คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2020 เรื่อง “พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์  เป็นของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ขอกล่าวคำว่า Merry Chrishmas” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่าน”

ขอบคุณพระเจ้า ผมเชื่อว่าทุกคนจำได้ เพราะว่าพูดกันทุกๆ ปี แม้กระทั่งใส่หน้ากากอนามัย ยังพูดซะดังเลย

“ท่าน” คือฉัน และมนุษย์ทุกๆ คน

“Merry” เป็นภาษาเดิม  ภาษาโบราณ เป็นการอวยพรวันคริสตมาส “ขอให้ได้พร” … พรอะไร? สันติสุขและความสงบสุข ในพระคัมภีร์ ก็คือ Merry คือขอให้ท่านได้พร คือสันติสุขและความสงบทางใจ

“Chrishmas” คือการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง เรียกว่าคริสตมาส

“Merry Chrishmas” จึงแปลว่า … “ขอให้ท่านได้พบสันติสุข และความสงบทางใจ จากการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงไถ่บาปให้ท่านทั้งหลาย ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้”

ซึ่งตรงนี้ พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นข่าวสารจากพระเจ้า เอ๊ะ! ตะกี้นี้เป็นข่าวดีหรือไม่ดี Merry Chrishmas เป็นข่าวดี ถูกไหม? ของขวัญจากพระเจ้าฟรีๆ เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกกันว่าข่าวดี มีข่าวดีมาบอก

วันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้าประกาศว่ามีข่าวดีมาบอก พระเยซูบอก มีข่าวดีมาบอก บอกมาแล้ว 2,000 ปี ถึงมนุษย์ทุกๆ คนว่าพระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า

“พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์  เป็นของขวัญจากพระเจ้า”  พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ ณ ปัจจุบันทันทีเลย ไม่ต้องรอ พระเยซูเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เกิดขึ้นทันทีเลย ณ ปัจจุบันทันทีเลย เข้าสู่สวรรค์แบบตัวเป็นๆ เลย สำหรับมนุษย์ทุกคนที่ต้อนรับข่าวดีนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ รับของขวัญของเขา … เขาจะเข้าสู่สวรรค์ทันที ขณะที่ตัวเป็นๆ อย่างนี้แหละ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

มีใครเคยพูดกับท่านแบบนี้ไหม? ไปสวรรค์ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถึงจะไป นี่ไปจริงๆ เลย และคำพูดนี้เป็นข่าวดี มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ตัวผมพูดเอง มาจากพระคัมภีร์เขียนเอาไว้ ซึ่งผมสามารถประกาศตาม ที่พระเยซูประกาศได้เลย พระเยซูประกาศอย่างนี้ มีข่าวดีมาบอก สวรรค์มาแล้ว มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตายก่อน

เพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนก็ต้องคิดว่าจะไปสวรรค์ รอตายก่อน ตายแล้วจะไปสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างไร จากโลกนี้ไป เราจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์? ทำอย่างไร? เมื่อไร? ดีขนาดไหน? สะสมความดีไว้นะ เมื่อตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ ก็เมื่อตายทั้งนั้น มีพระเยซูมาบอกข่าวดี ผู้เดียวในโลกนี้  จนถึงปัจจุบันเลยว่าไปสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย เพราะว่าสวรรค์มาถึงแล้ว และหลังจากที่พระเยซูประกาศนั้น และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  พระองค์ก็ให้บรรดาสาวก คือผู้เชื่อทั้งหลาย รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ที่ได้เชื่อแล้ว ก็มีหน้าที่ประกาศต่อไป เพราะเราได้ประสบการณ์แล้วว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เราได้อยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ประกาศ เหมือนพระเยซูบอกว่า รับของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ และเข้าสู่สวรรค์ได้เลยเดี๋ยวนี้ ทันทีเลย ไม่ต้องรอตาย และเราสามารถประกาศแบบแปลกๆ กว่าคนอื่นเยอะแยะ เขาบอกตายแล้วค่อยไปสวรรค์ เราบอกไปได้เดี๋ยวนี้เลย ประสบการณ์เดี๋ยวนี้เลย ถ้าท่านไม่มีประสบการณ์ในสวรรค์เดี๋ยวนี้ ท่านจะมั่นใจได้อย่างไรเล่าว่าตายแล้ว ท่านจะไปสวรรค์ มันจริงนะ

ถ้าท่านไม่มีประสบการณ์เลยว่าเข้าสู่สวรรค์เดี๋ยวนี้เลย เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตายแล้วเราไปสวรรค์ แต่สำหรับเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้าแล้ว เรามั่นใจว่าหลังจากความตายแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แน่นอน เพราะว่าบัดนี้ ขณะนี้ ตัวเป็นๆ เดี๋ยวนี้ เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  และเราสามารถประกาศต่อไปว่านี่คือข่าวดีที่มาจากพระเจ้า  ให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  เราไม่มีความเขิน ไม่มีความอายในเรื่องนี้เลย เพราะว่าเรามีประสบการณ์แล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าเราบอกว่าตายก่อนแล้วไปสวรรค์ เรามีประสบการณ์หรือยัง? ยัง แล้วเราจะไปประกาศข่าวดีได้อย่างไรว่ามาเชื่อพระเยซูสิ จะได้ไปสวรรค์ คุณยังไม่ได้ไปเลย แล้วคุณจะมาประกาศได้อย่างไร? ใช่ไหม?

ในโรม 1:16 ผู้ที่ประกาศข่าวดีนี้ ท่านหนึ่งที่มีชื่อว่าอาจารย์เปาโล ก็ได้มีความรู้สึกอย่างที่ตะกี้ที่ผมพูดว่าไม่อายเลยที่จะประกาศข่าวดีของพระเจ้าว่าไปสวรรค์ได้ในพระเยซูคริสต์ทันที เดี๋ยวนี้เลย ลองอ่านดูนะครับ

โรม 1:16 “ผม​ไม่​ละอาย​เกี่ยวกับ​ข่าวดีนี้​หรอก  เพราะ​ข่าวดีนี้  ​เป็น​ฤทธิ์เดช​ของ​พระเจ้าที่​จะ​ช่วย​ชีวิต​ทุก​คน​ที่​ไว้วางใจให้​รอด  ช่วย​พวกยิว​ก่อน  แล้ว​ต่อมา  ​ก็​ช่วย​คน​ที่​ไม่​ใช่​ยิว​ด้วย”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ผมไม่ละอายเกี่ยวกับข่าวดีนี้หรอก  เพราะว่าข่าวดีนี้  เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า

“เป็นฤทธิ์เดช” ภาษาอังกฤษจะเห็นชัดมาก พอเป็นภาษาไทยเป็นฤทธิ์เดช บางทีเรารู้สึกภาษาเดิมเก่าแก่นะ ออกไปทางลิเก อะไรต่างๆ ใช่ไหม?  แต่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Power”  อันนี้ปัจจุบันได้อยู่ เวลามีกำลังทางวิทยาศาสตร์ รถมีพลัง เขาเรียกว่า Power ไฟฟ้า ก็เรียกว่า Power เป็นพลังอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็น แต่มีผล ทำให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะช่วยชีวิตทุกคนที่วางใจ ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ให้รอด ถามว่ารอดจากอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว เรียนรู้เรื่องนี้ไปแล้ว รอดจากอำนาจของความมืด  รอดจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง รอดจากนรก มาสู่ตรงกันข้ามกับนรก ก็คือสวรรค์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า รวมในข่าวดีนี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ ทำให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ เข้าสวรรค์นั่นเอง เป็นของขวัญจริงๆ ในนี้บอกว่าพวกชาวยิวก่อน แล้วต่อมา ก็เป็นคนที่ไม่ใช่ยิว  ก็คือคนทั้งโลกนั่นเอง คือคนที่ยิวและไม่ใช่ยิว ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับของขวัญนี้ ผมก็เลยไม่ละอาย ฉันก็เลยไม่ละอาย เหมือนที่เปาโลพูด ถึงไม่ละอาย ถูกไหม?

ว่า … “ข่าวดีที่ฉันเชื่อนี้ ทำให้ฉันไปสวรรค์ และสามารถทำให้เธอก็สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าเธอเชื่อในข่าวดีนี้ เหมือนกัน” เอเมน

ให้เราพูดพร้อมกัน … “ฉันก็ไม่อาย ในการประกาศข่าวดีนี้ด้วย เช่นเดียวกัน เพราะข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์เดช Power ของพระเจ้า”

เป็นฤทธิ์เดชที่ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด  ย้ายเราออกจากการเป็นคนที่รับโทษทัณฑ์ของความบาป สาปแช่ง  หลุดพ้นจากโทษทัณฑ์ มาสู่อิสรภาพ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ในยอห์น 14:6 พระเยซูตอบผู้คน ที่ถามพระองค์ว่าจะเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?  …

ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่า  “เราเป็นทางนั้น  เป็นความจริง  และเป็นชีวิต  ไม่มีใคร มาถึงพระบิดา (เข้าสวรรค์) ได้  นอกจากมาทางเรา (ด้วยฤทธิ์เดช)”

 

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นฤทธิ์เดช เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใคร (นั่นเอง) มาถึงพระบิดา หมายถึงเจ้าของสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าไม่มีใครสามารถเข้าสวรรค์ได้ นอกจากทางเรา ก็คือทางพระเยซู ก็คือฤทธิ์เดช มีใครเคยพูดกับเราอย่างนี้ไหมบนโลกใบนี้ หรือเคยได้ยินใครพูดอย่างนี้ไหม? มั่นใจถึงขนาดนี้เลยไหมว่าท่านไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้เลยล่ะ ถ้าไม่ได้ผ่านทางเรา ซึ่งจะให้ฤทธิ์เดชกับท่านในการเข้าสวรรค์ ทางเรา ก็คือทางข่าวดีของพระเยซู ก็คือทางฤทธิ์เดช ที่ตะกี้เราบอก ข่าวดีนี้คือฤทธิ์เดช

ข่าวดี คือฤทธิ์เดช ทางพระเยซู คือทางข่าวดี ก็คือทางฤทธิ์เดช เห็นหรือยัง? ผมพยายามพาท่านไปดูตามตรรกะ ให้เห็นชัดๆ ว่านี่เป็นเรื่องง่ายๆ มากๆ เลย เข้าใจไม่ยากว่าเราจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  โดยไม่ใช่การกระทำของเรา แต่ด้วยฤทธิ์เดช … ฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นของขวัญ ซึ่งเรามาฉลองคริสตมาส คือฉลองของขวัญนี้แหละ ใน 1 ยอห์น 4:9 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 ยอห์น 4:9 “นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ท่ามกลางเราทั้งหลาย  คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก  เพื่อเราจะได้มีชีวิต  โดยทางพระบุตร (ฤทธิ์เดช) นั้น”

 

นี่คือการสำแดงความรักของพระเจ้า  สำแดงด้วยวิธีใด  เสียสละ  ประทาน ให้ของขวัญ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมาก เข้ามาในโลก เพื่อมนุษย์ทุกคน เพื่อเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตรนั้น ได้มีชีวิต ก็คือได้รอดจากความตาย ถูกไหม? มาสู่ชีวิต และชีวิตนี้ คือชีวิตนิรันดร์ หมายถึงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ชีวิตที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้า ชีวิตที่เป็นแบบพระเจ้า ชีวิตที่มีคุณภาพ ลักษณะเป็นของพระเจ้า  พูดง่ายๆ ชีวิตที่เป็น DNA ของพระเจ้า เราจะได้รับชีวิตนี้ เมื่อเรารับของขวัญ คือพระเยซูคริสต์เข้ามาสู่ชีวิตของเรา

ในนี้บอกว่า “เพื่อว่าเราจะได้มีชีวิต โดยทางพระบุตร คือพระเยซูนั้น”

โดยทางพระบุตร คือโดยทางนั้น ทางข่าวดี … ข่าวดี คือฤทธิ์เดช

เพราะฉะนั้น ข่าวดีในทางพระเยซูบอกว่ามาทางพระเยซู ทางฤทธิ์เดช เราได้รับชีวิตนี้ ผ่านทางพระเยซู ผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางข่าวดีของพระองค์นั่นเอง ยอห์น 1:12-13 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าใครที่ใช้สิทธิของเขา ไปรับของขวัญนี้จากพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้ คือพระเยซู ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช ใครก็ตามที่ใช้สิทธิของเขา ไปรับของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ เปล่าๆ ซึ่งหมายถึงฤทธิ์เดชในพระเยซูคริสต์ พอรับปุ๊บ ก็จะได้ฤทธิ์เดชอำนาจนั้นเข้ามาในชีวิตของเขา ดูสิว่าฤทธิ์อำนาจนี้ เมื่อเข้ามาในคนนั้นแล้ว เมื่อเขารับของขวัญทันที ฤทธิ์เดชนั้น เข้ามาในชีวิตเขาทันที ฤทธิ์เดชทำให้เกิดอะไรขึ้นทันทีบ้าง เราลองมาอ่านกันดู

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์  ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ  หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์  หรือจากเจตจำนงของสามี  แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

คนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ก็คือใครก็ตามที่ยอมรับ ก็คือมารับของขวัญ เชื่อว่าข่าวดีที่มาบอกนี้เป็นจริง ก็เลยมารับของขวัญจากพระเจ้า มารับพระเยซู เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ ถูกไหมครับ? ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็คือกำลังมารับของขวัญ จากพระเจ้า  พระองค์ก็ประทานสิทธิ ซึ่งคำว่าสิทธิ ในภาษาเดิมใช้คำเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วยว่า Power จะได้เห็นชัดๆ ว่ามันใหญ่ มันเยอะ หรือไม่ก็ฤทธิ์เดชก็ได้ เริ่มชินแล้ว พระองค์ก็ประทานฤทธิ์เดช ให้เขาได้เป็นบุตรของพระเจ้า ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ให้ฤทธิ์เดชเขาทำอะไรบางอย่าง ในชีวิตของเขา ในร่างกายของเขา  ให้กลายเป็นลูกของพระเจ้า นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ที่บอกว่า Power หมายถึงอะไร? ดูความยิ่งใหญ่

แล้วในนี้อธิบายให้ฟังคำว่า “ลูกของพระเจ้า” นี้ มีลักษณะเป็นอย่างไร? ได้บอกอย่างชัดเจนอีกว่าคือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงค์ของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้เกิดแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วๆ ไป  แต่เกิดโดยทางวิญญาณ

เพราะฉะนั้น เห็นภาพชัดๆ ในนี้  ก็คือใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซู รับของขวัญจากพระเจ้า พระเยซูก็ประทานฤทธิ์เดช ซึ่งอยู่ในข่าวดีนี้ ฤทธิ์เดชนั้นจะเข้าไปอยู่ในร่างกาย ในชีวิตของเขา และถ้าพูดในภาษาไทยง่ายๆ ก็คือขมวดปมอะไรบางอย่าง Power ง่ายๆ ปัจจุบัน ก็คือเหมือนเราเอาขนมเค้กผสมกัน เสร็จปุ๊บ เข้าไปในตู้อบปุ๊บ เปิด Power เปิดสวิทซ์ไฟตู้อบ ร้อนระอุ อะไรเละๆ ตะกี้นี้ ออกมาเป็นขนมเค้กช็อกโกเลต หรืออะไรแล้วแต่ มันหอมหวาน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟัง

หรือเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าโลกกำเนิดได้อย่างไร? เกิดจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ไม่รู้ใครทำให้ระเบิด แต่เกิดจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล เกิดเป็นดวงดาว ดวงจันทร์ เกิดโลกขึ้นมา  เขาว่าอย่างนั้น เขาไม่ใช่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ  แต่ละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจว่าไม่รู้ใครทำให้เกิดการระเบิดบิ๊กแบงค์อย่างนี้  แต่เรารู้ใครเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล คือพระเจ้า ทำให้เกิดบิ๊กแบงค์ เปรี้ยงเดียว คำว่าเกิดเปรี้ยงเดียว เกิดขึ้นทันที เขาถึงใช้คำภาษาไทยว่า “ฤทธิ์เดช” ไง แรงกำลัง พลังงานยิ่งใหญ่ ก็คือฤทธิ์เดช

เพราะฉะนั้น ใครที่ต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะไปทำให้เขาขมวดปมในวิญญาณ เกิดเป็นบุตรของพระเจ้า เหมือนที่พระเยซูมาบังเกิด เป็นมนุษย์ในวันคริสตมาสแรกโน้น 2,000 ปีที่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่เหนือแมรี่ แล้วขมวดปม จุติ เกิดขึ้นในหญิงพรหมจรรย์ เปรี้ยง เกิดเป็นมนุษย์ ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป เพราะไม่ได้มีเชื้อมาจากฝ่ายชาย ลักษณะคล้ายๆ กันอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับพระเยซู คนนั้นได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า  เพราะเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือได้เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้าทันที ไม่ต้องรอตาย ยอห์น 3:3  พระเยซูประกาศว่าอย่างนี้

ยอห์น 3:3 “พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า  “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้  ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

 

“ไม่มีใครที่จะเข้าสวรรค์ได้  ถ้าเขาไม่ได้เกิดใหม่” เกิดใหม่เท่านั้น จึงเป็นหัวใจของการเข้าสวรรค์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติ หรือการกระทำอะไรก็ตาม แต่ได้ด้วยวิธีเดียวเข้าสู่สวรรค์ โดยการเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ เกิดเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่ทำ แล้วเข้าไปในสวรรค์ แต่เกิดเข้าไปในสวรรค์ แล้วเกิดด้วยตัวเองได้ไหม? มีใครบ้างเกิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีใครบางคนทำให้เราเกิด ถูกไหม? บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ให้เราเกิดใหม่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทิตัส 3:5 จึงได้อธิบายอย่างนี้ บังเกิดใหม่ได้อย่างไร?

