คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ตอน 5 “นั่งเครื่องบิน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อกันในหัวข้อคำบรรยายเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้ เป็นตอนที่ 5 ตอนที่ 1 จำได้ไหม? จำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 แล้วจะมีต่อไปเรื่อยๆ ฟังกันมา 4 ตอนแล้วใช่ไหมครับ? ตอบกันได้หรือยังว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ตอบกันได้ไหม? อย่างน้อย ยังพอจะรู้นะว่าเราเป็นใครในพระคริสต์บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ได้หมด ผมพยายามที่จะย้ำตรงนี้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ประเด็นที่สำคัญ ที่เราได้คุยกันไปทั้งหมดใน 4 ตอน ก็เพื่อย้ำให้เรารู้ตัวและให้เรามั่นใจอยู่เสมอว่าเรานั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อยากจะเน้นตรงนี้ ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่สวรรค์สถาน เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ในวิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ด้วย เข้าใจไหม? เข้าใจไหมครับ?

หลายคนบอกเข้าใจ แสดงว่าจำไม่ได้

เข้าใจไหม?

ไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา นี่ต้องอย่างนั้น

ไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าเชื่อ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น

แล้วยังจำได้ไหม? เมื่อครั้งที่แล้ว  ผมได้ยกตัวอย่าง เวลาที่เราจะเดินทางไปไหน โดยเฉพาะไปที่ไกลๆ เราก็บอกว่าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งจะบินไปเชียงราย แล้วก็บินกลับมา ผมเมื่อยแขนไปหมด ไม่เมื่อยแขน เพราะผมอยู่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ใครบินไปไหน ตอนนี้ทุกคนก็บอกว่าบินทั้งนั้นแหละ แต่ไม่เห็นมีใครบินสักคน นั่งเครื่องบินไป ไม่เห็นมีใครบอกนั่ง ทุกคนก็บอกว่าบินไปโน่นบินไปนี่

ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ ฟังให้ดีนะครับ ด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ แต่มนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน ถูกหรือไม่ถูก? เราสามารถอธิบายการบิน ที่เครื่องบินมันบินได้ แบบง่ายๆ ด้วย เขาเรียกว่าทฤษฎีการเคลื่อนที่ของอากาศ

คือทฤษฎีบอกว่าอากาศที่เคลื่อนที่เร็วกว่า จะมีแรงกดดันต่ำกว่า และลักษณะของปีกเครื่องบิน จะทำให้อากาศที่เคลื่อนผ่านใต้ปีก มีความเร็วต่ำกว่าด้านบน เพราะฉะนั้น ความดันใต้ปีกเครื่องบิน จึงสูงกว่าความดันเหนือปีกเครื่องบิน จึงทำให้เกิดแรงยกขึ้น ที่เรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น จึงทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นและลอยอยู่ได้ เข้าใจไหมครับ? ตอบสิ? ตอบดังๆ สิครับ?

“ไม่เข้าใจ”

นี่ ต้องตอบอย่างนี้ถึงถูก ยอดเยี่ยมมากเลย ตอบว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อไหม? เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน ขึ้นไปบินทำไมล่ะ เพราะเชื่อไง

ซื้อตั๋วเครื่องบิน ต้องไปคิดเหรอ มันจะยกขึ้นตรงไหน? ตรงนี้ปีกเครื่องบินเป็นอย่างไร? ผมไม่ได้เคยคิดเลย ผมก็ซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วผมก็เดินจ้ำๆ เข้าไปในเครื่องบิน นั่นแหละ แต่กฎเหล่านี้ มันอธิบายแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ลักษณะเดียวกัน ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และผมก็ไม่ต้องมาสอนเรื่องนี้ว่าเครื่องบินมันจะขึ้นอย่างไรให้มันชัดเจน เพราะว่าวันนี้ไม่ได้สอนเรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับการยกขึ้นของเครื่องบินอย่างไร? แต่เพียงต้องการเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นภาพว่าด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งโน้มถ่วง แรงดึงดูดของโลก อย่างนี้เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ ถูกไหม? โยนของมีน้ำหนักไป มันก็ตกลงดิน เขาเรียกว่าแรงดึงดูดของโลก เขาเรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติใช่ไหมครับ? ทำให้ไม่มีวัตถุใดๆ สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ มันถูกดูดลงหมด ถูกไหม? ไม่ว่าเราจะโยนวัตถุอะไรขึ้นไป วัตถุนั้นก็ต้องตกลงมา วัตถุนั้นโยนขึ้นไป มันบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อกฎแห่งการดึงดูด”

แล้วมันลอยอยู่ได้ไหม? ไม่ได้ ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็ตกลงมาอยู่ดี ไม่ว่าคนนั้นจะบอกว่า.-

“ฉันเชื่อหรือไม่เชื่อ”  ก็ตาม

เวลาเขาเดินออกมาจากระเบียบชั้นบน แล้วก้าวออกไปข้างนอก ที่ไม่มีพื้นแล้ว เขาก็ตกลงมา แม้เขาจะบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่เชื่อกฎหรอก ถึงจะมีแรงดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ”  ก็ตกลงมาอยู่ดี

แต่กฎแห่งการยกขึ้น คืออะไร?  กฎแห่งการยกขึ้น ที่เมื่อตะกี้ที่บอกว่าเครื่องบินเอาไปใช้ ที่นักวิทยาศาสตร์คิดขึ้นมา กฎแห่งการยกขึ้น อันที่ตะกี้นี้บอก เป็นกฎที่ได้เอาชนะเหนือกฎแรงดึงดูดของโลก ถูกไหม? เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว จึงทำให้เครื่องบินสามารถอยู่เหนือกฎแห่งธรรมชาติ สามารถยกขึ้นและลอยอยู่ได้ เคลื่อนไปในอากาศได้ ในขณะที่กฎธรรมชาติยังอยู่ … อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ แรงดึงดูดของโลกยังอยู่ไหม? อยู่ เครื่องบินที่บินอยู่ ลอยอยู่ในอากาศ แรงดึงดูดของโลกยังมีอยู่ไหม? มีอยู่ แต่พลังแห่งกฎแห่งการยกขึ้น ชนะ มีอำนาจเหนือกว่าในตอนนั้น และเราซึ่งเป็นมนุษย์ที่โดยตามกฎธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถบินได้ ถ้าเป็นตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถบินได้ แต่เมื่อเราเอาตัวเราเข้าไปนั่งอยู่ในเครื่องบิน เราก็ได้อาศัยเครื่องบิน ทำให้เราเอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ และสามารถบินไปไหนมาไหนได้

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “เราก็เลยอาศัยเครื่องบิน เครื่องบินทำให้บินได้”

ถูกไหม? เราไม่ได้พยายามบินด้วยตัวเอง เราไม่ต้องพยายามบินได้ด้วยตัวเอง ถูกหรือเปล่า? เราอาศัยอะไร? เครื่องบิน ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ

ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือกฎธรรมชาติทางฝ่ายวิญญาณนะ กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกฝ่ายวัตถุ มนุษย์ก็มองไม่เห็น แต่มีอยู่ ถูกไหม? มนุษย์มองไม่เห็นกฎนี้ แต่มีอยู่ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง ในทางฝ่ายวิญญาณเช่นเดียวกัน กฎธรรมชาติมีอยู่อันหนึ่ง ที่พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่ากฎแห่งบาปและความตาย มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายด้วยครับ เหมือนกับกฎแรงดึงดูดของโลก ซึ่งมีอยู่ กฎแห่งบาปและความตาย ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอาศัยพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ตะกี้เราอาศัยเครื่องบิน เพราะอาศัยในพระเยซูคริสต์ อาศัยพระเยซูคริสต์จะมีกฎใหม่ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป

และกฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต รู้ได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ชัดเจนแล้วนะ ในหนังสือโรมนะครับ โรม 8:1-2 ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นจะๆ เลย จำให้ได้เลยต่อไปนี้ โรม 8:1-2 ลองอ่านพร้อมๆ กันก่อนนะครับ

โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

“เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

เอามาเทียบกับเครื่องบินเมื่อตะกี้นี้แล้ว อันนี้เหมือนกันเลย พูดตามนะครับ

          “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการล่วงหล่นหรือตกลงมาแก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อยู่ในเครื่องบิน เพราะโดยการอยู่ในเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น ได้ปลดปล่อยให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นอิสระ จากกฎแห่งการดึงดูดของโลก” เอเมน

 

ไม่มีอะไรเลย ธรรมดาเลย ชัดไหม? เริ่มเข้าใจชัดเจนใช่ไหมครับ มันมีกฎของมันอยู่ เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะอะไร? เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปนั่นเอง กฎเก่าที่เรียกกฎแห่งบาปและความตาย ก็คือบัญญัติ ในสมัยโมเสส คือพันธสัญญาเดิม คือตาต่อตา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือพูดง่ายๆ ซึ่งฟังดูเหมือนดี แต่เพราะมนุษย์ตกลงในความบาปแล้ว เกิดมาก็บาปแล้ว เกิดมาก็มีเชื้อบาปติดมาแล้ว มันก็เลยทำดีไม่ได้ มันก็เลยทำไม? ก็เลยทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น ได้อะไรล่ะ ก็ได้ชั่ว เพราะชั่วไง นี่มันเป็นตรรกะง่ายๆ นะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือไม่มีการอภัย ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด สมัยนั้นเรียกว่ากฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ส่วนกฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่ตะกี้นี้เราอ่านในพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ก็คือกฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือพระคัมภีร์ใช้คำว่ากฎใหม่ พันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ … ในพระเยซูคริสต์มีพระคุณอยู่ที่นั่น ไม่ต้องทำดีได้ดีแล้ว ทำชั่วก็ได้ดี กล้าพูดได้เลย โดยความเชื่อในกฎใหม่นี้ เป็นกฎที่ทำให้เราได้รับความชอบธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ดีๆ เปล่าๆ โดยไม่ต้องกระทำอะไรเลย เพราะพระเยซูทำให้เรา

ฟังดู แล้วมันเหมือนกับมันไม่ยุติธรรมนะ แต่กฎมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนกับที่กำลังจะบอกว่ายุติธรรมไหม? ที่คนดีๆ ทำดีมาตลอด แล้วก็เดินออกไปที่ระเบียบ แล้วก็ตกระเบียบลงไป แรงดึงดูดของโลกดูดลงไป หรือคนดีๆ ขึ้นเครื่องบิน แล้วเครื่องบินลำนั้น กฎแห่งการยกขึ้นมันเสียไป ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหมด มันต้องพุ่งเร็ว อยู่ในเงื่อนไขของกฎแห่งการยกขึ้น ทำให้กฎแห่งการยกขึ้นเสียหายไป แรงดึงดูดของโลก ก็ดูดเขาไป ตก อย่างนี้ ไม่ยุติธรรมเหรอ แล้วอะไรคือยุติธรรม มันอยู่ที่กฎระเบียบที่ถูกตั้งไว้แล้ว ผู้ที่ควบคุมระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่าเป็นอย่างนั้น  ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องดำเนินตามกฎของพระเจ้าทั้งสิ้น อย่างที่ผมบอก เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ยังมีอยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ กฎแห่งความบาปและความตายก็มีอยู่เช่นเดียวกัน

 

และที่บอกว่า “บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” ก็เพราะว่าการลงโทษผู้ที่กระทำผิด เป็นกฎที่ระบุไว้ในธรรมบัญญัติสมัยโมเสสอันเดิม สมัยนั้น ไม่มีการอภัยเด็ดขาด ซึ่งผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎนี้อีกต่อไปแล้วไง พระเจ้าได้สร้างกฎใหม่ขึ้นในพระเยซูคริสต์แล้ว กฎแห่งพระคุณในพระเยซูคริสต์ หรือของพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้เราเป็นอิสรภาพจากกฎเก่า ที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในนี้ เราก็มีกำลัง มีอำนาจอยู่เหนือพลังของกฎเก่า ซึ่งกฎเก่า ก็คืออะไร? คือความบาปและความตายต้องชดใช้ เราเลยไม่ต้องชดใช้ เราจึงเหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่ได้กฎใหม่แล้ว นักวิทยาศาสตร์สร้างกฎนี้ขึ้นมา แล้วเจอกฎนี้ ก็คือกฎการยกขึ้น เรานั่งยิ้มไปเลย เพราะอะไร? เพราะขณะที่เรานั่งยิ้มนั้น เรามีชัยชนะอยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก เราลอยอยู่ในอากาศได้ เอเมน เห็นไหม?

แล้วทำไมต้องมีกฎใหม่ของพระเยซูคริสต์ มาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากบทบัญญัติ ท่านคิดในใจว่าทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้มนุษย์ทำตามบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อจะได้รอดจากการถูกลงโทษไม่ได้หรือ! เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ให้มนุษย์ทำดีสิ จะได้ … ได้ดีอย่างเดียวไง เป็นไปได้ไหม?  ผมไม่ตอบ ผมให้พระคัมภีร์ตอบดีกว่า พระคัมภีร์จะตอบว่าทำได้หรือไม่ได้? โรม 8:3-4 จะบอกเลยว่าทำไมมนุษย์จึงทำไม่ได้

โรม 8:3-4 “3 เพราะสิ่งที่บทบัญญัติช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป 4 เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอ เนื่องจากวิสัยบาป เนื่องจากเชื้อของความบาป เนื่องจากสันดานของความบาป  ที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่ตกทอดมาจากอาดัมและอีฟบรรพบุรุษของเรา ทำให้มนุษย์อ่อนแอ เดี๋ยวก็ทำบาป

จะทำดีสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็ทำบาป  ไม่มีใครสอนอะไรเลย ตั้งแต่เด็กๆ มา ก็เริ่มโกหก เริ่มอิจฉาริษยา เริ่มเห็นแก่ตัว ใครสอนเด็กเหล่านี้  เชื้อมัน เชื้อที่อยู่ในตัวเด็ก พระคัมภีร์บอก ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่บาป คือบาปทุกคน ถ้ามนุษย์สามารถทำตามบัญญัติภายใต้กฎแรก ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือไม่ทำบาป ไม่ทำผิดบทบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว มนุษย์ก็จะรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ คือไม่ต้องรับโทษในความผิดของตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ทำ แต่ที่เราอ่านเมื่อตะกี้ แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีมนุษย์คนไหนสามารถรักษาบทบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่กระทำผิดบาปเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยโกหกใครเลย  ไม่เคยคิดไม่ดีต่อใครเลย  พระเจ้าจึงต้องให้มีกฎใหม่ เพื่อมาปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นอิสระจากกฎเดิม ซึ่งติดเชื้อบาปมาจากบรรพบุรุษ เพราะถ้าไม่มาปลดปล่อยจะไม่มีใครรอด พ้นจากการถูกลงโทษเลย ทุกคนต้องได้รับโทษหมด ที่เราคุ้นๆ กันว่าเกิดมาใช้เวรใช้กรรม ไม่หมดสักที เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที มันเรื่องจริง แต่ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีก่อน ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน บนไม้กางเขน พระองค์ทรงไถ่เรา

ถ้อยคำตรงนี้จึงบอกว่าเพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ช่วยไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์อ่อนแอ ไม่สามารถบินได้ นักวิทยาศาสตร์จึงช่วยแล้ว ช่วยทำ ช่วยหา จนพบกฎแห่งการยกขึ้น  สร้างเครื่องบินมา ทำให้เราชนะแรงดึงดูดของโลก สามารถบินได้ ความอ่อนแอของมนุษย์บินไม่ได้ แต่โดยนั่งบนเครื่องบิน มนุษย์กลายเป็นบินได้ เอเมน

ลักษณะเดียวกัน สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการกระทำตามบทบัญญัติ ไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากการถูกลงโทษได้  เพราะไม่มีใครเลย อย่างที่บอกว่าไม่มีใครเลยที่จะทำถูกต้องได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะมนุษย์ทุกคนมีวิสัยบาปอยู่ ภาษาเดิมจริงๆ เขาเรียกว่าสันดานบาปอยู่ เชื้อบาปที่อยู่ในตัว ที่จะกระทำความผิดอย่างแน่นอน คือพูดตรงๆ ก็คือถึงไม่ทำไม่อะไรเลย ก็เป็นคนบาป เพราะมันบาปมาจากสายเลือด เข้าใจใช่ไหมครับ? มันมาจากสายเลือด อย่างไงๆ ก็เป็นคนบาป

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคน เป็นคนบาป ไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป จึงเป็นคนบาป แต่กำลังหมายถึงมนุษย์ทุกคนเป็นเชื้อสายของอาดัมและอีฟทั้งสิ้น และอาดัมและอีฟพามนุษย์ทั้งครอบครัวของตัวเอง เผ่าพันธุ์ทั้งหมดตกลงไปในความบาปทุกคน ก็เลยโดนโทษนี้ไปด้วย

พระคัมภีร์ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่มนุษย์จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรม ก็คือบริสุทธิ์สะอาด ไม่บาปเลย ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย โดยการทำตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยตัวเอง โดยการกระทำด้วยตัวเอง โดยพยายามด้วยตัวเอง ไม่มีสิทธิ์เลย เช่นเดียวกัน ที่ผมบอกมนุษย์อ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์เลย ที่จะบินได้ด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ ต่อให้ไปเล่นกล้ามเท่าไร ก็บินไม่ขึ้น ถูกไหม? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมด้วยตัวเอง  ต้องมีใครมาช่วยสักคนหนึ่ง พูดง่ายๆ และผู้นั้น ที่เรารู้ก็คือกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณ กฎของวิญญาณ โรม 3:20 บันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

 

“โดยการรักษาบทบัญญัติ ไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้”

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่าอยู่ กฎความประพฤติ กฎการทำอยู่ คือกฎแห่งบาปและความตาย พระคัมภีร์ใช้ชื่อนี้ กฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครยังอยู่ในกฎเก่านี้อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากโทษบาปเวรกรรมของตนไปได้เลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่ได้เลย  เพราะยังอยู่ในกฎเก่าอยู่ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่มนุษย์จะสามารถรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ ก็คือต้องหากฎใหม่ให้ได้ หากฎใหม่ให้เจอ แล้วกฎใหม่นั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ที่ไม้กางเขน โดยส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน ก็คือคนนั้นต้องหากฎนี้ให้เจอ และต้องมาอยู่ภายใต้กฎใหม่นี้ ที่เรียกว่ากฎวิญญาณนี้ ซึ่งเป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต เขาจะต้องเชื่อในกฎนี้ และเข้ามาอยู่ในกฎนี้ เขาถึงจะชนะกฎของความบาปและความตาย ซึ่งเขาต้องชดใช้เวรกรรมของเขา ถ้าไม่อยากชดใช้ ก็เข้ามาอยู่ในกฎใหม่ที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎของความบาปและความตาย กฎใหม่นี้ มีชื่อว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

และผู้ที่สามารถอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น  จะย้ายเข้ามาอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิต ก็ไม่ใช่ด้วยการกระทำอีกแล้ว วิธีเดียวเท่านั้น ที่ผู้หนึ่งผู้ใดสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้นั้น ก็คือต้องเป็นผู้ที่เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นให้ได้ และผู้ที่จะอยู่ในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น พระคัมภีร์พูดไว้ คือผู้นั้นต้องเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

และเชื่อในข่าวดี คืออะไรไม่เข้าใจ? อ๋อ! ข่าวดีของพระเยซู ก็หมายถึงต้องเชื่อในข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับท่าน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม บาปท่านได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว ไถ่ท่าน โดยฟรีๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปรับอย่างเดียว นี่คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องเสียอะไรเลย ได้เปล่าๆ เรียกว่าข่าวดี  ถูกไหม?  เข้าไปรับสิทธิ์ คนนั้น มีหน้าที่เชื่อในข่าวดีนี้ ที่มาถึงเขา เชื่อว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วก็เดินเข้าไปรับสิทธิของเขา เท่านั้นเอง  เขาก็จะได้รับสิทธิ์นั้นทันที เขาจะได้เข้าไปอยู่ในกฎใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

จำได้ไหมในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ดังเลยนะ เดี๋ยวจะให้ท่านเห็นชัดๆ ข้อพระคัมภีร์ดังเลย ยอห์น 3:16-18 อ่านพร้อมกัน แล้วก็เน้นๆ ตอนช่วงท้ายๆ ข้อ 18 พยายามอ่านให้เน้นๆ ว่าเป็นอย่างไร?

