คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอน 3 “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดีตามน้ำพระทัย”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เราก็มาสู่ตอนจบ ในการบรรยายเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อก็คือ “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ผ่านไปแล้ว 2 ตอน

ตอนที่ 1 คือ “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา”

ตอนที่ 2 คือ “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

วันนี้จะเป็นตอนที่ 3 มีชื่อตอนว่า “ความรักของพระเจ้า เป็นแรงบันดาลใจ ให้เรากระทำดี  ตามน้ำพระทัย”

การได้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้า  ที่มีต่อเราทั้งหลายนั้น จะเป็นแรงผลักดัน สร้างกำลังใจ สร้างแรงจูงใจ ให้กับเรา ขับเคลื่อนเรา ควบคุมเราในการกระทำดี ชนิดที่ดีจริงๆ ในแบบพระเจ้า  ก็คือดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงที่ 2 โครินธ์ 5:14-15 ….

2 โครินธ์ 5:14-15  “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่  จะมิได้เป็นอยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

ข้อความที่สำคัญที่สุดของข้อนี้ ก็คือ “ก็เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่” ความหมาย ก็คือได้ครอบครอง ควบคุม ขับเคลื่อนชีวิตของเราอยู่  เพราะว่าพระเยซูตาย เพื่อเรา ตัวเก่าเราตายไปแล้ว  นี่เราเกิดใหม่แล้ว  เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า พระคริสต์ให้วิญญาณกับเรา เกิดใหม่ เกิดเป็นวิญญาณของความรัก

ความรักของพระเจ้าเป็นแรงผลักดันในใจ ให้เราประพฤติดีตามน้ำพระทัยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะทำตามน้ำพระทัย ก็คือทำตามพลังอำนาจของความรักแบบของพระองค์ ที่อยู่ในใจของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องเปิดใจ และปล่อยให้พลังความรักของพระเจ้าเข้ามา ทำตามที่ 2 โครินธ์บอกไว้ มาควบคุมครอบครอง เข้ามาครอบงำ เป็นแรงบรรดาใจ เพื่อจะผลักดัน ชักชวน หว่านล้อม ชักจูง ดลใจ และแนะนำ มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ความคิดต่อทางเลือกในการตัดสินใจ และมีอิทธิพลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เราเป็น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ กำลังดำเนินตลอดเวลา และตลอดไป มันหมายถึงอย่างนั้น เปิดใจ รับเอา พลังอำนาจเข้ามา และถ้าเราไม่รู้จัก ไม่ถ่อมใจลง ไม่ยอมรับความรักชนิดนี้ ก็คือไม่เห็นถึงพลังอำนาจ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่มีต่อเราแต่ละคน มนุษย์บนโลกใบนี้ว่ามันมากมาย ใหญ่โตขนาดไหน? ถ้าเราไม่เห็นพลังความรัก เราก็ไม่สามารถที่จะให้ความรัก พลังอำนาจนี้ ผลักดัน ควบคุม มีอิทธิพลต่อทัศนคติ ต่อการดำเนินชีวิตของเราได้เลย บนโลกใบนี้ เห็นไหมครับว่าสำคัญมาก

เพราะฉะนั้น มี “ต้อง” อันเดียว ก็คือต้องเรียนรู้ความรัก เพื่อให้ตาวิญญาณได้เห็น ตาเนื้อมองไม่เห็นหรอก ความรักเป็นอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่าความรักสำแดงออก ที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน มองไป ก็ไม่เห็นหรอก แต่ต้องใช้ตาฝ่ายวิญญาณ  ที่ถูกมองทะลุ เราจึงต้องเรียนรู้ ให้ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก ให้เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจในความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึมซับ รับเอา ยิ่งรับมากเท่าไร? ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์จพลังงานความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ด้วยพลังขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจ ด้วยพลังความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้านี้ได้ ในชีวิตของเรานั่นเอง

ไม่ใช่จากพลังความรักของตัวเอง ที่คิดเอง สร้างขึ้นเอง ตามใจตัวเอง คิดว่าถูก คิดว่าอย่างนี้รัก ซึ่งมันมีเงื่อนไข ถ้าเราพึ่งตนเองมีขีดจำกัด ความรักของเรามีไม่พอหรอก เราต้องพึ่งพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าเท่านั้น เหมือนถีบจักรยาน ผมมีจักรยานอยู่ 2 คันที่บ้าน  คันหนึ่งเป็นแบบโบราณหน่อย คือเวลาถีบจักรยานตอนกลางคืน ต้องเปิดไฟ ไม่ได้เปิดสวิตช์ ผลักดันเกียร์ปุ๊บ มันเปิดไฟ ซึ่งเราถีบไป มันจะปั่นไฟให้เรา พอเราปั่นเร็วเท่าไร? ไฟก็จะสว่างขึ้นเท่านั้น ไฟจักรยานโบราณ มันปั่นไฟจากการถีบของเรา

แต่มีอีกคันหนึ่งสมัยใหม่หน่อย พอขึ้นไปนั่ง เราก็เปิดสวิตช์ไฟ  พลังงานดวงไฟมันสว่างจ้าเลย ถ้าเราใช้กำลังของเราเอง ถีบจักรยานรุ่นเก่า ถีบๆ ไป ในที่สุดมันหมดแรง พอหมดแรงมันค่อยๆ อ่อนลงๆ ในที่สุดถีบไม่ไหว มันก็ดับ แต่จักรยานสมัยใหม่ มันมีแบตเตอร์รี่เสร็จเรียบร้อยในนั้น เปิดสวิตช์เท่านั้นเอง เปิดแล้วซึมซับ และรับเอาพลังงานในนั้น เปิดปุ๊บ ยังไม่ได้ถีบเลย ขี่ไปไหนก็ได้ มันสว่างแล้ว ฉันใด ก็ฉันนั้น นี่คือการยกตัวอย่าง ที่เห็นชัดเจน

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือพระเยซูบอกเราเป็นแสงสว่างใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องพยายามไปปั่นไฟเอง เพราะพระองค์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง มันก็จะเหมือนถีบจักรยานเมื่อสักครู่นี้

สมมติว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้า แล้วเราปั่นไฟด้วยตัวเอง ใช้น้ำมัน ไปซื้อน้ำมันมาใส่ พอน้ำมันหมด ก็ไฟดับ เพราะมันไม่ปั่นไฟแล้ว มันปั่นได้ เพราะเราวิ่งออกไปซื้อน้ำมัน

แต่ในสมัยปัจจุบัน  มันไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้ว มันมีไฟฟ้าหลวง จากองค์การไฟฟ้าส่งเข้ามา ถ้าเราอยากให้มันสว่าง เราเพียงแค่ไปเปิดสวิตช์  รับเอาพลังงานจากองค์การไฟฟ้าวิ่งมา บ้านสว่างทันที ไม่ต้องวิ่งออกไปให้เหนื่อย ไปซื้อน้ำมันมาใส่ มันสว่างตลอด นี่แหละชัดเจนดีไหม?

เพราะฉะนั้น เราแก้ไขอย่างไร? เปิดสวิตช์และปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้า จากองค์การไฟฟ้า รับพลังงานใหญ่เข้ามา ในบ้านของเราให้มันสว่าง ใช้ให้เป็นประโยชน์ในพลังงานนั้น อย่างนี้เป็นต้น

ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจนดี เหมือนเราเอาสำลี … สำลีเปรียบเหมือนความคิดจิตใจของเรา  … เหมือนเราเอาสำลีจุ่มลงไป ซึมซับน้ำหอมในขวด พอเอาสำลีออกมา ไม่ต้องทำอะไรเลย กลิ่นมันหอม ไปที่ไหน? มันก็หอมที่นั่น

สำลี ก็คือความคิดจิตใจเรา จุ่มลงไป ก็คือเอาความคิดจิตใจของเรา จดจ่อลงไปที่ขวดน้ำหอม คือพลังอำนาจของความรักของการบังเกิดใหม่ของเรา ในพระเยซูคริสต์  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ที่ให้เราบังเกิดใหม่นั้น จุ่มลงไป มันก็ชุ่มด้วยความหอมของพระคริสต์  เคยได้ยินไหม? กลิ่นหอมของข่าวประเสริฐ กลิ่นหอมของพระคริสต์ มันก็อบอวลความรักของพระคริสต์ แบบไม่มีเงื่อนไข ในชีวิตเรา ไปที่ไหนมันก็มีกลิ่นออกไป ไม่ต้องไปพยายามสร้างกลิ่น กลิ่นมันออกมาเอง เพราะว่าเราจดจ่อความคิดของเรา ซึมซับ รับเอากลิ่นหอมของข่าวประเสริฐของความรักของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของเรา มันก็จะถูกปลดปล่อยออกไป โดยธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต บางคนชอบคิดว่าเรากำลังถวายชีวิตของตัวเองให้กับพระเจ้า มอบถวาย บางทีร้องกันไปตลอดชีวิตเลยว่ามอบถวายชีวิตของเราแด่พระเจ้า แต่ตามพระคัมภีร์แล้ว เราไม่ได้ถวายชีวิต แด่พระองค์ แต่พระองค์ต่างหากที่ให้ชีวิตกับเรา เรามอบชีวิตให้กับพระองค์ครั้งเดียว คือแบกกางเขนของเรา ตามพระองค์ไป ตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์มอบชีวิตให้เรา พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา เราไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อพระองค์นะ เราตายที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้รับชีวิตของพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ถวายอะไรให้พระองค์เลย แต่พระองค์ต่างหากที่มอบชีวิตพระองค์ให้เรา แบ่งปันชีวิตของพระองค์ให้กับเรา เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ทัศนคติหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างเป็นพระคุณเท่านั้นเอง

ชีวิตเราหลังจากเชื่อข่าวดี เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คือเรารับเอาชีวิตของพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ก็คือเข้ามาเริ่มต้นชีวิตของเรา พูดง่ายๆ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราจึงคิดเหมือนพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์ รักเหมือนพระองค์เลย ดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อพระองค์ โดยพระองค์ เป็นของพระองค์เท่านั้น เป็นธรรมชาติ บังเกิดใหม่เป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์

การได้รับรู้ ได้เห็น ซึมซับและรับเอาความจริงเหล่านี้เข้ามาในความคิดจิตใจของเรา คือการชาร์จแบตเตอร์รี่ คือการชาร์จพลังงานอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้ เข้ามาในความคิดจิตใจ แล้วเราก็ปลดปล่อยพลังอำนาจนี้ ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา ในพระเยซูคริสต์นี้ ให้ควบคุมพฤติกรรม ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ให้ดำเนินชีวิต ตามทางของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และตลอดไปเลย

คราวนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากำลังทำ ที่เราคิดว่าเราทำดีแล้ว ที่สายตามนุษย์มองดูข้างนอก อาจจะมองดูว่าดี  เพราะหลายอย่าง ไม่ดี ก็เห็นอยู่แล้วว่าไม่ดี แต่บางอย่างมันดูเหมือนดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทำดีจากพลัง การกระทำของตนเอง ที่สร้างขึ้น เหมือนปั่นจักรยานด้วยตนเอง หรือเรากำลังทำจากความรักของพระเจ้า พลังอำนาจของพระเจ้า

เราจะรู้ได้อย่างไร? โดยการสังเกตว่าที่เรากำลังทำดีอยู่นั้น ที่เราคิดว่าดีอยู่นั้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองหรือเปล่า? หรือเพื่อพระคริสต์ เพื่อพระเจ้ากันแน่ ค่อยๆ คิดตามนะ ช้าๆ เราลองคิดดู เอ๊ะ! เราทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองไหม? ถ้าไม่ชัด เดี๋ยวตามต่อมา

แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อในพระเจ้า ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ เราทำดี เหมือนทำบุญ ทำทาน หวังจะได้ผลบุญ จากการกระทำดีนั้น ใช่หรือไม่?  แล้วเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว มาเกิดใหม่แล้ว เรายังหวังผลจากการกระทำที่เราคิดว่าดีอีกหรือเปล่า? คิดให้ดีๆ

หรือเราทำดีจากแรงบันดาลใจของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เหมือนพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เป็นความรักเหมือนพระเยซู เป็นความต้องการของพระองค์ที่ผลักดันให้เรากระทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์ มิใช่อยู่เพื่อตนเอง” ภาษาอังกฤษตรงนี้ชัดมาก เปาโลบันทึกเอาไว้หลายตอนบอกว่า “To live is Christ” แปลเป็นภาษาไทยยาก การมีชีวิตอยู่ is Christ จะบอกว่าอยู่เพื่อพระคริสต์มันก็ไม่เชิงนะ ต้องบอกว่า To live is Christ อยู่ก็อยู่เป็นแบบพระคริสต์เถอะ

บางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว กระทำดี ก็ยังหวังว่าจะตั้งใจทำให้ดี เพื่อจะได้รางวัลในสวรรค์ดีกว่าคนอื่นๆ โอ้โห! อันนี้ชัดมากเลย บางทีเราไม่ได้นึกว่าจะมากกว่าคนอื่นๆ แต่พอมาดูอีกที มันใช่ ครั้งหนึ่งเมื่อเริ่มเชื่อ ยังไม่โตในโลกวิญญาณ ผมก็คิดอย่างนั้นว่ากระทำดีเหล่านี้ เพื่อเราจะได้สะสม ไปรับรางวัลในสวรรค์มากๆ อาจจะมีคอนโดใหญ่กว่าเขาบ้าง? บ้านใหญ่กว่าเขาบ้าง? รับใช้มากๆ จะได้ มีอะไรดีๆ บนสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดา เราจะคิดอย่างนั้นได้ แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีหรอก ขึ้นไปบนนั้น บนสวรรค์เท่ากันหมดแหละ ไม่มีคนต้นคนปลายหรอก ทุกคน พระเจ้าจ่ายให้เท่ากัน รางวัล ก็คือไปสวรรค์ ยังไม่พออีกหรือ? แค่ไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ อยู่ตลอดไปเลย ในบ้านของพระองค์ ในสวรรค์สถานที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ แค่นั้นก็เหลือเฟือแล้ว ยังจะเอา คิดอยากมีมากกว่าคนอื่นอีกหรือ? คิดดูสิ ผมลองคิด แล้วอายตัวเอง คิดไปถึงอดีต ตอนที่เรายังไม่รู้เรื่อง

บางคนบอกว่าประกาศข่าวดี ไปให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ เพื่อหวังว่าจะได้รับรางวัล ได้รับคำชมจากพระเจ้า ขึ้นสวรรค์แล้ว พระเจ้าจะได้ชมว่า …

“เยี่ยมมากเลยๆ”

แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่การกระทำที่จะมาอวดอ้างได้ว่า …

“ฉันทำดีอย่างนั้น ฉันทำดีอย่างนี้”

แล้วแต่จะคิดนะ ท่านไปคิดเรื่อยๆ แล้วกันว่าจะเห็นด้วยกันกับผมหรือไม่?

พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างนี้ สรุปว่าความรัก คือการให้ ถูกไหม? การให้ ให้จริงๆ นะ

การให้ คือการไม่หวังสิ่งตอบแทน ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็ไม่เรียกว่าการให้ ถ้าเราหวังสิ่งตอบแทน ก็คือการลงทุน ไม่ใช่การให้

เพราะฉะนั้น การให้จริงๆ ออกจากความรัก ก็คือการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ รักแบบพระเจ้า โดยหวังสิ่งตอบแทน ได้เลย ไม่มีทางเลย

อีกครั้งหนึ่ง … เราไม่สามารถแสดงความรัก หรือมีกิริยาที่เรียกว่าความรัก แบบพระเจ้า หรืออากาเป้ได้ โดยหวังสิ่งตอบแทน  เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ได้ อย่างที่บอก ให้เพราะสงสารก็ได้ …

เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก แบบอากาเป้ แต่เราไม่สามารถรักแบบอากาเป้ คืออย่างไม่มีเงื่อนไขได้ โดยปราศจากการให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

กลับไปใคร่ครวญคิดดูให้ดีๆ ตรงนี้ เราจะไม่สามารถรักแบบอากาเป้ได้ ตราบใดที่เรายังไม่เห็น ซึมซับ และรับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่ พลังงานอันยิ่งใหญ่แห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่มีทางจะปล่อยความรักนี้ออกไปได้เลย เพราะเราไม่มีอยู่ข้างใน จะให้ได้อย่างไร? มีจึงจะให้ได้ มันไม่มี จะให้ได้อย่างไร?

ความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าอากาเป้นี้ เราได้มาแล้ว เรายังต้องมองให้เห็นถึงความจริงนี้ และซึมซับ และรับเอา ซึ่งเรียกว่าชาร์จพลังแบตเตอร์รี่ ต้องเรียนรู้ ซึมซับ และรับเอา ต้องเรียนรู้ให้ตาเปิดออก ให้เห็นให้ได้ ซึ่งเปาโลก็เพียรอธิษฐาน วิงวอน ขอต่อพระเจ้า ขอเปิดตาวิญญาณเขาๆ ให้เขาเห็นถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำให้พระเยซู ที่ไม้กางเขนนั้น คือความรักที่พระองค์ทรงสำแดง ทุกวันนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ยังทำงานอยู่ในตัวเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เขาได้เห็น เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ และหมั่นพูดอยู่เสมอ ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรา เห็นมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ก็มีพลังมากเท่านั้น เอามาใช้ได้มากเท่านั้น

พูดอย่างนี้ บางคนเขาก็กลัวว่าถ้าเราสอนความจริงของพระเจ้าอย่างนี้ ว่าความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นอากาเป้ คืออภัยความบาปให้กับเราหมดแล้ว ทั้งในอดีต บาปในปัจจุบันด้วย และบาปที่จะทำให้อนาคตอีกต่างหาก พระเยซูเอาออกไปหมดแล้ว เป็นความรักแบบอากาเป้

ถ้าเกิดเรารับรู้ความจริงอย่างนี้ จะทำให้เสียนิสัย ทำบาปมากขึ้น ท่านคิดว่ามันจริงไหม? มันเป็นไปได้ไหม? ที่ผมเคยยกตัวอย่างในตอนแรก เรื่องเกี่ยวกับแม่ที่รักลูกมาก ที่ลูกดื้อ ทำตัวเหลวไหล เกเร และลูกได้เห็นความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข คุกเข่าขอชีวิตกับนายทุน เจ้าหนี้ ให้กับลูกของตนเอง พอลูกเห็นความรักของแม่อันยิ่งใหญ่นั้น แล้วทำบาปมากขึ้นหรือ? ลองคิดดูแค่นี้

ถ้าเรามาเรียนรู้จักความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในอาดัม ถูกครอบงำด้วยความบาป เกลียดชังพระเจ้า คือเกลียดชังความดี ต้องฝืนมากเลย ที่จะทำความดี หรือทำความชอบธรรม ฝืนมากเลย ถ้าจะมีความรักแบบแท้ๆ แบบอากาเป้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราเป็นทาสของมาร โดยกำเนิด ถูกหรือไม่ถูก? คิดไปด้วยกันช้าๆ แต่เดี๋ยวนี้เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์เมื่อตะกี้ที่เราอ่าน บอกว่าเราถูกครอบงำ เป็นทาสของพระคริสต์ เหมือนสมัยก่อนอาดัม แต่มันตรงกันข้ามกันเท่านั้นเอง เป็นทาสเหมือนกันเลย ถูกครอบงำ เพราะฉะนั้น เราเป็นทาสของความรัก แบบอากาเป้ของพระเจ้า ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เราต้องฝืนมากเลย ที่จะทำบาป และฝืนมากที่จะทำความเกลียดชัง มันฝืนกันมากเลย จากความเป็นจริงในวิญญาณของเรา

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้เราทำบาปน้อยลง ลบความบาปออกไป จำนวนมากมาย เหตุจากความรักและพระคุณของพระเจ้า

คราวนี้เรามาดูว่าความรัก แบบอากาเป้ตรงนี้ ที่บอกว่าเป็นพลังอำนาจมหาศาล ที่กำลังทำงานอยู่ในผู้เชื่อ ที่เกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของเรา จากการกำเนิด เกิดมาเป็น หน้าตาของความรัก พลังอำนาจของความรักเป็นอย่างไร? คร่าวๆ ดูสิว่าพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? อย่าลืมว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็นเลยนะ “เป็น” ตรงนี้แหละว่าความรักที่ทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรานี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร? อยู่ในหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ก่อนที่จะอ่านบทที่ 13 ไปอ่านบทที่ 12 ข้อ 31 ก่อน 1 โครินธ์ 12:31 …

1 โครินธ์ 12:31  “แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า  และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”

 

ก่อนหน้านี้เปาโลกำลังอธิบายถึงเรื่องเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือของประทาน ที่พระวิญญาณให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ในความถนัด พูดง่ายๆ “ถนัด” จะเห็นชัด มีพรสวรรค์ พระองค์ทรงประทานให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเป็นครูสอน บางคนเป็นศิษยาภิบาล บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ  บางคนอธิษฐานวางมือรักษาโรค บางคนมีของประทานแห่งความเชื่อ ทำการอัศจรรย์ ทั้งหมดนี้ พระวิญญาณเป็นผู้ประทานให้เยอะแยะ

แล้วก็มาพูดสรุปสุดท้ายว่า … “แต่ท่านทั้งหลาย จงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า” ก็คือให้เป็นไปตามที่พระเจ้าเตรียมท่านไว้ว่าของประทานของท่านเป็นอะไร?

“และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” ก็คือและตอนนี้ ต่อไป จะบอกว่า ที่ให้ขวนขวายหาของประทาน เพื่อรับใช้กันและกันนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความรักตรงนี้แหละ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

1 โครินธ์ 13:4-8  “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรัก คือความเมตตา  ไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  5 ไม่หยาบคาย  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่จดจำความผิด  6  ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ  ไว้วางใจเสมอ  มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น  แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา  การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย  ความรู้จะล่วงพ้นไป”

 

แต่ความรักอยู่ไปตลอด จนนิรันดร์ เพราะเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง คริสเตียนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับถ้อยคำตรงนี้อย่างดี หลายคนเอาไปท่องจำขึ้นใจเลยนะ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง จริงๆ แล้วสาระสำคัญของถ้อยคำตรงนี้ บรรยายถึงคุณสมบัติของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้า แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า หน้าตามันเป็นอย่างนี้ กำลังอธิบายถึงลักษณะ คุณสมบัติ แต่สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิด คือไปหยิบยกเอาข้อความนี้มา แล้วก็บอกว่า …

“นี่คือสิ่งที่คริสเตียน ต้องทำให้ได้”

เอาล่ะสิ เพราะคริสเตียนต้องมีความรัก  คริสเตียนต้องรักผู้อื่น   เพราะฉะนั้น คริสเตียนต้องมีเมตตา  ต้องไม่อิจฉา  ต้องไม่อวดตัว  ต้องไม่หยาบคาย  ต้องอดทนให้ได้  สารพัด “ต้อง” ต้องๆๆๆๆ รวมความ ก็คือต้องกระทำด้วยตัวเอง ให้เป็นไปตามนี้ ถูกหรือไม่? มีคริสเตียนส่วนใหญ่ ก็คิดอย่างนี้

แล้วถ้าเรามาศึกษาความหมายของถ้อยคำตรงนี้จริงๆ จะเห็นว่าคำว่า “ความรัก” ที่ตะกี้นี้อ่านกัน มันเป็นคำนาม ซึ่งหมายถึงเป็นคุณสมบัติ เป็นคุณลักษณะ ไม่ใช่เป็นคำกิริยาว่าการกระทำ ต้องทำ ในบริบทนี้ ในข้อพระคัมภีร์นี้ จากตรงนี้เลย เป็นคำนาม ก็คือ “มี” ความรักแบบนี้ ไม่ได้บอกให้ทำแบบนี้ ซึ่งในทางกลับกัน ต่อให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความอดทนนาน มีเมตตา ไม่อิจฉา ไม่หยาบคาย ต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ก็ตาม ซึ่งดูแล้วมันดีใช่ไหม? ใครๆ ก็บอกว่าดี ทำอย่างนี้ อดทนก็ดี  ไม่อิจฉา ก็ดี ไม่หยาบคาย ก็ดี ซึ่งต่อให้ทำได้มากขนาดไหน? ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรัก แบบอากาเป้ ก็ไม่สามารถเป็นพลัง หรือเป็นแรงขับเคลื่อน ที่เป็นของแท้ๆ ที่มาจากพระเจ้าได้เลย คิดให้ดีๆ

อาจารย์เปาโลก็รู้ ก่อนหน้าในหนังสือ 1 โครินธ์ 13:4-8 จึงได้เขียนไว้ในข้อที่ 1-3  บอกว่าต่อให้ทำดีถึงขนาดขายของทั้งหมดเลย ยอมยากจนเลย แล้วเอาไปให้กับคนจน  หรือเอาตัวไปเผาไฟ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้ถูกผลักดันด้วย ข้อ 4-8 ก็คือไม่ได้ถูกผลักดันด้วยความรักแบบนี้ ก็แสดงว่าตามสายตาของมนุษย์ ข้างนอกที่เรามองเห็น มันวัดกันไม่ได้นะว่าทำอย่างนี้มันดีหรือไม่ดี ดูเหมือนดี เหมือนๆ กัน ขายของทั้งหมดเลย แล้วเอาไปให้คนจน ดูดีหมดทุกคน แต่เป็นไปได้ว่าขายของให้คนจนทั้งหมด เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอะไรบางอย่าง ไม่รู้ คนนั้นรู้เอง

