คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2016

 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต”

ตอน 4 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในหัวข้อคำบรรยายเรื่องหลักข้อเชื่อของอัครทูตอยู่นะครับ ครั้งนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อเรื่องว่า “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” ต่อจากครั้งที่แล้ว

ก่อนที่จะเข้าเรื่องของวันนี้ ให้เรามาทบทวน หลักข้อเชื่อของอัครทูต ซึ่งเป็นแก่น เป็นสาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีของพระเจ้า พระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย รวบรวมมาเป็น 12 ข้อ มีอะไรบ้าง?

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  3. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ (Holy Church) ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น (มั่นใจในการอภัยโทษจากบาปทั้งหลาย)
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย (ร่างกายใหม่)
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

และสัปดาห์ที่แล้ว ผมก็ได้สรุปไว้ว่าในหลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อนี้ ถ้าเรามาจัดเป็นกลุ่มๆ สามารถจัดได้เป็นทั้งหมด 4 กลุ่มด้วยกัน คือ …

กลุ่ม 1 เกี่ยวกับพระเจ้า พระบิดา

กลุ่ม 2 เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

กลุ่ม 3 เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสากลคริสตจักร

กลุ่ม 4 เกี่ยวกับความรอด หรือผลจากความเชื่อ ที่เราได้รับ

ใน 4 กลุ่มนี้ เรื่องความเชื่อในพระเยซูคริสต์มีมากที่สุด ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 ข้อ คือ …

  1. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  2. พระเยซูคริสต์ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  3. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  4. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  5. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  6. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจว่าจากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย

 

วันนี้เราจะมาดูในแต่ละหัวข้อว่าพระคัมภีร์มีกล่าวถึงหลักข้อเชื่อเหล่านี้ไว้ตรงไหนบ้าง? เราไม่สามารถบอกได้ว่า …

“ผมเชื่อไปแล้วจริงๆ 5 ข้อ อีกข้อไม่เชื่อ”

ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันโยงกันหมด ถ้าท่านไม่เชื่อข้อหนึ่ง แปลว่าท่านไม่ได้เชื่อจริง

เรามาเริ่มจากข้อแรก … ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา

“เชื่อไหมว่าพระเยซู เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด”

แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็เถียงกันอยู่แค่นี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ถ้าผ่านตรงไป ตรงอื่นง่ายขึ้นแล้ว เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระเจ้าจริงไหม?

นึกถึงภาพ 2,000 ปีย้อนกลับไป ยุคสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ นึกถึงรถราก็ไม่มี มีบุคคลหนึ่ง เป็นชาวยิวลุกขึ้นยืนท่ามกลางชนชาวยิวด้วยกัน ประกาศว่า …

“เรา คือพระเจ้า”

ท่านลองนึกภาพสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น? บุคคลผู้นี้ คือพระเยซู ทรงตะโกนออกไปว่า …

“เรากับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน”

คำว่า “พระบิดา” ตรงนี้ ก็หมายถึงพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพระเจ้าของชาวยิว เป็นที่เทิดทูนของเขามาก แค่พูดชื่อ ก็ไม่ได้แล้ว นี่ยังมาบอกว่าเป็นลูกของพระเจ้าอีก พระเยซูกำลังประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็แปลว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า นั่นเอง พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้  ยอห์น 10:36-38

ยอห์น 10:36-38 “36 เราเป็นบุตรของพระเจ้า ในเมื่อพระบิดาเป็นผู้เลือก และส่งเราเข้ามาในโลกนี้? 37 ถ้าเราไม่ได้ทำ สิ่งที่พระบิดาของเราทรงกระทำ ก็อย่าเชื่อเราเลย 38 แต่ถ้าเราทำสิ่งนั้น แม้ท่านไม่เชื่อเรา ก็จงเชื่อสิ่งที่เราทำเถิด เพื่อท่านจะได้รู้ และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา”

 

คำว่า “พระเจ้า พระบิดา” หมายถึงผู้ที่เขาเทิดทูนสูงมาก แล้วมนุษย์ คือพวกเขา ต่ำต้อยมากเลย ตอนนี้มีมนุษย์คนหนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา เป็นพี่น้อง มีฐานะเป็นลูกของพ่อที่ชื่อโยเซฟ เป็นช่างไม้ และแม่ชื่อแมรี่ อายุประมาณ 30 กว่า แล้วมาพูดอย่างนี้ ท่านลองนึกถึงภาพ 2,000 ปีแล้ว เป็นอย่างนี้ ถ้าเรื่องนี้โกหก เป็นเรื่องไม่จริง จะมีคนเชื่อ หรือจนถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปี คนเชื่อเยอะมาก

หลักข้อเชื่อที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าเป็นความเชื่อที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญข้อแรกเลย ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เพราะถ้าท่านจะเชื่อเรื่องพระเยซูทั้งหมด 6 ข้อที่เป็นสาระสำคัญ ท่านต้องมีความเชื่อและวางใจ ในข้อนี้ก่อน แล้วข้ออื่นๆ ถึงตามมาได้ เป็นเหมือนออโต้เลย มันจะมาเอง

การประกาศข่าวประเสริฐ ข้อมูลแรกๆ ต้องบอกเขาเลยว่าพระเยซู คือพระเจ้า

ถามว่า “คริสตมาส คือวันอะไร?”

“วันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์”

และนี่คือเหตุผลที่บอกว่าหลักข้อเชื่อข้อนี้ เป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุด ก็เพราะมันสำคัญที่สุด เพราะพวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์รู้จักพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับไปสู่อ้อมกอดของพ่อของเขา คือพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์กลับคืนดีกับพ่อผู้ให้กำเนิดเขา คือพระเจ้า พวกที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ก็คือมารซาตาน มันรู้ดีเรื่องนี้ มันพยายามให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุด ป้องกันเรื่องนี้ มากที่สุด ไม่อยากให้คนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้ามากที่สุด เพราะรู้ว่าถ้าใครหลุดตรงนี้ไป รู้ตรงนี้ทันที เชื่อตรงนี้ทันที อย่างอื่นไม่ยากแล้ว จะตามมาเอง

เพราะฉะนั้น มันจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะหาข้อโต้แย้งว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า เรามาเชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าช่วยให้เราเชื่อ ไม่ใช่เราเชื่อเอง หรือคนนี้สอนดีมาก จนเราเชื่อ ไม่ใช่ บางคนฟังคำบรรยายตั้งเยอะ ค้นคว้าตั้งเยอะ ก็ยังไม่เชื่อสักที บางคนยังไม่ทันฟังคำบรรยายเลย แค่ได้ยินเพื่อนพูด 2-3 คำ รุ่งขึ้นเชื่อแล้ว

ถามว่าทำไมไม่เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่กำความรอดของมนุษย์ไว้ ก็คือพระเจ้า พระบิดา ความรอดเป็นของพระองค์ พระคัมภีร์บอก พระเจ้าทรงเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณ ให้เรา เราถึงได้เห็น  ใช่จริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า เชื่อตรงนั้น จนเรายอมคุกเข่าลง ไม่ได้หมายถึงคุกเข่าจริงๆ นะ หมายถึงยอมถ่อมใจลง ยอมรับว่าเราเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ช่วยเราได้

สรุปแล้ว ก็คือพระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณ เราจึงสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้ คือเราเชื่อ แม้จะไม่เข้าใจก็ตาม ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์