ทิตัส 3:5 “พระองค์​ได้​ช่วย​ให้​เรา​รอด (จากนรก) ไม่​ใช่​เพราะ​เรา​ทำดี แต่​เป็น​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระองค์​ต่างหาก  พระองค์​ได้​ชำระ​ล้าง​เรา  ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​เกิด​ใหม่  และ​ถูก​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่  ​ด้วย​ฤทธิ์เดช​ของ​พระวิญญาณ​บริสุทธิ์”

 

ข้อเดียว อ่านแล้วมันสะใจดีเหลือเกิน  เป็นความจริงที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ … “พระองค์ได้ช่วยเราให้รอดจากนรก”  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่เพราะเราทำดี

อ่านให้ดีๆ อีกครั้ง … พระองค์ช่วยเราให้รอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ ไม่ใช่เพราะเราทำดี ไม่ใช่เพราะฉันทำดี ไม่ใช่เพราะใครก็ตามที่ทำดีขนาดไหนก็ตาม แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาของพระองค์ต่างหาก ก็คือเป็นของขวัญให้ฟรีๆ ถูกไหม? เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระองค์ได้ชำระล้างเรา  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระบาป คริสตมาสเราได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? พระเยซู พระผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ พระองค์มา เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน รวมทั้งฉันด้วย ซึ่งทำให้เราเกิดใหม่ ไถ่บาปของเรา เพื่อให้เราสามารถบังเกิดใหม่ได้ เพราะจะเกิดใหม่ ต้องบริสุทธิ์สะอาด เหมือนดั่งพ่อของเรา ก็คือพระเจ้า พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ ก็ต้องสะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ก็ได้รับการชำระ ไม่ใช่เป็นเพราะเราทำ จนเราสะอาด แต่เป็นเพราะพระเจ้าตายที่ไม้กางเขน เอาบาปของเราแบกไว้ที่พระเยซู ด้วยตัวของพระองค์ แบกเอาบาปของเรารับโทษแทนเราหมดเลย

ในนี้จึงบอกว่าทำให้เราเกิดใหม่ได้ และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ชัดเจนเลยนะว่าเราเกิดใหม่ด้วยอะไร? ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น  ข่าวดี เป็นฤทธิ์เดช เป็นพลังอำนาจของพระเจ้า จับต้องมองเห็นได้เลยตอนนี้ เห็นชัดๆ เลย ยิ่งมาในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเยอะๆ เราจึงเห็นข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู เจ้าของวันเกิด วันคริสตมาสนี้ เป็นฤทธิ์เดช พลังอำนาจของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ทำให้คน ที่วางใจในพระองค์ และเชื่อในพระเยซูคริสต์สามารถได้รับการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ได้ทันทีเลย พิสูจน์ได้

พระคัมภีร์บอกลองมาชิมดู หลายคนบอกอย่าทดลองพระเจ้า นี่ไม่ได้ทดลองพระเจ้า นี่มาลองดูว่าข่าวประเสริฐนี้จริงไหม?  ฤทธิ์เดชนี้จริงไหม? เสียบปลั๊กตรงนี้ เอาน้ำเข้าไปในไมโคเวฟ น้ำร้อนได้จริงไหม? ซื้อกลับบ้านไปเลย  ไม่ทันซื้อ ลองก่อนก็ได้ว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า? เคยลองหรือยัง? ไม่เคย แล้วทำไมไม่ทำ นั่นสิ เคยลองหรือยัง? ยัง แล้วทำไมไม่เอา …

“นั่นสิ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ทำไม ฉันไม่เอา ฉันลองมาเยอะแยะ หลายเครื่องแล้ว เครื่องนั้นก็ลอง เครื่องนี้ก็ลอง ไม่สะใจสักที มีเครื่องนี้ยังไม่ได้ลองเลย”

“เครื่องไหน?”

“เครื่องข่าวดีของพระเยซู ยังไม่ได้ทดลองเลยว่ามันเป็นอย่างไร? ลองเอาคู่มือไปอ่านๆ”

เสร็จแล้วก็เดินจากไป ดูๆๆ ดูเสร็จก็เดินจากไป

พระเจ้าจึงท้า ลองชิมดู จะได้รู้ว่าพระเจ้านั้นดี ลองชิมดู แล้วจะได้รู้ว่าพระเจ้านั้นแสนดี

ข่าวดี คือพระเยซูเป็นทางสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า จึงเป็นชื่อเรื่องที่วันนี้ ผมตั้งขึ้นมา มันชัดเจนดี ข่าวดี คือพระเยซูเป็นทางไปสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า  ผู้ที่ใช้สิทธิ์ รับของขวัญนี้ คือพระเยซู เขาก็จะได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เต็มไปด้วยสง่าราศี  หรือเต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ค่อยมั่นใจใช่ไหม? เอา “พระ” ออกไปก็ได้ “เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศี และสิริเหมือนพระเยซู” ถ้าเหมือนพระเยซู ยอมใส่ “พระ” หรือยัง?

เพราะฉะนั้น ใครที่ต้อนรับข่าวดีนี้ เชื่อในพระเยซูนี้ จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณที่บังเกิดใหม่ จะเต็มด้วยสง่าราศี  เต็มไปด้วยพระสิริ  ที่เป็นของพระเยซู  เอเมนไหม?  เชื่อไหมว่ามันเป็นจริง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้นว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ พระคัมภีร์ก็เลยบันทึกไว้อย่างนั้น ซึ่งความเป็นเหมือนพระเยซู คือเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น ซึ่งลักษณะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซู เป็นเป้าหมายหลัก เป็นน้ำพระทัยหลักของพระเจ้าที่พระเจ้าประทานของขวัญให้กับมนุษย์ทุกคน คือพระเยซูคริสต์

นี่คือความต้องการของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ พระเจ้าต้องการเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกาย เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของเรานี่แหละ พระองค์ต้องการเข้ามาอยู่ นี่คือน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คือแผนการของพระองค์ วางแผนไว้ว่าต้องการตรงนี้แหละ คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ในวิญญาณของเรา วิญญาณของมนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลนั่นเอง พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์คอยเคาะที่ประตูใจ เคาะๆ เมื่อไรท่านจะเปิดออกมาสักที เปิดเมื่อไร เราจะได้เข้าไปอยู่ที่นั่น สร้างบ้านเราอยู่ที่นั่น ไปอยู่กับพระบิดา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเลย เข้าไปอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อจะคอยดูแล ทนุถนอม ปกป้อง คุ้มครอง จูงมือเราเดินบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง สามารถเผชิญได้ทุกสิ่ง ตั้งแต่เมื่อท่านเปิดใจ ไม่ต้องรอตายเลย พอเปิดใจปุ๊บ  พระเจ้าก็จะเข้าไปเลย  ท่านเข้าไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าก็จะเข้าไปอยู่กับท่าน  เพราะพระเจ้าอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว  เป็นหนึ่งเดียวกัน  เดี๋ยวนั้น ทันที ไม่ต้องรอ และจะจูงมือท่านเดิน ณ วินาทีนั้น ที่ท่านเปิดใจ ตอนที่ตัวยังเป็นๆ อยู่เลย และนำพาชีวิตของท่านตั้งแต่เดี๋ยวนั้นเป็นต้นมา จนไปกระทั่งถึงนิรันดร์

ตอนที่ท่านจากโลกนี้ เป็นเพียงการออกจากร่างนี้ ไปสู่อีกมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เข้าไปสู่โลกวิญญาณ ทุกอย่าง ก็ยังเหมือนเดิม คือท่านกับพระเจ้าก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านยังคงอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม เอเมน ตื่นเต้นหน่อย ผมยังตื่นเต้นเลย

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดี นี้แล้ว พระเจ้าเข้าไปอยู่ในตัวเขา พระเยซูเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเขา อยู่ในตัวเขา เขาได้เกิดใหม่ ใน 1 ยอห์น 4:4 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่าถ้าผู้ที่เชื่อข่าวดีนี้แล้ว เป็นอย่างไร?

1 ยอห์น 4:4  “ลูกๆ ​เอ๋ย  พวกคุณ​เป็น​ของ​พระเจ้าจึง​มี​ชัยชนะ  ​เหนือ​พวก​ศัตรู​ของ​พระคริสต์  เพราะ​พระเจ้า​ที่​อยู่​ใน​พวก​คุณ​ยิ่งใหญ่​กว่า​มารที่​อยู่​ใน​โลกนี้”

 

“ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณ” … พวกคุณคือใคร?  ก็คือผู้ที่เชื่อในข่าวดี และได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว คุณรู้ไหมว่าคุณเชื่อแล้ว คุณมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามาร ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลกนี้ โรม 8:31 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 8:31 “เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ดี​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้  ถ้า​พระเจ้า​อยู่​ฝ่าย​เรา  ใคร​จะ​ต่อต้าน​เรา​ได้”

 

“ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราเราได้” … ตอนนี้พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราหรือเปล่า? พระเจ้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเราอย่างเดียว แต่พระเจ้าอยู่ในเราเลย

บางเล่มแปลตรงนี้ว่า … “ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ใครจะต่อต้านเราได้

พระเจ้าที่อยู่ในเราใหญ่กว่าเขาเหล่านั้น ที่เป็นความชั่วร้ายทุกอย่างในโลกนี้  พระเจ้าที่อยู่ในเราใหญ่กว่า

เพราะฉะนั้น เจอปัญหาอะไรตอนนี้ ผลกระทบจากโควิด 19 อนาคตโควิด 20, 21, 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ไม่รู้เมื่อไรก็ตาม พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา โควิดจะทำอะไรเราได้ เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราผ่านไป เอเมนไหม? เอเมน

พระเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดามนุษยชาติทั้งปวง ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วนะ ถูกไหม? ที่ได้อภัยความบาปผิดของมนุษยชาติ ลบล้างความบาปผิดของพวกเราทั้งหลาย ให้หมดเกลี้ยงเลย ถูกไหม? เป็นพระเมตตาที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือพระคุณของพระเจ้า ที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ได้มาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายเรา ในวิญญาณของเรา และบอกเราว่าจะไม่ทอดทิ้งเราเลย ตลอดไป จะอยู่กับเราตลอดไป พระคุณนี้ยิ่งใหญ่สูงสุด ไม่มีอะไรเทียบอีกแล้ว ไม่ใช่ชำระเราที่ไม้กางเขน ชำระเราแล้วปล่อยเราเดินคนเดียว ล้มลุกคลุกคลาน โน ชำระเราจนสะอาดหมดจด  ให้เราบังเกิดใหม่แล้ว และเข้ามาอยู่กับเราเลย กอดเรา โอบไว้เลย ใครอย่ามานะ เราจะดูแลเขาเอง ไม่ต้องห่วง ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ พอใจหรือยัง? สมควรที่จะไม่วิตกกังวลใช่ไหม? สมควรจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหมอย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เผชิญด้วยตัวเอง แต่เราเผชิญด้วยฤทธิ์เดชอำนาจและการทรงสถิตของพระเจ้าที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ณ เดี๋ยวนี้ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ๆ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปอีกแล้ว ไม่เป็นอื่นอีกแล้ว มันเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วจะเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ และตลอดไป ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เพราะพระเจ้าคุ้มเราอยู่ ปกเราอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย ใครจะทำอะไรเราได้ ไม่ต้องรอให้ตายถึงจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ตัวเราเองยังหนีออกจากพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็น DNA ที่มาจากพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา จงมองให้เห็นภาพเหล่านี้เถิด

พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าเราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เกิดใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยม เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย ในยอห์น 17:20-23 พระเยซูจึงอธิบายให้เราเห็นภาพว่าความต้องการของพระเจ้าเป็นเช่นไร เป็นคำอธิษฐานของพระเยซู ที่พระเยซูอธิษฐานก่อนไปถึงไม้กางเขน  พระองค์ทรงทราบแล้ว พระองค์จะทรงไปทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น พระองค์จึงอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่พระองค์ทรงอธิษฐาน คืออธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น และดูสิว่าพระองค์อธิษฐานอย่างไร? ให้กับใคร?

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น  แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์  ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย  21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  พระบิดาเจ้า  พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร  ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์  และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย  เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา  22 เกียรติสิริ  ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น  ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  23 คือข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์   เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา  และทรงรักพวกเขา  เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

“ข้าพระองค์  (คือพระเยซู) ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย”

พระเยซูบอกว่าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเผื่อพวกเขาเท่านั้น “เขา” ในที่นี้ หมายถึงอัครสาวกที่เดินกับพระเยซู พวกเปโตร ยอห์น ยากอบ สาวก 12 คน แต่พระเยซูบอกว่า แต่ข้าพระองค์อธิษฐานให้กับบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย ก็คือบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวดี ที่มาถึงเขา ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนที่เชื่อในข่าวดีที่เขาประกาศมาเรื่อยๆ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว เราเชื่อในข่าวดี ที่ได้ถูกประกาศ โดยอัครสาวก ส่งกันต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเรา และเราเชื่อในข่าวดี ก็คือเชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางข่าวดีนั้น

ข้อ 21 บอกว่าเพื่อพวกเขาทั้งหมด เขาทั้งหมดนี้ คือมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ต้อนรับของขวัญจากพระเจ้า  ต้อนรับเรา ก็คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  เห็นหรือยัง

“พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย”

พอมองเห็นภาพอะไรไหม? ยกตัวอย่างอะไรดี? เหมือนลูกแตงโมแล้วกัน แตงโมมีไส้ข้างในสีแดง ข้างนอกสีเขียว สมมตินะ เป็น 3 พระภาคเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นแตงโม 1 ลูก ขอให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในลูกแตงโมนี้เลย … “เขา” คือมนุษย์ผู้ที่เชื่อ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน แต่มนุษย์ทุกคนที่มีสิทธิ์แน่นอน พระเจ้าประทานของขวัญให้กับมนุษย์ทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องทำ เชื่อเฉยๆ ไม่ได้ พระคัมภีร์บอกว่าเชื่อต้องบวกกับการกระทำ อันเดียวเท่านั้น คือเชื่อแล้วก็รับของขวัญไปสิ ไม่ใช่เชื่อแล้วไม่รับของขวัญ รับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเจ้า 3 พระภาคเลย เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เพื่อว่าเขาไปไหน พระองค์ก็ไปด้วย ผู้เชื่อไปไหน พระเยซูก็ไปด้วย ไปทำการงานของพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่า …

“ฉันคือของขวัญ ฉันคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งให้โลกใบนี้  จนถึงทุกวันนี้”

ข้อ 22 บอกอันนี้ชัด ที่ตะกี้อธิบายให้ฟังนั้น … เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานให้ข้าพระองค์ สง่าราศี พระสิริที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรค์สถาน เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนั้นแหละ คือพระสิริยิ่งใหญ่ครอบครองโลกใบนี้เลย

ในนี้บอกว่าเกียรติสิรินั้น สง่าราศีนั้น  ที่ได้รับจากพระบิดา ข้าพระองค์ได้มอบให้กับพวกเขาแล้ว พวกเขา ก็คือมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในนามของข้าพระองค์ เชื่อในข่าวดีของข้าพระองค์ เพื่อพวกเขา ผู้ที่เชื่อนั้น จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เห็นหรือยัง? จะได้มีพระสิริ … พระสิริที่ให้กับลูก ลูกให้กับพวกเขาทุกคนเลย เพื่อเขาจะได้มีพระสิริ เหมือนพระบิดากับข้าพระองค์ที่มีพระสิริเดียวกัน …  เชื่อไหมว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่พระเยซูพูดเองเลยนะ พระเจ้าพูดเอง

ข้อ 23 “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” ข้าพระองค์คือใคร?  พระเยซู … พระเยซูบอกว่าข้าพระองค์อยู่ในผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ส่งข้าพระองค์มา เพื่อให้โลกรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แนบแน่นสนิท

และสุดท้าย หลายคนไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่แน่ใจตรงนี้ว่ามันใช่หรือไม่? โดยมักถามพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงรักลูกหรือเปล่า?” … “ทำไมพระองค์ไม่รักลูก?” หรือว่า “รักไม่เห็นเท่าคนนั้นคนนี้เลย” ฟังตรงนี้ พระเยซูพูดเอง …

“และพระองค์ทรงรักพวกเขา” พวกเขาคือใคร? ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ใช่ไหม? เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วใช่ไหม? รับของขวัญแล้วใช่ไหม? บังเกิดใหม่แล้ว พระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ พระเจ้าทรงรักเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เท่าๆ กันกับรักพระเยซู เราจึงเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มด้วยพระสิริงดงาม เหมือนพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงรักมากมายเท่ากับพระเยซู พูดง่ายๆ ว่าชีวิตของเรา ตัวตนแท้ๆ ของเรา มีค่า มีสง่าราศี เท่ากันกับพระเยซู

เป็นรูปที่พระเยซูประสูติในรางหญ้า  และมีดาวประหลาดอยู่เหนือโรงนา

            ผมอยากให้ดูรูปนี้ เคยเห็นรูปนี้ไหม? ส่วนใหญ่คริสตมาสจะมีรูปนี้ เห็นดาวไหม? ดาวนี้ก็ต้องรู้นะว่าหมายถึงอะไร? เป็นสัญลักษณ์ของพระสิริใช่ไหม? สง่าราศี เป็นแสงสว่าง พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง ไม่รู้จะอธิบายให้มนุษย์ฟังอย่างไร? เป็นแสงสว่างขนาดไหน? ดาวนี้ที่เห็น จะได้รู้ว่าสง่าราศี พระสิริ ความยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์ สะอาด พลังกำลัง อำนาจ ความงดงามเป็นอย่างไร? เป็นดวงดาวใหญ่ ดวงหนึ่งมีสง่าราศี เห็นชัดไหมครับ?