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ในนี้ข้อ 16 บอกว่า “เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

ก็คือชีวิตที่จะไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป

ในนี้บอกว่า “เพราะพระเจ้าไม่ได้จะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อจะพิพากษาโลก”

ไม่ได้มาเพื่อตำหนิ เพื่อจัดการ “ฉันจะลงโทษเธอ” ไม่ใช่ แต่มาเพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์บนโลกนี้ จะได้รอดจากอะไร? จากกฎของความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย และหนี้เวร หนี้กรรมต่างๆ ที่เราต้องชดใช้

ในข้อที่ 18 บอกว่า “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว”

จริงๆ คำว่า “พิพากษา” มันต้องมีคำว่า “ลงโทษ” อยู่ในนั้นด้วยนะ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เห็นหรือยัง? แปลว่าอะไร?

“ผู้ใดที่ไม่เชื่อพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว” คือเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เกี่ยวกัน ถ้าไม่เชื่อก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แล้วจะสั่งปรับโทษ เราไม่เชื่อในการที่เครื่องบินยกขึ้นได้ แต่พอเรานั่งบนเครื่องบิน กฎแห่งแรงดึงดูดของโลกมันก็มีอยู่แล้ว เช่นเดียวกัน กฎของความบาปและความตายมันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ มันอยู่แล้ว มันคอยจะดูดคนลงไป อยู่แล้ว  ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็ยังถูกดูดอยู่ดี

ในนี้บอกว่าเพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ เพราะไม่เชื่อ ในนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อว่าพระเยซูมาทำกฎใหม่ให้เรา มีสิทธิ์ มีชัยชนะอยู่เหนือกฎของความบาปและความตายแล้ว เขาไม่เชื่อตรงนี้ เขาจึงได้รับการลงโทษ อยู่แล้ว เป็นธรรมดา

เหมือนกับพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้ลงมาเกิด เราก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเราไม่เชื่อพระเยซู แล้วถูกลงโทษ แต่มันถูกลงโทษ ตั้งแต่อาดัมและอีฟพาพวกเราทั้งหมด บรรพบุรุษของเรา พาเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทั้งหมดลงไปในความบาป  เราได้รับโทษแล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมแปลตรงนี้ให้ท่าน เปรียบเทียบตรงนี้ให้กับท่าน … ท่านจะเห็นชัดเจนขึ้นนะครับ อ่านตามผมนะครับ พูดตามผมนะครับ ดังๆ เลยนะ

“ผู้ใดที่เชื่อกฎแห่งการยกขึ้น  ก็ไม่ล่วงหล่นลงมา ผู้ใดไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้นนี้ ก็ล่วงหล่นลงมาอยู่แล้ว แน่นอน 100%” ใช่ไม่ใช่?

“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อว่ามีกฎแห่งการดึงดูดของโลก ฉันไม่เชื่อ ฉันก็เดินออกไปเลย”

ถ้าผมเดินออกจากเวทีนี้ไป ผมตกไหม? ตก ถ้าอย่างนั้น ผมไม่เดินออกไปหรอก ผมเชื่อ  ถ้าไม่มีกฎในการยกขึ้นมาช่วย ไม่มีเครื่องบิน สมมตินะ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่มีใครช่วยเราได้แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น  เราจะไม่ได้บินเลย ตลอดชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะไปไกลขนาดไหน? ก็ไม่กล้าไป เพราะเราขี้เกียจนั่งเรือ เรากลัวเมา เข้าใจใช่ไหม?

ถ้าย้อนกลับไปที่ตัวอย่างในเรื่องเครื่องบินตะกี้นี้ ลักษณะเดียวกัน คือถ้าเรายังคงอยู่กับข้อจำกัดของกฎเก่า คือกฎเก่า กฎธรรมชาติ บอกว่าวัตถุไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ เราจะแพ้กฎนั้น กฎนั้นเรียกว่ากฎแรงดึงดูดของโลก กฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ เราต้องเชื่อในกฎใหม่ก่อน ที่นักวิทยาศาสตร์เขาสร้างขึ้นมา คือเชื่อในกฎแห่งการยกขึ้น เขาคิดขึ้นมาว่ามันมีกฎแห่งการยกขึ้นจริงๆ นะ ที่ทำให้เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้ และลอยอยู่ได้ เราก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ ผ่านทางเครื่องบิน โดยอาศัยเครื่องบิน ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ เพราะฉะนั้น ผมจะเขียนสมการให้ท่านดู

เครื่องบิน ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแรงโน้มถ่วงของโลก นี่พูดถึงเครื่องบินนะ กฎธรรมชาติ คือมันมีแรงโน้มถ่วงของโลกอยู่ ไม่สามารถบินได้ ถูกไหม?

คราวนี้กฎไม่ธรรมชาติ กฎที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นอีก กฎที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมา ก็คือแต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะ เหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะฉะนั้น สรุปออกมาเป็นผล สามารถบินได้ ลอยอยู่ในอากาศได้

เทียบกับมนุษย์ … มนุษย์นะ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาตินะ ธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ต้องตายและตาย … ตายเดี๋ยวนี้และตายจากโลกนี้ไป ก็เรียกว่าตาย 2 ครั้งเลย  ตายทางวิญญาณด้วย ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลได้ เรียกว่าตาย เรียกว่าพินาศ หรือเรียกว่านรก

ย้ำอีกทีหนึ่ง ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งความบาปและความตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกวันนี้ ทำให้มนุษย์ต้องประสบกับความตาย ต้องอยู่ในนรก ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว และเป็นอิสระจากความตายทางฝ่ายวิญญาณ สิ้นสุดชีวิตแล้ว วิญญาณก็สามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นิรันดร์กาล อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่หลังความตาย เข้าใจใช่ไหม? ตรงกันข้าม ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ ก็คือต้องไปอยู่ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าเป็นของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เราเป็นคนบาป เราต้องไปอยู่ข้างนอกสวรรค์ เรียกว่านรก พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศ” ความตาย  แต่คนที่อยู่กับพระเจ้าเรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์

 

ถามว่าทำไมผมถึงพยายามยกเรื่องเครื่องบินขึ้นมา เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ปัจจุบัน ควรจะมีประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันกับการนั่งเครื่องบินไปไหนมาไหน? ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เครื่องบินบินกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนคนกลัวกัน แต่เดี๋ยวนี้บินกันเยอะมากๆ ข้างบนอากาศ คนบินกันเยอะ เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างจะเห็นชัด มันจะเห็นชัด ถามว่าเวลาที่ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ใครก็ตามที่เดินทางโดยเครื่องบิน ท่านเดินทางโดยเครื่องบิน ท่านต้องทำอะไรบ้างไหม? บนเครื่องบิน  ที่จะทำให้เครื่องบินยกขึ้นให้ได้ ท่านไปช่วยยกเครื่องบินไหม? ตอนที่นั่งอยู่ในเครื่องบิน หรือในขณะที่มันลอยอยู่บนท้องฟ้า ท่านช่วยทำอะไรไหมที่มันลอยอยู่บนฟ้าได้  ท่านต้องคอยช่วยนักบินดูแผนที่ไหม? ก็ไม่ต้อง ท่านต้องคอยช่วยดูทิศให้ไหม? เผื่อว่ากัปตันบินเลี้ยวผิดอะไรประมาณนี้  ท่านก็ไม่เคยคิด ท่านต้องคอยช่วยควบคุมระดับการบินไหมว่าสูงไป เตี้ยไป

“นักบินทำไมบินเตี้ยอย่างนี้ น่าสูงขึ้นไปอีก ตอนนี้ 10,000 … 30,000 กิโลเมตร อะไรอย่างนี้ สมมตินะ สูงกว่าพื้นดิน อะไรอย่างนี้  ท่านไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวใช่ไหม? แค่นั่งเฉยๆ แล้วก็ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน แล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใคร? ของคนข้างๆ ไม่ใช่ หน้าที่ของกัปตัน … กัปตันหรือนักบินก็จะพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ตะกี้ผมบอกคนข้างๆ หมายถึงใครรู้ไหม? บางคนเป็นคริสเตียน กัปตันของเรา คือพระเยซู แทนที่เราจะนอนหลับ แล้วพึ่งในพระเยซู พึ่งคนข้างๆ แทน เข้าใจไหม? พึ่งคนข้างๆ แทน มันต้องพึ่งพระเยซูนะ ต้องยึดพระเยซูผู้เดียว ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากพระเยซูเท่านั้น แต่คนข้างๆ มาเพื่ออะไร? เพื่อหนุนจิตชูใจเราเท่านั้นเอง แต่ไม่ใช่ว่าพึ่งเขา จนกระทั่งเขาพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ มันเป็นไปไม่ได้

นั่นแหละครับ ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ควรจะดำเนินชีวิตแบบนี้เหมือนกัน ถูกไหม? คริสเตียนทุกคนรู้ดีว่าจุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่การได้รับชีวิตนิรันดร์และได้ไปอยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระองค์ทรงตั้งเป้าอย่างชัดเจน แจ่มใส แล้วก็หมดบาป แล้วไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็มันรู้จักพระเจ้าแล้ว คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอวิญญาณออกจากร่าง สามารถไปอยู่สวรรค์ได้ เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ ง่ายๆ อย่างนี้

พระเยซูก็บอกแล้วว่าพระองค์เป็นทางนั้นที่จะนำพาเราไปพบกับพระเจ้าได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  เราได้รับสิ่งนั้นจากพระเยซูมาเรียบร้อยแล้ว เราได้รับแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับบางคนได้รับแล้ว ไม่ไปใช้สิทธิของเขาก็มี แต่เราทั้งหลายในที่นี่ เราได้รับแล้ว … แล้วเราก็มาใช้สิทธิของเราแล้วด้วย อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรครับ อะไรที่เราต้องทำ มีไหม? ตอบ อยู่บนเครื่องบิน คุณต้องทำอะไรไหม? ไม่ต้องทำ เพราะฉะนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ลำบากใจนะ มันอยากทำ มันติดนิสัยเก่ามา มันอยากทำ คุณไม่ต้องทำ คนละเรื่องกัน ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องทำดี ไม่ใช่นะ ไอ้ทำดี ผมจะบอกให้ท่านฟัง ทำดี มันอยู่ในวิญญาณมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว พระเจ้าใส่ลงไป เป็นธรรมชาติ ที่เขาอยากทำดี แต่ทำชั่วนั้น เขาไม่อยากทำ แต่มันอดไม่ได้ มันสู้กับมันไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนทำชั่ว ไม่ต้องส่งเสริม ไม่มีใครอยากทำชั่วอยู่แล้ว แต่มันชั่วจริงๆ ก็เพราะเขาสู้ตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับกิเลสตัณหาของตัวเองไม่ได้ เขาสู้กับเชื้อความบาปที่อยู่ในตัวของเขาไม่ได้ เข้าใจไหมครับ? นี่มันต้องเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น อะไรที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้ได้รับชีวิตนิรันดร์ เพื่อให้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั้น เราไม่ต้องทำอะไร เพราะพระเยซูทำให้หมดแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเยซูทำให้เราแล้ว สมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน พระองค์ทรงบอกว่า Finish … It is finished. มันเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แล้วๆ ครบถ้วนแล้ว จบ เราไม่ต้องทำอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว ต้องย้ำอีกทีว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเราจะอธิษฐานหรือทำดีอะไรต่างๆ  พระวิญญาณจะนำเราเอง ถึงแม้พระวิญญาณไม่นำเราในอดีต อย่างที่บอก ไม่เชื่อพระเจ้า จิตวิญญาณของเขาคนนั้น ลึกๆ ในใจเขาอยากทำดีทุกคน เพียงแต่มันสู้กับกิเลสตัณหาเนื้อหนังไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน

ในหนังสือโรม ได้บันทึกว่าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็เปรียบได้ว่าได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์แล้ว คือวิญญาณเก่าของเรา ฟังให้ดีนะ วิญญาณเก่าของเราได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้วเช่นเดียวกัน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ … เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว … พระองค์มาตายที่ไม้กางเขน … ตายหรือยัง? ตอบทุกคน ตายแล้ว … พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หรือยัง? เห็นไหมทำหมดนี้แล้ว ดังนั้นสิ่งต่างๆ ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าที่พระเยซูทำเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อน มันเกิดผลในชีวิตของเราอย่างนี้ โรม 6:3-6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่าเกิดผลที่เราอย่างไร?

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา เข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม ในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

 

เอเมน … เป็นอิสระไหม? ถ้าไม่เป็นอิสระ อ่านตามผม เป็นอิสระแน่เลย อ่านตามดังๆ เลยนะ อ่านให้ตัวเองฟัง

          “เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) รู้ว่าวิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)  ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อวิญญาณบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

 

ถามว่าอิสระนั้นที่ไหน? ที่วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์ ตายไปแล้วกับพระคริสต์ ถูกฝังไปแล้วกับพระคริสต์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว เหมือนกับพระคริสต์ไม่มีผิดเลย  พวกนี้วิญญาณทั้งนั้น มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตาย แล้วมีส่วนร่วมกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย รวมความก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ … พระองค์ทรงทำอะไร เราทำอันนั้นด้วย  นี่มันเป็นอย่างนั้น ในพระคัมภีร์บอกไว้ ตื่นเต้นน่าดูเลย ตื่นเต้น

ตัวอย่างที่จะอธิบายให้ท่านเห็นภาพตรงนี้ให้ดีที่สุด ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือเหมือนอย่างครั้งที่แล้ว หรือครั้งก่อนโน่น ที่ได้ยกตัวอย่างเรื่องถุงชา ที่พูดไปแล้ว คือถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้อะไร? ที่ครั้งที่แล้วคิดอยู่ตั้งนาน ตอบ ถ้าเราใส่ถุงชาลงไปในน้ำร้อน เราก็จะได้น้ำชา ไม่ใช่กาแฟ เพราะเราใส่ถุงชา … ถุงชากับน้ำร้อน ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน ถึงแม้เราจะหยิบถุงชาออกไป เสร็จแล้ว หยิบถุงชาออกไปเลย เราก็ไม่สามารถแยกน้ำร้อนกับถุงชาอีกต่อไปแล้ว เพราะมันรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มันไม่มีทาง ไม่มีทางเลย นึกถึงเรากับพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอะไร?  ใครจะมาแยกเราได้ มีใครหน้าไหนจะมาแยกเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ มันหมายถึงอย่างนี้ มีใครจะมาปรับโทษเราได้อีก การปรับโทษ ก็หมายถึงจะมีใครมาว่าเรา … เราไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้เป็นหนึ่งกับพระองค์ ไม่มีใครหรอก เมื่อเราเชื่อข่าวประเสริฐนี้ ยึดไว้ให้ดีๆ ทางวิญญาณมันเกิดสภาพนี้แล้ว เรียบร้อยไปแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

เช่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ฟังให้ดีๆ นะครับ ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว แยกกันไม่ออก และก็เหมือนกับตัวอย่างเรื่องน้ำชาว่าอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเพราะบางครั้ง เราก็ชงชาแบบเข้ม บางครั้งเราก็ชงชาแบบอ่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นชาแบบเข้มหรือแบบอ่อน อย่างไรมันก็เป็นน้ำชาอยู่ดี อย่างไรๆ ก็เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ดี เพียงแต่มันจะเข้มหรืออ่อนเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น ถามท่านในที่นี่ ท่านเป็นคริสเตียนเข้มหรืออ่อน ไปถามเอง ไม่ต้องไปถามคนข้างๆ ด้วยนะ ท่านเป็นคริสเตียนแบบเข้มหรือแบบอ่อน จุ่มไปด้วยกันนั่นแหละ ทำพร้อมกันนั่นแหละ แต่บางคนเข้ม บางคนอ่อน อย่าหันไปหาคนข้างๆ สิ ดูตัวเองๆ ฉันใดก็ฉันนั้น คริสเตียนก็มี คริสเตียนที่แข็งแรงแล้ว อันนี้หมายถึงวิญญาณนะครับวิญญาณ แข็งแรงแล้ว และคริสเตียนที่ยังทำไม? ทางวิญญาณนะ อ่อนแออยู่ ยังเป็นชาอ่อนอยู่ นี่พูดถึงวิญญาณทั้งนั้นนะ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็น คริสเตียนที่อ่อนแอ เป็นชาอ่อนๆ ยังไงๆ ก็ยังเป็นผู้ที่อยู่ในพระคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตอบ ใช่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันใช่หรือไม่ใช่? ตายไปแล้ว สิ้นจากชีวิตบนโลกนี้แล้วไปอยู่ในสวรรค์หรือเปล่า? อยู่ในสวรรค์เหมือนกัน เอเมน และสามารถเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกันเลย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์หมายถึงอย่างนี้ พระเยซูตาย เราตายด้วย ไม่ใช่พระเยซูตาย  คนที่เป็นคริสเตียน อ่อนแอ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด ชอบนินทา แต่เขาเชื่อข่าวดีจริงๆ นะ … เพราะเป็นก็คือเป็น เข้าใจใช่ไหมครับ? เขาเป็นชาแล้ว เขาก็เป็นชา เป็นอย่างอื่นไม่ได้

คือเราพูดเอาเขาออกไป ประพฤติอย่างนั้น มันไม่น่าอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียน คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาเชื่อในข่าวดีนั้น แล้วหรือยัง? จริงๆ คุณรู้ได้อย่างไร?  ถามสิ คุณรู้ได้อย่างไร?  รู้เอง  พูดเอง คิดเอง พระเจ้าอาจจะไม่ได้มองเขาอย่างนั้น เขาอาจจะเชื่อจริงๆ ก็ได้ แต่เขาสู้ไม่ได้กับเนื้อหนังขนาดนี้ เขาก็เป็นเพียงแค่ชาอ่อน วันนี้ออกจากโบสถ์ เดินออกไป วันนี้ชาอ่อนชาแก่ โอเค อย่าไปทำอย่างนั้น ใช่ไหม?

