คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2017 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “ความหมายวันคริสตมาส

โดย นคร  เวชสุภาพร

            Merry Christmas” ภาษาไทย คือ “ขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้กับท่านแล้ว”

ก่อนจะเฉลิมฉลองวันสำคัญ เราควรต้องรู้ความหมายที่แท้จริงก่อน ทุกคนทราบดีว่าวัน คริสตมาส ก็คือวันประสูติของพระเยซูคริสต์ แต่ความหมายที่แท้จริง ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลอง ใหญ่โตมโหฬารกันทั่วโลก มากขึ้นทุกวันๆ วันจริงๆ ไม่รู้หรอก เป็นวันเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ

ท่านเคยคิดไหม? ทำไมพระเยซูจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า แล้วก็มาช่วยมนุษย์เลยไม่ได้หรือ!  เหตุผลที่พระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ให้มนุษย์รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะความบาป พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาปนั้น คือจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตาม พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น ในวิญญาณของเขา ในจิตสำนึกของทุกคน จะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปอยู่ มีบาป เวรกรรมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตัวเองได้อย่างไร?  จะหลุดพ้นจากบาปนั้นได้อย่างไร?  หรือหมดเวร หมดกรรม ได้อย่างไร? ซึ่งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปเวรกรรมของเขาได้ ก็คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่จะรับโทษของความบาปทั้งหมด แทนมวลมนุษย์ เขาเรียกว่าตัวตายตัวแทนนั่นเอง

เพราะว่าตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกลงไปเป็นคนบาป ได้รับโทษของบาป ก็คือบรรพบุรุษของมนุษย์ ชื่ออาดัมและเอวา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ทำให้มนุษย์หมดเวรหมดกรรมได้ ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน โดยมนุษย์เป็นตัวแทนของมนุษย์เท่านั้น ทูตสวรรค์ วิญญาณลงมาแทนมนุษย์ไม่ได้ นี่คือกฎระเบียบทางวิญญาณ ที่พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าเองก็ต้องทำตามกฎของพระองค์ ก็คือพระองค์ทรงลงมาเป็นพระเจ้า และช่วยมนุษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงต้องสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ นี่คือคำตอบที่ว่าทำไมพระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือทำไมต้องมีวันคริสตมาสนั่นเอง เพราะว่ามนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ และมนุษย์ไม่มีใครช่วยใครได้เลย  เพราะต่างคนต่างบาปหมด เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

แล้วคราวนี้ มนุษย์ที่มีนามว่าเยซู ที่เรากำลังกล่าวถึง มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ จึงสามารถเป็นตัวแทนไถ่บาปให้มนุษยชาติได้ทั้งหมด ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคน มีเชื้อบาปติดตัวมาเหมือนกันทุกคน ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นเชื้อบาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษอาดัมและเอวา พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม

ฟังให้ดีๆ พระเจ้าบันทึกไว้ สอนเราทั้งหลายว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในความบาป และมนุษย์ทุกคนอยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในชีวิตอาดัม เชื้อบาปอยู่ในอาดัม เราก็เป็นบาปไปด้วย  เกิดก็บาปแล้ว และเมื่อมนุษย์มีเชื้อบาปอยู่ มนุษย์ก็อยู่ใต้อำนาจของมาร ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับอำนาจของความบาปและความตายได้ และไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งกันและกันได้ พระเยซูซึ่งแม้มาเกิดในสภาพมนุษย์ก็จริง มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระคัมภีร์ทรงบันทึกไว้อย่างนั้น และในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงไม่มีบาปเลย พระองค์จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของมาร ของบาป ดังนั้น พระเยซูจึงสามารถรับโทษบาปทั้งปวง แทนมนุษย์ได้ พระเยซูไม่ได้เกิดมาอยู่ในอาดัม 1 ยอห์น 3:5

1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์  ไม่มีบาป”

 

ในพระเยซูไม่มีบาป คำถามที่ตามมา คือพระเยซูซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเลือด มีเนื้อ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แล้วทำไมพระองค์จึงเป็นมนุษย์เพียงผู้เดียวที่ไม่มีบาปเล่า ก็เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า อยู่ในสภาพพระเจ้า ที่ลงมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี คือแมรี่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยไม่มีเชื้อจากมนุษย์

“จุติ” ภาษาไทย แปลว่าแปลงสภาพจากวิญญาณ มาสู่เนื้อหนัง พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูแปลงสภาพวิญญาณจากพระเจ้าลงมาอยู่ในเนื้อหนัง ในครรภ์ของแมรี่หญิงพรหมจารีย์ หนังสือลูกาได้บันทึกเหตุการณ์ในช่วงที่โยเซฟกับแมรี่หรือมารีย์ยังเป็นคู่หมั้นกัน และพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ไปบอกข่าวกับนางมารีย์อย่างนี้ ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือกำลังจะเกิดวันคริสตมาสแรกในโลก ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ใกล้ๆ วันที่พระเยซูจะประสูติ เป็นทารก ก่อนหน้านั้น สักปีหนึ่ง พระเจ้ามาบอกข่าว ทูตสวรรค์มาบอกมารีย์ ในลูกา 1:31-35

ลูกา 1:31-35 “31 เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู 32 พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่และได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์แก่พระองค์ 33 และพระองค์จะทรงครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบตลอดไป  อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” 34 มารีย์ถามทูตสวรรค์นั้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี?” 35 ทูตนั้นตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอและฤทธิ์อำนาจขององค์ผู้สูงสุดจะปกคลุมเธอ ดังนั้น องค์บริสุทธิ์ที่ประสูติมา จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระเจ้า”

 

นึกถึงสภาพตอนนั้น ย้อนกลับไปประมาณ 2,000 ปี ตอนที่ทูตสวรรค์พูดกับมารีย์ว่าเธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย แน่นอนทีเดียว แมรี่ก็ต้องไม่เชื่อ คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะว่าตอนนั้นเธอเองเป็นคู่หมั้นของโยเซฟอยู่ ยังไม่ได้แต่งงาน ในช่วงนั้น ประเพณีของชาวยิว ถ้าหญิงใด ร่วมกับชาย โดยไม่ได้แต่งงาน เอาหินขว้างให้ตาย ประหารชีวิต ลองคิดดู แล้วพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาบอกแมรี่อย่างนี้ เธอจึงตกใจ เป็นไปได้อย่างไร?  เธอจึงถามทูตสวรรค์ว่า …

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นสาวพรหมจารี”

ทูตสวรรค์ก็ตอบว่า “เป็นไปได้ เพราะบุตรชายที่จะเกิดมาในครรภ์ของเธอนั้น มาจากพระเจ้า มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้มาจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง”

ทูตสวรรค์กำลังบอกอย่างนี้ ไม่ อย่าไปคิดแบบมนุษย์ นี่เป็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าจะกระทำ แล้วมารีย์จะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่พระเจ้าฟูมฟัก ประชากรของพระองค์ คือชาวอิสราเอล หรือชาวยิว ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งมวลให้ติดสนิทอยู่กับพระองค์มาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปีแล้ว เพื่อฝังรากลึกของความเชื่อในพระเจ้า แม้ว่ามองไม่เห็นก็ตาม ด้วยสุดจิต สุดใจ ไม่ว่าตาจะเห็นอย่างไร? คิดอย่างไร? พระเจ้าบอกอย่างไร? ฉันจะเชื่ออย่างนั้น ฝังมาตั้งนานแล้ว เป็นพันๆ ปี ก็เพื่อการนี้แหละ พระเจ้าบอกว่า …

“ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรา ก็อยู่เหนือความคิดของเจ้า สติปัญญาเรามากกว่าของเจ้า เพราะฉะนั้น เจ้ามีอย่างเดียว คือเชื่อเราเท่านั้นเอง”

ฝังรากลึกมาเป็นพันๆ ปี จนกระทั่งถึงมารีย์ เกิดในตระกูลของชาวยิวที่มีความเชื่อสูง ก็คือพระเจ้าเล็งจะใช้เธอตั้งนานแล้ว เธอก็มีความเชื่อส่งต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเธอในครอบครัว ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เชื่อพระเจ้า เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อจริงๆ ถึงแม้ความคิดภายนอกต่างๆ มันจะแย้งหมดเลย เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ได้แย้งอย่างเดียว แถมกลัวตายอีกต่างหาก

“ถ้าเกิดท้องขึ้นมา ไม่ได้แต่งงาน แล้วจะไปพูดอะไรกับว่าที่สามี คือคู่หมั้นที่ชื่อโยเซฟ … โยเซฟคงตกใจ หนีไปแล้ว แต่ว่าฉันเป็นหญิงพรหมจารีที่ตั้งครรภ์ ฉันไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ใครจะเชื่อฉัน คู่หมั้นฉันจะเชื่อไหม? คู่หมั้นฉันคงจะถอนหมั้น แล้วฉันก็จะถูกเอาหินขว้างตาย”

เขาคงคิดอย่างนี้แหละ เพราะเรากำลังพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  การที่หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดลูก มันเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ 100 ปีก่อนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าใครมาพูดกับเราในสมัยโน้น สมัย 500, 600 ปีที่แล้ว หรือ 200 ปีที่แล้ว เราคงว่าคนนี้บ้าหรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยี และวิวัฒนาการทางการแพทย์ การที่หญิงสาวพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และทำให้เกิดทารกขึ้นในครรภ์ ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย มีทั้งการอุ้มบุญ ทั้งผสมเทียน ทั้งการทำเด็กหลอดแก้ว เยอะแยะไปหมด

แต่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ หรือทางเทคโนโลยีก็ตาม ทารกทุกคนต้องเกิดจากเชื้อของผู้ชาย  เป็นพงศ์พันธุ์ของชาย มาจากชายทั้งสิ้น และไปผสมกับไข่ของแม่ ไม่ว่าจะทำกิ๊ฟท์ อุ้มบุญ ผสมเทียม การทำเด็กหลอดแก้ว ต้องมีเชื้อผู้ชายอย่างแน่นอน ถึงจะทำได้ เซลแรก หรือกำเนิดชีวิตแรกของมนุษย์ใดๆ ก็ตาม มาจากเชื้อของผู้ชายมาผสมกับไข่ของผู้หญิง จึงเกิดเป็นเซลแรกขึ้นในครรภ์ ในมดลูก ตอนนี้เราเห็นชัดแล้วนะ

แต่การประสูติของพระเยซูคริสต์ พระองค์ไม่ได้อาศัยเชื้อจากชายเลย ตามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  ถ้าจะพูดให้เห็นภาพทางวิทยาศาสตร์แบบปัจจุบัน ก็คงพูดว่าพระเจ้าทรงให้กำเนิดเซลแรกขึ้นในครรภ์ หรือในมดลูกของมารีย์ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อจากมนุษย์ผู้ชายเลย แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเพียงแค่ …

“มารีย์ เราขออาศัยครรภ์ของเธอหรือมดลูกของเธอ เพื่อจะฟูมฟักเซลแรกนี้ แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป จนถึงวันคริสตมาส เพื่อจะได้คลอดเขาออกมาเป็นทารกที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากเชื้อบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คล้ายๆ กับที่เขามีการจ้างหญิงที่แข็งแรง สาวๆ ที่มดลูกแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง มาอุ้มบุญ แทนที่จะเป็นพระเจ้าไปบอก ปัจจุบันเป็นหมอไปบอก หมอบอก …

“มีครอบครัวหนึ่งนะ มีปัญหาเรื่องมีบุตร เขาอยากมีบุตรมากเลย  เขาขอจ้างเธอ ช่วยอุ้มบุญให้ที เขาจะเอาเชื้อของคนเป็นพ่อและเป็นแม่มาผสมกัน เสร็จแล้วก็จะฉีดเข้าไปในครรภ์ของเธอ ให้เธอช่วยอุ้มครรภ์ไว้สัก 9 เดือน แล้วก็คืนเขาไป ให้เธอสัก 300,000 เอาไหม?”