แล้วมนุษย์อย่างเรา จากการฟังพระเยซูอธิษฐานเมื่อตะกี้ทั้งหมด ตอนนี้เราเชื่อในข่าวดี เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราต้อนรับสิทธิของเรา รับของขวัญจากพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เราได้อยู่ในพระองค์แล้ว เหมือนพระองค์แล้ว เราอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านเห็นดาวดวงใหญ่ เหมือนในรูปภาพ ท่านอยู่ในใจกลางดาวนั้นแหละ  ท่านสว่างเท่านั้นเลย เราอยู่ในนั้นเลย แล้วจะมีอะไรมาเอาเราออกไปได้ไหม? เพราะว่าเราอยู่ในนั้นเดี๋ยวนี้เลย ตัวเป็นๆ อยู่ในนั้นแล้ว วิญญาณเราอยู่ตรงนั้น แล้วจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป

พระเยซูจึงบอกว่า … “ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ จงมาหาเรา มาหาพระเยซู เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข” ไม่ใช่สุขสดใสแบบนี้นะ … “เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อย” เข้าไปพักอยู่ในนั้น พักสงบอยู่ในดวงดาวนั้น ในรัศมี ในสง่าราศีของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า สนิทกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

พระองค์จึงบอกว่ามาหาเรา หายเหนื่อยใช่ไหม? จงมารับแอกของเรา แอกของเราก็เบา และสบายๆ”

สบายไหม? พักผ่อนอยู่ในนั้น

“แอก” ตัวนี้ ครั้งที่แล้วอธิบายให้ฟังแล้ว แอกนี้แปลว่าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน แอกแปลว่าโยก … โยกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราสิ  และแอกตัวนี้ สามารถแปลได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแบบสามีภรรยา มาแต่งงานกับเรา มาเป็นภรรยาของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งเจ้าเลย จากนี้ไปสามีมีหน้าที่เลี้ยงดูภรรยา ตามวัฒนธรรมประเพณีของชาวยิวสมัยก่อน ภรรยาไม่ต้องทำอะไรเลย  ฝ่ายหญิงไม่ต้องทำอะไรเลย  เมื่อแต่งงานปุ๊บ สามีมีหน้าที่ทำงานทุกอย่าง เลี้ยงดูภรรยา … ภรรยามีหน้าที่อะไร? ปฏิบัติสามี ปฏิบัติพระเยซูคริสต์ เหมือนที่ภรรยาปฏิบัติสามีอย่างไร? สรรเสริญ นมัสการ ก็คือตรงนี้แหละ  ปฏิบัติ แล้วที่เหลือทั้งหมด อะไรที่จำเป็น ที่สำคัญในชีวิต ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวสามีจัดการให้

นี่ยกตัวอย่างเห็นชัดเลย เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เห็นชัดอย่างนี้เลย ตอนนี้เลย ไม่ใช่รอตายไปก่อน ถ้ารอตายไปก่อน ไม่มีหลักฐาน ไม่รู้ได้ไปอยู่จริงหรือเปล่า? แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ทันที แล้วท่านรับรู้จากถ้อยคำพระเจ้า รับรู้เรื่องราวจริงๆ ว่าอย่างนี้ ความจริงเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นไท ท่านรู้มันใช่จริงๆ เราจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แบบหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะว่าผลของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ ตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่เป็นผู้ที่เชื่อแล้ว ก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในแสงสว่างนั้น เราเป็นผู้ชอบธรรม แปลว่าคนดี โดยการบังเกิดใหม่ ก็คือคนดีโดยกำเนิด ไม่ใช่การกระทำที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเป็นคนดีโดยกำเนิด ทำอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงครับถ้าเราเป็นผู้ชาย จากการทำของเรา  มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ทำอย่างอื่นได้  แต่ถ้าเราเกิดเป็นผู้ชาย มาจากผู้ชาย จากการเกิด จะไปทำอะไร ก็จะเปลี่ยนแปลงจากการเกิดเป็นผู้ชายไม่ได้ มันก็เป็นผู้ชายวันยังค่ำ

ฉันใดฉันนั้น เราก็จะมีสันติสุข ความชื่นชมยินดีในวิญญาณ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เป็นความสว่าง อย่างที่บอก เหมือนพระเยซู เป็นความดีงามบริสุทธิ์ สะอาด เต็มด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าในตัวเรา นั่นแหละตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่บังเกิดใหม่นั้น เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระองค์

แล้วต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง จากครั้งที่แล้วว่าทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลยในการที่จะมารับของขวัญจากพระเจ้า ฟรี ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห่อเรียบร้อยแล้ว ใส่ชื่อท่านเรียบร้อยแล้ว วางอยู่ ให้ท่านมารับเอาไป ของใคร ก็ของคนนั้น ไม่มีใครมาขโมยไปได้ ทุกห่อเท่ากันหมด ไม่มีใครมีของขวัญดีกว่ากัน เพราะว่าไม่ได้ของขวัญ โดยการกระทำ แต่ให้ฟรีๆ เปล่าๆ เพราะฉะนั้น เข้ามารับเอาไปเลย  ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น คำว่า “ไม่มีข้อแม้” ก็คือไม่มีข้อแม้ ไม่มีแต่ว่า ต้องไอ้โน่น ไอ้นี่ ไม่มี ไม่ต้องทำอะไรเลย มารับของขวัญเอาไปฟรีๆ เลย แล้วก็บังเกิดใหม่ แล้วพระเจ้าจะนำท่านเองว่ามันเป็นอย่างไร?

เข้าสู่สวรรค์ ฟรีๆ เพราะอะไร? เพราะเป็นความรักของพระเจ้าที่มีต่อบรรดามนุษยชาติ รักมนุษย์ทุกคนดั่งแก้วดวงใจของพระองค์ แล้วทรงแสดงความรักนี้ โดยการเสียสละชีวิตของพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาตาย ที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน แล้วในพระคัมภีร์ก็จะถามท่านว่าถึงขนาดนี้ ถ้าท่านรับรู้อย่างนี้แล้วว่าพระเจ้าทรงรักท่าน และให้ท่านมากถึงขนาดนี้ ถึงขนาดยอมตาย เพื่อท่านได้  แล้วมาอยู่กับท่านอย่างนี้แล้ว ท่านกลัวอะไรอีกล่ะ ท่านคิดว่าอย่างอื่นในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ที่ดีๆ ที่ท่านอยากได้ แล้วพระเจ้าหวงไว้บ้าง? ไม่ให้ ก็แสดงว่าไม่มี เมื่อไม่มี แสดงว่าสิ่งที่เราอยากได้ เราอยากเป็น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อันนี้ไม่ดีสำหรับเราหรอก พระเจ้าเลยไม่ให้เรา แสดงว่ามันมีอะไรบางอย่างดีกว่านั้นอีก เราไม่รู้ ถูกไหม? เราไม่ต้องไปคิดเลยว่า …

“ทำไมพระเจ้าไม่ให้อันนี้ ทำไมพระเจ้าไม่ให้อันนั้น พระเจ้าหวงไว้ทำไม?”

ไม่ได้หวงอะไรเลย  อยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุด  แต่ความคิด เราคิดไม่ออกว่าอะไรมันดีสำหรับเรา เรานึกว่าอันนี้ดีแล้ว แต่มันไม่ดีหรอก เราคิดว่ากินเหล้าเมายามันดี แต่มันไม่ดีหรอก เห็นไหม? เราไม่รู้ว่าอะไรมันดีไม่ดี เรานึกว่าไปอยู่สถานที่อากาศอย่างนี้ดี มันอาจจะอากาศเป็นพิษอยู่ แต่พระเจ้าทรงทราบ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ให้เราวางใจในพระเจ้าว่าถ้าพระองค์ทรงรักเรามากขนาดนี้ เราควรวางใจในพระองค์ว่าพระองค์จะทรงทำให้เราได้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี พระเจ้าจะไม่หวงไว้เลย จะเตรียมไว้ให้กับเรา  ผู้ที่รักพระองค์เสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว การรับพระเยซูคริสต์ การใช้สิทธิของท่าน การรับของขวัญนี้  มันจึงเป็นผลประโยชน์ทันที ล้วนๆ ทั้งเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไปถึงนิรันดร์เลย ไม่ใช่ว่ารอไปอยู่สวรรค์เฉยๆ แต่ว่าพระองค์เข้ามาอยู่ในตัวเรา และพาเราดำเนินชีวิต เผชิญกับปัญหาต่างๆ โควิดเผชิญคนเดียวไหวหรือ? บางคนอาจจะบอกว่าไหว มันเหนื่อยใช่ไหม? แต่ถ้ามีอีกผู้หนึ่งที่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มาอยู่กับเรา พาเราเดินอย่างนี้  อธิษฐาน เกิดอัศจรรย์ เกิดหมายสำคัญอย่างนี้ จะมากหรือน้อย หรือเป็นไปตามที่เราอยากได้ มากเท่าไรก็ตาม เรายังพิสูจน์ได้ว่ามีจริง เป็นจริง เรายังได้เปรียบกว่าที่เราจะมาเดินคนเดียว ถูกไหม?

แล้วในชีวิตนี้ จะต้องประสบปัญหาอะไรต่างๆ มากมาย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท่านจะเดินคนเดียวหรือ? แต่ถ้าท่านพิสูจน์พระเจ้า ต้อนรับข่าวประเสริฐ พระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นของขวัญ เป็นทางไปสู่สวรรค์ เป็นทางที่ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านจะสามารถทดสอบว่าจริงหรือไม่? ท่านสามารถชิมพระเจ้าดูเลยว่าพระองค์ดีจริงหรือเปล่า? และพระคัมภีร์ก็พูดมา 2,000,  3,000, 4,000 ปีแล้ว ทุกคนที่ชิมพระเจ้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า …

“ลองชิมพระเจ้าดู แล้วจะรู้ว่าพระองค์ทรงแสนดี”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

*********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2020 เรื่อง “การได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “การได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า”

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ในสถานการณ์อย่างนี้ เรามีพระเจ้าเป็นที่พึ่งของเราชัดเจน มาตั้งแต่โบราณแล้ว อะไรที่มนุษย์เหลือกำลังแล้ว ก็ถึงพระหัตถ์พระเจ้าทุกที เอเมน

อีก 2 สัปดาห์จะถึงเทศกาลคริสตมาส หลายคนก็กำลังหาซื้อของขวัญ สำหรับเทศกาลนี้ เป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว การให้ของขวัญคริสตมาส เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมายาวนานมาก ทุกวันนี้แม้กระทั่งคนที่ยังไม่เชื่อในพระเจ้า ก็ยังมีธรรมเนียมการปฏิบัติอย่างนี้แหละ ก็คือการให้ของขวัญซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องธรรดาของโลกใบนี้เลย ในช่วงเทศกาลคริสตมาสอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เทศกาล คริสตมาส ก็คือเทศกาลของขวัญนั่นเอง ทำไมผู้คนถึงมีธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกันทั่วโลกเลย ในวันคริสตมาส ก็เพราะทุกคนทราบดีว่าวันคริสตมาส ก็คือวันที่มวลมนุษยชาติ ก็คือมนุษย์ทุกคนได้รับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า ตามข้อพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ว่า …

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก ก็คือรักมนุษย์ยิ่งนัก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่ได้วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นี้ จะไม่พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์”

ยอห์น 3:16 ใครๆ ก็รู้จัก ใครๆ ก็ได้ยิน เดี๋ยวนี้ เรื่องนี้

ของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และสิ่งที่มนุษย์ได้รับ ก็คือชีวิตนิรันดร์ และความหมายของชีวิตนิรันดร์ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดรนั่นเอง เป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ชีวิตที่เป็นลูกพระเจ้า  ชีวิตที่มี DNA. เหมือนพระเจ้า ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ นี่คือของขวัญ

วันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องของขวัญวันคริสตมาส …

“ของขวัญวันคริสตมาส” ที่เราได้รับมาแล้วจากพระเจ้า คืออะไร? หัวข้อเรื่องที่จะบรรยายในวันนี้ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า การที่เราได้ฟัง เราเห็น ได้รับรู้ว่าการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ คือของขวัญจากพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าการที่เราจะสามารถเข้าไปในสวรรค์นั้น ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง? พระเยซูบอกไว้ว่าใครอยากจะเข้าไป อยู่ในสวรรค์ ก็จะต้องมีชีวิต ที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมทุกอย่าง เหมือนเจ้าของสวรรค์ เหมือนพระเจ้า ในมัทธิว 5:48 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระองค์พูดชัดเจนเลยนะ

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

มีอีกฉบับหนึ่ง แปลไว้อย่างนี้ …

มัทธิว 5:48 “ดังนั้น​ พระบิดา​ของ​พวก​คุณ​บน​สวรรค์​ดี​พร้อม​ขนาด​ไหน ก็​ให้​พวก​คุณ​ดีพร้อม​ขนาด​นั้น​ด้วย”

 

พระเยซูบอกว่า … “ดังนั้น พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ของพวกคุณ ของมนุษยชาติดีพร้อมขนาดไหน? บริสุทธิ์ขนาดไหน? ก็ให้พวกคุณดีพร้อมและบริสุทธิ์อย่างนั้น เหมือนพระเจ้าด้วย”

ทำได้ไหม? พระองค์ทรงทราบดี พระองค์จึงไม่ได้พูดแค่นั้นว่าให้ทำตัวเองให้ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าอย่างเดียว แต่พระองค์บอกว่าจะเข้าสวรรค์ให้ทำอะไร? ทำไม่ได้ใช่ไหม? ทำไม่ได้ ให้ไปเกิดใหม่ซะ

พระเยซูบอกว่า … “เงื่อนไขในการเข้าสวรรค์ คือพระบิดาของพวกคุณที่อยู่บนสวรรค์ดีพร้อมขนาดไหน? อย่างไร?  ให้พวกคุณดีพร้อมและบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าอย่างนั้นแหละ”

และเราก็บอก … “ใครจะไปทำได้ล่ะ”

พระเยซูเลยตอบว่า … “ไปเกิดใหม่ซะ มาเกิดใหม่ซะ ถึงจะได้”

พระเยซูบอกมาเกิดใหม่จริงๆ สวรรค์เป็นของผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ และพระเยซูยังพูดอีกว่าสวรรค์ เป็นของคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ

ตะกี้เราบอกแล้วใช่ไหมว่าสวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า วันคริสตมาส เราระลึกถึงวันที่พระเจ้าได้ให้ของขวัญกับมนุษย์ทุกคน ถูกไหม?  และของขวัญนี้ คือสวรรค์ใช่ไหม? แล้วพระเยซูบอกว่าสวรรค์นั้น เป็นของคนที่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ทำไมต้องพูดอย่างนั้น

ตอนสมัยที่ผมเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เมื่อปี 1988  ก็ประมาณ 32 ปีมาแล้ว วันคริสตมาสปีแรก ผมก็ซื้อของขวัญให้กับลูก โต๋เต๋ แล้วก็บอกเขาว่า …

“นี่นะ คืนวันนี้ คืนวันที่ 24 หลับแล้วนะ นึกถึงว่าพระเจ้าจะประทานของขวัญให้ อยากได้อะไร อธิษฐานไว้ เดี๋ยวกลางคืนดึกๆ พระเจ้าจะให้ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้”

โต๋เต๋อายุสักประมาณ 3 ขวบคนหนึ่ง 4 ขวบคนหนึ่ง พอพูดจบปุ๊บ เขาตื่นเต้นไหม? เขาตื่นเต้นมากเลย เขาไม่คิดอะไรมาก เขาตื่นเต้นมากว่าเขาจะได้ของขวัญ เขานอนแต่หัวค่ำเลย หลับไม่หลับไม่รู้ ถึงเวลาพ่อจะปลุกขึ้นมาเอง  พอใกล้ๆ เที่ยงคืน ผมก็ไปปลุกเขาขึ้นมา ค่อยๆ ย่องเข้าไปนะ ตื่นเต้น เดี๋ยวจะได้เจอทูตสวรรค์ เขาตื่นมาปุ๊บ ไม่งัวเงียเลย รีบเดินลงบันไดมา แล้วค่อยๆ ย่องอย่างที่ผมบอก เดี๋ยวทูตสวรรค์ตกใจ เผื่อจะได้เจอทูตสวรรค์ ปรากฏว่าไม่เจอทูตสวรรค์ ไปเจอของขวัญ 2 กล่องวางไว้หน้าประตู เขาก็เปิดประตูไป ไม่มีใครเลย ทูตสวรรค์ไปแล้ว แต่นี่ไงของขวัญ มาแล้ว ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้ แล้วเขาก็ไปเปิดของขวัญดู ด้วยความดีใจ เล่นของขวัญสนุกสนาน เป็นรถบังคับ เพลิดเพลินใหญ่ สนุกสนานขอบคุณพระเจ้า

พระเยซูจึงบอกว่าคนที่ไปสวรรค์ได้นั้น ต้องทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ คือเขาเชื่ออย่างไม่สงสัยเลย เขาเชื่อในข่าวดี ที่ผมบอกเขาไปว่าคืนวันนี้ พระเจ้าจะเอาของขวัญมาให้ เขาก็เชื่อแบบเด็กๆ เขาเป็นเด็กๆ  เพราะฉะนั้น  คนที่จะเข้าสวรรค์ได้  ฟังข่าวดีจากพระเจ้า ก็คือวัน คริสตมาส คือวันที่พระเจ้าให้ของขวัญกับมนุษยชาติ คือการเข้าสู่สวรรค์ ต้องรับของขวัญนี้ด้วยท่าทีที่เป็นแบบเด็กๆ

เพราะฉะนั้น ของขวัญหรือข่าวดีในการเข้าสู่สวรรค์นี้ จึงไม่ใช่สติปัญญา ปรัชญา ความคิดแบบมนุษย์ เปรียบเทียบหาเหตุผล แบบมนุษย์ แต่เป็นสติปัญญาอันล้ำลึกในพระเจ้า ที่ถูกซ่อนไว้ ข่าวดีเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สามารถทำให้คนบังเกิดใหม่ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ก็ทำตัวให้เหมือนเด็กๆ  เชื่อเท่านั้น เด็กจะถามไหมว่าทูตสวรรค์จะมาจากไหน? โต๋เต๋จะคอยถาม แล้วทูตสวรรค์จะมาอย่างไร? เข้าประตูไหน? แล้วเป็นอย่างไร? แล้วผมจะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เขาไม่สนใจ เขาจะรับของขวัญอย่างเดียว เราก็ต้องทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างนั้น

