วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1413

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2023

เรื่อง “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันสงกรานต์อีกครั้งหนึ่ง สวัสดีครับพี่น้อง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันสงกรานต์ เพราะวันสงกรานต์เป็นวันแห่งครอบครัวด้วย  และทำไมถึงขอบคุณพระเจ้าวันแห่งครอบครัว เพราะ พระองค์ให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับสถานะ หรือสถาบันที่เรียกว่าครอบครัวอย่างมากเลย  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดครอบครัวนั่นเอง พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพ่อ ผู้เป็นต้นแบบของพ่อทั้งปวง

            “พ่อ” นี่หมายถึงใคร? พ่อ ก็หมายถึงหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง  เพราะฉะนั้น วันนี้ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องว่า “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า” พระเจ้ามีครอบครัวนะ  พระเจ้าเป็นครอบครัว พูดคำนี้ ยิ้มอยู่ในใจเลยนะว่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราเลย ไม่ได้แปลกกว่าที่เราคิดว่าพระเจ้าเข้าใจยากเหลือเกิน พระเจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง เรียกว่าครอบครัวพระเจ้า เรียกว่าครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

            หัวข้อในวันนี้ ที่ผมใช้ชื่อว่า “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า” ก็แสดงว่ามันมีการแตกแยกเกิดขึ้นนะสิก่อนหน้านั้น

            ครอบครัวพระเจ้า ประกอบด้วยอะไร? ท่านลองนึกภาพ ที่เรารู้ๆ อยู่ แน่ๆ ครอบครัวของพระเจ้า ก็มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นอยู่ ทรงอยู่ตั้งแต่โน้น ก่อนกาลเวลา  เรารู้แค่นี้เอง  แต่รู้ต่อมา เมื่อพระเจ้าสำแดงให้เราเห็นว่ามีอีกบุคคลหนึ่ง มีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาเป็นครอบครัวของพระองค์ นั่นก็คือมนุษย์ มนุษย์ เป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า พระเจ้าถือเราเป็นครอบครัวของพระองค์

            เพราะฉะนั้น ครอบครัวของพระเจ้าประกอบไปด้วย พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า มนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า แต่มนุษย์เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับพระเจ้า  อยู่ในสถานะที่พระเจ้าให้เป็นลูก อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเราไม่ใช่เป็นพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ก่อนเวลา เราถูกสร้างขึ้นมา  แต่พระเจ้าทรงเป็นอยู่ ไม่มีใครสร้างพระองค์ อันนี้ต่างกันนะ

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่ากลับคืนดีกับครอบครัวพระเจ้า  กลับคืนดีกับพระเจ้า แสดงว่าก่อนหน้านั้น มีการแตกแยกกัน ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ครอบครัวแตกแยกนั่นเอง มีการเข้าใจกันผิด

            ความจริงไม่ใช่เข้าใจกันผิดหรอก  มันผิดข้างเดียว  พระเจ้าไม่ผิดอยู่แล้ว แต่สำหรับมนุษย์ เราบอกครอบครัวแตกแยก เราพูดตามภาษามนุษย์ เข้าใจว่าเข้าใจกันผิดระหว่างพ่อ แม่ ลูก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาปไง ไม่บริสุทธิ์ดีพร้อมสักคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น พอเกิดครอบครัวแตกแยกขึ้นมา ไม่เข้าใจกัน เขาเรียกว่าไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน มันผิดทั้งคู่ แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม เมื่อเกิดความแตกแยก ความผิดจึงอยู่ที่ใคร? มนุษย์เพียงผู้เดียว มนุษย์เท่านั้นที่แตกแยก มนุษย์ทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ครอบครัวของพระเจ้า ที่มีมนุษย์อยู่ แตกแยก อยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าเลยวางแผนให้ทำอะไรบางอย่างให้กลับคืนดีกัน ให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่าไปนึกถึงแค่เฉพาะความสัมพันธ์ว่ากลับคืนดีกันนะ  ไม่เข้าใจกันนะ ไม่ใช่แค่นั้น แต่คำว่า “อยู่ด้วยกันไม่ได้” ตรงกันข้ามกับกลับคืนดีนั้น หมายถึงสภาพ สภาวะความเป็นจริงของตัวตนแท้ๆ ด้วย มันเปลี่ยนสภาพไปเลย คือตายไปเลย

            ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นๆ ชัดๆ ก็คือน้ำกับน้ำมัน มันเข้ากันไม่ได้ น้ำกับน้ำมัน ไม่ใช่คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่  แต่น้ำกับน้ำมัน มีสภาวะคนละอย่างกัน เข้ากันไม่ได้  น้ำก็เข้ากับน้ำ น้ำมันก็เข้ากับน้ำมัน น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้  พระเจ้ากับมนุษย์เกิดความแตกแยก เข้ากันไม่ได้ เพราะมนุษย์บาปแล้วคราวนี้  เกิดอะไรขึ้น  เพราะอะไร มนุษย์ถึงทำผิดถึงขนาดนั้น ก็เพราะในพระคัมภีร์บันทึกไว้  เพราะ ถูกมือที่ 3 ถูกมิจฉาชีพ ถูกคนชั่ว คนพาล เข้ามาหลอกล่อ หลอกลวงให้ลูกกบฏต่อพ่อ  ไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อสั่งแล้วว่าอย่าทำนะ ไปฟังคนนอกบ้าน ไปฟังมิจฉาชีพมาหลอกล่อหลอกลวง แล้วมิจฉาชีพทางวิญญาณนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ ก็คือมารมาล่อลวง

            คำว่า “ล่อลวง” แปลว่าพูดไม่จริง โกหก การชักจูงให้ทำอะไรบางอย่าง ถูกวางแผนให้เชื่อฟัง โดยคนๆ นั้น ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกล่อลวง นึกว่าเป็นสิ่งที่ดีนั่นเอง

            ยกตัวอย่าง เหมือนมิจฉาชีพทุกวันนี้ โทรศัพท์มาล่อลวงเรา บอกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ล่อลวงอะไรต่างๆ ให้เราหลงเชื่อ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทำตามนั่นเอง ลักษณะเดียวกัน

            ในปฐมกาล 2:17 ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เกิดความแตกแยกได้อย่างไร? ในครอบครัวของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสร้างมาอย่างดีแล้วนั่นเอง …

        ปฐมกาล 2:17 “เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้น อย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันแห่งความแตกแยกของครอบครัวพระเจ้า  เมื่อมนุษย์ถูกล่อลวง พระเจ้าสั่งมนุษย์ว่า …

            “ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วนั้น ผลของต้นไม้นั้น อย่ากิน เพราะวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่

            เคยคิดไหมว่าทำไมพระเจ้าต้องทำต้นไม้ต้นนี้มาด้วย ในเมื่อไม่ให้กิน  ก็อย่าทำขึ้นมาสิ  เราก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม? ผมคิดว่าเรื่องต้นไม้แห่งความสำนึกดี สำนึกชั่ว อะไรต่างๆ พระเจ้าพยายามที่จะเปรียบเทียบ ให้มนุษย์พอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต้นไม้นี้คืออะไร? ต้นไม้ ก็คือพระลักษณะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวงด้วยความรัก

            ความรัก คือการให้อิสระ เสรีภาพกับสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งที่มีชีวิต โดยเฉพาะลูกของเรา ผมดีใจนะที่พระเจ้าสร้างต้นไม้ต้นนี้ขึ้นมา รู้ทั้งรู้ว่าเราจะทำบาป อย่าสร้างขึ้นมาสิ ผมขอบคุณพระเจ้า ท่านจะขอบคุณพระเจ้าไหม?  พระเจ้าสร้างต้นไม้นี้ขึ้นมา

            “วันใดเจ้าขืนกิน” แปลว่าเจ้ามีอิสระในการที่จะเลือกกินหรือไม่กินก็ได้ แสดงว่าพระเจ้าดูแลเรา เป็นครอบครัวของพระองค์จริงๆ เป็นลูกจริงๆ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ พอจะนึกออกไหมครับ? ถ้าท่านจะมีลูกคนหนึ่ง แล้วหมอบอกว่าลูกคนนี้จะแข็งแรงมากเลย ถ้าใส่ชิปนี้เข้าไป ฝังชิปนี้เข้าไป คุณกดอะไร ต่อไปนี้เขาจะเชื่อฟังหมดเลย ต่อไปนี้คุณสบายแล้ว คุณไม่ต้องห่วงว่าเขาจะดื้อเลย เขาจะไม่มีทางดื้ออีกต่อไป เขาจะทดแทนพระคุณของคุณด้วย เมื่ออายุ 20 คุณกดชิปปุ๊บ เขาอุ้มคุณเข้าห้องน้ำได้เลยทันที เอาไหม? ตอบสิ ไม่เอา เพราะนั่นไม่ใช่ลูก นั่นมันหุ่นยนต์ มนุษย์ก็ยังรู้เลย ไม่เอา แต่อยากจะมี ทั้งๆ ที่รู้ว่าในอนาคตเขาจะดื้อแน่นอน ดื้อไหม? ดื้อแน่นอน ดื้อก็ยังรักใช่ไหม? และยังมั่นใจในตัวเองว่า …

            “ดื้ออย่างไร ฉันก็ยังรัก และความรักของฉัน ก็คือฉันสามารถที่จะรองรับความดื้อของเขาได้ ฉันจะช่วยเขา ฉันจะประคับประคองชีวิตของเขา” ถูกหรือไม่?

            ขอบคุณพระเจ้าที่มีต้นไม้ต้นนี้ ก็แสดงว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักอย่างแท้จริง ให้อิสระเสรีภาพกับบรรดาสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ใช่ให้มนุษย์อย่างเดียวนะ มนุษย์ให้อิสระเสรีภาพอย่างมากมาย เพราะยิ่งรักมาก ยิ่งให้อิสระมาก สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมด พระองค์ก็ทรงทำอย่างนี้ทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยการให้อิสรภาพทั้งสิ้น อย่างเช่น ทูตสวรรค์ พระองค์ก็ให้เสรีภาพกับเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ เขาจะดื้อ เขาจะกบฏก็ได้ และก็มีบางตนกบฏจริงๆ เช่น ลูซีเฟอร์และสมุนของมัน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด ก็กบฏ เห็นไหม? อ้าว! พระเจ้ารู้ก่อนไหมว่าเขาจะกบฏ? รู้ แล้วทำไมอนุญาตให้เขากบฏ ก็เพราะพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งด้วยความรักทั้งสิ้น เห็นอะไรบางอย่างไหม? แม้แต่สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ พระองค์ยังทรงสร้างด้วยความรักของพระองค์เลย เป็นความรักชนิดที่เป็นผู้สร้าง ให้ความรัก อย่างเช่น ต้นไม้ ใบหญ้า ดวงอาทิตย์ ดวงดาวต่างๆ เหล่านี้  พระองค์ทรงสร้างให้สิ่งเหล่านี้เชื่อฟัง

            พระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ก็เชื่อฟังพระเจ้า ดวงอาทิตย์เชื่อพระเจ้าอย่างไร? ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวันๆ ไม่หนีไปไหนเลย อย่างนี้เป็นต้น วันนี้เราจะได้เห็นความรักอันแท้จริงของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักที่เป็นพ่อ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่สร้างสรรพสิ่ง โดยให้อิสระเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง

            ในนี้เตือนมนุษย์บอกว่าอย่านะ อย่าทำอย่างนี้นะ  อย่างนี้มันไม่ดี ก็คือให้เชื่อฟัง …

            “อย่ากิน ถ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            และมนุษย์ก็ถูกล่อลวงตามที่เรารู้อยู่แล้ว มนุษย์ก็ตายทันที แต่ทำไมอยู่มาตั้งเกือบพันปี อาดัม เอวา คำว่า “ตายทันที” หมายถึงทางวิญญาณ กินปุ๊บ วิญญาณตายทันที

            “วันใดเจ้าไม่เชื่อ” ก็คือวันใดเจ้าไม่วางใจในเรา คำพูดของเรา พ่อของเจ้า ผู้ให้กำเนิดเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว

            “เธอเป็นลูกฉัน เธอสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว เชื่อฉันนะ เธอสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว”

            มารมันก็มาล่อลวง พูดโกหกว่า … “เธอยังไม่ดีพร้อม เธอยังดีได้กว่านี้อีก เธอดีเทียบพระเจ้าก็ยังได้เลย”

            ถูกความเย่อหยิ่ง ความจองหองของมารเอามาใส่ให้มนุษย์ มนุษย์ฝืนพ่อ ไม่เชื่อฟังพ่อ เพราะว่าตั้งใจจะทำชั่วใช่ไหม? ไม่ใช่ ถูกล่อลวง นึกว่าจะทำดีให้มากขึ้น จะเซอร์ไพร์สพ่อ ฉันจะทำดีให้ดีเยี่ยมเลย ก็พ่อบอกว่าดีเยี่ยมแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มแล้ว ไม่ได้ ฉันจะทำเพิ่ม ก็กลายเป็นฝืนกฎของพระเจ้า เพราะพ่อบอกแล้วว่า …

            “ขืนกิน เจ้าจะต้องตายและตาย”

            ก็คือมนุษย์ถูกสร้างด้วยร่างกายที่เป็นกายภาพและวิญญาณ ทั้งสองอย่างจะต้องตาย คือร่างกายสูญสิ้น หมดสภาพไปในวันหนึ่ง กลายเป็นดิน แล้ววิญญาณตาย คำว่าตาย ตรงนี้ หมายถึงวิญญาณตายจากชีวิตนิรันดร์ จากมีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า กลายเป็นตาย ตลอดไป ซึ่งมันเป็นกฎการทรงสร้างของพระเจ้าในสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎ เป็นระเบียบ พระเจ้าเป็นผู้ปกครอง สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความยุติธรรม ทุกอย่างต้องเชื่อฟังพระองค์ทั้งสิ้น  แต่พระองค์ทรงปกครองด้วยความรัก ความชอบธรรม ความยุติธรรม ความบริสุทธิ์

            ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะได้ผลตามกฎ ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ หรือพิโรธอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่มันเป็นกฎ อย่างเช่นลูซีเฟอร์กบฏต่อพระเจ้า  ก็จะต้องถูกขับออกจากสวรรค์ มันเป็นไปตามกฎ เพราะฉะนั้น ผลก็คือมนุษย์ทุกคนเกิดมาจากอาดัม จากบรรพบุรุษ สิ่งที่อาดัมถูกล่อลวง แล้วก็ขืนกิน ไม่เชื่อฟังที่พระเจ้าพูดไว้  จะมาทำดีด้วยตนเองนั้น ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์ใช้คำเดียวเท่านั้น คือคำว่า “บาป”

            ที่เรียกว่าบาป คือวิญญาณตายจากชีวิตของพระเจ้า ตายจากพระลักษณะของพระเจ้า ตายจากพระสิริของพระเจ้า นี่คือผลที่เกิดจากความบาป ที่บรรพบุรุษของมนุษย์ อาดัมเป็นผู้เริ่มต้น

            พระลักษณะของพระเจ้าเป็นความสว่าง ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ เป็นดีพร้อม เป็นความจริง เป็นความรัก ที่อยู่ในตัวมนุษย์ อยู่ในชีวิตนิรันดร์นี้ เมื่อมนุษย์ตายจากชีวิตของพระเจ้า มนุษย์ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะนี้ทั้งหมด เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าอีกต่อไป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงนี้หมายถึงอย่างนี้แหละ คำว่า “ศัตรูกับพระเจ้า” คือเข้ากันไม่ได้แล้ว เป็นน้ำมันแล้ว แต่ก่อนนี้เป็นน้ำกับน้ำ เข้ากันได้ แต่ตอนนี้เป็นน้ำกับน้ำมัน แต่ก่อนนี้เป็นความสว่างกับความสว่าง เข้ากันได้ ครอบครัวเดียวกัน แต่ตอนนี้ออกจากครอบครัวของความสว่าง ไปอยู่ครอบครัวของความมืด ไปเป็นความมืดแล้ว เข้ากันกับพระเจ้าไม่ได้  มนุษย์ทั้งมวล โดยตัวแทน คืออาดัม บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์

            อาดัม คือตัวแทน อาดัมตัดสินใจ  ที่จะมาพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่าบาป การตัดสินใจนั้น  ก็เท่ากับมวลมนุษยชาติได้ตัดสินใจที่จะพึ่งพาตนเอง ในการดำรงชีวิตด้วยตัวเอง เขาเรียกว่าพึ่งพาตนเอง นี่คือคำว่าบาปนั่นเอง บาป คือการพึ่งพาตนเอง เมื่อตัดสินใจพึ่งพาตนเองในการดำเนินชีวิต ซึ่งไม่ใช่พระประสงค์ ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่แผนการของพระเจ้า ที่ตั้งใจให้กำเนิดมนุษย์ในครอบครัว ให้พึ่งในพระองค์เท่านั้น  แต่อย่างที่บอกแล้ว พระองค์ให้เราอยู่ในครอบครัว โดยให้เรามีสิทธิเป็นลูก สามารถตัดสินใจ รักพระองค์ ก็ตัดสินใจรักด้วยใจจริง ไม่ใช่รัก เพราะเป็นโรบอท ถูกสั่งมา เชื่อฟัง ก็เชื่อฟังจากใจจริง ด้วยความรัก ไม่ใช่เชื่อฟัง เพราะถูกใส่โปรแกรมมา

            ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องออกจากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ก็คือครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง  เกิดความแตกแยกเกิดขึ้น  มาอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  อยู่ในความมืด อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าผู้อธรรม เมื่อมนุษย์เป็นคน เขาเรียกว่าคนอธรรม เมื่อไม่ใช่มนุษย์ เรียกว่าวิญญาณอธรรม ก็คือวิญญาณชั่ว มาอยู่ในอาณาจักรของความมืด เป็นคนอธรรม เป็นคนบาป เห็นหรือยัง? เป็นคนบาป สกปรก เป็นคนชั่ว เป็นคนโกหก หลอกลวง เป็นคนเกลียดชัง ขโมย ฆ่า และทำลาย ทั้งหมดนี้ อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าทั้งสิ้น  และตรงข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า เป็นลักษณะของใคร? ก่อนหน้านี้ ก็คือมารนั่นเอง

            มารและวิญญาณชั่ว ก็คือมีลักษณะชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราก็เข้าไปในนี้เหมือนกัน  ก็คืออยู่ในกลุ่มเป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ภายในวิญญาณที่ไม่มีชีวิต ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า  ไม่มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหมือนเดิม ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่ในบ้านนี้ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าได้อีกต่อไป เก็บข้าวเก็บของออกจากบ้าน จะไปมีชีวิตอยู่ด้วยตนเอง จึงต้องอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรของคนตาย พินาศ เอาทรัพย์สิ่งของจากในบ้านของพระเจ้า แล้วบอก …

            “พ่อ ลูกไปก่อน ลูกจะไปทำมาหากินด้วยตนเอง จะไปดูแลตนเอง จะให้พ่อเซอร์ไพร์ส”

            และอยู่อย่างนั้น ถึงเมื่อไร? ถึงกำหนดวันสูญสิ้นของร่างกาย คือวันตายของร่างกาย วิญญาณก็ยังอยู่ในความพินาศ ในความมืดนี้ อยู่ในแดนผู้ตายนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีใครมาช่วยเหลืออะไรเลย มนุษย์ก็จะอยู่ในอาณาจักรความมืดอย่างนั้นตลอดไป เมื่อสูญสิ้นทุกอย่าง ตามที่พระเยซูได้ยกตัวอย่างลูกหนีออกจากบ้านไป ใช้หมดเลย ทุกอย่างเลย สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ให้ไว้ แล้วก็ขอออกมาจากบ้านปุ๊บ เอาไปใช้จนหมด จนไม่เหลืออะไร จนเหี่ยวแห้ง หัวโต กลับไปสู่ความพินาศ

            พระเจ้าให้กำเนิดโลกและมนุษย์ บ้านของมนุษย์ คือโลกใบนี้ ที่เป็นสวรรค์ของพระเจ้า  และมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงรักอย่างมากมาย พระคัมภีร์บอกรักดั่งแก้วตาดวงใจ ห่วงใยมนุษย์มากเลย มนุษย์หลุดออกไปแล้ว ก็ตามหา หาทางช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น โดยการวางแผน ส่งหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า คือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร พระเยซูคริสต์ มาช่วยเหลือมนุษย์ ในสถานะของมนุษย์ที่อยู่ในความบาป อยู่ในความมืด พูดง่ายๆ พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าเตรียมไว้ ส่งลงมาในอาณาจักรของความมืดนี้ เพื่อช่วยเหลือ จะเรียกว่าพี่น้องก็ได้ พี่น้องมนุษย์ในครอบครัวของพระเจ้า ให้กลับคืนสู่บ้าน กลับคืนดีกับพระเจ้านั่นเอง

            พอมาถึง พระเยซูประกาศอะไร?  คำแรก พระเยซูประกาศอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาเจ้ากำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วทำไม? เชิญบรรดาผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข  นี่แหละ เพราะมนุษย์ทั้งปวง รู้ว่าตัวเองบาป และพยายามจะกระทำดี และพึ่งพาตนเอง แล้วกระทำไม่ได้ แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าเรากำลังมาช่วย

            “เชิญบรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในชีวิต จงมาหาเรา ผ่านทางเรา เจ้าจะได้กลับคืนสู่สวรรค์นี้ ผ่านทางพระองค์ ผู้เดียวเท่านั้น จงกลับมาสู่พระเจ้าเถิด น้องๆ เอ๋ย”

            นี่จริงๆ มันมีอยู่แค่นี้เอง เห็นครอบครัวแตกแยกไหม? แล้วเห็นพระเจ้าเป็นพ่อไหม? ส่งพี่ชายคนโต คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระบุตรมาช่วยเหลือน้องๆ

            พอพระเยซูคริสต์มาถึงปุ๊บ ก็บอกว่า … “น้อง (น้องคือมวลมนุษยชาติทั้งปวง) น้องเอ๋ย กลับบ้านเราเถิด พ่อรออยู่ แค่นี้เอง”

            วันสงกรานต์ นึกถึงครอบครัว เมื่อนำถ้อยคำพระเจ้ามาวิเคราะห์ มาบรรยายต้องพูดอย่างนี้ พูดอย่างง่ายๆ แค่นี้เอง พระเยซูมาบอก …

            “กลับบ้านเถอะ พ่ออภัยให้หมดแล้ว พ่อรออยู่นะ กลับบ้านเราเถอะ”

            สรุปคำประกาศของพระเยซูที่เชื้อเชิญมนุษย์ทั้งปวง แบบเป็นทางการ คือบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นบทสรุป คำประกาศ เชื้อเชิญ อยู่ในยอห์น 3:16-18 …

        ยอห์น 3:16  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            นี่พระเยซูคริสต์ประกาศเองนะ พูดด้วยตนเอง ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้

        ยอห์น 3:17-18  “17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยผ่านทางการวางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ พึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้า ยังคงยืนกรานอยู่ในการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์  พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูพูดอย่างนั้น ด้วยความรักในน้องๆ ทั้งหลาย

            สรุปที่พระเยซูพูด ก็คือพระเจ้าบอกว่า … “น้องๆ เอ๋ย วันใดที่เจ้าเชื่อและวางใจ ในพระบุตร ในเรานั้น เจ้าจะกลับคืนมีชีวิตนิรันดร์”

            พูดกับใคร? พูดกับมนุษย์ทุกคน  วันใดที่มนุษย์คนใด ผู้ใดเชื่อและวางใจในพระบุตร มนุษย์ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ คุ้นๆ ไหม? คุ้นๆ กับตอนเริ่มต้นไหม? เริ่มต้นที่ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในความสาปแช่ง

            พระเจ้าบอกว่า … “วันใดที่เจ้าขืนกิน ก็คือเจ้าไม่เชื่อฟัง เจ้าจะตายและตาย”

            แต่ตอนนี้ พระเยซูมาบอกว่า … “วันใดที่เจ้าเชื่อและวางใจในพระบุตร เจ้าจะมีชีวิต และมีชีวิตนิรันดร์”

            ก็คือมีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ทางวิญญาณ และจะได้รับร่างกายใหม่ เป็นร่างกายนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ตอนที่หลังจากร่างกายเดิมสิ้นสุดลง เอเมน มีแค่นี้เอง  2 ประโยคเท่านั้นเองที่สำคัญ วันที่แตกแยกกัน  อยู่ด้วยกันไม่ได้ มนุษย์ตกลงไปในความบาป คือวันที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ขืนกิน พระเจ้าบอกว่า …

            “อย่าทำ วันใดที่เจ้าทำ เจ้าจะต้องตาย”

            แล้วพระองค์ก็ส่งพระเยซูมาช่วย รักษา กลับคืนมาอีกครั้ง ก็คือวันใดที่เจ้าเชื่อพระเยซู วางใจในพระเยซู เจ้าก็จะกลับมามีชีวิตนิรันดร์ เอเมน

            พระเจ้าประกาศ ขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว นี่คือความจริง เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก รักเรามาก พระองค์ขอร้องนะ ผ่านทางพระเยซู ขอร้องใคร? ขอร้องมนุษย์ มนุษย์คือใคร?  ไม่รู้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า …

            “ทูตสวรรค์ทั้งหลายและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด ทั้งในมหาจักรวาลนี้ ได้กล่าวกันว่ามนุษย์เป็นผู้ใดหนอ ที่พระเจ้าทรงรักเขาถึงขนาดนี้”

        2 โครินธ์ 5:19-20 “19 พระเจ้า​เอง​ ทำ​ให้​คน​ใน​โลกนี้​กลับ​มา​คืนดี​กับ​พระองค์ โดย​ผ่าน​ทาง​พระคริสต์ และ​ยกโทษ​บาป​ให้​กับ​พวกเขา พระองค์ได้​มอบ​เรื่อง​การ​กลับ​คืนดี​นี้ให้​กับ​เรา ​เพื่อ​ไป​บอก​คน​อื่นๆ ​ต่อ 20 ดังนั้น เรา​จึง​ทำงาน​เป็น​ทูต​ของ​พระคริสต์ เพราะ​เชื่อมั่น​ว่าพระเจ้า​กำลังขอร้อง​พวกคุณ ​ผ่าน​ทาง​เรา เรา​ขอ​วิงวอน​คุณ ​แทน​พระคริสต์ว่า “กลับ​มา​คืนดี​กับ​พระเจ้า​เถิด”

            “พระเจ้าเอง” หมายถึงอะไร? พระเจ้าทำฝ่ายเดียว มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์เป็นฝ่ายเดียวที่ทำให้มนุษย์บนโลกใบนี้กลับคืนดีกับพระองค์ มนุษย์แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของตนเองที่พระเจ้าทำให้เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว  เพราะทำอะไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาทำเองทุกอย่าง

            เพราะฉะนั้น สรุป คำประกาศของพระเยซู ก็คือพ่ออภัยให้หมดแล้ว เจ้าไม่ต้องเตรียมอะไรเลย กลับบ้านอย่างเดียว พ่อเตรียมมรดกในสวรรค์และทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว กำลังรอคอยการกลับมาของลูก แค่กลับไปเท่านั้นเอง น้องๆ เอ๋ย นี่คือความรักใช่หรือไม่?  แล้วพระเจ้าได้ทำให้เรามนุษย์ทั้งหลาย กลับคืนดีกับพระองค์ด้วยวิธีใด? ดูสิว่าพระองค์ต้องทำอย่างไร? ต้องจ่ายความเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน? ต้องจ่ายราคาขนาดไหน? ถึงจะทำให้เราสามารถกลับคืนดี เข้าไปอยู่ในบ้าน อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้  2 โครินธ์ 5:21 …

        2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            พระเจ้าทำอย่างไรถึงทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ได้  พระองค์ทรงทำเอง พระเจ้า 3 พระภาค นึกถึงภาพพระเจ้า-พระบิดา  พระเจ้า-พระเยซู  พระเจ้า-พระวิญญาณบริสุทธิ์นั่งประชุมกัน ทำอย่างไรน้องๆ ที่อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเหล่านี้จะกลับมาได้ โอเค วางแผนไว้ให้ อย่างนี้ๆ นะ พระเจ้า-พระบุตร คือพระเยซูต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์นะ ต้องมารับความบาปแทนมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์พันธุ์ใหม่ พระบุตรต้อง Say Yes อย่างเดียว ต้องยอม เพราะว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์

            เหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระบุตร ต้องยอมกลายสภาพลงมาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย เข้าส่วนร่วมลักษณะของมนุษย์จริงๆ แท้ๆ เลย เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ในโลกนี้ นึกถึงภาพ การประชุม 3 พระภาคซึ่งประชุมกัน พระบิดาวางแผนไว้ให้กับทั้ง 3 พระภาคว่าพระเจ้า-พระบุตรต้องลงมาทำอย่างนี้  เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของเรา กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม

            เข้าส่วนร่วมพระลักษณะของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์ ที่เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม หรือธรรมิกชนของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ นี่เราแอบฟังแผนการที่พระเจ้า 3 พระภาควางแผนไว้ที่จะช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า กับครอบครัวพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมาเป็นตัวแทนของเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อแบกรับโทษของความบาปของมวลมนุษย์ไว้ แบกไว้แล้วก็ยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่นั้น เพราะว่ามนุษย์ยังเป็นคนบาป และจะต้องตายจากบาปนั้นด้วย  เพื่อมนุษย์ที่เป็นบาปอยู่นั้น นึกถึงภาพ มนุษย์ที่ติดเชื้อบาปอยู่นั้น ทุกผู้ ทุกนาม จะได้มีโอกาสตายจากบาป เพราะว่าพระองค์เป็นตัวแทนของเรา ถ้าพระองค์ตาย ก็เท่ากับเราตาย พระองค์แบกบาปของเราเอาไว้ที่ตัวพระองค์ แล้วพระองค์ก็ตาย พระองค์แบกบาปของเราไว้ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา พระองค์ตาย เราก็ตายร่วมกับพระองค์ไปด้วย ตายจากอะไร? ตายจากบาป ตัวเก่าของมวลมนุษย์ที่เป็นบาปอยู่ ก็ได้ตายจากบาปไปด้วย แล้วก็มาสู่ความชอบธรรม เกิดใหม่ในความบริสุทธิ์ ดีพร้อมของพระเจ้า โดยการที่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน หรือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อว่าตัวเดิมของมวลมนุษย์ที่เป็นคนบาปอยู่นั้น จะได้ตายด้วย  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมวลมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่  เป็นขึ้นจากความตายด้วย พร้อมพระองค์นั่นเอง พระองค์เข้ามาเป็นตัวแทน

            นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ ให้พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่ออย่างนี้  และเมื่อเราเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ เกิดอะไรขึ้น เราก็จะได้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ สามารถเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว เพราะบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ที่ผมบอกไว้ ลักษณะของชีวิตเข้ากันได้แล้ว เป็น DNA มาจากพระเจ้าแล้ว เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ เรียกว่าการกลับคืนดีกับพระเจ้าได้แล้วนั่นเอง น้ำก็เข้ากับน้ำ แทนที่จะเป็นน้ำมัน ตอนนี้กลายเป็นน้ำกับน้ำ เป็นความสว่างกับความสว่างเข้าด้วยกัน เป็นความดีกับความดีเข้าด้วยกัน เป็นความรักกับความรักเข้าด้วยกันได้แล้วนั่นเอง เรียกว่ากลับคืนดี

            และเมื่อพระเยซูได้กระทำการงานนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น พระเจ้าก็เฝ้าแต่ประกาศอย่างเดียวเลย ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะทุกอย่างกระทำสำเร็จแล้ว พระเยซูบอกว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพระเจ้าก็ประกาศขอร้องให้มวลมนุษยชาติ กลับคืนดีกับพระองค์ มาใช้สิทธิของเขาในพระองค์ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เถิด โดยผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ประกาศ ขอร้องให้มนุษย์ กลับมาบ้าน กลับมาสวรรค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับมาเข้าสวรรค์กับพระองค์เถิด พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว และเมื่อข่าวดีนี้ไปหาท่าน ท่านจะยอมคืนดีไหม? พระเจ้ากำลังบอกว่ากลับบ้านเราเถิด กลับบ้านเราในสวรรค์เบื้องบนเถิด มาเถอะลูก

            แล้วเรายังจะดื้อต่อไปไหม?ถ้าเราดื้ออยู่ต่อไป ก็แสดงว่าเราถูกหลอกต่อ เราถูกปิดบังความจริงต่อเนื่อง และตัวที่ปิดบังความจริงต่อเนื่อง ก็คือตัวเดียวกันกับตัวที่หลอกล่อหลอกลวงบรรพบุรุษของเรา อาดัมนั่นเอง ก็คือมาร ปิดบังตาเรานั่นเอง

            พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดใหม่ มาเป็นบุตรของพระเจ้า บันทึกไว้ในหนังสือโรม 5:9-11 ท่านจะได้เห็นชัดๆ ว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดไปเป็นบุตรของพระเจ้าได้ …

        โรม 5:9-11 “9 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ (พระเยซู ) ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธ (การพิพากษาลงโทษ ) ของพระเจ้า โดยพระองค์ 10 เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”

            พระเยซูคริสต์จึงเป็นเหตุให้ครอบครัวของพระเจ้ากลับคืนดีกัน พระเยซูจึงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลกับพระเจ้ากลับคืนดีกัน  ครอบครัวกลับคืนดีกัน โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยพระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ หมายถึงเมื่อเรากลับคืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ มี DNA ที่บังเกิดใหม่ มี DNA ที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง เพราะฉะนั้น มันหมายถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วต่อจากนี้ไป

            นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุด ที่พระเยซูมาประกาศบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์แสวงหาทรัพย์ตรงนี้แหละ เป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว คือการได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าทันทีที่เปิดใจใช้สิทธิ ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย ได้รับทันทีเลยตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเปิดใจใช้สิทธิ์ เพราะว่าพระเจ้าเองทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น 2,000 ปีแล้ว รอให้มนุษย์เปิดใจใช้สิทธินี้เท่านั้น

            พอเปิดใจใช้สิทธินี้แล้วเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และจะนำพาเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย ชีวิตเราบนโลกใบนี้ และพระองค์ก็จะทรงนำพาเราต่อไป จนกระทั่งถึงเข้าสู่สวรรค์ใหม่ ได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซู และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์

            นี่ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่มหาศาล แลกกับอะไรที่มนุษย์จะทำ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ทรงทำเองทุกอย่าง สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย  และทุกวันนี้ยังมาขอร้อง เชื้อเชิญเรา ขอร้อง ทุกวันนี้ยังเดินตามมนุษย์ต้อยๆ เคาะประตูอยู่ คนไหนยังไม่เปิดใจ ก็เคาะๆ พระเยซูบอก…

            “เราเดินตามหาเจ้า เราเคาะประตูใจเจ้าอยู่ตลอดเวลา เปิดใจสิ รับสิทธิไปเถิด เราทำให้กับเจ้าเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขนนั้น”

            มนุษย์แค่ทำอะไร? แค่ตัดสินใจ

            บรรพบุรุษของเราถูกล่อลวง ถูกหลอกลวงโดยมาร ตัดสินใจผิดไปแล้ว มาพึ่งพาตนเอง ตอนที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมากระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว มาพึ่งพาเรา คือพระบุตรของพระเจ้า เชื่อเราสิ มาพึ่งพาเรา ตัดสินใจ พอตัดสินใจปุ๊บ กลับมาคืนดีทันที เปิดใจต้อนรับสิทธิในพระเยซูนี้เท่านั้น ที่เราต้องทำ มนุษย์ทุกคน”  เอเฟซัส 2:19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            เปิดใจ แล้วจะได้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ที่ผมบอกท่านตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือกลับมาเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและให้อิสระเสรีภาพดั่งแก้วตาดวงใจ  แค่ตัดสินใจกลับมาเป็นลูก ไม่ใช่เป็นลูกแค่นั้น แต่ในนี้บอกว่าเป็นลูกและเป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะว่าเป็นทายาทแล้ว ทายาทก็ต้องมีมรดก ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ไม่ต้องรอตายก่อน ถึงจะรู้ว่าใช่

            ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเปิดใจตอนนี้ปุ๊บ ทันทีทันใดนั้น สิ่งเหล่านี้ เราจะรู้ทันทีว่ามันเกิดขึ้น มันเป็นจริง ก็เพราะพอเราเปิดใจปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะยืนยันอยู่ในจิตใจของเรา เราจะรู้จากข้างในของเราแล้วว่าทั้งหมดนี้มันเป็นจริงๆ ทรัพย์สมบัติอันมีค่าอยู่ในใจเรา เราได้รับแล้วจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อได้จริงๆ โรม 8:16-17 ได้บันทึกเป็นพยานยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย …

        โรม 8:16-17 “16 พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

            “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว” รู้ได้อย่างไร? ก็พระวิญญาณยืนยันอยู่ในใจของเรา  “บัดนี้ เราเป็นบุตรขอพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้วนะ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือยัง? เป็นแล้ว รู้ได้อย่างไร? ตอบสิ ตามข้อนี้ ต่อไปนี้ใครถามท่าน …

            “ฉันเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้า”

            “เธอรู้ได้อย่างไรเป็นลูกของพระเจ้า”

            “เพราะว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ในใจฉัน เป็นผู้ยืนยันให้กับฉันว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า และไม่ใช่แค่นั้นนะเธอ ฉันเป็นลูก และเป็นทายาท … ทายาท ก็แสดงว่ามีมรดกอยู่ด้วยนะครับ ขอโทษที”

            “แล้วเธอรู้ได้อย่างไร?”

            ตอบเขาว่า … “พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจฉัน และฉันจึง … ฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

******************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณของฉันอยู่ในต้นไม้ไหน?

                        –  ชีวิต …  หรือ … ตาย

                        –  ดี …  หรือ … เลว

                        –  ชอบธรรม … หรือ … บาป

                        –  พระคริสต์ … หรือ … อาดัม

            2 โครินธ์ 5:10 … “เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่ว (เลว) ที่ทำมาตอนที่ (วิญญาณ) ยังอยู่ในร่างกายนี้”

            พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ชาวยิวที่เคร่งศาสนา ทะนงตน ในความชอบธรรมที่ตนเองถือปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้ ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ และจะได้ความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย

            พระเยซูประกาศว่า … มัทธิว 12:33-37 … “33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลว ติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว  เพราะว่าเราจะรู้จักและตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูผู้เป็นความดี  ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้ว จะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (โอ้ มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาปเป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตรยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ผู้เป็นความชอบธรรมความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดี ภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่ว ภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ทุกคำที่พูดนั้น (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)” … พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1412

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  เมษายน  2023

เรื่อง “พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ต้องดังหน่อย ทั่วโลกประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เอเมน

            พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พระเยซูเป็นบุตรของมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ ทำทุกสิ่งในนามของมนุษย์ พระเยซูทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทุกคนได้กระทำด้วย เพราะฉะนั้น พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็ประกาศเรื่องนี้ให้ดังที่สุดเลยนะครับ อ่านหัวข้อคำบรรยายในวันนี้ “พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย” 1 โครินธ์ 15:3-7 วันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ …

        1 โครินธ์ 15:3-7 “3 เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุด ที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่าน คือพระคริสต์วายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สาม พระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 5 พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองคน 6 ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏ ต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคน ในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว 7 ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด

            ข้อความนี้ คือ “ข้าพเจ้า” หมายถึงอัครทูตเปาโล  ซึ่งเป็นอัครทูตคนเดียว คนแรกที่นำข่าวประเสริฐ เรื่องความยิ่งใหญ่แห่งวันอีสเตอร์ มาประกาศแก่มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ มวลมนุษย์เลย และเปาโลบอกว่าอย่างไร?

            “ข้าพเจ้าได้รับมอบเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

            ข่าวดีนี้ สำคัญที่สุด ที่ได้รับมา รับมาจากพระเยซูคริสต์เป็นผู้แต่งตั้ง อัครทูตเปาโลให้ออกมาประกาศ ข่าวดีนี้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง หมดเลย บนโลกใบนี้ ข่าวดีที่สุดนี้ คือพระคริสต์วายพระชนม์ หมายถึงตาย  เพราะบาปของเรา

            คำว่า “เรา” หมายถึงมวลมนุษยชาติทั้งปวงเลย  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์  และทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือวันอีสเตอร์แรกของโลก การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            “และพระองค์ทรงปรากฏแก่เคฟาส (หมายถึงเปโตร) และต่ออัครทูต 12 คน ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องอีก 500 คนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้”

            พระคัมภีร์นี้หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สัก 30-40 ปี ประมาณนั้น บางคนยังมีชีวิตอยู่ ที่ได้เดิน ได้คุยกับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

            “ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ  แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด”

            เปาโลกำลังพูดให้เห็นถึงคำพยานว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆๆๆๆๆ นี่แค่เขียนนิดเดียว แต่นึกถึงภาพของสมัยโบราณ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เหมือนปัจจุบัน คนไม่เยอะ หมายถึงขณะนั้น ไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ปรากฏครั้งเดียว มีคน 500 คนเห็นกับตา อยู่กับคน 500 คน เยอะมาก สมัยนั้น นี่ยังใช้เทียมเกวียนวัว ควายลากอยู่เลย เพื่อยืนยันถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            และในนี้บอกว่าพระองค์ทรงถูกส่งมา  โดยพระเจ้า เพื่อมนุษย์ทุกคน สมัยก่อน เขานึกว่าพระเยซูถูกส่งมา โดยพระเจ้า เพื่อชาวยิว แต่อัครทูตเปาโล ได้มาบอกข่าวดีกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ทั่วโลกไปหมดเลยว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวยิวเท่านั้น  แต่เป็นตัวแทนของชาวยิวและชาวไม่ใช่ยิว ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเป็นพระเจ้านั่นเอง มาเกิดเป็นมนุษย์ คือการอยู่ใต้บทบัญญัติ  คือกฎหมายที่พระเจ้าวางไว้ว่ามนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้นะ

            มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ คือมนุษย์ มีกฎของมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็คือเขามีร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมา เรียกว่าเลือด เนื้อ หนัง ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้  คือดิน น้ำ ลม ไฟ และสิ่งสำคัญที่สุด คือมนุษย์ไม่ได้หยุดอยู่แค่ธาตุทั้ง 4 แต่ที่สำคัญที่สุด คือเขามีวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นชีวิตที่มาจากพระเจ้า

            พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  จากวิญญาณพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ หมายถึงอย่างนี้ มาเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ทำทุกสิ่งทุกอย่างในนามของมนุษย์ พระองค์เดินไปเดินมาบนโลกใบนี้ พระองค์พูดเสมอว่า “บุตรมนุษย์” พูดแทนตัวเอง เรียกตัวเองว่าบุตรมนุษย์ เพื่อจะบอกมนุษย์ทั้งปวงว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้านะ ตอนนั้น พระองค์เป็นพระเจ้า แต่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์บอกตำแหน่งตัวเองอยู่เรื่อยๆ ให้บรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ได้รับทราบว่าพระองค์เป็นบุตรของมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ก็คือวิญญาณของพระองค์เป็นวิญญาณที่มีชีวิต  ไม่ได้ตายอยู่ในบาป เหมือนตัวแทนของมนุษย์เดิม

            ตัวแทนของมนุษย์เดิม คือใคร? พระคัมภีร์บ่งไว้ชัด ตัวแทนของมนุษย์เดิม คือบรรพบุรุษของเรา คนแรก คืออาดัม … อาดัม ถูกเรียกชื่อว่าอาดัม เพราะว่าอาดัมนั้น ถูกสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกนี้  ถูกสร้างมาจากโลก ก็คือวัตถุสิ่งของที่เป็นของโลกนี้  ก็คือธาตุทั้ง 4  คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน เรียกว่ามนุษย์ เพราะฉะนั้น อาดัมก็มีวิญญาณเหมือนกัน แต่วิญญาณอาดัมเป็นวิญญาณที่ไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าตายอยู่ เพราะฉะนั้น อาดัมก็เลยเป็นตัวแทนของมนุษย์คนแรก ที่เรียกว่าอาดัมที่ 1 ส่วนพระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่ตาย มีชีวิตอยู่ เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เรียกว่าอาดัมที่ 2 พระคัมภีร์เรียกพระเยซูว่าอาดัมที่ 2 อาดัมคนต่อมา อาดัมคนแรกตาย  อาดัมที่ 2 มีชีวิต  ทั้งสองเป็นตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งสิ้น  มนุษย์ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของสองตัวแทนนี้ จะอยู่ในอาดัมหนึ่งหรืออาดัมสองเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น พระเยซูมาเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ทำสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทำในนามของบุตรมนุษย์  เพราะฉะนั้น พระเยซูกระทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทำด้วย เหมือนอาดัมทำอะไร เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย อาดัมทำบาป เอาคำสาปแช่งเข้ามา เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย เอาคำสาปแช่งเข้ามาสู่ตัวด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือความจริง

            –  พระเยซูได้รับพรอะไรจากพระเจ้า มวลมนุษย์ก็ได้รับด้วย

            –  พระเยซูเป็นอะไร มวลมนุษย์ก็เป็นด้วย

            –  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตายด้วย

             เช่นเดียวกัน

            ท่านมองเห็นภาพแล้วนะว่ามันเป็นตรรกะที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ถ้าเผื่อเราค่อยๆ เรียบเรียงออกมา จากความจริงของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

            ดังนั้น มนุษย์คนใดเชื่อในความจริงของข่าวดีนี้ ที่กำลังพูดอยู่นี้ ก็จะสามารถพูดความจริงเหล่านี้ ด้วยความมั่นใจ ออกจากปากได้เลย เหมือนที่เราทั้งหลายมั่นใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซู เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว เราสามารถพูดด้วยปาก ด้วยความมั่นใจเลยว่า …

            “พระเยซูตายบนกางเขน ฉันก็เลยตายด้วย” นี่แหละ

            “พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ฉันก็ถูกฝังด้วย”

            “พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย”

            “พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว ฉันก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน”

            “พระเยซูได้รับมรดกเป็นรางวัลจากพระเจ้า ฉันก็ได้รับมรดกนั้นด้วย”

            เพียงแต่จะรู้ไหม? รู้ว่ามีมรดก มีอะไร? ไปเปิดดูพินัยกรรมสิว่ามีอะไรบ้าง? แต่ได้รับหรือยัง? ใครได้รับก่อน? เพราะว่าตัวแทนฉันได้รับก่อน  คือพระเยซูคริสต์ได้รับแล้ว

            “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันก็เป็นอย่างนั้นด้วย” เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ง่ายมากเลยนะ

            เพราะอะไรถึงได้? “ก็เพราะฉันรับเอาความจริงนี้ไว้ ฉันได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉันถึงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในพระเยซู และพระเยซูก็อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเยซูบอกว่าเป็นเลือดเนื้อเดียวกันเลย”

            เลือดในเลือด เนื้อในเนื้อ เหมือนเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ของเรา แต่ตรงนี้หมายถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน

            “พระวิญญาณของพระคริสต์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ห่อหุ้ม ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายฉันแล้ว ตอนนี้ จากข่าวดีนี้ พอเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ได้ห่อหุ้ม ปกคลุมอยู่เหนือร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของฉันที่เดินอยู่ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ ด้วยพระสิริของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าตลอดเวลาเลย”

            “เพราะฉะนั้น เมื่อฉันต้อนรับข่าวดีนี้ และเชื่อในข่าวดีนี้ ฉันจึงมีความมั่นใจ และสามารถที่จะพูดตามความจริงเหล่านี้ได้ว่าพระเยซูคริสต์ได้อะไร ฉันก็ได้ด้วย”

            เราจึงสามารถร้องเพลงเมื่อสักครู่นี้ได้ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            ร้องมั่นใจไหม? ถ้าเราไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่เปิดใจต้อนรับความจริงนี้ ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับเราปฏิเสธที่จะให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเรา  เรายังคงยืนยันอยู่ในตัวแทนเดิม อยู่ในอาดัม เราร้องเพลงนี้ไม่ออกหรอก  เราก็ได้ร้องแค่ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว”

            จบ พระองค์ก็เป็นของพระองค์ไป ส่วนเราก็ …

                        “ฉันก็ตายแล้ว ฉันตายแล้ว  ฉันก็ตายอยู่ในอาดัม”

            ต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเรามั่นใจ เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้แทนของเรา เป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์เป็นอะไร? ฉันก็เป็นด้วย ฉันก็สามารถร้องว่า …

                   “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                   เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            ยิ่งเข้าใจความจริงนี้เท่าไร? ท่านจะร้องด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความชื่นใจ ด้วยความสดชื่น ด้วยความเต็มอิ่มในจิตใจเลย เสียงดัง ไม่ดัง ไม่สำคัญ จริงๆ ความดังนั้นมันอยู่ข้างใน  แม้จะไม่ร้องเลย นึกในใจตามไป สมมติว่าอายุมากแล้ว 100 ปีแล้ว  ไม่มีเสียงแล้ว ร้องในใจ มันก็ดังอยู่ในใจว่า …

            “ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์ ฉันเป็นขึ้นจากความตาย”

            เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา ที่ทำให้เราสามารถร้องบทเพลงนี้ได้ ด้วยใจที่มั่นคง และเข้มแข็ง

            เพราะฉะนั้น ประเภทที่ 1 มนุษย์ผู้ใดที่รู้แล้ว และใช้สิทธิ รับพระพรแล้ว ก็จะได้รับพระพรมากขึ้น เมื่อรับรู้ความจริงของข่าวดีนี้เยอะขึ้น มากขึ้น วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้พระพรแล้ว แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราได้รับอะไรบ้าง เยอะแยะมากมาย ของขวัญห่อไว้เต็มที่เลย วางไว้ที่หน้าบ้าน เรายังไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง? ก็เริ่มไปเปิดดู มีอะไรบ้าง? เปิดดูพินัยกรรมว่ามี 1, 2, 3, 4 …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันอธิษฐานทูลขออะไรก็ได้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับฉันแล้ว ตอนที่ฉันจากโลกนี้ไป พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมดเลย ไปอ่านดูพินัยกรรมว่าฉันได้รับอะไรบ้าง?”

            สำหรับประเภทที่ 2 คือมนุษย์ผู้ใดที่ยังไม่รู้ความจริงนี้ หรือเคยได้ยินความจริงนี้ ข่าวดีนี้ ยังไม่ได้ตัดสินใจใช้สิทธิของเขา ยังไม่สนใจ หรือเริ่มสนใจ หน้าที่ของเขาไม่ใช่เปิดพินัยกรรม  หน้าที่ของเขาต้องรีบตัดสินใจ อย่าให้สายเกินไป เพราะมีกำหนดที่สิทธินี้จะหมดสิ้นลง ก็คือวันที่จากโลกนี้ไป วันที่หมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ถ้าภาษาไทยเรียกว่า “เป็นผี” ถ้าเป็นภาษาศัพท์ทางพระคัมภีร์เรียกว่า “วิญญาณ” วิญญาณออกจากร่างแล้ว เป็นวิญญาณแล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเป็นวิญญาณ  ไม่ใช่เป็นมนุษย์ ข่าวดีนี้มีไว้สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน  คราวนี้น่าเศร้าเลย

            เพราะฉะนั้น ข่าวดีนี้จะเกิดผล แก่มนุษย์ทุกคน เพราะพระเยซูคริสต์เกิดมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน และทั้งหมดที่พระเจ้ากระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ พระเจ้าทำให้เป็นของขวัญฟรีๆ ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นฟรีทั้งหมด  โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พระองค์ประทานให้โดยพระคุณความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ ที่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ  ผ่านทางการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งพระโลหิต และยอมตายบนกางเขน  เพื่อมวลมนุษย์ทุกคน

            คือยอมตายนะ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระองค์ไม่ยอมตาย ไม่มีใครจะเอาชีวิตจากพระองค์ไปได้ ตอนที่ถูกตรึง ก่อนถูกตรึง ปีลาตที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิอำนาจสูงสุดในตอนนั้น ที่จะปล่อยพระเยซูไม่ให้ตายก็ได้ หรือจะพูดให้พระเยซูอยู่ต่อก็ได้  พระเยซูตอบว่า …

            “ท่านไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลย ชีวิตนี้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ยอม ไม่มีใครมาเอาชีวิตออกไปจากตัวเราได้”

            พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือพระองค์ยอมสละชีวิตด้วยตัวของพระองค์เอง

            เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราทั้งหลาย มันยิ่งใหญ่มากมหาศาลเลย แลกด้วยอะไร? พระเจ้าต้องการอะไรจากมนุษย์ แลกแค่นิดเดียวเอง คือแค่เปิดใจรับสิทธิเท่านั้น …

            “รับเถอะลูก รับไปเถอะลูก”

            วิงวอนขออยู่ทุกวัน เคาะประตู ขออยู่ทุกวัน รับไปเถิดๆ  รับอะไร? รับของขวัญ รับข่าวดี รับสิทธิ รับมรดกที่พระเยซูจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากพระองค์ตายแล้วนั่นนะ …

            “รับไปเถอะลูกๆ”

            เฝ้าตลอดเวลา ในพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้นจริงๆ นะ เดิน ง้อมนุษย์ตลอดเวลา ในโลกวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เดินง้อมนุษย์ตลอดเวลา …

            “กลับมาคืนดีกับพระเจ้านะๆ พร้อมแล้ว กลับมาบ้านเราเถิดๆ ทุกอย่างอภัยให้หมดแล้ว เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ใช้สิทธิของเจ้าเท่านั้นเอง แค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวเราทำหมด เพราะเราทำหมดไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน”

            เพียงแค่นี้เอง เพียงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ส่วนที่เหลือนั้น ก็เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตระเตรียมไว้ คือขบวนการสู่ความรอด ที่พระเจ้าวางแผนไว้ และพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนกางเขน พระเจ้าเตรียมแผนการนี้มาหลายพันปี และพระเยซูก็มากระทำให้สำเร็จ บนกางเขน ซึ่งสำเร็จด้วยการยืนยัน ด้วยคำพูดของพระองค์เอง  ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงของวันศุกร์นั้น พระองค์ร้องเสียงดังว่า …

            Tetelestai สำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว จ่ายหนี้บาปให้กับมนุษย์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสำเร็จแล้ว มรดกเป็นของมนุษย์เรียบร้อยแล้ว เอเมน จากนี้ต่อไปใครมาอ่านพินัยกรรมใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ว่าท่านได้รับอะไรจากการที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่านที่ไม้กางเขน  สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน”

            ขบวนการ ความรอด ที่พระเจ้าเตรียมและพระเยซูทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วนี้ เริ่มต้นด้วยอะไร? เราจะมาเจาะดูสิว่าขบวนการนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้คร่าวๆ อย่างไรบ้าง? ที่มันเกิดขึ้นทางวิญญาณที่เรามองไม่เห็น

            ขบวนการความรอดนี้ เริ่มต้นด้วยการรับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู ขบวนการความรอดมาทันที  พอเราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จเข้าไปสู่ในวิญญาณของเรา เข้าไปทำอะไร? เข้าไปบัพติศมา … บัพติศมา แปลว่าจุ่ม ใส่ นำเราเข้าไป พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในวิญญาณของเรา ถึงใช้คำนี้ มันจะได้ง่ายดี  เหมือนกับการผ่าตัดในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณ พระวิญญาณเสด็จเข้ามาในวิญญาณของเรา และทำการผ่าตัดในวิญญาณ  คือเอาวิญญาณของเรา ชีวิตของเรา เข้าไปใส่ เข้าไปจุ่ม เข้าไปมุด เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราเปิดใจจริงๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราจะถูกผ่าตัด ถูกบัพติศมา ถูกย้ายออกจาก DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกอยู่ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

            นี่คือเริ่มต้นขบวนการของความรอด เมื่อคนใดคนหนึ่งเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เราจะมาอ่านดูข้อพระคัมภีร์ รายละเอียดว่าการผ่าตัดวิญญาณ จุ่มเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ  แล้วเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ในลักษณะไหน? ในพระคัมภีร์หลายๆ เล่ม หลายๆ หนังสือจดหมายฝากที่พูดถึงเรื่องนี้ แต่โรม 6:3-6 และข้ออื่นๆ จะพูดถึงลักษณะการได้รับการผ่าตัด ได้รับบัพติศมา การจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ค่อนข้างจะละเอียด และชัดเจนมาก

            “บัพติศมา หมายถึงจุ่ม ใส่ เข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกัน”

            บัพติศมาในพระเยซู ก็คือการจุ่ม ใส่เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น บัพติศมา ก็เลยเป็นคำๆ หนึ่ง อย่าถือว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งสิ้น ฉะนั้น ท่านสามารถทำกระเทียมดองได้ไม่ยาก เหมือนกับการนำเอากระเทียมไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู

            วิธีทำกระเทียมดอง คือท่านเอาน้ำส้มสายชูมาแต่งรสตามที่ท่านชอบ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็เอากระเทียมมา จากนั้น ท่านก็บัพติศมากระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู ปิดฝาไว้ให้แน่น อย่าให้อากาศเข้า ทิ้งไว้สัก 3 เดือน ออกมา กระเทียมก็กลายเป็นกระเทียมดอง บัพติศมามันแปลว่าแค่นี้เอง ไม่ต้องตื่นเต้น

            พอบอกว่าบัพติศมา โอ้โห! ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน แปลว่าอะไรนะ ศักดิ์สิทธิ์มาก ก็คือคำๆ หนึ่งเท่านั้นเองว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป ให้มันเป็นหนึ่งเดียวกัน

            เพราะคำๆ นี้ คนเข้าใจผิด ไปนึกถึงพิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องลงน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้องบัพติศมาในน้ำ บัพติศมาในน้ำ คือการจุ่มลงไปในน้ำ การจุ่มลงไปในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้คนนั้นได้รับความรอดเลย จุ่มลงไปในน้ำนั้น เป็นการประกาศความเชื่อ เล็งให้เห็นถึงว่าในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การจุ่มลงไปในน้ำ หรือเรียกว่าบัพติศมาในน้ำ ก็คือจุ่มคนนั้นลงไปในน้ำ ผลที่ออกมาให้เห็นๆ ก็คือการฉลองชัยว่าในโลกวิญญาณ เขาได้เกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว  เพราะฉะนั้น การลงไปในน้ำ ขึ้นมาจากน้ำ ถ้าไม่นับโลกวิญญาณ  ไม่นับการฉลองเล็งถึงโลกวิญญาณ ก็มีค่าเท่ากับลงไปในน้ำ ขึ้นมาก็เปียกน้ำ จบ เข้าใจใช่ไหม? ก็เปียกน้ำ เหมือนกับสงกรานต์ โรม 6:3-6 อ่านทีละข้อ จะได้อธิบายตามไปด้วย …

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เปิดใจต้อนรับ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            คำนี้มีความหมายชัดและสำคัญมาก แม้ว่าจะมาเป็นประโยคก็ตาม “ท่านไม่รู้หรือว่า” แสดงว่าท่านควรจะรู้ ตอนนี้ ก็แสดงว่าข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศออกไปมากพอสมควรแล้ว และท่านควรจะรู้สิ่งนี้ ใครควรจะรู้ มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ควรจะรู้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว บางคนก็ไม่รู้ เพิ่งจะเปิดใจ อย่างที่ผมบอก เพิ่งจะรับของขวัญจากพระเจ้าไป ยังไม่รู้เรื่องอะไร? เปาโลจึงอธิบายให้ฟัง

            “เราทั้งปวงที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา” เราทั้งปวง ก็คือใครก็ตาม? มนุษย์ผู้ใดก็ตาม?  ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า อย่างที่ผมอธิบาย ให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เขาเปิดใจปุ๊บ เขาก็จะเข้าสู่ขบวนการความรอด เริ่มต้นด้วยการผ่าตัดวิญญาณทันที  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะนำเขาในนี้บอกว่าถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น จะเห็นชัดนะ ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คนนั้นก็เริ่มต้น ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            เห็นหรือยังครับ นึกถึงภาพนะ วิญญาณจากที่อยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ในนี้บอกว่าคนนั้น พอเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก็คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  เราอยู่ในพระองค์ ก็เลยตายไปด้วย ตายไปพร้อมกับพระองค์ ในการบัพติศมานั้น ก็คือในการถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มวิญญาณเรา ย้ายวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในนั้น มันแปลว่าอย่างนี้

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมา เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น” นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้นะ ในข้อ 3 เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในความตาย อยู่ในที่มืด  ไม่มีพระเจ้า  เพราะว่าพระคริสต์ตายอยู่ เราก็ตายอยู่ ตายต่อตาย รวมกันเป็นหนึ่ง พอมองเห็นไหมครับ?

            พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติ ชำระบาป ชดใช้บาป แล้วพระองค์ก็ยอมตาย จากวิญญาณที่มีชีวิต  เป็นความสว่าง กลายเป็นยอมตาย ก็คือยอมมาเป็นความมืด  เพื่อเราที่อยู่ในอาดัม ที่เป็นความมืด ที่ตายอยู่ จะได้สามารถเข้าไปร่วมกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันได้

            ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้ตายไปพร้อมพระองค์  ตายไปด้วยกันเลย นึกถึงภาพตอนนี้ เป็นอย่างนั้นนะ

            ดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมา เข้าร่วมในการตาย ก็คือ ดังนั้น หลังจากตาย พิสูจน์การตายของพระองค์ ด้วยการฝังไว้ในอุโมงค์ ขณะที่ฝังไว้ในอุโมงค์ตายอยู่ มืดอยู่ และเราก็อยู่ในความมืดนั้น เหมือนกัน  เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ด้วยนะ

            “เพื่อว่าเราเองจะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจ พระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา” การที่ให้เราได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ โดยที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย ยอมเป็นความมืด ยอมลงมาหาเรานะ ให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็เพื่อว่าวันที่ 3 พระบิดาได้กำหนดแผนการนี้เรียบร้อยแล้วว่าในวันที่ 3 พระบิดาจะประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์กลับคืนมาใหม่ พระองค์เรียกว่าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 พระองค์วางแผนไว้แล้วว่าพระบิดาจะชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นก็หมายถึงว่าตอนที่ตายนั้น ถ้าเราไม่เข้าไปอยู่ในความตายของพระเยซู เวลาที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย  เราก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาด้วย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

            เพราะฉะนั้น การตาย เพื่อให้เราตายต่อบาป  เพื่อให้ตัวเก่าเราถูกขจัดออกไป เดี๋ยวจะมีบอก เพื่อตัวเก่าของเราจะได้ถูกขจัดออกไปก่อน เสร็จแล้ว พอพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เป็นใหม่จริงๆ เลย เพราะไม่มีตัวเก่าเหลืออยู่เลย ตัวเก่าได้ตายไปแล้ว ตัวบาปได้ตายไปแล้ว ตัวจริงๆ ของเรามันได้ตายไปแล้ว ไม่ได้หมายถึงมาชำระบาปให้เราเฉยๆ แล้วก็เป็นคนบาปเหมือนเดิม แต่ไม่ทำบาป ทำบาปก็ได้รับการชำระ ไม่ใช่แค่นั้น  แต่ให้เราตายแล้วเกิดใหม่ เพราะการเกิดใหม่ จึงสามารถที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้  โดยได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมนั่นเอง

            ตอนนี้เราอยู่ในอุโมงค์ ในความมืด ร่วมกับพระเยซู เราเป็นบาป พระเยซูก็เป็นบาป เพราะว่าแบกบาปของเราทั้งหลาย ทั้งมวล มนุษย์ทั้งโลกไว้เลย  พระองค์กลายเป็นบาป เพื่อเราที่เป็นคนบาป จะได้บังเกิดใหม่ พระองค์เป็นบาป เราก็เป็นบาป อยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในบาป อยู่ในอุโมงค์

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            “ฉะนั้น เมื่อเรายินยอม” นึกออกไหม? เมื่อเรายินยอมรับข่าวดีนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หมายถึงเรายอมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือเข้าไปยอมตาย เวลาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ หมายถึงเรากำลังยอมให้พระเจ้าฆ่าเราให้ตายซะ เราเบื่อตัวเก่ามาก ไม่อยากอยู่ในตัวเก่า ในอาดัม ไม่อยากจะเป็นคนบาป  อยู่ในความมืดอีกต่อไปแล้ว

            พระเยซูจึงตรัสอย่างนี้ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ว่าใครที่อยากมีชีวิตนิรันดร์ ใครที่อยากมาหาพระองค์ ให้แบกกางเขนของตน แล้วตามเรามา หลายคนก็นึกตรงนี้ว่าแบกกางเขน คือให้รับภาระอยู่บนโลกใบนี้ ต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความรัก นึกถึงความประพฤติต่างๆ

            มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แบกกางเขนของตน หมายถึงแบกบาปของตัวเอง แล้วตามเรามา เพื่อมาตายกับเราก่อน แล้วหลังจากตายกับเรา ด้วยความเชื่อ วางใจในเราแล้ว พระบิดาจะชุบให้พวกเรา หมายถึงพระเยซู และมวลมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ แบกกางเขนตามเรามา ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วางใจในเราเถิด มา ไปตายด้วยกัน ใครเชื่อวางใจในเรา แบกกางเขนมา เราแบกกางเขนของเรามา แล้วเราก็มาที่โกละโกธา แล้วเราก็มาตายพร้อมพระองค์ ตัวเก่าเราที่เป็นบาป ก็จะได้ตายไป

            มิฉะนั้น ถ้าพระเยซูไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราก็จะแบกกางเขนของเรา คือความบาปของเรา แล้วก็แบกไปเรื่อยๆ  แล้วก็พยายามหากำลังใจ จากสิ่งรอบข้าง จากปัญญาของมนุษย์ จากสิ่งต่างๆ ที่เราทำ ให้มีกำลังที่จะแบกต่อไป แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองอีก ผู้คนรอบข้างให้กำลังใจเรา ให้ศาสนาต่างๆ ให้เป็นกำลังใจเรา ให้กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่บอกว่าดี ให้กำลังใจเรา ให้ศีลธรรม วัฒนธรรมอะไรต่างๆ มนุษยธรรมต่างๆ  ความดีงามต่างๆ ให้เป็นกำลังใจเรา  แล้วก็พยายามแบกต่อไป อย่างไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดหมาย ไม่มีความหวัง แบกไปถึงเมื่อไร? ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆ ว่าต้องแบกต่อไป จนถึงความตาย และหลังความตาย ก็อยากจะแบกกันต่อ มาสะสมกันต่อ  ก็แบกกางเขนต่อไป  ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนหนูถีบจักร  ถีบไปเรื่อย ไม่มีทางถึงเป้าหมาย ไม่มีทางถึงจุดหมายสักทีหนึ่ง มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหน?  ยังอยู่ที่ในอุโมงค์อยู่เลยนะ  แต่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป ในอาดัม อย่างที่ตะกี้นี้อธิบายให้ฟัง ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนกับพระองค์แล้ว ตรึงไว้ ตายเพื่ออะไร?  เพื่อตัวบาปเก่าที่อยู่ในอาดัม ตัวบาป ที่เราเกิดมาปุ๊บ ก็ได้รับมาเลย ก็คือเป็นพันธุกรรมทางฝ่ายวิญญาณ จากอาดัมที่เป็นตัวแทนของเรา มวลมนุษยชาติ  คนแรกที่เอาบาปเข้ามา และเชื้อบาปนี้ ก็มาถึงเราด้วย  ตัวนี้ ตัวที่เกิดมาบาป  มันจะได้ตายไป สิ้นสุดไป

            ถูกขจัดไป ก็หมายถึงตายไป สิ้นสุดไป จบไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสอยู่ใต้ความบาปนั้นอีกต่อไปนั่นเอง เพราะฉะนั้น มันหมายถึงถ้าเราอยากเป็นอิสระจากการเป็นคนบาปนี้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเราต้องตายจากคนเดิม  ไม่มีทางที่จะทำความประพฤติอะไร หรือขัดสีฉวีวรรณ ตัวเก่าให้ใหม่เอี่ยมได้เลย ต้องไปเกิดใหม่เท่านั้น เหมือนที่เราพูดกันเล่นๆ

            “โอ้! อยากจะเป็นนักร้องเหลือเกิน แต่มีพรสวรรค์ได้แค่นี้เอง”

            เราก็บอกว่า “เธออยากเป็นนักร้องเหรอ อย่างเธอต้องไปเกิดใหม่”

            มันคล้ายๆ กันนะ พระเจ้าบอกว่าถ้าเธอต้องการที่จะหลุดออกจากบาป  เป็นทาสมันอยู่ มนุษย์ทุกคนอยากหลุดออกจากบาปอยู่แล้ว รับรองได้  เพราะทุกคนตั้งใจจะทำความดี ตั้งใจจะสั่งสมความดี ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี ที่จะหลุดจากบาปให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ใช่ไหม? เพราะทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่สามารถทำได้ พระเจ้าบอกทำได้ทางเดียว ก็คือต้องตายซะ แล้วใครจะฆ่าตัวเองตายได้ ใครจะสามารถตรึงตัวเองบนไม้กางเขนได้ ดูพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็นชัดเจน ต้องตายที่ไม้กางเขน เพราะว่ากางเขน เป็นการตายอย่างเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้

            กิโยติน เครื่องมือฆ่า ก็ยังทำเองได้นะ  ในหนังสือพิมพ์ยังลงเลย จัดเตรียมอะไรต่างๆ แล้วกิโยตินตัวเอง ฆ่าตัวเองตายได้  แต่ไม่มีใครสามารถที่จะตรึงตัวเอง ให้ตายบนไม้กางเขน ตรึงได้ไหมเนี้ย เอามือตรึงฝั่งนี้ แล้วย้ายไปฝั่งโน้น มันไม่ได้

            เพราะฉะนั้น ตัวบาปเก่าที่จะต้องตายนั้น ต้องมีใคร เป็นผู้จัดการให้กับเรา  และผู้นั้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการต้อนรับพระเยซู เป็นการยินยอม เซ็นชื่อยอมด้วยตัวเองว่า …

            “พระเจ้าลูกยอมตายแล้ว เอาเลยพระเจ้า ฆ่าลูกให้ตายไปพร้อมพระเยซู เพื่อลูกจะได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 พร้อมพระเยซูคริสต์นั่นเอง”

            เมื่อตัดสินใจ เราจะได้รับทุกสิ่งเหมือนกับที่พระเยซูได้รับ จะได้เป็นขึ้นจากความตาย จะได้รับมรดก ได้รับชีวิตนิรันดร์  ได้รับสิ่งต่างๆ อีกมากมายจากพระเจ้า มนุษย์ทำเพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน เท่านั้น คือเริ่มต้นขบวนการผ่าตัดวิญญาณ บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ สกปรก โสโครก เป็นมลทินในอาดัม ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุด  ทันทีเลย

            พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมา จุ่ม ใส่ ผ่าตัดวิญญาณของเรา  ใคร? ผู้ที่ยอมเท่านั้น  ผู้ที่มีใจ เปิดใจ ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพื่อว่าผู้นั้นจะได้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  โดยพระวิญญาณจะเข้ามาทำการผ่าตัดนี้ เป็นการชำระตั้งแต่ร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณของคนๆ นั้น ให้ได้เกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ทันที เพื่อพร้อมทันทีที่จะเป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย เป็นวิหารของพระเจ้าที่จะเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจยอมรับการบัพติศมา หรือเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจยอมรับสิทธิในพระเยซูคริสต์นี้ ก็เท่ากับเรากำลังต้อนรับฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทำอะไรบางอย่าง ในวิญญาณของเรา  เป็นขบวนการความรอดยิ่งใหญ่เลย ทำให้เราบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนๆ นั้นทันที ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะอธิบายให้ฟังว่ามันคืออะไร? นี่ได้ที่สุด แค่นี้เอง พระคัมภีร์ก็อธิบายแค่นี้  ที่เหลือต้องให้ท่านชิมเอง มีประสบการณ์เอง เปิดใจเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปทำการงานเอง ท่านก็จะเกิดความรู้อยู่ในใจว่ามันใช่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นจริงตามนั้น  เหมือนที่ท่านร้องเพลงเมื่อสักครู่นี้ …

                        “ข้ารู้….” สุดเสียงเลย

            มันรู้อยู่ในใจลึกๆ เพราะทั้งหมดนี้ … “เกิดขึ้นในใจ” ก็คือท่านรู้ว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืดในอาดัม บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถานเบื้องบน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นสวรรค์ที่ประทับของพระเจ้าจริงๆ  เพราะพระเจ้าประทับอยู่ในใจของฉันแล้ว ฉันก็อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ เอเมน

            ข้ารู้มันอยู่ในใจ เพราะได้ชิม และมันเกิดขึ้นจริงๆ รู้ว่ามันเป็นสวรรค์จริงๆ เป็นที่แห่งเดียว เป็นสวรรค์แห่งเดียวจริงๆ ที่ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตำแหน่งสูงสุด ไม่มีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ อีกแล้ว คือที่อยู่ในสวรรค์ และอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่รองจากอัครสาวก ไม่ใช่  เราทุกคนนั่งอยู่ที่เดียวกัน มีตำแหน่งเดียวกันในสวรรคสถาน คือที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน สูงสุดแล้ว เท่ากัน เหมือนกันหมดทุกคนเลย มันเหลือเชื่อเลยนะ แต่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ เอเฟซัส 2:6 บันทึกไว้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            “และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”

            มวลมนุษย์เข้าใจไหม? มวลมนุษย์มาใช้สิทธิเร็วๆ  พระเจ้าได้ให้ท่านนั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว รีบมารับสิทธิเร็วๆ ไวๆ อย่างนี้เป็นอภิมหาข่าวดีถึงมวลมนุษย์ทุกคนใช่หรือไม่? นี่แหละเป็นข่าวดีที่เขาประกาศมา 2,000 ปี แล้วเมื่อประกาศที่สุด เมื่อคนรู้แล้ว พระวิญญาณก็จะนำมาประกาศอย่างนี้แหละ

            และอย่างที่ผมบอก ทุกวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงกระทำการงานอยู่ในโลกวิญญาณอยู่ ทำอะไร? เคาะประตูหัวใจวิญญาณของท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระวิญญาณถามว่า …

            “แล้วท่าน แล้วเธอ ใช้สิทธิ์ในข่าวดีนี้ แล้วหรือยัง?”

            ใช่ไหม? ถ้าเราตั้งใจฟังเสียงของพระวิญญาณจริงๆ ทุกวันนี้ ข่าวดีนี้ ประกาศไปเรื่อยๆ ข่าวดีนี้ พระวิญญาณกำลังบอกว่า …

            “แล้วเธอล่ะ แล้วท่านล่ะ ใช้สิทธิในข่าวดีนี้แล้วหรือยัง? ข่าวดีนี้เป็นของเธอ เธอแค่เปิดใจยอมรับ ต้อนรับข่าวดีนี้เท่านั้นว่าพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ  พระเยซูเป็นบุตรของมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ ทุกสิ่งทำในนามของมนุษย์  เพราะฉะนั้นพระเยซูทรงกระทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย เป็นขึ้นจากความตายแล้ว มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตาย และได้มีโอกาสเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือความตาย ไม่ต้องกลัวตายอีกต่อไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด กลัวความตาย  แต่เราไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนเรา ชนะความตาย และเอาชัยชนะนั้นมาให้เรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว 1 โครินธ์ 15:55-57 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ อย่างชัดเจนเลย สำหรับผู้ที่รู้ความจริงว่า …

        1 โครินธ์ 15:55-57 “55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            มนุษย์ทุกผู้ทุกนามกลัวความตาย  เพราะรู้ลึกๆ อยู่ในใจ ฟ้องอยู่ในใจเลยว่าตายแล้ว ก็ต้องพินาศ ตายแล้ว ก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ตายแล้ว ก็ตกอยู่ในความมืด ตกอยู่ในการพิพากษา เพราะฉะนั้น กลัวความตายทั้งสิ้น ตรงนี้จึงบอกว่าผู้ใดที่รู้เรื่องนี้แล้ว ใช้สิทธิของเขาแล้ว จึงสามารถประกาศด้วยความเชื่อ จากใจ จากเสียงดังอันฟังชัดมั่นคงว่า …

            “โอ้! ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของเจ้าอยู่ที่ไหน? ไหนฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้คนกลัว อยู่ที่ไหน?”

            ท่านสามารถพูดคำนี้ได้ไหม? … “โอ้! ความตายเอ๋ย”

            นึกถึงภาพว่าในอดีตเรากล้าพูดอย่างนี้หรือ?

            “โอ้! ความตายเอ๋ย ฉันไม่กลัวแล้วความตาย ขอบคุณพระเจ้า ฉันได้รอดนิรันดร์กาลแล้ว ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว”

            เหล็กในของความตาย คือความบาป  ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้เรากลัวตาย เพราะความบาปนี้ บาปที่อยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณของเรา บาปตัวนี้ คือเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถกระทำความดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ โดยไม่ทำผิดบาปเลยแม้แต่นิดเดียว

            และอนุภาพของความบาป คือบทบัญญัติ  ก็แสดงว่าอานุภาพของบาป ก็คือการงาน อาวุธที่ทำให้เราต้องกลัวความบาป แล้วก็ตัดสินเราด้วยอาวุธนี้ อะไรตัดสินเรา บทบัญญัติ

            บทบัญญัติ หมายถึงกฎหมายทางศีลธรรม กฎแห่งการกระทำดี กระทำชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงได้ดีบริบูรณ์ ทำชั่วแค่ครั้งเดียว เท่ากับเป็นคนบาป

            ตัวนี้แหละ เป็นตัวบอกเราว่าเราเป็นคนบาป ฟ้องเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรากลัวตายไง เพราะเรารู้ว่าตายไปแล้ว เราเป็นคนบาป เราต้องได้รับโทษ มันหนีไม่พ้น

            ข้อ 57 บอกไว้แล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์ของเรา เอเมน

            ชนะเหนือความบาปและความตาย มันหมายถึงอย่างนี้ ก็อยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างพลังอำนาจของความบาปและความตายที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาส แห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พึ่งพากฎแห่งกรรม พึ่งพากฎแห่งการกระทำ พระเยซูคริสต์ลบล้างสิ่งเหล่านี้ จนหมดสิ้น ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ด้วยกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ก็คือด้วยขบวนการความรอดที่ผ่าตัดทางวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ นั่นเอง ที่พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตความตาย พระเยซูคริสต์เป็นผู้พิชิต เอาชนะความบาปและความตาย โดยพระองค์ยอมเสียสละ ยอมเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แบกรับเอาความบาป ความทุกข์ทรมานของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากบาป เอาไว้ที่ตัวของพระองค์เอง  โดยการยอมตายบนไม้กางเขน พระองค์จึงเป็นผู้มีชัยชนะ แต่เรามวลมนุษยชาติที่พระองค์ทรงกระทำให้บนไม้กางเขน เราแค่เปิดใจเท่านั้นเอง แล้วก็รับสิทธิของเรา พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าพวกเราทั้งหลาย มวลมนุษย์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ได้ฟรีๆ พระเยซูได้อะไร ฉันได้ด้วย โดยไม่ต้องทำอะไร อย่างนี้ไม่ใช่เป็นผู้พิชิตแล้ว อย่างนี้เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูทำอะไร เราทำด้วย พระเยซูทำจนเหนื่อย จนเสียชีวิต ทุกข์ทรมาน แสนสาหัส  สู้แหลกเลย เราเฉยๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราได้รับไปด้วย เรานี่แหละ ยิ่งกว่าผู้พิชิต

            นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมเราเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ได้ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พระเยซูคริสต์ไม่ใช่ศาสดาของศาสนา พระองค์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป โดยมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทำให้เสร็จทุกอย่าง มนุษยชาติก็ได้ก้าวสู่ยุคใหม่ ยุคพันธสัญญาใหม่ ยุคแห่งตัวแทนใหม่ ยุคแห่งมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่ายุคพระคุณ หรือเรียกว่ายุคนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย โดยการตายและเกิดใหม่  ยุคแห่งการอพยพกลับบ้านสู่สวรรค์ อ้อมกอดของพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเยซูเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งการพักผ่อน  หายเหนื่อยและเป็นสุข ยุคที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสวรรค์ได้ ย้ำอีกทียุคที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง แค่เชื่อและวางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของตนเท่านั้น  เรียกว่ารับสิทธิในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เต็มบริบูรณ์ เหมือนพระคริสต์

            โคโลสี 2:10 … “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวหาเรา)   เหนือพวกผู้ครอบครอง คนที่มีสิทธิอำนาจ (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตีกล่าวหาเรา) และเหนือพวกทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล”

            ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน คือบริสุทธิ์  ชอบธรรม  ดีพร้อม  ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และเกียรติ  เหมือนพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณที่เกิดใหม่

            เอเฟซัส 2:4-6 … “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเรา ได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา  (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            สิ่งเหล่านี้  เกิดขึ้นแล้วในวิญญาณของท่าน และเป็นอยู่ตลอดไปในโลกวิญญาณในพระคริสต์

            โคโลสี 3:1-4 … “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ  เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

            เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ที่พระเจ้าได้ย้ายมาบังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วนั้น ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ ท่านก็อยู่ในสวรรค์เช่นกัน

            ดังนั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ ก็จงดำเนินชีวิตด้วยการรับรู้ว่าเราอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์แล้ว  และสวรรค์ คือพระคริสต์ก็อยู่ในเราแล้ว

            เราอยู่ในพระคริสต์ บังเกิดใหม่  จากเชื้อที่เป็นอมตะนิรันดร์  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และพระคริสต์ อยู่ในเราแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ละเราให้อยู่ลำพัง เรากำลัง เดินทางไปรับร่างกายใหม่   ร่างกายแบบสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สมบูรณ์แบบ   เหมือนพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1411

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  7  เมษายน  2023

เรื่อง “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”  ท่านเคยคิดไหมว่าทำไมพระเยซูต้องตายที่ไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วตายได้อย่างไร? เคยคิดไหม? ถ้อยคำความจริงวันนี้จะเปลี่ยนความคิดของเราไปโดยสิ้นเชิงเลย  แม้ว่าเราจะรู้จักการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่วันนี้ถ้อยคำพระเจ้า จะบอกลึกซึ้งกว่านั้นว่าทำไมพระองค์ต้องตาย และทำไมพระองค์ตายได้ ในเมื่อพระองค์เป็นพระเจ้า

            เราย้อนไปวันนี้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ว่ากันตามจริงแล้ว ในโลกวิญญาณไม่มีเวลานะ ย้อนไปเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มันคือเวลาเดียวกัน ในโลกวิญญาณ เพราะว่าหลุดออกจากวงจรของโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่มีวันเวลาแล้ว มิติฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าอยู่นั้น นอกเหนือเวลา พระองค์เป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ นั่นหมายถึงไม่มีเวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ที่โบสถ์เราระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรากำลังพูดถึง ณ บนโลกใบนี้ ซึ่งมีเวลา วงจรของโลกที่หมุน รอบมา 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว

            2,000 ปีที่แล้ว เราย้อนกลับไปตามเวลาของมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นในวันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูเมื่อเช้ามืด ถูกเฆี่ยน ถูกตีปางตาย ต้องใช้คำนี้เลยนะ ปางตาย คือจริงๆ แล้วต้องการให้ตายนั่นแหละ เพราะการลงโทษชนิดที่ถูกเฆี่ยน โดยชาวโรมัน เป็นการลงโทษ ที่ต้องการให้นักโทษถูกเฆี่ยนจนตาย และส่วนใหญ่ตาย ไม่ได้ถูกตรึงนะ ไม่ทันไปตรึง ตายซะก่อน แต่พระเยซูถูกเฆี่ยนจนครบ ไม่ตาย ก็ต้องรับโทษต่อไป ก็คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ถูกนำตัวไปตรึงที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันนี้ วันศุกร์ นึกถึงภาพว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อเช้านี้ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะมาอ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันว่าถูกตรึง คือตั้งแต่ 9 โมงเช้า – บ่าย 3 โมงนั้น สุดท้าย เกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงตายอย่างไร? หลังจากถูกเฆี่ยน ถูกตี ด้วยความเจ็บปวดปางตาย ยอห์น 19:28-30 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ยอห์น 19:28-30 “หลังจาก​นั้น​ พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ ​ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ”  มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้ ​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ ก็​คอพับ​ และ​สิ้นใจ​ตาย”

            อย่างเมื่อสักครู่นี้ ต้องการให้เราได้เห็นภาพเป็นจริงว่ากำลังเกิดขึ้นวันนี้ เมื่อเช้านี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างนี้

            อยากให้ท่านเห็นคำสุดท้าย ที่เขียนบอกว่า “พระองค์จึงร้องเสียงดังว่า “สำเร็จแล้ว”

            อะไรนะสำเร็จ  ก็คือการตายของพระองค์ได้ตายจริงๆ และสำเร็จแล้ว แสดงว่าพระเจ้าเตรียมให้พระองค์มาตาย และพระองค์ก็ตายสำเร็จแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นเหตุเนื่องจากการตายของพระองค์นี่แหละ สำคัญกว่าการถูกโบยตีเมื่อสักครู่นี้ ปางตายอีก การตายสำคัญมาก และข้อสำคัญต่อมา

            บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ทรงคอพับ และสิ้นใจตาย”

            นี่คือคำแปลของเวอร์ชั่นหนึ่ง  แต่ถ้อยคำนี้ ภาษาเดิมพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ แปลว่าอย่างนี้

            “ยกเลิกวิญญาณ” แปลว่ายกเลิกชีวิต ก็คือยอมตาย

            ไม่มีใครเอาชีวิตพระองค์ได้นะ นี่แหละพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ตรงนี้ต้องบอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็ยอมตาย ยอมสละชีวิต ถ้าบอกว่าพระองค์สิ้นใจตาย บางทียังนึกว่าเพราะว่าถูกคนทรมานจนตาย ไม่ใช่ พระองค์ไม่ตายก็ได้ พระองค์เป็นพระเจ้า

            ผมชอบเพลงๆ หนึ่ง เป็นเพลงชีวิตคริสเตียนเก่าแก่เป็นร้อยปี พูดถึงตรงนี้ชัดเจน อยู่ในเพลงนั่นแหละ ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี เพลง “ที่กางเขน” เดี๋ยวเราร้องกันนิดหน่อย สักท่อน

                        “พระโลหิตของพระเยซูไหล         พระองค์ทนทุกข์อับอาย

                        จนในที่สุด พระองค์ต้องตาย          ก็เพื่อล้างบาปของข้า

                        ** ที่กางเขน ที่กางเขน ข้าแลเห็นความสว่าง

                             และความหนักใจอันใหญ่ยิ่งได้หลุดหาย

                             เพราะข้าดูกางเขน จึงแลเห็นกระจ่าง

                             เดี๋ยวนี้ ข้าจึงมีความสุขสบาย **

            เราทั้งหลาย มวลมนุษยชาติมีความสุขสบาย ก็เพราะการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ต้องตาย คำนี้คำเดียว มีความหมายมาก ลึกซึ้งมาก คราวนี้ท่านมองที่กางเขน ท่านเห็นอะไร? อดีตท่านอาจจะรับเชื่อมานานแล้ว ท่านมองกางเขน ท่านอาจจะเห็นความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ถ้ามองทะลุลึกไปกว่านั้น ท่านจะเห็นการตายของพระเจ้าด้วยความรัก พระเยซูต้องการให้เราเห็นลึกกว่านั้น ไม่ใช่เห็นความรักของพระองค์เท่านั้น เห็นการตายของพระองค์เท่านั้น แต่เห็นว่าพระองค์ตาย เพื่ออะไรเกิดขึ้นกับเรา ตรงนี้ต่างหาก ซึ่งวันนี้ผมจะพาท่านไปดูว่าพระเยซูต้องการให้เราเห็นอะไร? รู้อะไร? เกี่ยวกับการตายของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:8 “แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​ (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ ตอนนี้พระเจ้า​ยอมรับ​เรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว ​เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์”

            พระองค์รักเรา ถึงได้ยอมส่งพระคริสต์ พระบิดา ยอมก่อน นึกภาพนะ และพระคริสต์ก็ต้องยอมด้วย จำได้ไหม? พระบิดาวางแผนไว้ให้พระบุตร มาตายที่ไม้กางเขน แล้วพระบุตรก็ต้องยอมด้วย และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

            เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็เพราะว่าเมื่อคืนวานนี้ วันพฤหัส ช่วงหัวค่ำ ก่อนที่จะถูกจับไปตรึงไว้ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์รู้แล้วว่ารุ่งขึ้น มันถึงวันที่กำหนดแล้ว  พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปีแล้ว เหตุการณ์จะเกิดขึ้น ในวันพรุ่งนี้แหละ คืนนี้เขาจะมาจับไปแล้ว รุ่งเช้ามืด ก็จะถูกเฆี่ยน ปางตาย แล้วก็จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  และต้องตาย ตายตามน้ำพระทัย พระองค์ทรงทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงทำ ในคืนวันนั้น คืออธิษฐาน ไม่ไปได้ไหม? …

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เป็นไปได้ไหมที่ลูกไม่ต้องตาย”

            อธิษฐานครั้งแรก … พระเจ้า คือพูดง่ายๆ ก็ตอบโดยเงียบ ก็คือไม่ได้ ต้องตามแผน ต้องตาย กลับไปอธิฐาน ขอกำลังจากพระเจ้าใหม่ อธิษฐานอีก

            พระเยซูบอก … “พระเจ้าครั้งที่ 2 ไม่เข้าไปให้เขาจับตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม? ลูกไม่ไหว”

            พระเจ้าก็ตอบเหมือนเดิม คำเดิมว่า “ไม่ได้” ต้องเป็นไปตามน้ำพระทัย ตามแผนการ

            จนครั้งที่ 3 ทรุดเข่าลงไป เหงื่อออกเป็นเลือด กลัวมาก เครียดมาก พระเจ้านี่ครั้งที่ 3 แล้ว เป็นไปได้ไหม? นี่ขนาดพระเยซูนะ และในที่สุด คำตอบ ก็คือเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต้องตาย ในที่สุด พระองค์ก็ต้องตัดสินใจ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

            เราจึงได้รู้สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนี้ มันยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นะ ยังถึงขนาดนี้เลย แสดงว่ามันต้องสำคัญมาก และลึกไปกว่านั้น ก็แสดงว่าต้องมีแผนการอะไรดีๆ ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติแน่นอนเลย เปลี่ยนไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำจนสุด คือพระบุตรต้องตาย

            ตะกี้ที่เราอ่านในโรม 5:8 บอกว่า … “โดยยอมส่งพระคริสต์มาตาย เพื่อเรา

            ถามว่าคำว่า “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใคร? หลายคนบอกว่าหมายถึงเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ใช่

            พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก รักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด ใช่ไหม? ตรงนี้หมายถึงการตาย เพื่อมนุษยชาติ  ไม่ใช่ตายเพื่อคริสเตียนเท่านั้น ตายเพื่อมวลมนุษย์

            มี 2 อันที่เห็นชัดเจน ในข้อความที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ ก็คือ …

            1. หลั่งพระโลหิตของพระองค์ อภัยความบาปผิดของมวลมนุษยชาติทั้งหมด โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น ถูกเฆี่ยน ถูกตีนั่นแหละ  ปางตายนั่นแหละ เลือดหลั่งไหลออกมา จนกระทั่งถึงไม้กางเขนนั้น เลือดทั้งหมดนั้น คือการชำระความบาปให้กับมวลมนุษยชาติ แทนที่เราจะถูกเฆี่ยนตี พระองค์ยอมถูกเฆี่ยนตีแทนเรา แค่นั้นไม่พอ ซึ่งจริงๆ ก็พอแล้วนะ  อภัยในความบาปผิดของเราแล้ว แต่วิญญาณเราก็ยังเป็นคนบาปอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เป็นคนบาปที่ได้รับการอภัย ท่านนึกภาพออกไหม?