พระเจ้าเราไฮเทคมาก 2,000 ปีกับปัจจุบัน มันต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลยนะ เราจึงเห็นพระเจ้าพูดอะไร มันเป็นตามนั้นจริงๆ แม้บางครั้ง ตอนพูด เราไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจ ไม่ว่าวันที่เข้าใจจะอยู่ในโลกใบนี้ หรืออยู่ในสวรรค์ก็ตาม จะเข้าใจเอง

ขอบคุณพระเจ้า หลายครั้งพระองค์เปิดตาให้เรารู้ก่อนเลย บนโลกใบนี้  อย่างเช่น ตอนนี้เรามาศึกษาเรื่องนี้ เทคโนโลยีไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ทำตรงนี้ได้ เราจึงเห็นว่าพระเยซูมาเกิดในหญิงพรหมจารี เป็นเรื่องหมูมากเลย เมื่อประมาณ 5, 6 ปีก่อน แค่ร้องเพลงคริสตมาส ปากยังเขินอยู่เลย พระเยซูเกิดในหญิงพรหมจารี หัวเราะ เดี๋ยวนี้ร้องไป ทึ่ง ใช่จริงๆ ด้วย เหมือนที่บอกว่า …

“โลกกลม เป็นพันๆ ปี ไม่เชื่อ ไม่กี่ร้อยปีนี้มาพิสูจน์ เอ่อ! โลกมันกลมจริงๆ”

คล้ายกันอย่างนี้ มันตื่นเต้นนะ

พระเยซูจึงไม่มีเชื้อบาปใดๆ อยู่ในตัวพระองค์เลย มารีย์จึงเป็นผู้คลอดมนุษย์พิเศษ คือพระเยซู ที่ไม่มีมลทินใดๆ เลย ท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้นั่นเอง พระเยซูจึงเป็นมนุษย์ ผู้เดียวที่แตกต่างกว่ามนุษย์ทั้งปวงบนโลกทั้งหมดเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิง เพราะมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นพงศ์พันธุ์ของชายทั้งสิ้น เกิดมาจากชายทั้งสิ้น

พระเยซูเป็นพระเจ้า สำคัญไหม? สำคัญ ต้องเชื่อ แต่ต้องเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ต้องมากยิ่งกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าอีก เพราะถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ พระเยซูไม่สามารถเป็นตัวแทนท่านได้นั่นเอง จบข่าว พระองค์เป็นมนุษย์ อยู่กับเราได้ เป็นตัวแทนเราได้ เอาบาปของเราไปได้ ถ้าพระเยซูไม่เป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้าอย่างเดียว อยู่ห่างจากเรา เราก็ได้แต่ เหมือนหมาแหงนดูเครื่องบิน ได้แต่เห็น บริสุทธิ์ สะอาด ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย  แต่พระองค์ทรงสภาพมาเกิดเหมือนเราเลย แต่ไม่มีบาป เพราะฉะนั้น การเกิดของพระเยซูที่เป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องบรรยาย ที่จะต้องเทศนา ต้องประกาศไปเรื่อยๆ ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เวลาพูดกับใครต้องพูดตรงนี้ชัดๆ อย่าบอกว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ ต้องบอกว่าเป็นมนุษย์ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึก และเน้นตรงนี้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์

คำว่า “เป็นมนุษย์” ในพระคัมภีร์อธิบายหลายอัน เมื่อเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าด้วย จึงสามารถไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติได้ พระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ เกิดเหมือนเราจริงๆ รับประทานอาหารเหมือนเราจริงๆ ตอนที่อยู่ในท้อง ในครรภ์ ก็ได้รับอาหารจากแม่ทางสายสะดือแบบพวกเราจริงๆ  เพียงแต่จุดกำเนิด ก็คือเซลแรก ในครรภ์นั้น ไม่เหมือนเรา ฮีบรู 2:14-17 บันทึกไว้เกือบ 2,000 ปีว่าทำไมพระเยซูจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ สำคัญอย่างไร?

ฮีบรู 2:14-17 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลาย (มวลมนุษย์) มีเลือดและเนื้อ พระองค์ (พระเยซู) จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส (บาป) เนื่องจากกลัวความตาย 16 เพราะแน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยทูตสวรรค์ แต่ทรงช่วยวงศ์วานของอับราฮัม (มวลมนุษย์) 17 ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต (เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ติดต่อกับพระเจ้า เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์) ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อ ในการรับใช้พระเจ้า และเพื่อจะได้ทรงลบมลทินบาปของปวงประชากร (มวลมนุษยชาติ)”

 

“ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องของพระองค์ทุกอย่าง” เป็นพี่น้อง ก็คือเป็นมนุษย์นั่นเอง เผ่าพันธุ์ ครอบครัวมนุษย์ เรียกว่าพี่น้องครอบครัวใหญ่ๆ นี้  คือพระองค์ต้องมาเป็นมนุษย์เหมือนเขา

“เพื่อจะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต”

คำว่า”ปุโรหิต” แปลว่าผู้รับใช้พระเจ้า มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าติดต่อกัน ไม่ใช่มีพระเยซูผู้เดียว ยังมีมนุษย์คนอื่นๆ ที่เป็นปุโรหิตและมหาปุโรหิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาโรน เป็นต้น และอีกเยอะแยะที่เขามีหน้าที่ทำพิธีกรรมต่างๆ คนที่ทำเหล่านี้เขาเรียกว่าปุโรหิต … ปุโรหิต ก็คือคนที่ติดต่อกับพระเจ้า แล้วก็เป็นตัวแทนมนุษย์

ยกตัวอย่างเช่น ตรุษยิว ก็แล้วกัน เมื่อหลายพันปีก่อนตรุษยิว ท่านก็เอาวัวไปแล้วก็บอกอาโรน

“อาโรนช่วยเอาวัวนี้ไถ่บาปให้ฉันที เอาไปให้พระเจ้าที บอกว่าอภัยให้ฉัน อวยพรให้ฉันด้วย ปีต่อไป”

อาโรน ก็คือปุโรหิต เอาวัวตามที่ท่านบอกไป แล้วก็ไปฆ่าวัว แล้วก็บอกพระเจ้า

“พระเจ้า จ๋องเขาจะมาไถ่บาปเขา ปีนี้ ผมเป็นผู้รับใช้ เป็นปุโรหิต ทำแล้ว”

จบ ทำให้เรียบร้อยแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าปุโรหิต

มหาปุโรหิต คือใคร? ง่ายๆ ก็คือหัวหน้า มีปุโรหิตอย่างนี้หลายคน คนนี้ทำให้จ๋อง คนนั้น ทำให้จิ๊ก หลายๆ คนไปช่วยกันทำ แต่ในหลายๆ คน มีหัวหน้าอยู่คนหนึ่ง เรียกว่ามหาปุโรหิต ในโลกวิญญาณพระเยซูมาเป็นมหาปุโรหิต ให้กับมวลมนุษย์เลย  ทั้งหมดเลย  โดยแทนที่จะเอาวัวไปฆ่า พระองค์เอาตัวเองไปให้ถูกฆ่า เพื่อไถ่บาปพวกเรา

พระเยซูทรงถือกำเนิดเป็นทารกที่ปราศจากเชื้อบาป และตลอดชีวิตของพระเยซู จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ไม่เคยมีบาป ไม่เคยทำบาปเลย  พระองค์จึงสามารถที่จะแบกรับความบาปทั้งหมดของมวลมนุษยชาติ ไว้ที่พระกายของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ บอกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกว่ามันจะเป็นอย่างนี้ 1 เปโตร 1:19-20

1 เปโตร 1:19-20 “19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ผู้เป็นลูกแกะอันปราศจากตำหนิ หรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย”

 

ย้อนไปนิดหนึ่ง พูดถึงมหาปุโรหิตที่บอกว่าเป็นตัวแทนมนุษย์ ท่านรู้ไหม? ใครเป็นผู้ถวายพระเยซูแทนมนุษย์ทั้งปวง ก็ต้องเป็นมหาปุโรหิตใช่ไหม? คือมหาปุโรหิตในสมัยเมื่อ 2,000 ปี ไม่ใช่มหาปุโรหิตผู้เดียว คณะปุโรหิตในตอนนั้น เกือบทั้งหมด เห็นด้วยกันกับที่จะเอาพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน บอกให้ปีลาตสั่งตรึงเสีย ปีลาตบอกเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ตรึงทำไม? ต้องตรึงเขาให้ได้ แล้วก็ไปปลุกระดมมวลชน ให้พูดในสิ่งที่เขาต้องการ คือฆ่าเขาซะ เอาเขาไปตรึงๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ก็คือปุโรหิตที่เป็นคนตอนนั้น และกลุ่มปุโรหิต ได้ทำการบูชาพระเยซูบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับเรา นี่ชัด แต่พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตแบบโลกวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์แล้ว ทำการใหญ่กว่านั้น ก็คือเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย และก็เอาเลือดของตนเอง ที่ปราศจากตำหนิ ไปถวายพระเจ้า เพื่อไถ่บาปเขา

กลับมาที่เรื่องพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป พระเจ้าทรงให้พระเยซูมาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารีและให้ประสูติในวันคริสตมาส ในสภาพของมนุษย์ที่ปราศจากบาป ช่วงนี้ไปไหนก็ตาม จะได้ยินเพลงนี้เยอะแยะไปหมด Silent Night,  Holy Night, Virgin Mother, Holy Child คือความบริสุทธิ์นั่นเอง ปราศจากบาป เพื่อรอให้ถึงวันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ตายไป และถูกฝังไว้ 3 วัน วันอีสเตอร์เป็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเราถือว่าฉลองเทศกาลการเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู คืออีสเตอร์ ให้พระเยซูเกิดในวันคริสตมาส แล้วไปตายในวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือวันอีสเตอร์

ทั้งหมดนี้ เพื่อจะรับเอาโทษของความบาป ของมนุษย์ทั้งปวงไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้มนุษย์ทุกคนหลุดพ้นจากความบาป และเป็นอิสรภาพจากโทษของความบาป ที่เกิดขึ้นในอาดัม ถ้าเอาออกจากอาดัมได้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราจะเห็นภาพอย่างนี้ชัดเจนขึ้น ให้เราเป็นอิสรภาพจากโทษที่เราอยู่ในอาดัม ก็คือจากโทษที่เราไม่ได้ทำเลย  ที่หลายๆ คนบอกว่า …

“เกิดมา ฉันไม่ได้ทำอะไร? ทำไมฉันตกอยู่ในบาป เวรกรรม”