เป็นฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้าจริงๆ ทำให้คนบังเกิดใหม่ ใช่ไหมข่าวดี สำหรับคนที่เชื่อเท่านั้น ไม่ใช่คนที่หาเหตุผล ใช้ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ ในการวิเคราะห์เกิดใหม่อย่างไร? พระเจ้าประทานอย่างไร? พระเจ้าเป็นพระเจ้าจริงไหม? วุ่นวายไปหมดเลย  แล้วหาคำตอบได้ไหม? ได้บ้าง? ไม่ได้บ้าง? แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้หรอก ไม่ได้มีวันพอใจหรอก หาเหตุผลได้แค่นี้  ก็จะหาเพิ่มอีก เพราะมนุษย์ ก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนเดิม และเป็นมนุษย์ที่บาปด้วย แต่พระเจ้าพระเยซูบอกว่าขอให้แค่เชื่อในข่าวดีเท่านั้นเอง เหมือนกับที่ผมบอกกับลูก แล้วลูกก็เชื่อผมว่าคืนนี้ พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้  เขาเชื่อแค่นี้เอง  เขาใช้ความเชื่อ เขาจะไม่ใช้ความคิด

เพราะฉะนั้น เราทุกคนบนโลกใบนี้ จะรับของขวัญ คือเข้าสู่สวรรค์ที่พระเจ้าได้ให้มา 2,000 ปีแล้ว ด้วยวิธีนี้ ก็คือวิธีที่มีความเชื่อเท่านั้น เหมือนเด็กๆ  และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่อ จึงสามารถเข้าใจสติปัญญาของพระเจ้าได้ ต้องเชื่อก่อน จึงจะเข้าใจไง นี่จะรอให้เข้าใจก่อนถึงเชื่อ เป็นไปไม่ได้ เชื่อแล้วจึงเข้าใจได้  เคยได้ยินคำนี้ไหม? คนไทยชอบมากเลย  “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด”

การเข้าอยู่ในสวรรค์ ก็คือความรอด … รอดจากนรก ความรู้ท่วมหัว คิด ใช้สติปัญญามนุษย์เยอะแยะไปหมด ไม่รอด

ความรู้ท่วมหัว คือการกระทำตัวเองเหมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เป็นคนมีสติปัญญา  เป็นนักปราชญ์ต่างๆ นักคิด นักวิเคราะห์

“ฉันเป็นใคร? ฉันเรียนสูงๆ ขนาดนี้ จะมาเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้หรือ? อะไรมาเกิดใหม่ คนเราเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

ไม่ใช่ผมถามเอง แล้วก็ไม่ใช่ท่านถามเอง นักปรัชญาในสมัยพระเยซูก็ถาม ชื่อนิโคเดมัส ถามพระเยซูเลย บังเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะให้เขาใช้ความคิด สติปัญญาของเขาเรียนไปเยอะ เป็นนักปรัชญาคนหนึ่ง แล้วเกิดใหม่ได้อย่างไร? แล้ววิญญาณมาจากไหน? จะมุดเข้าไปที่ครรภ์มารดาอีกเหรอ วุ่นวายไปหมด

พระเยซูไม่ตอบมาก ให้ไปเกิดใหม่ คือเมื่อเขาไปเกิดใหม่ เขาจะรู้เอง ไม่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นความรู้ท่วมหัว  เอาตัวไม่รอด

ขอบคุณพระเจ้าที่หลายคนที่นี่ เป็นเด็กๆ กันหมดเลย ตอนมาเชื่อพระเจ้า มีใครใช้ความรู้บ้าง? มีใครใช้สติปัญญาบ้าง? ไม่มีเลย เพราะก่อนเชื่อพระเจ้า เราก็ความรู้ท่วมหัว ก็เลยเอาตัวไม่รอด ตอนนี้เรารอดแล้ว เพราะเราทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง เชื่อพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เอเมน

พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูมา เพื่อช่วยให้เรารอด จากบาปก่อน แล้วความรู้ค่อยมาทีหลัง พระเยซูมาช่วยให้เรารอดจากการเป็นคนบาป  เข้าสู่สวรรค์ เกิดใหม่ แล้วพระเยซูก็จะเริ่มต้นสอนเราที่เกิดใหม่ ให้เราเรียนรู้จักเรื่องของสวรรค์เองนั่นแหละ เราไปทำสลับกัน

สติปัญญาและเหตุผลแบบมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณ  เรื่องของสวรรค์ของพระเจ้าได้ ทั้งๆ ที่จิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้า รู้ว่ามีสวรรค์

ถามว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนรู้เพราะอะไร? เพราะมันแสดงออกมาจากการประพฤติของมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ สัตว์เอย ต้นไม้เอย ไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ก็คือมนุษย์แสวงหา  กระทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับวิญญาณ  รวมกันทำพิธีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ  มนุษย์เท่านั้นที่แสวงหา รู้ว่ามีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณ ก็เลยสร้างวัตถุเคารพต่างๆ มากมาย  มีความเชื่อ แบบแปลกๆ

ที่ถามว่าทำไมแปลกๆ เพราะว่าโลกวิญญาณในสวรรค์นั้น มีพระเจ้าเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่นี่เชื่อแบบแปลกๆ ก็คือแสดงว่าเขายังหาพระเจ้าไม่เจอ เขาบอกว่ามีจานบิน หรืออุกาบาตร่วงลงมา หล่นลงมาบนโลกใบนี้ ถ้าตกลงในประเทศที่รู้จักพระเจ้า ยกตัวอย่างตกในประเทศอเมริกา ประเทศแถบยุโรป ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือตกในประเทศแถบอิสลาม ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแล้ว หรือตกในชาวยิว อิสราเอล ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาจะเอาวัตถุที่ตกลงมานั้น ไปวิเคราะห์ เข้าแล็บว่าเป็นวัตถุมาจากไหน? มาจากดาวอะไร? เป็นอะไรทางวิชาการ แต่ถ้าตกมาแถวเอเชีย  ผู้คนไม่ค่อยจะรู้จักพระเจ้า … พระเจ้า หมายถึงพระเจ้าองค์เดียว ผู้เดียว เมื่อพื้นฐานไม่รู้จักพระเจ้า ตกลงมาปุ๊บ ส่วนใหญ่ประเทศทางเอเซียมาเจอปุ๊บ  จะทำสิ่งที่ตรงกันข้าม  ก็จะเข้าไปทำอะไร? ท่านรู้อยู่แล้ว ผูกผ้า ขอหวยอีกต่างหาก แล้วก็ทำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย  เพราะว่าข้างในเขาแสวงหาโลกวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า แต่ว่ายังไม่เจอ

นี่เป็นตัวบ่งบอกว่ามนุษย์ทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้า เขารู้ตัวเขาเองว่ามาจากไหน? แต่เขาหาไม่เจอเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ พยายามที่จะหาว่าเรามาจากไหน? ไม่มีทางเจอหรอก จนกว่าเราจะเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ รับของขวัญจากพระเจ้า และบังเกิดใหม่ เราจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าเรามาจากไหน? แล้วเราเป็นใคร? การไปเกิดใหม่ การอยู่ในสวรรค์ ผู้คนก็จะถามว่าสวรรค์คือที่ไหน?

พระคัมภีร์ได้พูดชัดเจน สวรรค์ คือสถานที่แห่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณ ถ้าใช้สติปัญญามนุษย์ฟัง ก็จะเดินหนี เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจ แต่ผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว เชื่อในพระเจ้าแล้ว ก็จะเริ่มฟัง พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ ใช่ มีการยืนยัน จากข้างใน รับรู้ได้ นี่คือสติปัญญา จากพระเจ้า จากพระเยซู เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว

สวรรค์ ก็คือสถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ เหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็พอรู้ คนไทยบอกว่า … “สวรรค์อยู่ในอก  นรกอยู่ในใจ” … พระเยซูก็บอกอย่างนั้นแหละ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ มีสวรรค์ มีนรก แต่หาไม่เจอ ก็เลยบอกว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ คือสวรรค์ในที่แห่งหนึ่ง ในโลกวิญญาณนั่นเอง มีจริง ถ้าไม่มีจริง เราจะเชื่อกันอย่างนี้หรือ? ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็รู้ว่ามีอย่างนี้อยู่ และตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ

ตัวแท้จริงของเรา ไม่ใช่ตัวร่างกายที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แต่ตัวจริงๆ ของเรา ที่จะอยู่นิรันดร์กาล อยู่ตลอดไป นั่นคือวิญญาณ ซึ่งตาเรามองไม่เห็น เรามองซึ่งกันและกันเห็นได้แต่ร่างกายเท่านั้นเอง ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณ ร่างกายอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง แต่วิญญาณอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ

พระคัมภีร์บอกว่าในโลกวิญญาณนี้มี 2 แห่ง แห่งหนึ่งเรียกว่าความมืด แห่งหนึ่งเรียกว่าความสว่าง เพราะฉะนั้น ในวิญญาณของมนุษย์ ก็จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง คือไม่ระหว่างความมืด ก็อยู่ในความสว่าง หรือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า หรืออยู่กับพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นผู้บันทึกไว้อย่างนี้ ว่าบางวิญญาณของมนุษย์อยู่ในพระเจ้า อยู่กับพระเจ้า บางวิญญาณไม่ได้อยู่กับพระเจ้า  หรือบางวิญญาณอยู่ในความทุกข์นิรันดร์ หรือบางวิญญาณอยู่ในความสุขนิรันดร์ บางวิญญาณเรียกว่าอยู่ในนรก ที่ไม่มีพระเจ้า บางวิญญาณเรียกว่าอยู่ในตรงกันข้ามกับนรก ก็คือยู่ในสวรรค์

สิ่งเหล่านี้ เป็นความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณนั่นเอง มวลมนุษยชาติล้วนแสวงหาการได้อยู่ในสวรรค์ทั้งนั้น มีใครอยากไปอยู่ในนรก รู้ทันทีว่าแทบไม่ต้องสอนเลย ทุกชาติ ทุกศาสนารู้เลยว่าตายไปแล้ว หรือแม้กระทั่งอยู่ที่นี่ก็อยากอยู่ในสวรรค์

พอมีความสุขนิดๆ หน่อยๆ ก็พูดจากปาก ด้วยความเผลอตัวเลยว่า … “เหมือนสวรรค์”

พอมีความทุกข์เข้ามาบนโลกใบนี้ ก็พูดเผลอตัวว่า … “โอ้โห! มันนรกมีจริง”

แล้วท่านจะรู้ว่านรกมีจริง เพราะว่ามันทุกข์สาหัส ดังนั้น จิตใต้สำนึกของทุกคนรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนบาป ก็ถึงอยากแสวงหาสวรรค์ ถูกไหม? ถ้าเขาอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว ใครอยากไปหาสวรรค์ ก็มันอยู่ๆ แล้ว แต่มนุษย์ทุกคนแสวงหาสวรรค์สถาน แสดงว่ามนุษย์ทุกคนรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป

มนุษย์ทุกคนที่เผลอตัว หรือพูด หรือคิดว่าเราอยากจะไปสวรรค์นั้น  แล้วเราชอบไปสวรรค์นั้น ก็เพราะรู้ว่าตัวเราเองเป็นคนบาป ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้

นี่คือสาเหตุว่าทำไมพระเจ้า จึงต้องให้เป็นของขวัญ ก็คือให้สวรรค์เป็นของขวัญ สำหรับมนุษย์ เข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไร? ของขวัญมันฟรีอยู่แล้ว ก็เพราะรู้ว่ามนุษย์ทำไม่ได้นั่นเอง มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และไม่สามารถหลุดจากบาปนั้นได้ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างนี้

โรม 5:12 “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา  และโดยทางนี้เอง  ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์  เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

ตะกี้นี้บอกมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และแสวงหาการไปอยู่ในสวรรค์ ทำไมมนุษย์ทุกคนจึงเป็นคนบาปล่ะ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าบาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว มนุษย์คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มวลมนุษย์ต้องตาย เพราะบาปนี้ ตายในที่นี้ ก็คือหลุดออกไปจากสวรรค์ หลุดออกจากพระเจ้าไป ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในสถานที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่ตะกี้นี้ที่เราได้อ่านกัน จากความสว่างไปอยู่ความมืด  จากสวรรค์ไปอยู่ในนรก อยู่เลย ในนี้บอกว่ามาจากคนๆ เดียว คนนั้น คืออาดัม บรรพบุรุษของเรา

เราจึงรู้ว่ามนุษยทุกคนเป็นคนบาป อยากถามท่านเลยตอนนี้ว่าท่านคิดว่ามนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ อย่างน้อย ต้องทำบาปกี่ครั้งจึงจะเป็นคนบาป? บางคนบอกครั้งเดียว แล้วมีใครตอบอย่างอื่นบ้าง? ต้องทำบาปกี่ครั้ง เราถึงเป็นคนบาป คำตอบ คือไม่ต้องทำ ก็บาปแล้ว มีบางคนตอบ ศูนย์ครั้ง มีบางคนตอบ 1 ครั้ง บางคนตอบว่าทำบาป โดยไม่ได้ตั้งใจ  ไม่เป็นไร

คำตอบในพระคัมภีร์มีบอกไว้ มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะมนุษย์คนเดียว ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคน เกิดมาเป็นบาป โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือยังไม่ได้ทำบาปเลย เกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว เพราะไม่ใช่ตัวเขา ตอนนี้เราเอาแค่นี้ก่อน  พระคัมภีร์บอกว่าเพราะคนนั้น ทำบาป ทำให้เกิดมาเป็นบาป เพราะคนนั้นติดเอดส์ทำให้เราเกิดมาติดเอดส์ไปด้วย อย่างนี้จะเห็นชัดขึ้น ไม่ต้องทำอะไร ก็เท่ากับได้ทำผิดบาป เป็นนักโทษ กบฏต่อพระเจ้า เกิดมาก็ตายทางวิญญาณ เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เกิดมาก็อยู่ฝ่ายมาร เป็นความชั่วร้าย เป็นคนอธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย มันเกิดมาเป็นเลย ติดเชื้อมานั่นเอง ติดไวรัสมาจากคนอื่น เป็นคนเอาเข้ามา เราไม่ได้เป็นคนให้มันเกิดขึ้น

เราจะเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือความน่าสงสารของมวลมนุษยชาติ ที่พระเจ้าได้มองเห็น และรู้ถึงความเป็นจริง และการกำเนิดของความบาป เรามาอ่านต่อไป โรม 5:15 ว่าเป็นเช่นไร?

โรม 5:15 “แต่ของประทานนั้น  ต่างจากการล่วงละเมิด  เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย  เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  พระคุณของพระเจ้าและของประทาน  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก”

 

ความหมายของข้อนี้ อธิบายง่ายๆ ได้อย่างนี้ว่า … “แต่​ของขวัญ​ที่​พระเจ้า​ให้​เปล่าๆ ​นั้น  มัน​แตกต่าง​กัน  ​เพราะ​ใน​ทาง​หนึ่ง  ​ขณะ​ที่​ความผิด​ของ​คนๆ ​หนึ่ง  คือ​อาดัม  ทำ​ให้​คน​จำนวน​มาก​ต้อง​ตาย  แต่​ใน​อีก​ทาง​หนึ่ง  ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า  ​และ​ของขวัญ​ที่​ผ่าน​มา​ทาง​ความ​เมตตา​ของ​คน​คน​เดียว  ​คือ​พระเยซู​คริสต์นั้น ก็​เป็น​ประโยชน์​กับ​คน​มากมาย”

นี่คือคำแปลของอีกฉบับหนึ่ง อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ในข้อที่ 15 บอกชัดเจนเลยว่าคนนั้น คือใคร? ดูข้อ 16 อีกจะเห็นชัดขึ้นไปอีก

โรม 5:16 “และของประทานจากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว  กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว  และนำไปสู่การลงโทษ  แต่ของประทานเกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง  และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม”

 

แน่นอน ผลจากของขวัญนั้น ก็คือความรอดนั้น แตกต่างอย่างมาก จากผลของความผิดบาป ที่อาดัมได้ทำ แตกต่างกันอย่างไร? เพราะการทำผิดครั้งเดียว การทำบาปครั้งเดียวของบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนติดเชื้อบาป ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ผิด เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นพวกกบฏ ติดเชื้อไปด้วย แต่ของขวัญนั้น ก็คือสวรรค์ ผ่านทางพระเยซู ที่พระเจ้าได้ให้เราฟรีๆ เปล่าๆ นั้น แต่ของขวัญนั้น ได้ทำให้มนุษย์ เราทุกคนได้รับการติดสินว่าไม่ผิดเลย ทั้งๆ ที่ทำผิดตั้งหลายครั้ง เพราะว่ามันเกิดใหม่แล้ว คิดให้ดีๆ ถ้ายังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร  ค้างไว้อย่างนั้นแหละ แล้วก็อธิษฐาน เดี๋ยวพระวิญญาณ ก็จะค่อยๆ สอนเรา

เกิดมา เราไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาป  เพราะบาปนั้น มาจากคนๆ เดียว คืออาดัม ติดเชื้อไวรัสโควิด 00 สมมติว่าตอนนั้นนานมาแล้ว เชื้อนั้น ก็ติดมาสู่พวกเราทุกคน ทำครั้งเดียวเอง ติดเชื้อ

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคือของขวัญจากพระเจ้า คือยารักษาโรค จากตัวไวรัส 00 นี้ ใครรับพระเยซูเข้าไป รับยานี้เข้าไป ก็จะได้รับการรักษาให้หายจากโรค ไม่ใช่หายธรรมดา หายจากโรคไปเลย ไม่ติดเชื้ออีกเลย มีภูมิต้านทานเชื้อนี้ได้ ก็คือมีภูมิต้านทานเชื้อบาปได้ พอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูมารักษาเราให้หายจากเป็นคนบาป เราได้เกิดใหม่ มีภูมิต้านทานบาป เพราะฉะนั้น ต่อให้เราไปทำบาปอีก อะไรอีกต่างๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป เพราะได้บังเกิดใหม่ ไม่มีบาปอีกต่อไป แล้วยังแถมมีภูมิต้านทาน เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว เอเมน