เห็นไหม? น่าตกใจขนาดไหน? คุยกันไม่จบเลยนะเรื่องนี้ ที่บอกว่าทำอย่างนี้คือดี ทำอย่างนี้คือความรัก เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ดูที่ข้างใน เราอาจจะเป็นหลุมศพฉาบปูนขาวก็ได้ ข้างในเหม็นหึ่งเลย ข้างนอกดูเหมือนมีกลิ่นหอม แต่เป็นน้ำหอมเทียม เดี๋ยวมันก็หมดไป อะไรอย่างนี้

เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเรา ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ทำการอัศจรรย์ ผ่าตัดวิญญาณเรา เรียกว่าบัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นความรักแบบนี้ ตาม 1 โครินธ์ 13:4-8 ต้องให้เห็น ซึมซับ และรับเอาให้ได้ เห็นมากเท่าไร? ก็ใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา ให้ตัวเราเป็นความรัก  แบบนี้ คือให้มีคุณสมบัติในวิญญาณที่บังเกิดใหม่แบบนี้ ไม่ใช่ต้องทำให้เป็นแบบนี้ ด้วยตัวเราเอง แต่จะเป็นแบบนี้ จากการบังเกิดใหม่ กำเนิด เกิดมาเป็นความรักแบบนี้เลย เอเมน

บางคนบอกว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ เป็นถึงศิษยาภิบาลต้องมีความอดทน โกรธไม่ได้ ด่าใครก็ไม่ได้ ผู้รับใช้ทั้งหลายเลยต้องพยายามนับ 1 – 100 กัดฟันทน  ทนดีไหม? ดี … ดีในสายตาใคร? สายตาคนรอบข้างดูดีหมด แต่ถามว่าความอดทนนั้น มาจากความรักแบบอากาเป้ข้างใน มาจากแรงผลักดัน จากพระเยซูที่อยู่ข้างในหรือไม่? อันนี้ก็ไม่รู้นะ บางคนเครียดเลย เพราะถูกสอนมาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ตามนี้ทั้งหมด ก็เลยพยายามไปหาซื้อหนังสือที่เขาสอนว่า “วิธีฝึกให้มีความอดทน” “วิธีฝึกให้รู้จักบังคับตัวเอง” มีหนังสือคริสเตียนเต็มไปหมดเลย ที่สอนวิธีการฝึก ฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ สังเกตคำว่าฝึกและผลนะ สอนวิธีฝึกให้เป็นไปตามผลของพระวิญญาณ

เมื่อตะกี้เราบอกแล้วนะว่าเราบังเกิดใหม่ โดยการกำเนิด เกิดมาเป็น

บางแห่งก็มีสอนว่าเราต้องสร้างผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่างขึ้นมา ความรัก  สันติสุข  ความปลาบปลื้มใจ  ความอดทน  ความปราณี  ความดี  ความสัตย์ซื่อ  ความสุภาพอ่อนน้อม  และการรู้จักบังคับตน  นี่คือคุณสมบัติของผลของพระวิญญาณ ใครที่ยังทำไม่ได้ทั้งหมดนี้ ก็พยายามค่อยๆ ฝึกไปทีละอย่าง เจอหน้ากัน …

“วันนี้ฝึกตัวไหนอยู่”

“วันนี้ฝึกความอดทนอยู่”

“วันนี้ฝึกเสร็จแล้วความอดทน เดือนหน้ากะว่าจะฝึกตัวใหม่ ก็คือฝึกตัวสัตย์ซื่อ”

ฟังดูก็เหมือนดี แต่จริงๆ แล้ว โดยชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เราเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้ให้เราสร้างผลขึ้นมา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วยกับใคร? ก็จะทำให้ผู้นั้นมีคุณสมบัติเหล่านี้ เรียกว่าผล หรือคุณสมบัติของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผลจากการกระทำของตัวเราเอง จริงๆ แล้วชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นผลของพระวิญญาณ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทำให้เกิดผลในตัวเราเอง

เกิดใหม่จริงหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่านแล้วหรือไม่? ตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่เกิดจากการกระทำภายนอก แต่เกิดจากการกระทำข้างใน เกิดจากบังเกิดขึ้นข้างใน ไม่ใช่ให้เราสร้างขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้เกิดผลข้างในเราเอง ไม่ใช่ให้เราสร้างสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง พระองค์จะเป็นแรงขับเคลื่อนจากข้างในออกมา จากภายในของเราออกมา ไม่ใช่ ให้เราฝึกฝนจากภายนอก ไม่ใช่

ถ้าเราทำจากภายนอก ก็เป็นผลจากภายนอก เป็นผลจากการกระทำของเราเอง เราฝึกฝน พยายามจะอดทน นับ 1, 2, 3 เขาบอกก่อนจะอดทน ให้นึกถึงอันโน้นอันนี้ นับลูกแกะ นับอะไรก็ว่าไป ให้พยายามนึกถึงว่าถ้าเราไม่อดทน มันจะเกิดความเสียหาย อันนี้ไม่ใช่ นั่นคือการกระทำฝึกฝนของตัวเราเอง แต่นี่ออกมาจากพลัง จากข้างใน คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ความหมายของความรักแบบอากาเป้ที่อธิบายใน 1 โครินธ์ ตรงนี้ เป็นคุณลักษณะ หรือคุณสมบัติของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระคริสต์ และเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ ที่บอกว่าเราได้เป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็เป็นความรักแบบเดียวกันกับพระองค์ คือเป็นความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นอยู่ จากการบังเกิดใหม่แล้ว ตัวตนแท้ๆ เราเป็นความรักแบบพระคริสต์อย่างนี้เลย ต้องเรียนรู้ พระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณเราทั้งหลายให้เห็น ซึมซับ และรับเอาความจริงตรงนี้เข้ามาด้วยเถิด ซึ่งเป็นการชาร์จพลังงานความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อจะผลักดัน ควบคุม และเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเราออกไปให้เหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุดนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านกลับไปอ่านถ้อยคำตรงที่เราได้วิเคราะห์ตรงนี้กันใหม่ ใน 1 โครินธ์ 13:4-8 โดยอยากให้ท่านอ่าน เมื่อถึงคำว่า “ความรัก” ให้ท่านเปลี่ยนเป็น “พระคริสต์” หรือพระเยซูก็ได้ ลองอ่าน

“พระเยซูคือความเมตตา  พระเยซูไม่อิจฉา  พระเยซูไม่อวดตัว  พระเยซูไม่หยิ่งผยอง  พระเยซูไม่หยาบคาย  พระเยซูไม่เห็นแก่ตัว  พระเยซูไม่ฉุนเฉียว  พระเยซูไม่จดจำความผิด  พระเยซูไม่ปีติยินดีในความชั่ว  แต่ชื่นชมยินดีในความจริง พระเยซูปกป้องคุ้มครองเสมอ  พระเยซูไว้วางใจเสมอ  พระเยซูมีความหวังอยู่เสมอและพระเยซูอดทนบากบั่นอยู่เสมอ พระเยซูไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป”

แต่พระเยซูทรงอยู่ตั้งแต่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และเราทั้งหลาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่าตัดวิญญาณเรา ตอนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เหมือนพระเยซู ฉะนั้น ที่พระเยซูอดทนนาน ก็เป็น …

“ฉันย่อมอดทนนาน ฉันมีเมตตา ฉันเป็นนะ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว” เห็นภาพหรือยัง?

เราเรียนกันมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราเป็นเหมือนพระเจ้า เราร้องเพลงกันได้ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ

“พระเจ้าเป็นความรักๆ”

แล้วเราก็ลืมว่าเราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  เราจึงเป็นความรักชนิดเดียวกันกับพระเจ้า คือเป็นอากาเป้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้เรากระทำความรักให้เหมือนพระเจ้า ไม่ใช่ให้เราปฏิบัติตัวให้เหมือนพระเจ้า แต่เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ให้เรากระทำ ให้เราสร้างผลของพระวิญญาณ คือความรักตรงนี้ขึ้นมา แต่ให้เราปลดปล่อยให้วิญญาณกระทำการงานในตัวเรา ปลดปล่อยให้พลังความรักนี้ออกมา กระทำการงาน เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าปลดปล่อยให้พลังงานเปิดสวิตช์เท่านั้นเอง แล้วพลังนี้จะออกมาเฉยๆ ไม่ใช่ต้องไปปั่นจักรยานรุ่นเก่าให้พลังไฟฟ้าออกมา อยากให้สว่างๆ เดี๋ยวนี้เขามีใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้วจักรยาน อยากมีพลังแสงสว่าง เปิดสวิตช์ ปลดปล่อยพลังงานแห่งแสงสว่างออกมา ต้องรู้ตรงนี้ ถ้ายังไม่รู้ เราก็ยังคงใช้จักรยานรุ่นเก่าอยู่ดี

และนี่ก็คือความหมายที่บอกว่าให้เดินกับพระวิญญาณ ก็แปลว่าอย่างนี้ ให้พระวิญญาณสร้างผลในตัวเรา ให้ผลของพระวิญญาณเกิดขึ้นมา โดยพระวิญญาณเอง ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่พอเราได้ทราบความจริงตรงนี้แล้ว ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าอย่างนั้น ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า จะเป็นอันตรายไหม? จะทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือไม่? ซึ่งตะกี้บอกไปแล้ว อ่านอีกทีหนึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้ 1 เปโตร 4:8 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ ชัดเจนแจ่มใสเลยว่ากลัวไหม? กลัวว่าถ้ารู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ทำบาปกันสบายใจเลยสิ ลองอ่านดูสิ …

1 เปโตร 4:8  “เหนือสิ่งอื่นใด  จงรักกันอย่างลึกซึ้ง  เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้  โดยการให้อภัย”

 

ตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจความหมาย อาจกลายเป็นว่าอย่าให้มีความรักเยอะ เพราะว่าความรักเยอะ มันจะล่อลวงให้ไปทำบาป มันไม่ใช่อย่างนั้น ในนี้บอกว่าความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ตะกี้นี้ก็อ่านพร้อมกัน ความรักยิ่งเยอะ ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่อิจฉาริษยา ไม่ฉุนเฉียว แล้วมันลดไหม? ลดความบาปหรือเพิ่ม ง่ายนิดเดียว พอรู้ความจริงเหล่านี้ ท่านจะเห็นชัดเจน ไม่ซี้ซั้วพูดตามความคิดของตนเอง  เอเฟซัส 3:19 ได้บันทึกอย่างนี้ …

เอเฟซัส 3:19 “ให้ซาบซึ้งในความรักนี้  ซึ่งเหนือกว่าความรู้  เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

 

“ให้ซาบซึ้งในความรักนี้” หมายถึงให้เห็น ซึมซับ รับเอา ให้ท่วมท้น ให้จุ่มลงไป เหมือนน้ำหอมเมื่อตะกี้นี้ จุ่มลงไปในพลังความรักอันนี้ มากกว่าไปเรียนความรู้อื่นๆ อีกเยอะแยะเลย เพื่อท่านจะได้บริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า เต็มไปด้วยน้ำพระทัย เต็มไปด้วยความดีงาม แบบพระเจ้า

เปาโลพยายามที่จะอธิบายว่าจะเป็นอย่างไร? เมื่อชีวิตของเราถูกขับเคลื่อน ครอบงำ เป็นทาสของความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้านี้ ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นแรงขับเคลื่อน ผลักดัน ครอบครอง ควบคุม เป็นเจ้านายเราในการดำเนินชีวิต มันเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังบอกว่าต่อให้ท่านมีความรู้มากสักเท่าไร? ต่อให้ท่องพระคัมภีร์ได้ทั้งเล่ม ต่อให้รู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเลย อ่านพระคัมภีร์มา 80 เที่ยว 100 เที่ยว ก็ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้และความเข้าใจ อันลึกซึ้งถึงความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้ได้เลย อยากให้ท่านรู้เข้าไปลึกๆ ทั้งกว้าง ทั้งยาว ทั้งลึก ทั้งสูงของความรักตรงนี้ พูดไม่ถูกเลย มันต้องเรียนกันไม่จบเลย มากกว่า สำคัญกว่าความรู้อื่นๆ สำคัญกว่าความเชื่อเยอะๆ ทำอัศจรรย์ได้ สำคัญกว่าการเผยพระวจนะได้ สำคัญกว่าการเป็นครูสอนศาสนา  สำคัญกว่าการเป็นพาสเตอร์ ศิษยาภิบาล สำคัญที่สุด เพราะมันจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพราะมันเป็นตัวท่าน และเป็นบุคลิก ตัวตนของพระเจ้านั่นเอง

เพราะฉะนั้น ความรักของพระเจ้าจะมีอันตรายแบบที่คิดไหม? เมื่อเรียนรู้ความรักของพระเจ้าแบบนี้ มีอันตรายแน่นอนเลย มีอันตรายต่อมนุษย์ไหม? ไม่มีเลย มีอันตรายต่อมารไหม? มี เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกับความรัก ก็อดทนนาน มารบอก … ความเกลียดชังสิ ความเกลียดชัง คือความไม่อดทนนาน ความเกลียดชังคือความฉุนเฉียว ความเกลียดชังคือการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องท่องอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ถ้าทำไม่ได้ โกหกอย่างอื่น ก็โกหกหลอกลวงให้เราทำเหมือนความรักอย่างนี้ เสแสร้ง ปลอมตัวมาเป็นพระคริสต์ ทำตัวเหมือนความรัก เหมือนอดทนนานเลย แต่อดทนนานจากข้างใน อะไรบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ยัง ยังไม่ใช่ของแท้ พูดง่ายๆ แล้วบอกว่าพระคริสต์ พระคริสต์เทียมไง ทำข้างนอกดูเหมือนพระคริสต์เลย แต่ข้างในถูกแอบไว้ ถูกกลบไว้ ไม่อิจฉา ที่ไม่อิจฉา เพราะว่าเก็บไว้ มีอะไรอยู่ในใจ ไม่รู้หรอก ข้างนอกเราดูเอา ไม่เห็น แต่ไม่มีใครสามารถปกปิด จากพระเจ้าได้ พระองค์มองดูที่ใจข้างใน รู้เลยว่าคนนี้ทำไป เพื่ออะไร? และอย่างไร? เห็นไหมชัดเจน โรม 15:30-31 …

โรม 15:30-31 “30 พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยความรักจากพระวิญญาณ   ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า  ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อข้าพเจ้า 31 ขออธิษฐานให้ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลายในแคว้นยูเดีย และขอให้ประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม  ยอมรับความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลอยากจะให้ผู้เชื่อทั้งหลายอธิษฐานให้อาจารย์เปาโล ในการที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐในที่ต่างๆ สำหรับคนต่างชาติ ซึ่งถูกข่มเหง รังแก โดยชาวยิวบ้าง โดยคนที่เสียผลประโยชน์บ้าง ขัดขวางอะไรต่างๆ ก็เลยให้ช่วยอธิษฐานด้วย ดูสิ สังเกตให้พี่น้องอธิษฐานด้วยอะไร?

“พี่น้องทั้งหลาย  โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  และโดยพลังอำนาจของความรักจากพระวิญญาณ ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านร่วมในการดิ้นรนต่อสู้ของข้าพเจ้า”

ให้ร่วมเป็นหนึ่งในการปล้ำสู้กับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อธิษฐานโดยฤทธิ์อำนาจของความรักจากพระวิญญาณ

มีคริสเตียนบางคน เวลาพูดถึงพระเยซูคริสต์ ก็จะนึกถึงความรัก  เห็นชัด ความเสียสละของพระองค์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ความเมตตาของพระองค์ แต่พอพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตกใจกลัว กลายเป็นความกลัว กลายเป็นการมาสอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยตีเรา เฆี่ยนเราถ้าเผื่อหมิ่นประมาณพระวิญญาณตกนรกทันทีอะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด พระวิญญาณก็รักเรา เห็นหรือยัง? จากพลังอำนาจความรักอันเดียวกันนั้น จากพระวิญญาณก็แสดงว่าทั้งพระวิญญาณ ทั้งพระเยซูคริสต์ ทั้งพระบิดารักเราด้วยความรักเหมือนกันหมดเลย คือความรักแบบอากาเป้ จริงๆ แล้วทั้ง 3 พระภาคล้วนเป็นความรัก แบบอากาเป้ทั้งสิ้น ซึ่งรวมเราเข้าไปอีกหนึ่งในนั้น คือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้ง 3 ภาค เราเลยกลายเป็นความรักแบบเดียวกัน คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข แบบอากาเป้ เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อนชีวิตเรา อย่างนี้ไม่ดีเหรอ?

พลังอำนาจที่ขับเคลื่อนเรา คือพลังอำนาจที่มาจากพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตอยู่กับเรา ทรงรักเรา เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความรัก และทำให้ตัวเราทั้งหลายได้เกิดใหม่ กลายเป็นความรักชนิดเดียวกันแล้ว ให้ความรักชนิดนี้ ผลักดันเราในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด กาลาเทีย 5:13 …

กาลาเทีย 5:13 “พี่น้องทั้งหลาย  ที่ทรงเรียกท่านนั้น  ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ  แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป  แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

 

“จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” แบบอากาเป้อย่างนี้ แบบพระเจ้า ให้ความรักนี้ขับเคลื่อน และในนี้บอกว่า “อย่าปล่อยตัวของท่านตามวิสัยบาป” วิสัยบาปตรงนี้ ไม่ใช่นะ ต้องแปลจากภาษาเดิม มันคล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่วิสัยบาป … วิสัยบาป คริสเตียนไม่มีแล้ว เพราะว่าตายไปแล้ว ถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว นั่นแหละวิสัยบาป ตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือในอาดัม อดีตนั้น มันตายไปแล้ว ตอนนี้วิสัยของเรา คือวิสัยชอบธรรม วิสัยดี วิสัยความรัก

แต่ตรงนี้มันหมายถึง “อย่าปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” ก็คืออิทธิพล ระบบที่เขาดำเนินกันบนโลกใบนี้ ที่คนไม่รู้จักพระเจ้า และเราในอดีตที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็ดำเนินอย่างนี้ ความเคยชินในระบบเก่าๆ อย่าปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหนังอย่างนั้น

แสดงว่าการรับใช้ซึ่งกันและกัน สามารถมาได้ 2 ทาง คือจากพลังของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเราก็ได้ และมาจากระบบของโลกนี้ เนื้อหนังก็ได้เช่นกัน เรามีอิสระที่จะเลือก พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ให้เราเลือกเอา แต่ถ้าเราเห็น ซึมซับ และรับเอาตลอดเวลา จดจ่อไปที่ความรักตรงนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็จะได้พลังความรักตรงนี้มาผลักดันเรา แต่ถ้าจดจ่อบนโลกใบนี้ จดจ่อระบบของโลกใบนี้เหมือนเดิม ในที่สุด ดูเหมือนทำดี แต่แรงผลักดันออกมาจากเนื้อหนังของเรา ระบบเดิมของเรา ตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่รู้เรื่องเลย แต่ออกมาจากความคิดตามเนื้อหนัง ตามระบบของโลกใบนี้ มันมี 2 ทางให้เราเลือก นี่ก็ชัดเจน

การรับใช้ซึ่งกันและกันในทางพระเจ้า ต้องมาจากพลังขับเคลื่อนของความรัก อากาเป้ของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะเป็นของแท้ ไม่ใช่มาจากเนื้อหนัง เคยได้ยินใช่ไหม? คริสเตียนเนื้อหนัง คือคริสเตียนที่ยังต้องพึ่งตนเอง พึ่งความสามารถของตนเอง พึ่งระบบของโลกใบนี้ พึ่งการกระทำเก่าๆ ที่เคยกระทำมา พึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่เคยทำมา แทนที่จะพึ่งอย่างเดียว ไว้วางใจอย่างเดียว คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักชนิดของพระเจ้าอยู่ข้างในเราแล้ว ต้องมาจากความรักจากภายใน ที่พระเจ้าสร้างมาในชีวิตเราเท่านั้น แต่การที่เราจะสามารถทำได้ ตามที่บอกนั้น เคล็ดลับอยู่ที่เห็น ซึมซับ และรับเอา และรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้า ที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไข เท่ากับชาร์จพลังอำนาจ ความรักของพระเจ้าเข้ามา เราจึงมีพลังนี้ออกไปได้ เคล็ดลับอยู่ที่ซึมซับ รับเอาก่อน แล้วจึงจะให้ออกไป ฝึกที่จะเป็นคนรับก่อน ที่จะให้ ถ้าท่านไม่ฝึกที่จะเป็นคนรับ ท่านจะเอาอะไรไปให้  มันไม่มี ฝึกที่จะเป็นคนรับจากพระเจ้าก่อน 1 ยอห์น 4:17-18 นี่ก็ชัดเจนเหมือนกัน …

1 ยอห์น 4:17-18 “17 เช่นนี้  ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา  เพราะในโลกนี้  เราเป็นเหมือนพระองค์ 18 ในความรักไม่มีความกลัว  แต่ความรักที่สมบูรณ์  ย่อมขจัดความกลัวออกไป  เพราะความกลัว  เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  ผู้ที่กลัว  ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์”

 

อย่างที่ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่ามีอยู่ 2 แหล่ง ที่เราจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้างนอกดูคล้ายๆ กัน เราอาจจะทำดูเหมือนความรัก แต่ข้างในผลักดันมาจากความกลัว ไม่ได้มาจากความเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ จากข่าวประเสริฐของพระองค์ หมายถึงความเชื่ออย่างแท้ๆ นะ ถ้าไม่เชื่ออย่างแท้ๆ มันก็เป็นความกลัว เมื่อเกิดความกลัว มันก็จะเห็นแก่ตัว จะพึ่งตนเอง  แต่ดูข้างนอก ดูไม่ออก

มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเอาถ้อยคำพระเจ้า ในวันนี้ ไปวิเคราะห์ เข้าไปแก้ไข ชันสูตร ข้อกระดูก เข้าไปในจิตวิญญาณลึกๆ ว่าเราเป็นชนิดไหนกันแน่

“เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา” เมื่อวานนี้ ใช้อารมณ์โกรธ ว่าคนอื่นเขาอย่างรุนแรง มั่นใจไหมว่าท่านได้ไปสวรรค์เหมือนเดิม มันหมายถึงอย่างนั้น  มั่นใจไหมว่าท่านได้รับความรอด รอดแล้วรอดเลย กำเนิดเกิดมาเป็น ท่านมั่นใจไหม? ถ้าไม่มั่นใจ ก็แสดงว่าความรักมันไม่เต็มบริบูรณ์ในท่าน ถ้าความรักของพระเจ้าที่ท่านเห็น ซึมซับ รับเอามันเต็มบริบูรณ์ในท่าน ท่านจะรู้เลยว่าอย่างไรท่านก็รอด พระเจ้าอภัยให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ รักท่านดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านเชื่อในพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว อยู่ฝ่ายพระองค์ อยู่ข้างพระองค์ พระองค์ก็อยู่ฝ่ายท่าน เคียงข้างท่านตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น

ความรักตรงนี้ทำให้เราเกิดความมั่นใจในความรอด บางคนยังไม่มั่นใจในความรอดของตนเองเลย อย่างนี้ต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เดี๋ยวจะสูญเสียความรอดตรงนี้ ต้องอภัยนะ ถ้าเธอไม่อภัย พระเจ้าก็ไม่อภัยให้เธอ อะไรประมาณนี้ เยอะแยะไปหมด เพราะความรักไม่เต็มบริบูรณ์

ในข้อ 18 บอกว่า “เพราะในความรักไม่มีความกลัว” เห็นไหม? ถ้าทำด้วยความรัก ไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ ย่อมขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น ไม่มีการลงโทษ ผู้ที่กลัว ก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์

ถ้าท่านยังทำอะไรต่างๆ เพราะความกลัวอยู่ ก็ไม่มีความรักอย่างสมบูรณ์ มาคริสตจักรเป็นประจำดีไหม? ดีมาก  แต่พอไม่มาวันหนึ่งปุ๊บ ติดธุระวันหนึ่งปุ๊บ ท่านรู้สึกฟ้องผิด ไม่มาไม่ได้หรอก พระเจ้าไม่พอใจ เดี๋ยวเกิดตายไป ไม่ได้ไปสวรรค์ พระเจ้าไม่อวยพระพร ไม่ได้มา คิดเอาเองว่าในใจท่านคิดอะไรอยู่ ท่านถวายทรัพย์ เพราะกลัวว่าจะถูกสาปแช่งหรือ? เปาโลจึงสอนว่าให้เราอธิษฐาน ก็อธิษฐานจากใจ ถวายทรัพย์ให้ออกไป ก็ให้จากใจ จากความตั้งใจจริง ไม่ใช่ จากถูกคนเขาชักจูง ก็เกิดความกลัว หรือไม่ก็ความโลภ ชักจูงมี 2 อย่าง คือ …

“ถ้าเธอไม่ให้นะ สมาชิกไม่ให้นะ ตกนรก พระเจ้าจะสาปแช่ง” นี่คือความกลัว

ชักจูง ก็คือ … “นี่นะ เราจะได้รับรางวัลกลับคืน ได้อันนั้น อันนี้” แล้วเราก็ให้ ก็คือการลงทุน ไม่ใช่ความรักแท้

เพราะฉะนั้น สรุปจบความรักทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เราบอกรักไม่ฉุนเฉียว ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่ง ผยอง ไม่จดจำความผิดของผู้อื่น อภัยได้เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง

ความรักทั้งปวงเหล่านี้ เคล็ดลับสรุปจบแล้วอยู่ที่ 1 ยอห์น 4:19 บันทึกไว้ว่า …

1 ยอห์น 4:19 “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

 

เรารัก เราไม่ใช่ต้องรัก เรารัก เพราะพระเยซูรักเราก่อน  พูดง่ายๆ ว่าเราให้ความรัก เพราะพระเยซูให้ความรักกับเราก่อน เราไม่สามารถให้ความรัก ถ้าเราไม่รู้ว่าพระเยซูให้ความรักกับเรา สมมติความรักนี้เป็นเงิน เราให้เงินออกไป เพราะพระเยซูให้เงินกับเราก่อน เราจึงมีเงินไปให้คนอื่นเขาได้ ถ้าเราไม่รับความรักจากพระเยซู พระเยซูให้ความรักกับเรา แล้วเราไม่เอา แล้วเราจะเอาอะไรไปให้คนอื่น เราก็พยายามสร้างความรักเราเอง ให้กับคนอื่น มันก็อนิจจา มันก็ทุกข์ทรมาน และมันก็เสียข่าวประเสริฐของพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ไป พระเยซูบอกว่าแอกของเราก็พอเหมาะ ภาระของเราก็เบา จงมาพักผ่อนในเรา หายเหนื่อยและเป็นสุข ก็คือรับมาอย่างไร? ก็ให้ไปอย่างนั้น รับจากพระเยซูคริสต์มาอย่างไร? ก็ให้อย่างนั้น เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน พระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 2 “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เรามาต่อถึงความรักของพระเจ้าที่เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่เราจำเป็นต้องนำมาใช้สอยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ วันนี้เราจะมาต่อกันที่หัวข้อเรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

สัปดาห์ที่แล้ววันวาเลนไทน์ เราเริ่มต้นกันตอน 1 ชื่อตอนว่า “จงมองให้เห็น ซึมซับ และรับเอา” สัปดาห์นี้มาต่อ ตอนที่ 2 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “พระคุณความรักของพระเจ้า เป็นพลังให้เราทำดี ตามความปรารถนาในใจ” ในใจหรือในวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่  โดยพระเจ้านั่นเอง ครั้งที่แล้วเราสรุปกันตรงสุดท้ายที่โรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  พวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ  สิ่งที่อยู่เหนือเรา 39 หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตาม ที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจาก ความรักของพระเจ้า ที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

 

“ที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์ของเรา” … “ที่เราเห็น” เป็นกุญแจสำคัญ

นี่อาจารย์เปาโลเขียน ผู้ซึ่งได้เรียนรู้จักความรักของพระเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ข่าวดีตั้งแต่สมัยโน้น ในพระคัมภีร์ใหม่เยอะแยะมากมาย และตัวผมเองและท่านทั้งหลายที่ได้เรียนรู้จักเรื่องความรักของพระเจ้า  จากสัปดาห์ที่แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้า  มีความมั่นใจหรือยังว่า …

“ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพวกวิญญาณที่มีฤทธิ์อำนาจ สิ่งที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าเรา หรืออะไรก็ตามที่ถูกสร้างขึ้นมา พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็นในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรานี้ได้เลย”

ไม่มีทางเลย ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะไม่มีสิ่งใดมาแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะแยกเราออกไปจากอ้อมกอดของพระเจ้าอีกเลย นี่พระเจ้าสัญญาไว้ ถึงขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความตาย  ความยากจน ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หรือการถูกหลอกลวง การทำบาปต่างๆ  ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่หนักแน่นมั่นคงในความรัก ที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงนิรันดร์กาลเลย มันจะเป็นอย่างนี้ว่าไม่มีใครเอาเราออกไป จากพระเจ้าได้อีกแล้ว เราต้องกล้าพูดตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ตอนที่เราเริ่มต้นอ่านบอกว่า … “เพราะผมมั่นใจ”

น่าเปลี่ยนเป็น … “เพราะฉันมั่นใจ” …  “เพราะฉันเห็นแล้ว ความรักของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”

เห็นหรือยัง?  ถ้าเห็นแล้ว ก็สามารถพูดตรงนี้ได้ว่า …

“เพราะฉันมั่นใจแล้วว่าฉันมั่นใจในอะไร? ไม่มีใครเอาฉันออกจากพระเจ้าได้อีกแล้ว ฉันอยู่ในพระเจ้า ฉันรอดแล้ว รอดเลย”  มันหมายถึงอย่างนั้น

แต่ในความเป็นจริง ในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ มักกลัวว่าทำไม่ดีพอ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปสวรรค์ …

“ฉันยังทำบาปอยู่เลย ฉันจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

มันจะแว๊บเข้ามาในความคิดอยู่เรื่อยๆ …

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเราทำแบบนี้

–  กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ ถ้าเผื่อเราทำบาปอย่างนี้

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ในโรม 8:1 ชัดเจนเลยว่า …

“ไม่มีการลงโทษแล้วลูกเอ่ย ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้า ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว”

แต่เราก็มักทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ เดี๋ยวพระเจ้าไม่ให้พร  นี่แหละ คือความสงสัย ความไม่เชื่อ ความไม่สงบสุขในการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้  ซึ่งทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์มีความสุข  ซึ่งพระองค์ก็บอกว่า …

“เราจะไม่ละทิ้งเจ้า  เราจะอยู่กับเจ้า จะรักเจ้านิรันดร์กาล ตลอดไปนั่นเอง”

พระเจ้ากำลังโอบกอดเราอยู่ขณะนี้ ด้วยความรักของพระองค์ จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้ากำลังโอบกอดเรา ปลอบโยนเราว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากน้อยแค่ไหน? ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเชื่อมากหรือเชื่อน้อยก็ตาม เรายังคงรักเจ้า เป็นความรักนิรันดร์เหมือนเดิม พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”

ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงเท่าไร? พระองค์บอกว่าพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์รักเราเหมือนเดิม ในอดีตเป็นอย่างไร พระองค์ก็รักเราเหมือนเดิม วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน ตามถ้อยคำพระเจ้า

“รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ใดๆ ทั้งสิ้น”

ไม่มีเลย นี่คือความจริงที่เราต้องใส่เข้ามา นี่คือความรักของพระเจ้าที่พูดกับเรา บอกเรา  เป็นการสำแดงออก ที่เราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จากการถูกตรึง สิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย  ซึ่งเราทั้งหลายก็เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย

นี่แหละ เราต้องเห็นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตคริสเตียนของเรา  ที่กำลังดำเนินบนโลกใบนี้ ถ้าเราอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเจ้าแฮปปี้ เราต้องเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ด้วยการเชื่อเอา ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ใช้ความรู้สึก

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้ารักเรามาก”

“วันนี้ รู้สึกพระเจ้าเกลียดฉันมาก”

“วันนี้ รู้สึกฉันไม่ดีเลย  ในสายตาพระเจ้าคงไม่พอใจฉัน”

พระเจ้าบอก … “ไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็รักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลง แต่เราก็ไม่เปลี่ยนเด็ดขาด  เพราะเราเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า”

พระเจ้าตรัสกับเราอย่างนี้  กำลังโอบกอดเราอยู่ อยู่กับเรา อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ในขณะนี้  จงมองให้เห็นเถิด

และไม่ใช่เฉพาะกับผู้เชื่อ ที่ใช้สิทธิของเขา ที่พระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาเรียบร้อยไปแล้วนั้น  ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  ที่พระเจ้ารักมากแบบนี้  แต่รวมทั้งมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ที่ยังไม่ใช้สิทธิของเขา  ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดีของพระองค์ พระองค์ก็รักเขาอย่างนี้แหละ รู้ได้อย่างไร? ก็ในยอห์น 3:16 ที่เรารู้จักกันดี บันทึกไว้ …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้ารัก ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มาก  จนถึงขนาดยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าทุกคนที่ไว้วางใจในพระบุตรนั้น  จะไม่สูญสิ้น (ในนรก) แต่จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าตลอดไป”

 

นี่ชัดเจน แจ่มใสเลยนะ  รักมนุษย์ ผูกพันกับมนุษย์ในโลกนี้มากเลย ก็คือมนุษย์ทุกคน  เพื่อว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตร คือวางใจในพระเยซู จะได้ไม่ต้องอยู่ในนรกต่อไป  แต่จะได้รับชีวิตของพระเจ้า … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่เป็น DNA  ทางฝ่ายวิญญาณ มาจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง ไม่ตกนรก  เพราะโทษของความบาป แค่นั้นไม่พอ  ยังรับเราเป็นลูกอีก

โรม 5:8 ที่สัปดาห์ที่แล้วเราได้อ่านกัน  และเป็นหัวข้อสำคัญ บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8  “แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา  โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่   เรายังเป็นคนบาปอยู่

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “เรา” คือมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว “แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังเป็นคนบาปอยู่” เป็นคนบาป ไม่ได้ทำบาป  ทำบาปนั้นทำแน่ๆ  แต่บางคนบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  แค่ทำบาปเฉยๆ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าเขาเป็นคนบาป “เป็น” กับ “ทำ” มันต่างกันเยอะนะ

พระเจ้าบอกว่ารักมนุษย์ทุกคนมาก  แม้ว่ามนุษย์ทุกคนยังทำชั่ว ทำบาป “เป็นคนบาป” ก็คือเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ใช่ไม่เชื่ออย่างเดียว  เกลียดด้วย เพราะว่าเป็นศัตรู พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ไม่เชื่อฟัง ดื้อ ลบหลู่พระเจ้า เหยียดหยามพระเจ้า และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ท่านลองคิดดูสิ ในใจของมนุษย์  ล้อเลียนพระเจ้า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามที่เรียกว่าเป็นบาป ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่ถือสา  ยังรักเขามากเหมือนเดิม และมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่มนุษย์ผู้ที่เชื่อแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกแล้ว เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว รักพระองค์แล้ว  มากกว่านั้นสักเท่าใดที่พระเจ้าจะปกปักษ์ คุ้มครอง ดูแล ปลอบโยน โอบกอด หวงแหน  ห่วงใยเขา มากกว่านั้นอีกสักเท่าใด  เพราะตอนนี้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์แล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว

ท่านลองคิดดูแล้วกัน  ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขอย่างนี้ จึงเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน

ทำไมถึงบอกว่าเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สำหรับคริสเตียน ก็เพราะว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เป็นลูก เขายังไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถอยู่แล้วที่จะรับ ซึมซับ และเห็นความรักของพระเจ้า เป็นพลังงานตรงนี้เข้ามาในชีวิตของเขา แต่คนที่ดำเนินชีวิต เป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าได้กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เรียบร้อยไปแล้ว เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อยู่ในวิญญาณของเขาแล้ว เขาจึงมีโอกาสได้ใช้ความรักอันนี้ ให้เป็นประโยชน์ เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้

เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น ให้ซึมซับและรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ในการขับเคลื่อนชีวิตของเรานั้น  เป็นพลัง เป็นแรงบันดาลใจในวิญญาณ ไม่ใช่ในใจนะ  หรือเรียกว่าในใจใหม่ที่พระเจ้าให้เราเกิดใหม่แล้ว เพื่อว่าจะดลบันดาล ผลักดันให้ใจของเรา หรือวิญญาณของเราทำดีตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำตามแผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ทำตามความคิดของตนเอง มันสำคัญอย่างนี้

และเมื่อได้รับรู้อย่างนี้แล้ว ซึมซับ เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ตามถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้แล้ว ถามว่าจะเป็นอันตรายไหม? หรือจะทำให้ทำบาปมากขึ้นหรือ?  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะคิดอย่างนี้  เหมือนกับคิดอย่างนี้มาแล้ว 2,000 ปี ที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม เขาก็คิดอย่างนี้ เวลาอาจารย์เปาโลแสดงความรักของพระเจ้า ให้เขาเห็นว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน?  เขาก็คิดอย่างนี้ว่าจะทำให้คนเอาความรักนี้ ไปทำบาปมากขึ้นอย่างนั้นหรือ? เราจะเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่อจะให้เห็นชัดว่าเปาโลพูดว่าอย่างไร?  พระเจ้าต้องการอะไร?  และเป็นจริงตามที่เขาคิดไหมว่าเห็นความรักของพระเจ้าอย่างนี้  ซึมซับความรักของพระเจ้าอย่างนี้  รับเอาความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้นอย่างนี้ เข้ามาแล้ว รู้แล้ว อย่างนี้  จะทำให้ทำบาปมากขึ้นจริงๆ หรือ? อะไรจะมาเป็นตัวพิสูจน์ตรงนี้ได้ ก็คือความจริงเท่านั้น เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความจริง จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากการถูกหลอกลวง

เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริงให้ได้ มาศึกษาด้วย มาดูด้วยกันว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร?  พระเจ้าได้สำแดงความรักของพระองค์อย่างไร? ในถ้อยคำของพระองค์บอกไว้อย่างไร? เราจะได้เป็นอิสระ เป็นไทจากการถูกหลอก

มันมีความจริงในถ้อยคำพระเจ้าอีกหลายอย่าง ที่อาจจะไม่จำเป็นมากนัก แต่พื้นฐานที่จำเป็นมาก สำหรับการดำรงชีวิตคริสเตียน ผู้เชื่อ ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า  เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พื้นฐานความจริงนี้ ก็คือ …

“เรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า”

เรากำเนิด เกิดมาเป็น ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำของเราเอง

เปาโลก็พยายามอธิษฐาน หัวข้อสำคัญเลย ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย …

“พระเจ้าเปิดตาภายในวิญญาณของเขา ประทานสติปัญญาและวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ของพระองค์ให้กับเขา เพื่อเขาจะได้เห็น ซึมซับ และรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อันมหาศาลมาก ที่พระองค์ทรงกระทำ ที่พระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงมอบพระบุตรของพระองค์ให้กับเขาทั้งหลายแล้ว”

“เขาทั้งหลาย” คือมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังอธิษฐานให้กับผู้ที่เชื่อแล้ว  ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้

เราจะมาดูสิว่าเปาโลพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นิดหนึ่ง เพื่อเราจะได้เห็น  อย่างที่เปาโลได้เห็นแล้ว โดยพระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้เขาได้เห็นความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เขาจึงทิ้งทุกอย่าง แล้วมองไปที่อย่างเดียว เห็นอย่างเดียว คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงสิ้นพระชนม์ ด้วยความทุกข์ทรมาน  ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือสุดยอดความรักของพระเจ้า  ที่ได้สำแดงแล้ว ให้เห็นแล้ว ชัดเจนทั่วโลกแล้ว มหาจักรวาลนี้ ได้เห็นหมดเลยสิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้ารักมนุษย์ขนาดไหน?  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? และกระทำสำเร็จแล้วด้วย คือการตายที่ไม้กางเขนของพระบุตรของพระองค์ คือการอภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของมนุษยชาติตลอดไปเลย อภัยทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม ไม่ใช่อภัยอย่างเดียว  แต่ยังรับเขามาเป็นลูกของพระองค์ โดยการให้กำเนิดกับเขา ให้เขาเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเลย เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ไปเลย

นี่คือความรักที่ได้สำแดงแล้ว ถ้าใครเห็น เขาจะเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ เปาโลจึงพยายามที่จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง เราลองมาติดตามดูว่าเปาโลอธิษฐาน อยากให้เราเห็นอะไร? เมื่อตะกี้นี้ อธิษฐานอยู่ในเอเฟซัส 1:16 เป็นต้นมา จนมาถึงเอเฟซัส บทที่ 2 เริ่มต้นที่ข้อ 1-3 ก่อน …

เอเฟซัส 2:1-3  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ  จากการล่วงละเมิด  และในบาป (ในอาดัม)  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า  จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่าน เคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้  และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ  ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา  สนองความอยากกับความคิดของมัน  ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ  สาปแช่ง  เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้”

 

อาจารย์เปาโลอธิษฐาน … “โอ พระเจ้าเปิดตาวิญญาณให้กับเขา  ให้สติปัญญากับเขา ที่เขาจะเข้าใจเรื่องโลกวิญญาณอย่างนี้ด้วยเถิด  คือว่า ให้เขาเห็นว่าก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นอย่างไรอยู่ ในวิญญาณเขาเป็นอย่างไร? และหลังจากที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นอย่างไรนั่นเอง”

ในอดีตก่อนเชื่อนั้น ท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดในบาป “ในบาป” ก็คือในอาดัม ท่านตายจากพระเจ้า คือท่านไม่รู้จักพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และตัวท่านเองในโลกวิญญาณ อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าในอาดัม เหมือนเราอยู่ในประเทศไทย ในประเทศอเมริกา  ประเทศอังกฤษ ตอนนี้ในโลกวิญญาณท่านอยู่ในอาดัม มนุษย์ทั้งหลาย  ที่ไม่เชื่อพระเจ้าอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เห็นไหมครับ ไม่มีความบริสุทธิ์เหลืออยู่เลย ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิสัยของบาปนี้ แล้วมันครอบงำชีวิตท่านอยู่ด้วยบาปนี้  ครอบงำโดยมาร  และบัดนี้ มารตัวนี้ ก็ยังทำการงานครอบงำอยู่ในคนไม่เชื่อนั่นเอง

ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับคนเหล่านั้น ก็คือครั้งหนึ่ง ตอนก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ  เพราะฉะนั้น ตามธรรมชาติของความบาป ของวิญญาณที่ตายอยู่นั้น ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั้น เรียกว่าวิญญาณนั้นอยู่ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณนั้นเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ในวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคนเลย

ในขณะนั้น ในวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น เราจึงสมควรแก่การถูกลงโทษ ก็คือถูกตัดสินพิพากษาลงโทษไปแล้ว ให้อยู่ในนรก  ก็คือถูกสาปแช่งตลอดเวลา  เพราะตอนนั้นเรายังไม่เกิดใหม่  เรายังไม่เปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอดของเรา  เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเอง ให้เป็นคนดีได้  เพราะว่าเราเกิดมาบาป  ไม่ใช่เราทำบาป ถ้าเราทำบาป เรายังแก้ให้ทำดีได้ แต่เราเกิดมาบาป  แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

เปาโลบอกว่า … “ข้าพเจ้าอธิษฐานให้กับท่านอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาเลย ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้ท่านเห็นเถิด”

เอเฟซัส 2:4  “แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม”

 

ก่อนที่ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ช่วยท่าน  ให้พ้นจากการเป็นคนบาป ให้พ้นจากการอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรอาดัม ในบาป ในอาดัม ในความมืด ในนรก เพราะมันเกิดมาเป็น มันจึงเป็น 100% ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นอาดัม เกิดเป็นคนบาป แล้วกระทำดีเยอะๆ เพราะฉะนั้น บาปลดเหลืออยู่ 50% ไม่ใช่ เพราะมันเกิดมาเป็น

ที่ผมบอกพื้นฐานความจริงของถ้อยคำพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราเกิดมาเป็น เราจะทำดีให้ตาย อย่างไร มันก็ไม่สามารถลบความเป็นเราไปได้ เหมือนฝรั่งมาอยู่เมืองไทย  จะพยายามฝึกกินปลาร้า ฝึกกินน้ำพริกปลาทูมากเท่าไร? ฝึกกินแกงมากเท่าไร? ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาเป็นคนไทยได้  หรือคนไทยพยายามฝึกกินขนมปัง  กินเนย กินเบค่อน กินทุกวัน เพื่อจะให้เป็นฝรั่ง มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดมาเป็น เพราะเนื่องด้วยความรักใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา “เรา” คือมนุษย์ทุกคน พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาและพระคุณอันอุดม

พูดง่ายๆ “จงมองให้เห็นเถิด จงซึมซับและรับเอาเถิด”

รับเอา ความรักอันใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา และพระคุณอันอุดม รักเรามากมายมหาศาล  อย่างไม่มีเงื่อนไขเลย รักเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะคนที่เชื่อ เปิดใจแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว  จงซึมซับ รับเอาพลังงาน แห่งความรักนี้ จงมองให้เห็นเถิด …

เอเฟซัส 2:5  “จึงได้ทรงกระทำให้ วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์  แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

 

พูดง่ายๆ ก็คือมีการย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้น  มีการย้ายที่อยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเกิดขึ้น  ด้วยความรักนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรานั้น กลับมามีชีวิต เมื่อตะกี้ตายอยู่ในอาดัม กลับมามีชีวิต อยู่ในพระคริสต์ แม้ขณะที่วิญญาณเราได้ตายไปแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดนี้  รอดจากในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ที่เรียกว่านรกนี้ ซึ่งเรียกว่าการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง ในนรกนี้ รอดโดยพระคุณความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อท่าน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข จึงเรียกว่าพระคุณไง  คือไม่มีเงื่อนไข ให้ฟรีๆ  ให้เปล่าๆ ให้เป็นของขวัญ  ช่วยท่านด้วยความรักของพระองค์ ช่วยท่านย้ายถิ่นฐาน ออกจากในอาดัม มาเกิดใหม่  มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์  ย้ายมาเลย ไม่ใช่ย้ายมาครึ่งๆ กลางๆ อีกแล้ว

ในโลกวิญญาณ ก็เหมือนกับโลกวัตถุ บนโลกวัตถุนี้ เราอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ถูกไหมครับ? เราอยู่ในประเทศจีน  หรือเราอยู่ในประเทศไทย  เราอยู่ในกรุงเทพ หรือเราอยู่ที่เชียงใหม่  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่ ในโลกวิญญาณก็เช่นเดียวกัน มี 2 แห่งเท่านั้นเอง  ท่านจะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ซึ่งท่านทำเองไม่ได้ด้วย  ต้องเกิดมาเป็น เกิดมาอยู่ในอาดัม หรือจะเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำให้ท่านได้ และทำให้เรียบร้อยไปแล้ว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ซึ่งสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย  ดูในข้อ 6 ต่อ …

เอเฟซัส 2:6  “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา  เป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์  พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

โอ้โห! เห็นหรือยัง ทำไมเปาโลจึงอธิษฐานวิงวอน ด้วยน้ำตาไหลเลยว่า … ขอให้ตาวิญญาณทุกคนเปิดออก ได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ … เพราะว่าถ้าเขาเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้  เขาจะได้ซึมซับ รับเอาพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับเขา ที่ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นพลังงาน ขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต  และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์

พระองค์ให้วิญญาณของเรา ที่ตายอยู่ในอาดัม อยู่ในนรกกับอาดัม เป็นขึ้นมาพร้อมพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณนั้น พระคัมภีร์พูดไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์นำวิญญาณของเรา  เข้าไปในการชำระให้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ โดยการนำวิญญาณของเรา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ที่อยู่ในอาดัมนั้น เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แล้วก็ไปตายชดใช้บาป  ที่ไม้กางเขน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าเราได้ตายต่อตัวเก่า ซึ่งอยู่ในอาดัมนั้น ได้ถูกฆ่าให้ตายเรียบร้อย ได้ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เกิดใหม่ พร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น

“และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรา”

“ได้” แปลว่าทำแล้ว และในการเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้แต่งตั้งวิญญาณของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์ด้วย  พระคริสต์นั่งในสวรรค์สถาน เราก็นั่งพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน  ก็แปลว่าขณะนี้ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่เราเรียกว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเรา ได้กำเนิด เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ในพระเยซูคริสต์แล้ว ออกจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย

ในอดีต ในอาดัมได้ถูกลงโทษ ตายจากพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราก็อยู่ในอาดัม ตายต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เกลียดพระเจ้า อยู่ในนรก แต่เดี่ยวนี้เราอยู่ในพระคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์ครับ

พูดพร้อมกันตอนนี้เลยว่า … “เราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้”

เปิดใจรับเชื่อพระเยซู เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขอพระเจ้าประทานสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้เราทั้งหลายได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้เถิด  นี่แหละคือพื้นฐานสำคัญที่จะได้เห็น เพื่อจะได้ซึมซับและรับเอาพลังอำนาจความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเรามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาเป็นแรงผลักดันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ข้อที่ 7 …

เอเฟซัส 2:7  “เพื่อในยุคต่อๆ ไป  พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณ  อันหาใดเปรียบ  ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์

 

พูดง่ายๆ ว่าได้แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ให้กับเรา ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จะสำแดงอย่างนี้ตลอดไปทุกยุค ทุกสมัย ชั่วนิรันดร์ มันหมายถึงอย่างนั้น จงมองให้เห็นเถิด  ข้อ 8 …

เอเฟซัส 2:8  “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ”

 

ท่านเห็นความรัก ซึมซับและรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเราไหม? เปาโลพูดแล้วพูดอีก  ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้า”

เพราะความรัก ความเมตตา พระคุณของพระเจ้าที่ให้เราฟรีๆ โปรดปรานเรามากเลย ของพ่อเราที่อยู่ในสวรรค์  ที่ได้นำเรา ย้ายออกมาจากในอาดัม ในนรก มาอยู่ในพระคริสต์ มาอยู่ได้ เพราะความรัก ความเมตตา ผมจะย้ำตามเปาโลนะ เพราะพระคุณความรัก เมตตา ความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด  พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป เราทั้งหลาย จึงสามารถหลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เพราะเราอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป เป็นคนบาปอยู่นั้น  รอดออกมาได้ และได้รับชีวิตนิรันดร์  ก็คือได้รับการเป็นลูกของพระเจ้า  มีวิญญาณที่มาจากพระเจ้า  เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ตลอดรอดฝั่ง ตลอดไป ตลอดกาล ไม่ใช่  ชีวิตนิรันดร์ คือคุณภาพชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณแบบพระเจ้า ที่พระเจ้าได้แบ่งส่วนของพระองค์ วิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา  เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์  เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าแบ่งส่วนมาให้กับเรา