ก็เพราะบรรพบุรุษของเรา เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เรามีทางเลือกใหม่แล้ว คือพระเยซูคริสต์เป็นบรรพบุรุษให้กับเราได้ สายใหม่ให้กับเราได้ และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นแผนการที่พระเจ้าบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายร้อยปี ก่อนพระเยซูจะมาประสูติ ก่อนที่จะมีวันคริสตมาสอีก นี่คือหนึ่งในจำนวนมากมาย ในพระคัมภีร์ ที่บันทึกไว้ว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเยซูจะมาจุติ จากสภาพเป็นพระเจ้า มาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มาเกิดในหญิงพรหมจารี บันทึกไว้อย่างนี้ทั้งเล่ม อิสยาห์ 7:14

อิสยาห์ 7:14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง จะประทานหมายสำคัญแก่ท่าน คือหญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกบุตรนั้นว่าอิมมานูเอล”

 

“อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา

นี่คือหมายสำคัญและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันคริสตมาส ที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ถ้าใครมีไหวพริบ พอบอกโลกวิญญาณปุ๊บ ท่านจะมองเห็นอะไรทันที? เห็นเก้าอี้ 2 ตัว มาอีกแล้ว ทำไมต้องมีเก้าอี้ 2 ตัว?  เพราะโลกวิญญาณมองไม่เห็น ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? ก็เลยมีอันนี้มา เพื่อให้เห็น เป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นนิดหนึ่ง

อย่างที่บอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด เกี่ยวพันและเป็นเรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ เลย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวัตถุ ในนี้ที่เป็นเรื่องเป็นราวอะไรต่างๆ ทั้งหมด เล็งไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ยังจำได้นะ อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเดิมนั้น เป็นอาณาจักรแห่งความมืด นับตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความมืด อันเดียวกัน ตั้งแต่อาดัมและเอวาบรรพบุรุษของมนุษย์ พาญาติโกโหติกา ครอบครัวของตัวเอง คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดตกลงไปในความบาป คือตกลงไปในความมืด เป็นทาสของความบาปและความตาย  คืออยู่ในสภาพความมืดบอดนั่นเอง อยู่ในสภาพของการได้รับโทษ คือเป็นเหมือนอาชญากร  ที่ต้องได้รับการลงโทษ คือความตาย มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในอาดัม และเพราะมีวันคริสตมาส เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว   ตามแผนการของพระเจ้าจึงนำไปสู่การเกิดอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้น   ตั้งแต่วัน คริสตมาสนั้นเป็นต้นมา ก่อนวันคริสตมาสไม่มี มีแต่ในอาดัม ในความมืด โลกนี้อยู่ในความมืด แต่พอมีวันคริสตมาส มีวันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วันอีสเตอร์ ทันทีทันใด เกิดมีพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นขึ้นมาใหม่ และมีความสว่าง นี่คือข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว จำไว้เลย ไม่มีศาสนาคริสต์นะ แล้วแต่คนจะเรียก

แต่นี่เป็นความเป็นจริงของมวลมนุษยชาติ ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ที่เป็นกฎหมายต่างๆ แล้วแต่ประเพณี การเป็นอยู่ วัฒนธรรม เป็นกฎหมายทางศีลธรรม มันดีอยู่แล้ว แต่เรื่องพระเยซูคริสต์ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ เป็นประวัติ ในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเอาคำว่าโลกวิญญาณออกไป ท่านจะฟังไม่รู้เรื่องเลย แล้วท่านจะบอกเป็นไปไม่ได้ๆ ไม่รู้เรื่อง แล้วท่านจะอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านต้องเข้าใจเบอร์แรกเลยว่ามันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น

เกิดตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว วันคริสตมาสแรกของโลก เกิดเป็นเก้าอี้ 2 ตัวนี้ทันทีเลย คืออันหนึ่งเล็งถึงความสว่าง ก็คือผ้าขาว อีกอันหนึ่ง ก็คือผ้าดำ ในอาดัม 2 อาณาจักรแห่งโลกวิญญาณ คืออาณาจักรแห่งความมืด

เพราะมีวันคริสตมาสเกิดขึ้น มนุษย์จึงมีโอกาส ที่จะย้ายจากอาณาจักรแห่งความมืดไปอยู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ถ้าไม่มีวันคริสตมาสจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาฉลองกันทั่วโลก

Joy to the world the Lord is come

แปลว่า           ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซูเสด็จลงมา ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ฟังให้ดีๆ ถ้าไม่มีพระเยซูเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกว่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกเลย นี่คือเหตุที่ทำไม พระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องให้มีวันคริสตมาส ก่อนสร้างโลกก็กำหนดไว้แล้วว่าต้องมี เพราะถ้าไม่มีมนุษย์ก็อยู่ในอาดัมตลอด

ในประวัติศาสตร์โลกบอกว่าพระเยซูเกิดราว ค.ศ.4 หรือ 3 ประมาณนี้  สมมติว่าก่อนคริสตศักราช 4 แล้วกัน ที่พระเยซูจะเกิด มนุษย์อยู่ตรงนี้ทั้งหมด (ฝั่งดำ) สมมติว่าพระเยซูเกิด ค.ศ.4 เดือนธันวาคม พอวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.4 ในพระคัมภีร์บอก มีดวงดาวส่องตรงที่พระเยซูประสูติ ที่เบธเลเฮม แต่มนุษย์ยังอยู่ฝั่งดำอยู่ จนเด็กทารกผู้นี้ คลอดออกมา 30 ปีไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่ไม่ทำ ทำอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามแบบมนุษย์ธรรมดา ทำมาหากิน เพื่อสำแดงให้ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้ ทั้งมหาจักรวาลว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์เหมือนเขาเลย ฉันต้องทำมาหากิน ต้องทำงาน แล้วฉันก็ไม่รู้จักกับพระเจ้าทุกอย่าง ทุกเรื่อง เป็นพระเจ้าหมด ไม่ใช่ ฉันก็เป็นคนธรรมดา ค่อยๆ เรียนรู้จากพระเจ้า ค่อยๆ ศึกษาหาความรู้สติปัญญาในทางโลกวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ” ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

เสร็จแล้ว ก็ค่อยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนอายุ 33 ปี ค.ศ.37 พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทันทีทันใดนั้น มาฝั่งขวาเลย ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ไม่กี่ปี พระเยซูยังบอกเลยว่าสวรรค์กำลังมา ความสว่างกำลังมา เราคือความสว่าง แต่ยังไม่ได้บอกว่าสถาปนา จนกระทั่งพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระองค์ทรงประกาศว่า …

… บัดนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว จงไปประกาศเรื่องนี้ให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดได้รู้เลย บัดนี้ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ โดยผ่านทางเรา ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว จงไปบอกเขาทั้งหลาย ให้ย้ายซะ ย้ายมาอยู่ให้หมดเลย พระเยซูบอกให้ไปประกาศข่าวดี ให้กับทุกคนในโลกนี้เลย

“จงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลก”

พูดคำนี้ จบเลย ตรงไหนที่ยังไม่มีประเทศ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมีประเทศ เธอไปประกาศแล้วกัน เพราะฉันสั่งไปแล้ว ไม่ใช่ไปประกาศให้มนุษย์ทุกคนเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่บอกว่าจงไปประกาศ จนสุดปลายแผ่นดินโลกเลย ก็คือประเทศไทยยังไม่เกิด ตอนนี้เกิดแล้ว ก็อยู่ในคำสั่ง เพราะประเทศไทยก็อยู่ในสุดปลายแผ่นดินโลกเหมือนกัน พระองค์ทรงสั่งอย่างนี้ มันสำคัญและง่ายมากเลย สิทธิอำนาจถูกมอบให้กับเราแล้ว ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระบิดาบอกผ่านทางเรา จบแล้วนะ ไปบอกให้หมดเลย เอเมน

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งนั้น ในโลกวัตถุมันก็ดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ นี่คือโลกวิญญาณ โคโลสี 1:12-13

โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วน ในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักร (แห่งความสว่าง) ของพระบุตรที่รักของพระองค์”

 

นั่งตรงนี้ (ฝั่งดำ) เครียดทั้งวัน หน้ายุ่ง ชีวิตทำไมมันทุกข์ลำบากอย่างนี้ ความหวังก็ไม่มี

ตอนนี้ (ฝั่งขาว) นั่งยิ้ม Joy to the world the Lord is come

เราถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืดมาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สรุปง่ายๆ คือเชื่อในความเป็นจริงในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูนั่นเอง ข่าวดีของพระเยซู ก็คือเชื่อในวันคริสตมาส เชื่อในวันศุกร์ประเสริฐ เชื่อในวันอีสเตอร์ จบข่าว

และอย่างที่ผมพูดอยู่บ่อยๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม ท่านเป็นวิญญาณ ร่างกายที่เราเห็นกันอยู่นี้ ไม่ใช่ตัวจริงของเรา วันหนึ่งมันต้องลงไปในดิน มันต้องถูกทิ้งไป เหมือนเสื้อผ้า แต่ตัวจริงๆ ของท่าน คือวิญญาณ จะอยู่ตลอดไป และที่อยู่อาศัยของวิญญาณ ก็คือโลกทางวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผมถึงบอกว่าพระคัมภีร์ต้องอ่านแล้ว เรียนรู้ทางโลกวิญญาณ  เพราะท่านจะได้เข้าใจ และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาณาจักรโลกวิญญาณ มี 2 อาณาจักร มืดและสว่าง วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็จะต้องอยู่ในอาณาจักรใด อาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ … เชื่อข้อมูลนี้ หรือไม่เชื่อก็ตาม ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นว่ามนุษย์ทุกคนในปัจจุบันต้องอยู่ในอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างก็ตาม อย่างแน่นอน เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านกำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วโลกใบนี้มันหมุนรอบตัวเอง มันโลกกลม ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่โลกกลมจริงๆ

ผมอยากจะยกตัวอย่าง สภาพในโลกวิญญาณของโลกใบนี้ ขณะนี้ เส้นทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ละคนบนโลกใบนี้ เปรียบเหมือนการนั่งรถโดยสารที่จะขับเคลื่อน นำพาชีวิตเราไป ซึ่งจะมีรถโดยสารให้เลือกอยู่ 2 คัน มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่บนรถโดยสารนี้ ไม่คันใด ก็คันหนึ่งอย่างแน่นอน

รถโดยสารคันที่หนึ่ง เป็นรถโดยสารที่สว่างไสว มีผู้ขับเคลื่อนรถคันนี้ ชื่อพระเยซูคริสต์ และมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับทาง  เป็นผู้คอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน  ระหว่างทาง  อาจจะเจอถนนขุระบ้าง เจอหลุมกระแทกบ้าง เจอพายุพัดไปพัดมา เสียวไส้อะไรต่างๆ พระเจ้าก็จะมาคอยปลอบใจ ให้กำลังใจทุกคน

“สบายๆ นะ ไม่ต้องกลัวๆ เราอยู่ด้วยๆ”

ส่วนรถโดยสารอีกคันหนึ่ง เป็นรถที่มืดสนิท คนขับรถชื่ออะไรก็ไม่รู้ เป็นใครก็ไม่รู้ รู้แต่พระเยซูบอกว่าเป็นพวกขโมย ฆ่าและทำลาย เป็นพวกมิจฉาชีพ ที่คอยมาหลอกล่อลักพาตัวผู้คนไปขึ้นรถ จับเป็นตัวประกัน แล้วคนที่คอยกำกับระหว่างทาง ก็เต็มไปด้วยความโหดร้าย เต็มไปด้วยความน่ากลัว คอยข่มขู่ เคี่ยวเข็ญตลอดเวลา