การมีหลักฐานพิสูจน์ ก็เป็นเพียงแค่การเพิ่มพูนความรู้ เพิ่มพูนสติปัญญา เพื่อเราจะได้มีความลึกซึ้งในพระคุณของพระเจ้า ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย รู้จักพระองค์มากขึ้นนั่นเอง และสามารถมีความรู้ที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐได้มากขึ้น ได้มันขึ้น  มันก็ตื่นเต้นขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นสาระสำคัญที่ท่านต้องพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็น โดยการหาหลักฐานมาให้เขาดู ไม่ต้องถึงขนาดนั้น อธิษฐานให้เขาดีกว่า

หลักข้อเชื่อข้อที่ 2 เกี่ยวกับพระเยซู คือ “ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารี”

ทำไมต้องใส่ตรงนี้ เป็นข้อที่ 2 ทำไมตรงนี้เป็นสาระสำคัญ เป็นคริสเตียนต้องเชื่อตรงนี้ เมื่อกี้ เราบอกว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นพระเจ้าใช่ไหม? มาข้อนี้ ก็ขยายความขึ้นไปอีกว่าที่พระองค์เป็นพระเจ้า และมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระองค์ปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงกำเนิดจากแมรี่ หญิงสาวพรหมจารีไง  เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ ที่เกิดแบบพวกเรา มาดูในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู  32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

พระคัมภีร์จดไว้อย่างนี้ ทูตสวรรค์ตอบว่าอย่างไร?

“พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ แมรี่ และฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมอยู่เหนือเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

นี่แหละเหตุผล แต่สมัยนั้น ไม่มีใครรู้เรื่อง อะไร? งง เพราะเทคโนโลยียังไปไม่ถึง ได้แต่เชื่อเฉยๆ ว่านั่นแหละ พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ องค์บริสุทธิ์มาบังเกิด หลายคนเชื่อ หลายคนไม่เชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ที่ผู้หญิงไม่แต่งงาน แล้วจะมีท้อง จะตั้งครรภ์

นึกถึงภาพตอนนั้น 2,000 กว่าปี นานมาก การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และคลอดลูก เรียกว่ายิ่งกว่าอัศจรรย์อีก เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย พูดง่ายๆ ถ้าไปพูดกับใคร เขาจะบอกว่าบ้าหรือเปล่า? มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสมัยนี้  ผ่านมา 2,000 กว่าปี ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกได้ หนังสือพิมพ์ลงเยอะแยะ เสีย 300,000 … 400, 000 … 500,000 … 600,000 เป็นไปได้ ไม่ยากด้วย ถ้ามีเงิน ชาวบ้านเรียกว่าอุ้มบุญ

ข้อต่อไป “พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์”

ต้องเชื่อตรงนี้  นี่คือข้อที่ 3  เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู หลักข้อเชื่อข้อนี้ ไม่ต้องพูดเยอะนะ เพราะศุกร์ประเสริฐก็พูด อีสเตอร์ก็ต้องพูดตรงนี้ ดวงใจของข่าวประเสริฐ ก็คือตรงนี้แหละ คือมนุษย์จะได้รับความรอด จะต้องเชื่อตรงนี้ คือเชื่อว่าพระเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า องค์เดียว ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยกำเนิดจากหญิงพรหมจารี ทรงต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงที่กางเขน และสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา และมวลมนุษยชาติ คือต้องเชื่อว่าพระเยซูตายจริงๆ ไม่ตายจริง เขาไม่เอาไปใส่ในอุโมงค์ฝังศพ เห็นไหม? มันต่อเนื่องกันหมดเลย ที่พระเยซูต้องอยู่ในอุโมงค์นั้นจริง ตายจริงๆ หมดลมจริงๆ เริ่มเน่านิดหนึ่งแล้ว มีกลิ่นแล้ว ผมคิดว่า 3 วันต้องมีกลิ่นบ้างแหละ

ถามว่าทำไมต้องเขียนไว้ว่าถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระองค์บรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ แสดงว่าพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ไม่ได้แกล้งตาย ไม่ใช่ไม่ตาย … ตายจริงๆ และถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์จริงๆ

ข้อที่ 4 “พระองค์ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย

เรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เป็นเรื่องที่เราฟังมาจนคุ้นหู แต่เรื่องที่บอกว่าพระองค์เสด็จลงสู่แดนมรณา อาจยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเราบางคน เพราะไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องนี้กัน ผมจะพยายามสรุปให้เข้าใจง่ายๆ

ในช่วงหลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และก่อนที่จะเป็นขึ้นจากตาย  ในวันที่สาม คือช่วงหลังวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนวันอีสเตอร์

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จลงสู่แดนมรณา คำว่า “ตาย” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงร่างกายตาย เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงวิญญาณของพระองค์ตายด้วย วิญญาณของพระเยซูถูกทอดทิ้ง ตายทางวิญญาณ คือถูกทอดทิ้ง เป็นกบฏต่อพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า ซึ่งมีผู้ค้นคว้าหลายท่านเชื่อว่าจากพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ในเรื่องเกี่ยวกับความตายของพระเยซู … พระเยซูตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์หรอก แต่เริ่มจากคืนวันพฤหัสฯ แล้ว ตอนที่พระเยซูสอนสาวกครั้งสุดท้ายว่า …

“พระบิดาอยู่ในเรา … เราอยู่กับพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราพูด เราไม่ได้ทำ เราไม่ได้พูดเอง พระบิดาเป็นผู้บอกเรา บอกที่ไหน จากในเรา คุยกันตลอด”

แต่อีกไม่กี่ชั่วโมง ต่อมาที่สวนเกเสมนี พระเยซูบอกว่า …

“เรากลัว … กลัวจนแทบจะขาดใจ”

เกิดมา พระองค์ไม่เคยพูดคำนี้เลย อยู่ดีๆ พระองค์บอกพระองค์กลัวจนแทบจะขาดใจ ต้องเดินไปหาสาวก บอกมาเป็นเพื่อนเราหน่อยได้ไหม? พระเจ้าอยู่ด้วย แล้วจะมาเรียกให้มาเป็นเพื่อน เคยไหม ครั้งก่อนๆ เคยเรียกเปโตร ยอห์น ยากอบไปเป็นเพื่อนไหม? ไม่มี ตอนนี้บอก

“มาเป็นเพื่อนเราหน่อย”

มิหนำซ้ำ ไปอธิษฐาน พระเจ้า พระบิดาให้จอกนี้ คือหน้าที่นี้ คือการถูกตรึงตาย ที่ไม้กางเขน เลื่อนไปได้ไหม? คือไม่ทำได้ไหม?  ไม่เข้าไปได้ไหม?

อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แสดงว่าไม่ได้ยินอะไร? คุยกันไม่ได้แล้ว แสดงว่าพระองค์ทรงถูกทอดทิ้งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเริ่มจะรับบาปแทนมนุษยชาติ มาเป็นคนบาปเหมือนเรา เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐาน 3 ครั้ง ทรุดตัวลงไป ไม่มีกำลัง เหมือนเราทั้งหลายที่เจอความทุกข์ยากลำบาก บางครั้ง เราไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วยพระเจ้า เหมือนกันเลย ครั้งที่สาม เมื่อพระองค์ทรงอธิษฐานบอกว่า …

“ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเผื่อไม่มีทางอื่นให้เลือก”

ในพระคัมภีร์เขียนว่าทูตสวรรค์มาเสริมกำลังให้กับพระองค์ พระบุตรของพระเจ้า ต้องมีทูตสวรรค์มาเสริมกำลังเหรอ ไม่ใช่บุตรของพระเจ้าแล้วตอนนั้น แต่เป็นคนบาป เหมือนพวกเราทั้งหลาย ทูตสวรรค์ต้องมาเสริมกำลัง เพื่อให้ไปทำภารกิจในวันรุ่งขึ้น คือต้องถูกทุบตี ถูกเฆี่ยนตี ทรมาน เพื่อให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จ เขาจึงเชื่อกันว่าพระเยซูตายทางฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่ก่อนไปไม้กางเขน คือถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกทอดทิ้งจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า เป็นอะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าทุกอย่างเลย ก่อนที่พระองค์จะล่วงหลับที่ไม้กางเขนนั้น ร่างกายของพระองค์หมดลมหายใจ หัวใจจะหยุดเต้น สมองหยุดทำงาน พระองค์ตะโกนว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน? พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมถึงทอดทิ้ง”

ก็คือตาย … ตายทางวิญญาณ พระเจ้าอยู่ไหน?

คือพระเจ้าต้องละพระองค์ เพราะพระองค์เป็นบาปแล้ว  รับบาป ซึ่งการรับโทษบาปเหล่านี้ของพระเยซู เพื่อเรา มันเป็นผลของความบาป

พระคัมภีร์บันทึกว่าผลของความบาป คือความตายและตาย … ตาย 2 อย่างเลย ตายทางร่างกาย ตายอยู่แล้ว ตายทางวิญญาณด้วย

ผลของความบาป คือความตาย

ผลของความบาป คือการอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้

ผลของความบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ผลของความบาป คือเป็นกบฏกับพระเจ้า

ผลของความบาปเหล่านี้ โทษ ก็คือตายและตาย  เพราะพระองค์มารับบาปแทนเรา พระองค์ก็เลยได้รับผล

เมื่อถูกตัดขาดจากพระเจ้า หมดลมหายใจแล้ว วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณพระองค์ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” หรือ “นรก” พระคัมภีร์ก็อธิบายว่าเป็นที่แห้งแล้ง เป็นที่พระเจ้าไม่อยู่ พระเจ้าทอดทิ้ง เป็นที่ที่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นที่ที่แย่

สำหรับคนที่ล่วงหลับไป หรือวิญญาณออกจากร่าง โดยที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังไม่รู้จักพระเจ้า ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เรียกว่า “แดนมรณา” แต่สำหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้า ก็จะไปอยู่ในที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะรู้จักกัน เป็นลูกเจ้าของสวรรค์ เราก็เลยพลอยไปอยู่ในสวรรค์ด้วย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเสด็จไปที่แดนมรณา เพื่อช่วยคนเหล่านั้น ที่ถูกกักกัน เหมือนประกาศข่าวดีให้กับบรรดาผู้ที่ตายไปก่อนหน้าที่พระเยซูจะเกิด ไม่มีโอกาสได้รับความรอด ไม่มีโอกาสได้เจอพระเยซู พระเยซูก็เลยถือโอกาสไปพูดเรื่องข่าวประเสริฐด้วย เราขอบคุณพระเจ้า บางทีเราบอกว่า …

“เธอไม่เชื่อพระเยซู เธอจะต้องลงไปในนรก”

มีความรู้สึก รับไม่ได้ แต่นี่ง่ายๆ เอง ไม่ต้องพูดถึงเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อพระเยซู ถ้าท่านรู้จักเจ้าของสวรรค์ ท่านก็ไปอยู่ในสวรรค์ได้ สมมติว่ามีเจ้าของสวรรค์จริงๆ  แล้วเราไม่รู้จัก เราออกจากร่างไป ก็ไปอยู่ในที่ไม่รู้จักพระเจ้าสิ มันก็ธรรมดา เรียกว่าบึงไฟนรก ที่ที่มีพระเจ้าอยู่ เรียกว่าสวรรค์

ถ้าพระเจ้าผู้นี้ ที่เราเชื่อตั้งแต่ข้อแรก บอกว่าพระองค์มีผู้เดียวเท่านั้น ที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงฤทธานุภาพและอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่มีชื่อว่าพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ที่มีอยู่เพียงผู้เดียว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตามที่เราเชื่อ แล้วคนไม่เชื่อตามนี้ เขาก็ต้องไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นึกภาพน่ากลัวนะ โหดร้ายไหม?

ข้อที่ 5 พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด”

อันนี้ท่านก็ต้องเชื่อ กิจการ 1:8-9

กิจการ 1:8-9 “8 ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา ในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก 9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไป  ต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา”

 

บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เราเชื่อตามนั้น ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาผู้คนมากหลาย ลอยขึ้นไปเลย พระเจ้าทรงรับพระเยซูขึ้นไป ชัดๆ เลย อยู่ที่เบื้องขวา โคโลสี 3:1 บันทึกไว้

โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”

 

อยู่ที่พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า แล้วในนั้นยังบอกต่อไปอีกว่าอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่อยู่เพื่อครอบครองทั้งหมดเลย ในมหาจักรวาล ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุดเลย เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้าไปเลย  และพระองค์เป็นพี่ชายของเรา  รับโทษบาปแทนเรา สำแดงความรักให้กับเราถึงขนาดยอมตาย ยอมทุกข์ทรมาน ยอมเป็นคนบาป ลงไปนรกแทนเราเลย  สนิทกันอย่างนี้เลย ไม่น่าเชื่อ แต่มันเป็นไปแล้วจริงๆ พอคนมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ต้องรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วต้องเชื่อสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดความลึกซึ้งในพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ในนี้บอกว่าให้ท่านทั้งหลายจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ให้ท่านคิดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คิดแล้วสบายใจ คิดแล้วสนุกสนาน คิดแล้วมีกำลังใจในชีวิต คิดแล้วสามารถต่อสู้กับทุกอย่างในชีวิตได้ ยืนหยัดอยู่ในทุกเหตุการณ์ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้ มีสันติสุขได้ มีความสงบสุข เพราะรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว ตอนนี้เหมือนนั่งรถไฟ หรือนั่งรถเมล์ แล้วรู้ปลายทางแล้ว จะหลับ น้ำลายยืดก็ได้ เพราะพระเยซูจะนำพาเราไปเอง ให้ใจจดจ่ออยู่ตรงนี้ ที่เบื้องบน

ข้อที่ 6 “จากที่นั่น (ที่ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน)  พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

เพราะว่าพระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าให้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว พระองค์ก็เลยมาพิพากษาได้ไง

ถามว่า “คนเป็นและคนตาย” คือใคร? คนตาย คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

คนเป็น ก็คือคนที่เป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  เชื่อในการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนเรา เมื่อพระองค์ทำ เราทำด้วย เมื่อพระองค์ตาย รับบาปที่ไม้กางเขน บาปของเราถูกรับไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ เราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เมื่อพระองค์นั่งที่เบื้องขวา เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยกับพระองค์

เพราะฉะนั้น คนเป็น ก็คือคนที่รู้จักพระเจ้า วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมา แล้วก็มาดูว่าใครอยู่ซ้าย? ใครอยู่ขวา? ใครรู้จักพระเจ้า ก็ว่ากันไป รู้จักพระเจ้า รู้จักสวรรค์ รู้จักพระเยซู ผ่านทางพระเยซู บาปก็ไม่มีแล้ว สมมติเรียกคนหนึ่งออกมา นาย ก. แล้วถามว่า …

“มีบาปไหม?”

