วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1437

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  ตุลาคม  2023

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” ตอน 1

โดย  ธิดารัตน์   ร่มพระคุณ

            วันนี้เราก็จะมาแบ่งปัน เกี่ยวกับไม่ใช่ด้วยฤทธิ์  ไม่ใช่ด้วยแรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคนอาจจะคิดว่าแค่ขึ้นชื่อเรื่องมา ก็รู้แล้วว่าคืออะไร? ส่วนใหญ่ก็จะบอกเราพูดซ้ำๆ อยู่ย้ำๆ แต่วันนี้ ดิฉันจะมาแจงอย่างละเอียดให้ฟัง แต่จะบอกไว้ก่อนว่าสิ่งที่ดิฉันแบ่งปัน ในเช้าวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ เราจะต้องไปประพฤติให้เป็นแบบนั้น  แต่กำลังจะมาชี้ให้เห็นความจริง เพื่อเราทั้งหลายจะสามารถที่จะมีจิตใจที่ถ่อมลง ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำงานและเคลื่อนไหวภายในเราได้อย่างชัดเจน

            ในฟีลิปปี 2:12-13 เดี๋ยวเรามาดูข้อที่ 12 ก่อน ซึ่งเป็นฉบับที่มีคำขยายความ …

        ฟีลิปปี 2:12 “ดังนั้น ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า”

            จดหมายฝากฉบับนี้ เป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลเขียนในคุก แล้วก็เขียนไปถึงชาวเมืองฟีลิปปี ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ถูกข่มเหงเป็นอย่างมาก  และเป็นช่วงเวลาที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากลำบากหลายๆ อย่าง แต่พวกเราก็ยังยึดมั่นในสิ่งที่เปาโลได้เคยสอนทิ้งไว้ หรือพูดทิ้งไว้ในเมืองฟีลิปปี

            เปาโลก็จะได้ข่าวจากการเขียนจดหมายส่งกันไปส่งกันมา ใช้ระยะเวลาในการส่ง อาจจะยาวนาน เพราะว่าสมัยก่อน คมนาคมก็จะไม่เหมือนกับทุกวันนี้ จดหมายฝากฉบับนี้ได้ไปถึงพี่น้องฟีลิปปีที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความทุกข์ยาก  แต่พวกเขากลับเป็นพวกที่อดทนในความยากลำบากเหล่านั้น แล้วก็เผชิญหน้ากับความยากลำบากเหล่านั้น ด้วยการยึดมั่นในสิ่งที่เปาโลได้ทิ้งไว้ เปาโลก็เลยเขียนมาบอกว่าพวกเขาได้กระทำสิ่งที่ ได้ฝากไว้ หรือพูดทิ้งไว้อย่างกระตือรือร้น ด้วยความเชื่อฟังทั้งตอนต่อหน้า และลับหลังก็อยากให้เขาได้ทำอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน

            “แต่ยิ่งกว่านั้นอีก ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ จงหมั่นอดทน ฝึกฝน (ไปถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ตามผลของความรอดของท่านเอง ด้วยความรัก และเคารพยำเกรงพระเจ้า”

            เรามักจะได้ยินทั้งอาจารย์วราพรและอาจารย์นครแบ่งปันให้กับเรา บอกว่าเรารอดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เราได้รับหมดแล้ว แต่ทำไมจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลตอนนี้ กลับบอกว่าให้เราหมั่นฝึกฝน อดทน และในวงเล็บ คำขยายความ ก็คือให้ไปถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์ สมบูรณ์ในอะไร?  ในผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรักและความยำเกรงพระเจ้า อันนี้กำลังบอกให้เราทำหรือเปล่า? ถ้าเราอ่านผิวเผินและไม่พิจารณาดู เราจะรู้สึกว่านี่เปาโลกำลังบอกให้เรากระทำบางสิ่งบางอย่าง แต่ถ้ามาอ่านดีๆ จริงๆ ในหนังสือภาษาอังกฤษบอกว่าผลของความรอด ในตรงนี้เป็นอดีต หมายความว่าเป็นสิ่งที่ประทานมาให้แล้ว ผลแห่งความรอด ให้เราไปถึงเป้าหมาย ตามผลของความรอด

            เรามาดูกัน เอาคำง่ายๆ  “จงหมั่นอดทน ฝึกฝน” พระคัมภีร์ตอนนี้เปาโลกำลังบอกให้ฝึกฝนอะไร? ฝึกฝนผลของความรอด ถามว่าผลของความรอดของเรา เราได้ไปหรือยังค่ะ? รอดแล้ว ได้แล้ว

            “ในพระวจนะตอนนี้บอกว่าจงหมั่นอดทน ฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและกระทำให้สมบูรณ์) มาเน้นคำนี้ นั่นหมายความว่าเราต้องกระทำบางสิ่งบางอย่าง ถูกไหม? คำๆ นี้ เวลาเราพูดถึงคำว่า “อดทน ฝึกฝน” เราจะนึกถึงนักกีฬา