ได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยการบังเกิดใหม่  ผ่านทางความเชื่อ เริ่มต้นด้วยเชื่อในความรักของพระเจ้า  ที่สำแดงออกของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พอเราเริ่มเชื่อปุ๊บ เราก็เปิดใจ  หว่านเมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อของเรา นิดเดียวลงไปในความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ อันไม่มีเงื่อนไขนี้  ก็เกิดพลังมหาศาล เกิดอัศจรรย์ขึ้น ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ นี่แหละ เราจำเป็นต้องใช้พลังนี้ ในการดำเนินชีวิตต่อไป ด้วยความเชื่อ บนโลกใบนี้นั่นเอง

เห็นความรัก ซึมซับ และรับเอาไหม? ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ท่านเห็นอะไรไหม? จากข้อความเมื่อสักครู่นี้  ก็คือพระเจ้าทรงอภัยในบาปทั้งสิ้นของเรา ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน อนาคต อภัยให้หมดเรียบร้อย จนเราสะอาดหมดจด พ้นจากบาป  แค่นั้นไม่พอ ยังรับเราเป็นลูกของพระองค์ และเข้ามาสถิตอยู่กับเรา โอบกอดเรา ณ วินาทีนั้น และไปถึงนิรันดร์เลย  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา  ไปไหน ไปด้วยตลอดเวลา  และเราจะกลัวอะไรอีกล่ะ

ตรงนี้จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล  แบ็คอัพชีวิตของใครก็ตาม ที่ได้เห็น ซึมซับ รับเอาตรงนี้เข้าไป ข้อที่ 9 …

เอเฟซัส 2:9  “ความรอดนี้  ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง  แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า  เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดี  ในความรอดของตนได้”

 

“ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณความรักของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้ท่านเปล่าๆ ฟรีๆ”

ความรักอีกแล้ว  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายาม ที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ไม่ใช่เลย

พยายามรักษา ทำความดี  ตามที่บทบัญญัติบันทึกไว้ดีไหม? ดี แต่ในนี้บอกว่ามันไม่ดีพอ สำหรับการที่เราจะได้รับความรอด  ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีใครมาโอ้อวด และแอบอ้าง ความดี ในความรอดของตนเอง ไม่สามารถมาเย่อหยิ่ง บอกว่า …

“ฉันทำดีกว่าคนอื่นเขา ฉันถึงได้อย่างนี้ เพราะฉันอธิษฐานมาก ฉันถึงได้อย่างนี้  เพราะฉันรับใช้เยอะ ฉันถึงได้อย่างนี้”

มันรวมอยู่ตรงนี้ด้วยนะ … “เพราะฉันเป็นศิษยาภิบาล ฉันถึงได้มากกว่า”

ไม่มีใครสามารถแอบอ้างและอวดการกระทำของตนเองได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกคนนั้น ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น โดยเป็น อยู่ คือ ก็คือได้ทั้งเป็น  ได้ทั้งอยู่ที่ไหน?  ย้ายออกมา และเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้มาโดยพระคุณของพระเจ้าที่ได้ให้เราได้กำเนิด เกิดมาเป็น ต้องจำไว้เลย กำเนิด เกิดมาเป็น  อย่าเย่อหยิ่ง อย่าจองหอง

ถึงท่านเย่อหยิ่งจองหอง พระเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไรท่านเลยนะ เพียงแต่พระองค์เสียใจ เพราะท่านจะไม่ได้รับพระพร ไม่ได้รับพลังงานบริสุทธิ์ จากพระเจ้าจริงๆ แท้ๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่มีกำลังแรงพอ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราได้มาจากการกำเนิด เกิดมา แล้วเราเป็นอย่างนี้ พอเรารู้ว่าเรากำเนิด เกิดมาเป็น เราก็จะถ่อมใจและรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เราได้รับมาจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เพราะเกิดมาเป็นแล้ว  เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้วครับ ข้อที่ 10 …

เอเฟซัส 2:10  “เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก  ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่สร้างสรรค์ขึ้นในพระเยซูคริสต์  ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่  พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

 

ขอพระเจ้าเมตตา ให้ตาวิญญาณเราเปิดออกเถิด คริสเตียนทุกๆ คน

“เพราะเราเป็นผลงานศิลปะชั้นเอก ที่ประณีตและยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์”

พระเจ้าบอกว่าชีวิตที่พระองค์ทรงให้เรากำเนิด เกิดมาใหม่ ในพระคริสต์แล้ว โดยความเชื่อ  ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้าที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ สวยงามยอดเยี่ยมเลย เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว นั่นแหละที่พระเจ้ามองมา เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ของพระเจ้า ไม่ใช่ของตัวท่านเอง  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่าน  ไม่ใช่ เพราะการกระทำของศิษยาภิบาลที่อธิษฐานให้ท่าน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรทั้งสิ้นของมนุษย์ แต่เป็นผลงานของความรักอันยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำที่ไม้กางเขน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณเป็นใหม่ทั้งสิ้น

แต่อนิจจา หลายครั้งเราไม่รู้ความจริงนี้ ตาวิญญาณเราเปิดออก ไม่ชัดเจน  เราถูกหลอกด้วยความคิดของเราเอง  คิดว่าเราไม่ดีพอ  เราอธิษฐานน้อยเกินไป เราอ่านพระคัมภีร์น้อยเกินไป  คนอื่นเขายังอ่านพระคัมภีร์เยอะกว่านี้เลย โบสถ์เราก็มาบ้าง ไม่มาบ้าง เราแย่เหลือเกิน

หรือหลายคนอาจจะคิดอย่างนี้ด้วยซ้ำ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  ท่านเข้าใจคำว่ารับใช้พระเจ้าผิดไปแล้ว

ยิ่งคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ยิ่งเห็นชัด เราเป็นคนบาป เราต้องชดใช้เวรกรรมของเราต่อไป  ทั้งๆ ที่ความจริง คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระบาปให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้เห็นชัด แม้มาเป็นคริสเตียน ก็ยังสามารถถูกหลอกอย่างนี้ได้ แต่เบาบางลงเท่านั้นเอง

หลายครั้ง เรารู้สึกฟ้องผิดกับตัวเองว่าเราไม่พร้อม เราดีไม่พอ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย แค่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พวกเราก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า  พระเจ้าบอกดี  เราก็เถียงพระเจ้าบอกว่าไม่ดี  นอกจากเถียงพระเจ้าว่าตัวเองไม่ดี ไม่พอ ยังไปชี้หน้าคนอื่นอีกว่าคนนี้ไม่ดี  ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำอย่างโน้นอย่างนี้  แต่พระเจ้ามองไปบอกว่าดีแล้ว ไม่ใช่ดี คือการกระทำอย่างนั้นดี แต่หมายถึงทั้งหมดนั้น เดี๋ยวพระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเขาเอง นำพาชีวิตเขาเอง เป็นเรื่องของพระองค์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านที่จะไปชี้ว่าเขาต้องทำเหมือนเรา  บางครั้งเราทำอย่างนี้ พระเจ้านำเราจากข้างใน เราจะไปบอกคนอื่นให้ทำเหมือนเรา เหมือนทุกคนไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขา เพราะว่าเขาก็เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า เหมือนกับเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้น ให้มันออกมาจากใจไม่ดีกว่าหรือ? มันหมายถึงอย่างนั้น

เราเป็นศิลปะชิ้นเอก ที่ประณีตยอดเยี่ยมของพระเจ้า ที่สร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์ ซึ่งวิญญาณได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้

ถามว่า … “พร้อมหรือยัง?  ทุกคนที่มาเชื่อพระเจ้า พร้อมให้พระเจ้าใช้หรือยัง?”

ต้องตอบว่า … “พร้อมแล้ว”

ในวิญญาณมันพร้อมแล้ว  แต่ทำไมบางครั้งเรายังดื้อ  เพราะว่ามันยังมีระบบของเนื้อหนังอยู่ ซึ่งเราจะเรียนรู้กันต่อๆ ไป

แต่ในวิญญาณ ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้  เพื่อทำการดีต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

พร้อมที่จะกระทำความดี ก็คือพร้อมที่จะผลักดันให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใช้อวัยวะในร่างกายนี้ กระทำดีต่างๆ ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตที่ดี ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เป็นไปตามแผนการของพระเจ้า คือเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นไปตามการงานที่เราคิดว่าดี ที่เรารู้สึกว่าดี ที่มนุษย์ข้างเคียงบอกว่าอย่างนี้แหละดี

บางครั้ง สิ่งที่มนุษย์มองเห็นว่าดี พระเจ้าอาจจะบอกว่าสิ่งนี้มันดีจริง  แต่สำหรับเจ้า เราเตรียมไว้อย่างนี้ดีกว่า เห็นไหมว่าเพราะอะไร? ถ้าให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ ดีอย่างสมบูรณ์ ต้องดีตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระเจ้า

ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอาจถูกผลักดันด้วยอิทธิพล ผู้คนรอบข้าง จากเพื่อน จากที่ประชุม ให้เราถวายตัวเลย ทิ้งงาน ทิ้งการมารับใช้พระเจ้าที่โบสถ์ดีกว่า ใครๆ เขาก็ทำอย่างนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าพระเจ้าทรงเตรียมให้ท่านเป็นอย่างนั้น หรือท่านทำด้วยตัวเอง ตามคำคนอื่นเขา จากการสัมมนา ถูกผลักดันด้วยอารมณ์ต่างๆ ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ใช่หรือ? มันดูดีหมดล่ะ แต่มันดีแบบไหน?

ทำความดีงาม จากพลังอำนาจของความรัก ชนิดที่เหมือนพระเจ้า  ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่อยู่ในตัวเรา ที่พระเจ้าใส่ความปรารถนาเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณที่เกิดใหม่นั่นน่ะ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ให้พลังอำนาจตรงนี้ ในวิญญาณ ในใจของเรา เป็นแรงผลักดันในวิญญาณ  ให้เราทำดีตามใจที่เกิดใหม่ ที่มีความคิดของพระคริสต์ เหมือนพระคริสต์อยู่ข้างใน  ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ตอนเราบังเกิดใหม่  ในพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ทำตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ความคิดของเรา หรือแรงผลักดันจากผู้คนรอบข้าง แรงจูงใจจากผู้คนรอบข้าง แรงโปรโมทจากผู้คนรอบข้าง ให้มันออกมาจากใจ และมันจะมาได้อย่างไร? จะรู้ได้อย่างไร?  ก็ขอให้ตาฝ่ายวิญญาณเราเปิดออก ให้เห็น ซึมซับและรับเอา ถ้าเราไม่เห็นซึมซับและรับเอาพลังอำนาจของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา เราก็มองไม่เห็นว่าพลังอำนาจนี้ ผลักดันเราได้แค่ไหน?

เคล็ดลับจึงอยู่ที่เห็น ซึมซับและรับเอา เปาโลจึงอธิษฐานตรงนี้มาก แรงผลักดัน เป็นแรงสร้างการบันดาลใจให้กับเรา จากภายใน ในการกระทำดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า บางครั้ง ดูตามมนุษย์มองทั่วๆ ไป มันเหมือนดีนะ แต่ดีจริงหรือเปล่าไม่รู้ 2 โครินธ์ 5:14-15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

2 โครินธ์ 5:14-15 “14 เพราะว่าความรักของพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่  เพราะเราคิดเห็นอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง  เหตุฉะนั้น  คนทั้งปวงจึงตายแล้ว 15 และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์ เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้เป็นอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป  แต่จะอยู่เพื่อพระองค์  ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมา เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

 

เห็นไหมครับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยพระเจ้า เพื่อพระเจ้า และแด่พระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย พระองค์ทรงกระทำการงาน โดยพระองค์เองทั้งสิ้น ขอให้เราเพียงแต่เห็น ซึมซับ และรับเอาพลังอำนาจความรักตรงนี้เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง เดี๋ยวความรักนี้จะผลักดันท่าน ให้เป็นไปตามธรรมชาติเอง เพราะว่าความรักของรพระคริสต์ได้ครอบครองเราอยู่

ทรงครอบครองตรงนี้ สามารถแปลได้ว่าเพราะความรักของพระคริสต์ได้ผลักดัน ได้เป็นกำลัง พลังมหาศาล ควบคุมเราอยู่ เหมือนสมัยก่อนนี้ ก่อนที่เรายังไม่เชื่อ เรามีพลังควบคุมเรา ก็คือมาร ก็คือบาป ผลักดันเราอยู่ แต่ตอนนี้มีแรงสนับสนุนจากข้างใน  เป็นตัวตนของเราจริงๆ คือฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักของพระคริสต์ ของพระเจ้า ควบคุมภายในใจ ภายในวิญญาณที่เกิดใหม่นี้อยู่ เพราะเราคิดอย่างนี้ว่าถ้าผู้หนึ่งได้ตาย เพื่อคนทั้งปวง เหตุฉะนั้น คนทั้งปวง จึงตายแล้ว เพราะเราคิดอย่างนี้ ก็คือเพราะเรารู้ไง  เรารู้ว่าเราตายไปแล้ว ตัวเก่านั้น ตายจากอาดัมไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์

และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์  เพื่อคนทั้งปวง รวมทั้งตัวเราด้วย  เพื่อคนเหล่านั้นจะได้มีชีวิตอยู่ จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป ก็หมายถึงพระองค์ทรงตาย เพื่อเราจะได้บังเกิดใหม่ พอเราเกิดใหม่ พระองค์ทรงใส่ชีวิตใหม่ เข้ามาในวิญญาณของเรา  ทำให้วิญญาณของเราตรงนั้น ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เราตัดสินใจว่าจะอยู่เพื่อตัวเอง แต่วิญญาณที่เกิดใหม่นั้น มีลักษณะ คือไม่ได้อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เหมือนพระเยซู อยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า เป็นธรรมชาติ มันเกิดใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง

ในนี้บอกว่าแต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ คืออยู่เพื่อพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ท่านรู้แล้วว่าการอยู่เพื่อพระคริสต์นั้น มันกำเนิดเกิดมาเป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่พยายามทำอยู่ เพื่อพระคริสต์ แต่เป็นอยู่ เพื่อพระคริสต์ อาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่งตรงนี้ แต่ขอพระเจ้าทรงเปิดตาวิญญาณให้เราสามารถเข้าใจตรงนี้มากขึ้นด้วยเถิด เพราะเป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันมหาศาลที่พระเจ้าทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ท่านจะไม่ได้อยู่ เพื่อตัวเองอีกต่อไป  เมื่อท่านเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว กำเนิดเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นธรรมชาติเลย ท่านจะอยู่เพื่อพระเจ้า ให้พระเจ้าใช้ เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราอ่านในเอเฟซัส  พระเจ้าทำให้ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้รับใช้พระองค์แล้ว ในวิญญาณ

การทำดีของเรา สามารถเกิดจากแหล่งพลังงาน การบันดาลใจ ผลักดันได้ 2 ทาง คือ …

  1. เราสามารถทำดี ด้วยพลังจากใจ  จากวิญญาณ  ที่ตะกี้บอกว่าพระเจ้าใส่เข้ามาตอนเรากำเนิดเกิดใหม่ หรือ …
  2. เราสามารถทำดี จากความคิดของเรา จากพลังของความตั้งใจ จากสิ่งแวดล้อม จากความรู้สึกจูงใจ จากการมองเห็นผู้คนต่างๆ บนโลกใบนี้

มี 2 อัน พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คืออันหนึ่งเห็นความรักของพระเจ้าในโลกวิญญาณ อีกอันหนึ่ง เห็นบนโลกใบนี้  สัมผัสแตะต้องได้บนโลกใบนี้ว่ามีความรู้สึกอยากจะรับใช้ ใครๆ เขาก็รับใช้กัน พอมองออกนะ

ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่ทำบาป เพราะกลัวว่าจะต้องรับผลการกระทำที่ไม่ดีนั้น หรือกลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ กลัวว่าจะไม่ได้รับความรอด เมื่อตายไปแล้ว การทำดีในลักษณะนี้ เป็นการทำดีตามกฎ ซึ่งบัดนี้เราได้ตาย เป็นอิสระจากกฎต่างๆ แล้ว  ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เป็นการกระทำจากพลังงานของตนเอง จากความคิดจิตใจของตนเอง พึ่งพาตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อีกแล้ว  แต่ดูเหมือนดี ก็ออกมา เป็นการทำดี แต่เรียกว่าแรงแบ็ค แรงผลักดันนั้น คือความกลัว  มันจึงเป็นความดีที่ไม่สมบูรณ์

มาดูความดีอีกแบบหนึ่ง  แต่ถ้าเราไม่กระทำบาป เพราะมีแรงผลักดันจากใจที่บังเกิดใหม่ วิญญาณที่ได้เกิดใหม่ ที่ได้รับรู้ความจริง และสัมผัสรับเอา  ซึมซับรับเอาพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจ จากความรักที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระคุณของพระเจ้า ไม่อยากทำให้พระเจ้าเสียใจที่เราดับพระวิญญาณ ไม่ทำตามน้ำพระทัย

เมื่อเราเห็นพระคุณของพระเจ้า ความรักของพระองค์ที่มีต่อเราชัดเจนอย่างนี้ การทำดีในรูปแบบอย่างนี้ เรียกว่าธรรมชาติจากข้างใน เรียกว่าทำ ที่มาจากพลังอำนาจแห่งความรัก ภายในจิตใจที่รับรู้ว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราซึมซับรับเอากำลังอำนาจจากพระเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรา  และความปรารถนาในจิตใจของเราได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนพระเจ้าแล้ว  ตัวนี้ เป็นตัวผลักดันเราออกไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีด้วย และตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อันบริบูรณ์ด้วย  อย่างนี้เราเรียกว่าดี ครบถ้วนบริบูรณ์

เคล็ดลับอยู่ที่ ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? หลายๆ คนบอกว่า …

“ฉันจะทำอย่างนี้ๆ เพื่อพระเจ้า เพราะฉันรักพระเจ้ามาก”

เคล็ดลับ คือไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้ามากเท่าไร? แต่อยู่ที่เราสัมผัส รับรู้ ซึมซับ รับเอาพลังงาน ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักของพระเจ้าที่อยู่ในจิตใจของเราได้มากเท่าไร?  เราก็รับใช้พระเจ้าได้ถูกต้องมากเท่านั้น

เหมือนกับว่าการซึมซับ เห็นความรักของพระเจ้า ซึมซับและรับเอาฤทธิ์เดชอำนาจแห่งความรักนี้เข้ามา เหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่ ความรักของพระเจ้าที่เทเข้ามาในวิญญาณของเรา ตามพระคัมภีร์ที่บอก ตอนที่เราเกิดใหม่ พระองค์เทพลังงานความรัก เข้ามาในวิญญาณ ในจิตใจของเรา  ถ้าเราเห็น สัมผัส ซึมซับและรับเอาได้มากเท่าไร? ก็เหมือนเราชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามาได้มากเท่านั้น เราก็จะมีพลัง มีกำลัง สามารถทำตามความรักของพระเจ้านั้นได้ มากขึ้นเท่านั้น

ไม่ใช่ตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ ตามกฎหมายของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ ตามระเบียบของพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้ นั่นคือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพระเจ้าต้องการให้เราทำดี และเราก็รักพระองค์ พยายามรักษากฎระเบียบ  ไม่ทำบาป ถูก แต่พลังอำนาจแห่งความรักของเราที่มีต่อพระเจ้านั้น มันมีขีดจำกัด  นี่คือเคล็ดลับ ต้องรู้ว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้านั้น มีขีดจำกัด มันมีเงื่อนไข มันจึงไม่มีพลังอำนาจเพียงพอที่จะทำให้เรารักษากฎระเบียบได้ ไปตลอดรอดฝั่งหรอก อย่าถูกหลอก แรกๆ ดูเหมือนได้ มันต้องเป็นพลังความรักมหาศาลที่มาจากพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีคำว่าถ้า หรือแม้ ไม่มีข้อแม้ ที่พระองค์ได้ทรงใส่ ทรงเทเข้ามาในจิตใจของเรา และเมื่อเรารับรู้ เห็น ซึมซับ และรับเอา ซึ่งผมใช้คำนี้ว่าชาร์จแบตเตอร์รี่ เห็น ซึมซับ รับเอา ชาร์จแบตเตอร์รี่เข้ามา ตรงนี้ต่างหาก ที่จะทำให้เกิดพลัง การขับเคลื่อนให้เรา กระทำตามเจตจำนงค์ของพระเจ้า คือทำดีตามความต้องการของพระเจ้า ที่ต้องการให้เราทำสิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัย ตามความเห็นของพระองค์อีกแล้ว ไม่ใช่ตามความเห็นของผู้คนรอบข้าง หรือตามความต้องการของเรา

พระคัมภีร์จึงให้เรามองให้เห็นเถิด  ซึมซับ และรับเอาความรักอันยิ่งใหญ่ตรงนี้ เพราะพระคัมภีร์รู้ว่าตรงนี้ เหมือนการชาร์จพลังงาน เห็น ซึมซับ และรับเอา ก็คือชาร์จพลังงาน อำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคุณ ซึ่งพระองค์ทรงเทท่วมล้นเข้ามาสู่ในวิญญาณของเราตลอดเวลาเลย เพื่อเป็นพลัง ฤทธิ์เดช แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความรักชนิดเดียวกันกับของพระองค์ ที่เราได้รับเข้ามาจากพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราไม่ได้รับตรงนี้ เราจะมีอะไรให้ออกไปล่ะ ไ ม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้แบตเตอร์รี่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่ในวิญญาณของเรามันเหือดแห้ง ไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ สมมติ 100% มันอาจหลงเหลืออยู่ 5% ทำอย่างไรให้มันครบ 100 ชาร์จสิครับ ชาร์จพลังแห่งความรักของพระเจ้าที่ไม่มีเงื่อนไขนี้อย่างต่อเนื่อง โดยการเห็นอย่างต่อเนื่อง ซึมซับอย่างต่อเนื่อง รับเอาอย่างต่อเนื่องในความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าตรงนี้เข้ามา ไม่ว่าเราจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจตามความคิดของมนุษย์ ไม่รู้แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ พระเจ้าทรงรักเรามากขนาดนี้แหละ อภัยให้เราหมดแล้ว ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราก็ยังคงเป็นลูก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วตรงนี้ รับเข้ามาทุกวันๆ เป็นพลังให้เราทำความดี ตามใจปรารถนา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในใจของเรา ปรารถนาเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในใจเรา  ธรรมชาติในใจที่เกิดใหม่นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ต้องการทำเหมือนพระเยซูคริสต์เลย พลังนี้จะเป็นตัวผลักดันให้ข้างนอก ทำตามได้

เพราะฉะนั้น ขอให้ถ้อยคำวันนี้ ได้สัมผัสเข้าไปในจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตจากพลังแห่งความรักของพระเจ้าอย่างนี้ได้ ไปตลอดรอดฝั่ง และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เป็นที่พอพระทัย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า” ตอนที่ 1 “จงมองให้เห็น ซึมซับและรับเอา” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ตอนที่ 1 “จงมองเห็นให้ ซึมซับและรับเอา”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  วันนี้วันวาเลนไทน์ สุขสันต์วันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักของโลก ก็ต้องมาพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับความรัก หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงต้องมีชื่อเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างแน่นอน ชื่อเรื่องวันนี้ คือ  “พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า”

ความรักเป็นพลังอำนาจ ความรักเป็นนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่งก็ได้ เป็นบุคคลก็ได้ ที่เราเรียกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ความรักเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช เป็นกำลังที่สามารถควบคุมความคิดจิตใจ เป็นแรงบันดาลใจ เป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ถึงแม้จะไม่สามารถเห็นด้วยตาภายนอกนี้ได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้  ก็เหมือนกับลม กับคลื่นวิทยุ ไวไฟอะไรประมาณนั้น มีอยู่จริงๆ แต่ตาเรามองไม่เห็น ความรักก็เป็นเช่นนั้นแหละ

ตัวอย่างที่จะพิสูจน์ว่าความรักมีอยู่จริง เป็นพลังอำนาจอย่างนี้จริงๆ คือเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าเราจะสังเกตเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง

ตัวอย่าง ชายคนหนึ่งมีนิสัยพาลเกเร ไม่เชื่อฟังแม่ แม่ก็คอยติดตาม คอยเตือนสติ สั่งสอนตลอดเวลา  แต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง ดื้อ เป็นพาลเกเร ติดเหล้า ติดยา ติดการพนัน เรียกง่ายๆ ว่าเสเพล ถึงขนาดทำอาชญากรรมอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปเยอะแยะ แม่เตือนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง  จนวันหนึ่งไปเล่นการพนันติดหนี้ติดสินเยอะแยะมากมาย ไปขโมยของมาใช้หนี้ ก็ไม่หมด เจ้าหนี้ก็ตามจับ ล่าตัวมา ทำร้าย จะฆ่าให้ตาย ถ้าเผื่อไม่เอาเงินมาใช้หนี้

คราวนี้แม่รู้เข้า แม่ก็เดินทางมาหาเจ้าหนี้ มาวิงวอน ขอความเมตตา คุกเข่า กราบ ร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน บอกว่า …

“ช่วยปล่อยลูกเขาไปด้วยเถิด มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เขาจะชดใช้ให้หมดทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเอาชีวิตเขาไป ก็ได้ แลกกับลูก”

ในขณะที่ร้องห่มร้องไห้ คุกเข่าขอความเมตตากับเจ้าหนี้นั้น ลูกที่ถูกจับอยู่ มองผ่านหน้าต่างมาเห็น แม่กำลังคุกเข่าขอชีวิต ขอให้ปล่อยลูก โดยที่ยอมทำอะไรก็ได้  ยอมตายก็ได้ ก็เกิดซึมซับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขตรงนี้ของแม่  เพราะเขาเห็น  เขาจึงซึมซับ รับเอาความรัก พลังนี้เข้ามา ผลักดันให้จิตใจเขา กลับใจใหม่ จะเลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเป็นพาลเกเร จะกลับตัวใหม่  ก็เลยมาขอร้องเจ้าหนี้บอกว่า …

“ปล่อยแม่เขาไปเถอะ แล้วเขาขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง  เขาจะกลับไปทำมาหากิน แล้วจะนำเงินมาชดใช้ให้”

เจ้าหนี้ก็โอเค ให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ก็ปล่อยเขาไป แล้วก็ตามทวงหนี้ต่อไป ชายคนนี้ก็กลับออกไป แล้วก็กลับนิสัยใหม่เลยนะ สิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้  ก็กลับทำได้ เลิกติดยา เลิกเหล้า เลิกเป็นพาลเกเร ทำงานด้วยความสัตย์ซื่อ สุจริต อดทน ค่อยๆ เอาเงินที่ได้มาผ่อน ใช้หนี้ไปจนหมดสิ้น  ตั้งตัวได้ เป็นคนดีในที่สุด

ถามว่า … “เพราะอะไร?”