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เป็นแสงสว่าง ก็มีแต่ความสุข ความสงบ แม้หนทางจะเป็นหลุม เจอบ่อเป็นระยะ เจอถนนเรียบบ้าง ขุระบ้าง แต่ก็ยังมีสันติสุข มีความสงบ ผู้คนบนรถเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ถ้อยทีถ้อยอาศัย แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน วางใจในพระเจ้า ให้ผู้กำกับรถคันนี้ คือพระเจ้าเป็นผู้นำพาชีวิตต่อไป ตามรถคันนี้ และที่เป็นแบบนี้ได้ ก็เพราะว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถแสงสว่างนี้ ทราบดีว่ารถคันนี้ กำลังจะวิ่งไปไหน แล้วเคลื่อนไปที่ไหน? จุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด? และที่นั่นเป็นอย่างไร? เขาจะอยู่อย่างไร? พูดง่ายๆ มีความหวังว่าจะไปถึงสวรรค์นั่นเอง

ในขณะที่รถโดยสารคันที่ 2 ที่เป็นความมืดมิด ตลอดเส้นทาง มีแต่การข่มขู่ มีแต่การคาดโทษ มีแต่ตวาด  และถึงแม้ว่ารถคันมืด  บางครั้งขับไปบนถนนราบเรียบ  ไม่เจอหลุม  ไม่เจอบ่อ  ถนนไม่ขุระ แต่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในรถคันนี้ ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งถนนเรียบ ยังกลัวเลย กังวลตลอดเวลา คอยแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน มีแต่ความกระสับกระส่าย วุ่นวาย เครียดกันไปทั้งรถ ไม่มีใครเลยบนรถคันนี้ ที่จะมีสันติสุขและความสงบสุขที่แท้จริงได้ มันกลัว มันระวังไปหมด

และเหตุผลที่ผู้คนในรถคันที่สองที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยการแก่งแย่งกัน เบียดเบียนกัน ก็เพราะว่าคนที่อยู่บนรถคันนี้ ที่มืดมิด ทั้งสับสนวุ่นวายนี้ ไม่มีใครสักคนเลยรู้ว่ารถคันนี้กำลังขับเคลื่อนไปทิศทางใด? จะไปไหน? จะไปจุดหมายปลายทางที่ใด? และที่นั่นจะเป็นอย่างไร? ชีวิตหลังจากลงจากรถแล้ว จะเป็นอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้น? พูดง่ายๆ มันมืดแปดด้าน มันไม่มีความหวังนั่นเอง

นี่คือภาพที่ผมเปรียบเทียบ ให้เห็นชัดๆ ในโลกทางวิญญาณ ตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อเราได้รับเชื่อในข่าวดีในองค์พระเยซูคริสต์แล้ว เราก็จะได้ขึ้นไปในรถโดยสารคันที่ 1 คันที่เรียกว่าแสงสว่าง ที่มีผู้ขับชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็จะมีสันติสุข มีความสงบสุข แม้ว่าทางจะขุระบ้าง เจอทางลำบากบ้าง? เจอพายุบ้าง แต่เรารู้ว่ารถคันนี้จะไปไหน? แล้วผู้ที่คอยปลอบโยน ที่คอยดูเราตลอดเวลา คือพ่อของเรา คือพระเจ้านั่นเอง เราก็สบายใจ มีสันติสุขได้ และเมื่อเราขึ้นอยู่บนรถคันนี้ เราจึงมีความรู้สึกเหมือนพระเยซูคริสต์บอก

“ผู้ใดที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ก็คือเราหายเหนื่อยและเป็นสุข เมื่อเรารับพระเยซูคริสต์ เราก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง รถแห่งความสว่าง รถคันนี้เต็มไปด้วยสันติสุข เราก็จะหายเหนื่อยและเป็นสุข และเมื่อเราอยู่ในรถแห่งความสว่างนี้  เราก็จะสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วเราอยากที่จะบอกข่าวดีนี้ให้ใครก็ตามที่อยู่ข้างๆ เรา อยากให้โลกได้รู้ โลกก็คือมนุษย์ อยากให้มนุษย์ทุกคนได้รู้จริงๆ ว่ามันง่ายนิดเดียว ในการที่จะมีสันติสุขแบบที่เรามี ง่ายนิดเดียวที่จะมาอยู่ในสวรรค์ เพียงเชื่อในข่าวดีของพระเยซู แล้วก็ย้ายมาแค่นั้นเอง ทิ้งความเย่อหยิ่ง ทิ้งความอวดดี ทิ้งสติปัญญา ทิ้งอะไรทั้งหมดของเรา แล้วเชื่อ … เชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วทันทีทันใด พระเจ้าก็จะย้ายเราไปอยู่ในนี้ เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข

และจากนั้น พอเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราก็อยากจะไปบอกคนอื่นแล้วว่าข่าวดีนี้คืออะไร? เราอยากให้เขาได้สันติสุขและความสงบทางใจ อันเกิดจากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่บาปให้กับเรา เพราะฉะนั้น ร่วมกันทำทุกวัน จึงจัดเป็นงานฉลองว่าปีหนึ่งจึงมีใหญ่ๆ ครั้งหนึ่ง นอกนั้นมีเล็กๆ ทุกวันก็เป็นคริสตมาส สำหรับเรา แต่วันที่รวมกันใหญ่ๆ ก็คือปีหนึ่งมีครั้งหนึ่ง ในวันที่ 25 นี้ ก็คือวันคริสตมาส เราจึงอวยพรทั้งโลกเลย ไม่ว่าใครมีโอกาส ติดที่บ้าน ติดที่ไหนก็ตาม

ติดคำว่า … “Merry Christmas”

Merry แปลว่าขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ

Christmas มาจาก Christes Maesse แปลว่ามิซซาของพระคริสต์ คือการเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  และหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เรียกว่ามิซซา … มิซซาของพระคริสต์ ก็คือการที่พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์กับพระเจ้าสามารถคืนดีกันได้ ตรงนี้ เรียกว่ามิซซาของพระคริสต์ เรียกว่าคริสตมาส

ดังนั้นมาแปลเป็นไทย ไปที่ไหน เราก็อยากจะอวยพรกันว่า Merry Christmas ก็คือขอให้ท่านได้พบสันติสุขและความสงบทางใจ อันเหตุเกิดขึ้น จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตาย เพื่อไถ่บาปให้กับท่านแล้ว เอเมน         ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2017 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ธันวาคม  2017

 เรื่อง “สุขสันต์วันพ่อ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นวันพิเศษ วันพ่อของโบสถ์จัดก่อน วันพ่อ ก็คือวันที่ 5 แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “วันพ่อ” ทุกคนก็ต้องนึกถึงพ่อหลวง หรือในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งแม้ตอนนี้พระองค์ท่านจะสวรรคตแล้ว แต่คนไทยทุกคน ก็ยังคงระลึกถึง และยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ที่มีต่อปวงชนชาวไทยทั้งปวงอย่างมากมาย

          เมื่อต้นปี ทางราชการประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญของชาติไทย คือ …

          (1)เป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนม์ชนพรรษาของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร

          (2) เป็นวันชาติ

          (3) เป็นวันพ่อแห่งชาติ

หลายปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาใกล้ๆ วันพ่อแบบนี้  เรามักจะคุ้นเคยกับชื่อโครงการนี้ เป็นโครงการหนึ่งของในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเราเป็นผู้ริเริ่ม หลายคนอาจเคยเข้าไปร่วมในกิจกรรมด้วย คือโครงการทำดีเพื่อพ่อ ซึ่งเป็นโครงการที่รณรงค์ให้คนไทย ได้ร่วมกันกระทำความดีอย่างสามัคคี โดยเน้น เพื่อให้เกิดพลังแห่งการให้ออกไปในสิ่งที่ดีๆ ในมิติต่างๆ ในชีวิต ในสังคม

ยกตัวอย่างเช่น รณรงค์ให้คนทำดี เพื่อพ่อ โดยการให้อภัย ให้โอกาส ให้รอยยิ้ม ให้เวลา ให้ความรู้สึกดีๆ ให้ความรัก ให้ความช่วยเหลือ ทั้งร่างกาย แรงกาย วัตถุสิ่งของการเงิน ให้ความใกล้ชิด ให้ความจริงใจ ให้ความสัตย์ซื่อ เช่นนี้เป็นต้น และอีกหลายๆ อย่าง ถามว่าทำไมคนไทย จึงพร้อมใจกัน ตั้งใจที่จะทำดี เพื่อพ่อ หรือทำความดีนี้ เพื่อพ่อ ลองถามสิ เพราะอะไร? ออกเป็นกฎหมายหรือเปล่า? ไม่ใช่ เพราะกฎหมายบังคับ เพราะกลัวว่าถ้าไม่ทำแล้ว จะเกิดมีความผิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ หรือคิดว่าทำแล้วจะได้บุญ หรือได้รับผลตอบแทน กลับคืนมาหรือเปล่า? ไม่ใช่ พ่อหลวงจะได้รับผลจากความดีที่เราทำหรือเปล่า? เราก็ไม่คิดอย่างนั้น  ถูกไหม? แล้วถามว่าเราร่วมใจกัน เป็นความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติเลย อยากจะทำความดีเพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่ประเสริฐ ที่มีความรัก ความเมตตา เป็นพ่อผู้เสียสละ อย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นเวลาหลายสิบปี พิสูจน์แล้ว ใช่ไหม?

นั่นคือความรักมันเกิดขึ้นแล้ว ในใจของคนไทยทั้งปวง เพราะเรารู้ดีว่าพระองค์ท่านอยากเห็นคนไทย ซึ่งเป็นเสมือนลูกหลานของพระองค์ มีความรักซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกัน มีสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สันติสุข และอยู่ดีกินดีกันทุกๆ คน คนไทยจึงพร้อมใจกันทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เพียงแค่อยากทำให้พระองค์พอพระทัย คุ้นๆ หูเนอะ ทำให้พระองค์พอพระทัย ทำให้พระองค์สบายใจ มีความยินดี เห็นไหมมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ไม่มีใครบังคับเราเลย แต่เราอยากทำ เพราะเราสัมผัสในความรัก ความเมตตาของพระองค์ท่านที่มีต่อเราเท่านั้นเอง

ถามว่าคนไทยร่วมใจกันทำความดีเหล่านี้แล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอะไรหรือเปล่า? นอกจากความยินดีพอพระทัย ไม่ได้รับอะไรเลย แล้วเราทำดีอย่างนี้ เราเพิ่มพระเกียรติ เพิ่มพระบารมีให้พระองค์ท่านหรือเปล่า? เปล่าเลย พระเกียรติ พระบารมี พระเจ้าอยู่หัวยิ่งใหญ่มากมายอยู่แล้ว ไม่ต้องการให้เราช่วยเหลือเลย แล้วเราช่วยไม่ได้ด้วย  ถูกไหม?  ในทางกลับกันเมื่อเราตั้งใจทำความดี เพื่อพ่อ ผลที่ได้รับ จะตกอยู่กับพวกเราเองนั่นแหละ ความสงบสุขของสังคม ความสงบสุขของประเทศชาติ ก็ส่งผลมาเป็นความสงบสุขของตัวเราเอง การกินดี อยู่ดีของเรา ของประชาชนชาวไทย ก็เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องและกระทบมาถึงพวกเราทุกคน คนทำนั่นแหละได้ดีเอง ถูกไหม?  และสำหรับพวกเราผู้เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ ที่เราเรียกกันติดปากว่าพวกคริสเตียน ที่เชื่อ ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวงให้พ้นจากบาป และสามารถบริสุทธิ์ผุดผ่อง มาสถิตอยู่ด้วยกับเขา และเขาจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล เพราะว่าพ้นจากบาปแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเหล่านี้ ที่เรียกว่าคริสเตียน นอกจากพ่อทางกาย และพ่อหลวงของคนไทยแล้ว เรายังมีพระเจ้าที่เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราด้วย เป็นพ่อของเรานั่นเอง

