา เราเสียไปด้วย ฉายแสงความรัก ฉายแสงความสว่างนี่ไง วิญญาณเราเต็มไปด้วยความสว่าง มีพลังอยู่ ฉายแสงนี้ออกไป”

ปลอบโยนจิตใจเรา ถ้าเรามีความทุกข์ นี่ไง หลักการในการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย  และพระวิญญาณต้องการให้เราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  ซึ่งพระวิญญาณ ก็ทรงทราบดีว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า และนำเราไปในทางความรักอยู่เสมอ  ไม่ใช่พอเราทำผิดไป …

“จะลงโทษแก”

จำไว้เสมอเลยว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่แล้ว พระเจ้าอยู่ข้างเราเสมอ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ข้างเราเสมอ อยู่พวกเดียวกับเรา มีอีกพวกหนึ่งที่อยู่ข้างนอก คือพวกมาร และใช้ระบบของโลกใบนี้ทุกอย่าง รวมทั้งมนุษย์ด้วย ที่ยอมให้มันมีอิทธิพล มาต่อต้านกับเราเสมอ เราต้องรู้ตรงนี้  แต่ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา  ไม่เคยคิดที่จะลงโทษอะไรเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เข้าใจเราดี และค่อยๆ หนุนใจเรา  ค่อยๆ พาเราเดินทีละนิดทีละหน่อย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา จะสอนเรา คอยแนะนำเรา ด้วยความรัก ความอบอุ่น ทนุถนอม  และเข้าใจในฐานะของเรา ที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ที่ดีงาม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา เพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตในร่างกายบนโลกใบนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ มีโอกาสที่ได้รับอิทธิพลการกระตุ้นของระบบโลกใบนี้ คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้เราทำอะไรก็ตามที่เป็นตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า ที่เราเรียกกันว่าดับพระวิญญาณ ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา ก็จะทำงานอย่างนี้แหละ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เราหลับ พระองค์ก็ทรงทำ พระเจ้าจึงไม่ต้องการ ไม่อยาก และทุกข์ใจ เสียใจ ไม่ได้โกรธกริ้ว จะลงโทษ ไม่ใช่ แต่เสียใจ ทุกข์ใจ  เมื่อเราดับไฟพระวิญญาณ  เมื่อไม่เชื่อ เมื่อเราไปเดินตามระบบของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ พ่อเราบอก …

“ไม่อยากมองเลย”

เมื่อเราเกิดความโลภ พระเจ้าบอก … “ทุกข์ใจ ไม่อยากมองเลย”

พระวิญญาณนำให้เราโลภไหม? เปล่าเลย แล้วใครนำให้เราโลภ โลกใบนี้แหละ ระบบของโลกนี้แหละ ที่เราดูจากโทรทัศน์ ดูจากมือถือ ข่าวสาร ได้รับการแนะนำจากผู้คนรอบข้าง ให้เราโลภๆ จนพังเสียหาย ก่อนจะพัง พระวิญญาณเตือนไหม? เตือน แล้วเราได้ยินไหม? เราดับ ไม่ได้ยิน หรือได้ยิน แล้วแกล้งไม่ได้ยิน เราดับพระวิญญาณ พระเจ้าบอกอย่าก้าวๆ นี่แหละคือพระเจ้ากำลังทุกข์ใจไหมล่ะ ขนาดเราเป็นพ่อแม่ เราไม่เห็นลูกเราในอนาคต แต่พระเจ้าเห็นหมดแล้วว่าเรากำลังเดินไป  เห็นชัดเจนเลย  โดนแน่ ทุกข์ใจแน่ พระเจ้าจึงเสียใจ เมื่อเราดับพระวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และเมื่อเราสนใจให้พระวิญญาณนำพาชีวิตเรา พระวิญญาณก็จะสอนเรา หน้าที่ของเรา คือคอยสังเกต สัญญาณจากพระวิญญาณว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วก็จำไว้ ไม่ใช่ว่าได้เก่งกันทุกคนตลอดเวลา ต้องค่อยๆ เดินกับพระวิญญาณทีละนิด ทีละหน่อย อย่างนี้เจ็บตัวอีกแล้ว พระวิญญาณบอกวันหลังอย่าทำ จดจำเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ แล้วก็อย่าทำอีก เขาเรียกว่าจดเป็นสถิติไว้ จดไว้ในใจ เจ็บก็ต้องจำสิ วันหลังก็อย่าทำ อะไรอย่างนี้ นึกถึงพระวิญญาณว่าเราทำ เพราะอะไร? ชัดเจนเลย ด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในโลกใบนี้  จึงมีอยู่ในการได้เลือกเท่านั้นเอง ไม่มีทางอื่น ไม่ว่าท่านจะคิดว่ามีเยอะแยะทางก็ตาม แต่จริงๆ มีอยู่ 2 ทาง …