เพราะพลังแห่งความรัก ที่เขาได้เห็นกับตาเขา ในวันนั้น ได้ซึมซับเอาสิ่งที่เขาเห็นนั้น มันมีพลังบางอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนั้น คือแม่สำแดงความรัก ที่มีต่อเขาอย่างชัดๆ จนกระทั่งเขาสามารถเห็นและสัมผัสได้ และซึมซับเอาพลังความรักนั้นเข้ามาในจิตใจของเขา ทำให้เกิดมีพลัง แรงผลักดัน ช่วยเขาทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ กลับทำได้ กลับเป็นคนดีได้

นี่พิสูจน์ให้เราเห็นว่าความรักนั้น จับต้องมองเห็นได้ ด้วยวิธีนี้แหละ เหมือนคลื่นวิทยุ ด้วยพลังของความรักของแม่ที่ได้ซึมซับผ่านทางตาที่มองเห็น และจิตใจที่เปิดออก รับเอาพลังอำนาจนั้นเข้ามาลึกๆ ในจิตใจของเขา ได้กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ เป็นแรงบันดาลใจ ทำให้เขาสามารถหยุดการกระทำที่ไม่ดีต่างๆ ที่เรียกว่าการกระทำชั่วนั้นได้ ซึ่งเขาพยายามมาตลอดเวลาในชีวิต ด้วยกำลังของตนเอง ไม่เคยทำได้

ถามว่าเขารักแม่ไหม? เขารักแม่นะ  ถามว่าตอนที่เขาทำชั่วอยู่ เขารักแม่ไหม? เขารักแม่ แต่กำลังความรักที่เขามีต่อแม่ และกำลังของเขาเองไม่พอ ที่จะทำให้เขาทำดีได้  ต้องด้วยพลังเสริมจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากแม่ของเขา มาสู่เขา แล้วเขาสัมผัสรับรู้ได้ ซึมซับเอาเข้ามาได้  นี่จึงเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ที่ช่วยให้เขาสามารถทำสิ่งที่ไม่ดี กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้

“ด้วยการเห็น ซึมซับ และเปิดใจรับเอา” ตรงนี้จะเป็นหัวใจหลักในการบรรยายในวันนี้

เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ก็คือฤทธิ์อำนาจ เป็นพลังงาน มหาศาล เป็นฤทธิ์เดช รับเอาความรักที่ไม่เงื่อนไขของแม่นั้น เข้ามาในใจของเขา  และพลังอำนาจนี้ ก็ทำให้เขาชนะความบาปชั่ว ซึ่งเขารู้ว่ามันไม่ดี อยากเลิก แต่มันเลิกไม่ได้ แต่พลังอันนี้มาช่วยได้

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องที่เล่าเมื่อสักครู่นี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ บนโลกใบนี้ สังคมนี้ เพียงแต่เราจะสังเกตหรือไม่สังเกต จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เลย ความรักชนิดที่ไม่มีเงื่อนไขของพ่อและแม่ ทำให้เกิดอัศจรรย์อย่างนี้ขึ้นบ่อยๆ หลายๆ ครอบครัว

เช่นเดียวกัน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ที่ความรักของพระเจ้าสามารถมีพลังอย่างนี้ได้ ด้วยการเห็น การเปิดใจ การซึมซับ  รับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ซึ่งเป็นพลังอำนาจ เป็นฤทธิ์เดชมหาศาลเข้ามาในใจของเรามนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก  และทรงรักเรายิ่งนัก มากกว่าเรื่องมนุษย์สักเท่าไร อัศจรรย์อีกมากขึ้นเท่าไร? ลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าเผื่อเราได้เห็น ซึมซับ เปิดใจรับเอาความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า เข้ามาในใจของเรา อะไรจะเกิดขึ้น? พลังอำนาจแห่งความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าก็จะผลักดันเรา ควบคุมเรา จูงใจเรา บันดาลใจเรา ครอบครองเรา ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตที่ดีงามในทางของพระองค์ได้  ที่เราอยากจะทำ แต่มันทำไม่ได้ คราวนี้มีบางอย่างมาช่วยเราแล้ว คือความรัก

          … พลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า …

– ทำให้เรามีความสามัคคีเป็นหนึ่ง ทั่วโลกเลย ไม่เคยเห็นหน้ากัน ก็เป็นหนึ่งเดียวกันได้

– ทำให้เรามั่นใจในการยืนต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซึ่งเราไม่กล้าที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์เลย  เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนบาป และไม่บริสุทธิ์พอ แต่ด้วยความรัก ที่เราซึมซับรับเอา จากพระเจ้าทำให้เราสามารถที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา เป็นพ่อของเรา

– และพลังอำนาจนี้ ทำให้เราสามารถรักผู้อื่น เหมือนรักตนเองได้

นี่แหละคือเคล็ดลับ  เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ ให้เห็น และซึมซับ รับเอาความรักของพระเจ้าตรงนี้แหละ ซึ่งเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตรงนี้ เข้ามาในชีวิตของเรา เพื่อเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตของเรา เพื่อให้มันเกิดผล เหมือนเรื่องที่เราฟังเมื่อสักครู่นี้  แต่มันยิ่งใหญ่กว่ามากเลย

ท่านคงถามว่า … “แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไขนี้ เป็นอย่างไร?”

เมื่อตะกี้เราดูเล็กๆ น้อยๆ จากมนุษย์ ความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข แล้วความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ลักษณะมันเป็นอย่างไรตามสายตาของมนุษย์

ยกตัวอย่างง่ายๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี”

คิดให้ดีๆ … “พ่อจะรักลูกมากนะ ถ้าลูกเป็นคนดี” … อย่างนี้มีเงื่อนไขไหม?  … มี … แล้วถ้าลูกไม่ได้เป็นคนดีล่ะ ยังรักหรือเปล่า? มีเงื่อนไข ก็คือไม่รักนั่นเอง ถ้าลูกเป็นคนดีพ่อจะรัก

“แม่จะรักลูกมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟัง”

แล้วถ้าเกิดลูกไม่เชื่อฟังจะมีอะไรเกิดขึ้น?

มันน่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่านะ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข มันจะเป็นอย่างนี้ …

“พ่อรักลูกมากที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเป็นคนดีหรือไม่ดี จะทำชั่ว จะทำเลวขนาดไหนก็ตาม พ่อก็รักเจ้าที่สุด”

อย่างนี้แหละไม่มีเงื่อนไข

“แต่พ่อจะมีความสุขมาก ถ้าลูกเชื่อฟังและลูกเป็นคนดี”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม แม่จะรักลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นคนอย่างไร? แม่ก็รักลูกไม่เปลี่ยนแปลง แต่แม่จะสบายใจมากที่สุดเลย ถ้าลูกเชื่อฟังแม่นะ”

อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ที่ไม่มีเงื่อนไข ลองสังเกตดูว่าท่านอยู่ ณ ตำแหน่งไหน? พูดกับลูกของท่านอย่างไร? หรือคิดกับคนข้างเคียงของท่านอย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความรัก

“ผมรักคุณ … ฉันรักคุณมากเลย ถ้า ….” หรือ “ฉันรักคุณ” ไม่มีคำว่า “ถ้า”

เรามารับรู้ เรียนรู้ เพื่อจะได้เห็นถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า  ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้  เห็นเพื่อจะซึมซับ เพื่อจะรับเอาพลังอำนาจของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าเข้ามา

อันดับแรกต้องเรียนรู้ให้เห็นก่อน เหมือนกับเรื่องที่เล่าตอนแรก ชายคนนั้น รับพลังอำนาจความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของแม่ เพราะเขาได้เห็น เห็นจากข้างในของเขาเลยว่านี่คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  แล้วเขาก็ซึมซับรับเอา มันจึงเกิดผล

เรามาเรียนรู้รักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เริ่มต้นที่โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:8 “แต่​พระเจ้าได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​ มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​อยู่”

 

“ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” … “คนบาป” หมายถึงอะไร?

บางคนบอก … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป”

อาจจะไม่เข้าใจว่าคนบาป หมายถึงอะไร?  ก็หมายถึงทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นชั่วอยู่ เป็นคนบาป แต่ในพระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงเป็นคนที่เกิดมา เป็นบาปเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านไม่ได้ทำบาปเลย นั่งอยู่เฉยๆ ท่านก็บาป เพราะว่าท่านเกิดมาเป็นคนบาป และในชีวิตท่านก็เคยได้ทำบาป  และมันก็เป็นคนบาปนั่นแหละ

ในนี้บอกว่า … “พระเจ้าสำแดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ ยังกระทำชั่ว”

บางคนบอกชั่วอย่างไร? ยังไม่เห็นชัด ผมจะแปลตรงนี้ให้ เป็นอย่างนี้ ข้อความเมื่อตะกี้นี้บอกไว้อย่างนี้ว่า …

“พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ (พ่อก็คือพระเจ้า) รักเรา (เราคือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้) แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป”

ทำไหม? คิดกันใหญ่ โกหกไหม? เกลียดคนไหม? ทำผิดศีลธรรมหรือเปล่า? แค่นั้นไม่พอ แม้ว่าเรายังทำชั่ว ทำบาป เกลียดพ่อ (พ่อหมายถึงพระเจ้า) นึกในใจท่านว่าท่านเกลียดพ่อไหม? พระเจ้าผู้สร้างท่าน

นี่ข้อความเมื่อสักครู่ มันหมายถึงอย่างนี้  ความบาป คนบาป หมายถึงคนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ว่าพระเจ้า เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงหมายความว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา รักเรา มนุษย์ทั้งหลายยิ่งนัก แม้มนุษย์ยังทำชั่ว ทำบาป  เกลียดพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า กล่าวหาพระเจ้า ใส่ร้ายพระเจ้า สาปแช่งพระเจ้า ล้อเลียนพระเจ้า ทำอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ทั้งหมดเลย โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ก็คือเป็นบิดา คือเป็นพ่อนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ตรงนี้จะเห็นชัดเจนเลยว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักเรามาก ถึงขนาดเราจะเกลียดพ่อ กบฏต่อพ่อ กล่าวหาพ่อ ใส่ร้ายพ่อ สาปแช่งพ่อ ล้อเลียนพ่อ ทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้พ่อเสียใจ ทำหมดทุกอย่าง แม้ว่าจะทำอย่างนั้นก็ตาม พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ผู้นี้ ก็ยังรักเรามาก

ถ้าใครที่อยากเห็นและสัมผัสความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ ซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งความรักยิ่งใหญ่ เรากำลังพูดถึงพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่รักมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ รักคน รักมนุษย์ ถ้าอยากสัมผัส รับรู้ และเห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์ว่ามากขนาดไหน? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ให้มองไปที่กางเขน  ความทุกข์ทรมานของพระบุตร  และการสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพ่อ ของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักมาก มีลูกชายอยู่คนเดียว ท่านคิดดู ยอมให้ลูกมาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และทนทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้

ท่านคิดว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อชำระบาป  และการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมวล แบบสนิทชิดเชื้อ เป็นวิญญาณเดียวกันตลอดไป

สิ่งเหล่านี้ที่ทำที่ไม้กางเขน การตายด้วยความทุกข์ทรมานของพระเยซู การถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นเครื่องหมายยืนยันถึงความรักของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด และเป็นพลังงานอำนาจที่เป็นฤทธิ์เดช สำหรับมนุษย์ทั้งหลายที่ได้เห็น ได้ซึมซับ ได้รับเอาความจริงตรงนี้เข้าไป

ความรักสำแดงออกที่ไม้กางเขน ชำระเราให้บริสุทธิ์ แล้วมาอยู่ สนิทชิดเชื้อกับเรา มาโอบกอดเรา ในวิญญาณของเราตลอดไป โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

ความรักของมนุษย์ สำแดงออกที่เวลา  เวลาเป็นสิ่งที่สำแดงให้เห็นชัดมาก ถึงความรักที่เรามีต่อใครก็ตาม ถ้าพ่อและแม่รักลูก ไม่ใช่เฉพาะหาเลี้ยง ให้เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ซึ่งก็ให้ด้วยความรัก ถูกต้อง แต่ลึกซึ้งกว่านั้น  ที่ทำให้ลูกสัมผัสถึงความรักของพ่อและแม่ได้มากขึ้น และชัดเจน และไม่มีวันลืมเลย ก็คือเวลาที่พ่อแม่ให้กับลูก นั่นแหละสำคัญ

ผมเคยบอกบ่อยๆ เลี้ยงลูก 10 ปีแรก ตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งถึงอายุ 10 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากเลย เขาก็ไม่ได้อยากจะได้สิ่งของมากมายเท่าไร? ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งก็ดีอยู่ แต่สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด คือเวลาจากพ่อและแม่ ที่จะอยู่ใกล้ๆ เขา โอบกอดเขา พูดคุยกับเขา ใช้เวลากับเขา ถ้าผมเลี้ยงลูก แล้วบอกว่ารักเขา ก็ดีอยู่ ตื่นขึ้นมา ก็บอกว่า …

“พ่อรักนะ”

แล้วพ่อก็ไปทำงาน  กลับมาดึกดื่น จะเจอเขาหรือไม่เจอเขาก็แล้วแต่  เจอเมื่อไร? ก็ … “พ่อรักนะ” … แล้วพ่อก็ไปทำงาน … “แม่รักนะ” … แล้วแม่ก็ไปทำงาน ฟังดูดีหมดแหละ ไปทำงานเพื่อเจ้า เขาเรียกว่าเด็กขาดความอบอุ่น ถูกไหม?

แต่ถ้าเราบอกว่า … “พ่อแม่รักเจ้านะ” … แล้วใช้เวลากับเขาด้วย  มีเวลาเมื่อไร อยู่เล่นกับเขา ไม่ใช่บอกรักเขา แล้วก็ไป  เมื่อเช้าบอกรัก แต่ตอนเย็น กลับมาเร็ว มาเล่นกับเขา พาเขาไปขี่จักรยาน  พาเขาไปว่ายน้ำ เล่นสนุกสนานกับเขา เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงแล้วแต่ นี่แหละคือความรักที่สำแดงออก ปากพูดว่ารักมันง่ายนะ  แต่การสำแดงออก คือการใช้เวลากับเขามันยาก  เราอยากไปทำอะไรส่วนตัวของเราบ้าง? เราคงคิดอย่างนั้น แต่เขาอยากได้เวลาจากเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่ยังเล็กๆ อยู่ ไปไหน? พาเขาไปด้วย แทนที่จะบอกรักอย่างเดียว กอดแค่นั้น นอกจากกอดแล้ว ยังพาไปเล่นอีกต่างหาก ไปสวนสนุกอีกต่างหาก สนุกสนานด้วยกัน เล่นน้ำด้วยกัน หัวเราะ เล่นตลกให้เขาดู เล่านิทานให้เขาฟัง อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าความรักที่สำแดงออก คือเวลาที่ให้

พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือฮีบรู 13:15 และอีกหลายๆ ข้อในพระคัมภีร์เลย …

พระเจ้าบอกว่า … “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า และทอดทิ้งเจ้าเลย”

นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้าว่า … “เราจะไม่ละเจ้า ไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ ตลอดไป เราจะอยู่กับเจ้า และจะอยู่กับเจ้าตลอดไป”

วิวรณ์ 1:4-5 บันทึกไว้อย่างนี้ … “4 ขอพระคุณ และสันติสุข มีแก่ท่านทั้งหลายจากพระองค์  ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบัน และดำรงอยู่ในอดีตและจะเสด็จมา และจากวิญญาณทั้งเจ็ด หน้าพระที่นั่งของพระองค์ 5 และ​จาก​พระเยซู ​ผู้​เป็น​พยาน​ที่​ซื่อสัตย์ เป็น​คนแรก​ที่​ฟื้น​ขึ้น​จาก​ความตาย​ และ​เป็น​ผู้​มี​อำนาจ​เหนือ​กษัตริย์​ทั้งหลาย​ ใน​โลกนี้ พระเยซู​คริสต์​รัก​เรา (เสมอ) และ​ได้​ปลดปล่อย ​ให้​เรา​เป็น​อิสระ ​จาก​บาป​ของเรา ​(ครั้งเดียวเป็นพอ) ด้วย​เลือด​ของ​พระองค์(คือ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์)”

 

พระเยซูคริสต์ผู้ทรงรักเสมอ “เสมอ” คือตลอดไป หมายความว่าไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม พระองค์ทรงรักเราอยู่ และได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสรภาพจากบาป  คือไถ่บาปเรา ชำระบาปเรา ครั้งเดียวเป็นพอ การตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ด้วยความทุกข์ทรมานนั้น ครั้งเดียวเป็นพอ ยกบาปเราออก แบกบาปเราออกไปเรียบร้อยแล้ว

ในนี้บอกว่าทั้งหมดที่ทำนั้น คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ด้วยเลือดของพระองค์เอง เป็นการย้ำยืนยันว่าพระองค์รักเรามากขนาดไหน? ยอมตายเพื่อเรา พระคัมภีร์บอกว่าคนตาย เพื่อคนดี ยังพอจะมีอยู่ ยังหาได้ แต่จะหาคนที่ตาย เพื่อคนชั่วนั้นไม่มีหรอก บนโลกใบนี้ แต่พระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตาย เพื่อคนบาป คนชั่วอย่างเรา

นี่คือความรักที่สำแดงออก ให้อภัยเราด้วยเลือดของพระองค์เอง ยกหนี้บาป เวรกรรมให้กับมนุษยชาติ ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับอิสรภาพ จากการเป็นหนี้ จากการเป็นทาสบาป เป็นทาสสกปรกเป็นทาสมาร ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้สำแดงความรักอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง โดยการยกเลิกหนี้บาปทั้งสิ้น  ที่ชดใช้อย่างไร ก็ไม่มีวันหมด  มนุษย์ทุกคนก็รู้อยู่แล้วในใจว่าบาปเวรกรรม มันใช้กันไม่หมดเลย  ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนๆ ก็ใช้ไม่หมด แต่พระเยซูคริสต์ได้มาไถ่บาปเรา ด้วยชีวิตของพระองค์เอง ยกหนี้ เวรกรรมทั้งหมดของเรา ให้เราเกลี้ยงเลย  จากคนบาป กลายเป็นคนบริสุทธิ์

ท่านลองคิดดู ถ้าท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะนึกอย่างไร?  นี่คือพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่  อย่ามัวมาคอยแต่จ้องมองพระพรต่างๆ บนโลกใบนี้ที่พระเจ้าช่วยเรา  เวลาเรารู้จักพระองค์ และอธิษฐานต่อพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเรา หายจากโรคบ้าง?  ตอบคำอธิษฐานตรงโน้นบ้าง? ตรงนี้บ้าง? ให้เราอยู่สุขสบายบนโลกใบนี้บ้าง? อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่ามัวแต่นับตรงนั้น เป็นความรักของพระเจ้า อันยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าเราไปฝากความหวังและมัวแต่มองตรงนั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ซึ่งมารควบคุมอยู่ และสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน วิปริตไปตามระบบของโลกใบนี้  ที่มันกระทำให้เสียหายไป  เราก็จะไม่มั่นคงในความรักต่อพระเจ้า

พอพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน หายป่วย เราก็ขอบคุณพระเจ้า ความรักพระเจ้ายิ่งใหญ่  แล้วตอนเราป่วยล่ะ เราทำอย่างไร? นึกภาพออกไหม? ตอนที่เราสุขสบายดี โอ้! ความรักของพระเจ้า เราสัมผัสได้ แล้วตอนที่บางครั้งไม่มีความสุข ตอนบางครั้งที่พบกับความทุกข์ยากลำบากตามระบบของโลกใบนี้  แล้วตอนนั้น เราจะอยู่อย่างไร? เราควรจะมองที่ความรักของพระเจ้าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว และมันทำแล้ว  และเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนมากกว่า เป็นพลังยิ่งใหญ่  ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากที่พระองค์ได้สำแดงความรักต่อมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการยกหนี้บาปทั้งสิ้น เวรกรรมทั้งสิ้น อย่างไม่มีเงื่อนไขให้กับมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว แบบฟรีๆ เปล่าๆ  โดยพระคุณนะ โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  ยกหนี้บาปให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  ภารกิจของพระองค์ในการช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้นั้น การตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สามนั้น ไม่ใช่ทำเพื่อว่าแค่ให้มนุษย์ได้รับความรอด จากหนี้บาปทั้งหลาย ซึ่งใช้ไม่หมด ซึ่งสำคัญมากแล้ว แค่นั้นไม่พอ พระองค์ยังทรงรับเราทั้งหลายที่เป็นคนบาปนั้น มาเป็นลูกของพระองค์ด้วย

รับมาเป็นลูกของพระองค์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 จึงบันทึกเอาไว้ อย่างชัดเจนเลย จากยอห์น ซึ่งเป็นอัครสาวก ซึ่งเคยเดินกับพระเยซู เป็นผู้เดียวที่มีความ Sensitive เรียกว่ามีความสัมผัสอ่อนไหว ตอนที่เดินกับพระเยซู มีความรู้สึกสัมผัสความรักของพระเยซูที่มีต่อเขาอย่างมากเลย แล้วมากกว่านั้นอีกหลายเท่า เมื่อตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วมาเจอกับเขา เขายิ่งสัมผัสความรักของพระเจ้ามากขึ้นอีกสักเท่าไร? เยอะแยะมากมายไปหมด เขาจึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

นี่ยอห์น อย่างที่ตะกี้บอก ประวัติเขาเป็นอย่างไร?  เดินกับพระเยซู แล้วสัมผัสถึงความรัก  เห็นถึงความรักของพระเยซูอย่างไร? เขาพูดอย่างนี้

ถ้าเป็นผมหรือเป็นท่านอ่านข้อความนี้ แม้ว่าจะรู้จักความรักของพระเยซู เห็นความรักของพระเจ้าบ้าง เราคงได้อ่านแค่ …

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อพวกเราทั้งหลายนั้น มนุษย์ทุกคนนั้น  มันยิ่งใหญ่มหาศาลมากเลย  รับเราเป็นลูกของพระองค์”

เราคงพูดแค่นี้นะ  ก็คือเราสัมผัสลึกเท่าไร? เราก็จะเน้นคำพูดของเรา สรรหาคำพูดที่จะมาอธิบายให้คนเขาได้ยินว่า …

“โอ๊ย! ความรักขนาดไหน?”