            2. พระเจ้าบอกไม่ได้ แค่นั้นไม่พอ ต้องตาย “ตาย” คืออะไร? สิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายไปด้วยกันกับพระองค์  และเมื่อตายไปกับพระองค์ จะได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พร้อมพระองค์ด้วย เอเมน

            นี่คือแผนการอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าวางไว้ว่าพระเยซูต้องตาย ก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตายเพื่อตัวเอง  ไม่ใช่ตาย เพราะว่าจำเป็นกับคนอื่น ต้องฆ่าให้ตาย บังคับให้ตาย ไม่ใช่ แต่ยอมตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวง จะได้มีโอกาสมาตายพร้อมพระองค์ และได้บังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ พ้นจากบาป (จริงๆ เลย) เป็นคนใหม่ คนเก่าตายไปแล้ว  ไม่ใช่เป็นคนบาปเหมือนเดิม แล้วได้รับการอภัยด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ท่านเห็นภาพไหมว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? หลายคนดูไม้กางเขน นึกถึงการตายของพระเยซู นึกถึงแค่ …

            “พระโลหิตของพระเยซูชำระบาปให้กับลูก แค่นี้ก็ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ ลูกพ้นจากความบาปผิดเรียบร้อยแล้ว”

            ลืมคิดไปว่าวิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่ ใส บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เป็นลูกของพระเจ้าเลย ตรงนั้นต่างหาก ที่ได้รับมา โดยผ่านทางไม่ใช่โลหิตแล้ว ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เพื่อคริสเตียนเท่านั้น เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระองค์ ฟังให้ดีๆ นะ  ถ้าพระองค์ยอมตายเพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายด้วย  ก็แสดงว่าเราทั้งหลายต้องเข้าไปอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  แสดงว่าก่อนหน้านี้  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เราเป็นคนบาป ในโลกวิญญาณ

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะได้ย้ายให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในพระองค์ ตอนตายได้  และคำๆ นี้เป็นคำที่ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย  ก็คือการย้ายเข้าไปอยู่ในพระองค์ การตายพร้อมพระองค์นั้นใช้คำว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป แปลว่าเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูบัพติศมากันใหม่  ซึ่งเราเรียกกันว่าบัพติศมาในพระคริสต์ ก็คือบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งแต่เดิมนั้น เราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง พระองค์จึงย้ายเราออก พระคัมภีร์บอกเราเป็นคนบาป เรามนุษย์ทั้งปวง เกิดมา ก็บัพติศมาแล้ว แต่เป็นการบัพติศมาอยู่ในบรรพบุรุษของมนุษย์ที่เรียกว่าอาดัม DNA ในวิญญาณ เราอยู่ในนั้น เราถูกจุ่มอยู่ เราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาดัม พอจะมองภาพเห็นไหมครับว่านี่คือแผนการของพระเจ้า

            คืนวันพฤหัส พระองค์อธิษฐาน ตัดสินใจแล้วว่ายอมตาย พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทำอะไร? พอตัดสินใจได้ปุ๊บ ฮึดขึ้นมา ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจ ยังไม่กลัว ตอนกลัว คือกำลังจะถูกจับ ในไม่ช้า ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนหน้านี้ พระองค์ไม่เคยกลัวเลย  ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงอายุ 33 จนกระทั่งถึงวันพฤหัสตอนเย็นๆ ก็ยังไม่กลัวเลย แต่มากลัวเอาตอนหัวค่ำ ก่อนที่เขาจะมาจับพระองค์ เพราะมันใกล้วันนั้นจริงๆ แล้ว พระองค์รู้ด้วยพระองค์มาทำอะไร? แล้วพระองค์กระทำสิ่งหนึ่งร่วมกับเหล่าสาวก เพื่อยืนยันสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือการบัพติศมา การตายของพระองค์ เพื่อให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในการตายของพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ พระองค์กระทำสิ่งหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนตาย ซึ่งเราเรียกกันว่าพิธีมหาสนิท ซึ่งวันนี้ เดี๋ยวเราจะทำกัน แต่เราจะย้อนไป ภาพเป็นจริง เหมือนกับเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ ก็คือเมื่อวานนี้วันพฤหัส ช่วงเย็นๆ เราจะทำมหาสนิทกัน แล้วจำลองภาพให้เห็นว่าพระองค์ทำอะไร? และทำเพื่ออะไร?  และเป็นที่มาของมหาสนิท ที่เราทำกันทุกวันนี้  ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม? ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร? การทำมหาสนิทหมายถึงอะไร? ที่เราทำอยู่บ่อยๆ นี้ เราจะมาดูกันถึงครั้งแรกของมหาสนิทที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งพิธีตั้งโดยพระเยซูคริสต์เอง

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงตั้งพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อเป็นการทดแทนพิธีปัสกาของชาวยิว  เพราะเป็นเทศกาลปัสกาของชาวยิว ที่มีการรับประทานขนมปังไร้เชื้อ และแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงใช้โมเสส นำพาชาวยิวอพยพออกมาจากอียิปต์ ซึ่งเรื่องเทศกาลนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม อพยพ บทที่ 12 ถึงบทที่ 13 ท่านไปเปิดอ่านดูนะ ซึ่งเหตุการณ์นั้น ในพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ที่กำลังจะมาเป็นแกะปัสกาในวันพรุ่งนี้ นึกภาพออกนะ

            เพราะว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด พูดถึงพระเยซูทั้งสิ้น ทุกอย่างเล็งมาที่พระเยซูคริสต์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่จะต้องตายที่ไม้กางเขนทั้งสิ้น พระเจ้ายืนยันพันธสัญญาไว้ว่าจะทำอย่างนี้ ให้กับมนุษย์ เหมือนกับบอกล่วงหน้าไว้เลยว่าเราจะทำอย่างนี้ๆ เป็นเวลาหลายพันปีเลย โดยพระเมสิยาห์ ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นปัสกานี้ ลักษณะแบบเดียวกับวันปัสกาในสมัยโมเสส ซึ่งเป็นวันที่ปลดปล่อยประชากรของพระเจ้า ให้หลุดออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ พระเยซูก็มาปลดปล่อยเราให้หลุดจากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณของความบาปและความตาย

            เรามาดูว่าในเย็นวันนั้น อาหารมื้อสุดท้าย แทนที่จะเป็นปัสกา แล้วพระเยซูเปลี่ยนการกินปัสกานั้น มาเป็นสิ่งนี้แทนว่าของจริงมาแล้ว ปัสกาที่เคยทำในอดีตนั้น เป็นของสมมติ เล็งให้เห็นถึงวันที่พระเยซูคริสต์จะมา และตอนนี้ พระองค์มาแล้ว ของจริงมาแล้ว 

            เรานึกถึงภาพวันนั้นนะ หัวค่ำคืนวันพฤหัส ที่เราเรียกว่า Last Supper หรืออาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ลูกา 22:14-20 …

        ลูกา 22:14-20 “เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทาน ปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”  พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วตรัสว่าจงรับถ้วยนี้ แบ่งกันดื่ม เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง” และพระองค์ ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านจงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน แล้วตรัสว่า “ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

            ให้เรานึกถึงอย่างที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้น ไม่ใช่อดีต 2,000 ปี มันเกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ย้อนมาเมื่อวานนี้เอง นึกถึงภาพเรานั่งอยู่ที่โต๊ะกับพระองค์ด้วย พระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อเรา เรา คือผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น และพระองค์กระทำอย่างนี้ เราจะทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน  ปกติแล้ว เป็นมื้ออาหารจริงๆ นะ แต่มาหลังๆ เนื่องจากคริสตจักร มีเยอะขึ้น แล้วคนก็มากขึ้น เขาเลยทำสะดวกๆ พิธีนี้เพื่อระลึกถึง ขนมปังก็ก้อนเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเล็กถึงทุกวันนี้ กระจิ๋วเดียว น้ำองุ่นแทนที่จะเป็นแก้วใหญ่ๆ กินเป็นอาหารกันจริงๆ อาหารทางอิสราเอล ทางตะวันออกกลาง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเปล่า เขาดื่มไวน์ ดื่มน้ำองุ่น

            จะอ่าน 1 โครินธ์ 10:16-17 อ่านให้ท่านฟังก่อนนะ …

        1 โครินธ์ 10:16-17 “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            ขนมปังหมายถึงอะไร? ขนมปังที่เราหัก คือการเข้าร่วมกันในพระกายของพระคริสต์ สมมติว่านี่คือร่างกายของพระเยซู (ขนมปัง) นึกออกไหมครับ? เรากินเข้าไป ก็เท่ากับเรามีส่วนในร่างกาย  ในเนื้อ เนื้อกับเนื้อร่วมกัน  และพอเราดื่มน้ำองุ่น คือเลือด เลือดเรากับเลือดพระเยซู เลือดต่อเลือดเข้ากัน เคยได้ยินคำนี้ คุ้นๆ ไหม? ที่เขาเรียกว่า …

            “ท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจากพ่อแม่”

            เลือดเนื้อเชื้อไข ก็คือเราเกิดมาจากเซลของพ่อแม่ของเรา เรามีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากพ่อแม่ของเรา พอนึกออกใช่ไหม? แต่ตรงนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแบบวิญญาณ พระเยซูไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? พระเจ้าไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? จึงยกตัวอย่างอย่างที่มนุษย์พอจะเข้าใจ พอมองเห็นได้ ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข  แต่จริงๆ แล้วเล็งไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายด้วยนะ เดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป แต่ตอนนี้ให้ท่านรู้ว่าที่ท่านทำมหาสนิทอย่างนี้  ที่พระเยซูให้ท่านกินขนมปัง หมายถึงร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น เหมือนกับดื่มเลือดของเรา ท่านกำลังเข้ามามีเลือดเนื้อเชื้อไขร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจหรือยังครับ?

            จะกินน้ำองุ่นก่อนก็ได้ หรือจะกินขนมปังก่อนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะกินขนมปังก่อน แล้วค่อยกินน้ำตาม เพราะจะได้ลื่นคอหน่อย เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ถ้าเข้าใจ กินขนมปังและน้ำองุ่นพร้อมกันครับ ตอนกินไป ก็ระลึกถึง ที่ผมบอกตะกี้นี้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            แล้วระลึกถึงว่าที่เรากำลังทำอยู่นี้ เป็นแค่สมมติ เมื่อตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนั้น ก็เป็นสมมติ แต่สมมติเขากินจริงๆ กินขนมปังไร้เชื้อ เป็นก้อนจริงๆ ดื่มน้ำองุ่น คือน้ำองุ่นจริงๆ แต่อันนี้เราสมมติเอา

            พระองค์กระทำเช่นนี้ เพื่ออะไร? แล้วบอกให้เราทำบ่อยๆ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันพรุ่งนี้ จำได้ไหมตะกี้เราพูดกัน พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ตอนวันพฤหัสตอนเย็น ก่อนจะถูกจับ พระองค์รู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทำอย่างนี้ๆ พรุ่งนี้ ท่านจะได้ระลึกถึงสิ่งที่เราทำนี้ และให้ทำบ่อยๆ  ทำครั้งใดให้ระลึกถึงเรา ระลึกถึงเลือด ระลึกถึงร่างกายที่ตาย เพื่อท่านทั้งหลาย เลือดที่หลั่งออกมาชำระบาปให้กับท่าน และทำให้ท่านกับเราได้บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังทำสิ่งนี้ เป็นการประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประกาศมา 3 ปี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่ประกาศว่าให้กระทำสิ่งนี้

            นี่คือข่าวดีเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ที่พระองค์ประกาศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกจับไปเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกตรึง จนกระทั่งยอมสละชีวิตพระองค์เอง ยอมยกเลิกวิญญาณ ซึ่งขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ ที่เรากินเมื่อตะกี้นี้  ทิ่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน    น้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา   เพื่อชำระล้างความผิดบาปให้กับเรา การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่นเล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน แบบสนิทกัน เลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับวิญญาณของผู้เชื่อของมนุษย์ทั้งหลาย  คือบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้าเดียวกันเลย

            และว่ากันตามจริงแล้ว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แบบร่างกาย ความคิด จิตใจ และวิญญาณ 3 อย่างเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย อย่านึกว่าร่างกายเราสกปรกอีกต่อไป ไม่มีอีกแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านก็ต้องเชื่อในสิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูบอกเช่นเดียวกัน ก็คือพระองค์ทรงยอมตาย ก็เพื่อสิ่งนี้  ที่เราจะได้เข้าไปร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายท่านก็ได้ถูกชำระ และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ที่จะได้รับร่างกายใหม่  แต่ร่างกายปัจจุบันที่ยังอยู่นั้น ท่านอาจจะบอกว่าเป็นร่างกายเดิม ฉันยังอยู่เหมือนเดิม ยังแก่เหมือนเดิม แต่มันได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ปกคลุมอยู่เหนือท่านตลอดเวลา เป็นร่างกายใหม่แล้ว แต่ท่านมองดู มันยังเก่าอยู่ก็จริง แต่ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ สมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อจากร่างกายนี้ไปแล้วนั่นเอง

            ใน 1 โครินธ์ 10:16-17 เมื่อสักครู่นี้จึงบอกว่า … “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ?”

            เข้าร่วม แปลว่าเข้าเลือดเนื้อเชื้อไข เข้าเลือด และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมไม่ใช่หรือ? คือเลือดก็เข้าด้วยกัน เนื้อก็เข้าด้วยกัน เหมือนกับเราเกิดจากพ่อแม่เราไม่มีผิด

            “เนื่องจาก มีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            นี่หมายถึงพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  ก็เข้าส่วนร่วมในพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวกันเท่านั้นเอง เราเลยร่วมกัน นี่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างให้เห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ  เพื่อจะได้เห็นในโลกวิญญาณว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? คริสเตียนทุกคนที่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา ก็คือเปรียบเสมือนพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ แล้วพวกเราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะต่างๆ ของร่างกายนี้ พอจะมองเห็นใช่ไหม? ทั้งหมด ก็ยังเป็นรูปร่างของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท ก็เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ระบบของเครื่องบูชาต่างๆ สมัยปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมได้สิ้นสุดลง จบแล้ว ไม่ต้องทำอีกต่อไป  ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์ทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา แค่ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในฮีบรู 7:27 …

        ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของตนเอง จากนั้น จึงถวายเครื่องบูชา  สำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา  สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            หลังจากที่พระเยซูกระทำมหาสนิทในค่ำวันพฤหัสแล้ว แล้วก็สั่งให้สาวกทำบ่อยๆ ให้ระลึกถึงบ่อยๆ จนพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เหล่าสาวกก็เชื่อฟัง และกระทำสิ่งนี้มาตลอด เป็นเรื่องสำคัญที่ทำกัน ไม่ใช่แค่ทำกันปีละครั้งหนึ่ง หรือเดือนละครั้ง ทำกันบ่อยๆ เลย เมื่อมีโอกาสทานข้าวด้วยกัน ก็จะระลึกถึงอย่างนี้ มีโอกาสพิเศษ ก็ระลึกอย่างนี้ มาอยู่ร่วมกันก็ระลึกถึงอย่างนี้ ทำไมระลึกถึง? เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่พระเยซูจะตาย พระองค์ทรงทิ้งคำนี้เอาไว้ให้ว่าให้กระทำอย่างนี้บ่อยๆ จงระลึกถึงเรา ที่เราทำให้ จงระลึกถึงเลือดของเรา ระลึกถึงร่างกายของเราที่จะตายเพื่อท่าน แสดงว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก และไม่อยากจะให้มนุษย์ลืม คิดดูสิ ขนาดสาวกเหล่านี้ทำต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ทั้งเปาโล ผู้ซึ่งมาเป็นอัครสาวกทีหลัง เขาเน้นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ พระเยซูสั่งให้เปาโลประกาศอย่างนี้ว่าให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ทำกันมาบ่อยๆ ขนาดทำกันมาบ่อยๆ มาถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมา คิดดูสิ ยังลืมเลย ถามว่าลืมหมายถึงอะไร? ลืมความจริงไปว่าทำนี้เล็งถึงอะไร? พระโลหิตหมายถึงอะไร? ร่างกายพระองค์แตกหักเพื่ออะไร? พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่ออะไร? ความจริงเหล่านี้ถูกเลือนหายไปเยอะแยะเลย

            ซึ่งการกระทำเหล่านี้ พระเยซูบอกแล้วว่าวัตถุประสงค์ของพระเยซู ก็คือต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐ หัวใจก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย จะได้ร่วมตายกับพระองค์ด้วย หัวใจไม่ได้อยู่ที่การเป็นขึ้นจากความตายนะ นึกให้ดีๆ แล้วลองคิดดูว่าความจริงในเรื่องนี้ ที่พระเยซูให้เราย้ำยืนยัน กลัวเราลืม แล้วเราลืมขนาดไหน? เราฉลองวันอะไรมากกว่ากัน วันเกิดของพระเยซู วันคริสตมาสเราฉลองกันใหญ่โตเลย รองลงมา เราก็ฉลองวันเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐไม่มีคนพูดถึง ทั้งๆ ที่ความสำคัญที่สุด อยู่ที่วันศุกร์ประเสริฐ วันตาย

            พระองค์เกิดวันคริสตมาส แต่มาถึงวันศุกร์ พระองค์ไม่ยอมตายก็ได้ เห็นไหมครับ อะไรสำคัญกว่า พระองค์ตัดสินใจยอมตาย  ตายสำคัญกว่า ถูกไหมครับ?  พระองค์เกิด พระองค์ไม่ตายก็ได้  แล้ววันเป็นขึ้นจากความตายล่ะ? เป็นขึ้นจากความตายไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสเลย  เพราะถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีทางเป็นขึ้นจากความตาย

            เพราะฉะนั้น ความสำคัญ หัวใจของข่าวประเสริฐ จึงอยู่ที่การตาย สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่ให้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่ออะไรที่พระองค์ทรงกระทำ เป็นข่าวดีนั้น ข่าวดีถูกทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว บริบูรณ์แล้ว

            พอพระองค์ทรงเกิดในรางหญ้า  และพระองค์ก็ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ไม่ได้พูด ถูกไหม?  เป็นขึ้นจากความตาย ก็ไม่ได้พูดนะ  แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Tetelestai” ภาษากรีก ทรมานมากเลย อยู่บนไม้กางเขน ร้องเสียงดังว่า “Tetelestai” สำเร็จแล้ว ที่ทุกข์ทรมานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้า ไม่มา ในที่สุด ก็ทำสำเร็จแล้ว ยอมตายแล้ว จบแล้ว อะไรสำเร็จ? ก็คือข่าวประเสริฐนั่นเอง มวลมนุษยชาติได้รับการไถ่บาปจนหมดสิ้นแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้าแล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์แล้ว มนุษย์สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระองค์แล้ว มันเป็นแล้ว มันเกิดแล้ว มันได้แล้ว นี่คือข่าวดีให้ประกาศออกไปให้กับใคร? ให้กับคริสเตียนทุกคน  ไม่ใช่ ประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคนว่าเขาได้รับแล้ว

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาแล้วหรือยัง? แล้ว สำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว  เพียงแต่เขารู้ข่าวดีหรือยัง? เมื่อรู้แล้ว เขาจะรับสิทธิเขาไหม? สำคัญที่สุด พระองค์ทรงบังคับใครไม่ได้  แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้แล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้มาโดยเป็นของขวัญ ของประทานจากพระบิดาและพระบุตรร่วมกัน เป็นพระคุณที่มนุษย์ทั้งหลายไม่ต้องทำอะไรเลย จึงจะได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาเดิมที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง อยู่ใต้พันธสัญญาเดิม  ก็คือพันธสัญญาแห่งการกระทำด้วยตนเอง พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎระเบียบ ศีลธรรม ต้องทำความดีเยอะๆ ถึงจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  แต่นี่ให้ฟรีๆ  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับสิทธิของตนเอง มันง่ายมากเลย ก็เลยไม่เชื่อ เพราะมันง่ายไป ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ

            “สำเร็จแล้ว” คืออะไรอีก? อะไรที่สำคัญตรงนี้ ตะกี้นี้ผมบอกตอนต้น  สำเร็จแล้ว คือการบัพติศมาไง บัพติศมาสำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว

            ขบวนการรับบัพติศมาในพระวิญญาณ พร้อมแล้ว สำเร็จแล้วกับมนุษย์ทุกคนที่จะเปิดใจเข้าไปสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระเจ้า ขบวนการนี้สำเร็จแล้ว ตั้งขึ้นมาหมดแล้ว ณ วันนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งเมื่อไร? เมื่อเช้านี้ ตอนที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ถ้าในโลกวัตถุ ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณเมื่อเช้านี้ ตั้งอยู่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือขบวนการ การบัพติศมาในพระวิญญาณของพระเจ้า การบังเกิดใหม่ ได้เริ่มต้นแล้ว  สำหรับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ว่าจะชาติใด ศาสนาใดก็ตาม สำหรับเขา เป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปิดใจ ก็จะได้รับความรอด จากความพินาศ ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ในที่ที่เราเรียกกันว่านรก ย้ายออกจากนรก อาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีจริงๆ  โดยกำเนิด เป็นคนดีเหมือนพระเจ้าเลยทางวิญญาณ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที

            พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร เราก็ได้รับไปด้วย  เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้อะไร เราได้ไปด้วย พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ด้วย และทั้งหมดนี้ เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเกิดขึ้นทันที ไม่ต้องรอ

            พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้บัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระองค์ ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกของพระเจ้า หรือได้รับมรดกจากพระบิดา ที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู แล้วพระเยซูก็ให้กับพวกเราอีกที  เพราะว่าเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เหมือนที่ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเปิดใจต้อนรับ ทันทีทันใดปุ๊บ  เราก็ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระคริสต์ พระคริสต์ก็มาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนี้ต่อไป เราเดินไปที่ไหนก็ตาม เราก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร ฉันก็ได้รับด้วย พระเยซูคริสต์เป็นอะไร ฉันก็เป็นด้วย  พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ฉันก็นั่งด้วย พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ฉันก็สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องเรียนรู้ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าในแต่ละวัน เรียนรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างไร? ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พระเยซูคริสต์มีลักษณะเป็นอย่างไร?  ก็เรียนรู้ไป  แล้วก็เชื่อเท่านั้นเองว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เรามองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา ก็คือการจุ่ม ใส่เราเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ตอนนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านเห็นคำว่า “บัพติศมา” เมื่อไร? ท่านใส่คำนี้เข้าไปแทนที่เลย “เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน” ท่านทั้งหลายบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือท่านเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ บัพติศมา ก็คือการย้ายเราออกจากที่เดิมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะก่อนหน้านี้ เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความมืด

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา พูดง่ายๆ ก็คือการผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืดในอาดัม มาอยู่ในความสว่างในพระคริสต์ โดยให้เรามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โดยบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ ในหนังสือโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าพอเราบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ เราก็ตายพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  ตัวเก่าเราที่เป็นตัวบาป สกปรก โสโครกตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงตาย ก็เพื่อเราจะได้ตายด้วย และเมื่อเราตายด้วยปุ๊บ เราอยู่ในพระองค์แล้ว พระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระเจ้า พระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่สาม  เราก็เป็นร่วมกับพระองค์ด้วย  พระองค์ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ได้รับสิทธิอำนาจทั้งหมด ในโลก สวรรค์ก็ดี  3 โลกเลยก็ตาม อะไรแล้วแต่ เราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้นไปด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

            แล้วมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง แค่เปิดใจเท่านั้นเอง แค่เปิดใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ มันเป็นจริง แล้วรับสิทธิของท่าน มันก็เกิดขึ้นทันทีในวิญญาณ ในชีวิตของท่านทันที ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วย ท่านจะรู้ รู้เพราะมันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจะรู้จากภายในของท่านว่ามันใช่จริงๆ ท่านไม่สามารถพิสูจน์ก่อนที่จะเข้าไปบัพติศมาได้  เพราะว่ามันไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ  ท่านต้องบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เสียก่อน แล้วท่านถึงจะรู้ว่ามันเป็นจริงๆ  ท่านกลับไปคิดดูแล้วกันสิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร? ต้องค่อยๆ คิดไปทีละนิด

            ที่กำลังพูดไปทั้งหมดนั้น เป็นมรดก เป็นพินัยกรรม ที่พระเยซูได้รับ และให้มนุษย์ทั้งปวง มนุษยชาติทั้งหมด มีสิทธิ์เข้าร่วมรับมรดกนี้ ร่วมกับพระองค์ และมรดกนี้ พินัยกรรมนี้ มีผลบังคับใช้เรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายแล้ว มรดกถึงเริ่มทำงาน เอเมน คนตายแล้ว พินัยกรรมถึงจะเริ่มทำงาน พระคัมภีร์บอกไว้ พระเจ้าตั้งมรดกนี้ ไว้ตั้งนานแล้ว รออย่างเดียว รอผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตายเมื่อไร? มรดกมาถึงมวลมนุษยชาติทันที  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน?