“มีครับ แต่พระโลหิตพระเยซูชำระสะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า”

อ้าว! ไป

เพราะรู้จักพระเจ้า อีกคนหนึ่งมา

“ฉันทำอันโน้นดี ฉันทำอันนี้ดี ฉันไปบริจาค ฉันช่วยคนนั้น ช่วยคนนี้”

ไม่ได้ถามว่าไปทำอะไรมา? ถามว่าบาปหรือเปล่า? ไม่ได้ถามว่าทำดีตรงไหน?  ถามว่าทำบาปหรือเปล่า? มีใครสักคนหนึ่งสามารถยืนกับพระเจ้า แล้วบอกได้ว่า …

“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์”

มีใครกล้าพูด นอกจากคนนั้นเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน สมัยก่อนเรายังไม่กล้า พูดอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้ยังพูด

“ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์ ลูกบริสุทธิ์ เพราะพระเยซูคริสต์ เพราะพระโลหิต พระเยซูชำระข้าพระองค์ ไม่ใช่ตัวเราเอง”

พระคัมภีร์ยังมีเขียนไว้ว่าวันที่พระเยซูกลับมา มีบัญชีจดเอาไว้ เป็นหนังสือสำหรับผู้ที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ คือได้รับความรอดจากบาป ผู้ที่จะได้เข้าไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นบุตรของพระเจ้าได้ หนังสือจดไว้ เรียกว่าหนังสือชีวิตนิรันดร์ “The book of life” จดว่ามีชื่อคนๆ นี้อยู่หรือเปล่า? นอกจากจะถามเมื่อตะกี้ คนนั้นอาจจะบอกว่า …

“ฉันทำโน่น ฉันทำนี่”

“ไม่มีนะ ในหนังสือไม่มีชื่อเธอ”

แล้วหนังสือพวกนี้ ไม่ใช่คนเขียน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตกหล่น หรือใช้เส้น จ่าย สตังค์ แล้วก็เขียนชื่อเราเข้าไป พระเจ้าให้ทูตสวรรค์บันทึกเอาไว้ วันที่ 18 มิถุนายน 1988 ได้บันทึกไว้แล้วว่าคนนี้ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วว่าเป็นคนของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับการชำระบาปแล้ว วิญญาณเขาได้เป็นขึ้นมาใหม่ เกิดขึ้นมาใหม่ ณ วันนั้น ขณะที่เขาเดินอยู่บนโลกนี้ อยู่เมืองไทย อยู่ในกรุงเทพนี้ แต่วิญญาณเขาเกิดใหม่แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาพ้นจากบาป สะอาดหมดจดแล้ว จดเข้าไปเลยในหนังสือ คนๆ นั้นมีชื่อว่า …. (ใส่ชื่อท่านลงไป ใส่วันที่ที่ท่านเชื่อลงไปเลย) ท่านไปคิดดูวันไหนไม่รู้ ถูกจดไว้แล้วในหนังสือแห่งชีวิต วันหนึ่งข้างหน้า หนังสือนี้มีความหมาย พระคัมภีร์บันทึกไว้แล้ว  จะถูกเปิดออกมา จะถูกอ่าน ชื่อของเราจะถูกเรียกว่าเราสมควรไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่? เอเมน

นี่คือความหมายของคำว่า “เชื่อ” ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แก่นสาร สาระสำคัญในข่าวประเสริฐนี้ คือเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูใน 6 ข้อนี้ จำให้แม่น แล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2016 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต” ตอน 3 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กรกฎาคม  2016

 เรื่อง “ข้าเชื่อ … หลักข้อเชื่อของอัครทูต”

ตอน 3 “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาคุยกันต่อในเรื่องหลักข้อเชื่อของอัครทูต หรือ Apostle’s Creed ครั้งนี้เป็นตอนที่ 3

ชื่อตอนว่า “ข้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร” ขอทบทวนนิดหนึ่งก่อนนะครับ หลักข้อเชื่อที่เราเรียนรู้กันอยู่นี้ เป็นแก่นแท้ หรือความเชื่อศรัทธาตามหลักพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตามหลักของคริสเตียน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความรอดจากบาป ที่เราได้รับจากพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อนี้ มันเป็นแก่นแท้ เป็นสาระ ซึ่งเอามาจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม และเหตุผลที่เราควรจะมาเรียนรู้ และทำความเข้าใจกับหลักข้อเชื่อของอัครทูตนี้ ก็คือ …

(1) เพื่อหล่อหลอมประชากรของพระเจ้าให้มีหลักความเชื่อ ที่ถูกต้อง ตรงกัน คริสเตียนทั่วโลก ไม่ว่ายุคสมัยไหน?

(2) เพื่อให้เกิดความเข้าใจ กระจ่างในหลักการ และความเชื่อทั้งหมด ในเรื่องของคริสเตียน

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรสากล หรือสากลคริสตจักร หรือเรียกกันว่า Holy Church ทั่วโลก ทุกยุคทุกสมัย เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? เป็นใครก็ตาม?  เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นพี่น้องกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นคริสตจักรเดียวกัน เวลาเราใส่ชื่อคริสตจักร เราใส่เพื่อที่จะได้เรียก เหมือนเรียกหมู่บ้าน ให้รู้ว่าคริสตจักรเราอยู่ที่ไหน?

สมมติว่าคริสตจักรเราที่นี่ ชื่อคริสตจักรอภิสุทธิสถาน พอฟังชื่อ ก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ประเทศไทย ลงในหนังสือโทรศัพท์ ก็จะรู้ว่าอยู่ตำแหน่งไหน? แต่ไม่ว่าอยู่ที่นี่ หรืออยู่แถบไหนในโลกนี้ ก็เป็นหนึ่งเดียว คล้ายๆ เราเป็นสาขาหนึ่ง อะไรประมาณนี้

หลักข้อเชื่อ มี 12 ข้อ …

  1. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก
  2. ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดาเจ้า
  3. ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารี
  4. ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์
  5. ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก) และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย
  6. พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด
  7. จากที่นั่น (สวรรค์) พระองค์จะเสด็จมา  พิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
  8. ข้าพเจ้าเชื่อวางใจ ในพระวิญญาณบริสุทธิ์
  9. และเชื่อมั่นในสากลคริสตจักรบริสุทธิ์ (Holy Church) ในการร่วมสมานฉันท์ระหว่างธรรมิกชน (คือผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลายทั่วโลก)
  10. ข้าพเจ้าเชื่อในการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น (มั่นใจในการอภัยโทษจากบาปทั้งหลาย)
  11. ข้าพเจ้าเชื่อในร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย
  12. ข้าพเจ้าเชื่อในชีวิตนิรันดร์ … อาเมน

 

ชีวิตนิรันดร์ มิได้หมายถึงความยาวอย่างเดียว แต่หมายถึงคุณภาพ คำนิรันดร์ แปลได้ 2 อย่าง