นี่ยอห์นบอก ยอห์นสัมผัสมาก จึงได้เขียนในพระคัมภีร์ว่า … สมมติ พยายามทำเหมือนยอห์น

“จงมองให้เห็นเถิดว่าความรักของพระเจ้า ที่มีต่อเรา มนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  มหาศาลขนาดไหน?  รับเราเป็นลูกของพระองค์ ลูกจริงๆ นะ” พูดคำนี้เลยนะ

คำว่า “และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”  หมายถึงเป็นลูกจริงๆ  เน้นย้ำตรงนี้ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เราไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้  แต่เป็นลูก ลูกของพระเจ้าจริงๆ เพราะสมัยยอห์น  เขาเป็นคนยิว … คนยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิม เขาติดต่อกับพระเจ้ามาตลอด เขาเชื่อพระเจ้ามาเป็นพันๆ ปี สนิทที่สุด คือเขาเป็นทาสของพระเจ้า  ทาสผู้รับใช้ เป็นผู้รับใช้ ก็คือเป็นคนใช้ของพระเจ้า คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นผู้รับใช้ เขาเรียกว่าเป็นทาสของพระเจ้า แค่นี้เขาก็ดีใจแล้ว แต่ตอนนี้  พระเจ้าได้ยกฐานะ มนุษย์ขึ้นมา รวมทั้งยอห์น ก็ได้รับยกฐานะขึ้นมาว่าเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเยซูว่าไถ่บาปเขา เขาได้รับการไถ่แล้ว  พระเจ้ารับเขาไม่ได้มาเป็นทาสเหมือนสมัยก่อน ไม่ได้รับเขามาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า เหมือนสมัยก่อน แต่รับเขาเป็นลูกของพระองค์ เขาจึงเขียนคำนี้ไงว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะพี่น้องชาวยิวทั้งหลาย เราไม่ใช่ทาส เราไม่ใช่ผู้รับใช้ เราไม่ใช่คนใช้ อีกต่อไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกจริงๆ

ที่ผมพยายามพูดตรงนี้ เพื่อให้ท่านได้เห็น  ได้ซึมซับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าว่ามันยิ่งใหญ่ ขนาดไหน? ยิ่งท่านเห็นมากเท่าไร? สัมผัสมากเท่าไร? ซึมซับมากเท่าไร? ฤทธิ์อำนาจแห่งความรักนี้ก็จะเข้าไปทำการงานในชีวิตของท่านมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากอภัยความบาปผิดของเราแล้ว  โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ยังได้กระทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ในครอบครัวของพระเจ้า  มีทรัพย์สมบัติ เป็นมรดกให้อีกต่างหาก

สิ่งเหล่านี้ เป็นพระคุณ เราไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  พระองค์ให้เราฟรีๆ เปล่าๆ เลย โดยผู้ที่กระทำ ก็คือพระเยซูคริสต์ แลกด้วยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เอง พระคัมภีร์บอกว่าซื้อชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ จากโคลนตม จากความสกปรก จากความบาป ซื้อเราขึ้นมาใหม่ด้วยโลหิตของพระเยซู ถ้าเราได้เห็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้เราได้เห็นอัศจรรย์ ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อเรา และมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ที่ได้ทรงสำแดงผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ โรม 5:5 …

โรม 5:5 “และความหวัง (ในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้ว) ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระเจ้าทรงเทความรัก (อันมากมายเหลือล้น) ของพระองค์ เข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เรา”

 

“และความหวัง” ถามว่าความหวัง หวังในอะไร? และความหวังในพระสัญญา ที่สำเร็จครบถ้วนแล้วนั่นเอง ก็คือความหวังในถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และมาทำการงาน ช่วยให้เรารอดเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาใหม่จากความตายของพระองค์ ที่กระทำเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

และความหวังนี้ ไม่ใช่ความหวังชนิดที่เป็นแบบของมนุษย์บนโลกใบนี้ เรียกว่าเป็นความหวัง เพราะตามภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้  ตามภาษาโลก ความหวัง มันแปลว่าอนาคต มันยังไม่ได้นะ  แต่ความหวังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ เป็นความหวังที่เขาเรียกว่า “Now”  คือเดี๋ยวนี้ บัดนี้  ความหวังที่มันเกิดขึ้นแล้ว  ความหวังที่มันเป็นจริงแล้ว  และความหวังที่เกิดขึ้นแล้ว  ในพระสัญญา คือการงานที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว ที่ไม้กางเขน  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่ทำให้เราผิดหวัง คือไม่มีวันผิดหวัง เพราะมันเป็นจริง มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในโลกวิญญาณ แต่สัมผัสได้ด้วยอย่างที่ผมบอก ด้วยพลังของความรัก

เพราะเบื้องหลังของความสำเร็จนั้น คือพลังของความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชาติ ส่งพลังลงมา  พลังนั้น เป็นความรักผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ที่บังเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือพลังมหาศาล และสำแดงพลังมหาศาล ความรักนี้ออกมา ที่การทนทุกข์ทรมาน และการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ถ้าใครเห็น ซึมซับสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์เดชอำนาจ และความยิ่งใหญ่ ก็เกิดขึ้นในชีวิตของเขาคนนั้นทันที และพระองค์ไม่ใช่ให้เรามีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ แบบที่ตะกี้นี้บอก ความหวังแบบมนุษย์  คือไม่รู้มันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า?  แต่เป็นความหวังแบบเดี๋ยวนี้ แบบ Now เป็นความหวังในสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

และพระองค์ได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเป็นมัดจำ เป็นตัวยืนยันกับเราว่าความหวังนี้เป็นจริง พระวิญญาณได้เข้ามา เพื่อว่าพระองค์จะได้สามารถเข้ามาสนิทชิดเชื้อ แนบสนิทกับเรา ให้เวลากับเราตลอดไป ตั้งแต่วันนี้  จนถึงนิรันดร์ มาติดสนิท เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่ในตัวเรา อยู่ร่วมกับเรา  ในวิญญาณของเรา  เพื่อให้เวลากับเราตลอดไปนั่นเอง

ไม่ใช่ให้เราติดต่อกับพระองค์ นั่งอยู่บนสวรรค์ แล้วให้เราอยู่บนโลก ไถ่บาปเราแล้ว จากนี้ต่อไป เรารักกันนะ เราติดต่อกัน เราอยู่บนโลก แล้วพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ อธิษฐานกับพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้เวลากับเรา อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก การให้เวลา คือการสำแดงความรักอันยิ่งใหญ่  ผู้ที่เป็นลูกสามารถสัมผัส แตะต้องได้ชัดเจน นี่คือคำว่ารัก ถ้าพระองค์อยู่ข้างบน แล้วบอกรักเราเฉยๆ ก็ได้อยู่ แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ย้ำยืนยันในความรักของพระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ให้เห็นชัดเจน ให้เราสัมผัสได้ โดยการมาอยู่กับเราเลย มานั่งอยู่กับเรา มากอดเรา อยู่ในร่างกายเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ไว้แล้ว  เพื่อให้เรามีความมั่นใจในความรักของพระองค์ว่าพระองค์ทรงรักเรา เพราะว่าพระองค์ทรงให้เวลากับเราตลอด 24 ชั่วโมงของบนโลกใบนี้ และตลอดไปในชั่วนิรันดร์ว่าจะอยู่กับเรา และไม่ทอดทิ้งเรา  อยู่กับเราตลอดไป

พระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เป็นแผนการของพระองค์ในการไถ่บาป เราแล้ว ไม่ใช่ตั้งใจจะไถ่บาปเราเฉยๆ แต่ตั้งใจจะไถ่บาปเรา ชำระเราให้สะอาดหมดจด แล้วก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ แล้วพระองค์ก็มาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อจะใช้เวลากับเรา โอบกอดเรา นำพาชีวิตเราตลอดไป  เพื่อให้เราสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย อยู่ในร่างกายนี้แหละ จะพูดคุย ก็พูดอยู่ในร่างกายนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน พ่อกอดลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่พ่อๆ พ่ออยู่ไหนก็ไม่รู้ อยู่ไกลๆ จะอธิษฐานกับพ่อสักที ไม่รู้พ่ออยู่ไหน? ลูกอยู่ไหน? มันไกลเกิน พอนึกออกไหม?

นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะเข้ามาชำระเราให้สะอาดหมดจด และพระบิดาจะเข้ามาทำที่อยู่อาศัยในร่างกายของเรา เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายนี้  ไปไหนไปด้วยกันเลย 4 วิญญาณไปด้วยกัน  วิญญาณของเราบวกกับวิญญาณพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  พูดคุยกันตลอดเวลา ก็ได้ เพราะอยู่กับเราตลอดเวลา  พระองค์ทรงชำระร่างกายของเรา จนสะอาดหมดจด แล้วก็ถ่ายเท แบ่งปัน ให้เราได้เข้าส่วนในความรัก ในวิญญาณ เข้าส่วนในความชอบธรรม หรือความดีงามของพระองค์ เข้าส่วนในชีวิตนิรันดร์ สภาพชีวิตนิรันดร์ ก็คือวิญญาณเดียวกันกับของพระองค์ ชนิดที่เป็นของพระองค์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณ  เหมือนเป็น DNA. เดียวกันกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ ทำให้กับเรา โดยความรัก  เปลี่ยนแปลงวิญญาณของเรา ให้เป็นวิญญาณเหมือนพระองค์ ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ พระองค์เปลี่ยนแปลงให้เรา เป็นวิญญาณความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด  ไม่ใช่เป็นความอาฆาตอีกต่อไป ตัวตนจริงๆ เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพ่อของเรา พระเจ้าของเราเป็นความรัก เราเป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน เป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทางวิญญาณ เป็น DNA ทางวิญญาณก็ว่าได้

สมัยก่อนนี้เขามีคนมาซื้อขวด เขาเรียก “จิ๋วก๊วก” ตอนสมัยที่ผมเด็กๆ จะมีคนหาบตะกร้า แล้วตะโกนว่า …

“จิ๋วก๊วกมาขายๆ”

จิ๋วก๊วก แปลว่าขวดเหล้า ใครมีขวดเหล้าเก่ามาขาย  สมัยก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นขวดแก้ว ผมก็จะเก็บพวกขวดเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำอัดลม, ขวดแก้ว, ขวดยา, ขวดเหล้า ก็จะเก็บสะสมไว้ พอเห็นจิ๋วก๊วกมาขาย เราก็เรียกเขามา เขาก็จะมาคัดดู ขวดนี้ 50 สตางค์ ขวดนี้สลึงหนึ่ง อันนี้ขวดใหญ่หน่อย บาทหนึ่ง รวมทั้งหมดนี้ ได้ 2 บาท เราก็เอาขวดไปขาย

ท่านรู้ไหมทำไมขวด เขาถึงซื้อไป คือโรงงานที่ทำขวด เพื่อเอาไปใส่ สมมติว่าใส่น้ำอัดลม ใส่น้ำยาอะไรต่างๆ เขาจะซื้อขวดเก่าไปรีไซด์เคิล ชำระความสะอาดจนหมดจด ด้วยยาฆ่าเชื้ออย่างดี พอสะอาดหมดจดแล้ว เขาก็จะใส่น้ำที่เขาต้องการลงไป ยกตัวอย่างเช่น น้ำกลั่น น้ำดื่มบริสุทธิ์ ใส่ลงไป หรือน้ำอัดลมที่เขาผสมเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงไป พอเขาใส่ลงไป เขาก็จะเข้าเครื่องปิดจุก อย่างแน่นหนา อะไรก็เข้าไม่ได้อีกแล้ว

นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าทำกับเรา ตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา มันเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ซื้อเรา เหมือนซื้อขวดเก่า ขวดก็คือร่างกาย ชีวิตของเรา แล้วพระองค์เอาไปชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ล้างจนสะอาดหมดจด แล้วพระองค์ก็ทรงเทความรักของพระองค์ วิญญาณของพระองค์ วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กับวิญญาณของเรา เทเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันเข้ามา เสร็จปุ๊บ ปิดจุก โดยใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดจุก แล้วผนึกตรา อยู่ในนั้นเสร็จเรียบร้อย  นี่คือตามหลักพระคัมภีร์แป๊ะเลยนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะเอาน้ำนั้นออกไปได้แล้ว เพราะว่าจุกปิดแน่นหนามาก

พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้เทวิญญาณของพระองค์ ได้เทความรักอย่างล้นเหลือ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปในใจของเรา  ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พอเทเข้ามา แล้วพระองค์ทรงปิดฝาอย่างแน่นเลย เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ด้วยกัน โรม 8:35-37 …

โรม 8:35-37 “35 ใคร​จะ​แยก​เราออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์​มี​ต่อ​เรา​ได้ ไม่​มี​เลย แม้แต่​ความ​ทุกข์ยาก​ หรือ​ความ​ลำบาก หรือ​การ​ถูก​กดขี่​ข่มเหง หรือ​ความ​อดอยาก​หิวโหย หรือ​การ​เปลือยกาย หรือ​อันตราย​ต่างๆ 36 หรือ​แม้แต่​การ​ถูก​ฆ่า​ฟัน ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ที่​พระคริสต์มี​ต่อ​เรา​ได้ 37 แต่​ใน​ทุก​สิ่ง​ทุก​อย่างนี้ เรา​ก็​ได้รับ​ชัยชนะ​อัน​ยิ่งใหญ่ ​ผ่าน​ทาง​พระองค์ ​ผู้​ได้​แสดง​ความรัก​กับ​เรา”

 

พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างนี้ พระองค์ทรงเทความรักอันล้นเหลือของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณเข้ามาในใจ ในวิญญาณของเรา แล้วก็ปิดฝาสนิท โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีใครที่ไหน? หน้าไหน? จะแยกเรา เอาเราออกไปจากความรัก ที่พระเยซูคริสต์ได้เทลงมาให้กับเรา

ความหมายตรงข้อพระคัมภีร์ตรงนี้ คำว่า “ใครจะแยกเราออกจากความรัก” ความรักตรงนี้เป็นคำนาม หมายถึงสิ่งหรือของ ใครจะแยกเราออกจากความรักที่พระเยซูเทให้กับเราลงมาในวิญญาณของเรา  มันแปลว่าอย่างนั้น ไม่มีเลย จะเป็นความทุกข์ยาก ความลำบาก หรือไม่มีเลย

ในตอนจบบอกว่าและในทุกสิ่งทุกอย่าง ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ เราก็ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ผ่านทางพระองค์ … ไม่ได้แสดงความรักแล้ว ความรักตรงนี้เป็นกริยาแล้ว ตรงกันข้ามกับบรรทัดแรก ตรงนี้ผ่านทางพระเยซูหรือพระองค์ผู้ได้รักเรา แค่นี้เอง ถ้าท่านเห็นชัดเจนในเรื่องเกี่ยวกับคำนามกับคำกริยาอย่างนี้ ท่านจะได้เข้าใจว่าความรักเป็นคำนาม เป็นสิ่งๆ หนึ่ง เป็นของชิ้นหนึ่ง เห็นภาพ เป็นน้ำที่อยู่ในขวด ที่ชำระแล้ว  แล้วปิดผนึก โดยพระวิญญาณ ท่านจะได้เห็นภาพ แล้วพระเยซูหรือพระเจ้าใส่ความรักนั้นลงมาในขวด หรือร่างกายของเรานี้  คราวนี้มากริยาแล้ว เพราะพระองค์ทรงรักเรา เผอิญใช้คำว่ารักเหมือนกัน มันจะได้เห็นชัดขึ้น

พูดง่ายๆ ว่าใครจะมาเอาความรักที่พระเยซูคริสต์เทใส่ลงไปในขวดนี้ ในร่างกายของเรานี้ ใครจะเอาความรักนี้ออกไปได้ ไม่มีทางแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเรา วิญญาณแห่งความรักแล้ว ใครเอาความรักออกไปจากวิญญาณเราได้ ไม่มีทาง ด้วยความรักของพระองค์ จึงใส่ให้เรา ซึ่งเป็นการใส่ โดยผ่านทางความรักของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย และด้วยความรักนี้ จึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาเอาความรักนี้ออกไปได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ถ้าเป็นปัจจุบัน ก็คือไม่ว่าจะเป็นไวรัสโควิด ก็ไม่สามารถเอาความรักนี้ออกไปจากวิญญาณ ในร่างกายของฉันได้ ไม่ว่าจะเป็นผลของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตกงาน ร้านขายของ ขายไม่ได้ หรือติดเชื้อ หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หรือแม้กระทั่งสงคราม หรือการถูกข่มเหงรังแก หรือแม้ความตาย ก็ไม่สามารถเอาความรักที่พระเยซูเทลงมา ปิดผนึกตลอดไป ชั่วนิรันดร์แล้ว

ถ้าท่านเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะได้ซึมซับเอาพลังความรักนี้เข้ามาในชีวิตของเรา อ่านต่อไปในโรม 8:38-39 …

โรม 8:38-39 “38 เพราะเรา​มั่นใจ​ว่าไม่ว่า​จะ​เป็น​ความตาย​หรือ​ชีวิต ทูตสวรรค์​หรือ​เทพเจ้า สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​ใน​ปัจจุบัน​ หรือ​สิ่ง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​อนาคต 39 พวก​วิญญาณ​ที่​มี​ฤทธิ์​อำนาจ สิ่ง​ที่​อยู่​เหนือ​เรา หรือ​สิ่ง​ที่​อยู่​ต่ำ​กว่า​เรา หรือ​อะไรก็​ตาม​ที่​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา พวก​มัน​ก็​ไม่​มี​ทาง​แยก​เรา​ออก​จาก​ความรัก​ของ​พระเจ้า ​ที่​เรา​เห็น​ใน​พระเยซู​คริสต์เจ้า​ของ​เรา”

 

พระเจ้ากำลังบอกเราว่า … “ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าก็ตาม ความรักของเราช่วยเจ้าได้แน่นอน อยู่กับเจ้าแน่นอน เราจะพาเจ้าผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไปจนกระทั่งนิรันดร์ เราจะไม่ปล่อยปละละเลยเจ้า ให้เจ้าเหมือนกับลูกกำพร้า ไม่มีใครดูแล เพราะเราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าอยู่กับเจ้าเสมอตลอดเวลา นิ่งเสียเถิดเราอยู่กับเจ้าด้วยความรัก”

เปาโลจึงเขียนคำนี้ ขึ้นต้นชัดเจน พอเปาโลได้เห็น ได้ซึมซับพลังอำนาจของความรักของพระเจ้าอย่างนี้ เปาโลจึงเขียนคำนี้ว่า …

“เพราะเรามั่นใจว่า …”

เปาโลมั่นใจ เพราะเขาได้เห็น ได้ซึมซับเอาความรักของพระเจ้าเหล่านี้เข้ามาแล้ว ผ่านทางการงานของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ทนทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งถึงถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เขาเห็นและซึมซับ รับรู้ ความจริงเหล่านี้ เข้ามาในชีวิตของเขาแล้ว  เขาจึงบอกว่าเขามั่นใจ ถามตัวเราเองว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราพูดคำนี้ไหมว่าเรามั่นใจมากเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือเทพเจ้า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ หรือนอกโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตาม ตอนไหนก็ตาม ไม่มีอะไรที่จะมาแยกเรา  เอาความรักนี้ ออกไปจากชีวิตของเราได้เลย เพราะเราเป็นความรักนี้ไปแล้ว ความรักของพระเจ้ามาอยู่ในเรา และเราอยู่ในความรักของพระเจ้าไปแล้ว

บรรทัดสุดท้ายจึงได้เขียนไว้อย่างนี้ว่า … “พวกมันก็ไม่มีทางแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าที่เราเห็น ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

ท่านเห็นหรือยัง? ท่านอาจจะรับรู้เรื่องพระเยซูคริสต์ตายเพื่อท่าน ที่ไม้กางเขน แต่ท่านเห็นความรักของพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแล้วหรือยัง? ท่านอาจจะเห็น มีรูปเขียนอยู่ มีรูปวาดให้ดู มีรูปถ่ายให้ดู ท่านอาจจะเห็น แต่ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นหรือไม่? ถ้าท่านรับรู้ด้วยตาเนื้อ รับรู้ด้วยภาพ รับรู้ถ้อยคำในพระคัมภีร์ แล้วรับรู้เสร็จแล้ว ตาฝ่ายวิญญาณท่านเห็นเข้าไป ในความจริงเรื่องนี้  แล้วก็ซึมซับเอาความรักของพระเจ้านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน  เปิดใจต้อนรับเข้ามา นี่แหละ มันจึงจะเกิดผลได้ มันจึงจะสปาร์คติด เป็นการปฏิบัติการกระทำบนโลกใบนี้ ชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนกับเรื่องแรกที่ได้เล่าให้ฟัง ชายหนุ่มคนนั้นที่เปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่หมดเลย  โดยการสัมผัส ซึมซับเอาความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไข ที่มีต่อเขา ซึมซับ สัมผัส รับเอา เข้ามาได้ ในสิ่งที่เขาเห็น

นี่คือคำสัญญาจากพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ  ที่หนักแน่นและมั่นคง ในความรักที่มีต่อเรา ลูกๆ ของพระองค์ ไม่ใช่เฉพาะในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ไปถึงชั่วนิรันดร์ว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีฤทธิ์อำนาจที่อยู่เหนือเรา หรือสิ่งที่อยู่ใต้เรา ไม่มีอะไรก็ตามที่จะถูกสร้างขึ้นมา ที่มันจะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้ ไม่มีทางแล้ว เราอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์ทรงกอดเราอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะมัวแต่กลัวว่าทำอย่างโน้นได้ไหม? ทำอย่างนี้ได้ไหม? ทำอย่างนี้แล้วจะไม่ได้ไปสวรรค์ ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะทิ้งเรา คิดใหม่ซะให้ดีๆ มันถูกหรือไม่ถูก? มีข้อแม้ไหม? ความรักของพระเจ้าไม่มีข้อแม้ ทำอย่างโน้นอย่างนี้พระเจ้าจะลงโทษ

ต้องบอกว่าทำอย่างโน้นอย่างนี้ปุ๊บ พระเจ้าจะเสียใจ อย่างนี้สิถูก คงรักเราเหมือนเดิมแหละ แต่พระองค์เสียใจ พระองค์อยากให้เราได้สิ่งที่ดีๆ ได้รับผลตอบแทน ได้มีความสุข บนโลกใบนี้ ถ้าเราโกรธ ไปเกลียดคนอื่นเขา มันก็ทุกข์ มันก็เครียด พระองค์ก็เสียใจ พระเจ้าบอกว่า …

“เราจะไม่มีวันละทิ้งหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เราจะอยู่กับเจ้า  เรารักเจ้าถึงนิรันดร์”

ความรักของพระองค์เป็นนิรันดร์

“ไม่ว่าเจ้าจะชั่วหรือจะดีขนาดไหนก็ตาม เรารักเจ้าชั่วนิรันดร์”

พระเจ้ากำลังตรัสกับเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งคนที่เชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว หรือยังไม่เชื่อเรื่องนี้ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับเราทั้งหลายว่า …

“เรายังคงรักเจ้าดั่งแก้วตาดวงใจของเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือไม่ทำดีเลยก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจเราก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้สึกอย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงรักเจ้าเหมือนเดิม วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ตลอดไป เอเมน”

นี่คือคำพูดของพระเจ้าที่พูดต่อมนุษย์ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ พระองค์ก็เป็นอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง รักของเราที่มีต่อเจ้า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแม้ ไม่มีคำว่าแต่ ความรักของพระเจ้าอย่างนี้แหละ จึงเป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินชีวิตของคริสเตียนทุกคนบนโลกใบนี้ และของมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ถ้าเขารู้และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เราจึงจำเป็นมาก ที่ต้องเรียนรู้ รับรู้ และให้เห็น ซึมซับรับเอาพลังอำนาจ ซึ่งเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้ เข้ามาในชีวิตของเรา ในการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อจะได้เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข พักสงบ ในความรักของพระองค์ ในพระคริสต์ตลอดเวลา และตลอดไป

เรามาอ่าน 1 ยอห์น 3:1 อีกครั้ง …

1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน

 

“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระบิดาที่มีต่อเรานั้น  มากมายมหาศาลขนาดไหน? ถึงขนาดเรียกเราว่าลูกของพระองค์ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ จงมองให้เห็นเถิด”

อยากให้พี่น้องทั้งหลายในวันนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยังก็ตาม จงมองให้เห็นเถิด วันนี้วันวาเลนไทน์ จงมองให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพลังอันมหาศาล ที่จะช่วยชีวิตของท่าน ไม่ใช่ช่วย ณ ปัจจุบันในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ถึงชีวิตหน้า ไปชั่วนิรันดร์ ท่านต้องพึ่งมหัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจของความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ไม่มีเงื่อนไข สำหรับท่านนี้ โดยการ … จงมองให้เห็นความรักของพระองค์เถิด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ที่ทำให้ท่านได้ สามารถเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นลูกของพระองค์จริงๆ … พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2021 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  กุมภาพันธ์  2021

 เรื่อง “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”

โดย   นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เป็นครั้งแรกที่เราร่วมกันทำมหาสนิทแบบ New Normal คืออยู่คนละสถานที่ แต่ยังสามารถรวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ได้ ร่วมกันทำมหาสนิท คือสนิทกันมากเลย

วันนี้ก็เลยอยากมาพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิท จึงใช้หัวข้อเรื่องในการบรรยายในวันนี้ว่า “การทำมหาสนิท ที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของพระเยซู”  พอมาเชื่อพระเจ้า คริสเตียนทุกคนจะคุ้นเคยกับการทำมหาสนิท ที่เรียกกันว่า “พิธีมหาสนิท” หรือบางครั้งเขาก็เรียกกันว่า “โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า” หรือเรียกว่า “การมาหักขนมปัง กินน้ำองุ่น”

คริสตจักรบางแห่งก็มีการทำมหาสนิท ทุกสัปดาห์เลย บางแห่งก็ทำเดือนละครั้ง  เป็นพิธีที่ทำกันมายาวนาน จนถึงทุกวันนี้ มีหลายคริสตจักร ก็ทำมหาสนิทด้วยหลักการแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็ทำพิธีมหาสนิททางศาสนาหนึ่ง บางแห่งก็พยายามสร้างบรรยากาศให้เกิดปฏิบัติพิธีนี้ ให้บรรยากาศมันดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์อะไรอย่างนี้