            ต้นไม้แห่งอาดัม  หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์  ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี  หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

            การบังเกิดใหม่  คือการย้ายจากที่อยู่เดิม  ในอาณาจักรแห่งความมืด  มาอยู่บ้านใหม่  คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร  ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์

            ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า  ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ออกจากที่เดิม คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์

                        ➢ ออกจากการอยู่ในความตาย  มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์

                        ➢ ออกจากการเป็นทาส   มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระเจ้าบอกความจริง ในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรา  มองดูข้างนอกเหมือนมีชีวิต   แต่วิญญาณข้างในตัวตนจริงๆ  ตายอยู่  แค่รอเวลา เหมือนต้นไม้เขียวชอุ่มที่มีรากเน่า ไม่ช้าไม่นานก็แห้งตาย

            ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณข้างใน ร่างกายภายนอกนี้  ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวัน ที่จะเสื่อมสลาย  เน่าเปื่อยลง

            สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่  ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ  ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้อาดัมในบาป  เป็นกิ่งหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้น  อาจยังดูเขียวอยู่   ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่รากที่อยู่ใต้ดิน ที่มองไม่เห็นนั้นเน่าหมดแล้ว กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นไม้อาดัม ก็เพียงแค่ รอวันที่จะทยอยเหี่ยวแห้ง  เฉาตายลง

            วิธีเดียวที่จะให้กิ่งไม้ กลับมามีชีวิต  ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม   แล้วย้ายไปทาบกิ่ง ต่อติด  อาศัยอยู่ ในต้นไม้แห่งพระคริสต์ ก่อนที่กิ่งนั้นจะตายลงเอาไปเผาไฟพินาศ

            ถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน? ต้นไม้แห่งอาดัม หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            ทั้งหมดนี้  ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว  ในโลกวิญญาณ

            เพียงแค่เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้า เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณเรา เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ต่อกิ่งเข้ากับลำต้นพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่า ยินยอม รับการบัพติสมา  เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            เป็นการเข้าสู่กระบวนการ การบังเกิดใหม่ โดยการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ร่วมกับพระองค์ ในสวรรค์สถาน

            คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร   มีอะไร   เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น   และมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1410

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 23

โดย วราพร  คงล้วน

            ในพระธรรมเอเฟซัส 3:13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:13 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอท่านอย่าท้อใจ เนื่องด้วยความทุกข์ยากของข้าพเจ้า เพื่อพวกท่าน ซึ่งเป็นสง่าราศีของท่าน”

            อาจารย์เปาโลได้พูดคุยกับชาวเอเฟซัส ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิว ฉะนั้น กลัวๆ กล้าๆ  เขามีความรู้สึกว่าได้หรือ? เราไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า เราสามารถเข้ามารับพระพร ร่วมกับคนยิวได้ จริงๆ หรือ? อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นไปได้จริงๆ  นี่คือแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  หรือเผลอๆ ก่อนที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป ด้วยซ้ำไป พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ายังไง มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป  พระองค์ก็เตรียมการ เตรียมพระเยซูคริสต์ มาเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติ พระเจ้าก็ทรงเตรียมชาวยิวก่อน ซึ่งชาวยิวก็จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ หยิ่งทะนงในความเป็นประชากรของพระองค์ เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ  ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้า พอตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ได้ถูกประกาศออกไป ให้คนต่างชาติด้วย

            สาวกของพระเยซูมี 12 คน แล้วสาวก 12 คนให้ไปประกาศกับคนยิว  ส่วนสาวกพิเศษอีกคนหนึ่งที่มากลับใจใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกคนนี้ ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่พระเยซูประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ให้กลับใจใหม่ แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว สาวกคนนี้ก็ต่อต้านพระเจ้ามากๆ เลย สาวกคนนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลเป็นหนึ่งในพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่รู้กฎระเบียบของโมเสสแบบชัดเจนมาก แล้วก็เคร่งครัด ในกฎระเบียบด้วย เขามีความรู้สึกว่ามีเพียงทำตามกฎระเบียบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น ที่จะสามารถไปถึงพระเจ้าได้ ได้รับความรอด จากพระเจ้าได้ เขาลืมไปว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญากับคนยิวไว้ ตั้งแต่โน้น อดีตเลย ที่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำอย่างนี้ ทำให้ผู้คนของพระองค์ มีอิสรภาพ เปลี่ยนใจใหม่ให้กับผู้คนเหล่านั้น

            สิ่งที่พระคัมภีร์เดิม  พูดคำว่า “จะ” หมายถึงว่าอนาคตข้างหน้า จะทำ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงกระทำแผนการของพระองค์ สำเร็จบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว คำว่า “จะ” ในพระคัมภีร์เดิม ไม่มีอีกแล้ว  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาได้เลย ได้ในสิ่งที่พระเจ้าบอก สัญญาไว้ในพระคัมภีร์เดิม พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” จะไม่มีแล้ว แต่ถ้าพี่น้อง จะยกพระคัมภีร์เก่ามา หมายถึงกำลังย้อนให้ฟังว่าเมื่อก่อนนะ พระเจ้าสัญญาว่าอย่างนี้ แต่บัดนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือคำว่า “จะ” จะไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้พี่น้องทุกคนสามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้เลย  ตามที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป แล้วใครก็ตามที่เชื่อตามนั้น เขาก็จะได้รับตามพระสัญญา คือเขาจะได้รับความรอด เขาจะได้รับบัพติศมาในวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า วิญญาณเก่าที่เป็นบาป  ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ได้ถูกฆ่าให้ตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้ถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แล้ววิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้ คือวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ เราต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราขอบคุณพระเจ้า พอเราวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรายอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เราได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าใส่ของประทานแห่งความเชื่อลงมา พร้อมกับสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรม ความดีงาม  ความรักที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกใส่เข้ามาในผู้เชื่อทุกคน เรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

            ตรงนี้แหละ สมัยก่อนเราไม่เข้าใจ  แล้วเราหาเหตุผลไม่ได้ ดังนั้น เรื่องของพระเจ้า เราไม่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ หรือความคิดของมนุษย์ที่จะมาสรุปว่าตกลงที่พระเจ้าบอกตรงนี้ มันยังไง มันต้องมีเหตุ มีผลอะไร ไม่มี ต้องใช้ความเชื่อเอา ฉะนั้น พระเยซูต้องการที่จะให้ผู้เชื่อทุกคน เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเราไว้ว่าพระองค์ได้ทำอะไรให้เราสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน

            สมัยก่อน พอศุกร์ประเสริฐเราจะใส่สีดำ เหมือนกับเรามางานไว้อาลัย ทุกคนก็จะใส่สีดำ มันกลายเป็นประเพณีที่บล็อกเราไว้ว่าต้องสีดำ  แต่ความเป็นจริง วันศุกร์ประเสริฐไม่ได้เป็นวันเศร้าสร้อยเนอะ เป็นวันที่เรามาเฉลิมฉลองผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เหมือนกับผู้เชื่อคนหนึ่งจากโลกนี้ไป จริงๆ แล้วมีใครสามารถพลิกธรรมเนียมเก่าๆ ที่เราเคยชินว่าพอไปงานศพ งานไว้อาลัย เราต้องใส่สีดำ พลิกเป็นใส่สีอื่นได้ไหม? จริงๆ เราเป็นคริสเตียนได้เนอะ เราไม่ได้มาเศร้าเสียใจกับพี่น้องของเราที่จากโลกนี้ไป  เพราะเรารู้ว่าเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาไปในที่ๆ ดี งานที่พระเจ้าให้เขาทำบนโลกใบนี้ เขาทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

            “เสร็จงานแล้ว ไปกลับบ้านลูก”

            ก็ไปอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเจ้า เหมือนกับที่ทุกวันนี้ ในโลกวิญญาณ เราก็นั่งอยู่กับพระเจ้าแล้วที่สวรรคสถาน เพียงแต่เรา จับต้องมองไม่เห็น เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ถ้าวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ แต่ได้เห็นพระเจ้าชัดเจน ด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องใช้ความเชื่อ แล้วพอพี่น้องที่จากเราไปก่อน ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ปุ๊บ เขาก็คอยเชียร์พวกเราอยู่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าอยู่ ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร คริสเตียนสามารถพูดแบบนี้ได้หมดเลย อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร

            คำว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์” คืออยู่ให้รับรู้ความจริงว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา แล้วพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา ขับเคลื่อนอยู่ในชีวิตของเรา ดำเนินชีวิตทุกวันตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้นำเรา เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เพราะวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราที่เป็นบาป มันตายไปแล้ว แต่ชีวิตปัจจุบันที่เรายังเดินเหินอยู่ เป็นชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา เพราะว่าพระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่กับเรา ให้ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ให้กับเรา ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่บรรพบุรุษของเราได้ทำให้สูญหายไปแล้ว ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้า อยากจะพึ่งพาตัวเอง

            พอเรากลับมาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูเป็นคนกลางที่ทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาที่เดิม มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นแบบชีวิตของพระเจ้า เหมือนเดิม ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น  แล้วเราก็เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าบอก อย่างที่เราคุยกันว่าให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง นมัสการ คือเอเมน ใช่ ยอมรับ ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าว่าขณะนี้เราเป็นอย่างไร  แม้ว่าตาของเราจะมองเห็นว่ามันไม่เห็นเหมือนเลย มันไม่ใช่ บอกว่าเราเป็นคนดีพร้อม มันดีพร้อมตรงไหน? เรายังแย้งตัวเราเองอยู่เลยว่ามันใช่หรือ? เราดีพร้อมจริงหรือ? ตอนนี้ นิสัยเรายังไม่ค่อยดีเท่าไรเลย? เราจะดีพร้อมได้อย่างไร? ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เหมือนพระเจ้าเลย  แล้วเราทำอะไร? เราทำได้อย่างเดียว คือเอเมน ตามนั้น ไม่ว่าตาเราจะมองเห็นอะไร สภาพแวดล้อมเราจะเป็นแบบไหน? เราไม่สนใจ เราสนใจว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เกิดผลสำเร็จในชีวิตของผู้เชื่อ แบบไหน? อย่างไร?  แล้วเราก็เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระองค์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็สารภาพกับพระเจ้าว่า …

            “ใช่ ถูกต้อง เอเมน เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            แม้ว่าข้างๆ จะมากรอกหูเรา … “ชอบธรรมตรงไหน?”

            “ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเอเมนตามนั้น”

            นี่คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราต้องยืนหยัด ไม่ยอมให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบของระบบโลกนี้  พยายามส่งเข้ามาหลอกเรา ทำให้เราไม่สามารถเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา สำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วทำให้เราไขว้เขว

            อย่างที่บอก ต่อให้มารซาตานสามารถทำให้เราไขว้เขวได้ หลอกลวงเราได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มารทำไม่ได้ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตรงนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นแล้วเป็นเลย ก็คือเราได้อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราดำเนินชีวิตแบบไม่สมกับที่ควรจะเป็น ไม่สมกับที่เราบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของเรา แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะมีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น  ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เก็บเกี่ยวผล หรือเราไม่สามารถที่จะประกาศพระสิริของพระเจ้าได้เต็มที่ เต็มขนาด

            ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้  อย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอความทุกข์ยากแน่นอน อย่าคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้า เราจะสุขสบายตลอดเวลา ไม่มีทาง เราจะเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา มันจะต่างกันกับคนที่ไม่มีพระเจ้า คนที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ยอมต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อย่างนั้น เขาทุกข์คนเดียวนะ เขาต้องแบกคนเดียว เขาต้องฟันฝ่าคนเดียว แต่ผู้เชื่อ เจอความทุกข์เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อเลย แต่เรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค แล้วพระเจ้าจูงมือเราเดิน พระองค์จะทรงแนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้กำลังเราที่เราจะสามารถผ่านวิกฤตเหล่านี้ได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า

            ปัญหามันไม่ได้หมดไปแน่นอน ปัญหามันไม่มีทางหมดไป จากชีวิตของเรา หมดไปได้วิธีเดียว คือเราตาย ตายเมื่อไรปัญหาหมด ลมหายใจหมดเมื่อไร? วิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? ทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้ที่นี่เลย แล้วรวมทั้งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถูกทิ้งไว้ที่นี่เลย  สิ่งที่ตามเราไปบนสวรรค์ มีอยู่แค่ 2 สิ่ง ก็คือวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กับเราตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าเลยนะ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลยกับความคิดจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า 2 สิ่งนี้จะตามเราไปที่สวรรค์ เพื่อรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว รอไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราที่จากโลกนี้ไป เราก็ไปรับร่างกายใหม่อย่างเดียวไม่พอ ไปเจอกับโลกใหม่ด้วย

            พระเยซูบอกไว้ชัดเจน ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงทุกวันนี้ แล้วพระองค์ก็จะบอกต่อไปจนกว่าโลกนี้จะสูญสลายไป บอกว่าโลกนี้ยังไงก็ต้องสูญสลายไป  มันถูกทำร้าย จนเสียหายไปหมดแล้ว  ก็คือตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมกับเอวาตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพระเจ้า อยากพึ่งพาตัวเอง  โลกนี้ก็เสียหายไปแล้ว ฉะนั้น โลกนี้เมื่อเสียหายแล้ว มันจะทำให้ดีกลับเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเสียไปเรื่อยๆ เน่าไปเรื่อยๆ จนกว่าวันที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ว่าวันนั้นจะมาถึง คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมารับผู้เชื่ออีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนรอคอยอยู่ แล้วในพระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูก็ไม่รู้ว่าวันไหน? มีแต่พระเจ้าพระบิดาผู้เดียวเท่านั้น ที่กำหนดเวลา ที่พระเยซูคริสต์กลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์

            มันมี 2 ทาง ก็คือถ้าพระเยซูยังไม่มา พวกเราจากโลกนี้ไปก่อน พระเยซูก็มารับเราส่วนตัว แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ก่อนชาวบ้าน ก็คือไป เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้สัมผัสสวรรค์ด้วยตัวตนของเราเอง แต่ตอนนี้เราสัมผัสสวรรค์ด้วยความเชื่อในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ผู้เชื่อต้องยอมรับความจริงตรงนี้ แล้วก็รับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้เราหวาดผวาตลอดเวลา เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว บางครั้งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็หวาดผวาว่า …

            “ตกลง หลังความตาย ฉันจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าหรือไม่?”

            ทุกคนบอกว่าอยู่ไหม? … “อยู่แน่นอน”

            ทำไมเรารู้ว่าอยู่แน่นอน เพราะว่าตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อยู่ที่สวรรค์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง

            ดังนั้น ความเชื่อตรงนี้แหละ จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นอิสรภาพ มีหลายคนบอกว่าถ้าพูดอย่างนี้ หรือสอนอย่างนี้ คริสเตียนก็สบายสิ  ทำบาปได้สบายเลย ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ทำอย่างไร ก็ได้รับความรอดอยู่ดี พี่น้องว่าจริงไหม? มันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ด้วย ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ของเรา ไม่มีใคร มีธรรมชาติที่จะทำบาปเลย ดังนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันจะแพ้ พอเราทำบาปปุ๊บ ข้างในเราจะไม่สบายใจ ข้างในมันจะทุรนทุราย

            เหมือนที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่าง เหมือนกับปลา ปลาต้องอยู่ในน้ำ ถ้าฝนตก ปลาตัวไหนซนหน่อย กระโดดออกมานอกน้ำ แล้วก็มาอยู่บนบก ตอนที่ฝนตกน้ำท่วม บนบกยังมีน้ำอยู่ใช่ไหม? เขาก็พอชิวๆ อยู่ได้ แต่พอน้ำลดปุ๊บ ปลาดิ้นผลั๊กๆ อยู่ไม่ได้แล้ว แล้วเขาต้องทำอย่างไร? พยายามหา ดิ้นรนสุดกำลังเลย ถ้าเขาอยู่ใกล้น้ำ เขาจะดิ้น ทำให้ตัวเองลงไปที่น้ำเหมือนเดิม เพื่อเอาชีวิตรอด

            ลักษณะผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความดีงาม เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราจะไม่มีความรู้สึกอยากจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราเลย แม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเราเผลอ ทำไมเราเผลอได้ เพราะว่าร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ไง พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เรายังต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่เรามีภาษีเหนือกว่าคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่ามีพระเจ้าอยู่ข้างในเราทั้ง 3 พระภาค คอยให้กำลังเรา แล้วพระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจด้วย อันนี้พิเศษหน่อย

            อยากให้พระเจ้าไม่ให้สิทธิ์เราเลย พระเจ้าควบคุมทุกอย่างไว้เลย เราจะได้ไม่ต้องไปทำบาป นึกออกไหม? ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา ถ้าพระเจ้าควบคุมเราได้ แต่ไม่ใช่ธรรมชาติของพระองค์ ความเป็นพระองค์ พระองค์ให้อิสรภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก คืออาดัมกับเอวา พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจ จนถึงทุกวันนี้ แม้พระเจ้าพระบิดาซื้อชีวิตของพวกเรา ด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว  พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อเหมือนเดิม ก็คือให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะยอมมอบถวายความคิด มอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ให้พระเจ้าใช้ไหม? ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ หรือเราจะไม่ยอม เราทำได้ เราไม่ยอม เราก็จะกบฏกับพระเจ้า วันนี้ไม่อยากทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การหลอกลวงมันมาแรงมากเลย เราขอกระโดดออกไป ทำตามที่โลกนี้นำเสนอมา เราก็ทำ

            พอทำปุ๊บ เรารู้สึกเสียใจ เป็นคริสเตียน ไม่ได้ทำไป มีความสุขไป เราเป็นผู้เชื่อ ธรรมชาติใหม่ เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว  เราไม่ใช่ทำไม่ดี ไปด่าเขา แล้วมีความสุข ลอยหน้าลอยตามันไม่มีทางอยู่แล้ว เผลอไปปุ๊บ รู้สึกไม่ดีเลย  เสียใจ ขอโทษพระเจ้า ให้กำลังลูก ที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ แล้วเราก็ทำอย่างนี้ สู้ไปเรื่อยๆ แล้วรับรู้ความจริงของพระเจ้าว่า ณ เวลานี้ เราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำอะไรสำเร็จแล้วในชีวิตของพวกเรา เรามีภาษีเหนือกว่าเยอะ เมื่อเราฮึดสู้ ต่อต้าน ขัดขืนไม่ยอมมัน

            “มัน” คือระบบของโลกนี้ ที่พยายามส่งข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มาให้กับสมองของเรา เพื่อเราจะได้สั่งร่างกายทำตามมัน เราก็ไม่ยอม เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า แล้วตลอดชีวิตที่เรายังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะสู้กันอย่างนี้แหละ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที  แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะก็ตาม เราก็ยังคงอยู่ในพระคุณของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังคงเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจเหมือนเดิม ความรอดเราไม่สามารถหลุดไป โดยที่เราประพฤติไม่ดีปุ๊บ ตกลงความรอดเรายังอยู่ไหม? หายไปแล้วหรือยัง? มันไม่มีทางเลย พระเจ้าบอกว่ารอดแล้ว รอดเลย ยังไงก็ไม่มีใครสามารถที่จะพรากเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            ฉะนั้น พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ข้างในวิญญาณ เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มันคือธรรมชาติใหม่ของเราเลย เราปรารถนาที่จะทำตามที่พระเจ้าบอก แค่ว่าขณะที่เดินทาง เราก็ออกข้างนอกบ้าง อะไรบ้าง  แต่ไม่เป็นไร ออกข้างนอก เราก็กลับเข้าลู่เหมือนเดิมได้ เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความดีงามนี้ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 3:14-15 “14 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงต่อหน้าพระบิดา 15 ผู้ทรงเป็นที่มาของนามแห่งตระกูลทั้งมวลของพระองค์ในสวรรค์และในแผ่นดินโลก”

            ที่อาจารย์เปาโลบอกให้ผู้เชื่อในเอเฟซัส อย่าท้อใจ เพราะว่าความทุกข์ยากที่อาจารย์เปาโลต้องรับอยู่ เพราะว่าอาจารย์เปาโลประกาศความรอด ประกาศแผ่นดินสวรรค์ ประกาศพระเยซูคริสต์ ทำให้คนในยุคนั้น คนยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เขาเคืองมากเลย เขาก็ไล่ล่าอาจารย์เปาโล บางทีก็จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง บางทีจับไปโบยตีบ้าง อะไรบ้าง จิปาถะ แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้รู้สึกว่าพอเจอปัญหาอย่างนี้ ไม่เอาดีกว่า เลิกประกาศพระเยซูคริสต์ดีกว่า ไม่มี อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนหยัดที่จะประกาศ พระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะรู้ว่านี่คือความจริง นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ ที่ใครก็ตามได้ยินได้ฟังแล้วเชื่อตามนั้น เขาจะได้อิสรภาพ เขาจะได้รับการปลดปล่อย เขาจะได้เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ใส่ใจในความทุกข์ยากลำบากของตัวเองเลย ติดคุกอยู่ ก็ยังสามารถเขียนจดหมายมาหนุนใจคนข้างนอกได้ มีใครทำอย่างนี้ได้ ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนกันพวกเราในปัจจุบัน เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเจอความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108 1009 มันทุกข์ ทุกข์จริงๆ ด้วย ไม่ได้ทุกข์เล่นๆ ไม่ใช่เป็นที่เรามาเล่าสู่กันฟัง แบบสนุกๆ ไม่ใช่ ทุกข์จริงๆ บางคนทุกข์แบบสาหัสสากัน แต่ว่าเขาสามารถอยู่ได้ ผ่านไปได้ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเขา พระองค์ไม่เคยทิ้งเขา พระองค์คอยประคับประคอง พระองค์คอยประทานกำลังให้กับเขา เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่ามีหนามในเนื้อ ขอ 3 ครั้ง ขอให้พระเจ้าเอาหนามออกไป พระเยซูบอกว่า …

            “ความอ่อนแอของเจ้ามีที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะเต็มบริบูรณ์ในชีวิตของเจ้า”

            หมายความว่าถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร? ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานไม่เต็มที่ เพราะเราซ่าส์ไง พอเราแข็งแรง เราอยากทำเอง แต่พอเราไม่มีแรง เราทำเองไม่ไหว  แล้วพระเจ้าทำแทน นึกออกไหม? นี่คือความเป็นจริง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระคัมภีร์เลยบอกว่าอาจารย์เปาโลก็อวดความอ่อนแอของตัวเอง ภาคภูมิใจในความอ่อนแอของตัวเอง ที่ความอ่อนแอมีเมื่อไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็มีเต็มขนาดในชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วอาจารย์เปาโลเจอความทุกข์ยากลำบาก อาจารย์เปาโลก็ผ่านไปได้ด้วยพระคุณ ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า และอาจารย์เปาโลก็ยังรู้ว่าที่ท่านถูกเรียกมา เพื่อทำอะไร?

            ที่เรายกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องจะต้องไปทำตามอย่างอาจารย์เปาโล ไม่ใช่ แต่ละคนถูกเรียกมาต่างกัน  ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อพระเจ้าเรียกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ก็คือให้เรามาอยู่กับพระองค์ แค่นั้นเอง นี่คือเป้าหมายหลัก แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราอย่างไร? พระองค์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา  แล้วพระองค์ก็จะนำเราออกไปทำงาน แล้วที่เราออกไปทำงาน รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ความดีงามของเราเลย หรือไม่ใช่ฝีมือเราเลย  แต่เป็นเพราะพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา  เป็นผู้ประกอบกิจ ทำให้เราสามารถทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แล้วพอเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า จบ มันไม่มีอะไรพิเศษเลย สำหรับผู้เชื่อ เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้ที่กระทำอยู่ภายในชีวิตของเรา คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่อยู่ในเราเท่านั้นเอง

            อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนที่กำลังเจอปัญหาความทุกข์ยาก สมัยก่อน เขาเจอปัญหา เจอเยอะนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าปัจจุบันเราเจอเยอะกว่า เห็นไหมทุกวันนี้ เราเจอทั้งภูเขาไฟระเบิด เผาป่า เผาไปหลายวันยังดับไม่ได้เลย ควันพิษเอย ฝุ่น PM 2.5 เอย แถมมาเจอโควิดอีก อยู่ยากนะ อยู่ลำบาก เดินไปไหนมาไหน สมัยก่อนมีอิสรภาพมาก เราจะเดินไปไหน เราก็มีความสุข เดี๋ยวนี้ เดินออกข้างนอก ถ้าลืมใส่แมส เหมือนเราแต่งตัวไม่เรียบร้อย

            เหมือนวันนี้ลืมใส่เสื้อออกนอกบ้าน อะไรประมาณนั้น แล้วเราคิดว่าเราทุกข์ยากลำบาก แต่จริงๆ แล้วความทุกข์ยากลำบาก มันมีมาทุกยุคทุกสมัย แล้วคนสมัยก่อน เขามีความเชื่อวางใจในพระเจ้า เพราะว่าเขาได้รับข่าวประเสริฐ ที่เป็นข่าวแท้ๆ เทคโนโลยีมันไม่ได้เจริญเหมือนทุกวันนี้  ที่เราจิ้มเอาๆ ฟังโน่น ฟังนี่ แล้วเราได้รับข่าวประเสริฐที่ผสมมา

            ดังนั้น ข่าวประเสริฐที่แท้ๆ ที่พระเจ้าประกาศ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วพระเจ้าต้องการให้เรามาอยู่กับพระองค์ อยู่กับพระองค์จริงๆ  แล้วก็คอยเงี่ยหูฟังว่าพระองค์จะให้เราทำอะไร? ไม่ใช่เราอยากทำอะไร?  แต่ทุกวันนี้ คือเราอยากจะทำโน่น เราอยากจะทำนี่ แล้วเราก็พยายามโน้มน้าวให้คนอื่น ทำตาม อย่างที่เราอยากทำ ซึ่งมันก็เท่ากับเราพึ่งพาในกำลังของตัวเราเอง ซึ่งทุกอย่างที่เราพึ่งพากำลังของเราเอง  ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            การพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า หลายคนคิดว่าเราทำไม่ถูกต้อง  ทำบาป ถึงจะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เปล่าเลย การทำความดี สามารถเป็นศัตรูกับพระเจ้าได้  เพราะเราพยายามทำความดี ด้วยกำลังของเราเอง เท่ากับเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้ทำให้เราดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ครบถ้วน สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้เราดีขึ้น เอเมนไหมค่ะ ไม่ต้องไปทำอะไรให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองดีขึ้น เพราะพระเจ้าบอกว่าท่านสะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ที่เราทำ เพราะข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเรา

            ถ้าสมมติว่าพระเจ้าบอกให้เราไปทำอะไรบางอย่าง มันออกมาจากใจข้างใน เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเราทำอย่างนี้ คริสเตียนขี้เกียจหมดทุกคนเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ขยันมาก แล้วพระเจ้าที่อยู่ในเราขยันซะขนาดนี้ จะทำให้เราขี้เกียจได้อย่างไร? พี่น้องนึกภาพออกไหม? เพียงแต่ว่าพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าเราอยู่บ้าน เป็นแม่บ้าน เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับพระเจ้าเลย เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าเลย แต่พระเจ้าบอก เธอเป็นแม่บ้านดีแล้ว พระองค์ให้ทำ หน้าที่ของแม่บ้าน ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน ดูแลลูก ดูแลสามีให้ดีที่สุด นั่นแหละ คืองานรับใช้  แต่ไม่มีใครคิดว่านี่คืองานรับใช้ เขามีความรู้สึกว่า …

            “ขึ้นสวรรค์ ฉันไม่น่าจะได้ที่นั่งที่ดี เพราะว่าคนอื่นมารับใช้พระเจ้าทุกวี่ทุกวัน มาโบสถ์ โน่นนี่นั่น วันๆ ฉันก็ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต แค่ดูแลลูก ฉันก็ไม่มีเวลาที่จะทำอะไรแล้ว สงสัยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราจะได้ไปอยู่ปลายแถวโน้น”

            นั่นเป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ และเป็นความคิดของเราเอง ที่เราคิดแทนพระเจ้า คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่พระเจ้าบอก …

            “ใครบอกพวกเธอล่ะ”

            พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้มรดกพวกเราทุกคนเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่ ไม่มีใครเล็ก ทุกคนเมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราได้มรดกเท่ากัน  เราได้อยู่กับพระเจ้าเท่ากัน เราได้รางวัลจากพระเจ้าเท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร แม้แต่คนที่มาเชื่อพระเจ้าวันแรก สมมติว่าเขามาเชื่อพระเจ้าวันเดียว แล้วเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ได้มรดกเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย ที่ทำงานตรากตรำทั้งชีวิต ทั้งโดนข่มเหง ทั้งประกาศ ทั้งอะไรเยอะแยะมากมาย  แต่เขาได้รางวัลเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ

            เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับความจริงเหล่านี้  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีอิสรภาพ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำทุกอย่างได้หมดเลย แต่ให้เราใคร่ครวญ คิดทบทวนว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ แค่นั้นเอง พระเจ้าไม่ได้ว่าพอไม่ทำดี มาลงโทษเรา ไม่มี พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวให้สบาย เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไปแล้ว เราเป็นอิสระจากกฎที่บังคับเรามาตลอด

            เมื่อก่อนตอนเชื่อใหม่ๆ เราไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้ เราก็เหมือนถูกบล๊อกด้วยกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วพอเราไม่ทำอะไรบางอย่าง ที่เขาว่าดี เราก็ไม่สบายใจ เรารู้สึกแย่เลย เราแย่มาก แต่ว่าพอเรารู้ความจริง ก็คือเราอยู่แบบอิสรภาพ พี่น้องนึกภาพคำว่าอิสรภาพได้ไหม? คือเราสามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุข

            อยากจะยกตัวอย่างอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่น้องเคยเห็นครอบครัวไหม? เอาครอบครัวพวกเราเองที่เห็นชัดๆ ลูกที่อยู่ในบ้าน เขามีอิสรภาพมากเลย เขาอยู่กับพ่อแม่ เขาไม่เคยมีความกลัว  แล้วเขาก็ไม่ต้องไปทำงกๆ ไม่ต้องไปทำอะไรดี เพื่อพ่อแม่จะยอมรับว่าเขาเป็นลูกเรา ไม่มี ลูกบางคนเดินเข้าบ้าน ก็นอนเอกเขนกเลย นอนตีพุงเลย แม่เรียกลุกขึ้นมากวาดบ้านหน่อย วันนี้ขี้เกียจ ไม่อยากกวาด เขารู้สึกผิดไหม? เขาไม่รู้สึกผิดเลยนะ เขาก็นอนเอกเขนก พอเขาอยากลุกขึ้นมาช่วย เขาก็ลุกขึ้นมาช่วย แล้วมีพ่อแม่คนไหนลุกขึ้นมาด่าลูก ทำไมนิสัยอย่างนี้ ไป ตัดออกจากกองมรดก  ไม่ต้องมาเรียกพ่อเรียกแม่ ไม่มีนะ พ่อแม่แค่ถอนหายใจ ส่ายหน้า แค่นั้น เอ้อ! ไม่อยากทำ ทำเองก็ได้ แค่นั้นเอง ภาพเป็นอย่างนั้นนะ

            เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้ามองเราอย่างนั้น เป็นลูกที่รัก เราไม่ต้องไปรู้สึกว่าเราต้องๆๆๆๆ ทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น ไม่ต้อง เรามีอิสระเสรี  เพียงแต่ว่าเราอยากให้พระเจ้ามีความสุข เอาเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำ จริงๆ พระเจ้าก็มีความสุขนะ แต่ในความคิดของมนุษย์ เราคิดว่าเราน่าจะทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้ามีความสุข ต่อให้เราทำหรือไม่ทำก็ตาม พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา จริงแล้ว เราทุกคน เราอยากทำตามธรรมชาติใหม่ของเราจริงๆ  ที่เป็นเหมือนพระเจ้าจริงๆ  ก็ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “คริสเตียนทำบาปยังคงได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            พระเยซูตรัสว่าคนที่จะเข้าอยู่ในสวรรค์ได้  ต้องบังเกิดใหม่  ถ้าไม่เกิดใหม่  ก็ไม่สามารถเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้ และใครจะเกิดใหม่ ก็ต้องเปิดใจรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับการบังเกิดใหม่จากพระองค์แล้ว จึงสามารถเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นพระมาสิฮาห์ เป็นพระคริสต์ได้ และได้สิทธิการเป็นบุตรของพระเจ้า  ได้รับการอภัยลบล้างบาปทั้งสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ทันที ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่คือวิธีที่จะเข้าสวรรค์  มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นเอง

            สรุป เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ด้วยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ และด้วยของประทานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติดี ไม่มีที่ติ

            ถามว่า … “เป็นคริสเตียนแล้วยังทำบาปอยู่  ได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            ก็ต้องถามว่า … “คริสเตียนคนนี้  เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณหรือไม่?”

            ถ้าเขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว  เขาก็ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้วทันที ที่เขาร้องขอความช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าช่วยให้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เป็นพระมาซิฮาห์ เป็นพระคริสต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่?  ถ้าบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ  ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

            แล้วทำไมยังทำบาปอยู่?