ท่านอาจจะคิดต่อไปว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? คนไปเชื่อพระเจ้า แล้วไปทำบาป เราค่อยๆ เรียนรู้ทีหลัง อย่าคิดมาก คิดมาก เดี๋ยวก็เป็นผู้ใหญ่อีกหรอก เดี๋ยวความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอีก ตอนนี้เอาตัวรอดก่อน เอาง่ายๆ ว่าพระเยซูเป็นของขวัญ มาทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมได้ เข้าสวรรค์ได้ ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เพราะเราไม่สามารถทำด้วยตัวเราเอง เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บังเกิดใหม่ได้ มนุษย์ไม่สามารถทำตัวเองให้บริสุทธิ์ สะอาดเรียบร้อย พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าก็เลยต้องให้เป็นของขวัญไง ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ พระเยซูจึงมาช่วยทำไง พระเยซูจึงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นตัวแทนของเรา  ทำแทนเรามวลมนุษยชาติ เพื่อเราจะได้รับการยอมรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย

โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป  คือความตาย  แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

เพราะว่าผลของความบาป  ที่ติดเชื้อมานั้น คือความตาย  ตะกี้นี้บอก หลุดจากพระเจ้า หลุดจากสวรรค์ ย้ายออกมาจากอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่อยู่ในสวรรค์ แล้วถูกย้ายมาอยู่นรก พูดง่ายๆ ไม่มีพระเจ้าอยู่ ทุกข์ทรมาน ตลอดกาล แต่ของขวัญจากพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า ที่มี DNA เหมือนพระเจ้า  เป็นลูกพระเจ้า จึงบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ จึงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เอเฟซัส 2:8-9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ  ผ่านทางความเชื่อ  ความรอดนี้  ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง  แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9  ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ  เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”

 

ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เป็นฉบับแปลเข้าใจง่าย เขาแปลไว้อย่างนี้ว่า … ที่​พวกคุณ​รอด​นั้น  ​เป็น​เพราะ​ความ​เมตตา​กรุณา​ของ​พระเจ้า  ก็คือพระคุณของพระเจ้า ก็คือรอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ เป็นเพราะพระคุณ ความเมตตากรุณาของพระเจ้า  ผ่าน​มา​ทาง​ความเชื่อ​ของ​คุณ  ไม่ได้ผ่านมาจากสติปัญญา การหาเหตุผล  ไม่ได้​มา​จาก​ตัว​ของ​คุณ​เอง ก็คือไม่ได้มาจากการกระทำ สั่งสมความดี หรืออะไรต่างๆ  แต่​เป็น​ของขวัญ​ที่​มา​จาก​พระเจ้า ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ  เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ว่าฉันเข้าสวรรค์ได้ เพราะว่าฉันเป็นคนดี มีความประพฤติดี เป็นคนทำดีมาก สมควรไปสวรรค์ ไม่มีใครสามารถไปสวรรค์ได้ โดยวิธีนี้เลย สักคนเดียว เพราะไม่มีใครสักคนดีพร้อม ไม่ทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเขาเกิดมาเป็นบาปอยู่แล้ว ไม่ทำอะไรเลย ก็ยังบาปเลย

การเข้าอยู่ในสวรรค์ จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เงื่อนไข ก็คือเชื่อเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นของขวัญ ให้เปล่า? เพียงแค่เชื่อ แล้วก็รับเอาไปฟรีๆ ด้วยความขอบคุณและความยินดีเท่านั้น และพระวิญญาณก็จะสอนเรา  เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เรามีความกตัญญูต่อพระเจ้า ประพฤติตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า

พอเรารู้อย่างนี้แล้ว มนุษย์ที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว อยากได้รับของขวัญนี้เหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่ได้รับ ต้องทำอย่างไร? ตอบว่าง่ายนิดเดียว แต่ยากมากเลย ในพระคัมภีร์เขียนไว้มันง่ายนิดเดียว บางทีเรามาล้อกันเล่น ง่ายนิดเดียว แสดงว่ามันยากเยอะ ใช่ไหม? จะว่าอย่างนี้ก็ไม่เชิงนะ มันง่ายนิดเดียว แค่ใช้พาสเวิร์ดนี้เท่านั้นเอง  ต้องพูดคำนี้เลย “พาสเวิร์ด” เดี๋ยวนี้เป็นยุคดิจิตอล อะไรมันก็ต้องใช้พาสเวิร์ด มันง่ายนิดเดียว แต่เราทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก มนุษย์เก่งมาก มนุษย์มีสติปัญญาสูง เป็นนักปรัชญาสูง สามารถทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากได้ ยอดเยี่ยมเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกง่ายนิดเดียว ใช้พาสเวิร์ด ภาษาไทยก็คือรหัสผ่าน ถ้าใช้รหัสนี้ถูกเมื่อไร?  ได้รับของขวัญนี้ทันที ของขวัญนี่ ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์

พาสเวิร์ดนี้ รหัสนี้ อยู่ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ข้ออื่นๆ ก็มี แต่ข้อนี้ชัดกว่า เอามาข้อเดียวพอ โรม 10:9-10 นี่คือรหัส สำหรับพี่น้อง ที่ยังไม่ได้รับของขวัญของท่าน ที่พระเจ้าได้ส่งมาให้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ ได้ส่งของขวัญนี้มาให้ท่านแล้ว ข่าวดีมาถึงท่านปีนี้แล้ว วันนี้แล้ว ถ้าได้ยินได้ฟัง มารับของขวัญของท่านไปด่วน ต้องบอกว่าด่วน วิธีรับ เปิดคู่มือนี้ดู แล้วก็ให้ทำตาม ใส่รหัสนี้เข้าไป

โรม 10:9-10 “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า  “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย  ท่านก็จะได้รับความรอด 10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ  จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก  จึงทรงให้ท่านรอด”

 

ถ้าเป็นพาสเวิร์ด ต้องพิมพ์ใช่ไหม? แต่ตอนนี้ เมื่อเป็นโลกวิญญาณ  แทนที่จะพิมพ์ พูดเมื่อตะกี้นี้  หรือจะเรียกว่าอธิษฐานก็ได้ เพราะว่าพูดเข้าไปในโลกวิญญาณ เราก็เรียกว่าอธิษฐาน  … อธิษฐาน คือการปฏิบัติการ การสื่อสาร ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่าอธิษฐาน … อธิษฐาน สื่อเข้าไปในโลกวิญญาณ ก็คือใช้พาสเวิร์ดนี้  ทำการเข้าไปในโลกวิญญาณ  ด้วยการพูดตามนี้เลย พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย  ท่านก็จะได้รับความรอด  เพราะท่านเชื่อด้วยใจ  จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด  แค่นี้เอง

บางคนบอกว่าเชื่อด้วยใจเป็นอย่างไร? ไม่มีคนมาบังคับท่าน ไม่มีใครเอาปืนมาบังคับท่านพูด ท่านพูดด้วยความเต็มใจ นั่นแหละ เชื่อด้วยใจแล้ว พอเข้าใจไหม? แค่นี้เอง แล้วมันเชื่อขนาดไหน? ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปคิดมาก บอกแล้วไง ทำเหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง บอกให้เดินลงมาจากข้างบน ตอนใกล้เที่ยงคืน ทูตสวรรค์จะเอาของขวัญมาให้ ก็มารับเอาไป ก็ทำอยู่แค่นั้น ไม่ต้องคิดมาก

โรม 10:11 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า … “ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าผู้ใดที่วางใจในพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอายเลย”

 

และถ้าท่านทำอย่างนี้ ในนี้ก็ยืนยันอีก พระเยซูยืนยันว่าถ้าใครใส่พาสเวิร์ดอย่างนี้ไป  ไม่ต้องห่วงเลย  ได้ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน ไม่ต้องอายใครเลย นี่ของจริง และมันเป็นอย่างนี้ 2,000 ปีแล้ว ง่ายมาก ย้ำอีกทีว่าง่ายมากๆ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้ ทำแค่นี้พอ ฟังอีกทีหนึ่ง ใส่พาสเวิร์ดนี้  แล้วทำแค่นี้พอ  ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น  แต่ให้ใส่พาสเวิร์ดด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง ก็คือแสวงหาด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น บางคนก็กลัวอีก …

“ทำไป เดี๋ยวฉันต้องไปเปลี่ยนศาสนาไหม? ฉันต้องมาโบสถ์เป็นประจำไหม? ฉันต้องถวายเงินให้โบสถ์ไหม? ฉันต้องอ่านพระคัมภีร์ไหม? ฉันต้องไปศึกษาไหม?”

คิดแบบสติปัญญามนุษย์อีกแล้วครับท่าน ย้อนกลับไปเมื่อตะกี้นี้ ทำเหมือนเด็กๆ โต๋เต๋เขาไม่ถามเลยว่าทูตสวรรค์เอาของขวัญมาให้ แล้วเขาต้องทำอะไรอีกบ้าง? เขาไม่ต้องถาม เขาจะลงมาเอาลูกเดียว เพราะเขาเชื่อแค่นั้น ทำเหมือนเด็กๆ ไม่ต้องไปสนใจอะไรทั้งสิ้นเลย ทำแค่นี้ ก็คือแค่นี้ แล้วมันก็จะได้จริงๆ ด้วย  เพราะฉะนั้น ทราบแล้วนะว่าใส่พาสเวิร์ดตรงนี้เข้าไป แล้วก็แค่นี้เอง ไม่ต้องไปคิดมาก จากนี้จะต้องทำอะไรอีก ถ้าเป็นอย่างโน้นจะต้องทำ ถ้าเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร? รับของขวัญอย่างเดียว

พระเยซูจึงตรัสว่า … “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

ถามว่าทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าการเป็นคนบาปอยู่ และแสวงหาการไปอยู่ในสวรรค์นั้น มันทุกข์ใจมาก มันทุกข์ใจ มันลำบากมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสวรรค์ แต่เราไม่ได้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเราอยากไปสวรรค์ แต่เราไม่ได้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่อยากอยู่ในนรก แต่เราอยู่ในนรกอยู่แล้ว  ถามว่ารู้ได้อย่างไร? จิตใต้สำนึกรู้ แล้วเราพิสูจน์ตรงไหน? ตอนนี้ ก็เห็นชัดๆ ใน 2,000 ปีนี้ มีผู้คนมาเชื่อในข่าวดีนี้ของพระเยซูมากมาย มารับของขวัญของเขา ที่พระเจ้าประทานให้ในวันคริสตมาสแรก รับไปเยอะแยะแล้ว เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข เขารู้ว่าเขาได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ทั้งๆ ที่เขายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาไม่แสวงหาต่อไปแล้ว เขาหยุดแล้ว เห็นไหม?

เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกให้เราทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลย ทำแค่นี้ พระเจ้าประทาน เป็นของขวัญแล้ว แล้วที่ผมบอกว่ามันยาก เพราะมนุษย์คิดมาก แล้วในที่สุด สรุปว่า …

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก อะไรไปสวรรค์มันจะง่ายขนาดนี้ ฉันทำแทบตาย คนนี้ทำแทบตาย คนนั้นทำแทบตาย ยังไม่ได้เข้าสวรรค์เลย แล้วเธอบอกไม่ทำอะไรเลย แล้วไปสวรรค์ใช่ไหม?”

เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ ใครจะให้ไปสวรรค์ฟรีๆ ง่ายๆ อย่างนี้ โดยไม่ต้องทำอะไร แถมบอกไปสวรรค์แล้วได้บังเกิดใหม่อีก ยิ่งบังเกิดใหม่ ยิ่งรับไม่ได้เลย

เพราะไปคิดมากไง คิดมากเกิน เพราะฉะนั้น ที่เราคิด เก็บไว้ก่อนเลย ใส่พาสเวิร์ดอันนี้ไป เชื่อพระเจ้า แล้วให้มันเกิดใหม่ก่อน แล้วเดี๋ยวพระเจ้าจะสอนเองว่ามันคืออะไร ที่เราคิดมาก บังเกิดใหม่ คืออะไร? การไปอยู่ในสวรรค์เป็นอย่างไร? สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร? เดี๋ยวเรารู้เอง แต่ถ้าเราไปคิดตามสติปัญญาของเรา มันก็ไม่มีวันได้เข้าสวรรค์ และคนส่วนใหญ่เขาก็จะทำอย่างนั้นแหละ

พระเยซูจึงบอกว่าคนส่วนใหญ่ จึงไปที่ประตูกว้าง คนส่วนน้อยมาที่ประตูแคบ ประตูแคบกับประตูกว้างมันต่างกันอย่างไร? มัทธิว 7:13 อ่านมัทธิว 11:28-30 ก่อน

มัทธิว 11:28-30 “28 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก  จงมาหาเรา  และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้  แล้วเรียนรู้จากเรา  เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน  และมีใจอ่อนน้อม  และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก  30 ด้วยว่าแอกของเรา  ก็พอเหมาะ (สบายๆ)   และภาระของเราก็เบา”

 

“แอกของเราก็พอเหมาะ” แอกแปลว่าการมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา แอก คือการมาเป็นภรรยาของเรา  จริงๆ แอกตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับสามีภรรยา อยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน  แอกตัวนี้ไม่ใช่เป็นงาน แอกตัวนี้เป็นสภาพของเมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ แล้วก็ใส่พาสเวิร์ดเข้าไปแล้ว เราได้เกิดใหม่แล้ว

การเกิดใหม่ คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสามีภรรยาเลย ก็หายเหนื่อยสิ ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องทำแล้ว พระเจ้าจะทำการผ่านทางวิญญาณของเรา ภายในเรา เพราะพระคุณความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์ไม่ยอมเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป มันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาจจะยอมเชื่อว่า …

“ฉันเป็นวิญญาณ แต่ไม่ยอมเชื่อว่าฉันบริสุทธิ์สะอาด ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย ไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันเลยเหรอ ฉันเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มี DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นเหมือนพระเจ้าเลยเหรอ แล้วไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ”

พระเจ้าบอก … “ใช่นะสิ ก็เป็นของขวัญ เข้าใจไหม?”

มนุษย์ก็จะตอบว่า … “ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจ ก็ใช้ความเชื่อสิ มันไม่ไหว ก็ให้พระเจ้าจัดการเลย มัทธิว 7:13-14 พระเยซูจึงยกตัวอย่างนี้ เพราะมันเป็นอย่างนี้…

มัทธิว 7:13-14  “13 จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง  นำไปสู่ความพินาศ  และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น  14  ส่วนประตูเล็กและทางแคบ  นำไปสู่ชีวิต  และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ”

 

“เพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ” ก็คือคนที่ยอมเชื่อเฉยๆ ทำตัวเป็นเด็กๆ นั่นเอง ไม่สนใจสติปัญญา หาเหตุผลว่า …

“เกิดอย่างไร? ไปอยู่สวรรค์อย่างไร? หาอย่างไร? ไม่สนใจแล้ว ฉันหาด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองมาเหนื่อยเหลือเกินแล้ว หยุดพัก หายเหนื่อยแล้ว ฉันจะมาหาพระเยซูแล้ว”

วางทุกอย่างลง วางอะไรลง? บางคนบอกวางภาระการงานลง ไม่ใช่ ฟังทางนี้ ถ่อมใจลง  และยอมรับว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการผู้ช่วย กลับใจใหม่ หันหลังให้กับความเย่อหยิ่งจองหอง ความอวดดีของตัวเอง กลับใจจากความคิด ที่นึกว่าตัวเองแน่ ที่จะสามารถพึ่งและทำการปฏิบัติตัวเอง ในความประพฤติของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ได้

นี่แหละ คือการถ่อมใจ … ถ่อมใจแล้วทำอะไร? มายอมรับของขวัญจากพระเจ้า คือความรอดผ่านทางพระเยซู ผู้ช่วยให้รอดนิรันดร์ รอดจากนรก มาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ทันทีเลย เมื่อถ่อมใจลง และใส่พาสเวิร์ดเข้าไปว่า …

“ฉันช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว ฉันต้องการผู้ช่วยเหลือ”

ท่านก็ได้รับความรอดทันที พระเยซูไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำความดี ฟังให้ดีๆ พระเยซูมาไม่ได้มา เพื่อสอนคนให้ทำความดี ไปอ่านในพระคัมภีร์ได้เลย พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ไม่ได้สอนให้คนทำความดีเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พระองค์มาประกาศ ประกาศกับสอนมันต่างกัน ถ้าสอน สอนให้เราทำ  แต่ประกาศ คือบอกว่ามีของขวัญมาแล้ว ถ้าท่านได้รับคำประกาศจากพระเยซู … พระเยซูรู้ว่าประกาศนั้น มันสำคัญขนาดไหน? ประกาศข่าวดี พอคนรับข่าวดีปุ๊บ เกิดใหม่ปุ๊บ เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ แนะนำ ค่อยๆ นำพาไปทีละสเตปๆ สอนไปทีละนิดทีละหน่อยทางวิญญาณ

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เกิดใหม่ ไม่ได้รับของขวัญ ไม่ได้รับข่าวดี ไม่ต้อนรับข่าวดี สอนไปให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ ขนาดพระเยซูพูดอุปมา เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ประกาศเกี่ยวกับเรื่อสวรรค์ ยังบอกเลยว่า …

“ตอนนี้ พวกเธอไม่เข้าใจหรอก รอวันหนึ่ง เมื่อเธอเกิดใหม่แล้ว ถึงจะรู้ ตอนนี้ เธอเชื่อเหมือนเด็กๆ คนหนึ่งนะ”

เพราะฉะนั้น ให้ท่านตัดสินใจวันนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน บางคนบอกว่ารอก่อน ใช้สิทธิ์เมื่อไรก็ได้ แต่สิทธิ์นี้ มีโอกาสหมดไป เมื่อ

(1) ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง หรือที่เราเรียกว่าตาย ท่านตายเมื่อไร? วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ท่านก็ไม่ใช่มนุษย์ ถูกไหมครับ? เราเรียกกันภาษาไทยว่าเป็นผี คือเป็นวิญญาณ  แต่ของขวัญนี้ มีไว้ให้สำหรับมนุษย์ทุกคน ก็คือท่านต้องอยู่ในร่างกายนี้ ตัวจริงๆ วิญญาณท่านต้องอยู่ในร่างกายนี้ ถึงเรียกว่ามนุษย์ แต่ถ้าท่านเป็นผี ไม่เกี่ยวกัน ท่านก็จะอด ไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้อีกต่อไป