เช่นเดียวกัน ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็สอนให้เราทำความดี ให้ใช้ชีวิตในขณะที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ยอมรับพระเยซูแล้ว ได้สิทธิเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ให้เราดำเนินชีวิตที่สำแดงออกมาถึงสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นความดี ทำดี เพื่อพ่อของเราเหมือนกัน แต่เป็นพ่อทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์สอนเราอย่างนี้ เหมือนกัน

พระคัมภีร์บอกอย่างไร? สรุปง่ายๆ ทำดีอย่างไร? ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เราบังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว รับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ เรารับสิทธิของเราที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน ทันทีทันใด เราก็มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพ่อของเรา มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่กับเรา เราสะอาดหมดจดแล้ว เราอยากจะทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อพ่อของเรา เราอยากจะสำแดงผลของพระวิญญาณ คือข้างในที่เราบังเกิดใหม่ เราอยากสำแดงวิญญาณที่เราบังเกิดใหม่ ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรานั้น ออกมา มันจะออกมาอย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไร?  มันจะมีผลลักษณะอย่างนี้อยู่ 9 อย่างเท่านั้นเอง ถ้าออกมา 9 อย่างนี้ แสดงว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผล 9 อย่างนี้ คือความรัก  ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข  ความอดกลั้นใจ  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน มันจะออกมาจากวิญญาณของเรา บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า นี่คือทำดี เพื่อพ่อ รู้ว่าทำสิ่งนี้ดีเพื่อพ่อ ดูว่ามันอยู่ใน 9 อย่างนี้ไหม?

ยกตัวอย่างว่าเมื่อเช้านี้ รอรถเมล์อยู่ รถเมล์แทนที่จะจอด ไม่จอด จะมาโบสถ์ไม่ทัน เราก็เลยหงุดหงิด เราก็บ่น …

“คนนี้จะขับรถไปตายที่ไหน คนรออยู่ ทำไมไม่จอด”

ใช่วิญญาณบริสุทธิ์ไหม? ไม่ใช่ แล้วใครทำ? ก็เนื้อหนัง ตัวเก่าฉันนี่แหละ ที่ฉันเห็นในกระจกทุกวัน มันไม่ใช่ลูกพระเจ้าหรอกตัวนี้  ตัวนี้ ตายไปแล้ว มันรอวันที่จะเปลี่ยนใหม่ เสื้อคลุมนี้ ตัวร่างกายเก่านี้ แต่ถ้าเผื่อรถมันขับไม่จอด ผ่านไปเมื่อเช้านี้  เราบอก …

“ขอพระเจ้าอวยพร วันนี้เขาคงมีธุระสำคัญ เขาคงจะไปรับคนข้างหน้า ขอบคุณพระเจ้า เรารออีกสักหน่อย อาจารย์นำคงไม่ว่า นำนมัสการช้าหน่อยก็ได้”

อะไรประมาณนี้ สมมตินะ เราก็สงบสุข ขอบคุณพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าบังคับตน ทั้งๆ ที่ในร่างกายนี้มันกำลังจะโมโห เพราะว่ารอไป 2 คัน ไม่จอด อย่างนี้เป็นต้น ท่านจะเห็นภาพชัดเจน อะไรที่มันตรงกันข้ามกับ 9 อย่างนี้ แสดงว่ามันไม่ได้มาจากข้างในของเรา แต่มาจากข้างนอก ซึ่งเป็นร่างกายที่มีเชื้อบาปอยู่ เห็นไหม? แต่ถ้าเราทำจากข้างใน คือเราทำดีเพื่อพ่อ … พ่อเรา คือพระเจ้า … พระเจ้าก็จะได้พอพระทัย พระเจ้าจะได้ยินดี สบายใจ เราถวายเกียรติพระเจ้ามากขึ้นไหม? ไม่ใช่เลย  วิธีการถวายเกียรติพระเจ้า ก็คือเรามีสุข แล้วพ่อเรา พระเจ้าก็มีสุข ยินดีกับเราด้วย ใน 2 ทิโมธี 3:16-17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

2 ทิโมธี 3:16-17 “16 พระคัมภีร์ทุกตอน ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม 17 เพื่อเตรียมคนของพระเจ้า ให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”

 

เพื่อพรักพร้อมในการกระทำความดีทุกอย่าง  การดีทุกอย่าง คือผลออกมาจากการกระทำของพระวิญญาณ เราจะรู้ว่านี่คือการดีได้ เมื่อเราทำแล้วมันสอดคล้องกับในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ บางครั้ง คำว่าความดีของมนุษย์ กับความดีในสายตาพระเจ้า ไม่เหมือนกัน ฟังให้ดีๆ หลายอย่าง เรานึกว่าเราทำดีแล้ว แต่ไปค้นในพระคัมภีร์ ไม่เห็นมีบอกว่าตรงนี้ทำดีเลย ปรากฏว่าตรงนี้ยังบอกด้วยซ้ำว่ากำลังเย่อหยิ่งอยู่ เป็นไง แสบมากเลย ถามจริงๆ มีไหม? มี หลายอย่างเลย บางทีเราทำอาการหลายอย่างเลย เช่น การให้ทรัพย์ คือหยิบเงินในกระเป๋าที่เรามีสิทธิ์เต็มที่ นี่เงินของเรา  เราจะยกให้ใครก็ได้

สมมติเราเอามาร้อยหนึ่ง นี่เป็นเงินของเรา ให้ใครไปก็ได้ อาการนี้ ถ้าตามนุษย์มองเห็น ทุกคนเรียกว่าการให้ ถูกไหม? แต่พระเจ้าบอกว่ามันอยู่ที่ข้างใน อาการเหมือนกันเลย อีกคนก็ให้ออกไป 100 พระเจ้าบอกไม่เหมือนกัน คนที่สอง นั่นให้จริง เขาจะได้พร คนแรกเย่อหยิ่งจองหอง มนุษย์สรรเสริญคนแรกมากเลย เพราะเห็นเขาให้ เหมือนๆ กัน เผลอๆ ให้เยอะกว่าอีก ทำไมมนุษย์มองเห็นว่าน่าสรรเสริญ แต่พระเจ้าว่าไม่น่าสรรเสริญ ไม่ได้จริงใจ พระเจ้ามองที่ใจ เพราะอาการข้างนอก เราเห็นเขาให้ แต่เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะให้หรอก ข้างในเขากำลังให้ออกไป แล้วก็คิดว่าตรงนี้ เขาจะได้กลับคืนมาสัก 10 เท่า คือให้ไป 100 จะกลับมา 1,000 บาท ถ้าผมให้ไป 100 แล้วผมหวังว่าจะได้ 1,000 บาทกลับคืนมา อย่างนี้เป็นการลงทุน

เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าเสียสละ รักเรามากขนาดไหน? เราควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามท่าทีที่พระเจ้า ผู้เป็นพ่อในฟ้าสวรรค์ของเรา ต้องการ และยินดี ก็คือทำตามที่พระคัมภีร์บอกว่าควรทำ

เรากลับมาที่ว่าคนไทยพร้อมใจกันทำดี เพื่อพ่อ ก็เพราะว่าเรามีพ่อหลวงที่บริสุทธิ์ ที่ประเสริฐ ที่รักเรา ที่เราเห็นได้ชัดว่าพระองค์รักเราจริงๆ เราจึงสัมผัสความรักนั้นได้ แล้วก็สามารถทำสิ่งที่เรียกว่าความดีได้ โดยที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน

นอกจากคริสเตียน ที่มีพระวิญญาณที่อยู่ในเราแล้ว เรามีถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เป็นเหมือนกับไกด์นำทางให้เรา บอกเราว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงจะได้สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่ดีๆ สำหรับพ่อของเรา พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีๆ ที่จะไปยกให้พระเจ้า ไม่ใช่สิ่งดีที่จะเป็นผลประโยชน์แด่พระเจ้า ไม่ใช่ไปถวายเกียรติพระเจ้า  แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด และพระองค์ก็ดีใจ เพราะลูกได้สิ่งที่ดีๆ

พระคัมภีร์สอนเราให้ฝึกฝนที่จะทำความดี ตักเตือน ให้แก้ไขข้อบกพร่อง ไม่ใช่ เพื่อการได้รับความรอด หรือการรอดพ้นจากการถูกลงโทษจากบาป แต่พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราได้รับความรอด ผ่านทางพระคุณความรักของพระเจ้าแล้ว ผ่านทางความเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราควรเชื่อฟัง เห็นไหม? ไม่ได้บังคับเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่ได้บังคับเรา ตอนที่เราทำดี เพื่อพ่อ ในการรณรงค์ในประเทศไทย ก็ไม่มีใครออกกฎหมายมาบังคับเรา เรายินดีทำ ในทำนองเดียวกัน ในทางพระเจ้า ในทางเป็นคริสเตียน ก็เหมือนกัน เราตั้งใจจะทำดีเพื่อพ่อ เพราะว่าเรารักพ่อเราแล้ว พ่อเราสำแดงความรักของพระองค์ประจักษ์แก่ชีวิตของเราแล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาตายที่ไม้กางเขน รับบาปแทนเรา เราซาบซึ้งแล้ว เรารู้แล้ว พอเรารู้แล้ว เราก็อยากจะทำดี เพื่อพระองค์ เพื่อพ่อของเรา นี่คือท่าทีที่อยู่ข้างในว่าเราควรเชื่อฟัง ไม่ใช่เราต้องเชื่อฟัง คนละอันนะ เราควรเชื่อฟัง ถ้าเราไม่เชื่อฟัง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผลร้ายจะเกิดขึ้นกับเราเอง เพราะเราทำไม่ได้ดี ผลไม่ดีเกิดขึ้น ไม่ใช่พ่อเรามาไล่ตีเรา ไม่ใช่พ่อเรามาจับเราเข้าคุก เปล่า ถ้าอย่างนั้น ต้องเรียกว่าเราต้องทำดี แต่นี่ไม่ใช่  ต้องเชื่อฟัง แต่ควรเชื่อฟัง ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็เจ็บตัวเอง พ่อไม่ได้ทำอะไรหรอก พ่อก็เสียใจด้วย มานั่งลูบหัวเรา

“น่าสงสารจริงๆ ถ้าเชื่อเรา ก็จะได้ดีนะ”

พ่อไม่ซ้ำเติมเราหรอก ชัดไหม?  เราควรจะเชื่อฟังและทำตามคำสอนของพระเจ้า เพื่อให้เป็นที่พอพระทัย เป็นที่ยินดี สำหรับพ่อเรา พอเราได้ดี พ่อเราก็ดีใจแล้ว ในโรม 12:1 บอกไว้ชัดเจน