            ดิฉันก็เคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน ตอนสมัย ม.ต้น เรียกว่าซ้อมวอลเล่ย์บอลมือแตกกันเลยทีเดียว ถ้าตีไม่ถูก แตกจนกระทั่งห้อเลือดขึ้นมาทีเดียว แล้วก็ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อลงไปที่สนาม อยู่บ้านพักครูก็จริง ต้องไปที่สนาม ไปฝึก เลิกเรียนก็ต้องมาฝึกจนกระทั่งถึง 1 ทุ่ม เพราะเป็นนักกีฬาโรงเรียน ต้องไปแข่งกับโรงเรียนอื่น สมัยก่อนอยู่ต่างจังหวัด เวลาที่ฝึกกีฬาเหล่านี้เสร็จ ก็จะมีการแข่งขันระหว่างโรงเรียน  เราก็จะไปที่โรงเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง เราอยู่เสลภูมิ ต้องไปแข่งกับโพนทอง ต้องไปแข่งกับจังหวัดร้อยเอ็ด ต้องไปแข่งกับธวัชบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมเหมือนกัน แต่อยู่ต่างอำเภอ และอยู่ในระดับชั้นเดียวกัน  ก็ฝึกซ้อมหนักมากทีเดียว บางวันเหนื่อยมาก กอดวอลเล่ย์บอลแล้วก็นอนหลับ ฝันเป็นวอลเล่ย์บอลไปเลย ซึ่งสมัยนั้น ก็มีหนังเรื่องหนึ่ง ชื่อ “ยอดหญิงสิงห์วอลเล่ย์บอล” เป็นซีรี่ย์ของญี่ปุ่น ตอนนั้นบ้าวอลเล่ย์บอลมาก ฝึกอย่างหนักมาก แล้วก็ไปแข่ง บางครั้งก็ชนะ บางครั้งก็แพ้  เวลาแพ้ ก็เสียใจ ทั้งทีมก็ร้องไห้กันในรถ

            ความอดทนในการฝึกยากมาก และใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แล้วก็จะต้องมีเป้าหมาย มีตารางในการฝึกซ้อม ในแต่ละครั้ง อย่างหนักทีเดียว มีการสละเวลา มีการใช้เวลา  แต่นั่นมันเป็นการฝึกของนักกีฬา เป้าหมายของนักกีฬา คือชัยชนะ

            เป้าหมายของผู้เชื่อในการที่จะฝึกการเกิดผล เป้าหมายของเรา คืออะไร? ในเมื่อจริงๆ แล้วเป้าหมายของเรามีอยู่แล้ว  เราได้รับความรอดแล้ว เราได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว เราได้ทุกอย่างแล้ว เหมือนมันไม่มีเป้าหมายอะไรเลย? เวลาพูด บอกว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย เหมือนกับเราต้องอยู่ในโลกนี้ เหมือนกับคนไร้ประโยชน์ เหมือนกับคนไม่มีความหมายอะไรเลย อยู่ไปวันๆ หรือ? ในเมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้หมดทุกอย่างแล้ว  เราก็ดำเนินชีวิตในโลกนี้ไปวันๆ ใช่ไหม? มันก็ไม่ใช่

            ผลของความรอดของผู้เชื่อคืออะไร? เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าเราได้อะไรไป แน่นอน เราได้การลบล้างความผิดบาปทั้งสิ้นของเราไปเรียบร้อยแล้ว  ได้ผลของการที่เราได้ไถ่ถอนจากอำนาจของความบาปและความตายไปสู่ชีวิต  ผลนี้เราได้แล้วแน่นอน  เราได้ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ คือการบังเกิดใหม่ ผลของการวางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ก็คือเราได้ความเชื่อ เราได้ความยำเกรงพระเจ้า  เราได้ใจกล้าหาญ  เราได้ความรัก ถ้าไม่เชื่อลองคิดดู ลองพิจารณาดูดีๆ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มีใครสอนให้เรายำเกรงพระเจ้าไหม? ไม่มีนะ อยู่ๆ มันก็ยำเกรงขึ้นมาเลย  มีใครสอนให้เราให้เกียรติพระเจ้าไหม? ไม่มี อยู่ๆ ก็เกิดความให้เกียรติพระเจ้าขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เราไม่เคยมิกแอนด์แม๊กกับพระเจ้ามาก่อนเลย ทำไมถึงเกิดความเชื่อ ในถ้อยคำของพระเจ้า เวลาที่เราอ่านพระวจนะ นั่นเพราะว่ามันเกิดขึ้นอัตโนมัติ  เพราะเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกบรรจุไว้ในเราเรียบร้อยไปแล้ว

            อันนี้เราสามารถที่จะสัมผัสได้ มันอยู่ในตัวเรา  มันอยู่ในประสบการณ์เรา มันอยู่ในการสัมผัสของเรา แต่เวลาที่เราพูดถึงความรอด มันยังอีกไกล มันต้องสละร่างนี้ก่อน ผลของความรอด อีกอย่างหนึ่ง ก็คือเราพ้นจากการพิพากษา อันนี้มันต้องรอการที่เราหลุดออกจากร่างนี้ก่อน เราถึงจะสามารถรับรู้ได้ใช่ไหม?  เราเป็นลูกของพระเจ้าทันที นี่คือผล เราเป็นทายาทผู้รับมรดกของพระเจ้า ร่วมกันกับพระเยซูคริสต์ เรามีสิทธิอำนาจ อันนี้เราได้ทันที พี่น้องบางคนอาจจะเคยวางมือที่คนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้น ก็หายโรค มีสิทธิอำนาจในการปลดปล่อยผู้คนให้พ้นจากพันธนาการ โซ่ตรวนของความบาป และกลับมาสู่ความรอด โดยการอธิษฐานกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกว่าเรามีสิทธิอำนาจในการถือกุญแจ