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ท่านรู้จักนี่ไหม? ทุกคนพูดพร้อมกันว่ากระเทียมดอง เพราะจากวันนี้ไป ท่านจะต้องพูดคำนี้ตลอดไปเลย เดี๋ยวท่านตั้งใจนะ รู้จักกระเทียมดองใช่ไหม? ใครทำกระเทียมดองเป็นบ้าง? เขาก็ต้องเอากระเทียมสดใช่ไหม? ใส่น้ำส้มสายชูใช่ไหม? น้ำตาลใช่ไหม? เกลือใช่ไหม? แล้วก็ดองไว้ ดองไว้กี่วัน? ไม่รู้ แต่ดองไว้ก็แล้วกัน สักระยะหนึ่งก็แล้วกัน  ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเขาดองไว้นานเท่าไร? ทราบแต่ว่าพอได้ที่ เขาก็จะเรียกมันว่าจากกระเทียมสดใส่ลงไปกี่วันไม่รู้ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเรียกกระเทียมสดอีกต่อไป ทุกคนเรียกว่าอะไร? กระเทียมดอง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู พร้อมน้ำตาลและเกลือ และอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะ ตามสูตรของแต่ละคน คือจากกระเทียมสด

ถ้าพูดตามภาษาพระคัมภีร์นะ แปลเหมือนกัน แต่พูดภาษากรีกให้ท่านฟังนิดหนึ่ง คือจากกระเทียมสด เมื่อถูกบัพติศมาลงในน้ำส้ม น้ำตาลและเกลือแล้ว ยังหัวเราะอีก ทำไมผมผิดตรงไหน? ก็วันนั้นเราเรียนมาตั้งแต่บทแรกแล้วใช่ไหมว่าบัพติศมาแปลว่าจุ่มลง มุดลง ดำลงไป แต่กระเทียมสดดำลงไปไม่ได้เหรอ ทำอย่างไร? ก็พูดภาษากรีกไงว่า.-

“ฉันจะเอากระเทียมสด บัพติศมาลงไปในน้ำส้มสายชู และน้ำตาล และเกลือ สภาพเดิมที่เรียกว่ากระเทียมสดเมื่อตะกี้นี้ ก็จะหายไป  ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสิ่งใหม่เรียกว่ากระเทียมดอง”

เห็นไหมบอกว่าให้จำไง เรียกว่ากระเทียมดอง และเมื่อมันถูกเปลี่ยนเป็นกระเทียมดองแล้ว มันจะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย เป็นได้ไหม? ใครสามารถทำกระเทียมดองให้เป็นกระเทียมสดได้ ใครสามารถทำได้ ถ้าทำไม่ได้ คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะทำอะไร มันทำให้กลับไปเป็นที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าจับท่านบัพติศมาลงไป ก็คือพระเจ้า ก็เหมือนเราทำกระเทียมดอง จับเราจุ่มลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ สะอาดหมดจดแล้ว

ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องนี้ กลับไปฝึกการทำกระเทียมดองเรื่อยๆ ท่านจะเห็นภาพเอากระเทียมสดมา นึกถึงชีวิตเก่าเรา พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เราก็เหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้

หยิบกระเทียมสดหัวนี้ ใส่ลงไปในโถ น้ำส้มสายชู ตามสูตรของเรา ปิดฝามันไว้เลย เปิดออกมา ฉันให้บังเกิดใหม่กับกระเทียมเม็ดนี้แล้ว ชื่อกระเทียมดอง ไม่ใช่กระเทียมสดอีกต่อไป แล้วมีใครมาเปลี่ยนได้ไหม? ฉันเอง ฉันยังเปลี่ยนไม่ได้เลย มีใครสามารถเปลี่ยนเป็นกระเทียมอื่นได้ไหม? เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

นี่มันหมายถึงอย่างนั้น อยากให้ท่านเห็นชัดเจนอย่างนี้ จึงพยายามที่จะค่อยๆ ยกตัวอย่าง แล้วก็พูดซ้ำ พูดอยู่ตรงนี้ พูดอยู่แถวๆ นี้ เพื่อให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่มีอะไรทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านเปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่สามารถกลับมา แล้วบอกว่า.-

“ฉันไม่เชื่อพระเยซูแล้ว”

พระคัมภีร์จึงบอกในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไรรู้ไหม? บอกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะไม่ทำบาปเลย ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้เลย  สมัยก่อนผมมานั่งคิด มันเป็นไปไม่ได้อย่างไร? ก็เชื่อพระเยซู ก็ยังทำบาปอยู่เยอะแยะ อ๋อ! เขาหมายถึงวิญญาณไง วิญญาณไม่ทำบาปแล้ว แต่เนื้อหนังมันคนละเรื่องกัน มันยังเดินอยู่ด้วยกัน เข้าใจไหม? ถ้าท่านบอกว่าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วท่านยังทำบาป มันไม่จริง ท่านโกหก คำว่าโกหก หมายถึงท่านทำจากข้างในนะ ทางวิญญาณข้างใน

เพราะฉะนั้น เมื่อคนเป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เขาจะไม่ทำบาปอีกต่อไป เพราะวิญญาณเขาใสนิ๊งเลย ไม่มีบาป ทุกอย่างสะอาดหมดจด ทุกวันนี้เราอยู่ในร่างของเชื้อบาปที่อยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง รอวันที่จะเปลี่ยนร่างนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการงานบนโลกนี้ พระเจ้าเห็นว่างานการบนโลกนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ใช้เราจนครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เอากลับบ้าน ทำไม? เดี๋ยวจะเปลี่ยนอะไหล่ให้ อะไหล่ๆ วิญญาณไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว วิญญาณนิ๊งแล้ว แต่ร่างกายนี้สกปรก เอาทิ้งไปเลย ใช้อันใหม่ดีกว่า ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ลำบาก ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องมานั่งทาสิว ทาอะไรอีกต่อไป สวยงามตลอดชีวิต ก็คือร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้เราในสวรรค์สถาน

คราวนี้ ท่านลองเปลี่ยนตรงนี้ ท่านลองเปลี่ยนกระเทียมสด เป็นวิญญาณเก่าของท่าน แล้วท่านนึกตามนะครับ วิญญาณเก่าของเรา ที่พระคัมภีร์บอกว่าเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป แล้วเปลี่ยนคำว่าจุ่มลงในน้ำส้มสายชู เป็นบัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วสิ่งที่ได้รับแทนที่จะเป็นกระเทียมดอง ก็จะเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากบาป แล้วเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ ฮาเลลูยา เห็นหรือยัง? ท่านเปลี่ยนแค่นี้เอง ชุบวิญญาณท่านลงไปในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ขึ้นมาเป็นอะไร? เป็นวิญญาณใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เหมือนกับที่กระเทียมสดเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือก็ว่าไป เอเมน

กระเทียมดองไม่สามารถกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านได้การรับการสร้างใหม่ ให้บริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปได้อีกต่อไปเลย เพราะท่านได้เปลี่ยนไปแล้ว ท่านไม่ใช่คนเก่าอีกต่อไปแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกว่า.-

 

“นี่แน่ะ เห็นไหม? มันใหม่ทั้งสิ้นเลย นี่แน่ะๆ Be hold  จงมองให้เห็นเถิดว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นได้รับการสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” 2 โครินธ์ 5:17 เอเมน

เพราะฉะนั้น ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ทุกวันนี้นะครับ อยากจะบอกท่านว่าสิ่งเดียวที่พระคัมภีร์ต้องการให้เราทำ สอนเรา ก็คืออะไรรู้ไหมครับ? พักผ่อน สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น แต่พระเยซูร้องเพลงนี้เลย สงบจิต สงบใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พระเยซูร้องว่า.-

“เธอยังมีฉันอีกทั้งคน  เรายังมีหนทางมากมาย ขอให้มั่นใจว่าฉันไม่เคยมาสาย ขอเพียงแค่เธออย่ายอมแพ้มันเสียก่อน” เอเมน

จำได้ไหมเพลงนี้ เอาไปฟังเรื่อยๆ ท่านจะได้เอาเทปนี้ไปฟัง เอาซีดีนี้ไปฟัง พระเยซูร้องให้ท่านว่ามั่นใจในพระองค์ อดทน เชื่อวางใจในพระองค์ ย้ำเตือนกับตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า.-

“ฉันกำลังอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระองค์กำลังนำพาชีวิตฉันไปจนถึงชีวิตนิรันดร์” เอเมน

ย้ำกับตัวเองตลอดเวลาได้ไหม? ดังนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป ต้องหัดกินกระเทียมเยอะๆ กระเทียมดองไม่ใช่กระเทียมสด หัดกินกระเทียมดองเยอะๆ เพราะกระเทียมดองมีประโยชน์ เขาว่านะ รักษาสุขภาพ เวลาท่านกิน ท่านจะได้นึกถึงตลอดเวลา เอาขึ้นมาดูก่อนกิน ถ้าตราบใดกระเทียมสด ถูกทำเป็นกระเทียมดองแล้ว เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

“ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ฉันก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในตรีเอกานุภาพอย่างนั้นเลย” เปลี่ยนไม่ได้แล้ว

ขอบคุณพระเจ้า สดชื่น พักสงบ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2015 เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  สิงหาคม  2015

เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรามาต่อการบรรยายในซีรี่ส์นี้ครับ “เราเป็นใครในพระคริสต์” วันนี้เรามาเรียนรู้กันต่อนะครับ ในหัวข้อเรื่องนี้

พูดพร้อมกัน  “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ลองพูดกับคนข้างๆ สิว่าเขาจำได้ไหม? “เราเป็นใครในพระคริสต์”

ถามใคร? ต่างคนต่างถามซึ่งกันและกัน  เราจะมาเรียนรู้ เราอยากรู้ เราย้ำกันมาหลายครั้งแล้วนะครับว่าพวกเราที่เชื่อในพระเยซู พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตามถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่บอกว่าพระเจ้า พระเยซูตรัสนะครับ ว่าพระเจ้าอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา เมื่อเราได้รับบัพติศมา คือจุ่มลงไปในพระวิญญาณของพระองค์ จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ซึ่งเรียกกันว่าตีเอกานุภาพ เราเข้าไปเป็นหนึ่ง ในตรีเอกานุภาพ

รวมความ ก็คือเราเข้าไปมีส่วน เข้าไปมีส่วนสามัคคีธรรม มีส่วนในความยิ่งใหญ่ ความล้ำลึก ล้ำค่าสูงสุด  คือเข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Divine Nature หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าธรรมชาติของสวรรค์ ธรรมชาติของพระเจ้า เราเข้าไปมีส่วนเป็นหนึ่งในนั้นเลย  เอเมน สรรเสริญพระเจ้า

และเมื่อได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในตรีเอกานุภาพแล้ว เราก็เลย โดยปริยาย ได้รับความเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากมลทินทั้งปวง ปราศจากความบาปทั้งปวง ได้รับพระสิริของพระเจ้า ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ในพระคริสต์นั่นแหละ ในพระลักษณะนี่แหละ ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่านานานัปการ คือนับไม่ถ้วนนั่นเอง พระพรเยอะแยะมากมายมหาศาล

และครั้งที่แล้ว เราได้คุยกันถึงประสบการณ์ของคริสเตียนหลายๆ คน ที่แม้จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้จุ่มเข้าไปในฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ได้รับพระพรทางฝ่ายวิญญาณตามที่พระเยซูบอกไว้ เยอะแยะมากมาย แต่ไม่เห็นมีชีวิตที่มีสันติสุข ตามที่พระเยซูบอกเลย ไม่เห็นมีชัยชนะโลก ตามที่พระเยซูบอกเลย  ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เลย ตามที่เราได้ทิ้งท้ายไว้คราวที่แล้ว

และผมก็ได้ยกเอาคำพูดของอาจารย์เปาโลมาเป็นแบบอย่างในตอนนั้นว่าในเรื่องของว่าเปาโลดำเนินชีวิตอย่างไร? ทำไมเปาโลได้สันติสุขนั้น  ทำไมเปาโลได้พระพรนานัปการตรงนั้นไปแล้ว เราก็จะเลียนแบบเปาโลใช่ไหมครับว่าเปาโลได้แล้ว เปาโลมีสันติสุขอย่างนั้น เราก็อยากได้เหมือนกัน และวิธีใด ก็คือวิธีทำเหมือนที่อาจารย์เปาโลทำนั่นเอง  ท่านได้แล้ว เราก็ทำ ซึ่งท่านเขียนไว้เป็นเคล็ดลับอยู่ในโคโลสี 3:1-4 เราอ่านอีกครั้งหนึ่งนะครับ ซึ่งบันทึกไว้อย่างนี้นะครับ

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

พูดตามผมนะครับ “ในเมื่อทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

เวลาพูดถึงชื่อของตัวเอง พูดดังๆ แล้วก็ชี้ที่ตัวเองด้วยนะครับ  “จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน)”  ทำไมความคิดของบางคนอยู่ที่หน้าอกล่ะ คิดอย่างไรอยู่ที่หน้าอก

“จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) จดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก รู้ไหม?”

“รู้”

พูดกับใคร? พูดกับเจ้าของสมองที่ตะกี้เราชี้นั่นแหละ เข้าใจไหม?  พูดกับใคร? พูดกับตัวเอง บางครั้งต้องบังคับมันนะ มันชอบจดจ่อกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้  ในนี้เขาบอกให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่พระคริสต์สถิตอยู่ อ่านต่อ

“เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ตายแล้ว (ไม่ยอมตายกันเหรอ ดังหน่อย) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า จำไว้ รู้ไหม?”

“รู้”

ประเด็นสำคัญ คือให้ใจและความคิดของเราจดจ่อกับสิ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก นี่คือหัวใจ นี่คือเคล็ดลับ นิดเดียว แต่ทำยากๆๆๆๆ

คำว่า “เบื้องบน” ตรงนี้ ก็คือเบื้องบนที่พระคริสต์ประทับอยู่ และเราก็อยู่ในนั้นด้วย ในพระคริสต์ด้วย เบื้องบน คือที่ที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และ

“ฉันก็อยู่ที่นั่น ในขณะนี้ด้วย”

ไม่ใช่รอว่าตาย แล้วไปอยู่ตรงนั้น ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน หลับตาลง

“ทุกวันนี้ ท่านอยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์”

นี่แหละ คือการจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้  จดจ่อจนกระทั่ง เวลาท่านเกิดอะไรขึ้นก็ตามบนโลกใบนี้ ทุกลมหายใจเข้าออก จดจ่อแบบเปาโลเลย จดจ่อ 24 ชั่วโมง นึกคิดอะไรปุ๊บ เราอยู่ที่นี่ พอท่านคิด ท่านไปอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนะ การกระทำบนโลกใบนี้ ที่จะโต้ตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากระทบ มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ยกตัวอย่าง เขาตบหน้าท่านปุ๊บ ท่านรู้ว่าท่านอยู่ในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านก็ทำไม? เอาข้างซ้ายให้เขาตบ ไม่ เราก็หลบซะ แล้วก็รีบหนีไปซะ อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ให้เขาตบต่อ อันนั้น อะไรป้องกันได้ ก็ป้องกันไป แต่เราจะไม่เอาปืนมายิงเขาเลย ถูกไหม? เราทำท่าจะโกรธปุ๊บ เราก็ระลึก

“ฉันอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

แต่ถ้าท่านบอกว่า “ฉันอยู่ในประเทศไทย  ฉันเป็นของของประเทศนี้  ฉันเป็นคนไทย  ฉันเป็นโน่น  ฉันเป็นนี่  ฉันเป็นอะไรก็ตาม อยู่บนโลกนี้ ท่านเสร็จมันเลย นี่ไม่มีสันติสุขแน่นอน ทุกเรื่องเลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบชีวิตท่าน ท่านตัดสินใจด้วยตรงนี้แหละว่าท่านอยู่ที่ไหน?  ถ้าอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านชนะ แต่ถ้าท่านอยู่บนโลกนี้ ท่านแพ้มาร เอเมน ทำได้ไหม?  ตอบตรงๆ ทำได้ไหม? ไม่ได้  แต่ก็พยายามทำให้ได้บ้าง แต่ทำให้ครบ มันไม่ได้นะ ก็พยายามที่สุดนะ ก็พยายามกันต่อไป ใช่ไหม?