–    แปลว่าจำนวน ก็คือมันยาว ไม่มีที่สิ้นสุด

–  คุณภาพของชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เหมือนพระเจ้า ก็คือเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง

ตอนที่แล้ว เราได้เริ่มในหลักข้อเชื่อข้อแรก คือ “ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”

และครั้งที่แล้ว ผมได้ยกตัวอย่างความหมายของคำว่า “เชื่อวางใจในพระเจ้า” ที่มาติน ลูเธอร์ได้เขียนไว้ มาติน ลูเธอร์ คือบิดาของคริสเตียน โปรแตสแตนท์ ทุกวันนี้ ท่านเขียนไว้ละเอียดลึกซึ้งว่าถ้าใครสามารถมีความเชื่อ ตามที่มาติน ลูเธอร์ได้บรรยายไว้ รับรองว่าชีวิตของผู้นั้น จะเต็มล้นไปด้วยสันติสุข และความสงบสุขอย่างแน่นอน มาติน ลูเธอร์ได้ให้ความหมายของคำว่า “เชื่อวางใจในพระเจ้า” ไว้อย่างนี้ว่าการเชื่อวางใจในพระเจ้า คือไม่เพียงแค่ว่าสิ่งที่มีการกล่าวถึงพระเจ้า เป็นเรื่องจริงเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อ ที่ทำให้เราสามารถวางทุกสิ่ง ทุกอย่างในชีวิตของเรา  ไว้ที่พระองค์ได้ เป็นความเชื่อที่ทำให้เราสามารถยอมรับความเสี่ยง และสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้

เป็นความเชื่อที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ เป็นความเชื่อที่มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระเจ้าพระบิดา ทรงมีแผนการ สำหรับเรา หรือสำหรับฉัน หรืออนุญาตให้เกิดขึ้นกับฉันหรือกับเรานั้น จะต้องเป็นไปตามพระสัญญาของพระองค์ในพระคัมภีร์ทุกประการ ท่านเชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า?

และเราไม่สามารถมอบความเชื่อ และความวางใจในลักษณะอย่างนี้ ให้กับใครได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนใด หรือสิ่งอื่นใด ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น  มีเพียงพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด และผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเท่านั้น  ที่เรามอบความเชื่อศรัทธานี้ไว้ให้กับเขา ถ้าท่านมีอย่างอื่น วางใจเท่าๆ กัน เขาเรียกว่าท่านกำลังมีรูปเคารพ ก็คือท่านไม่ได้เชื่อนั่นเอง

พระเจ้าต้องการให้เราเชื่อในพระองค์จริงๆ  เราจะได้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา แต่ถ้าเราไม่เชื่อจริงๆ มันก็ไม่ได้ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญา ถ้าเราเชื่อ 12 ข้อนี้ทั้งหมด เราจะได้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาเต็มไปหมดเลย ตั้งแต่ชีวิตนี้ จนถึงชีวิตหน้า จนถึงชีวิตนิรันดร์ ทั้งหมดฟรีๆ ด้วยความเชื่อเท่านั้นเอง ไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย

ด้วยความเชื่อและวางใจนี้ เราจะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดๆ อีกเลย เพราะเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงเป็นพ่อของเรา มีฤทธิ์อำนาจสูงสุดเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ความเชื่อและวางใจของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย  ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับภัยอันตราย หรืออุปสรรค ปัญหาใดๆ ก็ตาม ความเชื่อวางใจในพระเจ้าพ่อของเราจะไม่มีวันน้อยลงเลย ไม่ว่าจะในยามสุขหรือยามทุกข์ ในยามมั่งมี หรือยากจน ไม่ว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามใจเราต้องการหรือไม่ก็ตาม?

ตอนนี้เราอาจจะยังทำไม่ได้ครบ 100 ฉันกำลังเดินทางไปตรงนั้นแหละ

และจากมาติน ลูเธอร์ได้บรรยายไว้ เราจะมองเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ระหว่างคำว่า “เชื่อ” กับคำว่า “เชื่อวางใจ”

“เชื่อ” เฉยๆ ก็คือเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริง แต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตเราหรอก เชื่อไปลอยๆ นั่นแหละ ให้ทำตามความเชื่อนั่น ไม่เอา ถ้าต้องเสี่ยง

แต่คำว่า “เชื่อและวางใจ” “เชื่อศรัทธา” เป็นความเชื่อที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนๆ นั้นจริงๆ เป็นความเชื่อที่สามารถขับเคลื่อนเป็นการกระทำของคนนั้น หรือของเรา หรือของฉันได้จริงๆ กล้าเสี่ยงจริงๆ ไม่ใช่เชื่อด้วยปาก แล้วไม่ทำอะไรเลย  เป็นความเชื่อที่ออกมาจากใจจริงๆ ทั้งเชื่อ ทั้งวางใจ พร้อมที่จะทุ่มเท หรือพร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้กับความเชื่อตรงนี้ คือยอมเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อความเชื่อตรงนี้  อะไรจะเกิดขึ้น ก็พร้อมที่จะเชื่อและวางใจต่อไป

นี่คือสิ่งที่คริสเตียนทั้งหลาย ต้องเชื่อ … เชื่อเหมือนกับเวลาเขาลงบัพติศมาในน้ำ ตอนที่เชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เขาให้ท่านร้องเพลง …

“ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู  ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

คำสุดท้ายนี้ บอกถึงความเชื่อเราขนาดไหน? ไม่หันกลับจริงนะ กลับไปบ้าน ถูกไล่ออกจากบ้าน อะไรประมาณนั้น ยังจะเชื่อไหม?  มันก็ต้องมีบททดสอบว่าเชื่อจริงไหม?

ในหลักข้อเชื่อทั้ง 12 ข้อ จัดได้เป็น 4 กลุ่มความเชื่อ

  1. ความเชื่อในเรื่อง พระเจ้า   
  2. ความเชื่อในเรื่อง พระเยซูคริสต์
  3. ความเชื่อในเรื่อง พระวิญญาณบริสุทธิ์และ สากลคริสตจักร
  4. ความเชื่อในเรื่อง ผลจากความเชื่อ

หลักข้อเชื่อในเรื่องพระเจ้า มีแค่ข้อเดียว คือเชื่อและวางใจในพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก คือต้องเชื่อว่ามีพระเจ้า และพระเจ้าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงครอบครอง ควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลาย  และเป็นพ่อของเรา

กลุ่มที่ 2 เป็นหลักข้อเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์

ข้อ 2  บอกว่า “ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”

ข้อ 3 “ทรงปฏิสนธิ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารีย์”

ข้อ 4 “ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยที่ปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์”

ข้อ 5 “ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา (นรก)  และในวันที่สาม ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย”

ข้อ 6 “พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์  ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด”

ข้อ 7 ข้อสุดท้าย “จากที่นั่น (สวรรค์)  พระองค์จะเสด็จมาพิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย”

นี่เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งหมดเลย ทั้งหมด 6 ข้อ

หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มีถึง 6 ข้อ ในขณะที่หลักข้อเชื่ออื่นๆ มีแค่ 1 หรือ 2 ข้อเท่านั้น