วันนี้เรามาทำความเข้าใจกันว่าการทำมหาสนิท คืออะไร? อยากจะคุยให้ฟังว่าพื้นฐานของการทำมหาสนิทมาจากไหน? จริงๆ แล้วการทำมหาสนิทมีความหมายว่าอย่างไร? ทำเพื่ออะไร?  เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่? เราจะมาคุยกันเรื่องนี้ ตามหลักการของพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ สำคัญตรงนี้

คำว่า “มหาสนิท” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Communion” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Communio” ที่แปลว่า “มีส่วนร่วมในสิ่งเดียวกัน  (sharing in common)”  ก็คือมีส่วนเข้าไป เป็นเหมือนกัน เป็นพิธีรำลึกถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูนั่นเอง

ที่มาของการทำมหาสนิท เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร? ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ซึ่งพระเยซูคริสต์เป็นผู้ตั้งขึ้น เป็นผู้เริ่มทำขึ้น เป็นผู้แรก เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงร่วมรับประทานอาหาร มื้อสุดท้ายกับสาวก 12 คนในคืนวันก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือหัวค่ำวันพฤหัสฯ พูดง่ายๆ วันนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นเทศกาลปัสกา ได้กินปัสกากัน

ปัสกา คือ Pass over เล็งถึงตอนที่พระเจ้านำอิสราเอล ให้พ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปี โดยการนำของโมเสส ในวันที่จะออกจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พระเจ้าได้บอกกับโมเสสว่าให้ทำ พิธีปัสกา Pass over นี้ ด้วยวิธีให้กินขนมปังไร้เชื้อ และให้กินเนื้อย่างของลูกแกะ หรือแพะ ที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชา  หัวค่ำนั้นแหละ เขาเรียกกันว่า “อาหารมื้อปัสกา”   คือ Pass over พระเยซูอยู่ในปัสกา   ในคืนก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน   เขากินปัสกากัน ตามประเพณีชาวยิว  พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ว่าพระเยซูได้ทำมหาสนิทนี้ เพื่อเข้าไปแทนที่พิธีปัสกาของชาวยิว ในอดีตนั่นเอง ที่มีการรับประทานอาหาร ก็คือขนมปังไร้เชื้อและแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงที่พระเจ้านำอิสราเอลผ่านทางโมเสส พ้นจากการเป็นทาส 430 ปี เป็นทาสอียิปต์ ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย  เป็นทาสเขาตลอด  เป็นเทศกาลที่มีบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ บทที่ 12 – 13 ท่านลองไปอ่านดูก็ได้นะ แล้วพระเจ้าพาออกมาเสร็จปุ๊บ ก็บอกให้ชาวอิสราเอลทำอย่างนี้เป็นประจำ เพื่อจะได้ระลึกถึงวันที่พระเจ้าพาพวกท่าน หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ 430 ปีอย่างอัศจรรย์ ให้ทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึง เรียกกันว่า “เทศกาลปัสกา” ให้ทำเป็นประจำปี

โดยได้บันทึกไว้ในนั้นว่าพระเจ้าให้เทศกาลนี้เป็น “เทศกาลเฉลิมฉลองปัสกา” เฉลิมฉลอง แปลว่าอย่าลืมนะ พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด ได้ทำให้พวกเราหลุดพ้น จากการเป็นทาส ให้ระลึกถึง แล้วชื่นชมยินดี  ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำ

มีบางคนเข้าใจว่าการทำมหาสนิทนี้ มาจากสาวกคนใดคนหนึ่ง บางคนก็นึกว่ามาจากเปาโลมั้ง เปาโลเป็นคนตั้งขึ้น หรือเปโตรเป็นคนตั้งขึ้น จริงๆ ไม่ใช่เลย ผู้ที่เริ่มทำผู้แรก แล้วให้ทำ ก็คือพระเยซูเอง แล้วพระเยซูก็บอกสาวกว่าให้ไปบอกต่อๆ กันว่าให้ทำพิธีนี้บ่อยๆ

เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์บอกพระเยซูเป็นผู้เริ่มต้นทำมหาสนิท แล้วถามว่าทำครั้งแรกเมื่อไร? อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำเมื่อวันปัสกาสุดท้าย

ทำไมต้องบอกว่าสุดท้าย  ก็เป็นปัสกาสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เป็นปัสกาเองเลย พระเจ้าลงมาเป็นปัสกา เป็นแพะ เป็นแกะปัสกา ให้เขาฆ่า พระโลหิตของพระองค์หลั่งลงมา เพื่อชำระบาป  ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในหนังสือลูกา 22:14-20 ค่ำวันนั้น วันที่จะรับประทานปัสกากันในชาวยิว พระเยซูกลับทำสิ่งนี้แทน …

ลูกา 22:14-20  “14 เมื่อถึงเวลา  พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง  ที่จะรับประทานปัสกานี้  ร่วมกับพวกท่าน  ก่อนที่เราจะทนทุกข์ 16 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทานปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า” 17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า  แล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม 18 เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง”  19 และพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา  และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” 20 หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน  แล้วตรัสว่า  “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

 

ให้พวกเราพูดตรงนี้พร้อมกันว่า …

“พระเยซูตรัสว่านี่คือกายของเรา เพื่อให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา”

“เป็นการระลึกถึงเรา” หมายถึงระลึกถึงพระเยซู พระเยซูพูดเป็นข้อสุดท้ายบอกว่า …

“ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

“หลั่งรินออก เพื่อท่าน” ก็คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ พระเยซูทำสิ่งนี้ แทนการกินปัสกา

พวกสาวกนึกว่าพระเยซูจะทำปัสกา พระเยซูบอกเปล่าหรอก มาทำสิ่งนี้แทน เพราะปัสกาในอดีต ในสมัยโมเสสนั้น เล็งถึงพระเยซูคริสต์นั่นเอง ปัสกาที่เริ่มต้นทำมา เป็นเวลา 1,400 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเปลี่ยนตอนนี้  ได้ถูกทำกันมา  ฉลองกันมา ระลึกกันมา 1,400 กว่าปี จนพระเยซูมาเปลี่ยน พูดง่ายๆ พระเยซูจะมาบอกว่า …

“ปัสกาที่ท่านทำมาตลอด เล็งถึงเรา  และเรามาอยู่ที่นี่แล้ว  เราจะเปลี่ยนแล้วนะ จากนี้ต่อไป ไม่ต้องมีปัสกาแบบเดิมอีกแล้ว ยกเลิกปัสกาเดิม ยกเลิกการกระทำ เฉลิมฉลองแบบเดิม เพราะตัวจริงมาแล้ว”

เขาถึงรับไม่ได้ไง ชาวยิวตอนนั้นรับไม่ได้ งง ทำมาตั้งพันกว่าปี แล้วอยู่ดีๆ มาบอกเลิกเลย พระเยซู ประกาศมา 3 ปีแล้ว นี่เป็นการประกาศข่าวดีครั้งสุดท้ายของพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่สาม นี่เป็นการประกาศว่าพันธสัญญาเดิม กฎเดิม ยกเลิกแล้ว ตัวจริงมาแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว เป็นการประกาศข่าวดี ย้ำยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

โดยขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และน้ำองุ่น ก็เล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา ที่ไม้กางเขนเช่นเดียวกัน เพื่อชำระความผิดบาปของมนุษย์ทั้งปวง

การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่น เล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสนิทกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน เพราะว่าได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด เหมือนพระองค์แล้ว วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้า สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ในหนังสือ 1 โครินธ์ 10:16-17 อาจารย์เปาโลได้อธิบายนิดหนึ่งตรงนี้ว่า … “16 ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว  เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน  เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

 

การทำมหาสนิท เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นแพะผู้รับบาปให้กับเรา ผลมันออกมาเป็นอย่างไร? ซึ่งทำให้ระบบการถวายเครื่องบูชาต่างๆ ของปุโรหิตในสมัยโมเสส สิ้นสุดลง มันไม่ต้องทำแล้ว ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวก็เป็นพอเรียบร้อยเลย ชำระหมดสิ้นเลย ตลอดไป ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เรามาอ่านดูอีกนิดหนึ่ง ในหนังสือฮีบรู 7:27 …

ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน  เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ  ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเอง  จากนั้น  จึงถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

 

แทนที่จะเป็นสัตว์ เป็นแพะ หรือเป็นแกะ ถวายทุกๆ ปี ไม่สามารถชำระได้ ปกคลุม ปกปิดความบาปได้ชั่วคราว แต่พระเยซูเองมาเป็นแพะผู้ประเสริฐ เป็นแกะผู้ประเสริฐ มารับบาป เป็นพระบุตรของพระเจ้า รับบาป ครั้งเดียว เอาไปหมดเกลี้ยงเลย นั่นเอง โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ให้มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ถึงความสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ตลอดไป ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนี้ ฮีบรู 10:14 ก็บันทึกอย่างนี้  …

ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

“โดยการถวายบูชาครั้งเดียว” ถวายตนเอง ถวายตัวของพระองค์เอง

หลังจากที่พระเยซูได้ทำมหาสนิทครั้งแรก ร่วมกับสาวก เป็นแบบอย่างแล้ว ก็มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าต่อมา เหล่าสาวกก็ยึดถือและปฏิบัติตามต่อๆ กันมา ครั้งแรกที่สาวกทำกันเอง หลังจากที่พระเยซูทำกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสำเร็จการไถ่บาป ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว สาวกทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น ก็ได้กระทำสิ่งนี้แหละ กิจการ 2:42 …

กิจการ 2:42  “เขาทั้งหลายอุทิศตนในคำสอนของเหล่าอัครทูต  และในการร่วมสามัคคีธรรม  ในการหักขนมปังและในการอธิษฐาน”

 

“ในการร่วมสามัคคีธรรม” สามัคคีกัน ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในวิญญาณของเขาว่าเขาทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และเขาทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน โดยทำการระลึกถึง คือการหักขนมปังและการทำมหาสนิทนั่นเอง

อาจารย์เปาโลก็ได้พูดถึงหลักการทำมหาสนิทตรงนี้ ไว้อย่างละเอียด ค่อยข้างเป็นระเบียบอย่างดีเลย เรามาเรียนรู้กันว่าอาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องการทำมหาสนิทนี้อย่างไร?  ถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์จริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 …

1 โครินธ์ 11:23-26  “23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น  ข้าพเจ้าได้รับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น  พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้า แล้วทรงหัก และตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา”  25 เมื่อรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น  กระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่  ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา26 เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้  ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา”

 

“นี่คือสิ่งที่เล็งถึงกายของเรา ซึ่งได้สละแก่ท่านทั้งหลาย” พระเยซูบอกไว้อย่างนั้น “จงทำเช่นนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเรา” … “เรา” หมายถึงพระเยซู

พระเยซูตรัสอีกว่า … “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดพวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา”

และยังพูดประโยคสุดท้ายบอกว่าถ้าท่านกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นอย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกท่านได้ประกาศการวายพระชนม์ ก็คือข่าวดีขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์เสด็จมา

ก็คือกำลังประกาศเรื่องข่าวดี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ประกาศว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นเอง  ท่านกำลังประกาศความเชื่อตรงนี้ และประกาศความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ซึ่งคือวัตถุประสงค์ของพระเยซูต้องการให้เรากระทำอย่างนั้น เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และประกาศออกไป

วัตถุประสงค์ของพระเยซู คือต้องการให้เรารำลึกถึง สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน สำเร็จแล้ว  ก็คือข่าวดีได้ถูกกระทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว เริ่มตั้งแต่การไถ่บาปให้เราจนหมดสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มาสถิตอยู่กับเรา ในวิญญาณของเราเลย พระเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ให้เรามีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า มีชีวิตเหมือนพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ แบ่งชีวิตของพระองค์มา เป็นชีวิตของเรา ให้เราเกิดใหม่ ให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มาเป็นของขวัญ พระเจ้าทรงประทานให้เราฟรีๆ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำอะไรเลย เราเรียกกันว่า “พระคุณ”

ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่เหมือนพันธสัญญาเดิม สมัยโมเสส ที่เขาเรียกว่าใช้ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ท่านทำ ท่านได้ ท่านไม่ทำ ท่านโดนลงโทษ ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง  เพื่อจะได้ดี ซึ่งไม่มีใครสามารถพึ่งตนเอง และกระทำความดีได้ด้วยตนเอง แบบสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีผิดพลาดเลย  เพราะตัวเองมีเชื้อของบาป  เป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็เป็นคนบาปอยู่ดี มากหรือน้อยก็บาปอยู่ดีนั่นแหละ

ข่าวดีของพระเยซู คือเมื่อเปิดใจแล้ว พระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  เราได้ความรอด จากอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่านรก ย้ายจากนรก มาสู่สวรรค์ ย้ายออกจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า แทนที่จะเป็นทาสของมาร  ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาปที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม … ชอบธรรม ก็คือการเป็นคนดี โดยไม่ต้องกระทำ เป็นคนดีโดยกำเนิด  เกิดมาเป็น  โดยกำเนิดเกิดมาเป็นคนดีเลย เขาเรียกว่าผู้ชอบธรรม และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน  ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที นี่คือข่าวดี

และทั้งหมดนี้เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที ได้รับความรอด เมื่อนาทีเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ชีวิตที่เกิดใหม่นี้ พระคัมภีร์บอกว่า “ถูกซ่อนไว้ในพระคริสต์” แอบไว้อยู่ในพระคริสต์ในโลกวิญญาณนั่นเอง  คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเจ้าส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำการผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง โดยให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ แล้วก็มาติดสนิท เรียกว่ามหาสนิท สนิทกับมาก เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านทางบัพติศมา … บัพติศมา ก็เหมือนกับการผ่าตัดวิญญาณ เข้ามา แล้วก็เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาเราเข้าส่วนในวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ทำให้มันสนิทกันมากๆ ซึ่งบันทึกเอาไว้ในหนังสือโรม บทที่ 6 ชัดเจนมากว่านี้คือข่าวดี

สนิทกันอย่างไร? ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกว่า … “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบัพติศมาเข้าไปสู่ คือเข้าไปอยู่ในความตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และถูกฝังอยู่กับพระเยซูคริสต์ ในอุโมงค์ และได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ถูกนั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างนี้ สนิทกันมาก”

นี่คือเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของการรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ใครก็ตาม ใช้สิทธิของเขา ที่เชื่อในพระองค์ และยอมรับว่า …

“ฉันเชื่อแล้ว ฉันอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉัน มันเป็นสิทธิของฉัน ต้อนรับสิ่งนี้เข้ามา”

โดยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มันก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้ มหาสนิท แปลว่าอย่างนี้ ขอโทษทีนะ เขาเรียกว่าโค-รต สนิทเลย ไม่หยาบนะ มันชัดดี

มหาสนิทหมายถึงอภิมหาสนิท สนิทขนาดไหน? สนิทกันเป็นวิญญาณเดียวกัน

เมื่อเปิดใจ ก็ได้รับสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในวิญญาณเราทันที ได้นั่งอยู่ในสวรรค์แล้ว ทันที สวรรค์จึงเป็นสถานที่ที่เราผู้เชื่อทั้งหลาย นั่งอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่เราหวังว่าจะไปอยู่ในอนาคต ไม่ใช่ อยู่แล้วเดี๋ยวนี้เลย จึงต้องรำลึกถึง ระลึกถึงบ่อยๆ เดี๋ยวมันลืม เดี๋ยวมันนึกไม่ถึง

คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเยซู หรือไม่เชื่อ พระคัมภีร์บอกว่าเขาได้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ … ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง …

ที่หนึ่งเรียกว่าที่มืด, ไม่มีพระเจ้า, นรก, ในอาดัม

อีกที่หนึ่งเรียกว่าสว่าง, มีพระเจ้า, สวรรค์, ในพระคริสต์

มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งตรงนี้ ในอาดัมหรือไม่ก็ในพระคริสต์

พระเยซูจึงตรัสกับเราว่า … “จงดำรงอยู่ในเรา” หมายถึงต้องเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ จึงจะเกิดผล จึงจะเป็นคนดีได้ … “จงดำรงอยู่ในเรา เปิดใจต้อนรับเราสิ เราจะได้เข้าไปทำให้ท่านกับเรา ดำรงอยู่ด้วยกันได้  คือเราอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในเราได้” มันหมายถึงอย่างนั้น

“เพื่อว่าเราจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ” ทั้งวิญญาณของพระเยซูคริสต์เอง และวิญญาณของพระบิดา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากการผ่าตัดย้ายวิญญาณเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ผลออกมาเป็นอย่างนี้ ตรงนี้พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน  มหาสนิท  Communion หรือ Communio หรือเรียกว่าสามัคคีธรรม เวลาคริสเตียนพูดกันในพระคัมภีร์บอกสามัคคีธรรม มันหมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมกันในวิญญาณ

ท่านลองคิดดู ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน? เมื่อเรารู้ว่าความจริง คือเราได้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณเรียบร้อยแล้วตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เราสนิทกับพระองค์มากตอนนี้ ไม่ใช่รอคอยตอนที่วันหนึ่ง เราจะไปรู้จักพระเจ้า ในสวรรค์ ไม่ใช่วันหนึ่งที่เราทำดี และรักษาความเชื่อไว้ เราจะไปอยู่ในสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในอนาคต  แต่มันเป็นเดี๋ยวนี้เลย  ขณะนี้เลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ลองอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ดูนะ เอเฟซัส 2:2-6 เป็นตัวยืนยันว่าสิ่งที่พูดนั้น เป็นจริงในโลกวิญญาณอย่างไร? …

เอเฟซัส 2:2-6  “2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้  และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม  5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป  คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์

 

“ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับข่าวดี ต้อนรับพระเยซู เปิดใจให้พระเยซูเข้ามาในชีวิตแล้ว

“ท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” ก็คือการเกิดใหม่

“และในพระเยซูคริสต์” ก็คือย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ “พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

ถามว่า … “ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน?” … อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน

และถามว่า … “เราผู้เชื่อในพระเจ้าขณะนี้  เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตาย  เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?” … อยู่ในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เรียบร้อยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่? ใช่

เราจะไม่ได้ตุ๊มๆ ต่ามๆ ว่าตายแล้ว เราจะได้ไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้? แต่ที่รู้แน่ๆ ตอนนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะไปไหนล่ะ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ตายแล้วไปสวรรค์ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับเราที่จะเชื่อ ถูกไหม? ไม่ต้องตุ๊มๆ ต่ามๆ นี่แหละคือสาเหตุที่พระเยซูคริสต์อยากให้เรารำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน พระเยซูจึงย้ำยืนยัน ให้เราทำมหาสนิทบ่อยๆ เมื่อไรทำก็ตาม ก็ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อจะไม่ลืม เพื่อจะได้เล่าต่อกันไป รุ่นสู่รุ่น สู่รุ่นหลานเหลนโหลนเลย  ในท่าทีของการเฉลิมฉลอง ดีใจ ไม่ดีใจเหรอ อยู่ในสวรรค์แล้ว ง่ายๆ อย่างนี้ พระเยซูทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสบาปอีกต่อไปแล้ว ฉลองเหมือนวันปัสกาเดิม ที่เล็งให้เห็นถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส กินปัสกา เพื่อเฉลิมฉลองว่าพระเจ้าได้ช่วยให้อิสราเอลหลุดพ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เล็งถึงพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษย์ได้เป็นอิสรภาพ จากการเป็นทาส ตลอดชั่วนิรันดร์เลย เป็นทาสมารต่อไปอีกเมื่อไรก็ไม่รู้เป็นนิรันดร์ ถ้าไม่มีพระเยซูมา แต่นี่เป็นอิสระจากการเป็นทาสได้ชั่วนิรันดนร์เหมือนกันในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราควรระลึกถึงและฉลอง เหมือนเราฉลองคริสตมาส เหมือนฉลองวันอีสเตอร์

พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันอีสเตอร์เลยนะ พระเยซูไม่ได้บอกให้เราฉลองวันคริสตมาสเลย แต่เราทำกันเอง แต่พระเยซูบอกให้เราฉลองอันนี้ ให้ทำบ่อยๆ ฉลองอะไร? การทำมหาสนิท ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  มันจะได้ทำได้ทุกวัน  ทำได้บ่อยๆ  เพราะฉะนั้น การฉลองคริสตมาสก็ดี การฉลองวันอีสเตอร์ ศุกร์ประเสริฐก็ดี ก็ทำดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรจะปีละครั้ง ทำบ่อยๆ เลย ก็ไม่ต้องฉลองคริสตมาส ก็ฉลองมหาสนิท สนิทมาก เมื่อรู้ความจริง

มหาสนิท หรือการทำมหาสนิท หรือการร่วมโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือการหักขนมปัง จึงสมควรเป็นพิธีแห่งความชื่นชมยินดี เป็นพิธีแห่งการเฉลิมฉลองของผู้เชื่อทุกคน เหมือนที่พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลในอดีตเฉลิมฉลองวันเทศกาลปัสกา ขนมปังไร้เชื้อนั่นเอง ตามข้อมูลนี้ ถูกเป๊ะเลยนะ

แล้วข้อมูลมาถึงเรา ผิดเพราะอะไร?  ก็เพราะเรามีศัตรู ที่คอยปิดตาเราไม่ให้ความจริงมาถึงเรา ก็คือมารนั่นเอง  มารพยายามปกปิดความจริงเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ข่าวดีของพระเยซูสมบูรณ์ครบถ้วน เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ อย่างครบบริบูรณ์ เมื่อคนมาเชื่อ ไหนๆ ก็ปิดตาไม่ได้แล้ว เชื่อไปแล้ว เขาเรียกว่าไม่ได้ผลสมบูรณ์ เอาไปสัก 20% ก็พอ  เอาไป 50% พอ ไม่ให้สมบูรณ์ เพราะว่าถ้าสมบูรณ์เมื่อไร? ข่าวดีได้ถูกประกาศออกไป  ทั่วโลก มนุษย์ทุกคนได้ยินได้ฟัง ก็จะมารับเชื่อง่ายๆ เพราะว่ามันง่ายนิดเดียวอย่างนี้ แต่มารปกปิด แล้วทำให้มันเป็นเรื่องยาก แล้วก็ลำบาก แล้วมนุษย์ทำไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยไม่มีใครเข้ามาหาพระเยซูอย่างง่ายๆ อย่างนี้ ไม่มีใครเข้ามารับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขาแล้วที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว ไม่มีใครอยากเข้าสวรรค์ที่ง่ายๆ อย่างนี้อีก ก็เพราะว่ามนุษย์ทำให้มันยาก … ยากโดยการถูกหลอก ถูกขโมยความจริงออกไป มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย ขโมยอันดับแรก คือขโมยความจริงออกไปก่อน

เรามาดูกันว่าผู้เชื่อมักจะเข้าใจผิด เรื่องมหาสนิทกันว่าอย่างไร? เราลองมาดูกันว่ามารขโมยอะไรไปบ้าง?  พระเยซูให้เราทำมหาสนิทนี้ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เพื่อให้เราระลึกถึงตัวเอง ค่อยๆ คิดตามนะ ไม่ใช่ให้เรามาระลึกถึงตัวเอง  แต่ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ  ไม่ใช่มาระลึกถึงสิ่งที่เราทำ  ซึ่งเป็นผลมาจากการตีความที่ผิด  จากบริบทของพระคัมภีร์

อย่างเช่นใน 1 โครินธ์ 11:28 ที่บอกว่า … “แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง และดื่มจากถ้วยนี้”

ถ้ายกมาข้อเดียวอย่างนี้ โดดๆ แล้วพยายามตีความปราศจากการดูบริบท ก็กลายเป็นว่าก่อนจะรับประทานขนมปังและดื่มน้ำองุ่น คือทำมหาสนิทนี้ เราต้องมาพิจารณาตัวเราเองก่อน ถูกไหม? ตีความข้อนี้ออกมา แล้วก็ตีอย่างนี้เลย เสร็จแล้วก็เพิ่มกันใหญ่เลยว่าต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าไปทำผิดบาปที่ไหนมาหรือเปล่า ก่อนจะทำมหาสนิท ยังโกรธใครอยู่ไหม? ยังไม่อภัยให้ใครอยู่บ้างหรือเปล่า? ยังโกรธเคืองใครอยู่ในใจหรือเปล่า? บริสุทธิ์พอไหมที่จะรับมหาสนิท ความประพฤติดีพอไหม?  ที่เข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถูกไหม? ซึ่งมันตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าพระเยซูไถ่เราแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แค่ไหน?