            นั่นหมายความว่าเราสามารถปลดปล่อยคนให้มาสู่ความรอดได้ จากการที่เราได้อธิษฐาน เราวิงวอน เราขอบพระคุณพระเจ้า ในการที่จะเปิดปากของเรากล่าวข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าความเชื่อเกิดจากการได้ยินได้ฟัง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า มนุษย์จึงเกิดความเชื่อ บางคนอาจจะได้รู้จักแค่นามพระเยซูคริสต์ ก็เปิดใจ บางคนก็ได้รู้ถึงเรื่องราว บางคนฟังเรื่องราวก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันอยากได้พระเจ้า เหมือนน้องหญิง หญิงไม่รู้เรื่องหรอก แค่รู้สึกว่าฉันอยากได้พระเจ้า ฉันต้องการพระเจ้า แล้วก็มีน้าพิกุลไปเปิดปาก “หญิงมาโบสถ์สิ” ซึ่งจริงๆ นี่เป็นข่าวประเสริฐไหม?

            “หญิงมาโบสถ์สิ หญิงจะได้อธิษฐานกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าสิ”

            อย่างนี้เรียกข่าวประเสริฐไหมค่ะ? อย่างนี้ไม่ใช่ข่าวประเสริฐนะคะ แค่นำเรื่องของพระเยซูไปบอก แต่หญิงไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย แล้วหญิงก็เปิดใจ เพราะต้องการผู้ใดผู้หนึ่งอยู่แล้ว ในการที่จะอยากได้รับการช่วยเหลือ

            อย่างนี้คือสิทธิอำนาจของเราพูดเปิดปาก ถ้าน้าพิกุลไม่ไปพูด หญิงจะมาถึงพระเจ้าได้ไหม?  พระเจ้าอาจจะใช้คนอื่นไปนำน้องหญิงมา ก็พลาดโอกาสที่พระเจ้าให้เกียรติเราในการไปพาผู้คนมาในแผ่นดินของพระเจ้าและได้รับความรดจากพระเจ้า

            หลังจากนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ  ความเชื่อในพระเจ้ามา หลายสิ่งหลายอย่าง เราอาจจะยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่มันมีความเชื่อ ความเชื่อแบบเด็กๆ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าใครก็ตามที่มีความเชื่อแบบเด็กๆ เขาก็จะได้รับความรอด เราไม่ต้องเข้าใจหรอก ส่วนใหญ่ผู้ชายเขาจะต้องมีเหตุและมีผล เขาจึงเกิดความเชื่อ ถ้าไม่มีเหตุและไม่มีผล เขาก็ไม่เกิดความเชื่อ  และการมีความเชื่ออยู่บนเหตุและผลก็อาจจะล้มลงได้เหมือนกัน ถ้าความเชื่อเราไม่อยู่ในหลักของข่าวประเสริฐที่แท้จริง เวลาที่เราผิดหวังอะไรปุ๊บ เราก็ปฏิเสธพระเจ้า แล้วก็ไม่เอาพระเจ้า จิตใจเราก็ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วการเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ก็จะไม่ยั่งยืนและสูญสลายไป แล้วความเชื่อที่แท้จริง ต้องวางอยู่บนพื้นฐานอะไร  แค่ต้องการพระเจ้า  รู้และเข้าใจ ที่เหลือพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้กับเราเอง แล้วผลอะไรตามมา ผลพระวิญญาณทั้ง 9 ของพระเจ้า ก็คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตัวเอง และสิ่งที่ใหญ่ที่สุด ที่บรรจุลงไปอยู่ในใจเรา ก็คือความรัก  เราจะสามารถสังเกตได้ไหม?

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ภายใน ที่เป็นพยานให้กับเราเองว่าแท้ที่จริงแล้ว อยู่ๆ เราก็เกิดความรัก รู้จักรัก รักเป็น ซึ่งแต่ก่อนนี้ เรารักไม่เป็น  เรารักด้วยวิธีการของเรา แต่เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าปุ๊บ เรากลับถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นความรักชนิดเดียวกับพระเจ้า เราสามารถอดทนได้ เราสามารถทนนานด้วยนะ  แต่ก่อนนี้เราทนไม่นาน ทนไม่ได้ สุดท้ายก็มาถึงการแตกหัก หย่าร้าง เลิกรา ไม่อยู่ด้วยกันแล้ว แล้วก็จบความรู้สึกผูกพันกันไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความรักแบบมนุษย์ แต่ว่าในเมื่อมีความรักของพระเจ้าบรรจุอยู่ภายในเรา เราก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น นั่นก็คือผลที่เราได้ไปหมดแล้ว  แล้วทำไมมันไม่เกิดอย่างต่อเนื่อง ทำไมเดี๋ยวก็ผุดๆ โผล่ๆ  เดี๋ยวก็ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็ทนได้ เดี๋ยวก็ควบคุมได้ เดี๋ยวก็ควบคุมไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้สึกได้ เดี๋ยวก็รู้สึกไม่ได้  เดี๋ยวก็เป็นได้ เดี๋ยวก็เป็นไม่ได้  เดี๋ยวก็รับได้ เดี๋ยวก็รับไม่ได้ เดี๋ยวก็รู้สึกตัดสินพิพากษา แล้วก็ต่อว่ากัน หรือคิดในใจ ในเรื่องที่ไม่ดีต่อกันและกัน ทำไมมันยังผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาล่ะ