ทางหนึ่ง คือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ ทำตามตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งจะเกิดโทษ

ทางที่สอง ได้ผลประโยชน์ดี คือทำตามพระวิญญาณ ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถที่จะเลือกกระทำสิ่งที่ผิดและหวังผล ที่จะเป็นประโยชน์ที่ดีได้ แม้ว่าเราจะได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วก็ตาม แม้ว่าในวิญญาณเรา เป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก ดั่งแก้วตาดวงใจ  เราก็ไม่สามารถที่จะหว่านอะไรก็ได้ แล้วก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีตลอด ไม่ใช่ มันยังมีกฎของมัน เราหว่านในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราก็ต้องรับความตาย คำสาปแช่งเข้ามา แม้ว่าวิญญาณเราเป็นผู้ที่เรียกว่าบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม เป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดในมหาจักรวาลนี้ แม้ว่าพระองค์จะรักเราดั่งแก้วตาดวงใจอย่างมากมายเท่าไร พระองค์ก็ต้องให้เป็นไปตามกฎ และพระองค์ก็ให้เป็นไปตามนั้นด้วยความเสียใจ และทุกข์ใจ  เรียกว่าเราดับพระวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เราสามารถเชื่อพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดผลดีและพระพรตามมา หรือจะเลือกดับพระวิญญาณ  เพื่อทำให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารดีใจ คือเรามีความทุกข์ตามมา ยกตัวอย่างนิดหนึ่งให้เห็นชัดเจน ทุกวันนี้ ท่านสามารถเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือเลือกรับประทานอาหารที่มันเป็นพิษต่อร่างกาย ท่านก็รู้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถเลือกอาหารที่เป็นพิษ แล้วบอกว่า …

“ฉันจะได้มีความสุขในร่างกายนี้”

มันเป็นไปไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น เราสามารถที่จะเลือกการให้อภัย และมีสันติสุข ถ้าเลือกเกลียดชัง ขุ่นเคือง เราก็ต้องได้รับโทษของมัน เราจะหนีไม่พ้น หรือเราเลือกที่จะโลภ ทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือจะเลือกเป็นคนให้ออกไป  บางครั้งดูเหมือนเลือกตามเนื้อหนังมันจะได้ความสุขดี แต่พระวิญญาณบอกแล้ว มันจะเป็นโทษ เราบอก …

“ฉันจะเอาอย่างนี้ ฉันจะทำตามทางของฉันอย่างนี้ดีกว่า ฉันจะโลภ”

เสร็จแล้ว เป็นอย่างไร? ในที่สุด ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ทุกข์ใจ และทุกข์ลำบาก ซึ่งพระเจ้าก็ทุกข์ใจ เสียใจด้วย แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม วิญญาณของเราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายของพระเยซู พระเจ้ายังคงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจ ยังคงอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเราให้ได้ดีอยู่เสมอๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

นี่คือหลักการของพระเจ้า จงจำไว้ว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เราได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณของเราเชื่อมสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซู เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แยกกันไม่ออก ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าเราจะประพฤติสิ่งใดบนโลกใบนี้ก็ตาม แล้วก็ได้รับโทษตามการประพฤติของเรา ได้เก็บเกี่ยวตามการหว่านของเราบนโลกใบนี้ ทุกข์ใจขนาดไหนก็ตาม เจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม หรือมนุษย์รวมความแล้ว เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายมากมายนักก็ตาม ตราบใดที่เรายังอยู่ในพระเจ้า และเชื่อจริงๆ ได้เปิดปากเชื่อในพระเจ้า  ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า และได้เข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่แล้ว เรายังเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์   พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************