ใครที่สามารถทำได้ตามนี้ ผู้นั้น ก็จะได้รับทุกอย่างตามที่พระคัมภีร์ พันธสัญญาของพระเจ้า สัญญาไว้ในพระคริสต์ว่าจะได้รับอย่างนี้ และจะได้รับประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข เต็มไปด้วยพระพร นานัปการ เต็มไปด้วยความสุขสงบ และเต็มไปด้วยความพอเพียง ทุกอย่าง ไม่ใช่พอเพียงเรื่องการเงินอย่างเดียว พอเพียงทุกอย่าง พอเพียงหมด พอใจแล้ว

“ในพระคริสต์ ฉันพอใจแล้ว”

          ซึ่งเป็นสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์ที่แท้จริง อย่างที่เปาโลอยากให้พวกเราทั้งหลายมีประสบการณ์ตรงนี้ ซึ่งท่านได้รับแล้ว  ท่านจะอยู่อย่างไร ท่านก็มีความสุข มีสันติสุข ท่านจะอยู่อย่างอดยาก หรืออยู่ในคุกตะราง หรือไปอยู่ในพระราชวัง ท่านมีค่าเท่ากัน คือท่านพอเพียงเสมอ เพราะท่านรู้ว่าต่อให้ท่านอยู่ในพระราชวังนั้น ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ท่านติดคุกอยู่ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นจะแตกต่างอะไรเลย อยู่ที่ไหน มันก็อยู่ในพระคริสต์ เอเมน จะจนในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ จะร่ำรวยในโลกนี้ ก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่เห็นมีอะไรของเราสักอย่าง หรือแม้จะพูดว่าทุกอย่างเป็นของเราก็ได้ แต่แล้วแต่พระเจ้านะ เอเมน เห็นไหมครับ? เคล็ดลับ และเคล็ดที่ไม่ลับ คืออะไร?

 

เคล็ดที่ไม่ลับ คือที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ คืออะไร? อยู่ที่เราอยู่ที่เรากำลังมาเรียนรู้ 4 ตอน คือเรียนรู้ว่าการที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่อย่างไร? เพราะเป็นเรื่องที่อธิบายลำบาก และไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ได้ มันมองไม่เห็น มันต้องใช้ความเชื่อ ถามว่ามันเชื่ออะไร? เชื่อในที่พระคัมภีร์ พระเยซูบอกไว้ พระเจ้าสอนไว้ว่ามันเป็นอะไร? เป็นอย่างนี้ ตรงไหนบ้าง อยู่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้สอนตามที่ศิษยาภิบาลอยากสอน ไม่ใช่ พระคัมภีร์สอนไว้ว่าอย่างไร?

“ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ฉันมีความสามารถอย่างไรในพระคริสต์? ฉันมีสง่าราศีอย่างไรในพระคริสต์?”

ตรงนี้ คือเคล็ดไม่ลับ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ที่บอกว่าใช้เวลาหน่อยหนึ่ง นานๆ เลยนะครับ อีกไม่รู้กี่ตอน ซึ่งเรากะกันไว้ว่ากี่ตอนนะคราวที่แล้ว 30 กว่าตอน ตอนนี้เพิ่งไป 4 เอง คิดดูสิ พูดไปเรื่อยๆ ไม่จบตอนนี้แน่ๆ นี่คือเคล็ดไม่ลับ คือต้องเรียนรู้ มาเชื่อพระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ มาเชื่อแล้วต้องเริ่มเรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? ท่านเป็นใคร? เราจะได้รับสิทธิของเราครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ทั้งหมด คือให้รู้ว่าชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ทำไมถึงใช้คำว่า “ซ่อน” เพราะมันไม่เห็นชัดๆ ไง ถ้าบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ตอนนี้ทุกคนถูกย้ายเข้ามาอยู่ในวัง อย่างนี้ก็ไม่ต้องสอนอะไรมากมาย สมมตินะ สมมติเขาใหญ่เป็นวังใหญ่ๆ อันหนึ่ง คนมาเชื่อพระเจ้า เขาก็ย้ายมาอยู่เมืองนั้นหมด เก็บข้าวของออกจากหมู่บ้านที่เราอยู่ ออกไปที่โน่นหมด อย่างนี้ก็ไม่ต้องอธิบาย แต่นี่ไม่ใช่ บ้านก็ยังอยู่เหมือนเดิม สิวที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนที่เจอกัน แล้วยังหมั่นไส้ ก็ยังเหมือนเดิม อาการหงุดหงิดของเราที่ยังเป็นอยู่ ก็ยังเหมือนเดิม แล้วบอกว่าเราได้ถูกสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ อยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มันเชื่อยาก ลำบากมาก แต่มันไม่ยากตรงที่พระวิญญาณจะสอนเรา นำพาเราแต่ละคน ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ฟังบ่อยๆ เขาว่าอย่างไร? อย่างนั้น

คือพูดง่ายๆ ว่าต้องสนใจนั่นเอง  สนใจสิทธิของเรา ที่พระเจ้าทำให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์ หรือในพระคริสต์นะครับ

พูดพร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง “ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? … ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์”

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราจะต้องเรียนรู้ … ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้เราเรียนรู้เสมอ ในใจตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ทั้งหลาย ทั้งปวงที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำ เพื่อเราทั้งหลาย ที่บอกในพระคัมภีร์ เราก็จะได้รับ ไม่ใช่ “จะ” นะ เราได้รับแล้ว แต่มันจะปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา จริงๆ เราไม่ใช่จะได้รับนะ แต่ได้รับแล้ว แต่เรายังไม่ใช้สิทธิเลยสักทีหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้ว ถ้าเราสนใจมันนะครับ

พระเยซูจึงบอกว่าอย่างไร? ถ้าท่านได้รู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ถูกไหมครับ? ในหนังสือยอห์น 8:31-32 พระเยซูตรัสอย่างนี้นะครับ?

ยอห์น 8:31-32 “31 ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ  32 แล้วท่านจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

 

เพราะฉะนั้น เรากำลังสำแดงความรักของเรา คือพระเยซูตรัสว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เรากำลังเข้าไปหา เราเข้าไปเรียนรู้ เพื่อว่าอะไร? เพื่อว่าเราจะได้รู้ความจริงนั้น ไม่ใช่คนนี้พูด ไม่ใช่คนนั้นพูด ไม่ใช่ศิษยาภิบาลพูด ไม่ใช่โลกพูด แต่เป็นพระเยซูตรัส พูดเองในพระคัมภีร์ แล้ววิญญาณจะสอนเรา ถ้าเราเอาจริงๆ จังๆ จะพาเราเข้าไปรู้ว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? และนั่นเป็นความจริง และความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกไว้ ความจริงที่พระเยซูหมายถึงอะไรรู้ไหมครับ? ก็คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว คือการไถ่บาป ทั้งหลายทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่พระองค์ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นมโหฬารในโลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละคือสิ่งที่บอกว่าความจริง

ยกตัวอย่างเช่นเกิดอะไรขึ้น พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  ไถ่บาปเราหมดเรียบร้อยไปแล้ว เราพ้นจากบาปเวรกรรมแล้ว เราไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป นี่คือหนึ่งในจำนวนความจริง เห็นไหม?

ความจริงคืออะไร? คือท่านไม่ต้องทำเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว นี่คือความจริง

ความจริงคืออะไร? เราสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า กลายเป็นลูกของพระเจ้า

นี่คือหนึ่งในความจริงและอีกมากมาย แม้กระทั่งเรานั่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่งกับพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ ในที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน นี่ก็อีกหนึ่งความจริงที่เราต้องเรียนรู้ และความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นไท ซึ่งเราเพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เท่านั้นเอง แล้วทำไม? รับรู้ความจริงแล้วทำไม? เชื่อ จริงๆ เราก็ตั้งใจเชื่ออยู่แล้วทุกวันนี้ แต่บางทีเรายังไม่รู้ความจริง เราตั้งใจจะเชื่อ ถ้าเราตั้งใจเชื่อด้วย พอเรารับรู้ความจริง เรารับรู้ความจริง เราเชื่อปุ๊บ เราก็ได้รับตามที่พระเยซูบอกไปทั้งหมด ใครก็ตามที่สามารถเชื่อได้ตามนั้น ผู้นั้นก็จะได้รับการเป็นอิสรภาพ ได้รับอิสรภาพ ได้รับการเป็นไทจริงๆ มีอิสรภาพอย่างแท้จริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ใช่ต้องรอว่าเป็นอิสระแล้ว ตายแล้ว ไปสวรรค์แน่ อิสระจากนรก ไม่ใช่ นั่นมันของอีกนาน ตอนนี้เลย พ้นจากนรกเดี่ยวนี้เลย ได้จริงๆ เป็นอิสระจากอะไรต่างๆ ที่มนุษย์ไม่ชอบ ที่เป็นความทุกข์ เป็นความชั่วร้าย

พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงให้อิสรภาพกับเราแล้ว เราเป็นไทแล้ว แต่หลายครั้ง เราก็ยังทำตัวเหมือนยังอยู่ในคุกอยู่ ยังถูกพันธนาการอยู่ ยังไม่ชอบเชื่อ หรือยังไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูบอกไว้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คริสเตียนหลายคนก็เป็นอย่างนี้

ท่านลองนึกภาพตามนะครับ สมมติว่าเราเป็นนักโทษ ถูกคุมขังอยู่ในคุก นึกไม่ค่อยออกใช่ไหมครับ?  นึกถึงตัวเรานะ แล้ววันหนึ่งผู้คุมก็เอากุญแจมาเปิดประตูออกมา แล้วบอกว่า

“อ้าว! เธอออกไปได้แล้ว ชดใช้โทษแล้วทั้งหมด เป็นอิสรภาพแล้ว ออกไปได้”

นึกถึงภาพนะ เปิดประตูกรงขัง แล้วบอกให้เราออกไป แล้วเราก็ลุกขึ้น แล้วก็บอกผู้คุมว่า

“ฉันไม่ออกหรอก ฉันทำผิดมาตั้งเยอะ ฉันสมควรจะได้รับความทุกข์มากกว่านี้อีก ฉันสมควรจะรับโทษมากกว่านี้ ฉันไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ในคุกนี้ต่อไป”

แล้วก็นั่งลง ประตูก็เปิดอ้าไว้อย่างนั้น เห็นภาพไหม? ตลกนะ คริสเตียนหลายคน ยังเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูบอก พระองค์เอากุญแจมาเปิดประตูคุกให้เราใช่ไหม? ให้เราเดินออกไป เหมือนผู้คุมเมื่อตะกี้นี้ไหม? พระองค์บอกว่าไม่ว่าจะเป็นโทษบาป ความผิดร้ายแรงขนาดไหน? ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งหมดเลย พระองค์ได้ไถ่ให้หมดแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงเอาไปหมดแล้ว แต่มีอีกหลายคนที่เลือกที่จะกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม  ไม่ยอมเดินออกมา ไม่ยอมรับอิสรภาพของตัวเอง คือพระเยซูทำให้ อย่างครบถ้วน

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเยซูเน้นย้ำกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว ถ้าเราได้รับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท ก็แสดงว่าคนที่ไม่ออกมา ไม่ได้ความรับความจริง ถามว่าเขาไม่ได้รับความจริงเพราะอะไร?  เพราะถูกโกหกไง มันไม่มีทางที่คนเราจะไม่คิดอะไรเลย อยู่เฉยๆ ไม่มี อยู่ตรงกลาง ไม่มี คือเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าพระเยซูบอกอย่างนี้ บอกเราเป็นไท … ไม่เอา … ถ้าผู้คุมบอกให้เราออกไป เป็นอิสรภาพแล้ว

“ไม่เอา ฉันจะอยู่ ฉันเชื่อนะ แต่ฉันจะอยู่”

มันไม่มี มันไม่มีตรงกลาง คือเรากำลังถูกหลอกอะไรบางอย่าง? เรากำลังเชื่ออะไรบางอย่าง? จากข้อมูลทางโลกนี้ จากมารที่ใส่เข้ามาว่าเราจะต้องทำอะไรอีกบ้าง? ถ้าเรามาเชื่อพระเยซู

“เธอยังไม่พร้อม”

มันจะใส่ที่หูเรา มันจะส่งข้อมูลมาหาเราว่า “เธอเอาอีกแล้ว เธอจะต้องทำอย่างนี้”

อีกแล้วครับท่าน เราก็เลยติดอยู่ที่คุกนั้นอีก แล้วเราก็ไม่กล้าออกมา ในหนังสือโรม 6:6-7 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ … นี่ก็อีกหนึ่งความจริงในพระคัมภีร์ นี่คือหนึ่งในจำนวนเยอะแยะในพระคัมภีร์ที่เป็นความจริง

โรม 6:6-7 “6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  7 เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป

 

พระคัมภีร์บอกเราเป็นอิสระจากบาปแล้ว อิสระคืออะไร? อิสระเลย อิสระตลอดไป ไม่ใช่อิสระเข้าๆ ออกๆ ตรงกลาง ไม่ใช่ อิสระตลอดไป

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูใช่ไหม? เชื่อในข่าวดีแล้ว เชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในเรื่องข่าวดี ข่าวประเสริฐแล้ว ก็ให้เราเชื่อในผลของข่าวดีนั้นด้วย หมด ครบถ้วนเลย ข่าวดีนั้น เกิดประโยชน์อะไรให้กับชีวิตของเราบนโลกใบนี้บ้าง? เอาเลยๆ เอาทั้งหมด ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พระเยซูทำให้เรามีสิทธิ์ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปทำอีกนะ พระเยซูไม่ต้องทำอีกแล้ว เพียงแต่เราไปรับสิทธิ์ของเรา เชื่อในสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ของเรา ที่พระเยซูทำให้ และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยไปแล้วในพระคริสต์นั้น การมาเรียนรู้เรื่องนี้ ก็คืออย่างนี้ว่ามาหาผลประโยชน์ในนี้ มาหาประโยชน์ในนี้ มาหาสิทธิของเราในนี้

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น ถึงเรื่องนี้ ถึงเรื่องสิทธิของการได้อยู่ในพระคริสต์ว่าทำไมสิทธินี้เป็นอย่างไร? ท่านเห็นว่าให้เห็นลักษณะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นแบบโลกใบนี้ ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าการที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือว่าอยู่ในพระคริสต์ทางวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเรา รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร? ชัดเจนเลยนะครับ

ผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งนะครับ หลายคนในที่นี่ก็เคยเดินทางโดยเครื่องบิน เดี๋ยวนี้เครื่องบินเขาบินกันแบบว่าเล่นเลยนะครับ แล้วเวลาจะเดินทางไปไหน? ผมก็จะบอกใครๆ ว่าเดี๋ยวเดือนหน้าผมจะบินไปนิวซีแลนด์ เดือนหน้าจะบินไปฮ่องกง ถูกไหม? เราก็จะพูดกันติดปากว่าเดือนหน้าเราจะบินไปโน่น บินไปนี่ ถามว่าผมบินไปจริงๆ ไหม? ผมต้องไปหาปีกมาใส่เหมือนนกไหม?  เริ่มหัดบิน ผมจะไปฮ่องกงแล้ว ต้องทำไม? พูดพร้อมกัน ต้องทำไม? ไม่ต้อง ฟังให้ดีๆ นะ ไม่ต้อง ผมไม่ต้องใช่ไหม?  ไม่ต้องเตรียมตัวที่จะทำให้เหมือนนก แล้วจะบินนั้น แต่ผมกำลังบอกว่าผม … ด้วยความเชื่อ ผมกำลังจะบินไปฮ่องกง บินมาจากออสเตเรียแล้ว ตอนนี้จะบินไปฮ่องกง เป็นว่าเล่นเลย ผมจะบินไปที่ต่างๆ ด้วยวิธีการที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในไหน? อยู่ในเครื่องบินถูกไหม? ผมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แทนที่จะติดปีก ผมก็เดินทางไปที่สนามบิน แล้วเอาตัวเองเดินเข้าไปอยู่ที่ในเครื่องบิน ถูกไหม?

ให้พูดพร้อมกัน “ในเครื่องบิน”

ใช่ไหม? ผมเข้าไปอยู่ในเครื่องบิน แล้วผมก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ผมก็กำลังทำที่ผมบอกท่าน ผมกำลังบินไปฮ่องกง แค่ผมเอาตัวผมนั่งอยู่ในเครื่องบิน ผมก็กำลังบินอยู่ ขณะที่ผมนั่งอยู่ในเครื่องบินนั้น กฎทางด้านฟิสิกส์ กฎทางด้านเครื่องยนต์ กลศาสตร์ กลไกต่างๆ ก็จะทำให้เครื่องบินสามารถบินได้ อยู่เหนือกฎของแรงดึงดูดของโลก หรือแรงโน้มถ่วงของโลก

ปกติธรรมชาติ บนโลกใบนี้ เขามี เขาเรียกว่ากฎธรรมชาติ กฎแรงโน้มถ่วงของโลก เรียกว่าGravity กฎแรงโน้มถ่วง หรือกฎดึงดูดของโลก คือดึงดูดวัตถุอะไรต่างๆ ลงมาบนโลกหมด เขาเรียกว่ากฎของการดึงดูด แต่ที่ผมนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินเขาใช้กฎหนึ่งพิเศษ ซึ่งชนะกฎของธรรมชาติในการดึงดูด คือกฎแห่งการยกขึ้น วิ่งเร็วๆ ทำปีกกินลม อะไรต่างๆ ว่าไปนะ ใครทำกฎนี้ก็ตาม ก็จะสามารถชนะกฎของธรรมชาติ มันก็ชนะกฎของการดึงดูด เครื่องบินก็เลยสามารถขึ้นไปบินอยู่บนอากาศ ทั้งๆ ที่มีแรงดึงดูดของโลกยังดึงดูดอยู่ไหม?  ยังอยู่ แต่มันแพ้แรงของกฎของการยกขึ้น ซึ่งชนะ พอเข้าใจใช่ไหมครับ? ทำให้ผมสามารถบินขึ้น ลอยขึ้น ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามมหาสมุทรได้ พอเห็นภาพไหมครับว่าผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นอะไร?