            พระคัมภีร์บอกว่าแม้ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่ทุกคนยังทำบาปเหมือนเดิม  ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้เหมือนเดิม

            เคยเห็นไหมคริสเตียนยังโกรธ ยังเกลียด ยังโมโหฉุนเฉียว ยังดื้อไม่เชื่อฟังพ่อแม่อยู่เลย ในพระคัมภีร์ยากอบบอกว่าเราทั้งหลายต่างล้มลงในความบาป  คือทุกคน ไม่ว่ามากหรือน้อย  ทุกคนก็ทำบาปอยู่  แล้วเราจะไปบอกว่าคริสเตียนคนโน้นคนนี้ทำบาปมากกว่าเราก็ไม่ได้ เพราะเราก็ทำบาป  เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรบาปไปเยอะแยะมากมายบ้าง คิดผิดคิดถูก บางทีเราแค่ขุ่นเคืองในใจก็บาปแล้ว  อะไรที่ดีแล้วเราไม่ทำก็บาปแล้ว  เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ

            ถามว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  ตามความจริงในพระคัมภีร์นี้ กำลังส่งเสริมให้คริสเตียนทำบาปต่อไปหรือ?

            เปล่าเลย! อัครทูตเปาโลอธิบาย ในโรม บทที่ 6 ว่า …

            “เราไม่ได้ส่งเสริม เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว เมื่อวิญญาณเขาบังเกิดใหม่แล้ว เขาจะมีธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ และความคิดจิตใจของเขาที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า เขาไม่อยากจะทำบาป เขาทำบาปไม่เป็น เขาจะมีความคิดของพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวของเขา  เป็นสิ่งที่ได้รับมาตอนที่เขาบังเกิดใหม่  ข้างในเขาอยากจะทำดี  เขาไม่อยากทำบาป”

            แต่ทำไมยังทำอยู่ ก็เพราะเขายังสู้กับอิทธิพลของกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง การหลอกลวงของระบบโลกภายนอก ที่เราเรียกว่ากิเลสตัณหาชั่วของโลก ซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ กระตุ้นความคิดเดิมๆ ที่คุ้นเคย ที่เคยทำตอนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งข้อมูลความคิดเดิมนี้ ยังติดอยู่ในระบบของความทรงจำของระบบสมองของร่างกาย ซึ่งเคยชินกับการกระทำตามกิเลสตัณหาชั่วนี้

            แล้วต้องทำอย่างไร?

            พระคัมภีร์  โรม 12:2 บอกว่า … “ให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ด้วยถ้อยคำแห่งความเป็นจริงในโลกวิญญาณเกี่ยวกับตัวเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นว่าตัวจริงๆ ของเขาในโลกวิญญาณนั้น เป็นเช่นไรโดยพระคุณของพระเจ้า เขาเป็นใครในพระเยซูคริสต์  เมื่อเขารับรู้ความจริงว่าเขาเป็นใครมากๆ  รู้ว่าเขาเป็นลูกพระเจ้า  รู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูมาตายเพื่อเขา  รู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่ว่าเขาจะทำบาปอีกกี่ครั้งก็ตาม   ให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไปแล้ว  อย่ายอมให้มันบงการ ยุแหย่หลอกลวงให้เรากระทำบาป”

            ความจริงนี้จะทำให้เขาเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป แทนที่จะไปคอยตำหนิทับถมเขาว่า ให้เขาเลิกทำบาปเสียที  ให้ไปบอกใหม่ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  เธอเป็นลูกพระเจ้า  เธอสะอาดและบริสุทธิ์หมดจด  ต่อให้เธอทำบาปมากขนาดไหน  หรือไปฆ่าคนตาย  พระเจ้าก็ยังรักเธอ  ตอนนี้เธออยู่ในสวรรค์แล้ว  ตายไปเธอก็ยังอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม  ไม่มีใครเอาเธอออกไปจากความรักของพระเจ้าได้แล้ว  พระเจ้ารักเธอมาก  พระเจ้าไม่อยากให้เธอไปทำบาปอย่างนี้   เพราะถ้าเธอทำเธอจะทุกข์กายและใจ ยุ่งยากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้น  พระเจ้าเป็นห่วงเธอนะ พระเจ้าต้องการให้เธอมีความสุข ทั้งกายและใจมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ พระองค์อยู่เคียงข้างเธอ เข้าใจเธอตลอดเวลา อยู่ฝ่ายเธอตลอดไป อย่าให้ศัตรูมาหลอกให้เธอทำร้ายตัวเองโดยการประพฤติชั่วตามกิเลสตันหา มันต้องการทำลายชีวิตของเธอ

            นี่คือสิ่งที่เขาอยากได้มากกว่าแทนที่จะไปบอกเขาว่า  … “อย่าทำบาปนะ  ถ้าเธอทำ  พระเจ้าจะคายเธอทิ้ง  เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ  เธอจะตกนรก  ทำอย่างนี้พระเจ้าเกลียด  พระเจ้าไม่ชอบ”

            ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น และก็เท่ากับยิ่งผลักดันเขาออกไปห่างจากพระเจ้ามากขึ้น 

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึง การปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

            พระเยซูจะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักดิ์ศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า

            โดยพระคุณของพระเจ้า  พระองค์จะสอนเรา  ฝึกฝนเรา  ให้ปฏิเสธการทดลอง ล่อลวงจากกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สอนเราให้รู้จักบอกปฏิเสธการทำบาป  ที่โปรแกรมเก่าๆ  ความคิดเก่าๆ  ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  ระบบของโลกนี้มันหลอกเรา  ให้เราเรียนรู้ที่จะบอกว่า  “ไม่”

                        *  ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

                        *  ฉันบริสุทธิ์สะอาดแล้ว

                        *  ฉันมีค่ามาก  พระเจ้ารักฉันมาก

                        *  ฉันไม่ได้เป็นทาสของแกอีกต่อไป

                        *  ตัวเก่าของฉัน  ที่เคยเป็นทาสของแก  มันตายแล้ว

                        *  ฉันเป็นคนใหม่แล้ว

                        *  ฉันไม่ทำตามแกอีกต่อไป

            แล้วถ้าทำผิดอีก ทำยังไง  ก็ขอบคุณพระเจ้า  สำหรับพระคุณของพระองค์ ลูกยังอยู่กับพระองค์  เป็นลูกของพระองค์  พระองค์จะเสริมกำลังให้ลูกทุกวันๆ  ที่ลูกจะปฏิเสธการทำบาปนี้  คิดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

            โดยการนำถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกความจริงว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ เราเป็นใครในโลกวิญญาณ ใส่ข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในจิตใจของเรา  เข้ามาเยอะ เท่าไหร่  ก็จะเปลี่ยนแปลงความคิดเราได้มากเท่านั้น  ความคิดเราเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ความประพฤติเราก็จะเปลี่ยนไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ถ้าเราประพฤติตามเนื้อหนังนำ  เราก็จะทุกข์มากขึ้น  แต่ถ้าเราประพฤติตามพระวิญญาณนำ  เราก็จะทุกข์น้อยลง  แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีผลทางด้านวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  อย่างแน่นอน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1409

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ถึงโลกหน้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า”

            ทบทวน 7 ตอนในซีรี่ย์นี้ …

                        ตอน 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว”

                        ตอน 2 “ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

                        ตอน 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

                        ตอน 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย”

                        ตอน 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

                        ตอน 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

                        และวันนี้  ตอน 7 “ได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า”

            ทั้งหมด 7 ตอนนี้เป็นอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พูดให้ตัวเองฟังเลยนะว่าอัศจรรย์ที่เราได้เรียนรู้มา 7 ตอนแล้วนี้ อัศจรรย์ใหญ่มากขนาดไหน?  เราได้รับแล้วเรียบร้อยขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเราส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่  และอยู่ที่บ้าน ที่ฟังอยู่ตอนนี้ ก็คือผู้ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วนั่นเอง

            วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องการได้รับมรดกเป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้า “มรดก” คาดไม่ถึงว่าเรามีมรดกด้วย บางคนบอกว่า …

            “อยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรเลย  ไม่มีทรัพย์สมบัติเลยสักนิดหนึ่ง”

            ถ้าท่านเป็นคริสเตียน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านมีมรดกมหาศาลเลย

            “ฉันมีมรดกมหาศาลเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์”

            มรดกรางวัลที่ได้รับแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ คืออะไร? อะไรล่ะที่ตะกี้เราพูดกัน อัศจรรย์ที่เราได้เรียนรู้มา 6 อย่างและวันนี้อย่างที่ 7 อย่างนี้เป็นมรดก เป็นรางวัลที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ทันทีขณะดำเนินชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็คือมี 7 อย่างที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว ทันที บนโลกใบนี้

            มรดกรางวัลที่ได้รับแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ คือ …

                        * วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

                        * ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว

                        * ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจแล้ว

                        * พระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายแล้ว

                        * ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว ขณะนี้

                        * พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว

                        * ได้รับมรดก เป็นรางวัล ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ จนถึงโลกหน้าเลยทีเดียว เอเมน

            นี่คือสิ่งที่ได้รับเรียบร้อยไปแล้วทันที ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทันทีที่ใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์ หรือที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ได้ หรือเรียกว่าระเบิดปรมาณูในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็ได้  ที่มิติทางฝ่ายวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาใช้คำว่าบิ๊กแบง ตอนที่กำเนิดสร้างโลก เขาหาเจอแล้วว่ากำเนิดสร้างโลก ไม่ใช่สร้างทีละนิดทีละหน่อย  แต่สร้างทีเดียว มาหมดเลยทั้งมหาจักรวาลทุกอย่าง ทั้งโลกด้วย  ระเบิดครั้งเดียว เขาเรียกว่าบิ๊กแบง นั่นแหละ ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าอัศจรรย์ หรือเนรมิตสร้างของพระเจ้า  เป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ระเบิดเปรี้ยงในโลกวิญญาณ ก็คือคนนั้นที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับมรดก คือชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นมรดก เป็นรางวัล แค่เริ่มต้น  7 อัศจรรย์ ที่ตะกี้เราพูดถึง และจะมีต่อเนื่องไป จนกระทั่งถึงโลกหน้า หลังความตายด้วย ต้องพูดพร้อมกันว่า …

            “โอ้โห! ขอบคุณพระเจ้า”

            แต่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ เขาก็บอกว่า … “โอ้โห! เป็นไปได้หรือเนี้ย เชื่ออะไรกันอย่างนี้”

            แต่เราเชื่อแล้ว เรารู้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์และมีพระวิญญาณยืนยันอยู่ในใจ เราจึงบอกว่า …

            “โอ้โห อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

        โคโลสี 3:23-24 “23 ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใด จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ 24 เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละ คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่”

            “คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่” ตรงนี้ อธิบายให้ฟังนิดหนึ่ง ก่อนที่จะไปเรื่องอื่น คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่  รับใช้ตรงนี้หมายถึงนมัสการ หมายถึงเชื่อฟัง เป็นลูกที่เชื่อฟังคำของพระองค์ เหมือนดังทาส มันแปลว่าอย่างนี้ ท่านกำลังรับใช้อยู่ หมายถึงท่านกำลังเป็นลูกของพระองค์  ที่มองหน้าพระองค์และมีความเชื่อพระองค์ 100% ว่าเป็นลูก มันหมายถึงอย่างนี้นะ

            “จงทุ่มเท ทำอย่างสุดใจ” หมายถึงอะไร? ตามบริบทนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิต ที่ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนั้น ให้ดำเนินชีวิตตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ภายในเรา  ไม่สนองตอบต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นพลเมืองสวรรค์แล้ว เป็นลูกแห่งความสว่างแล้ว และเป็นลูกแห่งความสว่างที่ดำเนินชีวิต ท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้  ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด  พูดง่ายๆ ก็คือความประพฤตินั่นเอง  เพื่อประกาศศักดิ์ศรี บารมีขององค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ภายใน ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็น  คือสำแดงพระเยซูคริสต์ในตัวเรา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นนั่นเอง

            แล้วที่บอกว่า “ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล” ตรงนี้เป็นปัญหา ทำให้มีการเข้าใจผิดเยอะ ท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรงนี้หมายถึงท่านจะได้รับมรดกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์พร้อมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล ตรงนี้  หมายถึงขั้นตอน ในการรับมรดก มีอยู่ 2 ขั้นตอน …

            ขั้นตอนแรก คือในปัจจุบัน ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มรดก คือรางวัลที่เราได้รับทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือ 6 อย่างที่เราได้เรียนรู้ และวันนี้ เป็นอย่างที่ 7  คือ 7 อัศจรรย์ที่ตะกี้เราทบทวนกันทั้งหมด  เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วทันที ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            “ได้รับทันที เดี๋ยวนี้ ตอนกำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้” เอเมน

            ขั้นตอนที่ 2 ก็คือในอนาคต หลังความตาย  หลังจากที่จากโลกนี้ไปแล้ว  เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  มรดกหรือรางวัล ที่เราจะได้รับอีก  เพิ่มเติมตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม  ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาของพระคริสต์ ก็คือเราจะได้รับร่างกายใหม่

            อันนี้เป็น “จะ” คือเป็นอนาคต เมื่อเราออกจากร่างนี้แล้ว  เราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีผิด  และเราจะได้เข้าครอบครองโลกใหม่ รวมทั้งสรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระเจ้าสร้างใหม่  แทนที่โลกเก่า เพราะโลกใบนี้วันหนึ่ง มันจะสิ้นสุดลง

            ครบ 2 ขั้นตอน ก็เท่ากับรับมรดกหรือรางวัล  ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สมบูรณ์แล้ว  ร่างกายสวรรค์ที่เรารอนั้น  เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย คือสูงสุดแล้ว  สง่าสุดแล้ว เป็นรางวัลสุดท้ายที่ดีที่สุด สำหรับเราแล้ว

            ประเด็นที่หลายคนเข้าใจผิดในความหมายของข้อพระคัมภีร์นี้ ก็คือเรื่องของรางวัลที่เราจะได้รับ อย่างที่ตะกี้นี้บอกไว้

            ในข้อที่ 24 บอกว่า “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล” หลายคนก็เลยไปแปลความหมายพระคัมภีร์ตรงนี้ว่ารางวัลที่จะได้รับนั้น ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่คือปัญหา นี่คือความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง รางวัลที่เราจะได้รับ จะระบุไว้ ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย หรือคิดตามนะ เช่น เข้าใจผิด แล้วก็บอกว่า …

            “ถ้าเรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ ประกาศเยอะๆ ก็จะส่งผลให้เราได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในสวรรค์เยอะๆ ยิ่งรับใช้เยอะ ยิ่งได้รับรางวัลเยอะ ยิ่งพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ ยิ่งได้รับรางวัลเยอะๆ”

            คุ้นๆ ไหม? คุ้นหู แล้วรู้สึกอย่างไร?  รู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย  ไม่รู้จะทำอย่างไร? ใช่ไหม?  ซึ่งความหมายที่แท้จริง ตามบริบทอย่างที่บอกไว้เมื่อสักครู่นี้  คือคำว่า “ทุ่มเททำอย่างสุดใจ” ตามบริบท หมายถึงเปาโลกำลังพูดถึงก่อนหน้านี้  คริสเตียนผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลดูแลอยู่ มีความประพฤติยังไม่ถูกต้อง ยังทะเลาะกัน ยังอิจฉาริษยากัน ยังเอาเปรียบกัน ยังไม่ยอมให้อภัยกัน  เปาโลเลยจัดระเบียบว่าให้ทำยังไง ให้สำแดงความรัก ในพระเยซูคริสต์ ให้ประพฤติให้ดีงามขึ้น ให้ประพฤติตนให้สมกับสถานะของตนเองที่เป็นผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ให้ทำตัวให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า  ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยแล้ว  มันหมายถึงความประพฤติ

            ในนี้บอกว่าอย่างไร? “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก  ก็คือ 7 สิ่งที่ตะกี้เราพูดถึง จากพระเจ้าเป็นรางวัลเรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้  กำลังจะบอกว่าเพราะว่าท่านรู้แล้วว่าท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวเก่าท่านได้ตายไปแล้ว  ท่านได้รับเรียบร้อยแล้ว ท่านก็สมควรฝึกฝนประพฤติตนให้ดีขึ้น ให้เป็นไปตามรางวัล หรือมรดกที่ท่านได้รับไปแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แล้วรางวัลที่ท่านจะได้รับนั้น  ท่านจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง  หลังจากที่ท่านจากโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ก็คือหลังจากตาย ก็คือได้รับรางวัลอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อเห็นแก่อย่างนี้แล้ว ท่านก็สมควรที่จะกระทำตัวให้สมกับที่ท่านได้รับรางวัลมาแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น

            ยกตัวอย่าง เหมือนกับปัจจุบันนี้ คนได้รับรางวัลใหญ่ๆ ไม่ว่ารางวัลอะไรก็ตาม เช่นรางวัลพลเมืองดี รางวัลลูกกตัญญู ใช่ไหม? คำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ …

            “นี่! ประพฤติตัวให้ดี ให้สมกับที่ได้รับรางวัลมานะ”

            นี่ขนาดมนุษย์ยังรู้เลยว่าให้ทำตัวให้ดี ให้สมกับที่ได้รับรางวัลมา  แล้วลองคิดดูสิ เปาโลกำลังจะพูดถึงอะไร? เปาโลกำลังจะพูดว่า …

            “โอ้โห! รางวัลที่ท่านได้รับมา มันยิ่งใหญ่กว่ารางวัลมนุษย์ที่ให้บนโลกใบนี้มากนักเลย”

            คือมรดกรางวัลยิ่งใหญ่ 7 อย่างนั้นยังไม่พอเลย  หลังจากตายยังได้อีกนะ ใหญ่ขนาดไหน?  เพราะฉะนั้น ท่านก็ควรจะมีความประพฤติให้สมกับค่าตรงนั้น ให้สมกับการที่ได้รับรางวัลนั้น จากพระเจ้า ขนาดคนบนโลกนี้ แค่รางวัล แค่โล่ การประกาศเกียรติยศบนโลกใบนี้ แค่นั้น  คนยังมีความรู้สึกภูมิใจ  อยากจะประพฤติตนให้สมกับรางวัลที่ได้รับมากที่สุด เท่าที่ทำได้ ถูกไหม? แล้วมากกว่านั้นสักเท่าไรที่รางวัลของผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นรางวัลจากพระเจ้า เป็นมรดกจากพระเจ้า มันยิ่งใหญ่กว่ากันขนาดไหน? และเป็นรางวัลที่เป็นนิรันดร์  เพราะฉะนั้น เพียงพอไหมที่จะทำให้เรารู้สึกภูมิใจ และอยากจะประพฤติตนให้สมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับมรดกเหล่านั้นเรียบร้อยไปแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งประพฤติไม่ดี ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เพราะฉะนั้น เราสมควรที่จะกระทำตามที่อาจารย์เปาโลแนะนำไหมว่าให้ทำตามที่เราได้เป็นแล้ว

            และการที่เราเป็นแล้ว  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  ไม่ว่าเราจะทำตามมากหรือน้อยก็ตาม ไม่ว่าเราจะทำให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าให้มากหรือน้อยก็ตาม  ไม่ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงมรดกนี้ได้เลย มรดกและรางวัลนี้ เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เอเมน

            เพราะฉะนั้น จะทำผิดพลาดเท่าไร? ประพฤติตนผิดพลาดเท่าไร? ก็ไม่เป็นไร? เพราะรางวัล ก็ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว  แต่พระเจ้าจะสอนเรา จะนำพาเรา จะฝึกฝนเรา ให้ทำ หรือประพฤติให้ดีขึ้น เรื่อยๆ

            นี่คือความหมายคำที่พูดเมื่อตะกี้นี้ ที่บอกว่า “จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” เข้าใจแล้วนะ ทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพราะเรารู้ว่าเราได้รับรางวัลเรียบร้อยมาแล้ว ไม่ใช่ทำ เพื่อจะได้รับรางวัล รู้แล้วว่ารางวัลคืออะไร?  ได้รับเรียบร้อยแล้ว เราจึงทุ่มเทกระทำ ก็คือประพฤติดี ถูกไหม?  ไม่ใช่ทุ่มเททำอย่างสุดใจ เพื่อจะได้ลุ้นว่าเราจะได้รับรางวัลเพิ่มขึ้นอย่างไร? นี่อย่าเข้าใจผิดตรงนี้

            ซึ่งจริงๆ แล้วข้อนี้ ก็เขียนชัดเจน แล้วถ้าอ่านให้ดีๆ ไม่เข้าข้างตนเอง และไม่คิดตามภาษามนุษย์ เราที่จะพึ่งพาในการกระทำของตนเอง จริงๆ แล้วข้อนี้ เขาเขียนไว้ชัดเจนเลย ก็คือคำว่า “รางวัลที่เราได้รับ ก็คือมรดก” ท่านผู้เชื่อจะเริ่มต้นได้รับมรดกแห่งชีวิตนิรันดร์  จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล ระบุไว้ชัดเจนว่ารางวัลนี้ ก็คือมรดก เริ่มต้นได้รับ เมื่อตอนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มรดกคำนี้ ในภาษาเดิมแปลเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทย เป็นคำๆ เดียวกับคำว่า “พินัยกรรม” ก็คือกรมธรรม์ คือหนังสือพันธสัญญาของผู้ตายกับผู้ที่จะได้รับมรดก

            มรดก หมายถึงทรัพย์สินของผู้ตาย ที่ตกทอดแก่ทายาทผู้รับมรดก ที่มีชื่อระบุไว้ในพินัยกรรม พันธสัญญานั้น ได้รับสิ่งเหล่านี้ มรดกนี้ เพราะเป็นทายาท  ไม่ใช่ได้รับเพราะทำดีอะไร?  ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของทายาทคนนี้เลย  เป็นพระคุณให้ฟรีๆ ใช่หรือไม่? แค่คิดแค่นี้ ก็เข้าใจแล้วนะ ตามภาษามนุษย์  นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดเจน

            พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า และเราก็เป็นทายาท เป็นทายาทตรงนี้ คือสิทธิในการรับมรดกของพระองค์  โดยอัตโนมัติทันทีเลย  พอเป็นทายาท ก็มีมรดกทันที ไม่มีตรงไหนบอกว่าให้เราเป็นทายาทก่อน แล้วถ้าเป็นทายาท และทำความดีครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  ก็จะได้รับมรดกเป็นรางวัล

            ถ้าเราวิเคราะห์ตามบริบท แล้วค่อยๆ ไล่ตามความหมายไป จะเห็นชัดเจน  เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ หรือเรียนรู้พระคัมภีร์ ท่านกำลังอ่านหนังสือพินัยกรรม พูดถึงมรดกของท่าน  ให้ฟรีๆ จากผู้ที่ตายแล้ว ใครตาย? พระเยซูคริสต์ตาย  แล้วทิ้งมรดกนี้ให้กับท่าน  ท่านไปอ่านพระคัมภีร์ คือท่านกำลังอ่านพินัยกรรมที่ระบุไว้ว่ามรดกของท่าน คืออะไร?  เราได้เรียนรู้ไปแล้ว  ในซีรี่ย์นี้ 7 อัศจรรย์ ที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ ยังไม่ได้เรียนรู้ต่อว่าที่ยังไม่ได้รับ มีเพิ่มเติมอีกนะครับ  ขอบคุณพระเจ้าไหม?

            เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านพระคัมภีร์  หรือพินัยกรรม  ที่พระเยซูทิ้งไว้ให้กับเรานั้น หรือที่เรียกว่าพันธสัญญาใหม่นั้น  เจอคำว่า “บำเหน็จ” หรือคำว่า “รางวัล” ท่านก็จะสามารถเข้าใจแล้วว่า …

            “รางวัล หมายถึงมรดก  … มรดก หมายถึงรางวัล”

            ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบ 100% นั่นเอง  และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่และได้เป็นทายาท  เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนจึงได้รับมรดกเป็นรางวัล  เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบเรียบร้อยไปแล้วฟรีๆ ด้วยพระคุณของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้าในอัศจรรย์เหล่านี้

            ถ้าท่านรู้ทะลุปรุโปร่งอย่างนี้ ท่านจะสบายใจในความรอด ขอบคุณพระเจ้ามีพี่น้องของเรา ที่ได้ฟังคำบรรยาย  แล้วก็คอมเมนท์ตรงนี้มา ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้ามากๆ  เราทั้งหลาย ก็อยากจะได้รับการหนุนใจอย่างนี้  คอมเมนท์จากพี่น้องที่เป็นผู้เชื่อ ได้ฟังคำบรรยายนี้ แล้วบอกว่าฟังคำบรรยายมาเป็นปี ฟังแล้วหนุนใจมาก เพราะทำให้มีความมั่นใจในความรอดมากขึ้น ตั้งเยอะเลย มีชีวิตอยู่อย่างสบายใจขึ้น  นี่คือเป้าหมายของความจริง ถ้อยคำพระเจ้า เมื่อถูกประกาศไป มันต้องเป็นอย่างนี้ คือฟังแล้ว มีความมั่นใจในความรอด ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความสบายๆ ในความรอด แค่ความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิต  การกิน การอยู่บนโลกใบนี้  ก็เหนื่อยพอแล้ว 

            เพราะฉะนั้น ในวิญญาณที่ได้รับความรอดนั้น  ก็จะได้พัก หายเหนื่อยและเป็นสุข ในวิญญาณ  สิ่งนี้ คือสิ่งที่อยากได้

            ท่านทราบไหมคำว่า “รางวัล” ภาษาอังกฤษจะละเอียดกว่าภาษาไทย  ภาษาอังกฤษใช้คำที่เป็นเอกพจน์ ซึ่งก็แปลว่า “แค่รางวัลเดียว”

            ยกตัวอย่างเช่น วิวรณ์ 22:12 ที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเราจะกลับมาพร้อมรางวัล ตรงนี้คำว่า “พร้อมกับรางวัล” ก็คือรางวัลเดียวนั่นแหละ ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มอบมรดก นั่นคือรางวัลเดียว  คือมรดกที่ผู้เชื่อทุกคนจะได้รับ เหมือนกันหมด เท่าๆ กันหมด

            อีกอันหนึ่ง ก็คืออุปมาตอนที่พระเยซู ดำเนินบนโลกใบนี้ เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของสวนองุ่น ที่ให้ค่าจ้างคนงานเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะทำงาน 8 ชั่วโมง หรือทำแค่ 1 ชั่วโมง  ก็ได้ค่าแรงเท่าๆ กัน ไม่มีคนต้น  ไม่มีคนปลาย ไม่มีใครดีกว่าใคร?  ไม่มีใครใหญ่กว่ากัน  เปรียบกับรางวัลที่เราได้รับ คือชีวิตนิรันดร์ ในสวรรคสถาน ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซู ไม่มีรางวัลพิเศษ ไม่มีเสื้อคลุมพิเศษ ไม่มีที่นั่งพิเศษ ไม่มีบ้านใหญ่พิเศษ  ไม่มีบริวารพิเศษใดๆ  ไม่มีอะไรพิเศษทั้งสิ้น  มีเพียงรางวัลเดียว  ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับเท่าๆ กันหมด ในสวรรคสถานของพระบิดา เอเมน โรม 8:16-17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 8:16-17 “16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

            คือพระเจ้ายืนยันจากภายในวิญญาณของเราว่าเรามีมรดก มีรางวัลจริงๆ ตรงนี้ มีทั้งในส่วนที่รับเดี๋ยวนี้บนโลกแล้ว และในโลกหน้าด้วย ยืนยันด้วยอะไร? กลัวว่าเราจะไม่มั่นใจ ยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวของเรา พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ 1 ในมรดกนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ยืนยัน ในวิญญาณของเราเลยว่าเราได้รับมรดก ได้รับรางวัลนั้นจริงๆ เดี๋ยวนี้ และหลังจากความตาย ก็ได้อีกด้วย มั่นใจได้ เพราะว่ามีมัดจำอยู่ในใจเรียบร้อยแล้วไง นี่มันหมายถึงอย่างนั้น

            ยกตัวอย่างเช่น พระวิญญาณบริสุทธิ์มัดจำเรา ยืนยันด้วยวิธีใด  มีใครบ้างที่ไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และสามารถอธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นว่า “พระบิดา” เรียกตัวเองว่า “ลูก” สนิทๆ ไปเรียก “พ่อจ๋า” แค่มาก เรียกสิ่งศักดิ์เหล่านั้นอาจจะเรียกว่า “พ่อ” ได้บ้าง? แต่เรียกตัวเองว่า  “ลูกช้าง” “ข้าทาส” เราจะรู้เลยว่าเราสามารถเรียกพระเจ้าว่าพ่อ เรียกตัวเองว่าลูก ด้วยความมั่นใจเลย บางคนใส่ราชาศัพท์จน …

            “โอ้! เสด็จพ่อ ข้าพระองค์รักพระองค์เหลือเกิน สุดจะพรรณนา”

            อะไรอย่างนี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ทำให้เรามีความมั่นใจ  และสิ่งเหล่านี้ คือมั่นใจว่าเราเป็นทายาท  ถ้าเป็นทายาท ก็คือเรามีมรดก แล้วไม่ใช่ทายาทเฉยๆ เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์

            “เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์”

            ร่วมกัน หมายถึงพระคริสต์ได้อะไร? เราได้ด้วย มรดกที่พระเยซูคริสต์ทิ้งไว้ให้กับเรา  คือมรดกที่พระองค์ได้รับมาจากพระบิดาอีกทีหนึ่ง  พระองค์ได้รับมรดกจากพระบิดาอะไร?  พระองค์ก็ให้เราทั้งหมด สมมติว่านับเป็นเงิน เห็นง่ายๆ ว่าพระองค์ได้รับจากพระบิดามา 10 ล้าน  พระองค์ก็ให้เรา 10 ล้าน พระองค์ได้รับอะไรมา พระองค์ก็ให้เราทั้งหมดนั้น เพราะเรามีส่วนร่วมรับกับพระองค์ เราเป็นทายาทร่วมกับพระองค์  เรารับมรดกร่วมกับพระองค์ และได้รับเรียบร้อยแล้ว  เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว  เอเมน ในหนังสือ 1 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 เปโตร 1:3-4  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท)  เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน”

            “ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่” มาเป็นลูก เมื่อเป็นลูก ก็มาเป็นทายาท เมื่อเป็นทายาท ก็มีมรดก ง่ายๆ นิดเดียวนะ  เกิดใหม่ เป็นลูก เป็นลูก แล้วก็เป็นทายาท เมื่อเป็นทายาท ก็เป็นผู้ที่จะรับมรดก คำว่า “จะรับ” เห็นไหมครับ? จะรับมรดก รับตั้งแต่เดี๋ยวนี้  และจะรับต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งครบถ้วนบริบูรณ์  หลังจากความตายแล้วยังไม่พอ  หลังจากโลกใบนี้สิ้นสุดด้วย  เมื่อโลกใบนี้สิ้นสุดลง พระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งใหม่ๆ ให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อ ที่ได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว

            ข้อ 4 และได้เป็นทายาทเข้าในมรดก … มรดกที่ใหญ่ไหม? ใหญ่มหาศาล มีวันหมดไหม? อ่านตรงนี้ มรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อท่านทั้งหลาย เตรียมไว้ในสวรรค์ คือเตรียมไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ได้รับเลย  และเตรียมไว้ในสวรรค์ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เข้าสู่สวรรค์เต็มรูปแบบอีกครั้งหนึ่ง เป็นมรดกรางวัลแห่งชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไปเลย  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่มีใครมาขโมยเอามรดกนี้ไปได้  แม้กระทั่งตัวท่านเอง วิ่งหนีออกจากมรดกนี้ ยังไปไม่ได้เลย  แม้แต่ตัวท่านเองบอกว่าไม่เอาแล้ว ถูกหลอกด้วยมารซาตานคิด ท้อแท้ในใจ ถึงปัญหาต่างๆ ไม่เอาแล้ว ไม่เอามรดก ไม่เอาพระเจ้าได้ไหม? ไม่ได้นะ ในนี้บอกว่าเป็นมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเสียหายไป ที่ได้ทรงเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรค์ เพื่อพวกท่านทั้งหลาย แม้ท่านเอง เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องท้อใจว่า …

            “วันนี้ ฉันมีความรู้สึกเบื่อหน่ายพระเจ้าเหลือเกิน ฉันรู้สึกเซ็งต่อพระเจ้าเหลือเกิน ทำไมฉันทำชั่วอย่างนี้ ฉันยังคงทำชั่วต่อไปอยู่”

            แต่ถ้าท่านบังเกิดใหม่แล้ว  ท่านจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ท่านอยู่ตรงนั้นแน่นอน 100% ท่านจะได้สบายใจได้ว่าหลายครั้ง บางทีเรามีความรู้สึกต่อสถานการณ์ต่างๆ  ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่มีสันติสุข ที่จะเชื่อว่ามรดกเหล่านี้ มันเป็นจริง สำหรับชีวิตเรา รู้สึกสงสัยในมรดกต่างๆ สงสัยในพระเจ้า เราก็นึกว่าความสงสัยเหล่านั้น จะทำให้เราหลุดออกจากการเป็นทายาทรับมรดกเหล่านี้ ไม่มีวันหลุดนะครับ ความคิดสงสัยของท่านไม่สามารถทำให้ท่านเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ เพราะท่านได้รับสิ่งเหล่านี้ในโลกฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณท่านเปลี่ยนเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณท่านเป็นทายาทของพระเจ้า วิญญาณท่านได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านเป็นที่สถิตของพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านได้รับมรดก เป็นรางวัลเรียบร้อยไปแล้ว  เพียงแต่รอคอยวันหนึ่งข้างหน้าที่จะได้มรดกเพิ่มเติมหลังความตายนั่นเอง เอเมน

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นผู้ที่ได้รับมรดกเหล่านี้  แล้วมันเป็นจริงตามนั้นว่ามันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แบบมีเป้าหมายของเราอย่างชัดเจน คือเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็จดจ่อไปที่มรดกที่รับเรียบร้อยแล้วบนโลกใบนี้กับที่ยังไม่ได้รับ ที่ระบุไว้ในหนังสือพินัยกรรม  เมื่อเราร่ำรวยถึงขนาดนี้แล้ว เราได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้เรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้  หลังจากตายจากโลกนี้ ยังมีอีก ซึ่งบันทึกไว้ในพินัยกรรมแล้ว เราก็ควรจดจ่อไปที่พินัยกรรมนี้ อ่านพินัยกรรมนี้ทุกวันเลยว่าพินัยกรรมนี้ เราได้รับอะไรเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีวันเสื่อมสลาย

            ผู้ที่ค้ำประกันว่าไม่มีวันเสื่อมสลายนั้น ก็คือพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่ง ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ใครๆ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็เรียกพระเจ้าว่าพระเจ้า โอ้! พระเจ้ายิ่งใหญ่ ผู้นี้เป็นพระเจ้าองค์เดียว ที่เป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์  พระเจ้าแท้จริงเพียงผู้เดียวเท่านั้น ค้ำประกัน ยืนยันกับเรา บอกว่าพินัยกรรม หนังสือมรดกนี้ มันเป็นเรื่องจริง ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  และเราจะเอาเป้าหมายในชีวิตเรา ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปมองอะไรที่ไหนเล่า  มองโลกใบนี้ที่มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว อย่าว่าโลกนี้จะสูญสิ้นไปเลย ชีวิตเราเองยังอยู่ไม่นานเลย  บางคนบอกว่า 80 ปี  100 ปี อาจจะไม่ถึงก็ได้ พรุ่งนี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุ มะรืนนี้อาจจะเกิดอุทกภัย เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ มันไม่แน่นอนเลย บนโลกใบนี้ 

            แล้วเราจะมีเป้าหมาย มีชีวิตอยู่ มองไปบนโลกใบนี้ เพื่ออะไร? ทำไมเราไม่มองไปที่ทรัพย์ มรดกในโลกวิญญาณ อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป  ซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรคสถาน ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว และรออีก ได้รับเพิ่มเติมอีก เป้าหมายของเราจึงจดจ่อไปที่มรดกนี้ บนโลกใบนี้ กับมรดก ที่ยังไม่ได้รับ ที่ระบุไว้ในหนังสือพินัยกรรม รอคอยการเสร็จสิ้นภารกิจในร่างกายนี้

            ทำไมผมบอกภารกิจในร่างกายนี้  เพราะว่าร่างกายของเรา ไม่ใช่เป็นของๆ เราอีกต่อไปแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ดีใจเหลือเกินร่างกายไม่ได้เป็นของเราแล้ว แต่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าซื้อเรามาด้วยราคาแพง เพราะฉะนั้น ภารกิจของเราบนโลกใบนี้ ที่ยังดำเนินต่อไป ใครเป็นคนดำเนิน เจ้าของสิ คือพระเจ้าเป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในเรา ซึ่งพระองค์เป็นเจ้าของบนโลกใบนี้นั่นแหละ ขณะที่ดำเนิน คิดอย่างนี้ ชัดเจนเลย รอคอยการเสร็จสิ้นภารกิจ ในร่างกายนี้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามการทรงนำของพระเจ้า รอคอยวันที่จะเสร็จสิ้นการงาน ก็คือจากร่างกายนี้ และจะได้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย 2 อย่าง รอด้วยความอดทน อดทน เพราะอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีใครดี ไม่มีใครมีความสุขเลยสักคนหนึ่ง

            พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว พระเยซูบอกไว้แล้วว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านมีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่เราชนะโลกนี้แล้ว  จงชื่นชมยินดีเถิด รอด้วยความอดทน ขณะเดียวกัน ด้วยความตื่นเต้น ชื่นชมยินดี เพราะเรากำลังจะไปรับรางวัลเพิ่มเติม คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และโลกใหม่ สรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ  ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้น  เมื่อโลกใบเก่านี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบเก่านี้ มหาจักรวาลในโลกใบเก่านี้ มันสูญสิ้น มันสิ้นสุดลง  เอเมน

        ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ จากในคุกนะ เห็นไหม? อดทน แต่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เต็มไปด้วยเป้าหมาย เต็มไปด้วยความตั้งใจ เต็มไปด้วยความใจจดใจจ่อไปที่รางวัลที่เพิ่มเติม รางวัลบนโลกใบนี้อาจารย์เปาโลมั่นใจเรียบร้อยแล้ว และมั่นใจไปถึงรางวัลเพิ่มเติม หลังความตายด้วย จึงจดจ่อ เขียนจากในคุก บางฉบับเขียนจากคุกใต้ดินด้วย เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา เฝ้ารอคอยวันที่จะได้พบพระเจ้าหน้าต่อหน้า อย่างใจจดใจจ่อ ตาไม่กระพริบเลย ถูกไหม? อ่านแล้ว เป็นอย่างนั้น อยู่ในคุกแล้วยังจดจ่อที่ร่างกายใหม่ วันที่จะจากร่างกายนี้ เมื่อไรหนอที่เขาจะเอาไปตัดหัวสักที เมื่อไรหนอเขาจะลงโทษประหารชีวิตเสียที ตัดคอสักที เพราะเปาโลบอกว่าเมื่อจากร่างากายนี้แล้ว จะไปพบพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ทันทีเหมือนกัน

            และอยู่บนโลกใบนี้ ทำไม? เป็นภารกิจที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้แต่ละคน ไม่เหมือนกัน พระเจ้าพระบิดากำลังฝึกฝนเรา ด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจ จำไว้เลยนะ พระองค์ทรงนำพาชีวิตเรา บนโลกใบนี้ด้วยความรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สมกับที่เป็นลูกของพระองค์ ที่อยู่ในสวรรคสถาน ในบ้านของพระองค์เรียบร้อยแล้ว โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ คอยเป็นพี่เลี้ยง จนกว่าจะเจริญเติบโตเพียงพอ พร้อมตามน้ำพระทัย ตามแผนการของพระองค์ พร้อมแล้วที่จะออกจากร่างเดิม ร่างกายนี้  เพื่อรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นแบบสวรรค์ สามารถเข้าสวรรค์ได้แล้ว ในร่างกายใหม่นี้ เข้ามิติสวรรค์ โลกฝ่ายวิญญาณ สู่ความรอดนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และรับมรดกเพิ่มเติม ร่วมกับพระเยซูคริสต์หลังความตายนั้น

            เพราะฉะนั้น เราอยู่บนโลกใบนี้ แม้ยังกำลังดำเนินชีวิตยอู่บนโลกใบนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราได้อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว เราแค่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขาดแค่ ยังอยู่ในร่างกายเดิม และบนโลกเดิม มันขาดแค่นี้เอง ซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ เขียนในพินัยกรรม ในพระเยซูคริสต์ ลงชื่อพระองค์เลย สัญญาไว้ว่าได้เตรียมทั้งร่างกายใหม่ แบบสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเราแล้ว และให้เราเตรียมพร้อมที่จะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นี้ ให้เราเตรียมให้พร้อม เราเตรียมหรือยัง? ท่านลองนึกถึงใจตนเองว่าท่านพร้อมไหม? ถ้าวันนี้ หรือในวินาทีนี้ หรือวันพรุ่งนี้ พระเจ้าบอกว่า …

            “โอเคลูก ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จบจากโลกใบนี้แล้ว  เสร็จภารกิจแล้ว”

            ท่านจะดีใจหรือเสียใจ? ดีใจ ท่านอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปหรือ?  ไม่มีใครอยากหรอก พูดตรงๆ เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อท่านเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณ ท่านโหยหา ร้องเรียกสวรรค์ตลอดเวลา ร้องเรียกร่างกายใหม่ตลอดเวลา พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยท่าน ครวญครางไปกับท่าน ท่านไม่อยากจะอยู่แล้ว แต่ที่ท่านยังอยากอยู่ หรือยังไม่อยากตายนั้น เพราะความรู้สึกทางร่างกาย  ความคิดแบบโลกใบนี้  ซึ่งไม่ใช่ตัวท่านหรอก  มันเป็นข้อมูล มันเป็นความคิดแบบเนื้อหนังที่อยู่บนโลกใบนี้  ที่ส่งกระแสเข้ามาตามระบบของโลกใบนี้เท่านั้น  แต่ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ในโลกวิญญาณของท่าน ไม่มีใครอยากจะอยู่บนโลกใบนี้หรอก เอเมน

            เพราะว่าได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ มันสุดจะยอดเยี่ยมแล้วนะ และยังแถมรอไปอยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่ๆ ทั้งหมด อีกด้วยต่างหาก เพราะฉะนั้น เราจึงอยู่บนโลกใบนี้  อย่างโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา

            เอาไว้ตอนต่อไป เราจะมาคุยกันถึงเรื่องมรดกรางวัลที่ยังไม่ได้รับ ที่เราคาดหวังไว้ สรุปรวมๆ แล้วอีก 2 อย่าง ที่เราจะได้รับหลังจากโลกนี้ไปแล้ว  ในโลกหน้า หลังความตาย  ก็คือ …

            1. ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มันเป็นอย่างไรหนา?

            2. โลกใหม่   สรรพสิ่งใหม่  แทนที่โลกเก่าใบนี้ ที่จะสูญสิ้นไป โลกใบนี้ ที่เรามองเห็นต้นไม้ สัตว์ สิ่งของ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ในโลกใหม่ มันจะดีกว่านี้อีกมากมายมหาศาล  เราจะเรียนรู้กันทีหลัง

            วันนี้เราจบตอนนี้ด้วยคำว่าเพราะฉะนั้น เราอยู่บนโลกนี้ เป้าหมายของเรา คือในสวรรสถาน เป้าหมายของเรา  คือสิ่งที่มีค่าสูงสุด  ที่เรียกว่าทรัพย์สินของเราอยู่ในสวรรค์   เราสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรคสถาน ไม่ใช่โลกใบนี้อีกต่อไป โลกใบนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเราอีกต่อไป  โลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสวรรคสถานต่างหากที่เราเป็นพลเมืองอยู่ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าห่วงใยท่าน ท่านเหนื่อยกับอุปสรรคปัญหาในชีวิตที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรือไม่? ยอมให้พระเยซูคริสต์  เข้าไปช่วยแบกภาระสิครับ

            เมื่อเราเชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระบาป ลบล้างความผิดบาปทั้งสิ้น  เราได้บังเกิดใหม่ ได้รับสิทธิให้เป็นบุตรพระเจ้า บัพติศมาเข้าส่วนในการตาย การเป็นขึ้นมาใหม่กับพระคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา

            สิ่งที่ตามมา คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ก่อกำเนิดภายในเรา  เราได้มีธรรมชาติใหม่  คือธรรมชาติเดียวกันกับพระเจ้า

            กาลาเทีย 5:22-25 … “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก   ความชื่นชมยินดี   สันติสุข  ความอดทน   ความปราณี  ความดี   ความสัตย์ซื่อ   ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง   สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย (ไม่มีการบังคับให้ทำ  แต่ทำได้เองโดยอัตโนมัติ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่  ของผู้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น  ตัวเก่า  ธรรมชาติเก่า  วิสัยบาป และกิเลสตัณหาของวิสัยบาปเดิม ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  และได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น ในเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่  มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ  ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

            ผลของพระวิญญาณ  คือธรรมชาติใหม่ของเรา  เราไม่ต้องออกแรงทำ  แค่ยอมจำนน  ยินยอม  พร้อมใจที่จะเป็นไปร่วมกันกับพระเจ้า  ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในก็พอ  ชีวิตเราก็จะเกิดผลไปตามธรรมชาติใหม่ของเรา  ฉายแสง  สำแดงพระเยซูคริสต์ออกมาจากภายใน ให้โลกได้เห็น พระคริสต์สถิตในเรา

            ฟีลิปปี 2:13 … “[ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง] เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา [พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน] ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจ  และความปิติยินดีของพระองค์”

            ดังนั้น เมื่อท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ขอให้ท่านดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังพ่อ ให้สมกับเป็นบุตรพระเจ้าเถิด  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1408

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้ก็คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์” ทบทวน

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            ตั้งชื่ออย่างนี้ บางคนฟังปุ๊บ อาจจะคิดว่า …

            “อะไรนะ  ฉันนี่หรือที่จะนั่งกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน”

            จะนั่งนะ แต่ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราได้นั่งแล้ว แต่บางคนอาจจะคิด ฟังแล้ว โอ้โห! อะไรนะ ตายไปแล้ว จะได้อยู่ในสวรรค์ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว แต่นี่กำลังบอกว่าฉันได้อยู่ในสวรรค์ และได้อยู่ในตำแหน่งนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรคสถานเลย ก็จะมีคน 2 พวกที่คิดอย่างนี้

            พวกแรกคริสเตียนที่ได้ยินตรงนี้ แล้วบอกว่า … “โอ้โห! จริงหรือ! ขอบคุณพระเจ้า”

            พวกที่สอง ก็จะบอกว่า … “มันเป็นไปได้หรือ! ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เลย ยังประพฤติตัวไม่ดีเลย อธิษฐานก็ไม่ได้เยอะเหมือนเขา มาโบสถ์ก็ไม่ได้มาเป็นประจำเหมือนเขา แล้วอย่างนี้ แค่อยู่ในสวรรค์ ฉันก็พอแล้ว  อะไรจะไปนั่งอยู่กับพระคริสต์ในตำแหน่งนั้นเลยเหรอ แค่ตำแหน่งศิษยาภิบาล ก็ไม่มีทางที่จะไปนั่งอยู่กับเขาแล้ว เพราะว่าเขาดูรู้สึกว่าโฮลี่มากกว่าชีวิตฉันเยอะเลยนะ  ไม่ไหวหรอก”

            แล้วท่านเป็นประเภทไหน? ฟังถ้อยคำนี้แล้วคิดอย่างไร? คิดแบบหนึ่งหรือแบบสอง?  แบบที่ … “โอ้โห! เป็นไปได้หรือ!” หรือว่า … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์

            ตอบ … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            ฟังดู แล้วก็ต้องคิดเอาเอง รู้แล้ว โอ้โห! มันอัศจรรย์ไหมล่ะ  อัศจรรย์ ก็พูดตามความรู้สึกว่า …

            “โอ้โห! เป็นไปได้หรือเนี้ย? ขอบคุณพระเจ้า” … มันต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม?

            “ฉันเนี้ยนะ”

            “ก็เธอนะสิ”

            ใครพูด? พระเยซูบอก พระเจ้าบอก

            “ลูกเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            “ลูกที่ทำผิดมากมายเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! เธอนั่นแหละ”

            “นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์นะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            มันเหลือเชื่อจริงๆ นะ มันจึงเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเลย ไม่ใช่ คริสเตียนเลย ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จึงบอกว่ามัน Impossible มันเป็นไปไม่ได้เลย  แค่บอกไปอยู่ในสวรรค์เขาก็ไม่เชื่อแล้ว  แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่สวรรค์ธรรมดานะ ไปนั่งอยู่กับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้าเลยนะ เขาเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ซีรี่ย์นี้ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ทั้งหมด 6 ตอนนี้เป็นความอัศจรรย์ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว มันจึงเป็นข่าวดี แก่คนที่เชื่อไง  และมันเป็นความหวังกับคนที่เชื่อแล้ว ให้มั่นคงยิ่งขึ้น  เรารู้ข่าวดีนี้แล้ว  เราเชื่อแล้ว  อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว  เราขอบคุณพระเจ้าแล้ว  และเรามาฟังอีก ไม่ใช่ข่าวดีแล้วตอนนี้ เรามาเริ่มต้นรับรู้ความจริงในเรื่องข่าวดีนี้ เราเป็นอย่างไร? เพื่อความหวัง เราจะได้มีความมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งมันสำคัญกว่าโลกวัตถุ สิ่งของที่ตามองเห็น จับต้องได้บนโลกใบนี้มากนัก เราจะได้พักสงบและหายเหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            6 ตอนนี้ เป็นความจริง สำหรับผู้ที่เชื่อ และจะเกิดอัศจรรย์ขึ้นอย่างนี้กับเขา  แต่ถ้าเขาไม่เชื่อความจริงนี้ อัศจรรย์เหล่านี้ ก็เท่ากับไม่มีจริง  ไม่ได้เกิดขึ้นนั่นเอง ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

            อย่างที่บอกว่าเรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริงที่เรามองไม่เห็น  แต่เป็นอยู่จริงๆ พระเจ้าสอนเราและบอกเรา  ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ท่านลองนึกภาพ ใครๆ ก็รู้จักว่าพระเจ้า คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด รู้จัก หมายถึงได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ อะไรก็อ้างว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ … โอ้โห! พระเจ้า … โอ้! ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทั้งหมดแหละ แต่ใครจะรู้ความจริงลึกๆ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าพระองค์ทรงเป็นใคร?

            พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ เรารู้ ที่เรียกว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง  และพระองค์ทรงดูแลสิ่งเหล่านี้ เป็นเสมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ดูแลสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น นี่เรียกว่าธรรมชาติ ตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้น ด้วยความยุติธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง  เราจะเห็นได้จากสรรพสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งทำตามกฎที่พระองค์ทรงวางไว้

            ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตกเลย ขึ้นทางทิศตะวันออกตลอด  แต่ในขณะเดียวกัน ทรงเป็นพ่อ พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของมวลมนุษย์ด้วย ซึ่งเต็มไปด้วยความรักอ่อนโยนต่อมนุษย์ ดังแก้วตาดวงใจ  นี่เราทราบความจริงเหล่านี้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่  แล้วเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ  ถ้อยคำของพระองค์พูดอย่างนี้ในโลกวิญญาณเป็นจริง

            พระเยซูจึงกล่าวเมื่อสักครู่ ที่เราอ่านว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต  เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อไม่มาเชื่อในพระเยซู เราก็จะไม่รู้จักความจริง  ความจริงที่แปลว่าอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่เราไม่รู้ แต่เราจะรู้ได้ เมื่อเรามารู้จักความจริง โดยรู้จักพระเยซูคริสต์ เจ้าของความจริงนั่นเอง

            พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นทางเดียว ท่านลองคิดดูนะ พระองค์เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วมิติฝ่ายวิญญาณที่เรากำลังเรียนรู้นี้ ก็คือสวรรค์ของพระบิดานั่นเอง ไม่มีทางอื่นใดที่จะเข้าสวรรค์ได้เลยนอกจากผ่านทางพระองค์เท่านั้น พระเยซูตรัสดังนี้ ด้วยความกล้าหาญ มั่นคง มั่นใจมาก  มีใครกล้าพูดอย่างนี้บ้าง พระองค์พูดมาแล้ว 2,000 ปี ใน 2,000 ปีมีคนเชื่ออย่างนี้เยอะแยะไปหมดเลย มาถึงปัจจุบัน  ถ้าไม่จริงจะมีคนมาเชื่อเยอะขนาดนี้หรือ?  และถ้าไม่จริง ใครเล่ากล้าที่จะพูดอย่างนี้ว่า …

            “นอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครไปหาพระเจ้าได้เลย  ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบนไม้กางเขน ก็คือประตูทางเข้าสู่มิติวิญญาณ  ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า พระบิดานั่นเอง จากคำพูดของพระองค์เมื่อสักครู่นี้ ก็คือฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ นำพามนุษย์เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง  พระองค์ ก็คือฤทธิ์อำนาจนั่นเอง ไม้กางเขน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่จะนำพาผู้คนทะลุทะลวงจากมิติที่ 4 ไปสู่มิติที่ 5 โลกฝ่ายวิญญาณ ทะลุออกจากโลกวัตถุ  ที่ตาจับต้องมองเห็นได้ ทะลุเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง

            อาจารย์เปาโลจึงได้พูดอย่างนี้ ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 อาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้เคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เข้าไปเห็นกับตามาแล้วว่าในมิติที่ 5 โลกวิญญาณ  ในสวรรค์ของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร?  แล้วออกมา แล้วก็พูดอย่างนี้  หนึ่งในจำนวนนั้น ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 บอกว่าพระคริสต์เป็นอย่างไร? …

        1 โครินธ์ 1:17-21  “17 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ 18 คนที่กำลังจะพินาศ ก็เห็นว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  19 เพราะมีคำเขียนไว้ว่าเราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา เราจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดไร้ผล  20 ไหนล่ะปราชญ์ ไหนล่ะผู้รู้ นักปรัชญาของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไป ไม่ใช่หรือ 21 โดยพระปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน  ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อ ให้รอด โดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ”

            พระเยซูส่งอาจารย์เปาโลมา เพื่อประกาศข่าวดี  ก็คือประกาศฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนว่ามันเป็นจริง ไม่ใช่มาพูดเรื่องสติปัญญาของมนุษย์ที่ตามองเห็น จับต้องได้ แบบโลกใบนี้ ในนี้บอกว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ๆ โง่ สำหรับอะไร?  สำหรับคนที่ใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ แบบโลกใบนี้ ฟังและคิดตามความสามารถของตนเอง แต่พวกเราที่กำลังจะรอด เห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

            ในข้อที่ 21 บอกว่า … “โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน”

            พระเจ้ารู้แล้วว่ามนุษย์ถ้าใช้สติปัญญาของตนเอง ไม่มีวันที่จะรู้จักพระเจ้าได้หรอก ไม่มีทางที่จะเข้าใจข่าวประเสริฐที่พระเยซูประกาศ และเปาโลกำลังบอกอยู่นี้ได้ และไม่ใช่เปาโลเท่านั้น จากวันนั้นมา จนถึงวันนี้  ก็มีผู้ประกาศข่าวดีนี้ มาตลอดเวลา  และผม และพวกเราทั้งหลายที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก็กำลังประกาศข่าวดี ฤทธิ์เดชอำนาจนี้อยู่ใช่ไหม? ถ้าใช่ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า  เรากำลังประกาศข่าวดีเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจ  ไม่ใช่มาอธิษฐาน สอน ปัญญาแบบมนุษย์  ไม่มาชี้แจงให้มนุษย์เข้าใจว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะ เข้าใจไหม?  เรากำลังมาประกาศ บอกถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขน คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นได้อย่างไร?

            ในนี้ข้อสุดท้ายจึงบอกว่า “ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัย”

            พอพระทัยใคร? พอพระทัยในบรรดาผู้คนที่เชื่อเอาไง  เชื่อในความจริงที่พระองค์ทรงประกาศให้เราได้ยิน  ไม่ใช่หาเหตุผลว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?  แต่ใช้ความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ฤทธิ์เดชอำนาจของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น  คือฤทธิ์เดชอำนาจนั้นเอง

            เมื่อเราเชื่อและเปิดใจต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทันที เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของตัวเราเอง และเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์รอบข้างเราเลยล่ะ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์เหล่านั้น  เกิดขึ้นในชีวิตของเราแล้ว  เราไปพูดกับใครที่เขายังไม่รู้จัก ยังไม่เชื่อนี้ แนวโน้มไปในทิศทางที่หาว่าเราโง่ทั้งนั้น หาว่าเราอะไร? เป็นไปได้หรือ? เพราะฉะนั้น จงดีใจ ที่เวลาใครเขาบอกเราโง่  เวลาเขาบอกว่ามาเชื่ออะไรแบบโง่ๆ  เราควรจะดีใจว่ามาถูกทางแล้ว เอเมนไหมครับ? เพิ่งมีคนเห็นด้วย เอเมนว่ามีคนว่าโง่ ยอมรับนะ  ปกติ ออกไปข้างนอก ไม่เห็นยอมรับเลย เขาแซวหน่อย …

            “ทำไมเธอโง่อย่างนี้”

            “อะไรว่าฉันโง่เหรอ” ทีอย่างนี้ยอมรับว่าโง่

            ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเราว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจที่พูดถึงตรงนี้ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที  6 ตอนมาแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้ามาทำการงานในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของเรา  เราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของฝ่ายวิญญาณ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด บนโลกนี้ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ อีกแห่งหนึ่ง  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างในพระเยซูคริสต์

            ในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรคสถานเบื้องบน ตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่เป็นที่ประทับของพระเจ้า  เป็นสวรรค์ของจริง จริงๆ ต้องพูดย้ำบ่อยๆ เพราะว่ามนุษย์เรา เอะอะอะไรก็สวรรค์ทั้งนั้น คิดอะไร ก็บอกว่าทำอย่างนี้เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่นี่เรากำลังพูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นของจริง สวรรค์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทับอยู่จริงๆ เป็นสวรรค์ของจริง แห่งเดียวเท่านั้น ไม่มีแห่งอื่นแล้ว และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด ในสวรรค์แล้ว เราทุกคนที่เชื่อ ได้รับตำแหน่งนี้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ที่นั่งอยู่บนโลกใบนี้  เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ในข่าวดีนี้  อยู่ในสวรรค์ นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเป็นรองใครเลย เอเมนไหม?