            แท้ที่จริง สิ่งทั้งปวงเราได้รับมาแล้ว แต่เราทุกคนไม่ยอมรับรู้ว่าเรามี เราไม่ยอมรับรู้ว่าเราเป็น เราไม่เชื่อว่าเราเป็นสิ่งนั้นไปแล้ว จึงเกิดการอธิษฐานแบบที่เปาโลได้อธิษฐานเผื่อเมืองเอเฟซัส  ในหนังสือเอเฟซัส 1:17-23 …

        เอเฟซัส 1:17-23 “17 “ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์” 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่ามรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19 และรู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพ อันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน”

            เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราเต็มบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์อย่างเต็มเปี่ยม อัดแน่นอยู่ในเรา สิ่งเหล่านี้ที่เปาโลอธิษฐานในหนังสือเอเฟซัส  ได้อยู่ในตัวเราเต็มบริบูรณ์  แต่ทำไมเราจึงไม่ไปถึงตรงนั้น ไม่ไปถึงผลแห่งความรอดของเรา  เราทั้งหลายถูกเปลี่ยนแปลงธรรมชาติใหม่แล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ในพระเจ้าแล้ว  ทำไมเรายังเป็นได้บ้าง เป็นไม่ได้บ้าง ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง  วันไหนเต็มล้น ก็สามารถที่จะขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ วันไหนไม่เต็มล้น เราก็ไม่สามารถขับเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            ทำไมเปาโลจึงห่วงและเกิดความกังวล จนกระทั่ง อธิษฐานกับพระเจ้าแบบนั้น  ทำไมเราจึงไปไม่ถึงผลของความรอดของเรา เรานึกถึงเวลาฟ้าผ่า อะไรมาก่อน อะไรมาหลัง แสงมาก่อนเสียง จริงๆ มาพร้อมกันไหม? เวลาฟ้าผ่ามาพร้อมกันไหม?  แต่เวลามันเดินทางมาสู่โลกแสงมาก่อนใช่ไหม? เสียงค่อยมาทีหลัง  เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ของโลกนี้  หรือสถานการณ์ที่เรายังไม่สามารถที่จะเชื่อมตัวเอง ให้ยอมจำนนเป็นอันเดียวกัน  ยอมรับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ให้ได้จริงๆ มันจึงไม่สามารถทำให้เราเชื่อมกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง มันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า ในพระคัมภีร์ได้บอกว่าร่างกายนี้ได้ถูกชำระล้าง ความคิดจิตใจได้ถูกเปลี่ยนใหม่ วิญญาณได้ถูกเปลี่ยนใหม่  แสดงว่าทั้งหมดนั้น สะอาด บริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้า ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าประทับลงมาในเราได้ ผลของสิ่งต่างๆ ที่เอ่ยมานั้น ได้ถูกบรรจุเต็มแน่นอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            เพราะว่าเราอยู่ในโลกใบนี้ มารมันยังวนเวียนอยู่รอบ ถามว่ามารมีอิทธิพลไหม? ไม่มีอิทธิพลแล้ว เพราะว่าพระวจนะบอกว่าพระองค์ทรงเหยียบมันไว้ที่ใต้เท้าของพระองค์ และทำให้หัวของมันแหลกเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอำนาจเหนือชีวิตของเราแล้ว พระคัมภีร์บอกว่ามันวนเวียนอยู่รอบๆ เรา เพื่อหาช่องทางที่จะกัดกินเรา  เมื่อไรก็ตามที่เราไม่เปลี่ยนความคิดจิตใจเสียใหม่ ตรงกลางสีเหลือง คือความคิดจิตใจของเรา พระเจ้าสร้างเรามา พระเจ้าไม่ได้สร้างให้เราเป็นหุ่นยนต์ พระเจ้าไม่ได้อยู่ๆ เข้ามาอยู่ในเรา แล้วควบคุมเรา แล้วก็บีบบังคับให้เราคล้อยตาม  เป็นไปตามพระองค์  ความคิดจิตใจยังเป็นของเรา วิญญาณรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า อันนี้ไม่มีใครแย่งชิงเราไปจากพระเจ้าได้

            ตามหนังสือยอห์น 10:28 บอกว่า “ไม่มีใครแย่งชิงแกะของพระองค์ได้”

            ไม่มี เรารอดแล้ว รอดเลย  เรารอด โดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ใช่ตัวของเรากระทำเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ แต่ทำไม? เพราะว่าเราเปิดโอกาสให้ระบบและข้อมูลของโลกนี้  มาควบคุมความคิดของเรา มากกว่าว่าความจริงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ และเมื่อใดก็ตามที่เรามีพฤติกรรมของโลกนี้  การกระทำของโลกนี้มาควบคุมความคิดจิตใจของเรา พฤติกรรมของเราก็ส่อออกไป ในวิถีนั้น เมื่อใดก็ตามที่เราเปิดช่องโหว่ เปิดให้ความกลัวเข้ามาในหัวใจ มารมันส่งข้อมูลแห่งการหลอกลวงมาให้เราประพฤติตามมันได้ไหม? ยังได้อยู่

            ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในโลกใบนี้ เราเหยียบโลกใบนี้แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงของเรา คือไปอยู่ที่สวรรค์ เราได้อยู่ที่สวรรค์ แน่นอน คือตรงนี้ไม่ต้องเล็งเอง ถ้าเรานึกถึงการเล็งธนูของนายพราน  ไม่ได้เล็งเอง มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราเล็ง ฉะนั้น ยิงตรงเป้าแน่นอน  เมื่อเวลาที่เราเล็งไป ในพระคัมภีร์บอกว่าไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยแรง  แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะเล็งอย่างไร? ถูกเป้าแน่นอน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่จะดูแลเราในการที่จะให้เป้านั้น ไปถึงจุดหมาย

            จำสิ่งที่เคยแบ่งปันไปได้ไหม เรื่องพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงทำกับอับราฮัม กับอิสอัค กับยาโคบ แต่พันธสัญญาใหม่ พระองค์ทรงทำกับพระเยซูคริสต์ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยาน กลายเป็นว่าพระเจ้าทำสัญญากับพระเจ้า  โดยมีพระเจ้าเป็นพยาน ฉะนั้น ฉบับนี้ไม่มีทางล้มเหลว สัญญาแห่งความรอดนี้ไม่ล้มเหลว เพราะว่าพระเจ้าทำกับพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เซ็นต์เป็นพยาน ฉะนั้น สัญญาฉบับนี้ จึงสมบูรณ์และไม่ล้มเหลว

            ดังนั้น ไม่ว่าพฤติกรรม การกระทำของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความรอดของท่าน ถูกการันตี แล้วทำไมอาจารย์เปาโลจึงพูดถึงผลของความรอดอีก  ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ เราสมควรที่จะดำเนินชีวิตแบบคนในโลกนี้ไหม? เราถามตัวเอง เราสมควรมีพฤติกรรมแบบเดียวกันกับคนในโลกนี้ไหม? เรามีพฤติกรรมแบบคนในโลกนี้ได้  แต่พระวจนะของพระเจ้าก็บอกว่าคนทั้งหลาย ก็จะหมิ่นพระนามของพระเจ้า เพราะการกระทำของท่าน เราอย่าบอกว่าเราทำตัวเป็นคนดี เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเข้าใจผิด เพราะว่าท่านไม่จำเป็นต้องถวายเกียรติพระเจ้า พระเจ้าทรงมีเกียรติอยู่แล้ว คุณไม่ต้องทำอะไร? พระองค์ก็มีเกียรติของพระองค์อยู่แล้ว และไม่มีใครสามารถล้มล้างเกียรติของพระเจ้าได้  แต่ชื่อคุณก็เน่าเอง การกระทำของคุณ ถ้าไม่สอดคล้อง ไปกับพฤติกรรมเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนชื่อเสียงเน่าก็คือเรา ใช่ไหม? แต่มันน่าเจ็บใจตรงไหนรู้หรือเปล่า?  เขาลามไปถึงพระเจ้าเราด้วย

            เวลาเราไปประกาศข่าวประเสริฐ เป็นอย่างไร? ยากไหม? ยาก ตัวเราเองจะขัดเอง ฉันยังเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วพูดถึงเรื่องพระเจ้า เราจะรู้สึกขัดเอง แต่เขาจะรอดไหม? รอด ถ้าพระเจ้าจะให้เขารอด คุณจะพฤติกรรมอย่างไรก็ตาม เขาก็รอด

            ฉะนั้น การที่คนหนึ่งคนใดจะรอดไม่ได้อยู่ที่คุณเป็นคนดี  ไม่ได้อยู่ที่คุณกระทำดี ให้คนอื่นเห็น คนจึงรอด แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าข่าวประเสริฐของพระองค์เป็นฤทธิ์เดชที่นำพาคนให้รอด นั่นหมายความว่ามันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราไหม? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเลย  ไม่ว่ากรณีใดๆ แต่เราสมควรจะมีพฤติกรรมแบบคนในโลกนี้ไหม?  คนในสังคมในโลกนี้ แตกก๊กแตกเหล่ากัน แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน อยู่ฝ่ายนั้น อยู่ฝ่ายนี้ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพระเจ้าเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้  พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองประเทศนี้  เราควรจะมีฝักมีฝ่ายเหมือนคนชาวโลกไหม? เหมือนคนอื่นไหม? เราควรจะมีฝักมีฝ่ายไหม?  เรามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองโลกนี้อยู่ และเป็นผู้ดูแลการเป็นไปของประเทศนี้อยู่ ท่านอยากอย่างไร? ท่านก็อธิษฐาน ไม่ต้องไปแบ่งพรรค แบ่งพวกกับคนอื่น

            พระคัมภีร์บอกว่าการงานของเนื้อหนัง คือการแตกแยก คือการแบ่งพรรคแบ่งพวก คือการเป็นพวกนั้นพวกนี้ ซึ่งเราทั้งหลายมีพวกเดียว คือพวกพระเยซูคริสต์ ถ้าเปรียบพระเจ้าเป็นกาแฟทรีอินวัน เราเป็นแก้วน้ำ เป็นร่างกาย เป็นกระบอก ถ้าเราเอาน้ำเย็นชง เข้าไหม? ไม่เข้า แถมยังลอยเป็นก้อนๆ ไม่เข้ากัน  แต่ถ้าเราใช้วิธีที่เขากำหนดมา  คือเราเอาน้ำร้อนมา แล้วก็ชง มันก็เข้ากันได้ แต่ทุกวันนี้ เราใช้วิธีของเราเอง  เราใช้ความคิดของเราเอง