(2) ท่านจะหมดสิทธิ์รับของขวัญนี้ เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง คือพระเยซูกลับมาใหม่

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรับของขวัญเมื่อไร? ของขวัญนั้น ก็จะอยู่รอท่านตลอดเวลา แต่ท่านต้องเสี่ยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต และท่านจะหมดสิทธิ์ เพราะ 2 เงื่อนไขนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ตัดสินใจรับความรอด รับของขวัญจากพระเจ้า รอดจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ มาอยู่ในพระเจ้า และเมื่อท่านตัดสินใจ ท่านพูดพาสเวิร์ดนั้น ทำไมรู้ไหมครับ? พูดเสร็จ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย ไม่ใช่รอให้ตายไปก่อน จึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่นะครับ พอท่านพูดพาสเวิร์ดทันทีทันใดนั้น พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย พระเจ้าย้ายท่านจากอาณาจักรของความมืดมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างทันทีเลย  ย้ายออกจากนรกมาอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย ท่านจะมีประสบการณ์เริ่มต้น ทันทีในการดำเนินชีวิตในสวรรค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็อยู่ในสวรรค์แล้วทันที ซึ่งเดี๋ยวเราค่อยๆ เรียนรู้กันต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่ผมบอก อย่าไปคิดมาก

นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ประกาศกับเราทั้งหลาย  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

***************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2020 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอน 5 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ธันวาคม  2020

 เรื่อง “มั่นคง ไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  ตอน 5

โดย  นคร   เวชสุภาพร

 

ในปัจจุบัน มนุษย์ทั้งโลก กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างมากมาย เราก็รู้กันอยู่แล้ว ความวิตกกังวล ความบีบคั้น ความกลัว ปกคลุมไปทั่วโลกเลย ทั้งกลัวไวรัส 19 ผลกระทบจากไวรัส 19 ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งการกินการอยู่จะทำอะไรกิน จะอยู่อย่างไร? ถ้าโรคภัยไข้เจ็บมา จะสู้อย่างไร? ไม่ใช่โรคไวรัส 19 อย่างเดียว มันยังมีไวรัสนับไม่ถ้วน แถมโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เป็นเชื้อโรค ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วนที่การกินการอยู่มันผิดเพี้ยนไปหมด เพราะว่าคนมันเยอะขึ้น ความแตกแยกกัน การทะเลาะวิวาท ความเห็นแก่ตัวของผู้ที่เรียกว่าคน เพราะคน แปลว่าความวุ่นวาย

เคยเอาน้ำตาลใส่ลงไปในน้ำร้อนไหม? เราต้องทำอะไร? เราต้องคน  … คนแปลว่าอะไร?  ทำให้มันยุ่งๆ สิ ให้มันวุ่นวาย จากมนุษย์เลยกลายเป็นคน คนยิ่งเยอะเท่าไร มันก็ยิ่งยุ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น สมัยก่อนอาจจะมีพันล้านคน ก็ยุ่งแค่พันล้าน ตอนนี้มี 7,000 ล้าน มันยุ่งมากขึ้นทุกๆ วัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อยู่บนความหวาดกลัว ความรุนแรง ความไม่แน่นอนของชีวิตหรือ?  เพราะฉะนั้น ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ มันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าไปหวังว่ามันจะดีขึ้น มันอาจจะดีขึ้นของโควิด แล้วอย่างอื่นล่ะ คนมีน้อยลงไหม? บางคนก็ดีใจว่าตอนนี้น้อยลง เพราะเป็นโควิดเสียชีวิต ไม่จริงหรอก เดี๋ยวมันก็เยอะมาอีก เพิ่มมากกว่าลดน้อยลง

เพราะฉะนั้น ซีรี่ย์การบรรยายในชุดนี้ คือชุดที่ชื่อว่า “มั่นคงไม่หวั่นไหว ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”  จึงเป็นเหมือนการเตือนจากพระเจ้า ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ต้องบอกว่าทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะรู้จักพระเยซูหรือไม่รู้จักพระเยซูก็ตาม ข่าวสารนี้มาถึงมนุษย์ทุกคน  ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ความทุกข์ยากลำบากขณะนี้ มั่นคงไม่หวั่นไหว  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ในช่วงเวลานี้จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราทุกคนด้วยซ้ำไป  ที่ผู้คนกำลังสับสน กำลังหาทางออก หาที่พึ่ง และเราได้เรียนรู้เรื่องนี้มาด้วยกันแล้ว 4 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 5 ทำไมต้องละเอียดขนาดนี้  ก็ละเอียดอย่างที่ตะกี้นี้บอกว่ามันไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากแค่นี้  มันอาจจะมีมากกว่านี้อีก

หลายสำนักเขาวิเคราะห์มาว่าปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง  ปีหน้าผลกระทบของโควิด 19 จะรุนแรงของจริงแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอก จริงหรือไม่จริงอย่างไรแล้วแต่ แต่เราเตรียมตัวไว้ก่อน สำหรับพระเจ้าแล้ว ให้ลูกของพระองค์เตรียมตัวอยู่เสมอ ตลอดเลย เพราะโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะมันเสียหายไปแล้ว

พระเจ้าได้เตือนคนที่ยังไม่เชื่อ คนที่ยังไม่ได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ โดยเตือนผ่านทางเปาโล ให้ผู้ที่ยังไม่เชื่อเหล่านั้น ได้ตัดสินใจเชื่อซะ ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่างซะ ย้ายจากการพึ่งตนเอง มาสู่อ้อมกอดของพระเจ้า พระองค์จะเข้าไปช่วยเหลือท่าน ซึ่งเป็นการเตือนจากเปาโล โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สำแดงออกมา เตือน ด้วยความรัก ห่วงใย จนขนาดน้ำตาไหลเลย

เวลาเปาโลเขียนสิ่งเหล่านี้ เปาโลบอกว่าทำโดยวิญญาณ ทำจากข้างใน ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฟีลิปปี 3:17-21 ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เรามาดูกันว่าพระเจ้าได้เตือนเราอย่างไร? เตือนทั้งคนที่ยังไม่เชื่อ และเตือนคนที่เชื่ออย่างไรบ้าง?

ฟีลิปปี 3:17-21 “17 พี่น้องทั้งหลาย จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า และเลียนแบบ ผู้ที่ดำเนินชีวิต ตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้ 18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่าน และบัดนี้ ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่ามีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรู ต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขา คือความพินาศ  พระของเขา คือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก 20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอย พระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

ในข้อ 18-19 เตือนบรรดาผู้คนที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังช่วยเหลือตัวเองอยู่ ยังพยายามด้วยตัวเองอยู่ เตือนไว้ว่าปลายทางของคนที่ยังไม่ได้ความรอด คือความพินาศ … พินาศ คือไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พินาศตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย อย่างที่ผมบอกแล้วว่าเตือนด้วยน้ำตา นึกถึงข่าวสารที่มาจากพระเจ้า  พระเจ้ารักท่านมาก ดั่งที่พระคัมภีร์บอกท่านว่าทรงรักท่านมากมาย ดั่งแก้วตาดวงใจเลย รักมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงบนโลกใบนี้  พระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอดจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศ พระองค์รักมนุษย์ทุกคน

เพราะฉะนั้น กำลังจะบอกท่านว่าพระเจ้าเตือนแล้วเตือนอีก เตือนท่านแล้ว สำหรับเราเอง เราก็ระลึกถึงญาติพี่น้อง ผู้คนรอบข้างเรา ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังแสวงหาสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งในนี้บอกว่ามันเป็นเรื่องอับอาย ปักใจอยู่แต่กับเรื่องของฝ่ายโลก ลาภ ยศ สรรเสริญ พึ่งพาตนเอง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ ให้ท่านถ่อมใจลง  พระคัมภีร์บอกมาชิมพระผู้ช่วยให้รอดดู แทนที่จะสู้อยู่คนเดียว เผชิญโควิดและผลของโควิดที่กำลังเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด ด้วยความกลัวอะไรต่างๆ นานา อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น แทนที่จะเผชิญสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวท่านเองคนเดียว ลองให้พระเจ้า มาช่วยท่านไหม?

อัญเชิญ หรือว่าเชิญพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่านไหม? เรียกว่ารับเชื่อ นี่พระเจ้าเตือนท่านแล้ว

บางคนอาจจะถามว่า … “แล้วจะเชิญอย่างไร?”

ง่ายนิดเดียว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือข่าวดี  และใครที่เชื่อในข่าวดี เชื่อแค่นี้เองว่ามันเป็นจริง  พระเยซูได้กระทำอย่างนั้น  เพื่อฉันแล้วจริงๆ พระคัมภีร์ในโรม 10:9-10 บอกว่าเพียงแต่ผู้นั้นเชื่อ และพูดด้วยปากว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เชื่อด้วยใจว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 แค่นี้เอง คนนั้นก็ได้รับความรอด ก็เป็นผู้เชื่อ เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว

อย่างที่บอกว่าลองชิมพระเจ้าดู ลองเอาข่าวประเสริฐนี้ไปวิเคราะห์ดู ไม่ได้เสียอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ได้กับได้ พระคัมภีร์จึงบอกให้มาลองพระเจ้า มาชิมดูสิ แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และรักท่านมากขนาดไหน? และท่านจะหายเหนื่อยและเป็นสุข แทนที่ท่านจะสู้คนเดียว

สำหรับข้อที่ 20-21 เมื่อสักครู่นี้ เป็นการแนะนำ  ไม่ต้องเตือนแล้ว เพราะว่าเป็นผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดไปเรียบร้อยแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เลยกลายเป็นพระเจ้าแนะนำลูก ให้มองไปที่ข้างหน้า  มองไปที่หลักชัย หลักชัยอยู่ที่ข้อ 21 หลักชัยของข้อที่ 20 ก็คือของเราทั้งหลายที่เป็นพลเมืองสวรรค์ เขียนให้คนที่อยู่บนโลกใบนี้อ่าน ยังไม่ตาย แต่อยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง ให้ทุกคนพูดพร้อมกันว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว”

ไม่ต้องรอตายไปก่อน เป็นแล้ว พระเจ้าเลยแนะนำผู้ที่เป็นลูกฉันแล้ว ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้ทำอย่างไร? ข้อที่ 21

ข้อที่ 21 “พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์  โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์

เป้าหมายของเราคืออะไร? เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่เป้าหมายหลักชัยของเราอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือร่างกายที่อ่อนแอนี้ เมื่อมันตายไป เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไปอยู่ในโลกใหม่ ไม่มีเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ทรมานอีกแล้ว นี่คือหลักชัย พระเจ้าบอก …

“ลูกเอ๋ย มองไปตรงนี้เลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้”

อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้ากำลังนำพาลูกๆ ของพระองค์ ไปที่จุดนี้แหละ คือสันติสุขในพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สันติสุข ความสงบสุข

การมีสันติสุขของพระเจ้า  ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ก็คือสภาวะที่จะทำให้ความคิดจิตใจของเราสงบ และมีความมั่นใจในความรอด ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั่นเอง ซึ่งจะส่งผลให้เราไม่หวั่นไหว ไม่กลัวในสิ่งใดๆ เลย และทำให้เรามีความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น มันแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ไม่ว่าโควิดมันจะมีหรือไม่มี โควิดมันจะสิ้นหรือไม่สิ้น ผลจากโควิดมันจะแรงมากหรือแรงน้อย ดีขึ้นหรือเลวลงก็ตาม มันจะอยู่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง นี่พระเจ้าบอกเรา สิ่งเหล่านี้ ซึ่งผ่านทางเปาโล

เปาโลก็เลยแนะนำให้เรามองไปที่สิ่งที่มีแล้ว สิ่งที่เราได้รับแล้ว สิ่งที่เราเป็นแล้ว ซึ่งอยู่ในโลกวิญญาณ ซึ่งเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว โลกวิญญาณ ก็คือสวรรค์นั่นเอง หรือในพระคัมภีร์เรียกว่าเบื้องบน หรือสวรรค์ หรือโลกวิญญาณ ในเอเฟซัส 1:3 เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่บอกว่าในเบื้องบน ในโลกวิญญาณ เรามีอะไรแล้ว เราเป็นอะไร เราได้รับอะไรแล้ว

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  พระผู้ช่วยให้รอดของเรา  ผู้ได้ทรงประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน”

 

“ผู้ได้ทรงประทาน” แสดงว่าได้แล้ว เราได้รับแล้ว ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ … นานัปการ คือทุกอย่าง เยอะแยะไปหมดเลย แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน ตรงนี้ ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณ หรือในเบื้องบน เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว

ยกตัวอย่างที่ตะกี้นี้บอก เราเป็นลูกของพระเจ้า  นั่นคือหนึ่งในจำนวนนานัปการ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คือหนึ่งในจำนวนนานัปการ

อีกข้อหนึ่งใน 1 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

 

“พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” ต้องตายไปก่อนหรือเปล่า? ต้องเรายังหายใจอยู่เลย แต่ในวิญญาณได้เกิดใหม่ มันหมายถึงตรงนั้น นี่คือพรหนึ่งในสวรรค์สถานในโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

สรุปผล ก็คือเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าให้เราได้เกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เข้าไปนั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว

เราลองคิดกันดูว่าพระพรในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า มันเป็นอย่างไรบ้าง? เรามาวิเคราะห์กันหน่อย เพื่อประเมินว่าในโลกวิญญาณเรามีอะไร? เราเป็นอะไรแล้วบ้าง? ที่เราได้นั่งอยู่กับพระเจ้าแล้วตอนนี้ ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ …

–  เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว    ได้บังเกิดใหม่   อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์

–  มีชีวิตนิรันดร์   ชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา   คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงชีวิตไม่มีการตายอีกต่อไป แต่ชีวิตนิรันดร์นี้ หมายถึงชีวิตที่มี DNA มีลักษณะชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับชีวิตของพระเจ้า เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เขาเรียกว่าพระลักษณะของพระองค์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เราได้รับชีวิตของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์เข้ามาแล้ว  เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว

–  เรามีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  จูงมือเราเดิน  ทุกเสี้ยววินาที  ผ่านโควิด ไม่โควิด ต่อให้มีอะไรก็ตาม พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา เดินอยู่กับเราตลอดเวลา ในขณะนี้ ไม่ว่าเราจะหลับหรือจะตื่น พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา เรามีแล้ว เราเป็นแล้ว ให้เรารับรู้สิ่งนี้

–  เรามีมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์      พระคัมภีร์บอกเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์     มีมรดก คือเราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์กาล

–  เราเป็นผู้ชอบธรรม   เป็นธรรมิกชน   เราบริสุทธิ์   สะอาด   ปราศจากบาป   ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เราได้รับมาฟรีๆ เลย

–  เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาท อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราเป็นสมาชิก เป็นลูกคนหนึ่งที่อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักเท่าๆ กันกับพระเยซูเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาท อยู่ในครอบครัวของพระเจ้ามีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นพ่อ เหมือนพระเยซู

–  พระเจ้ารักและโปรดปรานเราดั่งแล้วตาดวงใจของพระองค์เหมือนพระเยซูคริสต์

–  เราเป็นแสงสว่างเหมือนพระเยซูคริสต์   พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง   พระเยซูเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่าง

–  เรากำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน          มีสิทธิอำนาจสูงสุดในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

–  และเรากำลังรอร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายที่อ่อนแอลงทุกวันนี้  ที่เดี๋ยวก็ไม่สบาย  เดี๋ยวก็วิตกกังวล  เดี๋ยวก็กลัว  เดี๋ยวก็ต้องกินข้าว  เดี๋ยวก็ปวดท้อง  เดี๋ยวก็เหนื่อย อะไรก็ไม่รู้  ร่างกายที่อ่อนแอ เห็นภาพไหม? เรากำลังรอรับร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  จงมองไปที่สิ่งเหล่านี้  นี่คือหลักชัยของเรา

และรอโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใหม่มาแทนโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ ที่มันวุ่นวายไปหมด ที่มันเละเทะ ต้นไม้ที่กินไม่ได้ ก็ขึ้นดีเหลือเกิน ต้นไม้ที่จะกิน ปลูกแทบตาย ก็ไม่ยอมขึ้น วุ่นวายไปหมด เดี๋ยวอากาศก็เสีย ตรงโน้นก็แย่ แต่โลกใหม่จะเข้ามา  และสรรพสิ่งที่อยู่ในโลก จะถูกสร้างใหม่หมด สัตว์ดุร้ายทั้งหลาย ก็เป็นมิตรกับเราตลอด  เป็นเพื่อนของเรา

เราลองคิดดู เรากำลังรอสิ่งเหล่านี้ เห็นภาพไหมว่าสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราเป็นอยู่แล้ว เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ย้อนกลับไปอีกทีหนึ่งสำหรับคำเตือน ผู้ที่ยังไม่เชื่อในเรื่องนี้ ที่ท่านกำลังเฝ้าต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญาตนเอง ด้วยกำลังของตนเอง กำลังแสวงหาที่พึ่ง แสวงหาทางออก นี่แหละคือทางออก ไม่ใช่ทางออกเฉพาะว่าความลำบากในเรื่องโควิด การกินการอยู่เท่านั้น แต่ไปถึงทางออกถึงชีวิตหลังความตายด้วย ท่านเห็นไหม และสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่มาเชื่อพระเยซูแล้ว รอตายก่อน จึงจะได้รับ ไม่ใช่เลย มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ได้รับเดี๋ยวนี้เลย พระเจ้าจึงบอกให้มาชิมพระองค์ ถ้ามันเป็นจริง ท่านเชื่อในพระองค์ปุ๊บ ท่านจะได้ประสบการณ์อย่างที่ตะกี้นี้พูดมาทั้งหมดเลย ประสบการณ์ในการเป็นลูกของพระเจ้า ประสบการณ์ที่พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน จูงมือท่านเดินผ่าน ในแต่ละวันๆ ประสบการณ์ในการบังเกิดใหม่ ความหวังใหม่ ประสบการณ์ในการเป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีงาม เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นคนบาป  ไม่ต้องชดใช้บาปอีกต่อไป  ท่านจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้ทันที เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้