“เพื่อเห็นแก่พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ได้ทรงไถ่เรา พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์สะอาด ตามที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านนั่นแหละ บริสุทธิ์สะอาดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของพระองค์”

เราไม่ได้ทำสิ่งที่ดีๆ หรือทำความดี เพื่อที่จะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้น เราต้องเปลี่ยนโครงการนี้ว่า “ทำดี เพื่อมาเป็นลูกพระเจ้า” ไม่ใช่ เราทำดี เพื่อพ่อของเราเฉยๆ เราไม่ได้กระทำความดี เพื่อจะได้รับสิทธิมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจึงได้สำนึกในพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า และได้รับกำลัง จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในวิญญาณของเราที่บังเกิดใหม่ ที่ได้รับกำลังแล้ว ที่จะช่วยนำพาเรา ให้กำลังกับเรา จากข้างใน ออกมาข้างนอก ควบคุมข้างนอกให้สามารถดำเนินชีวิต ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสอนในพระคัมภีร์ได้นั่นเอง (ได้เท่าที่ได้) ไม่ใช่ได้หมด ได้มากขึ้น

เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตรงนี้ไว้ว่าอย่างนี้ “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

 

เพื่อที่จะไม่มีใครโอ้อวดและอ้างว่า “ฉันรอด เพราะว่าฉันทำดี ฉันเป็นคนดี”

หรือบางคนก็อ้างหนักกว่านั้นเลย “คนนี้รอด เพราะฉันไปอธิษฐานให้เขา” ไปกันใหญ่

“คนนี้รอด เพราะว่าฉันทำอะไรให้เขา”

ไม่ใช่ ทุกอย่าง ความรอดเป็นของประทาน มาจากพระเจ้าประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อมนุษยชาติทั้งปวง และพระองค์ทรงกระทำเสร็จไปแล้ว 2,000 ปี ใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องข่าวดีนี้  ความจริงนี้ และยอมรับในข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ เขาก็ได้รับสิทธิของเขา ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเขา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ จึงไม่มีใครสามารถอวดอ้าง หรือแอบอ้างความดีความชอบตรงนี้ได้เลย  ในความรอด จากบาปของมนุษยชาติทั้งปวง เอเมน

กลับมาที่พ่อที่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราในสังคมนี้  ในสังคมโลก พูดถึงพ่อทั่วๆ ไป  พระคัมภีร์สอนอย่างไร สำหรับคนที่เป็นพ่อในการปกครองดูแลลูกของตน สุภาษิต  22:6

สุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะ ไม่พราก จากทางนั้น”

 

พระคัมภีร์บอก “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป”

ฝึกตัวนี้ คือฝึกวินัย  ให้มีวินัย  พระคัมภีร์บอก “จงฝึกวินัยเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ควรจะเดินไปทางไหน?  ดูในพระคัมภีร์บอกไว้ พ่อบางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึก ฝึกฝน กฎระเบียบทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องปฏิบัติตาม ฟังให้ดีๆ กิริยามารยาททุกอย่าง ต้องเป๊ะ ฝึกจนกระทั่งเครียดไปทั้งบ้านเลย เพราะเขาใช้คำว่า “ต้อง”

ในพระคัมภีร์บอกว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป” ไม่ได้บอกว่าต้อง และให้เราเลียนแบบพระเจ้า … พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลย ตั้งแต่เราเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น พ่อบนโลกใบนี้ รวมทั้งแม่ด้วยนะ เพราะเนื่องจากวันนี้ เทศน์ในวันพ่อ จึงพยายามพูดไปถึงพ่อ จริงๆ รวมทั้งแม่ด้วย 2 คนช่วยกัน มีหน้าที่ดูแลบุตรหลานอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกให้ฝึกฝน ไม่ใช่ครอบงำ ไม่ใช่ข่มขู่ ถ้าครอบงำ ไม่ใช่ความรัก ถ้าข่มขู่ ไม่ใช่ความรัก ต้องเมตตา โอเค พระคัมภีร์จึงมีคำสอนให้คนเป็นพ่อด้วยว่าให้อบรมสั่งสอนบุตร ตามหลักของพระเจ้า เอเฟซัสพระเจ้าเตือนคนที่เป็นพ่อ (เป็นแม่ด้วย) ว่าอย่างไร?

เอเฟซัส 6:4 “ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา (มารดา) อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

 

ทำไมเขาถึงเขียนบิดาอย่างเดียว เพราะสมัยโน้น เขาเรียกว่าวัฒนธรรม ประเพณีของมนุษยชาติ ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้ชายจะเป็นผู้นำ เวลาเขาจะนับประชากรของพระเจ้า เขาไม่นับผู้หญิงเลย เขาจะนับผู้ชาย แล้วก็คูณกะประมาณเอาว่ามีกี่คน? คำนวณประชากร ผู้ชายเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ เพราะฉะนั้น ครอบครัวเขาก็จะนับแต่ผู้ชายๆ ผู้ชายจึงรับผิดชอบสูง แต่มาปัจจุบัน ไม่ใช่แล้ว ต้องร่วมกัน หลังๆ จะเห็นสังคมยอมรับ ในการที่ผู้หญิงจะออกไปทำงานข้างนอกมากขึ้น เมื่อไม่กี่สิบปีนี้ แต่ก่อนนี้ ถ้าผู้หญิงไปทำงานนอกบ้าน จะรู้สึกแปลกๆ ครอบครัวนี้ทารุณมากเลย  เอาเพศแม่ไปทำงานด้วย เขาต้องเลี้ยงลูก เขาต้องทำงานบ้าน เขาต้องทำอะไรต่างๆ ใช่ไหม?

หลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า คืออะไร? ซึ่งเราย้ำกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น หลักการของพระเจ้า ก็คือความรัก และความรัก  คืออดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่หยิ่งผยอง ไม่อวดตัว ไม่เห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว เห็นแก่ผู้อื่น ไม่ยินดีเมื่อกระทำผิด เยอะแยะไปหมด ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป  นั่นเป็นความรัก เราก็รู้กันหมดว่าคืออะไร?  นี่คือหลักการ เห็นไหม? ไม่ใช่เราคิดเอง เราเป็นผู้ปกครอง เป็นพ่อแม่ เราคิดเอง เขาจะต้องเรียนหมอให้ได้ เพราะเราคิดดีแล้ว เป็นหมอนะดีแล้ว ดีที่สุด เกิดมาก็ใส่ความคิด ให้เขาตั้งแต่เด็กเลย เรียนหมอๆ พอครูถาม อยู่อนุบาล 3 ครูถามว่า …

“ความฝันของเด็กๆ เป็นอะไร?”

“เรียนหมอ”

รู้เรื่องไหมถามจริงๆ? ไม่รู้หรอก ฟังพ่อแม่มา อายุกี่ขวบ? อนุบาล 3 ถึง 4 ขวบ เขาจะรู้เหรออนาคต หมอคืออะไร? พ่อแม่ใส่มา ให้ ป.1 ด้วย เขียนเรียงความมา อยากจะเป็นอะไร? อยากเป็นทหาร ถูกหรือไม่ถูก? ใครเป็นคนใส่มา? พ่อแม่ก็ตอบ ฉันไม่รู้นะ ฉันไม่ได้ใส่ คือมาจากพ่อแม่นั่นแหละ อายุตั้งแต่เด็กจนป.1 ใครสมควรเป็นผู้ดูแล แล้วจะบอกว่าเขาเอามาจากทีวี ก็อาจเป็นไปได้นะ แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเราที่ให้เขาดูทีวีมากกว่าดูเรา จนกระทั่ง เขาไปติด มันต้องติดมาจากใครคนหนึ่ง เพราะเด็กขนาดนั้น ไม่มีโอกาสที่จะมานั่งคิดอยากจะเป็นอะไรในอนาคต ใช่ไหม? ถ้าเผื่ออายุมากขึ้นแล้ว อาจจะคิด 15 – 16 ก็ว่าไป อย่างนี้เราจะเห็นภาพ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มันต้องมาจากความรัก

ในพระคัมภีร์จะเห็นว่าคำสอนของพระเจ้าจะควบคู่กันไปตลอด ระหว่างการฝึกฝนกับความรัก นี่คือหลักการของพระเจ้า มันต้องไปด้วยกันเสมอ แต่ความรักมาก่อนนะ เพราะว่าเชื้อของความบาป ที่มันยังอยู่ในชีวิตเก่าๆ ร่างกายเก่าๆ ของเรา ทำให้มนุษย์ทำอะไร มันก็ไม่พอดีไปหมด มันไม่สมดุล

ความไม่สมดุลของเรา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเงินๆ ทองๆ เราอยากได้มากเกินกว่าพอดี เขาเรียกกันว่าโลภ เราอยากได้น้อยเกินกว่าสมควร เรียกว่าขี้เกียจ อย่าให้เขากิน พระคัมภีร์บอก แสดงว่าขี้เกียจ มันต้องพอดี ขยันพอดี แต่ไม่โลภ ขยันได้เงินมา แบ่งปัน ให้ออกไป เขาบอกกันว่ามารไม่ต้องทำอะไรมนุษย์เลย  มารเพียงแต่หลอกมนุษย์ ทำสิ่งเดียว คือทำสิ่งที่ไม่มากไป ก็น้อยไปเท่านั้น เพราะมากไป ก็ตกขอบ น้อยไปก็ตกขอบ มันต้องพอดีๆ เหมือนที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่สอนเราในโครงการพอเพียง การพอดีลึกซึ้งในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันพอดี ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่เรามองเห็น พระองค์ท่านให้เราลึกซึ้งในชีวิตเราว่าต้องพอดีในทุกอย่าง แม้กระทั่งคำพูด ก็อย่าพูดเยอะไป บางครั้งเงียบบ้างก็ได้  แต่ก็ไม่ใช่เงียบตลอด เขาจะถามความเห็น สติปัญญาอะไร ก็เงียบ ไม่พูดสักอย่าง มันไม่ใช่เงียบ แล้วดีตลอด เห็นไหม? ทั้งๆ ที่บางทีก็ต้องเงียบ ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะเงียบ เมื่อไรจะพูด ก็พึ่งพระเจ้า มันก็ต้องฝึกฝนไป หลุดไปบ้าง

“ฉันไม่น่าพูดมากขนาดนั้น วันนี้น่าจะพูดแค่ 2 คำแล้วหยุด พระเจ้าช่วยลูกด้วย สอนลูก ครั้งต่อไปที่ลูกควรจะพูดอะไร”

นี่แหละ ความบาป คือการทำอะไรก็ตามที่มันไม่พอดี ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือทำอะไรก็ตามที่มันพอดี แค่นั้นเอง มันง่ายนะ

มันมีเหมือนลัทธิหนึ่ง ความเชื่อหนึ่งก็ได้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าเป็นวัตถุเคารพ บางครั้งเราอ่าน เราชอบไปนึกถึงรูปปั้น อะไรต่างๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นการบูชาความดี เคยได้ยินไหม? ยกย่องความดีจนเกินไป  ก็มีอยู่ในชีวิตของมนุษย์ มีมาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมี คือบูชาความดี ยกย่องความดีจนเกินไป จนทำให้เกิดความไม่พอดี ยกตัวอย่าง บางครั้งเราบอกบูชาความดี ต้องให้ออกไป เราให้จนเกิน นี่ให้จริงๆ นะ อาการเหมือนตะกี้ที่บอกเลย แต่ไม่ได้ดูกำลังตัวเองว่าควรให้ไหม? ปรากฏให้จนลูกเมียอดอยาก ไม่มีอะไรจะกิน มันเกินไปแล้วไง เข้าใจไหมครับ ผมกำลังจะบอกว่ามันไม่พอดีปุ๊บ มันเป็นการบูชาความดี ซึ่งการให้ออกไป เราให้จริงๆ นะ แต่มันเกินกำลังไปแล้ว เกิดความเดือดร้อนกับผู้อื่น กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรืออะไรก็ตาม มันมีโอกาสจะเป็นอย่างนี้จริงๆ