กฎธรรมชาตินั้น มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะว่ามีแรงดึงดูดของโลกอยู่ วัตถุออกไปก็ตก แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เราจึงใช้คำว่าบินไปโน่น บินไปนี่ เพราะเครื่องบินใช้กฎ เครื่องบินคืออะไร? เครื่องบิน คือเครื่องที่ใช้กฎแห่งการยกขึ้น ซึ่งมีกำลังพัฒนาขึ้นมาเหนือกฎแห่งการดึงดูดของโลก เหนือธรรมชาติ

ในทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน  นี่กลับมาทางวิญญาณนะ ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาป และความตาย ถูกไหม? นี่คือกฎธรรมชาติ เกิดออกมาจากท้องแม่ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ไม่รู้ผู้หญิงผู้ชาย  ไม่รู้ว่าทำดีหรือไม่ดีไม่รู้ เดินออกไประเบียงชั้นหนึ่ง ตกมาไหม? ตก บำเพ็ญเพียรไปถึงอีก 50 ปี เดินมาที่เดียวกัน ตกไหม? ตก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มันอยู่ในกฎนี้ทั้งหมด ถูกไหม? ถูก จนกว่าจะมีกฎอะไรบางอย่างที่มาช่วยเขา ทำให้เขาไม่ตกลงมา

          มนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย เป็นธรรมชาติ แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ในพระคริสต์นี้ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป เหมือนไหม? ท่านไปอยู่ในเครื่องบิน … เครื่องบินมีกฎที่อยู่เหนือกว่าแรงดึงดูด แรงดึงดูด … ดูดท่านไปอยู่พื้นไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ในพระคริสต์นั้น กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ใช่ไหม? ทำให้ท่านมีชัยชนะอยู่เหนือ กฎของความบาปและความตาย ทำอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว ถามว่าแล้วกฎความบาปและความตาย ยังมีอยู่อีกไหม? มีหรือไม่มี? ตอบพร้อมกัน มีหรือไม่มี? มีอยู่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องเครื่องบิน เราออกไป เราก็ตก ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว ต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด และมนุษย์อยู่ในความบาป ไม่มีทางที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่งเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น เห็นภาพหรือยัง?  กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่เราอยู่นี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์” หรือ “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” จำเพลงนี้ได้ไหม?

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

                   เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู

                   ได้ทำให้เรา พ้นจากบาป และความตาย … เอเมน

 

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย“

 

ถ้าเราเปรียบเมื่อตะกี้นี้ สมมติแต่งสดเลย “เพราะว่ากฎแห่งการยกขึ้น ในเครื่องบินที่เรานั่งอยู่ ได้ทำให้เราบินไปโน่นและไปนี่ ลอยอยู่บนอากาศได้”

เหมือนกันไหม? เพี้ยน ท่านไม่มีโอกาสได้เห็นผมร้องเพลงแบบนี้นะ สุดๆ พยายามอธิบายสุดๆ เลย ร้องเพี้ยนก็เอา

ถามว่าเวลาท่านจะบินไปไหนมาไหน? ท่านก็ต้องทำอะไร? คือหาวิธีใช่ไหม? คือไปซื้อตั๋วเครื่องบินใช่ไหม? หาเงินไปซื้อตั๋วเครื่องบินอย่างนี้ ถูกหรือเปล่า? แต่ท่านไม่เคยพยายามอย่างที่ผมบอก ไม่เคยพยายาม ใครบอกจะไปฮ่องกง ทำอย่างไร? ออกกำลังกายใหญ่เลย หรือไม่มีใครเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วบอกว่า.-

“เหนื่อยมากเลยวันนี้ บินเมื่อยแขนมากเลย”

มีใครไหมที่บินไปต่างประเทศ แล้วบอกว่า.-

“เมื่อยแขนมากเลย ทั้งวันทั้งคืนเลย”

มีใครทำอย่างนั้นไหม? ไม่มีเห็นไหม? เพราะว่าเขารู้ เขาเชื่อว่ากฎนี้มันชนะ โดยออโตเมติก ถูกไหมครับ? เพียงแค่อะไร? เพียงแค่เอาตัวไปนั่งในเครื่องบิน แล้วก็เชื่อวางใจในกฎที่เครื่องบินกระทำให้ และวางใจในกัปตันของเครื่องบิน คือนักบิน ว่าเขาสามารถจะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราทำแค่นี้เอง ถูกไหม?  เราทำแค่นี้เอง เราวางใจ วางใจในกฎของการยกขึ้น และวางใจในคนขับเครื่องบิน แค่นั้นเอง เช่นเดียวกัน เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ พระสัญญาของพระองค์บอกว่า.-

“ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ท่านได้เป็นขึ้นใหม่แล้วกับพระคริสต์ บาปของท่านถูกตรึงที่ไม้กางเขนกับพระคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นคนใหม่แล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  ท่านหมดเวรหมดกรรมแล้ว”

นี่จำนวนหนึ่งเท่านั้นเองนะ เอเมน ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เหมือนที่ตะกี้นี้ขึ้นเครื่องบิน ไม่ต้องพยายามกางแขนบินๆ ท่านเชื่อในพระเยซูแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกแล้ว เพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูทำให้กับท่าน พระเยซูทำให้หมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่เชื่อและวางใจว่าพระองค์จะทรงนำพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสวรรค์สถาน ชีวิตนิรันดร์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ได้อย่างแน่นอน เหมือนที่เรานั่งบนเครื่องบินนั่นแหละ

          คริสเตียนหลายคนที่ยังไม่สามารถพบกับสันติสุขได้อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นะ เพราะอะไรรู้ไหมครับ? ก็เพราะยังพยายามที่จะทำตัวเอง ยังพยายามที่จะทำด้วยตัวเองอีก กลายเป็นว่า.-

          “ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องพยายามทำดีมากขึ้นอีก”

          ฟังนะครับ “ฉันอยู่ในพระคริสต์  ฉันต้องทำทุกอย่างให้พระเจ้ารัก ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันต้องรักษาบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงฟ้องผิดอยู่เสมอ เมื่อทำบาป”

          สมัยก่อนฟ้องผิดน้อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ อยู่ในพระคริสต์ พอทำบาป ยิ่งกลัวใหญ่เลย ใช่หรือไม่ใช่

 

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ วันอาทิตย์ต้องมาโบสถ์ ไม่มาโบสถ์ ฉันรู้สึกผิดบาปมากเลย”

ไม่ใช่พูด เพื่อให้ท่านไม่มาโบสถ์นะ ไม่ใช่นะ อย่าถือโอกาส เห็นไหม? ถูกไหม?

“ในพระคริสต์ ฉันขึ้นแท็กซี่ วันนั้นเหนื่อยจะตาย แต่ฉันก็ต้องพยายามฝืนตัวเอง ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนขับแท็กซี่ เพราะว่าเขาสอนฉันว่าฉันต้องประกาศ ฉันต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา”

ใช่หรือไม่ใช่? แล้วมันเป็นอย่างไร?

“ฉันเชื่อในพระคริสต์”

แล้วอย่างไรต่อไป  “ฉันต้องทำโน่น ทำนี่ ไม่อย่างนั้นพระเจ้าไม่รักฉัน … ถ้าฉันไม่ถวายสิบลด พระเจ้ารักฉันไหม? ไม่รัก ฉันจะไม่ได้รับพระพร”

คือพระเจ้าไม่รัก ถูกไหม?  ได้ยินคุ้นหูเลย  ถ้าท่านไม่ถวายสิบลด ท่านจะไม่ได้รับพระพร ใครบอก พระพรมันได้ไปแล้ว หมดแล้ว  จะมาเอาพระพรอะไรอีกล่ะ ตอนนี้อยู่ที่เราจะรู้ความจริงหรือไม่? เราจะเป็นอิสรภาพหรือไม่เท่านั้นเอง ให้ท่านถวาย ก็เพียงแต่ทำให้ท่านลดกิเลสตัณหาลง ทำให้ท่านไม่โลภ ทำให้ท่านล่ะความคิดจดจ่อกับโลกนี้ มาจดจ่อที่พระเจ้า ในสวรรค์สถานที่เบื้องขวาที่ท่านนั่งอยู่ ท่านจะได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย มันไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองตรงนั้นเลย แล้วมาจากไหนล่ะ? ไม่รู้ เสียงแว่วมา แถวๆ ไหนไม่รู้ มันเข้าหูเรา เหมือนเมื่อตะกี้นี้บอก เธอยังไม่หมดบาปหรอก เธออยู่ในคุกต่อไป นายทวารมาเปิดประตู เราก็ไม่ยอมออกไป เพราะเราได้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งมาว่าเรายังไม่หมดเวรหมดกรรมนั้น เห็นไหมชัดไหม? ชีวิตอย่างนี้ มันก็เลยเหนื่อยเห็นไหม? มันไม่ได้อิสรภาพตามที่พระเยซูบอกจริงๆ

เพราะอะไร? เพราะพระเยซูพูดไม่จริงหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราถูกหลอกไง หลอกเพราะความเชื่อเก่าๆ หมายถึงวิถีทาง ชีวิตของเราตั้งแต่เด็กมา หลอกเพราะอะไร? เพราะสิ่งรอบข้าง หลอกเพราะอะไร? เพราะเราไม่สนใจในการที่จะไปเรียนรู้ว่าพระเยซูพูดอะไร? ในพระคริสต์เราเป็นอย่างไร? เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจก็ตาม เราก็ต้องเข้าไปศึกษา แล้วเข้าไปเรียนรู้ และต้องเชื่อตามนั้นให้ได้ แล้วก็ฝึกฝน มันก็จะไม่เหนื่อยและได้พบกับสันติสุข ได้พบกับความสงบสุข อย่างที่พระเยซูคริสต์พูดอย่างแท้จริงในชีวิตนี้

อย่างตัวอย่างเมื่อตะกี้ที่เปรียบเทียบการอยู่ในเครื่องบินกับการอยู่ในพระคริสต์ มีอะไรที่แตกต่างกันพอจะนึกออกไหมครับ มีอะไรแตกต่างกัน นึกนะครับ

          [1.] คือการที่ท่านจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่องบินได้ ท่านต้องทำอะไรหลายอย่างมากเลย ตั้งแต่ทำตั๋วพาสปอร์ต ซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า ไปบางประเทศนะครับ ต้องจัดกระเป๋า แต่การได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เชื่อลูกเดียว ถูกไหม? นี่แหละเขาเรียกว่า.-

                   “พระคุณพระเจ้า นั่นแสนชื่นใจ         ช่วยได้ คนชั่วอย่างฉัน”

          รู้ไหมว่าภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า Amazing Grace มันยิ่งกว่าอัศจรรย์มากมายนักเลย ไม่ใช่พระคุณเฉยๆ พระคุณ อัศจรรย์มากมายหลายประการที่ช่วยฉันรอดพ้นจากความบาปเหล่านั้น

          [2.] คืออะไร? คือแม้ท่านจะได้เข้าไปนั่งในเครื่องบินแล้ว เชื่อวางใจในนักบินแล้ว แต่โอกาสที่ท่านจะไปถึงปลายทางที่ท่านตั้งใจไว้ ได้ 100% ไหม? ไม่ร้อย ท่านจะมีโอกาสไปไม่ถึงปลายทาง มีไหม?  แม้ว่าจะมีน้อยก็ตาม มี เครื่องบินตกไง มีใช่ไหม? มี แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม แต่สำหรับการอยู่ในพระคริสต์ รับรอง 100% ว่าท่านได้ไปถึงจุดปลายทางตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน เอเมน หลับๆ ตื่นๆ … ตื่นๆ หลับๆ มันก็ถึง ถูกไหม?

 

เวลาผมไปต่างประเทศ ผมชอบมากที่สุด คืออะไรรู้ไหม? เคล็ดลับ คือก่อนขึ้นเครื่องบิน เข้าห้องน้ำ ทำธุระอะไรเสร็จหมดทุกอย่าง ให้เรียบร้อยเลย แล้วอย่างไรรู้ไหม? พอขึ้นเครื่อง ถึงเวลาอาหารไม่ต้องเสิร์ฟ ไม่กินอาหารแล้ว นอน เพราะมันเป็นความสบายที่สุด อาหาร คือถ้าไม่จำเป็นอย่าไปกินเลย เพราะกินมันผะอืดผะอม เวลาก็เปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน แต่ถ้าบางคนโอเค ก็แล้วแต่นะ แต่สำหรับผม … ผมเตรียมตัว ผมอยากนอนที่สุด เพราะรู้สึกสดชื่นเมื่อได้หลับและตื่นขึ้นมา เมื่อถึงที่แล้ว ถึงที่ในที่นี่ หมายถึงถึงที่หมายนะครับ ไม่ใช่ถึงที่ แบบภาษาไทยนะ ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ  ตื่นมาถึงที่แล้ว หมายถึงถึงที่หมาย สมมติไปฮ่องกง ตื่นมา เครื่องบินก็จะลงแล้ว สบาย ไม่ต้องไปทรมานอยู่บนเครื่อง ถูกไหม? หลับ อ้าว! ถึงแล้วเหรอ สดชื่น แข็งแรง

แต่มีบางคน ทำไมรู้ไหม? ขึ้นไปถึงเก็บโน่นเก็บนี่ ดูทีวี ดูไอโฟน ฯลฯ เหนื่อย นี่บางคน เขาอาจจะชอบอย่างนั้น ไม่ได้นอน หันไปโน่น หันไปนี่ วุ่นวายไปหมด นั่นบางคนนะ นี่บางคนอาจจะเป็นอย่างนี้นะ แต่จริงๆ คงไม่มีหรอก คืออาจจะเดินไปถึงถามแอร์ ตอนนี้ถึงไหนแล้ว เมื่อไรจะถึง เครียดไหม? สมมติมันบิน 8 ชั่วโมง

“ตอนนี้อยู่ไหนแล้วเนี้ย”

พอเสร็จ “อ้อ! เหลืออีก 4 ชั่วโมง”

อีกชั่วโมงหนึ่งผ่านไป “ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ผมมองไปหน้าต่างไม่เห็นอะไรเลย เมื่อไรจะถึง”

นี่เปรียบเทียบกับชีวิตของเราบนโลกใบนี้ มันจะอย่างนี้ไหม? เราหงุดหงิด อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ดั่งใจ อันนี้ไม่ได้ดั่งใจ เหมือนไหม? เหมือนคนที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน วิ่งไปเคาะห้องนักบิน

“บินดีๆ หน่อยนะ ระวังหน่อย ผมคาดว่ามันคงจะมีตกร่องหลุมอากาศ พายุมาหรือเปล่า เพราะผมนั่ง แล้วมันสะเทือน มันแปลกๆ ผมเลยมาดู”

มีไหม? ไม่น่าจะมีเนอะ แต่ชีวิตจริงๆ ในการเป็นคริสเตียน มันมีถูกไหม? เราไม่เชื่อในกัปตันของเรา กัปตันกำลังพาเราไป เราอยากได้อย่างนี้ ก็พอกันกับอะไร? ก็พอกันกับว่าเราไปบอกนักบิน

“นี่ กัปตันๆ บินช้าหน่อยสิ เดี๋ยวมันไม่ปลอดภัย ผมเห็น ให้รัดเข็มขัด แสดงว่ามีพายุ … พายุมาต้องเบาหน่อย อย่าเร็วไป”

ถูกไหม?  ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติสุขเลย  แล้วก็นั่งบนเครื่องบิน แล้วก็เหงื่อแตกไป กลัว กลัวโน่นกลัวนี่

“สะเทือนอีกแล้ว ทำไมมันมืดล่ะ ไม่เห็นสว่างสักที แล้วเกิดน้ำมันหมด ทำอย่างไร? แล้วเกิดเครื่องบิน เครื่องมันเสีย ดับเครื่องหนึ่งทำอย่างไร? เกิดมันจะลง  ล้อมันหายไปอันหนึ่ง ทำอย่างไร?”

มันคิดไปหมดทุกอย่าง แล้วในที่สุด เครื่องบินก็จอดที่ฮ่องกงอย่างเรียบร้อยหมดเลย แล้วที่เครียดมาทั้งหมดนั้น ฟรีหมดเลย ให้ฟรี ได้ฟรีไปเลย คือไม่ได้พักผ่อนเลย คริสเตียนก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

ในที่สุด ก็ไปสวรรค์ แต่ก่อนไปสวรรค์ อยู่เหมือนนรกเลย วุ่นวาย อยู่ในพระคริสต์วุ่นวายไปหมดเลย เครียดอันโน่น เครียดอันนี้  ก็พระคริสต์บอกแล้วว่าอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุด เราเชื่อไหมพระเจ้าทรงครอบครองควบคุมทุกสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้อยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ? คืออย่างน้อยที่สุด ไม่ได้เชื่ออะไรมากมายเลยนะ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย เมื่อมาเชื่อพระเจ้า มาเชื่อพระเยซู ต้องรู้และต้องเชื่อว่าพระเจ้าผู้นี้เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงครอบครองควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง ที่เราร้องว่า.-

“พระเจ้ายิ่งใหญ่”

          ถูกไหม? ตัวนี้เอามาใช้สิ เมื่อพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ก็มอบไว้ที่พระองค์เลย พระองค์ทรงควบคุมทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้แน่ๆ อาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดไว้ แต่มันต้องดีแน่นอน เพราะพระองค์สัญญาไว้ว่ามันดี ถึงที่หมายแน่ เอเมน ยังไงถึงฮ่องกงแน่ ถึงที่หมายแน่ๆ ฝากไว้เลย พระองค์นำพาท่าน ต่อให้มีพายุมา ทำท่าเหมือนจะหล่นตกพื้น เดี๋ยวมันก็ไปถึงที่ก็แล้วกัน อย่างนี้มันก็มีสันติสุข ถูกไหม?