เพลงที่จะร้อง แทนที่จะเป็นเพลงที่เฉลิมฉลองของพระเยซูคริสต์ ก็กลายเป็นร้อง …

“ขอพระองค์เมตตา  ข้ามาเฝ้าเดี๋ยวนี้

ขอพระโลหิตจากกางเขน ล้างบาปให้สิ้นกรรมเวร”

“ฉันแย่เหลือเกิน ฉันมันเลว”

ถูกไหม?  ท่านลองคิดต่อเรื่อยๆ  ทั้งๆ ที่พระเยซูก็บอกแล้วว่า … “ให้กระทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา”

ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน ทำให้ท่านบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ โลหิตหลั่งแล้ว ชำระแล้ว จะมาขออะไร? เมตตาอะไรอีกล่ะ  พอมองชัดไหม?  เราลองมาอ่านดูว่าจริงๆ แล้ว ในข้อนี้ ถ้าตามบริบทแล้ว  มันหมายถึงอะไร? แต่ละคนควรตรวจสอบตนเอง ก่อนรับประทานขนมปัง ถ้าตีความตามบริบททั้งหมด เขาตีความว่าอย่างไร? หมายความว่าอย่างไร? ลองมาดูกันนะ 1 โครินธ์ บทที่ 11 ตั้งแต่ข้อ 17  ย้อนกลับไป เพื่อจะได้รู้ว่าที่ตะกี้ข้อที่ 28 เราตีความ มันถูกไหม? มันใช่ตามที่เขาตั้งใจจะสื่อความหมายให้เราไหม? หมายถึงอะไร? 1 โครินธ์ 11:17-22 อ่านช้าๆ ให้ชัดๆ ดูว่าเกิดอะไรขึ้น? …

1 โครินธ์ 11:17-22  “17 ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้  ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวกท่าน  เพราะการประชุมของพวกท่าน  มีผลเสียมากกว่าผลดี 18 ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่านประชุมกัน ในฐานะที่เป็นคริสตจักร  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกท่าน  และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่บ้าง 19 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน  เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย 20 เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน  ที่ท่านรับประทาน  ไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย  คนหนึ่งยังหิว  ส่วนอีกคนเมามาย 22 พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่งกินดื่มหรืออย่างไร  หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักรของพระเจ้า  ด้วยการทำให้คนที่ขัดสนอับอาย  ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับพวกท่านดี  จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวกท่าน  เพราะสิ่งนี้หรือ   ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน”

 

เปาโลเขียนจดหมายนี้ ถึงชาวโครินธ์ในสมัยนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้วทั้งหลาย แต่ยังมีความประพฤติอย่างที่ท่านได้อ่านสักครู่นี้

ชาวโครินธ์ ผู้เชื่อในพระเจ้า ที่เปาโลเรียกว่าพี่น้องผู้เชื่อทั้งหลาย  มีความประพฤติอย่างนี้ ยังแบ่งก๊ก แบ่งพรรค แบ่งพวก ยังเห็นแก่ตัว ยังเย่อหยิ่งจองหอง ร้ายกว่านั้น ไม่ได้อยู่ในข้อนี้ เริ่มต้นมา ในหนังสือ 1 โครินธ์บอกว่าบางคนทำบาป ถึงขนาดเอาภรรยาน้อยของพ่อมาเป็นภรรยาของตนเอง ซึ่งรับไม่ได้ อะไรอย่างนี้ นี่ผู้เชื่อทั้งนั้น คริสเตียนทั้งนั้น เปาโลกำลังจะพูดถึงผู้เชื่อในโครินธ์ ซึ่งมาจากพื้นฐาน ก่อนเชื่อนั้น สัพเพเหระเยอะแยะไปหมดเลย  ทั้งดีและเลว ความประพฤติแบบนี้ แล้วอาจารย์เปาโลบอกว่าให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่พูดถึงในข้อ 17 – 22 ให้ตรวจสอบตนเองว่าได้ประพฤติสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า? ทำอย่างนี้ไหม? สมควรหรือไม่สมควร ที่ทำไป

เป็นการกล่าวเตือนสำหรับเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงตอนนั้น โดยพุ่งไปที่กลุ่มผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์เท่านั้น  ไม่ได้พูดถึงผู้เชื่อที่อื่นๆ เวลาอื่นๆ รวมถึงผ่านมา 2,000 ปีที่คริสตจักรอื่นๆ ถ้าคริสตจักรของท่าน หรือของเรา มีการกระทำอย่างนี้ ก็เอาอันนี้มาใช้ได้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการสำรวจทางด้านวิญญาณ แต่กำลังสำรวจว่าตอนที่มากินโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ท่านทำแบบนี้หรือเปล่า? เขากินข้าวกันเหมือนที่ตอนเที่ยงเราเลี้ยงกันแบบนี้ บางคนเข้าแถวกัน บางคนมาแย่งเขา แย่งคิว บอกว่า … “ฉันมาก่อน” … “ฉันมาหลัง” คนมาหลัง เพราะเส้น รู้จักกับคนตักข้าว ปัจจุบันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ ที่คริสตจักรเรายังเป็นไปได้เลย ตอนที่เรารับประทานอาหารเที่ยงพร้อมกัน เรายังบอกให้มีระเบียบ แต่ไม่ถึงขนาดนี้นะ  ไม่ถึงขนาดพระคัมภีร์ที่เขียน คนมากินข้าวก่อน แล้วก็กินมูมมาม

นี่กำลังพูดถึงว่าเขากำลังจัดระเบียบ นึกออกใช่ไหม? จะเห็นชัด

ถ้อยคำตรงนี้ไม่ได้หมายถึงผู้เชื่อทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าในยุคปัจจุบันว่าต้องมาสำรวจตัวเองว่าทำบาปมามากเท่าไร? สมควรเป็นลูกพระเจ้าหรือไม่? บริสุทธิ์พอไหมที่จะเป็นลูกพระเจ้า? ซึ่งบอกแล้วไงว่าพระเยซูย้ำยืนยันแล้วว่ามหาสนิทนี้ ให้รำลึกถึงพระองค์ ว่าพระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์  โดยการกระทำของพระองค์ ไม่ใช่ให้ระลึกถึงตัวเราเอง อย่างนี้เป็นต้น

พระเยซูให้กระทำมหาสนิทนี้ เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเรา ที่ไม้กางเขน ซึ่งมันสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ให้เรากระทำสิ่งนี้ เพื่อจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ให้เราทำสิ่งนี้ กินและดื่ม เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ ถึงท่านไม่ทำ ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะพระเยซูทำให้ท่านเสร็จที่ไม้กางเขนแล้ว ไม่ใช่ท่านทำดีงาม ศักดิ์สิทธิ์ แล้วทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ไม่ใช่

หรือพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อจะทำให้ท่านทำแล้ว พระเยซูจะได้ยกโทษบาปของท่านให้มากขึ้นกว่าเก่า ยกโทษให้เท่าเดิม ยกให้หมดไปแล้วด้วย ก่อนทำ ก็ยกไปแล้ว ไม่ทำก็ได้

หรือทำพิธีมหาสนิท จะทำให้พระเจ้าโปรดปราน รักเรามากเลย รักเราเท่าเดิม  ไม่ได้มากกว่าเดิม

หรือไม่ได้ตั้งใจที่ทำมหาสนิท เพื่อให้เราบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเก่า บริสุทธิ์เท่าเดิม

พระเยซูบอกให้ทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ให้เราระลึกถึงสิ่งที่เราทำ

วัตถุประสงค์ของการทำมหาสนิท ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ จึงมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้แล้วที่ไม้กางเขน และการกระทำเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ในการประกาศความเชื่อนั่นเอง ในข่าวดีของพระเยซู ประกาศความดี ด้วยความเชื่อ ไม่ดีใจหรือ? ก็ชื่นชมยินดี ฉลอง ขอบคุณ ด้วยความเชื่อ  ฉลองเหมือนคนฉลองปัสกานี้ ในอดีต เหมือนกัน แต่มากกว่า ชาวอิสราเอล ในอดีตที่ฉลองเทศกาลปัสกา นี่ฉลองพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม  เพื่อให้เราสามารถเป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย ขอบคุณพระเจ้า เฉลิมฉลอง การทำมหาสนิท คือวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าให้เรา เพื่อตรงนี้แหละ

เมื่อเรายกถ้วยน้ำองุ่นขึ้นดื่ม เรากำลังประกาศว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่พระเยซูต้องการให้เราทำตรงนี้  ให้เราดื่มน้ำองุ่น ที่เล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู และประกาศว่านี่คือพันธสัญญาใหม่  คือเรารอดโดยพระคุณ เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดี โดยพระคุณ ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง เราไปสวรรค์ได้โดยพระคุณ พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ ผ่านทางพระเยซู ไม่ใช่โดยการกระทำของเราเอง ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  นี่คือตรงนี้แหละ คือพันธสัญญาใหม่  1 โครินธ์ 11:29 จึงได้บันทึกตรงนี้ ไว้อย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 11:29  “เพราะผู้ที่รับประทานและดื่ม โดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ที่ประชุมของคริสตจักร) ก็รับประทานและดื่ม สิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูก (กล่าวหาตำหนิติเตียน) พิพากษาลงโทษ”

 

เห็นอะไรชัดเจนหรือยัง? นี่หมายถึงเฉพาะเจาะจง ในเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของชาวโครินธ์ในการทำมหาสนิท

คือการทำมหาสนิทในสมัยก่อน ก็คือการรับประทานอาหารร่วมกัน มื้อหนึ่ง รับประทานอาหารจริงๆ แต่มีการพัฒนามาเป็นถ้วยเล็กๆ ขนมปังชิ้นเล็กๆ  ก็เพราะว่าที่ประชุมใหญ่ขึ้น และสะดวกสบาย เลยมาทำพิธีอย่างนี้ แต่จริงๆ คือการรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันของคนสมัยนั้น

ใน 1 โครินธ์ 11:29 ที่อ่านมาเมื่อสักครู่นี้ บอกว่าถ้าท่านมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือมาทำมหาสนิท ด้วยความเห็นแก่ตัว นึกภาพนะ แทนที่จะมาประกาศถึงพันธสัญญาใหม่ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน กลับมาที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาดื่มเหล้าองุ่นด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความตะกละ เมาเหล้า  แบ่งพรรค แบ่งพวก ที่ประชุมของกลุ่มพวกผู้เชื่อ หรือร่างกายของคริสตจักร คือร่างกายของพระคริสต์ พระคริสต์เป็นศีรษะ ผู้เชื่อเป็นร่างกาย ที่ประชุมของผู้เชื่อที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ก็จะตัดสินพิพากษา  กล่าวหาท่านว่าทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ตัดสินท่านว่าไม่ดี แล้วก็มาฟ้องข้าพเจ้า มาฟ้องเปาโล

ว่า … “พวกนี้ทำไม่ถูกต้องเลย ช่วยเตือนที”

มันหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้ามาตัดสินเรา ตามบริบท ชัดไหม? เป็นการตัดสินพิพากษา ก็คือเป็นการตัดสินกล่าวหาว่าทำไม่ถูกต้อง จากชุมชนของผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง ที่เรียกว่าร่างกายของคริสตจักร ที่ตัดสิน กล่าวหา ต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่สมควร ในการเข้าร่วมโต๊ะฉลองขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในการทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน ซึ่งเป็นที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราก็รู้แล้ว เราเห็นอย่างนี้ ก็ชัดแล้ว  นี่มันหมายถึงอย่างนั้น คริสตจักรแห่งหนึ่งทำไม่ถูกต้อง แล้วเปาโลก็เขียนไป เพื่อแก้ไขเขาเหล่านั้น

คำว่า “ตัดสิน พิพากษา” ตรงนี้หมายถึงการวินิจฉัยในความประพฤติต่างๆ  เช่น ตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีถูกต้องไหม? เราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราควรจะให้คนอื่นก่อน? เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก เราเข้ามา ในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เข้ามารับประทานอาหารด้วยกัน เราควรจะเสียสละ? กินทีหลัง? มันใกล้จะหมดแล้ว เราให้คนอื่นมีโอกาสได้กินก่อนเรา? อะไรอย่างนี้ มันหมายถึงตัดสินวินิจฉัยตนเองว่ามีท่าทีที่ถูกต้องหรือเปล่า? ในการทำพิธีมหาสนิท มารับประทานอาหารด้วยกัน อย่างที่ทำอยู่นี้ มันไม่ถูก ใช่ไหม? มันไม่ดีใช่ไหม? นี่พูดถึงชาวโครินธ์  ถ้าวินิจฉัยตนเองแล้ว จะได้ปรับปรุงแก้ไข เมื่อปรับปรุงแก้ไขแล้ว ท่านจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษา ตัดสิน กล่าวหา โดยชุมชนหรือสมาชิกคนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ เขาจะได้ไม่ว่าเรา มันหมายถึงตรงนี้  บางคนอ้างข้อพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:30 ยิ่งหนักใหญ่เลย

1 โครินธ์ 11:30 “นี่คือสาเหตุที่พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป”

 

อันนี้ต้องอธิบายเยอะหน่อย บางคนไม่ได้ดูบริบท อย่างที่ว่ามาเมื่อสักครู่นี้ แล้วก็บอกว่า …

“นี่เธอทำไม่ถูกต้องนะ พระเจ้าจะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น คือพระเจ้าจะทำให้คนบางคนเจ็บป่วย อ่อนแอ และตายก็มี ดังนั้น ต้องระมัดระวังในการทำมหาสนิท เด็กก็ทำไม่ได้ คนไม่เชื่อ ก็ทำไม่ได้ คนเชื่อน้อยก็ทำไม่ได้ คนไม่ระวัง ก็ทำไม่ได้”

ตกลงใครทำได้บ้าง? งง ท่านลองคิดตามเรื่อยๆ นะว่าพระเยซูประสงค์อย่างไร? และเราถูกหลอกอะไรบ้าง? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาความบาปผิดของเราออกไปหมดแล้ว เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ ก็แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า ที่ทำให้เราอ่อนแอ เจ็บป่วย หรือบางคนล่วงหลับไป  แต่ถ้าเราอ่านในบริบท เราจะเห็นจริงๆ ว่ามันเป็นพิษของแอลกอฮอลล์ ในเหล้าองุ่นต่างหากเล่า ที่ทำให้เกิดขึ้น  ทำให้เกิดความเจ็บป่วย อ่อนแอ บางคนก็ล่วงหลับไป

ชัดๆ เลยนะ พิษของแอลกอฮอล์ล บางคนกินถึงขนาดเมา ก็คือติดเหล้า บางคนก็ตับแข็ง  บางคนก็เป็นโรคแอลกอฮอล์ลลิซึ่ม บางคนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คุ้นๆ ไหม? เริ่มต้นเป็นตับแข็ง บางคนพิษสุราเรื้อรัง เดินเซไปเซมา ก่อนที่จะหนักขึ้น จนกระทั่งเป็นไหลตาย คือหลับแล้วตายไปเลย หัวใจหยุดเต้นไป เพราะเมามากๆ แล้วก็หลับไป มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนั้น คิดดู หนักกว่านั้น ไม่น่า เป็นไปได้ ผมเคยคิดมาตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อใหม่ๆ ตอน 30 กว่าปีก่อน คิดแล้วงง ผู้เชื่อ ผู้รับใช้บางคนมาทำมหาสนิท แล้วบอกตรงนี้ ผมก็งง ซึ่งผู้รับใช้คนคนเดียวกัน  ท่านนี้ เป็นคนประกาศว่า …

“พระเจ้าทรงรักเธอมาก ถึงขนาดประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเธอที่ไม้กางเขน เพื่อให้เธอได้รับความรอด จากบาป รอดจากนรก จงรับเชื่อเถิด”

แล้วผู้รับใช้คนเดียวกันนี้ ก็มาบอกว่า … “แต่ถ้าเผื่อเธอทำอะไร ผิดพลาดไป มารับพิธีมหาสนิท อย่างไม่ถูกต้อง เหมาะสมคู่ควร ไปทำบาปมาไหม? โกรธใครอยู่หรือเปล่า? ทำไม่สมควร พระเจ้าจะให้เขาตายเลย ทำให้เขาเจ็บป่วยเลย”

เป็นไปได้ไง พระเจ้าองค์เดียวกัน ที่บอกว่ารักมนุษย์ยิ่งนัก ส่งพระเยซูลงมา เพื่อเขา แล้วแค่นี้ ทำมหาสนิทผิดนิดหนึ่ง ทำให้เขาตายเลย แต่ก็เชื่ออย่างนั้นนะ

ท่านลองไปคิดเอาเองแล้วกัน มันสมควรเป็นเช่นไร? วันนี้ก็มีโอกาสมาเล่าความจริงให้ท่านฟัง  1 โครินธ์ 11:31 บอกว่า …

1 โครินธ์ 11:31 “แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็ไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา”

 

ตอนนี้ ท่านรู้แล้ว ท่านอธิบายตามบริบท ก็หมายถึงตรวจสอบตนเองก่อน คนอื่นในที่ประชุม คนอื่นในคริสตจักร เขาจะได้ไม่มาตัดสินว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ก็ตัดสินตนเองเสียก่อน  วินิจฉัยตนเองเสียก่อนว่าเราทำอะไรไม่ถูกต้องไหม? ตามหลักการของความรัก

1 โครินธ์ 11:32 บอกไว้อย่างนี้ “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษ ร่วมกับโลก”

 

อันนี้ยากขึ้นแล้ว ต้องอธิบายให้ชัดๆ เพราะมีการแปลอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น ท่านสามารถไปดูคำแปลในภาษาเดิมได้ แล้วดูความหมายในบริบท ท่านจะเห็นว่ามันสอดคล้องกันด้วย

ตรงนี้หมายถึงพระเจ้าใช้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่กล่าวหา ตัดสิน แล้วก็แจ้งโทษว่าคนเหล่านี้ทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม พระเจ้าใช้ผู้เชื่อเหล่านั้น เพื่อจะแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ฝึกนิสัยให้กับผู้เชื่อที่ยังทำไม่ถูกต้อง ได้ทำให้ถูกต้องเสีย มันแปลว่าอย่างนี้ พอเข้าใจไหม

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น เมื่อที่ประชุมของผู้เชื่อในคริสตจักรได้ตัดสินกล่าวหาโทษ ว่าเราทำไม่ถูกต้องนั้น พระเจ้าทรงใช้สิ่งที่พวกเขาตัดสิน กล่าวหาโทษเรานั้น เป็นการฝึกฝนให้เราเปลี่ยนแปลง แก้ไขว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องนั้น ให้เลิกทำซะ มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเสื่อมโทรมไปเหมือนกับโลกใบนี้ ก็คือเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า และทำตัวเหลวไหล มันหมายถึงอย่างนั้น

อันนี้ก็เข้าใจนะว่ามันเข้าใจยากหน่อย แต่ถ้าเผื่อติดตาม ตามบริบทมา จะเห็นชัดเจนว่าอะไรมันควรจะเป็นความจริง

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงสรุปสาระสำคัญของการรับมหาสนิทในความคิดเห็นของท่าน เฉพาะข้อความนี้ ที่เขียนไปถึงผู้เชื่อชาวโครินธ์ ที่ปฏิบัติตัวอย่างนี้ 1 โครินธ์ 11:33-34 ว่า …

1 โครินธ์ 11:33-34 “33 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย  เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและกัน 34 ถ้าใครหิว ก็ควรรับประทานที่บ้าน เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง ด้วยการพิพากษาลงโทษ”

 

ท่านสามารถแปลเองได้แล้วตอนนี้ ที่บอก “ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกัน เพื่อรับประทานในโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือในพิธีมหาสนิทนั้น จงรอซึ่งกันและกัน ถ้าใครหิว ก็รับประทานอาหารที่บ้านมา กินมาให้เสร็จเสียก่อน ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นโรคกระเพาะ หิวไม่ได้ ก็กินรองท้องมาเสียหน่อย เพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกัน จะได้ไม่จบลง  ด้วยการถูกกล่าวหา ตัดสินจากคนอื่นๆ ว่าท่านประพฤติไม่เหมาะสม ไม่สมควร แย่งกันกินเหล้าองุ่น  กินมากกว่าชาวบ้านเขา ตักข้าวก็เยอะกว่าคนอื่นเขา เอาอาหารไปมากกว่าคนอื่นเขา”

บางคนมาร่วมกันรับประทานอาหาร ในสมัยนั้นนะ สมัยนี้ก็มี บางคนอาหารมื้อเที่ยงของวันอาทิตย์ เป็นอาหารหลักที่สำคัญมากเลยสำหรับเขา แต่ละวันเขาอาจจะเป็นคนยากจน มีอาหารทานน้อย  ไม่ได้มีอาหารเต็มท้องอย่างนี้ วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เขาจะได้รับการเลี้ยง จากพระเจ้าอย่างมาก แต่บางคนมีบ้านอยู่ อะไรต่างๆ เรียบร้อย มีอาหารการกินเต็มไปหมด กินได้ทั้งวัน ยังมาแย่งเขาในวันอาทิตย์อีก คิดดู มันเป็นอย่างนี้จริงๆ         เปาโลจึงบอกว่าลองคิดดูให้ดีๆ นะ เรามาเพื่ออะไร? เรากำลังทำอะไรกันอยู่?  มันหมายถึงอย่างนั้น

ไม่ได้หมายถึงถ้าท่านไม่รอกันและกัน พระเจ้าจะฆ่าท่านให้ตาย ถ้าใครหิว แล้วไปกินก่อนชาวบ้านเขา พระเจ้าจะทำให้ท่านป่วย  อย่างนั้นหรือ? ท่านคิดเอาเองก็ได้  มันไม่ใช่ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เรากลับมาที่ว่าเพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท วัตถุประสงค์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นก่อตั้งพิธีมหาสนิทนี้ ก็เพื่อให้เราระลึกถึงพระองค์ ที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขน  หลั่งพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปให้กับเรา มนุษยชาติ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย  จะได้เข้ามา ร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์บอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ พอเปิดใจปุ๊บ พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในใจ เข้ามาอยู่ในวิญญาณของท่าน ไม่ได้เข้ามาอยู่อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะมาเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน พระเยซูบอก เราจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน เรากับท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูกับพระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย และท่านทั้งหลายทุกคนที่มาเชื่อเรา อยู่ในพระคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันหมดทุกคน ผู้เชื่อทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ เป็นก้อนเดียวกัน เหมือนขนมปังก้อนเดียว โดยผ่านทางพันธสัญญาใหม่ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นตัวรับประกัน เป็นตัวค้ำประกันว่านี่เป็นจริง มันหมายถึงตรงนี้ ให้เราระลึกถึงตรงนี้

ระลึกถึงตรงนี้ แล้วทำอย่างไร? ฉลอง เพื่อขอบคุณพระเจ้า เพื่อจำ จะได้ไม่ลืมอีก และเพื่อทำให้ลูกหลานเหลนโหลน รุ่นต่อๆ ไป จะได้ทำตาม เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ลืมสิ่งเหล่านี้ ไม่ลืมหายไป เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น สำคัญมาก  และเป็นอยู่ตลอดไป สำหรับมนุษยชาติทุกคน

มันเป็นอย่างนั้น เราควรจะเปลี่ยนท่าทีใหม่ในการเข้ามาทำพิธีมหาสนิทนี้ ให้มันสนิท สมกับที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขน พระเยซูมีนามว่า “อิมมานูเอล” ภาษาฮีบรู แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” แต่เมื่อผนวกกับพระคัมภีร์ใหม่ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ โดยการทำมหาสนิทแล้ว อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าอยู่กับเรา  สถิตกับเรา  พระเจ้าอยู่ในเรา  และพระเจ้าอยู่เพื่อเรา  พระเจ้าล้อมรอบตัวเรา  พระเจ้าโอบกอดเรา  พระเจ้า  รักเราอย่างแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิทควรจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ถ้าระลึกได้ทุกวัน ทุกมื้อเลย ยิ่งดีใหญ่เลย หลับตาไปก็เห็น ลืมตาเห็น เห็นอะไร? พระเยซูเป็นพระเจ้า พระเยซูอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ล้อมรอบเรา  พระเยซูอยู่ในเรา  พระเยซูโอบกอดเรา  พระเยซูทรงรักเรา  พระเยซูอยู่เพื่อเรา

แค่นั่นไม่พอ  มหาสนิท แปลว่าพระเยซูอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซู  พระเยซูล้อมรอบเรา  เราล้อมรอบพระเยซู  พระเยซูอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเยซู  พระเยซูโอบกอดเรา  เราโอบกอดพระเยซู  พระเยซูอยู่เพื่อเรา  เราอยู่เพื่อพระเยซู  พระเยซูทรงรักเรา  เราก็รักพระเยซู  มันเป็นเช่นนี้ตลอดนิรันดร์  เราจึงมาเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้เราในวันนี้  ซึ่งเพลงที่เขาใช้กัน เป็นเพลงที่เขาเฉลิมฉลอง ตอนที่พระเจ้าให้เฉลิมฉลองวันปัสกา พอเขาเฉลิมฉลองปัสกาเสร็จ เขาก็ร้องเพลงถวายพระเจ้าตรงนี้แหละ  ในสดุดี 118  เป็นเพลงที่เขาร้องเฉลิมฉลองปัสกา ที่พระเจ้าได้ไถ่เขาให้พ้นจากการเป็นทาสอียิปต์ 430 ปี เราก็ควรทำเช่นนั้น บทเพลงนี้ บอกถึงวันที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะช่วยให้รอด แล้วพระองค์ทรงทำจริงๆ ตามสัญญานั้น ก็คือเพลงนี้ ….  ทำมหาสนิทควรจะร้องเพลงนี้นะ

“วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้                     เราจะยินดีและเบิกบานในใจ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์

แสนยินดี การประทับของพระเจ้า             พระองค์สมควรจะสรรเสริญ x2

ยินดี ในพระองค์  ยินดี  ในพระองค์”

เมื่อพระเยซูได้ไถ่เราแล้ว ….

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

“แสนยินดี  เยซูเรายินดี x4                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

และเป็นอยู่  ชั่วนิจนิรันดร์                          กลับคืนพระชนม์  กลับคืนพระชนม์

พวกเราแสนยินดี x3  การฟื้นพระชนม์  ของพระเยซู”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************