          การที่หลักข้อเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้องมีเนื้อหาและรายละเอียดมากกว่าเรื่องอื่นๆ ก็เพราะเรื่องราวและประวัติของพระเยซู ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้เป็นที่ถกเถียงกันเยอะมาก ในทุกยุคทุกสมัย จนถึงทุกวันนี้ และต่อไปในอนาคตอีก รวมทั้งคำสอนเทียมเท็จเกี่ยวกับพระเยซูก็มีเยอะด้วย เพราะว่าพระเยซูเป็นหลัก เป็นหัวใจ เป็นสาระแก่น ของแก่นอีกทีหนึ่ง ในเรื่องเกี่ยวกับความรอดจากบาป อย่างเช่น คำสอนเทียมเท็จที่มาตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงทุกวันนี้  และจะมีต่อไป

 

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้รู้คร่าวๆ  เวลาไปเปิดในอินเตอร์เนต หาดูจะได้สบายใจ  มีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยไม่มีอินเตอร์เนต หรือสมัยไม่มีหนังสือ ก็พูดแบบนี้  ตัวอย่างเหล่านี้ คือคำสอนเทียมเท็จเกี่ยวกับเรื่องพระเยซู

“พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้กำเนิดจากหญิงพรหมจารีย์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้ถูกฝังไว้ที่อุโมงค์จริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ”

“พระเยซูไม่ได้เสด็จไปที่แดนมรณา (หรือนรก) จริงๆ”

ก็คือไม่ได้ตายจริงๆ ตายในที่นี้หมายถึงตายในวิญญาณ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ก็ต้องไปที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ เราเรียกกันว่า “นรก” เป็นที่อยู่ของคนตาย หมายถึงวิญญาณมันตายแล้ว วิญญาณที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ แต่ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ซึ่งคนไทยเรียกกันว่า “นรก” ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Hell”

และอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ที่ถกเถียงกันตลอดมาในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าจริง เขาก็พยายามหาข้อมูลมาหักล้างความจริงเกี่ยวกับพระเยซูในพระคัมภีร์ เพราะว่าความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูเป็นหัวใจหลัก เป็นแกนสำคัญ เป็นสาระที่สำคัญที่สุด ที่จะนำมนุษย์ทั้งหลายมาสู่ความรอด หรือหลุดพ้นจากโทษของความบาป คือความตาย คือต้องลงนรก ก็คือที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

ฉะนั้นท่านก็รู้แล้วว่าใครเป็นผู้ที่พยายามจะบิดเบือนเหล่านี้  ก็คือผู้ที่ไม่หวังดีต่อมนุษย์ ไม่อยากให้มนุษย์กลับไปหาพระเจ้า ไม่อยากให้มนุษย์รู้ความจริงว่าไปอยู่กับพระเจ้า มันไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว ไม่อยากให้มนุษย์รู้เลยว่าพระเจ้าเตรียมทางไว้เรียบร้อยแล้ว ผ่านพระเยซู เมื่อไม่อยาก ก็พยายามให้มนุษย์ทำๆ ทำด้วยตัวเอง

“เธอต้องทำๆ ถ้าเธอไม่ทำ เธอจะได้ ได้อย่างไร? เธอต้องทำสิ เธอต้องทำด้วยตัวเอง คนทำถึงจะได้ คนไม่ทำไม่ได้หรอก ใช้ความเชื่อ มันจะได้อะไรเหล่า?”

ฟังดู เหมือนมีเหตุผลนะ แต่เป็นเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอก …

“เพราะเธอทำไม่ได้ ฉัน (พระเจ้า) จึงส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเธอฟรีๆ ไง”

เราก็อยากจะทำนั่นแหละ อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าสอนเทียมเท็จ ซึ่งท่านจะรู้ว่ามาจากใคร? ใครที่ไม่หวังดีต่อมนุษย์ ก็คือไม่ใช่มนุษย์ ง่ายนิดเดียว

เพราะฉะนั้น ความรอด ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซู เรื่องพระเยซู หัวใจสำคัญ ก็คือที่เราบอกกันว่าต้องมาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู … พระเยซูพอเสร็จสิ้นการงาน พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้พวกเราไปสอนอะไรมากมาย แค่ให้เราไปประกาศข่าวดี

ข่าวดีเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ก็คือ …

“ข้าพเจ้าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์ หญิงสาวพรหมจารีย์ ทรงทนทุกข์ทรมาน ในสมัยปอนทิอัส ปิลาต ปกครอง  ทรงถูกตรึงที่กางเขน  จนถึงมรณา  ทรงถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ ทรงเสด็จลงสู่แดนมรณา และในวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด จากที่นั่น พระองค์จะเสด็จมาพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

จบข่าวดี  นี่คือหลัก แกนสำคัญที่สุด ใน 12 ข้อนี้ ความเชื่อศรัทธาของคริสเตียน ต้องตรงหมด ไม่ใช่ มี 6 ข้อ เกี่ยวกับพระเยซู ปรากฏว่าคนนี้เชื่อไป 5 อีกอันหนึ่งไม่เชื่อ ไม่ได้ เพราะมันโยงกันหมด

ทำไมท่านถึงได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้าไง ยกตัวอย่าง ทำไมท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริง  มนุษย์เท่านั้น ถึงจะเป็นตัวแทนมนุษย์ได้ไง  ถ้าไม่เป็นมนุษย์ แล้วจะเป็นตัวแทนเราได้อย่างไร? เมื่อไม่เป็นตัวแทนเรา แล้วเราจะพ้นจากบาปได้อย่างไร? เห็นไหม? มันไม่มีทางหนีเลย ยกเว้นอันเดียว ได้ไหม? ไม่เกิดจากหญิงพรหมจารีได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าไม่เกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้นต้องเชื่อทั้งหมด ถึงเรียกว่าหลักข้อเชื่อของอัครทูต ที่เป็นต้นกำเนิดตั้งแต่สมัยโน่นเลย เพราะว่าอัครทูตเหล่านี้ก็ได้รับคำกำชับจากพระเยซูให้ไปประกาศข่าวดีของเรา (พระเยซู)

ตอนที่พระเยซูขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ แล้วประกาศข่าวประเสริฐคนรุ่นนั้น ถูกข่มเหงรังแกอย่างมากมาย เราได้ยินได้ฟังประวัติศาสตร์เยอะแยะ จะถูกเผาทั้งเป็นเขาบอกว่า …

“ถ้าเพียงแต่คุณบอกว่า “คุณไม่เชื่อพระเยซูแล้ว” เราจะละคุณ ปล่อยคุณเป็นอิสระ คุณไม่ต้องถูกเผา”

เขาบอก “ไม่ใช่ ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์จริงๆ”

ไม่ใช่คนเหล่านั้นไม่มีทางไปนะ บางคนเป็นถึงขุนนาง บางคนเป็นถึงเศรษฐี แต่ยังพูดว่า …

“ตายเป็นตาย ฉันเชื่อในพระเยซู … พระเยซูมีชีวิตอยู่จริงๆ”

แล้วเขาก็ถูกเผาไฟ แล้วก็ตายในไม้ที่เสียบไว้ เผาจริงๆ แต่สิ่งที่พระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่หนุนความเชื่อคนที่มีชีวิตอยู่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูมีจริงแน่ กลับกลายเป็นอย่างนั้นอีก พระเจ้าสามารถทำให้สิ่งที่มนุษย์คิดว่าไม่ดี แต่กลับเป็นสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเก่าตั้งเยอะเลย เอเมน

นี่แหละคือพระเจ้าของเรา ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด สามารถทำได้ทุกอย่าง เรานึกว่าอย่างนี้ก็แย่สิ ตาเราบอกแย่ แต่พระเจ้าสามารถแก้ที่เราบอกแย่ให้กลายเป็นดี (มากเกินกว่าที่เราจะคิด) พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราไม่สามารถขอพระเจ้าในสิ่งที่เราอยากได้มากที่สุดได้หรอก เพราะเราไม่สามารถขอในสิ่งที่เรารู้ว่าพระเจ้าทำได้ ท่านเข้าใจไหม?