            แต่ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าให้เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ตอนนี้พูดกันหลายรอบมาก ก็คือในโรม 12:1-2 อ้าว! เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังต้องถวายตัวเหรอ ทำไมเปาโลบอกว่า …

            “ให้ท่านถวายตัวเป็นเครื่องบูชาอันมีชีวิตแด่พระเจ้า แล้วเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของท่านเสียใหม่ อุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่”

            เปลี่ยนแบบไหน? เปลี่ยนไปตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ขับเคลื่อนภายในเรา พยายามเปิดช่องให้เรารับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในเรา กำลังขับเคลื่อนเราอย่างไร? ในพระเยซูคริสต์เราคิดดูดีๆ นะ ในสมัยพระเยซูคริสต์พระเยซูคริสต์รู้จักพระบิดาอยู่แล้ว ชัดเจน พระองค์รู้จักสวรรค์ชัดเจน พระองค์ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ก็ได้ พระองค์ไม่ต้องรู้เรื่องในสิ่งที่พระองค์พูด พระองค์พูดโดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์กระทำ โดยที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำพาพระองค์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระองค์กระทำ หรือพูดโดยที่พระบิดาไม่อนุญาตให้ทำให้พูด ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีคนร้อยคน พันคนมาอยู่ต่อหน้าพระองค์ พระองค์รักษาแค่ 2-3 คน ไม่ได้รักษาหมดทุกคน พระองค์ทำตามที่พระวิญญาณหรือพระเจ้าทรงบอกพระองค์

            วิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราใหม่ คือรับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา แล้วขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าคนที่รู้จักพระคัมภีร์ดีแล้ว ดียอดเยี่ยมแล้ว อันนี้สำหรับคนที่ทั้งรู้จักพระคัมภีร์ และไม่รู้จักพระคัมภีร์นะ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ สำหรับคนที่รู้จักพระคัมภีร์แล้ว ให้เอาเหล้าองุ่นเก่าวางไว้ เราเป็นเหล้าองุ่นใหม่ เหล้าองุ่นใหม่ก็ใส่ในถุงหนังใหม่ พระคัมภีร์ถูกแบ่งไว้เป็น 2 ตอน เรามักจะเอาพระคัมภีร์เดิม มาเป็นข้อประพฤติในชีวิตใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ขัดกันไหม? ขัดกันแน่นอน นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้ท่านยังขัดกันอยู่ ทั้งๆ ที่ท่านเชื่อในพระเจ้า และท่านก็อ่านพระคัมภีร์เก่งมาก  รู้พระคัมภีร์เก่งมาก  รู้เยอะก็ดีนะ แต่รู้เยอะให้รู้จริง

            ถ้าเราเอาบัญญัติหรือสิ่งที่ถูกกำหนด กฎเกณฑ์ หรือพิธีกรรม หรือพิธีการต่างๆ ในพระคัมภีร์เดิม มาใช้ในชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ขัดกันแน่นอน ชีวิตใหม่ต้องดำเนินชีวิตแบบใหม่  ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา พระคัมภีร์เดิมสำคัญไหม? สำคัญ ทำไมจึงสำคัญ เพราะว่าพระคัมภีร์เดิม บอกให้เรารู้ถึงความรัก ความอดทนของพระเจ้า เรายังใช้พระคัมภีร์เดิมได้ เพราะว่าพระคัมภีร์เดิม ทำให้เรามองเห็นบุคลิกภาพของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงรักเรามากขนาดไหน? อดทนขนาดไหน? วางแผนขนาดไหน? จัดเตรียมขนาดไหน? ทรงมีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถทำอะไรได้บ้าง?  เราสามารถรับรู้สิ่งทั้งปวงต่างๆ เหล่านั้น จากพระคัมภีร์เดิม  แต่อย่าเอาข้อบัญญัติหรือข้อบังคับ มาใช้ในชีวิตใหม่ของเรา อย่าเอาวิธีการในพลับพลา มา ซึ่งวิธีการในพลับพลาสำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว วันเทศกาลต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น  เล็งถึงพระเยซูคริสต์ และเทศกาลเหล่านั้น สำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราต้องรู้ว่าจุดยืน ณ ตอนนี้ของเรา คือจุดไหน?  เรายังใช้หนังสือสุภาษิตได้ไหม? หนังสือสุภาษิตก็บอกถึงการมีสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านดี เราก็เอามาใช้ได้  เราสามารถเอาคำสรรเสริญมาใช้ได้  เรายังสามารถใช้ได้อยู่ แต่แยกแยะให้ถูกว่าเราควรจะใช้แบบไหน? ใช้อย่างไร?  ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ เพราะต้องเอามาอ้างอิงถึงสิ่งที่เราต้องแบ่งปัน

            แล้วก็สวมเสื้อตัวใหม่ สวมสภาพใหม่ เราต้องยอมที่จะสวมสภาพใหม่ ในพระวจนะของพระเจ้าในเอเฟซัส 4:24