 

เราต้องเอาชีวิตเราฝากและวางไว้ที่พระเจ้า พระเยซูจึงสอนเรา ให้เราอธิษฐานอย่างนี้

“พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์                        พระนามเป็นที่สรรเสริญ

ขอสวรรค์ลงมา                                ให้น้ำพระทัยสำเร็จ บนโลกนี้

เหมือนกับดั่งอยู่ในสวรรค์”

ใช่ไหม? แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมหมดทุกอย่าง

“ขอโปรดประทาน                           อาหารประจำวัน

ขออภัยบาปของข้า                          เหมือนข้า อภัยให้ผู้อื่น

โปรดอย่านำข้า                                 เข้าในการทดลอง

แต่โปรดช่วยข้าจากสิ่งชั่วร้าย”

แล้วต่อไป ร้องต่อไปว่าอย่างไร? ที่อธิษฐานมาทั้งหมด เพราะว่าอะไร? เพราะว่า.-

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์”

“เพราะพระองค์ทรงครอบครอง   และทรงฤทธิ์เดช และพระสิริ

เป็นของพระองค์  นิรันดร์ อาเมน”

คร่อก! … หลับสบาย

          พระเยซู พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ หลับสบาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ นึกภาพทั้งหมด ให้นึกว่าเรากำลังอยู่บนเครื่องบินแล้วกัน ลำนี้  ขอบคุณพระเจ้า ท่านขึ้นถูกลำแล้ว ลำนี้ไม่ได้ซี่ซั้วลงที่ทะเลที่ไหน? ลำนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แน่นอน เพราะว่ากัปตันมีนามว่าเยซูคริสต์ ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องจ่ายตังค์ ทุกอย่างฟรีหมด ใช้ความเชื่อ เข้ามาเลย นี่เขาเรียกว่าข่าวดีไง อย่างนี้ไม่ว่าข่าวดีเหรอ ไม่ต้องจ่ายสักอย่างเลย เข้ามา แล้วทำไม? ทำตามบทเพลงนั่นแหละ แล้วก็คร่อกๆ หลับไปเลย เดี๋ยวพอถึงที่หมาย ทูตสวรรค์จะมาเรียกเอง

 

“ถึงแล้วครับ”

“ถึงไหน?”

“ในสวรรค์ ชีวิตนิรันดร์ ในสวรรค์สถานกับพระองค์”

เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ กำลังหลับ มันจะตกหลุม ตกร่องบ้าง เครื่องบินนะ ตกร่องอากาศบ้าง มันจะชะเวิบชะวาบบ้าง มันจะสะเทือนบ้าง ห้องน้ำจะเล็กๆ ไม่เหมือนอยู่ข้างล่างบ้าง แปรงฟันยากหน่อยหนึ่ง ห้องน้ำนิดเดียว หรืออะไรต่างๆ ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน อดทนหน่อย แป๊บเดียวเอง ก็ใช้มันให้น้อยหน่อยสิ หลับซะส่วนใหญ่สิ เดี๋ยวมันก็ถึง

นี่คือเอามาเปรียบเทียบให้ท่านดูว่าเราควรจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไร? ทุกอย่างเลยนะ รวมหมดเลย ทุกเรื่องในโลกใบนี้ ฝากไว้ที่พระองค์หมด ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว ลูกเต้า ไม่ว่าจะเรื่องปัญหา เรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น ทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเรื่องของสุขภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเรื่องของการงานที่ทำอยู่ มันบีบรัดเหลือเกิน อะไรแล้วแต่ ทุกปัญหาที่อยู่บนโลกใบนี้ วางไว้ที่ข้างๆ ซะ รู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มี มีอยู่

“แต่ฉันจะนอน เข้าใจไหม? ฉันจะหลับแล้ว”

แล้ววิธีกินยานอนหลับ คืออะไร? คือเพลงเมื่อตะกี้นี้ ร้องเข้าไปสิ แม้ว่าจะร้องเพี้ยนก็ร้องได้ อธิษฐานเข้าไปสิ

“พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”

คือร้องเรียกทั้งหมดนี้เลยนะ พระบิดา ก็คือเราเป็นลูกแล้ว พูดบ่อยๆ เรารู้ เรามั่นใจ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

“ขอให้โลกนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

เห็นไหม? ไม่ได้เป็นไปตามใจเราเลย  หมายถึงเป็นไปตามพระองค์ ไม่ใช่เป็นไปตามเรา ขอให้เป็นไปตามพระองค์

“ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวัน”

แค่นั้น ขอทรงโปรดประทานอาหาร อย่าให้มันอดยาก นิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว

“ช่วยเราที่จะดำเนินชีวิต อภัยให้กับคนอื่นได้ และขอช่วย โปรดอย่าพาเราเข้าไปในการทดลอง”

ประเภทหวาดเสียว หลุมอากาศเยอะๆ ไม่เอาๆ แต่ก็ขอเป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์ ถ้ามันต้องเอา ก็หยวนน่า แล้วแต่พระองค์ ขอทรงประทานกำลังให้ลูกทนได้ก็แล้วกัน เพราะว่าทั้งหมดนี้ เป็นอะไร? เพราะว่าพระองค์ทรงครอบครองทุกสิ่ง ฤทธิ์อำนาจก็เป็นของพระองค์ ฤทธิ์เดชทุกอย่างก็เป็นของพระองค์ เพราะฉะนั้นลูกหลับแล้ว จบ เอเมน

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2015 เรื่อง “พระคุณของแม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  สิงหาคม  2015

เรื่อง “พระคุณของแม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ก็เป็นพิเศษ เป็นคำบรรยายวันแม่ ถ้าถามพวกเราทุกคนว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความรักของใคร? ตอบสิ?  ความรักของใครยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาลเลย … ต้องเป็นความรักของพระเจ้า  ถูกไหมครับ? เป็นความรักของพระเจ้า  … ความรักของพระเจ้า เป็นความรักของผู้ที่ให้กำเนิด เป็นความรักของผู้ที่เป็นผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิด เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ หรือให้กำเนิดมนุษย์ พระองค์จึงทรงรักมนุษย์ทุกคน

และที่บอกว่าความรักของพระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุดนั้น ก็เพราะความรักของพระเจ้าเป็นความรักแบบที่ไม่มีเงื่อนไข พระคัมภีร์บอกไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเขาด้วยตัวพระองค์เอง จะทำตัวไม่น่ารักอย่างไรก็ตาม จะน่าเกลียดอย่างไรก็ตาม จะผิดบาปอย่างไรก็ตาม จะกบฏต่อพระองค์อย่างไรก็ตาม จะว่าพระองค์อย่างไรก็ตาม จะไม่เชื่อฟังอย่างไรก็ตาม แต่ความรักของพระองค์ คือพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลายนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิด ที่เราเรียกความรักในลักษณะอย่างนี้ว่าความรักแบบอากาเป้

พระคัมภีร์ใช้คำนี้ “ความรักแบบอากาเป้” ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มีความรักแบบนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และถ้าไม่นับความรักของพระเจ้านะ สมมติว่าตอนนี้เราไม่นับความรักของพระเจ้า ท่านคิดว่าความรักของใครใกล้เคียงกับความรักของพระเจ้ามากที่สุด? ตอบเลยครับ? ความรักของใครใกล้เคียงกับความรักแบบอากาเป้มากที่สุด เท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาในชีวิตนี้ บนโลกใบนี้เลย ใครครับ? แม่ … แม้กระทั่งพ่อที่นั่งอยู่ที่นี่ยังบอกแม่เลย คิดดูแล้วกัน ก็คือความรักของแม่ เพราะว่าความรักของแม่เป็นความรักเดียวกันกับพระเจ้า  คือเป็นความรักของผู้เดียวในมหาจักรวาล คือเป็นความรักของผู้ให้กำเนิด ผู้สร้างเหมือนกัน

ความรักของแม่ หรือความรักของผู้ให้กำเนิด เป็นความรักที่มีเยื่อใย สายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง ตัดกันไม่ขาด สายเลือดจริงๆ ตัดกันไม่ขาด เป็นความรักในลักษณะเดียวกับความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ตัดได้อย่างเดียว คือสายสะดือ แต่ความรักตัดกันไม่ได้ เยื่อใยตัดกันไม่ได้ ส่งให้แล้ว ผ่านทางครรภ์นั้น

และตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรู้จักเรา และทรงรักเราตั้งแต่ก่อนเกิด … พระคัมภีร์บอกอย่างนั้นนะครับ ถามว่าพระเจ้าแล้ว มีใครไหมครับที่รักเราตั้งแต่ก่อนเกิด คิดให้ดีๆ นอกจากพระเจ้ารักเราก่อนเกิด มีใครไหมที่รักเราก่อนเกิด ตอบ … มี … ต้องตอบว่าแม่และพ่อ แต่จริงๆ แม่สำคัญกว่า เพราะแม่ต้องรู้ตัวเองว่าเราต้องตั้งท้องเขา

ถามว่าตอนที่รู้ว่าจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง?  ยัง ถูกไหม?  รู้ว่ากำลังจะตั้งท้อง ตั้งหรือยัง? ยังไม่ได้ตั้ง แต่ใจไปแล้ว  รักเขาไปแล้ว ไม่รู้ว่า.-

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย  ใครก็ตามที่มาอยู่ในท้องนี้ ฉันรักเขาเป็นลูก”

นี่แหละเขาเรียกว่าก่อนเกิดไง? ใช่ไหม?  9 เดือนที่แบกอยู่ในท้อง ไม่ใช่เรื่องแบบหมูๆ นะ พูดเหมือนกับผมเคยแบก ไม่ใช่ง่ายๆ เลย  ถ้าไม่รู้ ให้เราลองแบกลูกแตงโม ลูกหนึ่งได้ไหม?  ต้องเกินเนอะ ลูกใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง ให้แบกสักวันหนึ่ง ลองดู ใครก็ตาม คนที่เป็นพ่อ ลองแบกดู หรือใครที่เป็นลูก ลองแบกดู วันเดียวพอ นี่ 9 เดือนคูณไปกี่วัน 9×30 = 270 วัน แบกท้องไว้

คนเป็นแม่ต้องมีความอดทนขนาดไหน? ท่านคิดดูแล้วกัน ต้องลำบากขนาดไหนที่ต้องแบก ไม่ใช่ลูกแตงโม แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิต ความหนักประมาณนั้น แต่ไม่ใช่ความหนักอย่างเดียว แต่มีสื่อ มีอะไรต่างๆ ออกมา ทั้งแพ้ ทั้งอะไรต่างๆ วุ่นวายหมด ต้องระมัดระวังตัว เพราะกลัวว่าลูกจะพลอยได้รับผลเสียไปด้วย ถ้าเราทำอะไร แต่แม่ก็ต้องยอมทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกที่อยู่ในท้อง เพราะตั้งใจแล้ว เพราะรักไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะท้อง ถูกไหม? เพราะความรักลูก ที่มีมาตั้งแต่ก่อนเกิด เหมือนที่พระเจ้ารักเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก นึกออกใช่ไหม? เรา … แม่ก็รักเขาก่อนที่จะสร้างบ้านอีก เริ่มจากบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็คือในครรภ์ของเรานั่นแหละ บ้านเริ่มต้นนั่นแหละ จนกระทั่งคลอดออกมา หาเปล หาอะไรต่างๆ เราเตรียมไว้แล้ว บางคนไปดูห้างสรรพสินค้า ซื้อของมายังไม่ทันได้ท้องเลย  นึกออกใช่ไหม? ยังไม่ทันท้องเลย ซื้อโน่นซื้อนี่ ปรากฏว่าคลอดออกมาเป็นผู้ชาย ซื้อของเป็นผู้หญิงหมดเลย เคยได้ยินใช่ไหม? อะไรประมาณนั้น ก็เอาของผู้หญิงไปเปลี่ยน เป็นผู้ชายมา ไม่ใช่ไปเปลี่ยนเด็กนะ ไปเปลี่ยนของ

นี่แหละเป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า และเหมือนจริงๆ เลย และมีเพศเดียวที่เป็นอย่างนี้ เราพูดกันอยู่เสมอว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าไม่รัก ถูกไหมครับ? พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่พระเจ้าบอกไม่รัก เช่นเดียวกัน ไม่มีพ่อแม่คนไหนเลยที่ไม่รักลูก 100% ฟังวันนี้จบ ท่านจะรู้เลยว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น หลายคนอาจจะคิดแย้งในนี้ ตอนนี้ หรือเคยได้ประสบการณ์ ได้เห็นอะไรบางอย่าง แต่ไม่มี อิสยาห์ 49:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

อิสยาห์ 49:15 “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ”

 

สรุปแล้ว คือไม่ได้นั่นเอง นี่พระเจ้าตรัสนะ

พระเจ้าบอกว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตร จากครรภ์ของนางได้หรือ?”

พูดสรุป ก็คือไม่มีทางใช่ไหม?  พระเจ้ากำลังพูดกับเราอย่างนี้ “ไม่มีทาง”

แต่เพราะคนเป็นแม่ยังเป็นมนุษย์ เป็นคนบาป ฟังให้ดีๆ นะ

พระเจ้าบอกความจริงให้เรา “ไม่มีทางหรอก แม่ไม่มีทาง เขาจะไม่รักลูกของเขาหรอก ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เลย”

แต่เป็นเพราะแม่ของเรา เป็นแม่ที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นบาป และตราบใดที่ยังมีสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนัง ก็ยังคงอยู่ในความบาป ใช้ชีวิตอยู่กับความบาป ความบาป ทำให้มนุษย์อ่อนแอ จึงไม่สามารถสำแดงความรัก หรือกระทำได้ตามอย่างที่ตัวเองอยากได้ คือรักเขาและอยากจะทำอย่างนี้ มันทำไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้ารักมนุษย์ และพระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง เพราะพระองค์ไม่บาป เข้าใจใช่ไหมครับ? เริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ? เพราะพระเจ้าไม่มีบาป ไม่มีความอิจฉาริษยา ถูกไหมครับ พระเจ้าไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ ความรักของพระองค์จึงมั่นคง ไม่มีเปลี่ยนแปรปรวน ไม่มี และสำแดงความรักมั่นคงนั้น ให้กับมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมดเลย ยุติธรรมเลย พอเห็นภาพไหมครับ? เทียบพระเจ้ากับมนุษย์ที่เป็นแม่ จริงๆ มันเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่มนุษย์อ่อนแออยู่ในความบาป แม่ที่เป็นมนุษย์ บางครั้งก็อาจมีบ้าง หรือไม่ต้องบางครั้ง หลายครั้งมีบ้าง ก็คือที่จะไม่สามารถที่จะรักลูกของตัวเองได้ ตามที่ตัวเองอยากจะรักอย่างนั้น ข้างในมันอย่างหนึ่ง แต่มันทำไม่ได้ ก็เพราะอะไร? ก็เพราะแม่อ่อนแอเหลือเกิน เพราะแม่เป็นมนุษย์ แม่เต็มไปด้วยความบาป  อ่อนแอ มันทำไม่ได้ จริงหรือไม่จริง? ดังๆ เลย จริงหรือไม่จริง? แม่ต้องพูดเลยว่าจริง

เราทำไม่ได้ เราอยากจะทำให้ดีกว่านี้ แต่เราทำได้แค่นี้เอง  เพราะความบาปที่อยู่ในตัวแม่ หรืออยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ทำให้มนุษย์อ่อนแอ ทำให้แม่อ่อนแอ เช่นพออารมณ์เสียขึ้นมา เกิดความกลัวขึ้นมา เกิดความไม่พอใจ เกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ความรักก็เริ่มหวั่นไหว ถูกหรือไม่ถูก? ไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ ตามสถานการณ์รอบข้าง ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถรักให้มันมั่นคง เหมือนที่พระเจ้ารักได้ ทั้งๆ ที่อยากจะทำ ไม่สามารถรักลูกตัวเอง เหมือนที่พระเจ้ารักมนุษย์ได้

นี่คือสัจจธรรมทำความเป็นจริง พระคัมภีร์พาเราให้เห็นถึงความเป็นจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจในการดำเนินชีวิต มันทำไม? เราถึงตอบปัญหาได้ ในขณะที่สังคมตอบปัญหาไม่ได้ ทำไมแม่ต้องทำอย่างนั้นด้วย เขาไม่รักหรือไง? รัก ตอบกันไม่ถูก ตอบไม่รู้จะตอบอย่างไร?  แต่ในพระคัมภีร์มีบอกเราว่าอย่างไร?