หรือตรงกันข้ามกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็บูชาความดีเหมือนกัน คือเหนียวตลอด ไม่ยอมจ่ายเลย บาทหนึ่งก็ไม่ยอมจ่าย คนเดือดร้อนอย่างไร ก็ไม่สนใจ อยู่คนเดียว เป็นเศรษฐีคนเดียว รวยอยู่คนเดียว พอใจแล้ว อย่างนี้เรียกว่าแล้งน้ำใจ เป็นคนไม่มีน้ำใจ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นไหม มันก็กลายเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่มีเยอะแยะ ถ้าฉันจะให้ออกไป ฉันจะต้องหวังว่ามันจะต้องได้อะไรกลับมา ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยแม้แต่เม็ดเดียว ซื้อมังคุดก็ 3 โล 100 เขาจะขายโลละ 30 ก็ 3 โล 100 โอเคซื้อ ทั้งๆ ที่ตัวเองเสียเปรียบ ก็ซื้อ เพราะโลภ คิดในใจกลัวเสียเปรียบๆ นี่ก็น่าเป็นทุกข์ เขาเรียกว่าไม่พอดี

บางคนมีรายได้น้อย แต่ไปใช้จ่ายมากเกินตัว ก็เกิดหนี้สิน เป็นความทุกข์ เป็นความลำบากภายหลัง เรียกว่าไม่พอดี บางคนก็มีรายได้พอเพียง มีพอ แต่ใช้ไม่พอเพียง  คือไม่ยอมใช้เลย กลายเป็นคนขี้เหนียว แล้วก็ไม่มีความสุข เพราะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ช่วยเหลือคนอื่นเลย ไม่มีเมตตากับทุกคนเลย รวมทั้งไม่มีเมตตากับตัวเองด้วย คือนึกแต่วัตถุๆ ต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ ทรัพย์ที่มองไม่เห็น มีราคามากกว่าตั้งเยอะ เช่น สุขภาพร่างกายของตัวเอง มองไม่เห็น สุขภาพของคนในครอบครัว มองไม่เห็น เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว คือทรัพย์สินเงินทอง กลายเป็นคนแข็งกระด้าง คนเครียด ทั้งๆ ที่เงินมีไหม? พอเพียงไหม? พอเพียง เห็นไหม? แต่ทำตัวเหมือนคนจน

ฉันใดก็ฉันนั้น วันนี้พูดถึงเรื่องพ่อ การดูแลบุตรหลานของท่านที่เป็นพ่อแม่ ก็เช่นเดียวกัน พ่อบางคน หรือพ่อแม่บางคนก็ฝึกลูกด้วยวินัย ตามถ้อยคำพระเจ้าไหม? ตาม แต่ไม่ตามตรงที่ฝึกวินัย แต่ตรงนี้ฝึกวินัยลูก ไม่พอดี มากจนเกินไป แข็งจนเกินไป กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทุกอย่างต้องตามใจพ่อให้ได้ ถ้าพ่อพูดอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ให้ได้ ต้องเป็นไปตามความคิดของพ่อเท่านั้น ส่วนพ่อแม่บางราย ก็ไม่มีการฝึกวินัยลูกเลย ปล่อยตามสบาย ลูกอยากจะทำอะไรก็เชิญสนองให้ อยากได้อะไรก็เอาให้ ให้ทุกอย่างตามใจลูกทั้งสิ้น ลูกนอนดิ้นๆ อยู่ที่ลานขายของในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือตามห้าง ซื้อให้ทันที มีตัวอย่างนะ

ถามว่าการดูแลแบบไหนจะทำให้เกิดปัญหากับลูก? มีปัญหาทั้งสองทาง คือไม่พอดี คือไม่เบาไป ก็หนักไป ก็คือไม่พอเพียง ไม่สมดุล มันต้องอยู่ตรงกลาง มันต้องพอเพียง ต้องมีสมดุล ถึงจะดีที่สุด การฝึกวินัย ต้องฝึกด้วยความรัก อย่างที่ผมบอก ความรักกับการฝึกวินัย ต้องอยู่ควบคู่กันเสมอ ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จริงๆ ตรงนี้เอามาใช้ได้ในชีวิตของเราทั้งหมด ไม่ใช่ฝึกเด็กอย่างเดียว ฝึกตัวเองด้วย  ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เอาแต่ฝึกวินัยอย่างเดียว ก็กลายเป็นตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะเอาให้ตายให้ได้ หรือใช้แต่ความรักลูกเดียว ก็ปล่อยปละละเลย  ทำให้ลูกเสียคน เหมือนคำพูดที่บอกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ในภาษาสำนวนไทยพูดคำนี้มา แสบมาก เจ็บไปทั้งตระกูลเลย เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไร? ก็คือต้องทำให้มันสมดุล

ผมพยายามนึกหาคำที่จะอธิบายความหมายของการฝึกวินัยควบคู่ไปกับความรัก พยายามหา แล้วก็นึกถึงละครไทย ทำไมชอบดูละคร ผมไม่ได้ดูนะปกติ ไม่เคยดูเลย แต่มันก็เข้ามาในหัว แสดงว่ามันฮิตมาก ผมก็ไปนึกถึงละครไทย ซึ่งมักจะมีบทนี้ ซึ่งคนติดกันงอมแงม ตบจูบๆ เคยได้ยินไหม?  ผมมานั่งคิด มันก็จริงๆ นะ การลงวินัย ฝึกวินัยเด็ก ไม่ว่าจะลงโทษด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการตี กักบริเวณ ตัดค่าขนม จะต้องควบคู่ไปกับความรักด้วยเสมอ แรงจูงใจในการที่จะสอนด้วยความรักต่างหาก สำคัญที่สุด ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน

ผมจึงนึกภาพขึ้นได้ ฉะนั้น ความรักสำคัญกว่าคำว่าวินัยด้วยซ้ำไป ถูกไหม? วินัยอย่างเดียวไปไม่รอด ความรักอย่างเดียวไปรอด ผมนึกถึงภาพแซนวิท มีขนมปังก่อน แล้วก็วางด้วยผัก ด้วยเนื้อตรงกลาง แล้วก็ประกบด้วยขนมปังอีกแผ่นหนึ่ง การฝึกเด็กแบบแซนวิท คือตรงกลาง มันไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่ผัก แต่มันเป็นพริกเผ็ดๆ หรือผักอะไรก็ตามที่ขมมากๆ ทั้งเผ็ดทั้งขมอยู่ตรงกลางเลย  และขนมปังที่อยู่ข้างบนกับข้างล่าง ก็คือความรักนั่นเอง

เริ่มต้นด้วยความรัก ตามด้วยฝึกวินัย ลงวินัย และตามด้วยความรัก ก็จะเป็นความรัก วินัย ความรัก ให้นึกภาพแซนวิทไว้

เพราะว่าถ้าทำเช่นนี้แล้ว ผู้ที่ถูกฝึกวินัย หมายถึงลูกของเรา ก็จะเจริญเติบโตไปในทางที่เป็นความรักทั้งสิ้น เพราะการลงวินัยหรือการถูกลงโทษนั้น มันเต็มไปด้วยข้างบนและข้างล่างที่เป็นความรักอย่างแท้จริง เขาจะหนีไปไหนไม่ได้เลย ประกบไปได้เลย ไปไหนไปด้วยกัน

และอันนี้ มันก็ไม่ใช่สำหรับการดูแลเด็กได้เท่านั้น มันดูแลอย่างอื่นได้ด้วย สามารถใช้ได้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในองค์กร สมมติเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนดูแล หรือข้าราชการ โรงเรียน แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม ฟังอีกที แม้กระทั่งคริสตจักรก็ตาม บางคนบอกอุตส่าห์มาโบสถ์ นึกว่าสบายๆ ทำไมระเบียบเยอะจัง ต้องมีระเบียบไหม? อาจารย์ต่างๆ ศิษยาภิบาล ผู้ที่ดูแลระเบียบเหล่านี้ เขาดูแลระเบียบด้วยความรัก … รักเริ่มต้น ติเตียนท่าน แล้วเต็มไปด้วยความรักท่าน

เข้ามาถึง เขาอธิษฐานให้ท่านแล้ว ดูแลท่านด้วยความรัก อาจารย์วราพรทำกับข้าวให้อร่อยๆ เขาเรียกว่าขนมปัง มาเจอผม ผมก็โอเค ดีนะ โอ๋ให้กำลังใจ ไปเจอคนที่เขามีหน้าที่พระเจ้าเตรียมเขามาดูแลระเบียบ เขาก็จัดการตามระเบียบ เพราะฉะนั้น ท่านต้องดีใจ นี่เป็นขบวนการของการเจริญเติบโต ขบวนการของการทำสิ่งที่ดีให้พ่อเรายินดี เอเมน มันต้องมีระเบียบ ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่โต

ถ้าพ่อแม่ใช้วิธีการดูแลลูกหลานตามหลักการที่ผมบอกวันนี้ ลูกหลานก็จะเจริญเติบโตขึ้น เป็นคนดีของสังคม มีวินัย ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม เพราะเขารู้ว่าเขาถูกฝึกมา และถ้าสังคมทุกสถาบัน ทุกองค์กร ใช้ระบบการดูแล การบริหารด้วยวิธีการแบบนี้ สังคมก็จะอยู่รอด ไม่มีปัญหา

เวลาลงวินัย มันลงได้หลายวิธี สมมติว่าลูกเกเรวันนี้ โดดเรียน อันนี้ไม่ดีแน่นอน ท่านเรียกลูกมา ท่านจะพูดอะไรกับเขาก่อน ที่ตามพระคัมภีร์ เอาง่ายๆ ท่านก็เข้าไปกอดเขา

“วันนี้พ่อรักลูกมากนะ”

ทำได้ไหม? ผมจะบอก ทำไม่ได้หรอก ถ้าท่านไม่ฝึก เพราะท่านกำลังโมโห ตะกี้นี้ ครูผู้ปกครองโทรมาหยกๆ มันหนีเรียน พอเขาเดินเข้ามาปุ๊บ ท่านบอก …

“พ่อรักลูก”

ทำไม่ได้ แต่มันทำได้ ถ้าท่านฝึก พระวิญญาณจะช่วยท่าน เอเมน อธิษฐานก่อน พระเจ้าช่วยลูกด้วย จดเป็นสคริปไว้เลย พอมาถึงกอดทีหนึ่งก่อน เรามาอธิษฐานกันก่อนนะ ต่อไปนี้ ถ้าท่านทำอย่างนี้บ่อยๆ ลูกหนาวเลย  วันหลังพอลูกมาถึง ขอกอดหน่อย พ่อจะกอดเหรอ มีอะไรอีกวันนี้ ท่านเสียว แต่วันนี้ไม่มีอะไร? กอดฟรีๆ วันนี้มีแต่ขนมปังอย่างเดียว ท่านก็กอดเขา อย่างที่บอก ถ้าทำไม่ได้ ก็อธิษฐานด้วยกัน สั้นๆ ท่านสงบแล้ว สมาธิเกิด ปัญญามาทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานได้ทันที ท่านจะรู้ว่าควรจะพูดอะไร ในสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไป ด้วยความรัก ท่านก็พูดไปตามที่เขียนไว้