ท่านจึงมั่นใจว่านี่ใช่แน่นอน เพราะฉะนั้น หลังความตาย ฉันก็สบายแน่นอน เพราะพระคัมภีร์ก็พูดไว้เช่นเดียวกัน พระคัมภีร์พูดว่าที่ได้รับก่อนที่จะตายบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนมัดจำ โดยผ่านทางพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เปิดใจแค่นี้เองง่ายๆ คือถ่อมใจลง หยุดความเย่อหยิ่ง ที่จะช่วยเหลือตัวเองด้วยตัวเอง พอแล้ว มันเหนื่อยมาก มนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  เพราะฉะนั้น แค่เปิดใจ แล้วก็ต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้ทั้งหมด ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงแนะนำเราว่าให้เรามีความชื่นชมยินดี พึงพอใจ มีความสุข มีความหวังในสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นแล้ว ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่ตะกี้นี้เราได้ลองวิเคราะห์กันดู ได้รับ ได้เป็นอะไรกันบ้าง? ให้เราชื่นชมยินดีและพึงพอใจ และเฝ้ามอง จดจ่อ จดจำจนขึ้นใจ ถึงสิ่งเหล่านี้ ให้มันเหมือนเป็นสิ่งของที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แบบวัตถุเลย เหมือนที่เราจับต้องมองเห็นโฉนดที่ดิน ที่เราเป็นเจ้าของ เราไม่เห็นตัวที่ดินหรอก เรารู้ว่าเป็นของเราแน่นอน เพราะเราเห็นโฉนดที่ดินที่เราใส่ในเซฟ บางทีเราลืมไป ไม่ค่อยมั่นใจ ถ้าใครไม่มั่นใจ ก็ไปเอาออกจากเซฟมา แล้วก็แปะไว้ที่หน้ากระจก ทุกเช้า ทุกวันก็จะเห็นว่าโฉนดนี้เป็นของชื่อเรา  เราก็มั่นใจ เราไม่ได้เห็นตัวจริงๆ แต่เราพุ่งไปที่นี่ พูดกับตัวเองว่าเรามีที่อยู่ที่นี่ๆ

เหมือนขณะนี้ที่โบสถ์เรา มีที่ดินอยู่ที่หนึ่ง เกือบๆ 3 ไร่ กำลังจะสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า สร้างอาคารแห่งใหม่ ซึ่งมีผู้ถวายมา ตอนนี้โอนมาเป็นของมูลนิธิฯ คริสตจักรเรียบร้อยแล้ว ได้นำเอาโฉนดมาขึ้นสไลด์ให้สมาชิกได้เห็น หลายคนได้เห็นแล้ว ทุกคนก็พุ่งเป้าไปที่นั่น บางคนเริ่มถวายทรัพย์กันเข้ามาเยอะแยะมากมาย หลายล้านแล้ว เราต้องใช้เงินอีกจำนวนหลายล้านบาท ในการไปสร้างอาคารใช้สอย บนที่ดินนี้ คนที่ถวายทรัพย์ คนที่ให้เงินเรามา ร่วมไปก่อสร้างยังไม่ได้เห็นที่ดินเลย ไม่ได้เห็นตัวจริง แล้วถวายทำไม? เพราะว่าเห็นโฉนดแล้ว เท่ากับท่านรู้สึกว่าใช่ มันมีจริงๆ

นี่แหละ ลักษณะเดียวกัน เราอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกเราในโลกวิญญาณมีอะไรบ้าง? เราเป็นลูกของพระเจ้า  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เหมือนที่ตะกี้นี้เราพูด เราได้รับพระพรนานัปการในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าบอกว่ามองดูสิ โฉนด คือข้อความในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว ให้เรามีความเชื่อ เหมือนที่ตะกี้นี้ เรามีโฉนดที่ดินอยู่ ไม่เห็นตัวจริง แต่ทำท่าทำทางเหมือนเลย ไปที่ไหน …

“ที่โบสถ์ กำลังก่อสร้างบนที่ดิน 3 ไร่แล้ว ขอบคุณพระเจ้า กำลังก่อสร้างอยู่ ฉันก็ร่วมไปด้วย”

“แล้วเธอไปเห็นที่ดินหรือยัง?”

“ยัง”

“เห็นอะไร?”

“เห็นโฉนด” เหมือนกัน

“ไหนบอกเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้วไง พระเจ้าสถิตอยู่แล้วไง เห็นหรือ?”

“ไม่เห็น แต่มีโฉนดอยู่ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับฉัน และฉันอ่านในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น” เอเมน   เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ให้เราทำเหมือนกับที่โบสถ์กำลังทำ ตอนนี้โบสถ์กำลังทำอะไรรู้ไหม? บางคนยังไม่เห็นที่ดิน หรือไปเห็นมาครั้งเดียวก็ตาม ตอนที่เห็น ยังไม่ได้เป็นของเราเลย ยังไม่ได้โอนชื่อมา ตอนนี้โอนชื่อมาแล้ว ตั้งแต่โอนชื่อมา เรายังไม่เห็นเลย  เห็นแต่โฉนดว่าชื่อเป็นของมูลนิธิฯ แล้ว  แต่ทั้งหมดที่ไม่เห็น รวมทั้งเห็น กำลังบากบั่นมุ่งไปสู่ที่ดินนี้ ทุ่มเงิน ทุ่มแรง ทุ่มกายออกแบบก่อสร้าง อะไรต่างๆ ไปที่นี่หมดเลย ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็น เหมือนกัน เราผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรากำลังบากบั่น วิ่งไป โน้มตัวไป จดจ้อง จดจ่อ ไม่กระพริบตาเลย เพื่อไปรับรางวัลเพิ่มเติม ได้ที่ดินแล้ว จะไปก่อสร้าง เดี๋ยวพระเจ้าก็นำเงินมา แล้วก็ก่อสร้างสถานที่แห่งใหม่ ให้เราได้ใช้สอยที่โน้น เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ให้เรามุ่งไป โน้มตัวไป  จดจ่อ ไม่กระพริบตาไปที่รางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับเมื่อวันที่จากโลกนี้แล้วไง เอเมน โน้มตัวไปตรงนี้เลย ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราก็น่าจะปฏิบัติตัว ประพฤติตัวให้มันสมกับที่ได้รับ ได้มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ถูกไหม? คือชื่นชมยินดีมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ขอบคุณพระเจ้า อีกปีกว่าเราก็จะย้ายไปอยู่ที่ดินของเราเอง ไม่ต้องย้ายไปย้ายมาอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เหมือนกัน อีกไม่กี่ปีเอง ฉันก็จะย้ายบ้าน โลกใบนี้ไปอยู่ในสวรรค์สถาน จบซะที หายเหนื่อยและเป็นสุขสักที ขอบคุณพระเจ้า มันเหมือนกันไม่มีผิดเลย แล้วถ้าเราทำได้ตลอดเวลา มันเกิดอะไรขึ้น ทุกเสี้ยววินาที มันก็เหมือนกับที่เรากำลังจะย้ายไปสู่ที่แห่งใหม่  เมื่อ 2 เดือนก่อน ตอนที่ฝนตกหนักๆ ตอนที่พายุแรงๆ หลังคารั่ว น้ำลงมาเต็มไปหมดเลย  อาจารย์นำขึ้นไปซ่อม หลังคาแตก ร่วงเกือบตกลงมา แต่ท่านก็เฉย มาบอกพวกเรา พวกเราก็เฉย ไม่ใช่เฉย เพราะไม่เห็นใจ หมายความว่าเฉยว่ามันรั่วแล้ว ไม่ซ่อมแล้ว ช่างมัน เอาเท่าที่ทำได้ ปะๆ ไปก่อน แมววิ่ง 2-3 วันก่อน วิ่งโครมเลย ฝ้าหล่นลงมา เราก็หัวเราะ แหะๆ ถ้าเผื่อตอนสมัยยังไม่มีที่ดิน  เราก็ไปซ่อม ต้องใช้ต่อ  แต่ตอนนี้เรามีที่ใหม่แล้ว เรากำลังมุ่งไปสู่หลักชัยแล้ว เพราะฉะนั้น มันจะร่วงลงมา เอาอะไรปะๆ มันไว้ก่อน อะไรมันร่วงๆ ช่างมัน ใช้มันไปก่อน ใช่หรือไม่ใช่ มันจะอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเอง เรามีที่ถาวรของเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ขอบคุณพระเจ้า สำหรับหลักชัยนั้น ให้เราชื่นชมยินดีด้วยวิธีใด เวลาเราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดเวลา เราก็จะมีชีวิตอยู่ให้เป็นไปด้วยกันกับความเป็นจริงนั้น ก็คือเราก็จะเริ่มฉายแสงสว่าง ในวิญญาณของเราออกมา คือสำแดงพระเยซูคริสต์ออกมา จากชีวิตของเรา นึกภาพออกใช่ไหม? เพราะเราเห็นเป็นความจริงแล้ว เราจับต้องมองเห็นได้ เราปฏิบัติตัวทุกอย่างเลย เหมือนเราเป็นแล้วทั้งนั้น เพราะมันเป็นแล้วจริงๆ เราก็จะฉายแสงสว่าง ให้ความรักแบบพระเจ้าออกมาจากข้างในวิญญาณของเรา ในใจของเรา ซึ่งเป็นความรักที่พระเยซูบอกว่ารักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง เพื่อนบ้าน คือมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ที่เราเจอ เจอใคร ก็คือเพื่อนบ้านเราทั้งนั้น พระเยซูกำลังบอกว่าจงรักมนุษย์ทุกคนที่ท่านเจอ

ท่านจะไปรักมนุษย์ที่อยู่ป่า อยู่เขา ที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่มีโอกาสได้สำแดงความรักกับเขา แต่ท่านจะมีโอกาส สำแดงพระเยซูคริสต์ ความรักแบบพระเยซูออกมาจากใจของท่าน  ก็ต่อเมื่อท่านเจอกับใครบนโลกใบนี้ นั่นแหละ เพื่อนบ้านของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนบ้านของท่าน ที่เขากำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังลำบาก นั่นแหละ  พระเยซูบอกเพื่อนบ้านของท่าน ที่ท่านจะต้องรักเขาอย่างมากมาย เพราะว่าความรักนั้น เป็นความรักของพระเยซูคริสต์

มีความชื่นชมยินดีในสิ่งที่มีแล้ว เป็นแล้ว มันก็สบายใจแล้ว มันก็เริ่มฉายแสงข้างในออกมา เริ่มจากการฉายแสงสว่าง เป็นเหมือนพระเยซูออกมา เป็นผู้ให้ เป็นผู้อภัย แบ่งปัน ช่วยเหลือ แจกจ่าย ด้วยความรักที่บริสุทธิ์จากข้างในออกมา ไม่ใช่จะพยายามจากข้างนอกว่า …

“เขาสอนว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่เลย ไม่มีใครมาบังคับให้ฉันทำ ไม่มีใครมาบังคับให้ฉันรักเขา ไม่มีใครมาบังคับ มาสอนฉันว่าฉันต้องถวายสิบลด ต้องถวายทรัพย์ สร้างโบสถ์ ไม่มีใครมาบอกเลย แต่ฉันทำออกมาจากข้างใน”

เห็นไหม?  จงถวายด้วยใจของท่าน ที่เตรียมจากใจ ไม่ใช่จากภายนอก ไม่ใช่จากกฎระเบียบ จากประเพณี แต่จากข้างใน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมีความอิสระ ไม่ติดยึดกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้อีกแล้ว เพราะรู้ว่าหลังคามันจะรั่ว น้ำจะหก ห้องน้ำจะกดไม่ลง มันอยู่ชั่วคราว มันไม่ได้อยู่นิรันดร์ ที่นิรันดร์ เรามีห้องน้ำทำเป็นทองเลย รออยู่ ตรงนี้อยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวหมดสัญญาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ร่างกายบนโลกใบนี้ก็เหมือนกันอีกไม่นาน อยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ไปแล้ว เราก็จะไม่ติดยึดกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกระวนกระวาย และความทุกข์นั่นเอง มันก็หลุดพ้นจากการไปติดยึดกับบนโลกใบนี้ อย่างที่ย้ำมาตลอดว่าเคล็ดลับของความมั่นคง ไม่หวั่นไหวท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ก็คือความพึงพอใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่แค่ชั่วคราว แต่ของถาวรนิรันดร์นั้น เราได้รับเรียบร้อยแล้ว เรามีหมดเลย เยอะแยะมากมาย เทียบกันไม่ติดเลย

ซึ่งเคล็ดลับนี้ ได้ถูกเปิดเผย โดยเปาโล ผู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าท่านได้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในทุกรูปแบบ ทุกสถานการณ์แล้วจริงๆ มีประสบการณ์ เปาโลไม่ได้สอนเพียงแค่คำพูด แต่ใช้ชีวิตของตนเอง เป็นตัวอย่างในเรื่องต่างๆ ว่าเปาโลได้ประสบการณ์ที่จุดพีกสุด สูงสุดเลย ดีสุดและก็แย่สุด บนสุด และล่างสุด เปาโลผ่านมาหมดแล้ว เปาโลจึงบอกว่าเป็นเคล็ดลับที่นำพาตัวท่านเองผ่านประสบการณ์เหล่านั้น ผ่านความทุกข์ยากเหล่านั้นมาได้ ถูกหินขว้างจนตาย ต่ำสุดใช่ไหม? แล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ตายจริงๆ แล้วถูกขังในคุก ถูกเฆี่ยน เจ็บปวดจริงๆ ต่ำสุดๆ เลย แต่มาสูงสุดๆ คือ พระเจ้าทำการอัศจรรย์ผ่านทางเปาโล ผู้คนยกเปาโล นึกว่าเป็นพระเจ้า พาไปเลี้ยงอะไรต่างๆ นี่สูงสุด แต่ไม่ว่าจะสูงสุด หรือต่ำสุด เปาโลก็บอกว่าข้าพเจ้ารู้วิธีที่จะเผชิญกับมัน เป็นเคล็ดลับ สูงสุด ก็ไม่เหลิง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ต่ำสุด ก็ไม่หมดความหวัง ต่ำสุด ก็รู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พาผ่านไปได้ด้วยดี

เพราะฉะนั้น เคล็ดลับเราจึงมาเรียนรู้กัน ฟีลิปปี 4:13 ซึ่งได้พูดถึงเคล็ดลับหนึ่งของเปาโลว่าถ้าทำอย่างที่เปาโลสอน เราจะได้รับตรงนี้ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงเคล็ดลับนี้ จะกระโดดมาที่ตรงนี้ก่อน  เพราะอยากให้ทราบรายละเอียดของข้อนี้ก่อน เราจะคุ้นหูมาก และคุ้นหูในลักษณะที่เข้าใจกันผิดเยอะ เลยเอามาแก้ไขตรงนี้ก่อน แล้วค่อยไปดูตรงเคล็ดลับจริงๆ ว่าเปาโลสอนให้เราทำอะไร? ถึงจะได้ความพึงพอใจ ได้สันติสุขตรงนี้

ฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

ถามว่าทำไมถึงเน้นข้อนี้ก่อน เพราะรู้ว่าทุกคนจำได้ หลายคนท่องเลย ใช่ไหม? ผมก็จำได้ …

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังแก่ข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” แถมยกมือแบบชัยชนะด้วยใช่ไหม? ถ้าใช่ ฟังทางนี้ ฟังแล้วคุ้นๆ กับข้อพระคัมภีร์นี้ใช่ไหม? แต่ท่านคิดว่าท่านเข้าใจถูกไหม? ในอดีต หรือแม้กระทั่งตอนนี้ พอพูดถึงถ้อยคำนี้ ท่านนึกถึงอะไร?

พระคัมภีร์ตรงนี้เป็นอีกหนึ่งข้อ ที่ได้ถูกนำไปใช้แบบผิดๆ เยอะมาก จึงเน้นตรงนี้ ข้อนี้ก่อน ทั้งใช้สอน หนุนใจ  สอนให้ทำ  สอนให้คิด ให้ฝัน อย่างเช่น พวกการ์ดอวยพรคริสเตียน จะมีถ้อยคำอย่างนี้เต็มไปหมดเลย การ์ดอวยพรวันเกิดก็มี การ์ดแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ ก็มี อย่างเช่น แสดงความยินดีในโอกาสได้รับงานใหม่ ก็มี จบการศึกษาก็มี ทำธุรกิจ เปิดกิจการใหม่ ก็มี ส่งการ์ดอย่างนี้  แม้กระทั่งการ์ดอวยพรแต่งงานยังมีเลย “ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่ง ทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” นี่ไง ในที่สุด ก็ได้แต่งงานแล้ว อธิษฐานมาตลอดเลย จนได้ และทุกวันนี้ ก็ยังมีคนหนุนใจ แบบนี้ ด้วยถ้อยคำนี้อีกเยอะ

ปัญหา คือพระคัมภีร์ข้อนี้ เมื่อถูกแยกนำไปใช้เดี่ยวๆ ดึงลงมา แล้วมาใช้ ส่วนใหญ่จะใช้แบบผิดๆ และผลของการใช้แบบผิดๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เกิดการกระตุ้นความอยากของเนื้อหนัง ตามระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับพระเจ้าเลย เขาเรียกกันว่าวัตถุนิยม พาไปสู่ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม กิน เกียรติ นั่นเอง

อยากได้รถ อธิษฐานเลย ยกข้อพระคัมภีร์นี้มาเลย อยากได้รถ อธิษฐานว่าอย่างไร? …

“ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสามารถจะมีรถคันใหม่ได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

คุ้นๆ ไหม?