        เอเฟซัส 4:24 TH1971 “และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง”

            พระองค์ได้บอกเรากระทำไหม? จงทำนั่น? จงทำดี? ไม่ได้บอก พระองค์บอกว่าสวม สวมสิ่งที่เคยพูดมาแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พระองค์ให้เรามาทั้งหมด คือความรอด ความเชื่อ ความรัก ความบริสุทธิ์ ความเต็มขนาดของพระวิญญาณที่อยู่ในเรา ฤทธิ์อำนาจที่พระเจ้าให้เรา สง่าราศี ทุกอย่างนั้น  ให้เราสวมสิ่งนั้น ให้รับรู้ว่าตัวเอง เป็นสิ่งนั้น  รับรู้อย่างจริงจังว่าเราเป็นสิ่งนั้น ด้วยความรัก และความยำเกรงพระเจ้า รับรู้ความจริงนี้ เข้าไปในวิญญาณ ถ้าไม่รู้ว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราก็ไปเปิดยูทูปของโบสถ์ดู มีพูดไว้เยอะมาก ทุกอย่างเป็นของเราหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เราต้องทำ คือยอม ยอมแล้วเชื่อฟัง รับเอา

            ในสุภาษิต 3:6 ก็เอาพระคัมภีร์เดิมมาพูดเหมือนกันนะ สุภาษิต 3:6 …

        สุภาษิต 3:6 TH1971 “จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า  และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”

            ถ้าเราบอกว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว บุคลิกภาพที่เด็ดของพระเจ้า คือความรัก ถ้าเราตะคอกกัน มันใช่บุคลิกภาพไหม? แต่พอหลังจากที่เราทำเสร็จ เราจะต้องคิดว่านี่คือบุคลิกของพระเจ้าหรือบุคลิกของเรา  และถ้าเราจะคิดทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา นี่คือวิธีการคิดแบบพระเจ้า หรือเราคิดเอง

            “ฉันไม่ได้ ฉันไม่ยอม ฉันต้องอย่างนั้น อย่างนี้ มันต้องอย่างนั้นสิ มันต้องอย่างนี้สิ”

            หรือพระเจ้าบอกเราในเหตุการณ์อย่างนี้ ควรจะทำแบบไหนกันแน่ มันจะต้องแบบไหน? มันถึงจะถูก มันถึงจะเป็นไปด้วยกัน นี่คือการฝึกฝน ทำตัวเองให้เป็นไปด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันใช่ไหม? ไม่ใช่ ก็หยุดทำ  ถ้ามันใช่ เราก็ทำต่อไป  ถ้ามันไม่ใช่ เราผิดพลาดไปแล้ว ไม่เป็นไร? ล้มลง 7 ครั้ง เราลุกขึ้นมาใหม่ได้ 7 ครั้ง เราก็ต้องรู้จักอภัยให้ตัวเองด้วย

            ดิฉันมาแบ่งปันอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าดิฉันดีเลิศเลอ เพอร์เฟค 100% ไม่ใช่ ดิฉันก็ต้องมาอภัยให้ตัวเองเหมือนกัน แล้วก็มีการพลาดพลั้ง ฉะนั้น พวกท่านก็โปรดอภัยให้กับดิฉันด้วย  ถ้าดิฉันพลาดพลั้ง เพราะดิฉันก็จะตั้งหลักใหม่ทุกครั้ง  ถ้าดิฉันไม่ตั้งหลักใหม่ คุณก็เตือนดิฉันนิดหนึ่ง บอกว่า …

            “ตั้งหลักใหม่ๆๆ”

            ถ้ายังไม่ฟัง อยู่ในอารมณ์โกรธอยู่ ก็หันมาบอกว่า “ช่วยตั้งหลักใหม่” อะไรประมาณนี้ บอกกันและกัน แล้วก็มีป้ายแขวนคอว่า “ขออภัยยังสร้างไม่เสร็จ” เราจะเสร็จต่อเมื่อเราหลุดออกจากร่างนี้

            ฉะนั้น การฝึกฝนของเรา อาจารย์นครบอกว่าเราฝึกฝนไปจนกว่าตายนั่นแหละ เราก็อยากเหมือนนักโทษที่อยู่กับพระเยซู ที่พระเยซูพูด วันนี้ท่านจะอยู่กับเรา ที่เมืองบรมสุขเกษม ฉะนั้น ไม่ต้องฝึกฝน เพราะการฝึกฝนมันยากมากเลย มันต้องมีโอกาสให้อภัยกันและกัน

            ในพระคัมภีร์บอกว่าให้โอกาสกันและกัน ที่จะให้คนอื่นล้ม และผิดพลาด ให้เราเริ่มต้นใหม่  แค่มองผ่าน ล้มลง แล้วก็เริ่มต้นใหม่

            คิดดูสิว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร? เมื่อเราให้โอกาสคนอื่น เราก็จะเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นไปเรื่อยๆ  ชีวิตของเราก็จะมีสุขขึ้นเรื่อยๆ สังคมเราก็จะงดงามขึ้นเรื่อยๆ

            เวลาที่เห็นคลิป ขนาดคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มีคนหยุดรถ แล้วให้สุนัขเดินผ่าน เราดู แล้วเรายังมีความสุขเลย ถ้าพี่น้องคริสเตียนของเราเป็นอย่างนี้ พระคัมภีร์บอกว่าจงหนุนใจซึ่งกันและกัน เมื่อผู้ใดล้มลง ให้ช่วยพยุงกันขึ้น  เพราะว่าไม่แน่ วันใดวันหนึ่งท่านอาจจะล้มลงแบบเดียวกันก็ได้ มีวิธีแบบเดียวกันที่คุณอาจจะล้มลง ก็ได้ ถ้าหากคุณพยุงกันขึ้น คิดดูว่าสังคมคริสเตียนจะน่าอยู่ขนาดไหน?