ถ้าเป็นคนเล่นหมากรุกจะรู้ เราขอพระเจ้าแค่ชนะตาเดียว หมากรุกตานี้ แต่พระเจ้ามองให้เราโน่น 10 ตาล่วงหน้า อีก 10 ก้าวล่วงหน้า ตานี้อาจจะแพ้ๆ โน่นแค่ตาที่ 10 พระเจ้าเดินหมาก ชนะ แต่เราบอกเอาชนะเลยได้ไหม? ขอชนะก่อนได้หรือเปล่า? เอาชัวร์ๆ เราคิดอย่างนี้ แต่เอาชัวร์ๆ นั้น มันอาจจะได้ผลมานิดเดียวเอง 10% เท่านั้น แต่พระเจ้าบอกรอก่อน ใจเย็นๆ ตาที่ 10 พระเจ้าเดินให้ได้ผล 100% ยกตัวอย่างให้ฟัง พระเจ้าจะอย่างนี้เสมอ

เพราะฉะนั้น ความเชื่อมั่นในพระเจ้า จะต้องเป็นอย่างที่บอกไว้เสมอ เมื่อตะกี้นี้ว่าเป็นการเชื่อพระเจ้า แบบวางชีวิตลง ยอมเสี่ยง เป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้ไปสิ ตายเป็นตาย พาให้ท่านไปเห็นว่าเมื่อมันเชื่อจริงๆ ตายก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรื่องพระเยซู แม้แต่เรื่องธรรมดา เมื่อมีความเชื่อมากๆ ตายไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไร? ที่เราเชื่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงกำชีวิต และกำทุกสิ่งทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระองค์ มากกว่านั้นสักเท่าไร เมื่อถึงสถานการณ์นั้น ท่านไม่ต้องกลัว ตอนนี้ท่านคิดไปล่วงหน้า มันก็หวาดเสียว แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ พระเจ้าให้ท่านได้แน่นอน เอเมน

นี่คือความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ คือเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เสด็จมาบนโลกใบนี้ ในฐานะของมนุษย์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตในสภาพมนุษย์จริงๆ เป็นมนุษย์จริงๆ และตามประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ พระองค์ทรงถูกกล่าวหา ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และในวันที่ 3 ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  นี่เป็นประวัติศาสตร์ เพื่อช่วยมนุษย์ ให้หลุดรอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาปของเขา และจนถึงวันนี้ พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์แบบนี้ ก็มีความหวังใจ จนถึงทุกวันนี้ อย่างแน่วแน่และมั่นใจว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร? อย่าไปใส่เอง พระองค์เองยังไม่ทราบเลย พระองค์ตรัสไว้ว่าพระองค์ก็ยังไม่ทราบว่าพระองค์จะมาเมื่อไร? สิ่งนี้รู้เพียงผู้เดียว คือพระบิดา คือพระเจ้า และความเชื่อศรัทธาอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายต้องยึดเอาไว้ เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราอาจจะเรียนรู้ตอนนี้ แล้วเราอาจจะเช็ค list ในจิตใจของเรา รู้สึกมันยังไม่ครบ แต่ท่านไม่ต้องห่วง เพราะท่านกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง พระเจ้ากำลังพาท่าน สอนท่านทีละนิดทีละหน่อย แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน ท่านมีความรู้สึกไหมว่าวิญญาณท่านโตขึ้น

“ฉันร้องเพลงพระเจ้า รู้สึกซาบซึ้งขึ้น  บางครั้งมันตื้นตัน ฉันอธิษฐาน รู้สึกไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ แม้ว่าจะพูดยังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนเดิม แต่ฉันรู้ว่ามีคนฟังฉันแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนนี้ ฉันพูดคนเดียว”

มีความรู้สึกอย่างนี้ไหม?   “มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก”

ไม่สามารถวัดซึ่งกันและกันได้  คนนี้มากกว่าคนนี้ คนนี้น้อยกว่าคนนี้ ไม่ได้หรอก ตอนที่ท่านอยู่คนเดียวกับพระเจ้า ท่านจะรู้ว่าท่านโตขึ้นหรือไม่? ท่านจะรู้ว่าเพราะเชื่อมาเรื่อยๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่ธรรมดา แต่ทำไมวันนี้ รู้สึกไม่ติดยึดอะไรกับบนโลกใบนี้แล้วกิเลสมันน้อยลง ยังไม่ได้ทำอะไรกับตัวเองเลย เรารู้สึก กลัวตายไหม? ก็ยังกลัวๆ อยู่ แต่ก็ไม่กลัวมากแล้ว แต่ก่อนรับเรื่องนี้ไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้ พอรับได้อะไรอย่างนี้  คือภาพในเรื่องเกี่ยวกับความตาย  ชีวิตหลังความตาย มันชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ก่อนนี้มองไม่เห็น ทั้งๆ ที่มาเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน นี่แหละ คือการเดินทางที่พระเจ้านำพาเราค่อยๆ เจริญเติบโต นิ่งขึ้นทุกวันๆ จนในที่สุด นิ่งได้จริงๆ คือไม่หายใจเลย บางทีสุขภาพเราดี ไปไหนมาไหนได้ แต่ใจมันจะนิ่งขึ้นทุกวัน จะเข้าใจชีวิตได้มากขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ไปสู่น้ำพระทัยพระเจ้า เอเมน

และผลของความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์แบบนี้ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับเรา ก็จะนำให้เราไปสู่ความเชื่อมั่นได้ว่าเรามีส่วนได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้มีส่วนอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ และยังเป็นพ่อของเราด้วย นี่แหละ คือความเชื่อศรัทธา เมื่อเจริญเติบโตขึ้น มันจะต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่เป็นอื่น นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ ที่บันทึกเอาไว้อย่างนี้  ซึ่งตอนมาเชื่อใหม่ๆ หรือไม่เชื่อเลย อ่านไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราเชื่อ แล้วเริ่มอ่าน ก็ยังมีประโยชน์ เริ่มนิดหนึ่ง แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ ปีแล้วปีเล่า ข้อความเดิมนั่นแหละ แต่ความรู้ข้างใน ความเชื่อข้างใน เกิดเป็นผลที่มันน้ำหูน้ำตาไหล มันเป็นจริงเป็นจังในชีวิตของเราแล้ว คือเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เทียบกับเดือนแรกที่เรามาเชื่อ ในเรื่องพระเยซูคริสต์ เขาบอกเราเป็นลูกพระเจ้า เราเอเมนๆ ไปอย่างนั้น แต่ในใจ ยังไม่ค่อยเป็นไปด้วยกันกับปากของเราเลย

กาลาเทีย 3:26-28 บันทึกไว้อย่างนี้

กาลาเทีย 3:26-28 “26 ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมา เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”

 

รู้สึกเปลี่ยนแปลงไหม?  เปลี่ยนกว่าเมื่อแต่ก่อนที่อ่านไหม?  ไม่ได้อ่านข้อนี้ หรือไม่ได้ยินข้อนี้มานานเท่าไรแล้ว เห็นไหมพออ่านอีกที มันใช่ เขาถึงบอกว่าต้องเชื่อใน Holy Church หรือคริสตจักรสากล เพราะว่าไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีประเทศโน่น ไม่มีคนไทย ไม่มีคนลาว ไม่มีคนเขมร ไม่มีคนพม่า ไม่มีคนอเมริกัน ทั้งหมดเป็นคริสเตียน เป็นลูกพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน นี่แหละต้องเชื่อตรงนี้ ต้องเป็นมาตรงนี้

พระเจ้านำพาเราทั้งหลายกลับมาสู่ครอบครัวเดียวกัน เราทั้งหลายเป็นชนชาติของพระองค์ เป็นครอบครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีพระเจ้า พระบิดาเป็นพ่อของเรา และพระเยซูเป็นเสมือนพี่ชายคนโตของเรา และเราก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่ามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ มีความสุขไหม?