“ข้าพเจ้าสามารถมีสุขภาพแข็งแรงได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าสามารถ ….” อีกเยอะแยะมากมายไปหมด

“ข้าพเจ้าสามารถทำธุรกิจตรงนี้สำเร็จ เจริญรุ่งเรืองแน่นอน เพราะพระเยซูคริสต์เสริมกำลังให้ข้าพเจ้า”

“ข้าพเจ้าได้รับการโปรโมท เลื่อนขั้นขึ้น จากการทำงานนี้ เป็นหัวหน้าคนได้ อย่างแน่นอน เงินเดือนขึ้นอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าทำได้ เพราะพระเยซูคริสต์เสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

เห็นไหมสิ่งเหล่านี้ คนเอาไปใช้แบบนี้เยอะ แปลกๆ กว่านี้อีก ก็มีอีกเยอะ แล้วมันถูกไหม? เดี๋ยวเราฟังกันไปเรื่อยๆ มันกำลังเร้าใจให้เราไปแสวงหาแบบโลกใบนี้ โลกใบนี้เขาก็แสวงหากันอย่างนี้แหละ อยากได้สิ่งของบนโลกใบนี้ แล้วก็หนุนใจกัน ให้กำลังใจกัน เขาเรียกว่าการพูดแบบให้กำลังใจตนเองในเชิงบวก ซึ่งเขาบอกมีพลัง แล้วเอาเป็นบทบรรยาย เอามาทำสัมมนา เร้าใจผู้คน …

“ฉันทำได้ๆ”

จึงมีความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาชั่วคราว แต่มันไม่ได้จริงตามนั้น แล้วมันไม่ได้ไม่พอ มันเป็นการเร้า อย่างที่ตะกี้บอก เร้ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไปสู่ความโลภ และนั่นคือศัตรูกับพระเจ้าเด็ดขาดเลย  ตรงกันข้ามกับความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ตรงกันข้ามกับสันติสุขในพระเยซูคริสต์ ตรงกันข้ามเลยเห็นไหม? เราเอาข้อพระคัมภีร์มาใช้อย่างนี้

คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังให้ข้าพเจ้า” ไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถเป็นเศรษฐีได้ หรือเราต้องประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่อง หรือเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ เพราะเราเป็นผู้เชื่อ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว หรือเพราะเราอธิษฐานทูลพระเจ้าอย่างจริงจัง ความเชื่อเลยเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่ ซึ่งการกระทำอย่างนั้น มันคือการพึ่งตนเอง ก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาหาพระเจ้า ก็ต้องพึ่งพระเจ้า แล้วแต่พระองค์ ตอนนี้มันแล้วแต่ฉัน ฉันจะเอาอย่างนี้ มีอะไรไหมพระเจ้า? ก็คือการเป็นศัตรู นึกภาพให้ดีๆ โดยเอาข้อพระคัมภีร์มาใช้เป็นหลัก ถามว่าใครเป็นคนวางแผนเหล่านี้ ก็คือมารนั่นเอง มาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย

คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าลูกของเรา ที่พึ่งเรียนจบ จะมีงานทำที่ดี มีเงินเดือนเยอะ มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างแน่นอน ลูกเอาไปท่องเลย เดี๋ยวพ่อช่วยท่องด้วย ไม่ใช่

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าธุรกิจที่เราลงทุนไป มันต้องสำเร็จแน่นอน มันต้องรวยแน่นอน ไม่ใช่

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ไม่ได้แปลว่าเราป่วยอยู่ แล้วอธิษฐาน แล้วมันต้องหายๆ ไม่ใช่ เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่หลายคนยังถูกหลอกเอาไปใช้อยู่

แต่คำว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้” ตรงนี้ จริงๆ แล้ว แปลจากภาษาเดิม ชัดๆ แปลว่า “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นกำลังให้กับข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จากข้างใน

“ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” เป็นประโยคสุดท้าย ในข้อที่บอกว่าเป็นเคล็ดลับ ที่เปาโลบอกในข้อ 12 กับข้อ 13 ประโยคสุดท้ายบอกว่า … “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้” … เราจะมาดูสิว่าเผชิญอะไร? เผชิญความสำเร็จหรืออะไร? เราจะดูสิว่าบริบทนี้ พูดถึงอะไร? ก็ต้องย้อนกลับไปที่เมื่อสักครู่ที่ข้อ 12 และ 13

ฟีลิปปี 4:12-13 “12 ข้าพเจ้ารู้ว่าการใช้ชีวิตแบบถ่อมใจ ในยามขาดแคลนเป็นอย่างไร  และข้าพเจ้าก็รู้ว่าการใช้ชีวิตแบบสุขสบาย ในยามมั่งมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร  ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์  และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมี  ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย  มั่งมีหรือขัดสน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้  โดยพระองค์  ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า

 

ชัดเลยใช่ไหม? “ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์” ทุกสถานการณ์ข้าพเจ้าสามารถเผชิญได้ สถานการณ์อะไร? ความหิวโหย ความอดอยาก ความมั่งมี ความมีเหลือกินเหลือใช้ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอกมีเหลือใช้ ก็ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ก็มองไปที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ขณะที่ไม่มีอดอยาก ขัดสน ก็มองไปที่พระเจ้าว่าพระเจ้าดูอยู่ พระเจ้ามองอยู่ พระเจ้าเห็นอยู่ พระเจ้าอยู่กับฉันด้วย นี่ไง ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะเผชิญได้ทั้งสองอย่าง บางคนบอกว่าเผชิญได้ อย่างที่ไม่ดีอย่างเดียว ไม่ใช่ อย่างที่มนุษย์เห็นว่าดีก็ต้องเผชิญนะ ลำบากกว่าด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่างเช่น เผชิญความมั่งมี เกิดร่ำรวยขึ้นมานึกว่าไม่เผชิญหรือ? เผชิญการทดลองว่าจะเย่อหยิ่งจองหองไหม? มันก็เผชิญนะ ไม่ใช่ไม่เผชิญ

นี่เป็นตัวอย่างการหยิบข้อพระคัมภีร์ไปใช้ แล้วไม่ดูบริบทว่ามันหมายความว่าอย่างไร? ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร? ภาพรวมเป็นอย่างไร? ซึ่งจะได้ความหมายที่ไม่ถูกต้อง เอาข้อหนึ่งออกมา แล้วเอามาใช้เลย แล้วก็สอนต่อกันไปเรื่อยๆ แบบผิดๆ ซึ่งบางครั้งผิด แบบตั้งใจก็มีนะ ผิดแบบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อีโหน่อีเหน่งก็มี

ซึ่งจริงๆ แล้วเคล็ดลับของอาจารย์เปาโลตรงนี้ ก็คือกระบวนการการเรียนรู้ที่จะพึงพอใจในทุกสิ่ง ที่มี ที่เป็น ที่เกิดขึ้น  เพื่อให้การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อทั้งหลายได้หายเหนื่อยและเป็นสุข เคล็ดลับตรงนี้ทำให้ผู้เชื่อทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นสุขตรงนี้ ก็คือสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ก็คือการพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ขณะนี้ เราพึงพอใจแล้ว เพราะเรารู้แล้วเราเป็นใคร? เป็นต้นทุนเยอะแยะมากมาย บนโลกใบนี้ เรารู้แล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราพึงพอใจในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น  เคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์ และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ก็คือฟีลิปปี 4:4-7 นี่คือเคล็ดลับในการเผชิญกับทุกสถานการณ์ และเรียนรู้ที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่ ให้ “เผชิญ” นะ ไม่ใช่ “ทำได้” “สามารถ” เผชิญ …

ฟีลิปปี 4:4-7 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ  ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน  ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน  ความอดทนนานของท่าน  เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง 6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย  แต่ในทุกๆ สถานการณ์  จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า  ด้วยการอธิษฐาน  และการอ้อนวอน  พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า (ความพึงพอใจในสิ่งที่มีที่เป็น ที่เกิดขึ้น)  ซึ่งเกินความเข้าใจ  จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

 

วิธีการ ก็คือ …

(1) จดจ่อ จดจ้องไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร? มีอะไรบ้าง ที่เป็นของเราแล้ว เราอยู่ที่ไหน? แล้วทำอะไร? ชื่นชมยินดีในตรงนี้แหละ ตรงโลกวิญญาณ ตรงพระพรต่างๆ ในฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า ที่เราไล่กันมา เมื่อตอนต้น จงชื่นชมตรงนี้ จงจดจ้อง เวลาพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอก … “จงชื่นชมยินดีเถิด ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถอะ” … ก็แสดงว่าบนโลกใบนี้มันไม่น่าชื่นชมยินดีเลย ในขณะที่มีโควิด เงินเดือนก็ไม่มี การงานก็เจ๊ง บางคนอาจจะติดโควิดอีกด้วย แล้วชื่นชมยินดีไหวหรือ? ไม่ได้ให้ชื่นชมยินดีตรงนั้น ให้ชื่นชมยินดีว่าถึงแม้จะติดโควิด แต่ฉันเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว ถึงแม้ว่ากิจการงานจะเจ๊งอยู่ ลำบากอยู่ มันทุกข์ทรมานอยู่ ชื่นชมยินดีได้ หันหน้ามาชื่นชมยินดีว่า …

“ฉันอยู่ในพระเจ้าแล้ว ฉันมีสวรรค์รองรับอยู่แล้ว บ้านฉันในสวรรค์ใหญ่โตขนาดไหน? พระเจ้าเป็นเจ้าของเงินทั้งหมด พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน”

พอมองเห็นไหม? มันหมายถึงตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะชื่นชมยินดีแบบปลอมๆ หน้าเหยๆ อาจารย์ที่โบสถ์บอกว่าต้องชื่นชมยินดี เงินเดือนไม่มีเลย ไม่มีรายได้มา 1 ปีแล้ว จะกินจะอยู่ก็ลำบากมากเลย ต้องยิ้มสิ ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ได้ มันคนละเรื่องกัน ทุกข์ก็ได้ เป็นไปตามธรรมดา เป็นไปตามภาษามนุษย์ เมื่อโดนไฟลวก มันก็ร้อง โดนไฟลวก ชื่นชมยินดี ไม่ใช่ ร้องเลย …

“พระเจ้าช่วยด้วย”

แต่ข้างในวิญญาณสามารถชื่นชมยินดีได้ พอจะมองเห็นไหมครับ? ว่านี่แหละ คือของแท้ ของจริง ชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ชีวิตมีความหวัง

(2) ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา ตัวที่เราได้บังเกิดใหม่ข้างใน สำแดงออกมา สำแดงวิญญาณข้างในของเรา ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือสำแดงพระเยซูคริสต์ ฉายแสงพระเยซูคริสต์ ฉายแสงที่เป็นวิญญาณของเราออกมา ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรา คือมือไม้ อะไรต่างๆ ตา การกระทำทุกอย่าง ฉายสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นความรัก การให้ การเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ก็คือข้อที่บอกไว้ว่าจงให้ความอ่อนสุภาพ อ่อนโยนของท่าน ความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน และความอดทนนานของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง ก็คือคนรอบข้าง ก็คือรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวเอง จากข้างใน ให้พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ฉายแสงออกมาในชีวิต ให้ออกมาในขณะที่เผชิญกับสถานการณ์อะไรก็ตาม บางครั้งเราก็ต้องยอมอดทนนาน เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ก็อย่างที่บอก มันไม่ใช่ความผิดของเราเลย  แต่เราก็ต้องบอกว่า …

“ขอโทษนะ ถ้ามีอะไรที่เราทำผิดพลาดไป ขอโทษ”

ไม่อย่างนั้น เราต้องแข่งกัน แย่งกัน พยายามที่จะให้เป็นถูกให้ได้ ไม่ใช่เลย เราก็มีส่วนผิดทั้งนั้น ทุกคน ไม่มีใคร ไม่ได้เป็นคนบาป แต่เราเป็นคนบาปที่พระเจ้าได้ทรงชำระเราเรียบร้อย ช่วยเราให้พ้นจากบาปได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

ให้ความรัก การให้ การเสียสละ  การไม่เห็นแก่ตัว ก็คือลักษณะของชีวิตแบบผลของพระวิญญาณออกจากชีวิตของเราไป

(3) ให้เราติดต่อ  มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่สถิตอยู่ในตัวของเราตลอดเวลา เขาเรียกว่าอาศัยอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยวิญญาณ  ในพระคัมภีร์บอก In spirit  อธิษฐานก็อธิษฐานด้วยวิญญาณ  มองก็มองด้วยวิญญาณ พูดก็พูดด้วยวิญญาณ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยผ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น ก็คือรับรู้ พูดคุยภายในกับพระเจ้าตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร?  ภาพของวิญญาณ โลกของวิญญาณ โลกของสวรรค์ที่เราได้อยู่แล้ว เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นทุกวันๆ เพราะเราดำเนินชีวิตตามนั้นจริงๆ และมันมีจริงๆ และมันเป็นจริงๆ ด้วย ก็มีค่าเท่ากับที่ตะกี้นี้ที่ย้อนไป ยกตัวอย่างเหมือนเรามีที่ดินโบสถ์ ถ้าไม่มั่นใจ อยากให้มั่นใจมากขึ้น ก็เดินไปทุกวันเลย  เดินผ่านโบสถ์ใหม่ทุกวันเลย เห็นทุกวัน …

“นี่ที่ของเราๆ”

โฉนดแทบไม่ต้องใช้แล้ว นี่มันเห็นความเป็นจริง คล้ายๆ อย่างนั้น ซึ่งวิธีทำ ก็คือการอธิษฐาน การวิงวอนและการขอบพระคุณ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก วิงวอน แปลว่าเจ็บปวด  วิงวอน แสดงว่ามันไม่ไหวแล้ว เหมือนที่พระเยซูวิงวอนกับพระเจ้า ถึง 3 ครั้ง จนเหงื่อเป็นเลือด เหมือนเปาโลขอพระเจ้าให้เอาหนามในเนื้อออกไปถึง 3 ครั้ง อย่างนี้ไม่เรียกอธิษฐานแล้ว เรียกว่าวิงวอน เหมือนกับผมหรือท่านอธิษฐานกับพระเจ้า 3,000 ครั้งไปแล้ว นี่กำลังวิงวอนอยู่ ไม่ได้อธิษฐานแล้วอย่างนี้ เขาเรียกว่าวิงวอนแล้ว

“พระเจ้าไม่ไหวแล้ว”

หรือเหมือนกับพี่น้องทั้งหลายในขณะนี้ ที่อาจจะไม่มีรายได้เลย ธุรกิจต้องหยุดไป  เงินเดือนก็หมดไป ไม่รู้จะเอาอะไรกิน พรุ่งนี้จะอยู่อย่างไร? ว่ากันไปทีละวัน กำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าใช่ไหม? ถูกแล้ว มาถูกทางแล้ว วิงวอนต่อไป ในนี้บอกอธิษฐาน วิงวอน และขอบพระคุณ … ขอบพระคุณได้อย่างไร? ไม่ใช่ขอบพระคุณว่าไม่มีเงินเดือน ไม่ใช่ ขอบพระคุณว่า …

“อย่างน้อย ฉันมีเยอะแยะเป็นมัดจำแล้ว ก็คือฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ทอดทิ้งฉันแน่นอน” … อะไรแบบนี้ นึกออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ให้เราทำตามวิธีการ หรือกระบวนการนี้ เป็นกระบวนการนะ เพราะฉะนั้น ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเน้นไปที่โลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร? แล้วสันติสุข ความพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น ค่อยๆ นะ เป็นป้อมปราการที่มั่นคงปกป้อง ปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเรา ให้อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์สถาน มีสันติสุข มีความสุขอยู่ที่นั่น

ซึ่งผลจากการกระทำตามกระบวนการนี้   จะเป็นไปตามธรรมชาติของการเจริญเติบโต ค่อยๆ ทีละนิดๆ ค่อยๆ ของการเจริญเติบโต เหมือนดักแด้ ที่จะกลายเป็นผีเสื้อ มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เป็นไปตามกระบวนการ …

–  ค่อยๆ เพิ่มความพึงพอใจเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา  ด้วยวิธีการ กระบวนการนี้  ถ้าเราชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดเวลา ให้ความอ่อนน้อม ถ่อมสุขภาพของเราประจักษ์กับผู้คนทั้งปวง ผู้คนรอบข้าง ไม่กระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย อธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณพระเจ้าไปเรื่อยๆ  ฝึกไปเรื่อยๆ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เพิ่มความพึงพอใจ

–  ค่อยๆ ลดความวิตกกังวล  และลดความกลัว

–  ค่อยๆ  เพิ่มความรักแบบพระเจ้า ซึ่งทำให้เกิดความสุขทั้งผู้คนรอบข้างและตัวเราด้วย

–  ค่อยๆ  ลดความเห็นแก่ตัวลง  ซึ่งทำให้เกิดความสุขทั้งผู้คนรอบข้างและตัวเราเองก็สุขด้วย

–  ค่อยๆ  เพิ่มการให้ ซึ่งการให้ ทำให้เกิดความสุขทั้งผู้อื่นและตัวเราได้มากกว่าด้วย

–  ค่อยๆ  ลดความโลภลง ซึ่งทำให้สุขทั้งเขาและเราก็สุขด้วย

–  ค่อยๆ เพิ่มความมั่นคง  ไม่หวั่นไหว  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

–  ค่อยๆ  เจริญเติบโต  เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ  ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้ ใช้ไปแสดงความรักกับผู้คนรอบข้าง ซึ่งในที่สุด การเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณของเรา จะส่งผลออกมาที่ความประพฤติ ในการตอบสนอง ต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญบนโลกใบนี้นั่นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงของขาลง และไม่ใช่ช่วงขาลงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของขาขึ้นสุดๆ ตรงกลางมันโอเค พอไหว แต่ขึ้นสุดๆ ก็ต้องระวัง ลงสุดๆ ก็ต้องระวัง มันทุกข์ได้ทั้งสองอัน

การตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องเผชิญบนโลกใบนี้ว่าเราเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณหรือไม่? ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายวิญญาณ  มันก็ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็ตาม ดีหรือไม่ดีก็ตาม ต่ำสุดหรือสูงสุดก็ตาม มันก็จะเป็นความประพฤติแบบความรักของพระเจ้า คือความรักแบบการให้ ด้วยความเสียสละ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง ก็คือการสำแดงพระเยซูคริสต์ออกมานั่นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************