สรุปแค่ตอนนี้นะ แม่รักลูกทุกคน ใช่หรือไม่ใช่? ถูกต้อง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น  แม่รักลูกทุกคน ไม่มีทางลืมลูกของตัวเอง ไม่มีทางเกลียดลูกของตัวเอง ถ้าถามจริงๆ ถามแม่จริงๆ ว่ารักลูกของตัวเองหรือเปล่า? ขณะที่ทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ดีต่อลูก เขารักไหม? รัก เพราะมันเป็นอะไร? ทำไมถึงรัก เพราะอะไร?  เพราะในธรรมชาติที่พระเจ้าใส่ไว้ไง พระเจ้าใส่ไว้ในสิ่งต่างๆ ให้กำเนิด จะรักสิ่งที่เขาให้กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ ซึ่งวิญญาณมาจากพระเจ้า  เป็นพระฉายพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เหมือนพระองค์ เขาต้องรักผู้ที่ให้กำเนิดแน่นอน ตามธรรมชาติ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ แต่พอเกิดอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิต มันไม่สามารถเอาชนะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ชนะความเห็นแก่ตัว ไม่สามารถชนะอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรียกว่าเสียสละได้ เพราะอะไร เพราะมันอ่อนแอ มันสู้ไม่ได้ นี่คือความเป็นจริง อยากจะรักลูกให้มากกว่านี้ มันทำไม่ได้ ไม่อยากจะเห็นแก่ตัวเลย แต่มันก็เห็นแก่ตัว เพราะอะไร? เพราะฮอร์โมนในร่างกาย เพราะความกลัว พอความกลัวมา ก็หมดแล้วนะ

แล้วความกลัวมาจากไหน? ความกลัว ก็มาจากเชื้อบาป ที่มันติดอยู่กับตัวของมนุษย์ทุกคน ผ่านทางอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงไปในความบาป และได้รับคำสาปแช่งมา คำสาปแช่งนั้น ก็ตกลงมาอยู่ที่มนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคน จึงเต็มไปด้วยความบาป และความบาปทำมาให้อีกอันหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือความกลัว  …  ความกลัวทำให้เราเห็นแก่ตัว  …  ความกลัวทำให้เราไม่เสียสละให้ใครแล้ว เพราะความกลัว เราจึงสามารถทำชั่วได้เยอะแยะมากมาย หมายถึงเยอะแยะก่ายกองไปหมด และความกลัวนี่แหละ ทำให้เราไม่สามารถรักลูกเราได้ เหมือนที่เราอยากจะทำ ถูกไหม?

นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่ทุกคน ที่เป็นลูกทั้งหลายควรจะได้รู้ ที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้  ลูกทั้งหลายควรได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังวันนี้ว่าแม่ของเรานั้น ที่เราคิดว่าทำไมเขาทำอย่างนี้? เขาไม่รักเราหรือ? คำตอบในวันนี้ คือเปล่าเลย เขายังรักเราอยู่ แต่เราต้องเข้าใจว่าเขา ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความบาป เพราะอ่อนแอเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ลูกทุกคนจึงควรที่จะเข้าใจ และสมควรอย่างยิ่งที่จะรักพ่อแม่ของตัวเอง นี่เติมให้พ่ออีกคนหนึ่ง วันนี้จริงๆ มันต้องมาคู่กันนั่นแหละ แต่อย่างที่บอกนะ ตามหลักธรรมชาติ แม่มีความสำคัญมากกว่า ลึกซึ้งกว่า เด็กและลูกๆ ทุกคนควรจะรักพ่อและแม่ของตัวเอง ผู้ให้กำเนิดเราเองนั่นแหละ ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีข้อแม้เลย ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้นะ ไม่ว่าพ่อแม่จะปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจเถิดว่าพ่อแม่รักเราอย่างแน่นอน ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เอเมน

ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราสามารถผ่านเหล่านี้ไปได้ว่า.-

“ยังงั้นๆ ฉันก็ตัดสินใจ ตั้งใจแล้ว ตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อแม่รักเรา ฉันเชื่อในพระเจ้า … พระเจ้าสอนมา พระเจ้าบอกอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ให้ฟังว่าพ่อแม่เราอยู่ในสถานะอะไร? แม่เราอยู่ในสถานะอะไร? รักเราขนาดไหน? ไม่ว่าฉันจะมองไป แล้วแม่ทำอะไรก็ตาม อย่างนี้ก็ตาม  ฉันรู้สึกไม่ชอบ หรือไม่รู้สึก สังคมบอกว่าไม่ถูก ฉันก็จะยังรักแม่ของฉันอยู่ เพราะเขารักฉัน … ฉันรู้ว่าเขารักฉัน เขาไม่ได้เกลียดฉันเลย”

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลยที่จะไม่รักแม่ของตัวเอง ไม่มีสิทธิ์นะ และจงจำไว้เลยว่าแม่รักเราที่สุดแล้ว เกินกว่านี้ทำไม่ได้แล้ว แม่ทุกคนก็สุด แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ไม่ใช่สุดของคนนี้ จะมาเทียบกับคนนี้ ไม่ใช่ สุดก็คือสุด … สุดของแต่ละคน ก็คือสุด … สุดแล้ว ก็ได้แค่นี้ อีกคนหนึ่งสุด ก็แค่นี้ อย่าเอาแม่คนนี้ มาเปรียบเทียบกับแม่คนนี้ มันทำไม่ได้ ของใคร ก็ของเขา เพราะเขาทำได้แค่นี้ มันสุดแล้ว ถามว่ารักไหม? มันรัก และมันสุดแล้ว  ทำดีกว่านี้ได้ไหม? ไม่ได้แล้ว เพราะอะไร? เพราะมันอ่อนแอ มันได้แค่นี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาให้เรา คือให้ดีที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจถึงชีวิตของเขาว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เราอาจจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น

แต่ถ้าฟังอย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าสอนเราว่าอย่างไร? ว่าแม่รักเราอย่างไร?  เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และสามารถที่จะแม่ของเราได้ว่าแม่รักเราที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่มีแม่คนไหนในโลกเลย ที่ไม่รักลูกของตนเอง นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  เราเชื่อตามนี้ แล้วมันเป็นไปตามนี้จริงๆ

ยกตัวอย่างให้ฟังนะ ผมเคยทำเพลง และร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่ง นานมาแล้ว เกือบจะ 40 ปีแล้ว เป็นเพลงที่เกี่ยวกับแม่นี่แหละ เป็นเพลงที่เหมือนกับสอนอย่างนี้ ให้รู้ว่าแม่รักเรามากขนาดไหน? แม้ว่าสังคมจะไม่เข้าใจ และว่าแม่ว่าไม่ดี ผมบอกให้ฟังเลยนะ ในโลกนี้ ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแม่คนไหนที่ทำไม่ถูก เข้าใจไหมครับ? แม่ทำผิดเยอะแยะ แต่ไม่ใช่ทำผิด เพราะเขาเกลียดลูกของเขา มันอาจจะมีปัญหา มันอาจจะมีความจำเป็น มันอาจจะมีอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง เป็นไปตามความบกพร่อง หรือความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ที่มันเกิดจากคำสาปแช่งมา ตั้งแต่สมัยอาดัมและอีฟ โลกใบนี้ เต็มไปด้วยสกปรก โสโครก แย่ไปหมดแล้ว เราก็บาป เขาก็บาป สังคมรวมบาปทั้งหมดเลย มันกระทบกระทั่งกันทั้งหมด ยุ่งไปหมดเลย วุ่นวายอีลุงตุงนังไปหมดเลย

เพราะฉะนั้น การกระทำที่ไม่ถูกต้องอะไรต่างๆ บางทีมันอาจจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ที่ทำให้เขาคนนั้น ต้องทำอะไรบางอย่างที่เรียกว่าไม่ดี แต่เขาทำสิ่งเหล่านี้ มิได้ เขาไม่รักลูกของเขา บทเพลงนี้ ชื่อเพลง ผมใช้ชื่อเพลงว่า  “แม่ใจร้าย” เคยได้ยินไหมครับ?  เนื้อเพลงว่าอย่างนี้ว่า.-

สาวเจ้าเพิ่งแต่งงาน หนีความกันดาร

                        ไปทำงานแดนไกล

                        พอสามเดือน จึงรู้ว่าท้อง

                        แต่งานห้ามท้อง เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        จึงตัดสินใจ ลาไปกลับบ้าน

สาวเพิ่งแต่งงาน มาจากต่างจังหวัด หนีความกันดาร ต่างจังหวัด เกิดความกันดาร ไม่มีเงินจะกินข้าว หน้าแล้งอะไรอย่างนี้  ฤดูแล้งเข้า  ทำมาหากินไม่ได้ ทำเกษตรก็ไม่ได้  จึงต้องมาทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ก็เข้ามาทำงานที่โรงงาน

สมัยก่อนนี้ โรงงานดังนะ ถือว่าถ้าจะทำงานโรงงาน ต้องเข้ามากรุงเทพ  เขาเข้ามากรุงเทพ เพื่อทำงาน  ฟังนะครับ ปรากฏว่าทำงานไป 3 เดือน ทำไม? เพิ่งรู้ว่าท้อง เพราะเพิ่งแต่งงานไง  ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? ก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม? ไม่รู้จะทำอย่างไง? อยากได้เงินก็อยากได้เงิน แต่รักลูก มีท้องแล้ว ก็เลยต้องกลับบ้าน เมื่อกลับบ้าน เกิดอะไรขึ้น  ต่อสัปดาห์หน้าแล้วกัน  ไม่ได้ คราวนี้ผมตายแน่ ทุกคน แล้วอะไร? สามเดือนแล้วเป็นอย่างไร? เดี๋ยวดูสิว่าแม่ใจร้ายจริงไหม? สามเดือนแล้วนะ ขึ้น บขส. สมัยก่อนใช้บริการ บขส. … บขส. ไม่มีแอร์ รถแน่เอี้ยดเลย สามเดือนก็กลับไปตายที่บ้านดีกว่า มีเท่าไรก็แค่นั้น เอาลูกไว้ก่อนแล้วกัน  ดูแลลูกไว้ก่อน อย่างไรก็ว่ากันนะ กลับไปบ้าน  พอกลับไปถึงหมู่บ้านปุ๊บ ลงรถ เดินเข้าไปในหมู่บ้าน  ถึงบ้านปุ๊บ

แล้วก็สุดร้าวราน ถึงบ้านพบพาน

                        ผัวว่ามีเมียใหม่   จึงอุ้มท้องกลับโรงงาน

                        หาเงินซมซาน ไม่ได้ยอมบอกใคร

                        อีสาวเอาผ้ามารัดบังหน้าท้องไว้ (x2)

                        ลำบากเท่าใด ไม่ยอมกล่าวขาน

                        โอ๊ย!  ซิมันไม่ยอมกล่าวขาน

ความรู้สึกแม่เป็นอย่างไรตอนนั้น … ก็คือตัดสินใจทำอะไร? ทำอย่างไรได้ ก็กลับมาโรงงาน ไม่บอกใคร? กลับมาสู้ต่อ ไม่มีบ้านอยู่แล้ว ลูกต้องอยู่ เราต้องอยู่ ครอบครัวต้องอยู่ต่อไป กลับมาทำงานต่อ

แล้วทำไง ถ้ารู้ว่าท้องเขาไม่ให้ทำงาน เพราะฉะนั้น เอาผ้ามารัดที่หน้าท้อง ให้มันยุบหน่อย ให้มันเหมือนคนพุงโร่ แต่ไม่ใช่ท้อง จะได้ทำงานได้ต่อไป  ถูกไหม?

ก็คือลำบากเท่าไร? ก็ไม่พูดกับใคร? อดทน  … เห็นไหม?  เห็นความสู้ของแม่ไหม? อดทนไหม? ความแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่งไหม? แกร่งไหม? แกร่งมากเลยนะ เสร็จแล้วไงต่อไป ก็ทำงานต่อไป  เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่จะคลอดลูก จะได้มีเงินมาเลี้ยงดูแลลูกของเขา เขาต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว ต่อไป

ครั้นเจ็ดเดือนพ้นผ่าน คืนข้างโรงงาน

                        ซิมันก็คลอดลูกได้

                        สองมือเจ้าบรรจง แม่วางลูกลง

                        ลูกน้อยไม่หายใจ

                        โถ! เวรกรรม สาวต้องจำหนีไกล (x2)

                        ต้องทิ้งลูกไว้ ไร้สิ้นวิญญาณ

                        โอ๊ย!  ไร้สิ้นวิญญาณ

เจ็ดเดือนผ่านไป กลางคืนข้างโรงงาน ก็คลอดลูก แสดงว่าไม่ได้คลอดตามธรรมชาติ คลอดที่โรงพยาบาล แต่นี่พูดง่ายๆ ออกมาเอง เพราะแค่ 7 เดือน ยังไม่ครบกำหนด แต่เนื่องจากไปรัดไว้ เนื่องจากอะไรหลายๆ อย่าง ทำงานหนักอะไร สมมตินะ แล้วเกิดอะไรขึ้น พอคลอดลูกข้างโรงงาน

สองมือเจ้าบรรจง หมายถึงว่าเขายังนึกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่นะ เขาตั้งใจ แล้วค่อยๆ วางลูกลง นึกออกไหม? คลอดลูกตามปกติ ค่อยๆ วางลูกลง ปรากฏว่าลูกตายแล้ว อาจจะเกิดก่อนกำหนด แล้วก็ไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีใครมาช่วยอะไรต่างๆ  นั่งนึกภาพนะ

“จำต้องหนีไกล” ตายแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ตกใจ รู้ว่ามีความผิด  กลัวแล้ว ความกลัวเข้ามาสู่จิตใจแล้ว ทำอย่างไร ก็ต้องทิ้งเอาไว้ แล้วไปก่อนแล้ว รู้ว่าตายแล้ว คราวนี้ต่อไป สุดท้าย นี่สังคมแล้ว ถึงตัวเราแล้ว

เช้า พวกเพื่อนโรงงานวิพากษ์วิจารณ์ ถึงอีแม่ใจร้าย

                        สาวสินอน ระทมปวดร้าว

                        กองเลือดเหม็นคาว เจ้าสิน้ำตาไหล

                        ไม่รู้จะทำ ไม่รู้จำทำ ฉันใด … (x2)

                        เค๊าด่าว่าใครนะ  อีแม่ใจร้าย

                        โอ๊ย!  เค๊าว่าอีแม่ใจร้าย

เช้า พวกหนังสือพิมพ์ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ถูกไม่ถูก?

เช้า พวกทีวีวิทยุ วิพากษ์วิจารณ์ถึงอีแม่ใจร้าย  … ปัจจุบัน ก็เป็นอย่างนี้

เห็นไหม? แม่ใจร้ายมาก  แม่ใจอำมหิต แย่มาก

แล้วตอนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ใครได้ยิน?

เลือดยังโครกอยู่เลย  น้ำตาไหล ทั้งๆ ที่รัก ทั้งๆ ที่สูญเสียลูกไป  แต่สังคมว่าเขาเป็นคนใจโหดร้าย ใจอำมหิต ได้ฟังจากวิทยุ จากทีวี หนังสือพิมพ์พูดถึงรายนี้ๆ  … เห็นไหม? เหมือนปัจจุบันไหม? คิดดูนะ

โอ๊ย! เขาว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! ทีวีว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! หนังสือพิมพ์ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เพื่อนๆ ก็ว่าอีแม่ใจร้าย

โอ๊ย! เลยว่าตัวเอง อีแม่ใจร้าย

นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ … นี่แหละ คือความบาปของมนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในตัวเรา ทำให้เราช่วยตัวเองไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง  เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอย่างนั้น เราไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นเลย ยิ่งเกิดความทุกข์ทรมานในจิตใจของแม่คนนั้นอีกไม่รู้เท่าไร? และในปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนี้ เห็นไหม?

ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ มีใครไหมมานึกถึงเหตุการณ์ว่ามันอาจจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ความผิดของแม่คนนั้น คนเดียว พ่อไปอยู่ไหนตอนนี้ ไม่ได้ว่าเขานะ สมมติอย่างนี้ แล้วก่อนจะถึงเขา มีคนอีกเยอะแยะมากมาย มีสถานการณ์ร่วมมากมาย มันไม่ได้เป็นความผิดของคนๆ นั้นคนเดียวเลย  แต่มันเป็นความผิดร่วมกันทั้งมวลมนุษยชาติ เพราะเราตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความอ่อนแอ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ไม่สามารถช่วยเหลือคนรอบข้างเราได้จริงๆ สักอย่างหนึ่ง เราต่างคน ต่างก็ทำ เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะไม่มีใครรักแท้สักคน เพราะไม่มีใครสักคนที่บริสุทธิ์และไม่มีบาป  ไม่มีบาปเท่านั้น ถึงมีรักแท้ได้ พอเข้าใจหรือยัง

นี่แหละ คือถ้าเรารู้ถึงปัญหาของสังคมอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีแม่คนใดที่ไม่รักลูก พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แต่เพราะความบาป ทำให้มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น จำไว้เลยนะครับว่าสำหรับลูกๆ ทั้งหลาย  จำเรื่องนี้ไว้ แล้วผมต้องการพูดอะไรรู้ไหมครับ?  อย่างที่ผมเคยบอกทุกๆ ปีว่าแม่เรา สำหรับลูกทั้งหลายนะ … แม่เราอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุด  แต่เป็นคนที่รักเรามากที่สุด … ถูกหรือไม่ถูก? แม่เรา สำหรับคนชาวบ้าน เขาอาจจะเป็นแม่ใจร้าย แต่สำหรับเรา เขารักเรามากที่สุด  เขามีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่จำเป็นต้องทำแบบนั้น จนสังคมไม่เข้าใจ แล้วไปตราหน้าเขาว่าเป็นแม่ใจร้าย แต่เขารักเรามากที่สุด

ถ้าเด็กคนนี้ มีวิญญาณและรับรู้เรื่องนี้ ที่ 7 เดือนตายไปเนี้ย ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้ เขาจะรักแม่เขาไหม? รักแน่นอน เห็นไหม? แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อเขา เพราะความกลัว เพราะความไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะทำอย่างไร? เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร? ก็แก้กันไปตาม สติปัญญาขนาดนั้น ที่เป็นคนบาป แค่นั้น ได้รับการศึกษาแค่นั้น แล้วได้แค่นี้เอง จะทำอย่างไรล่ะ เห็นไหม?  ถูกไหม? เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น ลูกๆ ทั้งหลายฟังตรงนี้ไว้นะครับ แม่ของเราอาจจะไม่ได้ดีที่สุด ตามสายตาของผู้คนรอบข้าง แต่เขาเป็นแม่ที่รักเรามากที่สุด  ในมหาจักรวาลนี้  เอเมน