สิ่งสำคัญที่สุด และเงื่อนไขเดียวที่เราอ่านเมื่อตะกี้ ที่ทำให้เรารับสภาพในพระคริสต์ หรือพระบุตรของพระเจ้า และได้มีส่วนในพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย  โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นบุตรองค์เดียว ที่เราเชื่อใช่ไหม? พอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้มีส่วนเข้าไปอยู่ในพระองค์ พระองค์เป็นอะไร? เราเป็นด้วย เพราะฉะนั้นพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า เราเลยเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งแรกๆ เราอ่าน แล้วตะขิดตะขวางใจ แต่เดี๋ยวนี้ยิ่งอ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น เราก็เห็นว่ามันใช่แล้ว ในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ในตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก เราเห็นชัดเจนเลยว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เราจะได้รับ มีสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียวที่เราต้องกระทำ คือเชื่อศรัทธา วางใจแบบที่ตะกี้นี้บอก เสี่ยง ตายเป็นตาย ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรแล้ว เชื่อจริงๆ ไม่ใช่เชื่อด้วยปาก แต่มันเกิดขึ้นในใจ มันเกิดขึ้นในวิญญาณ มันปิ๊งอยู่ในนั้น มันบอกไม่ได้ มันเกิดขึ้น เมื่อไรของใคร ก็ของคนๆ นั้น วันไหนก็ไม่รู้ แต่ละวัน แต่ละคนเอาไปคิดเอาเอง

ทุกคนจะมีวันหนึ่งของท่าน ที่ท่านเกิดใหม่ ข้างในท่าน นั่นแหละความเชื่อมันลงมาอยู่ในตัวของท่าน ความเชื่อมันเกิดขึ้นมา อย่างนั้นแหละ ความเชื่อมันมีลักษณะเป็นอย่างนี้ ตายเป็นตาย ยอมทุกสิ่ง ไม่มีอะไรมาเทียบกับความเชื่อนี้ได้ และไม่สามารถให้ความเชื่อนี้กับใคร? กับที่ไหน? กับอะไรได้อีกแล้ว นอกจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน

นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ ของข่าวดีที่จะทำให้คนนั้น ได้รับสิทธิ ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเขาแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่ถูกเรียกว่าแพะรับบาป หรือผู้ไถ่บาปให้กับเรา

มาถึงทุกวันนี้ คนเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ ทุกคนรู้ดีว่าพระเยซูคริสต์ คือพระผู้ไถ่ ไม่มีใครไม่รู้เรื่องนี้ แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็รู้ความจริงนี้

พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ และเมื่อผู้คนนั้น เชื่อในพระผู้ไถ่บาปองค์นี้ ก็คือเขาเชื่อในสิทธิของเขาว่าพระเจ้าประทานสิ่งนี้ให้เขา เขาก็ได้สิ่งนี้ไป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ถ้าคนที่อายุเกิน 60 ปีแล้ว ไปที่อำเภอ จะไปเอาเงิน 600 บาทค่าครองชีพ ตามสิทธิที่รัฐบาลประกาศ และทางอำเภอบอกว่าคุณต้องอย่างโน้น ต้องจ่ายให้เขา 20% ไม่ต้องเลย เพราะคุณไม่ต้องให้อะไรเลย  คุณไปยื่น และไปเขียนเฉยๆ คุณไม่ต้องไปกวาดถนนให้เขา ไม่ต้องไปกวาดลานอำเภอให้เขา ไปยกน้ำให้เขา ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เขาบอกฟรี คุณเข้าใจไหม? คุณมีสิทธิฟรี สำหรับประชาชนชาวไทยที่อายุเกิน 60 ปี ได้ฟรี

เหมือนกัน ข่าวประเสริฐ มาถึงมนุษย์ทุกคน … ทุกคนมีสิทธิ์รอดพ้นจากโทษของความบาปของเขา โดยที่ไปรับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ ไม่ต้องถวายทรัพย์ ไม่ต้องอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรทุกอย่างเลย เขาได้ฟรีๆ โดยใช้ความเชื่อศรัทธาวางใจจริงๆ

ยอห์น 20:31 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ครับ …

ยอห์น 20:31 “แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อ ท่านจะได้มีชีวิต ในพระนามของพระองค์”

 

โดยความดีใช่หรือไม่? โดยการกระทำ? โดยการบริจาคทรัพย์ ฯลฯ ในนี้บอกโดยความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย

จำเรื่องหนึ่งที่พระเยซูเล่าให้ฟัง เรื่องบุตรน้อยหลงหาย คือคนที่รู้ตัวเองว่าบาป แล้วก็ไม่ไหวแล้ว จะกลับมาหาพระเจ้า จะให้เป็นทาสก็ตาม เป็นคนรับใช้ที่บ้านก็ได้ รู้สึกแย่เหลือเกิน ตัวเองลำบากลำบน ตัวเองสกปรก แย่ ไม่มีทาง เขาจะรับเราเหรอ แต่ไปหาพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว จัดงานเลี้ยงอย่างเดียว เอาเสื้อคลุมมาให้ เอาแหวนมาให้ ฉลองอย่างเดียว ฟรีหมด แต่คนที่เป็นบาปอยู่เกิดคิดแย่ ลำบากลำบนมากเลย ไม่กล้ากลับไป กลัวด้วย

นี่แหละ การที่จะไปเป็นทาส ก็คืออยากจะไปทำอะไรแลกกับพระเจ้า พระเจ้าบอก …

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น  เธอเป็นลูกของฉัน ที่หลงหายไปเท่านั้นเอง ยังเป็นลูกฉันเหมือนเดิม ก็มาเชื่อเท่านั้นเอง”

นี่คือข่าวประเสริฐ สาระสำคัญและแก่นแท้ ย้ำอีกครั้งว่าด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาปเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านก็สามารถได้รับความรอดพ้นจากโทษของความบาป ที่เป็นผลทำให้ท่านเกิดความตายและตาย ตายในฝ่ายร่างกายและตายทางฝ่ายวิญญาณ คือไปอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่านรก คือที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ตลอดนิรันดร์ แต่ถ้าท่านเชื่อ ท่านได้รอดพ้นจากความตายนั้น ท่านจะไปมีชีวิตอยู่เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม รอดพ้นจากบาป และท่านจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เช่นเดียวกัน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************