“ตะกี้นี้อาจารย์ปกครองที่โรงเรียนโทรมานะ”

ก็เล่าให้เขาฟัง คราวนี้ก็ว่าไปเรื่อย สมมติจะต้องมีการลงวินัย

“ค่าขนมที่เคยให้ไว้ อาทิตย์ละ 200 พ่ออยากจะฝึกวินัยตามถ้อยคำพระเจ้า พ่อก็ไม่อยากทำหรอก แต่ทำเพื่อตัวเราเอง มันต้องลำบากหน่อยนะ เพราะฉะนั้น ตัดเหลือ 100 บาท เข้าใจนะ”

ลูกก็เข้าใจแล้ว ความรักมาแล้ว จบสุดท้าย

“โอเคนะ  จากนี้ต่อไป สัก 4 อาทิตย์ เอาเป็นอาทิตย์ละ 100 พอ”

ฝึกฝนตัวเองใหม่ จบเข้าไป กอดอีกทีหนึ่ง แล้วก็อธิษฐานกัน

แล้วมีอะไรอีกล่ะ เอาแรงกว่านั้น ขโมยเงิน เขาอยากได้ของมาก ขโมยเงินพ่อไปซื้อของมา จับได้ ท่านก็เรียกเขาไปหา ถ้ายังกอดเขาไม่ได้ อธิษฐานก่อนก็ได้ บางทีมันกอดไม่ลงจริงๆ มันโมโหไง คนที่เคยเข้าไปอยู่ในช่วงเวลาอย่างนั้น จะรู้ดีว่าเวลาตอนนั้น มันไม่ง่ายอย่างนี้ เวลาบอกในโบสถ์ สอนอย่างนี้ มันง่ายนะ บอกให้ท่านอธิษฐานให้เขา อภัยให้คนที่ทำร้ายเรา อภัยให้คนที่รังแกเรา ละเมิดสิทธิ์เรา พูดนะง่าย  แต่พอมาทำจริงๆ ไม่อยากจะอธิษฐาน อธิษฐานยังไม่ออกเลย  อย่าว่าแต่ไปเจอหน้าแล้วเข้าไปกอดเขา มันไม่ไหว ก็เท่าที่ทำได้ แล้วรอไว้ก่อน

ในทำนองเดียวกัน ท่านอาจจะทำไม่ได้ ท่านได้แต่คิด มาอธิษฐานกัน ข้างในมันยังกับไฟแล้ว พอท่านอธิษฐาน มันก็จะสงบลง ท่านก็จะลงวินัยเขา ไม่ลงวินัยไม่ได้นะ จำไว้ ขาดไม่ได้ ตอนนี้เราเน้นถึงขนมปัง แต่ข้างในตรงกลาง ขาดไม่ได้ คือพริกเผ็ดๆ อะไรที่ขมๆ มีไว้เสมอ ไม่อย่างนั้นมันไม่เป็นแซนวิท ตรงกลาง คือการฝึกวินัย ฝึกให้ถูกลงโทษบ้าง ด้วยความรัก อันนี้มันแรงขึ้น  เที่ยวนี้ต้องตีแล้วนะ

ไม้เรียวจะทำให้เขาโต ทำให้เขาเป็นคนดี พ่อต้องตี แม่ต้องตี ด้วยความรัก

“เอาสักกี่ทีดี 3 ทีดีไหม?”

เปิดโอกาสให้ท่านได้คุย เสร็จปุ๊บ โอเค หันก้นมา

“เอ๊ะ ใส่กางเกง 2 ชั้นมาเนี้ย  ไหนดูสิกางเกง อ้าว! ใส่สองชั้นมา”

คราวนี้ ถอดกางเกงหมดเลย  หนักกว่าเก่า อย่างนี้เป็นต้น เพื่อจะฝึกเขา ในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าให้ลงวินัยด้วยไม้เรียว ไม้เรียวตีเจ็บแป๊บเดียว มันหายไปแล้ว บางคนบอกไม่ตีลูก เพราะว่าเรามีความรักเขา ไม่กล้าตี ไม่ใช่ เราไม่รัก ถ้าเรารัก เรากล้าทำ ถึงแม้เราจะเจ็บ เราก็ทำ เพราะเรารู้ว่าเราทำสิ่งดี

ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ตีเลย  ให้เขาเจ็บจริงๆ ให้มันขม ให้มันเผ็ด แล้วสุดท้ายก็ตามด้วยความรัก ก็คือขนมปังอีกชิ้นหนึ่งมาประกบท้าย อธิษฐานด้วยกัน กอดกัน ร้องไห้ด้วยกัน เขาก็ร้อง เราก็ร้อง เขาก็ซึ้ง เราก็ซึ้ง นี่แหละจะอยู่กับเขาไปตลอด ไม่ว่าเขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่ด้วย  ต่อให้ท่านไม่อยู่แล้ว ท่านตายไปแล้ว เขาจะไปไหน? ท่านก็อยู่กับเขาด้วย  เอเมน

พระเจ้าเราก็จะทำอย่างนี้แหละ นี่คือตัวอย่างเอามาใช้ในชีวิตของผู้เป็นพ่อแม่ ที่เป็นมนุษย์ พระเจ้าดูแลลูกของพระองค์ อย่างนี้เหมือนกัน เราทั้งหลายเป็นลูกของพระองค์ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักของพระเจ้ามีให้กับเรามากล้นเพียงใด ที่พระองค์ทรงให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

มากเหลือเกิน ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างดี แต่มันไม่เหมือนกันตรงไหน? ฟังให้ดีๆ นะ มันไม่เหมือนกันตรงที่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า เข้าใจไหม?  พระเจ้าทำแซนวิทกับเราง่าย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เราจะไปทำแซนวิทกับลูกเรา บางครั้งเราก็ผิด เราก็พลาด เพราะว่าเราไม่ใช่พระเจ้า เราเป็นมนุษย์ ที่มีเชื้อของความบาปอยู่ในร่างกายนี้ เรายังมีความคิดเดิมๆ อยู่ บางครั้ง ก็สู้มันไม่ได้ อดไม่ได้ หลุดออกมาบ้าง ก็แค่นั่นเอง แต่พระเจ้าไม่มีหลุดเลย พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าก็ดูแลลูกของพระองค์ เป็นความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ว่าในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจำเป็นต้องดิวกับมนุษย์ คือติดต่อกับมนุษย์ ในฐานะที่ไม่ใช่ลูกพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้านิดหน่อย พวกอิสราเอลที่พระเจ้าเลือกไว้ ยังไม่เป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ ก่อนพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น ทั้งหมด มนุษย์ทั้งปวงไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 บอกว่า … “เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนนี้ ท่านเป็นอย่างนั้น สมควรอยู่ในพระพิโรธของพระเจ้า สมควรถูกลงโทษ”

และพระเจ้าก็ดิวกับมนุษย์ คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะจะช่วยเขาไง เพียงแต่รอแผนการว่าทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เพื่อให้พระเยซูได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในครอบครัวของแมรี่ และตายที่ไม้กางเขนได้ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะพามนุษย์กลับคืนมาใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะได้ติดต่อเขา ดูแลเขา ด้วยพระคุณความรัก ไม่ใช่ตาต่อตา ฟันต่อฟันอีกต่อไป แต่เป็นความรัก พระองค์จะได้ทำแซนวิทให้เขาได้ เอเมน

1 ยอห์น 3:1 “ดูเถิด ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้น ใหญ่หลวงปานใด ในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์”

 

ดูเถิด ความรักของพระบิดาทรงมีต่อเรา ใหญ่หลวงขนาดไหน? ที่เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็จะดูแลเราอย่างนี้ ท่านไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะชีวิตท่านที่อยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้ ที่ผมยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ เรื่องแซนวิท พระเจ้าก็ใช้วิธีนี้กับท่านเหมือนกัน พระเจ้าพูดในหนังสือโรม บทที่ 8 บอกว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า หรือผู้ซึ่งมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปกับท่าน ทุกวันนี้ยังอธิษฐานให้กับท่าน อยู่ในสวรรค์นั้น จะเป็นผู้ลงโทษท่านเหรอ ตี เฆี่ยนท่านเหรอ

“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีความรัก หรือความเกลียดชัง ฤทธิ์เดชอำนาจใด? วิญญาณตัวไหน? เอาพวกเธอออกไปจากมือฉันได้อีกแล้ว ออกไปจากแซนวิทนี้อีกแล้ว เพราะฉันรักเธออย่างสุดหัวใจ”

ไม่มีใครที่อยู่ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าบอกว่าจะรักเขามากขึ้น  ไม่มีทาง เพราะว่ามันรักสุดไปแล้ว ที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วท่านมารับเชื่อในความรักไปเท่านั้นเอง มันรักสุดไปแล้ว ไม่สามารถที่จะรักท่านมากขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น ชีวิตท่านจงสบายใจ อบอุ่น หายเหนื่อยและเป็นสุขอยู่ในความรักนี้ บนก็ความรัก ล่างก็ความรัก แล้วตรงกลางล่ะ ตรงกลาง คือการฝึกวินัยแบบพระเจ้า ฝึกวินัยอย่างพระเจ้า อย่างที่บอกพระองค์ก็จะทรงนำเราไป ปล่อยเรา ไม่ได้ตีเราหรอก ถ้าเราทำผิดจากที่พระเจ้าสอนไว้ มันก็โดนลงโทษเอง ไม่ต้องทำอะไร พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาไม่ใช่เพื่อลงโทษมนุษย์ แต่พระองค์มาบังเกิด เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้รอด ถ้าใครไม่เชื่อ ก็โดนลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่พระองค์ไปลงโทษเขา ถ้าท่านทำไม่ดี ทำไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ ท่านก็จะเก็บเกี่ยวผลของความไม่ดีไปเอง พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรท่านเลย  พระเจ้าทำตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ไปปลอบโยนท่าน

“ลูกอดทนหน่อยนะ ลูกก็ต้องฝึกทำให้มันดีหน่อยสิ อดทนกว่านี้ได้ไหม? ฝึกฝนมากขึ้น  พ่อบอกอย่าทำ ลูกก็อย่าทำนะ  อย่าก้าวเข้าไปในการทดลอง พยายามนะ”

ลูบหัวเรา ในปัจจุบัน มันจะเป็นอย่างนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน วันนี้ผมเอาความรักของพระเจ้า  มาเทียบกับความรักของมนุษย์ และมาเทียบกับการสั่งสอน ฝึกวินัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ และฝึกวินัยแบบมนุษย์ ที่อยู่ในความบาป แม้จะได้รับความรอด โดยวิญญาณแล้วก็ตาม แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เนื้อหนังนี้ ยังมีเชื้อของความบาปอยู่ ผมเอามาให้ท่านเปรียบเทียบกันว่าเราควรทำอย่างไร? ถ้าเราเป็นพ่อ เป็นแม่ เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อคนที่เรารัก  คือลูกของเรา  และเราควรทำอย่างไรในฐานะที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เกิดใหม่ในพระเยซู เราสมควรทำอย่างไร? ให้พระองค์ยินดี  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************