            ที่พูดมาทั้งหมดนี้ คือข้อ 12 ฉะนั้น เราก็จะมาจบลงที่ฟีลิปปี 2:13 ทั้งหมดที่พูดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ผลอะไรก็ตาม ไม่ได้ให้ตะเกียกตะกายทำ ทั้งหมดอยู่แค่เรื่องเดียว คือ “ยอม” ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทำงานในชีวิตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อพระองค์เข้ามาในชีวิตของเรา  พระองค์ไม่ได้เข้ามาควบคุมเรา เหมือนกับมาร สมัยก่อนนี้ เรายังไม่เชื่อพระเจ้า มันควบคุมวิถีชีวิตของเราเลย ดึงเราๆ ให้พฤติกรรมที่ตกต่ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดการทำลายกันและกัน และเกิดความพินาศกัน แตกแยกกัน

            แต่ว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา ถ้าเราไม่ทำ พระองค์จะชี้นำ จะเตือน จะดึง จะคอยกระซิบบอก จนสุดท้าย เราไม่ฟัง พระองค์ก็จะเงียบ ท่านก็จะไม่ได้ยินเสียงของพระองค์อีกต่อไป แต่ท่านจะได้ยินเสียงของตัวเอง ท่านก็จะกลายเป็นมนุษย์ ที่ดำเนินชีวิตในโลกนี้ โดยที่มีความรอดแหละ คุณเชื่อพระเจ้าแล้ว คุณมีความรอดแล้ว คุณไม่ถูกพิพากษาแล้ว แต่คุณจะดำเนินชีวิตคริสเตียนแบบดิบๆ ไม่ใช่คริสเตียนที่สุกแล้ว  เป็นผลที่กินไม่ได้ของโลกใบนี้  เพราะอย่างไรพระเจ้าก็รับท่านเรียบร้อยแล้ว  แต่ท่านจะเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่เป็นมนุษย์ดิบๆ

            ฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเลย ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ท่านสบายมาก คนอื่นเขาจะต้องใช้วิธีถือศีล กินเจ ต้องบีบบังคับตัวเอง ต้องใช้ไม้เรียวตีลูกตัวเอง ต้องทำทุกวิถีทาง ในการที่จะให้ลูกประพฤติดี  หรือให้ตัวเองประพฤติดี บางคนต้องเอาไม้ตีเนื้อหนังตัวเอง เข้าสู่การควบคุมเนื้อหนังตัวเอง ท่านไม่ต้อง เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน ผู้ที่อ่อนสุภาพ และใจนบน้อม เป็นผู้นำพาชีวิตของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงรักท่านมาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ …

        ฟิลิปปี 2:13 “(ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง และสร้างพลัง และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ   อีกทั้งเกิดการกระทำดี   ตามพระประสงค์ของพระองค์   เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            เหมือนที่เราได้อ่านพระวจนะของพระองค์ บอกว่าเมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจเสียใหม่  อุปนิสัยของเราเปลี่ยนใหม่ เราจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย  และอะไรดียอดเยี่ยม  เราก็จะดำเนินชีวิตไปในวิถีทางเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ หายเหนื่อยและเป็นสุข  พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูชี้ให้มนุษย์ เห็นความจริงในโลกวิญญาณว่า …

            “ถามใจเธอดูสิ แล้วเธอจะรู้ว่าเธอเป็นคนบาป”

            มัทธิว 5:5 …  “พระเยซูประกาศว่าความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่ถ่อมสุภาพ เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก”

            ผู้ที่ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่มีกำลังที่จะทำตามกฎบัญญัติ ศีลธรรม ทำดีละชั่ว ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าได้เขียนใส่ไว้ในจิตใต้สำนึกในใจได้

            ไม่เย่อหยิ่งทนงตน ปฏิเสธความจริง แต่ยอมรับความจริงว่าทำไม่ได้ ถ่อมใจต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูบอกว่าสวรรค์เป็นของคนที่มีท่าทีในใจเช่นนี้

            เมื่อพระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ คนเหล่านี้จะเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า และรอดจากความพินาศ จากโทษของความบาป จากการพิพากษาหลังความตาย และได้รับร่างกายสวรรค์ ที่เป็นอมตะ

            สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนร่างกายของพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และได้รับมรดกครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แทนโลกเดิมที่ถูกสาปแช่ง เน่าเฟะ ชั่วร้าย วิปริตในปัจจุบันนี้

            และในโลกใหม่นั้น จะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีการสูญเสีย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความตายอีกต่อไป มีแต่ความสุขอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

            พระเยซูบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านเพียงแค่ถ่อมใจยอมรับเท่านั้นเองว่า…!

            “ฉันเป็นคนป่วยในวิญญาณที่ต้องการหมอ”

            พระเจ้าอวยพรครับ