ต้องตัดปัญหาไปทีละเรื่องๆ ทีละอย่างว่าสำหรับลูกกับแม่แล้ว ลูกควรจะมีท่าทีอย่างไรกับแม่ของเรา ซึ่งจริงๆ ก็รวมไปถึงพ่อของเราด้วยนั่นแหละ  แต่วันนี้พิเศษ ให้แม่เป็นใหญ่แล้วกัน ในสุภาษิต 23:25 พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงตรัสสั่งเรา สอนเรา กำชับเรา อย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เพราะนี่คือความจริง

สุภาษิต 23:25 “จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ (หรือได้ชื่นใจ)”

 

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ” เพราะว่าพระเจ้ารู้แล้วทั้งพ่อและแม่ที่ให้กำเนิด รักลูกที่เขาให้กำเนิดแน่นอน เหมือนกับพระองค์ พระองค์จึงบอกนี่คือกฎเกณฑ์เลยว่าต้องทำอย่างนี้ ไม่มีข้อยกเว้น … ไม่มีข้อยกเว้น  ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ ก็เป็นลูกมาก่อนทั้งนั้น  ที่อายุมาก  เดี๋ยวนี้ที่ยังเด็กๆ ก็เป็นลูกปัจจุบัน แต่ที่โต ก็เคยเป็นลูกมาก่อน เพราะฉะนั้น พูดมาถึงเราด้วยว่าพระเจ้าสั่งเลยนะว่า.-

“จงทำให้พ่อแม่ยินดี ให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้าได้ปลื้มใจ ได้ชื่นชมยินดี ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น”

พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนี้ว่า “จงทำให้พ่อแม่ยินดี จงให้แม่ที่ดี ครบถ้วนบริบูรณ์ ผู้ที่ได้คลอดเจ้านั้นได้ยินดี ได้ปลื้มใจ ถ้าเขาทำไม่ดี ให้เขาได้ทุกข์ใจไปเลย”

พูดอย่างนี้หรือเปล่า?  ไม่พูด แต่มนุษย์พูดไหม? เพราะมนุษย์พูด เพราะมนุษย์ชี้นิ้วอย่างเดียว ว่าเขาอย่างเดียว ประณามเขาอย่างเดียว คิดอะไรก็อันนี้ไม่ดี  อันนั้นแย่  เขาเรียกว่าทับถมอย่างเดียวเลย ไม่คิดถึงเหตุผล หรือเหตุผลอะไรต่างๆ เพราะมนุษย์มีแต่มองเขาตรงข้าม ไม่เคยมองตนเอง วันหนึ่งท่านจะมองกระจกสักกี่ครั้ง มองกระจกประมาณ 1 นาที แต่มองคนอื่นเท่าไร? ตัดนอนออกไป 8 ชั่วโมง ที่เหลือมองคนอื่นหมด แต่มองตัวเอง มองกระจกแค่ตอนแปรงฟัน ไม่รู้กี่นาที  ไม่รู้ ต่อวัน เพราะฉะนั้น เราจะมองแต่คนอื่น แล้วตัดสินคนอื่นตลอดเวลา อย่างนี้ๆ เห็นไหม? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าบอกว่า.-

“จงให้แม่ผู้ที่คลอดเจ้า ไม่รู้ล่ะ เขาคลอดเจ้าหรือเปล่า? ถ้าคลอดเจ้า จงให้เขาชื่นใจนะ เคารพเขานะ รักเขานะ”

แม้เขาจะทำผิดก็ตาม  แม้เขาจะทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่น่าจะทำกับลูกอย่างนี้ แต่เขาไม่รู้เขาจะทำอย่างไร? เขารัก เขาทำไม่เป็น

เมื่อกี้เราพูดถึงหน้าที่ของลูกแล้วใช่ไหม? คราวนี้มาถึงหน้าที่ของแม่ แม่วันนี้อยากจะบอกนะครับ ใครที่เป็นแม่ อย่าลืมนะครับวันนี้ พูดทุกคนคำว่า “แม่” หมายถึงมีพ่อพวงมาด้วยนะ คนที่เป็นแม่ ทุกวันนี้ผมรู้เยอะแยะ ทั้งโลกเลย เต็มไปด้วยความท้อแท้ เต็มไปด้วยความทุกข์ กังวล กลุ้มใจ เป็นห่วง ถามว่าใคร? ลูก จริงหรือไม่จริง? มีลูกที่เป็นวัยรุ่นอยู่ แม่ก็เป็นห่วง  ห่วงไม่จบไม่สิ้น ไม่เลิกเลย  กลุ้มใจ ท้อแท้ … ท้อแท้เพราะอะไร?  มันไม่ได้ดั่งใจเลยนะ

“มันน่าจะอย่างนี้ มันน่าจะอย่างนั้น”

เป็นห่วงไปหมดทุกประการ ทุกอย่างเลย

          ผมเลยอยากจะบอกพ่อแม่ หรือแม่ที่กำลังทุกข์ใจอยู่ในขณะนี้ว่าท่านยังมีความหวังนะ ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ … ความหวังอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ที่เดียว ถ้าท่านไม่มีพระเยซูคริสต์ ท่านจะไม่มีความหวังเลย  เพราะที่ผมพูดมาทั้งหมดตะกี้นี้แล้ว ให้เหตุผลท่านแล้วว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันเกิดอย่างไร? ถูกไหม? ท่านเห็นภาพนั้นไหม? ถ้าท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็เดินเข้าไปอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ต้น มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลย  ไอ้นั้น ก็ผิด ไอ้นี่ ก็ผิด ไม่รู้จะแก้อย่างไร? พันละวันพันละเกไปหมด ไม่รู้จะแก้ตรงไหน? เพราะต่างคนต่างก็บาป แก้กันเอง คนแก้ก็บาป คนถูกแก้ก็บาป ต่างคนต่างบาป รวมกันแล้ว มันจะไปไหน? มีพระเยซูเท่านั้น ที่ไม่บาป เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ จึงสามารถช่วยเหลือเราได้ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย  ก็คือความหวังในพระเยซูคริสต์

 

          วิธีทำอย่างไร? เชื่อพระองค์ แล้วมอบทุกอย่างไว้ที่พระองค์เลย ไม่ต้องตัดสินบนพื้นฐานของโลกใบนี้อีกต่อไปเลย ทุกสถานการณ์มอบไว้ที่พระเจ้า  วางใจในพระองค์ เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็สามารถควบคุม ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ และในมหาจักรวาลนี้ได้ ตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมและครอบครองอยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้เลย พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่ตาเรา มนุษย์ธรรมดามองเห็นว่าไม่ดีนั้น ให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะพาเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้ของดีที่สุด ในที่สุด

 

ดีที่สุด ในที่สุด หมายถึงตอนนี้อาจจะไม่ดี แต่ในที่สุด มันจะมีดีที่สุดของที่สุด รออยู่ แล้วในที่สุด เราถึงจะได้ดี เข้าใจใช่ไหมครับ? มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่อย่างนั้น เราแม่ทั้งหลายเอ๋ย จะหมดความหวังเลยนะครับ  ลูกบางครั้ง เป็นวัยรุ่น อยากจะไปทำอย่างโน่นอย่างนี่ แล้วท่านจะไปเอาอะไรไปสู้กับเขาล่ะสมัยนี้ … สมัยก่อนยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มีไอโฟน ไม่มียูโฟน ไม่มีบีโฟน ไม่มีอะไรโฟนๆ ทั้งนั้น ยิงนก ตกปลาธรรมดา กลุ้มใจลูกเต็มไปหมด ท่านจะปิดกั้นอะไร ท่านจะบอก “อย่า” ในเมื่อไอโฟนมันสอนหมดทุกอย่าง ในอินเตอร์เน็ตสอนทุกเรื่อง ทุกความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ มันชัดเจนหมดแล้ว ท่านว่าท่านเสียงจะดังกว่าสื่อเหล่านี้หรือ!  สื่อเหล่านี้มันคุมโลกไปแล้ว  ท่านจะบอกปิดไม่ให้ดูๆ ท่านคิดว่าท่านปิดไหวไหม? ไม่ไหว ถูกไหม? ท่านปิดได้ไหม? ไม่ได้ ปัจจุบันจะเห็นชัด แล้วความหวังท่านจะอยู่ที่ไหน?  ก็คือถ้าท่านไม่เชื่อพระเยซู ท่านก็จะมีแต่ความกลุ้มใจ กลัว เขาจะไปนั่น เขาจะไปนี่ จะติดยาไหม? จะอันโน่นไหม? วุ่นวาย จะไปเป็นโจรหรือเปล่า?  จะทำงานอะไร?  หากินอย่างไร? มันยุ่งวุ่นวายไปหมดเลยใช่ไหม? แต่ท่านมีพระเจ้า ท่านสามารถวางใจในพระเจ้า ท่านพึ่งในพระองค์ … พระองค์จะทรงนำให้ลูกเราไปในทางที่ดีเอง แม้ว่าขณะนี้ เราอาจจะมองดูว่าไม่ดีก็ตาม  เข้าใจใช่ไหมครับ?

ลูกเราอาจจะทำอะไรที่ไม่ดีในขณะนี้ ลูกเราอาจจะติดยาอยู่ ลูกเราอาจจะติดตะราง  ติดคุกอยู่ ถามว่าแล้วเราทำดีที่สุดหรือยัง? ทำดีแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า.-

“เพราะพ่อแม่เขาไม่ค่อยได้ดูแล”

แล้วท่านรู้ไหม บางคนพ่อแม่ดูแล ก็เป็น ผมไม่ได้พูด เพื่อว่าบอกว่าท่านไม่ต้องดูแล เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุดแล้ว โอเค … แค่นั้นแหละ ถามตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง? ทำดีที่สุด แล้วใครเป็นคนบอกว่าดีที่สุด คือเราเข้าไปหาพระเจ้า พระเยซูหรือยังว่า.-

“พระองค์ช่วยลูกด้วยๆ ลูกทำได้แค่นี้”

นั่นแหละ คือดีที่สุดของท่านแล้ว  ถูกหรือไม่ถูก? ตราบใดที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู แล้วบอกพระเจ้าว่า.-

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกทำดีที่สุดแล้ว”

นั่นผมมั่นใจว่าท่านดีที่สุดแล้วจริงๆ แต่ถ้าคุณบอกไม่มีพระเยซู แล้วคุณมาหาผม แล้วบอกว่า

“ผมทำดีที่สุดแล้ว”

ไม่แน่มันอาจจะมีบางอย่างที่คุณจะทำได้มากขึ้น ถ้ามีกำลังจากพระเจ้าเข้ามาสนับสนุนคุณ เข้าใจใช่ไหมครับ?

ผมกำลังจะบอกว่าพระเยซูเป็นคำตอบ เป็นความหวังเดียวของแม่ทั้งหลาย มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่เขาจะอยู่อย่างไม่ท้อแท้ อยู่อย่างมีสันติสุข อยู่อย่างมีความหวังว่าลูกที่เขารัก ต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่เห็นตอนนี้ก็ตาม แม้ว่าเขาจะเห็นตอนนี้ อาจจะดูไม่ดีต่างๆ แต่ในที่สุด เขาต้องดีแน่นอน เพราะเราอธิษฐานให้เขา เราหวังใจเขาในพระเยซูคริสต์ แม้ตอนนี้เขาจะติดยาอยู่ อนาคตเขาอาจจะเป็นผู้รับใช้ เยอะแยะนะครับคำพยานทั่วโลก คำพยานเยอะแยะเลยนะ ผมจะบอกไม่ใช่น้อยนะ เยอะเลย ทั่วโลกเลยว่าลูกติดยา แต่ในที่สุด ลูกกลายเป็นคนประกาศเรื่องพระเจ้า คนสอนเรื่องพระคัมภีร์ กลับใจใหม่เยอะแยะ เคยได้ยินไหม? แล้วยังเรื่องอื่นๆ อีก ลูกที่เคยดื้อกับแม่อย่างมากมาย ติดตะราง ติดคุก กลับกลายเป็นคนดีมากมาย รักแม่มากกว่าลูกที่ไม่ได้ติดคุกด้วยซ้ำ มีไหม? มี

นี่ขนาดพูดท่านยังเห็นเลยว่ามี  ถ้าบอกว่าพระเจ้าทำได้ไหม? ตอบสิ ได้ไหม? ได้ … ใช่ทุกอย่างอยู่แล้ว   เพราะฉะนั้น เห็นไหม ถ้าเราเอาปัญหาทั้งหมดนี้ แม่ทั้งหลาย มาคุกเข่าต่อพระเจ้า แล้วบอก

“พระเจ้า … ลูกฝากลูกคนนี้ ฝากด้วยเถิด”

ท่านคิดว่าพระเจ้าจะฟังท่านไหม? ในเมื่อพระเจ้าบอกมาอย่างนี้ว่าความรักของแม่บริสุทธิ์ ท่านคงคิดว่าแม่คุกเข่าอธิษฐานให้ลูก จะได้อย่างนี้ไหม?  เห็นไหม?  ในพระคัมภีร์มีเสมอ พระเยซูจึงบอกว่าเข้ามาหาพระองค์เถิด พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข คือเข้ามาหาพระเยซู แล้ววางไว้ที่พระองค์อย่างนี้ ไม่ต้องเอาสติปัญญาตัวเอง จบ ทิ้งไปแล้ว ต่อไปนี้ ทำได้แค่ไหน ก็เอาแค่นั้นแหละ

          “ฉันเรียน ป.4 มา ฉันทำได้แค่นี้  ฉันก็หยุดอยู่แค่นี้แหละ”

          “ฉันเรียน ม.4 มา ฉันทำสุดได้แค่นี้ ฉันก็ทำแค่นี้แหละ”

          “ฉันมีสติปัญญาเป็นด็อกเตอร์  ฉันทำได้แค่นี้ ฉันทำสุดแค่นี้”

          ต่างคนต่างสุดของตัวเองแล้ว  ที่เหลือ

          “พระเจ้าช่วยลูกด้วย ช่วยลูกของลูกของลูกด้วย”

          ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ยืนยาวพอ  “ช่วยลูกของลูกของลูกของลูกของลูกอีกทีหนึ่งด้วยเถิด” ใช่ไหม?

 

พระเยซูจึงบอก  จึงให้เราอธิษฐานอย่างนี้  มัทธิว 6:9 บอกว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ สอนคำอธิษฐานเดียวว่าให้อธิษฐานอย่างนี้ คำอธิษฐานนี้ทำไม? ทำให้เราสามารถที่จะวางใจในพระเจ้าทั้งหมดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงครอบครองในทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์ ในพระหัตถ์ของพระองค์ กำหนดไว้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มาหาพระเจ้า ผู้กำหนดทุกสิ่งดีกว่า แล้วให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัย เพราะน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราดี เพราะพระองค์รักเรา … เราเป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทำได้ อย่างไรก็ดี สัญญา พระองค์สัญญา บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ลูกของพระองค์นั้น พระองค์จะทรงกระทำให้เกิดเป็นผลดีทั้งสิ้น  อย่างไรตอนจบ มันต้องดี เชื่อพระองค์หรือเปล่า? แล้วก็วางใจในพระองค์

“ใครจะว่าอย่างไรแล้วแต่ ฉันมีความหวังในลูกฉันเสมอ อย่ามาว่าลูกฉันก็แล้วกัน”

หมายถึงไม่ใช่ไม่ฟังนะ ฟัง

“ฉันมั่นใจในลูกฉัน เดี๋ยวเขาก็ต้องดี”

แล้วเราตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่ดี ทำอย่างไร? ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาก็ดีเอง  มั่นใจถึงขนาดนี้ เอเมน แล้วทำอธิษฐานนั้น ก็อยากให้เราจำเอาไว้ จำเป็นบทเพลงเลย คำอธิษฐาน จำไว้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ต้องเกิด ก็เกิดทุกข์อยู่แล้ว เกิดอะไรขึ้นก็ตามอธิษฐานตามนี้  ไม่เกิดอะไรขึ้น  แต่ละวัน อธิษฐานตามนี้  มีชีวิตอยู่ อธิษฐานตามนี้ แม่ทุกคนอธิษฐานตามนี้

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ช่วยด้วยเถิด อย่านำลูกและลูกของลูก และหลานของลูกเข้าไปสู่การทดลอง แต่ขอให้หลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวงของโลกใบนี้ที่มีอยู่ เหตุเพราะอะไร? พระองค์ทรงทำได้ เพราะฤทธิ์เดช อำนาจ พลัง พระสิริเป็นของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน”

ให้แม่ทุกคนร้องบทเพลง (เพลงคำอธิษฐานของพระเยซู มัทธิว 6:9) นี้ให้ได้ ถ้าร้องไม่ได้ แม่ก็ใช้ท่องเป็นอาขยานก็ได้ ให้แม่วางใจในพระเจ้า มาจากมัทธิว 6:9 ที่พระเยซูสอนเราให้อธิษฐาน

เราลองคิดดูนะครับ สมมติว่าแม่รักลูกของเราเองอย่างมาก แล้วเราก็กลุ้มใจกับลูกเรา ท้อแท้ เพราะเราอยากจะให้เขาได้ในสิ่งที่เราคิดว่ามันดี แต่เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิด อยากให้เขาทำ มันดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาอาจจะมีอย่างอื่นที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาได้ เราอยากให้เขาเป็นอันนี้ เราอยากให้เขาเป็นอันนั้น เราอยากให้เขาทำอันนี้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เขาเป็นอย่างไร? มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

          เพราะฉะนั้น แม่เข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปอธิษฐานอย่างนี้ จึงเป็นแม่ที่สงบ จึงเป็นแม่ที่มีสันติสุข ผมไม่ได้บอกว่ามีความสุข แต่มีสันติสุข เป็นแม่ที่นิ่งและมีความหวังอยู่เสมอ ไม่เดือดร้อนมากมาย จนเกินไปบนโลกใบนี้ ไม่กลัวจนเกินไป ไม่กังวลจนเกินไป แต่เขาจะอยู่กับพระเจ้า และอธิษฐานให้ลูกๆ เขาเสมอ อย่างนี้แหละ  เอเมน

 

********************