            “ฉันไม่เป็นรองใครเลย  ฉันนั่งกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์แล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่เป็นรองใครเลย   นั่งเท่าๆ กันทุกๆ คน    และพระเจ้าพระบิดาทรงรักเราทั้งหลาย      ที่นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์แล้ว รักพวกเราทั้งหลายเท่าๆ กับรักพระเยซูคริสต์ และรักพวกเราทั้งหลายทุกคนเท่าๆ กันครับ

            “รู้ไหม?  พระเจ้ารักฉันเท่าๆ กันกับรักพระเยซู และเท่าๆ กันกับรักเปาโล และรักเท่าๆ กันกับศิษยาภิบาล กับอาจารย์ต่างๆ กับผู้เชื่อใหม่ เมื่อวานนี้ รักเท่าๆ กันเลย เอเมน”

            และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือสถานะหรือตำแหน่งนี้  และพระเจ้ารักเราอย่างนี้ ตราบชั่วนิรันดร์กาล เพราะว่าในสวรรค์ไม่มีวัน ไม่มีเวลา สวรรค์เป็นสวรรค์นิรันดร์ สวรรค์ไม่มีพันปี หมื่นปี ร้อยปี ล้านปีไม่มี ในสวรรค์มันหลุดออกไปจากโลกวัตถุ โลกใบนี้เท่านั้นถึงจะมีเวลา ในสวรรค์ไม่มีเวลา  ในสวรรค์เป็นนิรันดร์ เขาถึงเรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร์  ชีวิตอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

            “ชีวิตนิรันดร์ ฉันจะอยู่ที่นี่ ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ เอเฟซัส 2:6 บันทึกอย่างนี้  นี่คือความจริงที่บันทึกเอาไว้ว่าขณะนี้ ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            มันน่าจะลุกขึ้นมาตะโกน โลดเต้นตลอดเวลา จะได้จำได้  พระเจ้าไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้นนะ หลายท่านมาเป็นคริสเตียน รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว …

            “ขอบคุณพระเจ้าที่ยกโทษ อภัยความบาปผิดของลูก”

            มันก็โอเค มันถูกนะ แต่มันยังไม่ถึงครึ่งเลย เต็มใบ สมบูรณ์แบบของข่าวประเสริฐ คือไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้น แต่วิญญาณของเราได้เป็นขึ้นมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ไม่ต้องรอให้ตายก่อน แล้วถึงจะมารับ ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่าเลย ก็ไม่แน่ใจสิ แต่พระเยซูบอก ไม่มีการมารอพิสูจน์ตอนตายแล้วถึงจะรู้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ ทันทีเลย เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที หนึ่งในจำนวนนั้น คือท่านได้บังเกิดใหม่  มานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วทันที เอเมน ความจริงในพระคัมภีร์ บอกเราว่าในมิติฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้เข้าไปนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ส่วนในมิติฝ่ายโลกวัตถุล่ะ ก็คือร่างกายเดิมเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังด้อยและหยาบเกินกว่าที่จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ในขณะนี้ได้ พระเจ้าจึงได้สัญญากับเราอย่างมั่นคง และเราก็มีความเชื่อ มีความหวังใจ อย่างมั่นใจ เหมือนจับต้องมองเห็นได้เลยว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถเข้ามิติฝ่ายวิญญาณ คือสวรรค์ของพระเจ้าได้  เราจะสวมร่างกายใหม่นี้ทันที หลังจากที่เราตายจากร่างเดิมนี้  และเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ  และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์ตามความเป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน  เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริงทั้งหมด

            ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ โดยพระคุณ เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นอกจากเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้  ต้อนรับสิทธิของเราในฤทธิ์อำนาจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ทั้งหมดนี้จึงเป็นของขวัญ โดยพระคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ดังนั้น มนุษย์ทุกคนที่วางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนี้ ก็จะได้รับของขวัญนี้เท่าๆ กันทุกคน ไม่มีใครดีกว่าใคร หรืออยู่ในสวรรค์ชั้นสูงกว่าคนอื่นๆ ทุกคนที่เชื่อ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานเท่าๆ กันนั่นเอง เอเมน

            เหตุผลชัดเจนเลย  ทำไมถึงเท่าๆ กัน ก็เราไม่ได้ทำอะไรเลย ได้มาฟรีๆ จะได้ดีกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เอเมนไหม? บางคนบอก …

            “ฉันทำเยอะกว่า”

            ใครทำ?  พระเจ้าทำ

            “อ้าว! ตอนรับเชื่อ ฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ฉันถวายเวลาให้กับพระเจ้ามากขึ้น”

            แล้วใครสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ที่อ่อนแอนั้น ใครที่ดำเนินชีวิตอยู่ในตัวท่าน ก็คือพระเจ้า

            “ฉันทำดีเยอะแยะ ฉันทำโน่นทำนี่”

            ใครเป็นคนทำ  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่านต่างหากที่เป็นผู้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เอเมนไหม? นี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะโอ้อวดอะไรเลย พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่าโอ้อวดในสิ่งที่ตนเองกระทำ เปาโลบอกว่าถ้าเราจะโอ้อวด เราจะอวดใคร? อวดพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ที่เป็นผู้กระทำการทุกสิ่งทุกอย่าง ภายในเรา  อย่าไปถูกใครหลอกว่ามีสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ ชั้น 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ชั้นอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด อย่าให้ใครหลอกว่าถ้าทำดีมากๆ จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ  ได้รับทรัพย์สมบัติในสวรรค์เยอะๆ สะสมไว้มากๆ จะได้บ้านใหญ่ๆ ในสวรรค์ มีเครื่องแต่งกายในสวรรค์ที่สวยงามกว่าคนอื่น นี่ใครถูกหลอก ก็แย่มากเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะขนาดอยู่ในโลกใบนี้ โลภก็แย่อยู่แล้ว ยังกะจะไปโลภต่อในสวรรค์อีกหรือ! เข้าใจใช่ไหม?

            ความจริงในสวรรค์มีแห่งเดียวเท่านั้น  เหมือนกันหมด  ก็คือสวรรค์ของพระบิดา  ที่พระเยซูคริสต์ประกาศ บอกว่าไม่มีใครเข้าไปสู่สวรรค์ของจริง คือพระบิดาในสวรรค์ได้หรอก นอกจากมาทางพระองค์เท่านั้น นอกนั้นของปลอม ถูกหลอกทั้งสิ้น ความจริง คือในสวรรค์นี้ มีแห่งเดียว เหมือนกันหมด  คือไม่ใช่ขึ้นไปอยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างกัน คือจะได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ แค่นั้นเอง มี 2 อัน 2 ทางเลือก  ถ้าเลือกประตู คือพระเยซูคริสต์ เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ทางเดียวเท่านั้น ก็ได้รับความรอด เข้าสู่สวรรค์ ถ้าไม่ได้มาทางประตูนี้  ไปผิดประตู ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ เท่านั้น ไม่มีตรงกลางๆ  แล้วก็ไม่ได้มีตรงได้อยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างๆ ไม่มี ทุกอย่างเหมือนกันหมด ก็คือได้เข้าสู่สวรรค์ ก็เหมือนกันหมดทุกคน ได้เข้าเท่ากัน ถ้าไม่ได้เข้าสู่สวรรค์ ก็สู่ความพินาศ เท่าๆ กัน  เหมือนกันหมด  ทุกคนเท่ากัน

            แล้วอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ที่เรากำลังนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในขณะนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  และตำแหน่งของเราที่ในสวรรค์ที่บอกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน มันสูงส่งขนาดไหน? อยากรู้ไหม?  ถ้าอยากรู้ต้องฟังอาจารย์เปาโล เพราะว่าเป็นผู้ที่เคยเข้าไปสู่สวรรค์นี้แล้ว ได้เห็นด้วยตาจริงๆ มีประสบการณ์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตัวเป็นๆ มาแล้ว

            อาจารย์เปาโลต้องการให้เราทั้งหลายรับรู้เรื่องความจริงตรงนี้ อย่างมากเลย เพราะว่าท่านได้ไปเห็นมากับตาแล้ว  ท่านได้รู้แล้ว ท่านรู้ว่าถ้าใครไปเห็นกับตาและรับรู้ความจริงตรงนี้  เขาจะสบายใจ เขาจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างผู้มีชัยชนะ  อาจารย์เปาโลจึงอยากให้ทุกคนรับรู้อย่างนี้ว่าท่านเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ขนาดไหน? ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านแล้วขณะนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ของพระเจ้า ยืนยัน โดยข้าพเจ้า ซึ่งเล่าให้ท่านฟัง บอกให้ท่านฟัง เพราะข้าพเจ้าไปเห็นมากับตาแล้ว พระเยซูคริสต์พาข้าพเจ้าไปเห็นมากับตา  เพื่อจะลงมา เพื่อจะยืนยันให้กับท่านว่าเบื้องบน ในสวรรคสถานของพระเจ้านั้น เป็นเช่นไร?  และตำแหน่งของท่านเป็นอย่างไร?  และมันสูงส่งขนาดไหน?  อยากรู้แล้วใช่ไหมครับ?

            เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่ต่างๆ ที่เริ่มต้น รู้เรื่องสวรรค์แล้ว ก็คือเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พูดง่ายๆ ว่าเป็นคริสเตียนแล้ว อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยน้ำตา ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความร้อนรนในใจ ต้องการให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเหล่านี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นด้วย ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? อธิษฐานให้เขาร่ำรวยไหม? อธิษฐานให้เขาผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไหม? อธิษฐานขอให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บไหม?  อธิษฐานขอให้เขาประสบความสำเร็จในการกระทำการงานในโลกใบนี้ไหม?  อธิษฐานให้เขาปลอดภัยจากโลกใบนี้ไหม? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้  อธิษฐานได้ แต่กำลังมีคำอธิษฐานที่สำคัญกว่า ที่ครอบคลุมถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเลย ก็คือคำอธิษฐานของเปาโลตรงนี้  ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไรให้กับผู้เชื่อใหม่ ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้ได้แสดงว่าคำอธิษฐานนี้สำคัญมากเลย สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย ทุกๆ คน รวมทั้งเราทั้งหลายด้วย และในขณะเดียวกัน อย่างที่บอกว่ามันจะเป็นความรู้ให้กับเรา มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต ในสวรรคสถาน บนโลกใบนี้  คืออยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แต่ขณะเดียวกัน มันจะเป็นข่าวดีให้กับบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? อัศจรรย์เหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านเช่นเดียวกัน สามารถฟังได้ทั้ง 2 พวกเลยนะ ทั้งพวกที่เชื่อแล้วกับพวกที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงพูดอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์)”

            “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของท่านนั่นเอง  ภายใน  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว สว่างขึ้น ให้แสงสว่างเข้าไป  เพื่อจะได้สำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่านอยู่แล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามาแล้วนั้น

            เห็นไหม? เหมือนตอนที่เราเริ่มต้นซีรี่ย์นี้มาไหม? จะได้รับรู้ถึงเรื่องสวรรค์ของพระเจ้าทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้ถึงเรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี มรดกนี้ คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับเราตอนเราจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีโลกใบใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้าง ซึ่งเราจะเรียนกันทีหลัง ให้เรารับรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองและมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว  ท่าน คือผู้เชื่อ ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เห็นไหม? พูดกับมนุษย์ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าท่านเป็นพลเมือง เป็นประชากรของสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม

            “ฉันบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้ว”

            ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ตอนนี้จะประพฤติอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของฉัน ในนี้บอกแล้วว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของเธอ ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของศาสนา ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของโลกใบนี้  แต่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้านำฉันเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อ ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน”

            ใครจะรับได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเช่นนั้น เรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันใช่จริงๆ เอเฟซัส 1:19 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            “ฉันจะได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า”

            ต้องเรียนรู้จักฤทธิ์อำนาจ ก็แสดงว่ามันมีอยู่แล้ว ถูกไหม? ให้เราไปเรียบรู้ รับรู้ว่ามันคืออะไร?  ซึ่งเป็นฤทธิ์อำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเรา

            “ที่กระทำการงานอยู่ภายในฉัน และเพื่อฉัน ผู้ซึ่งเชื่อแล้ว  เชื่อไหมว่าในตัวท่าน  มีฤทธิ์เดชอำนาจ  ยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กระทำการงานอยู่ และฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาลนี้  ไม่ใช่มีไว้เพื่อต่อต้านท่าน มาดุด่าว่ากล่าวท่าน มาลงโทษท่าน แต่มีไว้เพื่อท่าน

            “เพื่อฉัน”

            เพื่อฉัน แปลว่าสนับสนุนฉันทุกอย่าง ทุกประการ ทุกเรื่อง ทุกราว แล้วไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน? ไม่ต้องไปที่โน่นที่นี่ ที่นั่น ไปหานักเทศน์คนโน้นคนนี้  คนนี้เชื่อสูง คนนั้นเชื่อเยอะ คนนี้เชื่อน้อย  ไม่ใช่ไปหาตรงนั้น แต่มันอยู่ในตัวฉันนี้เองแหละ จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉัน

            “จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉันนี่เอง”

            อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระเจ้าไหม?  อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเยซูคริสต์ไหม? อยากได้ อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยากได้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  หาที่เรียนรู้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ที่กระทำการงานอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้ หรือว่าได้สัมผัสบนโลกใบนี้  ถ้ามันไม่ใช่เพื่อฉัน ไม่ได้เพื่อสนับสนุนฉัน  อย่าไปยุ่งเกี่ยว มันไม่ใช่ มันโกหก หลอกลวงทั้งสิ้น ต้องเพื่อฉัน และอยู่ในฉัน  ไม่ใช่พาฉันออกไปข้างนอกโน้น  ไปหานอกกาย แล้วมาตำหนิว่าทำอันโน้นไม่ดี ต้องได้รับโทษอย่างนี้  ทำอันนั้น ได้รับสาปแช่งอย่างนี้ ไม่มี เพราะฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน สนับสนุนฉันตลอด เอเฟซัส 1:20 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:20  “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้า ได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศต่างๆ ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

            อย่าลืมนะว่าเราได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในการบังเกิดใหม่  ในการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว

            ในนี้บอกว่าในฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล อันเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศ  ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  แล้วเราอยู่ที่ไหน?  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็มีตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จึงอยู่ในเราตลอดเวลา และสูงสุด ในนี้บอกว่าสูงสุด

            “สูงสุด ในโลกวิญญาณ”

        เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ  เหนือพลังอำนาจ  การครอบครอง  ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น  สิทธิอำนาจ  และฤทธิ์เดช  ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย”

            “ในตำแหน่งนี้” คือที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในตำแหน่งนี้ … ในตำแหน่งนี้พระเยซูมีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด

            “ในตำแหน่งนี้ ฉันก็มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดเช่นเดียวกัน” ถูกหรือไม่?

             เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อำนาจสูงสุด อยู่เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือผ่านทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อทั้งสิ้นที่ตั้งขึ้น โดยมนุษย์ เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชสูงสุดของพระเยซูนี้จะคงอยู่ตลอดไป

            “อำนาจและฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้  เป็นอำนาจ ฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของฉันด้วย และจะคงอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่แต่ในยุคนี้เท่านั้น คือบนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน”

            แสดงว่าเราอยู่ในตำแหน่งฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด ที่อยู่ในเรานั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ไม่ต้องกลัว จากโลกนี้ไป เราก็ยังอยู่ในตำแหน่งนี้แหละ อยู่กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            คราวนี้มาดูว่า “เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้” หมายถึงอะไร? คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พอทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวิญญาณอื่นๆ อย่างเช่น ซาตานและเหล่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า 1 ใน 3 เรียกว่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ก็คือวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ ตกสวรรค์มาแล้ว รวมทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ดี ที่ยังกระทำการงาน รับใช้พระเจ้าอยู่อีก 2 ใน 3 พูดให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้รับทราบว่ามีเยอะกว่าตั้งเยอะ  แต่นั่นไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงที่เราผู้เชื่อ มีอำนาจอยู่เหนือเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว

            ไม่ว่าจะสิทธิอำนาจหรือความสามารถอะไรต่างๆ ของเหล่าวิญญาณเหล่านี้ก็ตาม เรามีอำนาจอยู่เหนือสุดๆ เลย คือไม่ว่าจะเป็นสิทธิอำนาจ  หรือการครอบครองบนโลกใบนี้ ผ่านทางวิญญาณของทูตสวรรค์เอง  หรือผ่านทางมนุษย์ ก็คือวิญญาณเหล่านี้ ทำการงานในฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้ คอยหลอกลวง หลอกล่อมนุษย์ให้กลัวในสิทธิอำนาจของเขา โดยอ้างชื่อต่างๆ คือแต่งตั้งให้คนนั้น มีสิทธิอำนาจอย่างโน้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ในโลกที่มองไม่เห็น

            ในโลกที่มองไม่เห็น ก็คือยกตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณ ที่มีชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย อะไรอย่างนี้  ก็คือวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง วิญญาณตกกระป๋องตัวหนึ่ง  ที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมา ชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย หรือเอาตัวง่ายๆ ตัวหนึ่ง เจ้าแม่อาธามิส ที่อยู่ในกรีก อยู่ในเอเฟซัส เจ้าแม่อาธามิส ภาษากรีก ภาษาอังกฤษ แปลว่าเจ้าแม่ไดอาน่า ก็คือเหล่าวิญญาณชั่วที่ตกกระป๋อง อุปโลกน์ แต่งตั้ง หลอกให้คนมากราบไหว้  และเชื่อในสิทธิอำนาจของเจ้าแม่อาธามิส ใช้ชื่อว่าอาธามิสหรือไดอาน่า อะไรประมาณนั้น นี่คือทูตสวรรค์ อุปโลกน์ตั้งชื่อขึ้นมา  และเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง คือโดยตัวทูตสวรรค์เอง  ที่ตกกระป๋อง ที่มาต่อต้านพระเจ้า แล้วนอกจากนั้น ก็ยังหลอกลวง ปกครอง ผู้คน ใช้สิทธิอำนาจผ่านทางมนุษย์ แต่งตั้งมนุษย์ขึ้นมาแล้ว หลอกลวงมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว ก็มี รู้ตัวก็มี ให้มีอำนาจครอบครอง เพื่อจะต่อต้านพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร ซีซ่าร์เนโร  เป็นต้น ก็มาต่อต้านคริสเตียน เบื้องหลัง คือการเคลื่อนไหวของซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง สมุนของมันนั่นเอง ยกตัวอย่างให้ฟัง พอมองเห็นภาพ นี่คือมนุษย์ได้รับการแต่งตั้ง ได้รับการอุปโลกน์ขึ้นมาโดยมารซาตาน

            หรืออย่างที่เห็นชัดในตอนที่เขียนจดหมายนี้ ก็คือเหมือนอย่างสภาเซ็นเฮดริน สภาศาสนายิว ที่ต่อต้านพระเยซู ที่ถึงกับจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  เหล่านี้ ก็คืออยู่ในการควบคุมของมารซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋องเช่นเดียวกัน หมายถึงอย่างนั้น  จะได้เห็นภาพชัดเจน  หรือไม่บางครั้ง ก็แต่งตั้งหลอกลวงมนุษย์ผ่านทางดวงดาว ผ่านทางวัตถุสิ่งของต่างๆ บนโลกใบนี้ว่าดาวนั้นมีอำนาจมาก เรียกว่าดาววีนัสบ้าง ดาวอะไรต่างๆ ในสมัยอดีต เขาถือเป็นดาวเจ้าแม่ เจ้าพ่ออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด แล้วก็กราบไหว้สิ่งเหล่านี้ เบื้องหลัง คือวิญญาณชั่วเหล่านี้นั่นเอง  แต่ไม่ต้องกลัว

            ในนี้บอกว่าสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ในพระเยซูคริสต์นี้ ทำให้เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดในพระเยซูคริสต์ที่เรามีอยู่นั้น เหนือเหล่าวิญญาณที่เราอธิบายมาตะกี้นี้ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ในยุคนี้เท่านั้น ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย ถ้ามี ซึ่งมันไม่มีแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเรายิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตาน บนโลกใบนี้เลย  ไม่ต้องกลัวเหล่าวิญญาณเหล่านี้เลย  และไม่ต้องกลัวมนุษย์ผู้ใด ที่มาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ผ่านทางการถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ถูกชักจูงของมารซาตานในโลกวิญญาณเลย ไม่ต้องไปห่วง  เรามีชัยชนะเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เอเมน เอเฟซัส 1:22-23 ต่อมา

        เอเฟซัส 1:22-23  “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณอยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วน ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

            สิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เรามีในพระเยซูคริสต์นี้ สูงสุดถึงขนาดไหน? ถึงขนาดวันหนึ่งข้างหน้า ในอนาคตทูตสวรรค์ทั้งปวง อยู่ต่อหน้าเรา และเราเป็นผู้ตัดสินเขาร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์อำนาจนี้สูงสุด ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไปถึงอนาคตด้วย นี่คือความยิ่งใหญ่สูงสุดของตำแหน่งของเราที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            ทั้งหมดนี้ คือฐานะและตำแหน่งของเราในวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ใต้เท้าของฉันด้วย

            “พระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของฉัน ด้วยเช่นเดียวกัน”

            ท่านมองเห็นภาพสิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเราอยู่สูงขนาดไหน?  เราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ร่างกายเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? อาจารย์เปาโลได้ไปเห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณมันป็นจริงว่าทั้งหมดนี้ คือตำแหน่ง คือฐานะของเราจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว ดังนั้น จะทำอะไร ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้  และมีสติ รับรู้ว่านี่คือความจริงตลอดเวลาเสมอว่า …

            “ฉันอยู่เบื้องบน ที่สูงสุดในสวรรคสถานแล้วในขณะนี้  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตาจะมองเห็นอะไร? หูจะได้ยินอะไร? ใครจะมาหลอกลวงอะไร ไม่ว่าจะหลอกลวงผ่านทางวิญญาณ โดยตรง ส่งข้อมูลเข้ามา ผ่านทางความคิดของฉัน หรือว่าจะผ่านทางปฏิเสธ ต่อต้านจากมนุษย์ ผู้ที่ไม่รู้ความจริง มากล่าวหาฉันอะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            ไม่ต้องไปห่วงอะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย เราอยู่ในความจริงเหล่านี้ เราอยู่สูงสุดแล้ว เราอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว รับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้เย่อหยิ่งจองหอง  …

            “ฉันอยู่เหนือสิ่งสารพัดเหล่านี้ สิ่งสารพัดบนโลกอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ฉันสั่งอะไรต้องเป็นไปตามฉัน ฉันอยากรวย ฉันรวย ฉันอยากแข็งแรง ฉันแข็งแรง  ฉันอยากจะประสบความสำเร็จ ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ?” อย่างนั้นไหม?  ไม่ใช่แน่นอน

            เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่ออะไร? ฟังเปาโลพูด  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหา บนโลกใบนี้  เพื่อเราจะได้เผชิญ  แปลว่าความทุกข์  ไม่มีใครเผชิญความสุข มีแต่พบกับความสุข  เพื่อเราจะได้สามารถใช้ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เหยียบทุกอย่างอยู่ใต้เท้าเรา เพื่อการเห็นแก่ตัวหรือ? ไม่ใช่ นึกถึงภาพนะ  เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญหรือ? ก็ไม่ใช่  เพราะเราเหยียบลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกปัญหาบนโลกใบนี้  ที่มันสับสนวุ่นวาย เสียหายไปแล้ว ด้วยความมั่นอกมั่นใจ  และความหวังใจเต็มเปี่ยม

            หวังอะไรที่เต็มเปี่ยมในใจ ก็หวังใจในฐานะ ตำแหน่ง ฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ที่เรารับรู้ความจริงตรงนี้  ที่เปาโลรับรู้นี้  ต้องการให้เราเรียนรู้ว่าฤทธิ์อำนาจ ตำแหน่งนี้  มันอยู่ภายในจิตใจเรา  และพระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราผ่านทางปัญหาเหล่านี้ได้นั่นเอง ฤทธิ์อำนาจที่ทำงานในเรานี้ เพื่อเราจะสามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา โลกนี้เสียหายไปแล้ว  โลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว …

            “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า”

            โลกนี้อยู่ชั่วคราว ไม่มีพระเจ้าชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้น โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่มีความดีงาม  ไม่มีความบริสุทธิ์  มีแต่ความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลายตลอดเวลา  นี่คือสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งเรามีอำนาจอยู่เหนือมัน  เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราทั้งหลายจะได้สนองตอบต่อการดำเนินตามโลกใบนี้ คือตะกี้นี้ที่บอก ความชั่วร้าย ความไม่ดีงาม ความสกปรก ความขโมย ฆ่าและทำลาย  ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราจะสนองตอบต่อการขโมย ฆ่าและทำลาย  ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้  ไม่ได้สนองตอบต่อกิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์บอก ฤทธิ์อำนาจที่กระทำการงานในพระเยซูคริสต์  ที่อยู่ในเราทั้งหลายในขณะนี้ ไม่ได้มีไว้ เพื่อสนองตอบต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง

            กิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ก็คือการหลอกลวงของมารซาตาน มารซาตานพยายามจะหลอกลวงให้ผู้เชื่อทั้งหลาย ใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้สนองตอบต่อความต้องการของมัน ก็คือความสับสน ความวุ่นวาย  อยากจะชนะโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง  ด้วยวิธีการของตนเอง ก็ถูกหลอกอีก  เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าตัวเราอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเข้มแข็ง พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง ให้เราดำเนินตามฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานั่นเอง  ไม่ใช่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของเรา บนโลกใบนี้ ให้สถานการณ์บนโลกใบนี้เป็นนายเรา ไม่ใช่อย่างนั้น พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความต้องการของเรา  พยายามที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานี้ ที่บอกว่าสูงสุดนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เราใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าต่างหาก

            ตัวอย่างเช่น ประสบการณ์ของเปาโล เห็นชัดเลย เปาโลผู้อธิบายเรื่องนี้ แล้วก็ต้องการให้เรารับรู้ฤทธิ์อำนาจนี้ แล้วก็บอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในตัวเรา  และจะอยู่ตลอดไป และเปาโลเรียกฤทธิ์เดชอำนาจนี้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระคุณ พระคุณเพียงพอเสมอ ในความอ่อนแอของเรา หมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในยามที่เจอปัญหาอะไรต่างๆ อาจารย์เปาโลยอมให้พระเจ้าเป็นผู้นำ แล้วพระเจ้าก็บอกอาจารย์เปาโลว่าในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ตามความต้องการของเรา ให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  แต่ในขณะที่เราอ่อนแอ ประสบปัญหาอยู่นั้น ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา จะทวีคูณมากขึ้น เพิ่มพูนขึ้นในความอ่อนแอของเรา มันจะสำแดงออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจนั้นจริงๆ ผ่านทางความอ่อนแอ

            ความอ่อนแอ คือความทุกข์ยากลำบาก ถ้าไม่ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็จะปรากฏออกมาในชีวิตของเราไม่มาก พระเจ้าบอกว่า …

            “ฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด จะสำแดงออกมาเต็มที่เลย ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ พึ่งในฤทธิ์อำนาจ ฤทธิ์อำนาจก็จะสำแดงออกมามากขึ้น”

            อีกตัวอย่างหนึ่ง พระเยซูคริสต์ก่อนที่จะเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน อธิษฐาน 3 ครั้ง และพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? พระเจ้าเงียบ  แล้วพระเยซูคริสต์ก็เลยบอกว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

            พอบอกขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ปุ๊บ คือยอมที่จะเข้าไปรับความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตายนั้น  ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพอพระองค์บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ทวีคูณเต็มขนาดในพระเยซูคริสต์ ให้มีกำลังที่จะสามารถเดินเข้าไปสู่แดนประหาร  เดินเข้าไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความชื่นชมยินดี และด้วยความมั่นใจ  ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านี้

            นี่ต่างหากที่เป็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจ ที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคนได้รับรู้และสำแดงความยิ่งใหญ่ของตนเอง ในฐานะตำแหน่งเบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์นี้ ด้วยลักษณะเช่นนี้ต่างหาก

            ฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคุณ เพียงพอเสมอในความอ่อนแอของเรา และจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ในยามที่เราทุกข์ยากลำบาก  เพื่อปลอบโยนจิตใจของเรา  ให้กำลังกับเราสามารถที่จะรับได้กับสถานการณ์นั้นๆ  และมีความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา  เหมือนดังที่เปาโลบอกว่าจงชื่นชมยินดีในพระองค์เถิด จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์เถิด ตลอดเวลา เสมอๆ เถิด  ตอนที่เขียนนี้ ตอนที่พูดอยู่นี้ พูดจากการติดคุกอยู่ ทุกข์ทรมานอยู่ แต่พูดอย่างนี้ ทำได้อย่างไร? ก็เพราะฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นี้  ได้กระทำการงานอยู่ในตัวเปาโล ผู้เชื่อศรัทธานั่นเอง  และตัวนี้สามารถทำให้เขากระทำสิ่งเหล่านี้ได้  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง

            ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ ที่เราได้รับกำลังจากพระเจ้า  โดยผ่านทางความจริงของพระเจ้าว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้มีไว้ เพื่อพระองค์ แด่พระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว  สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า  ในนามพระเยซู เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น! ความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นของท่านทันทีนิรันดร์

            พระเจ้าได้จัดเตรียมกระบวนการเข้าสวรรค์ ให้กับมนุษย์ทุกคน  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์แล้ว  มนุษย์เพียงแค่ย้ายวิญญาณของตนเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง

            โคโลสี 1:21-23 …  “21 ครั้งหนึ่งพวกท่าน เคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่ว 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์ 23 และพระเจ้าได้กระทำสิ่งนี้  คือได้จัดเตรียมทุกอย่าง ให้ท่านสามารถดำรงอยู่ได้  อย่างต่อเนื่อง ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์”

            2 เปโตร 1:3 …  “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า  ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์  ผู้ทรงได้เรียกเรา  ด้วยพระสิริ  และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ  และความดีงามของพระองค์”

            เอเฟซัส 1:3 … “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์  แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ฟีลิปปี 1:6 … “ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว (ให้ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์แล้ว) จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ (วันที่พระเยซูคริสต์มารับเรา  เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1407

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อซีรี่ย์ชุด “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มันอัศจรรย์มาตลอดเลยนะ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที คือมันไม่มีเวลา สวรรค์รออยู่แล้ว พระเจ้ารออยู่แล้ว รอเพียงแต่มนุษย์เปิดใจ วางใจเท่านั้นเอง เกิดขึ้นทันทีเลย และวันนี้ตอนที่ 5 ยิ่งอัศจรรย์ เข้าไปลึกๆ อยู่เรื่อยๆ ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำพาเราทั้งหลาย พบความจริงเหล่านี้ ซึ่งมันเกิดขึ้น  และทุกวันนี้มันยังเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่ ยังคงทำงานอยู่ วันนี้ตอนที่ 5 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

            “ฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้”

            เมื่อเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว มันไม่มีเวลา  สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ทบทวนนะครับ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ …

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            สิ่งเหล่านี้เป็นอัศจรรย์หมด

            และวันนี้ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เอเมน ตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จากสภาวะพระเจ้า มาจุติ เกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ เพื่อจะนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าสวรรค์ได้  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราได้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย  เกี่ยวกับเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

            พอถึงเวลากำหนด พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ธรรมดาแบบมนุษย์ 30 ปี แล้วถึงเริ่มภารกิจ ที่พระองค์ตั้งใจมาทำ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ รอดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างของพระองค์ได้  พระองค์เริ่มต้นด้วยการประกาศ  พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ได้มาเกิด แล้วมาสอนให้เราประพฤติดี ไม่เหมือนศาสดาของศาสนาอื่นๆ หรือศาสดาของผู้เชื่ออื่นๆ ก่อนหน้านั้น ก่อน 2,000 ปีที่พระองค์มาเกิด พระองค์ไม่ได้มาทำแบบนั้นเลย พระองค์ทำสิ่งที่ไม่มีใครทำกันเลย  ก็คือพระองค์มาประกาศว่าสวรรค์กำลังจะมาแล้ว สวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ กำลังพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะทรงกระทำภายในอีก 3 ปีข้างหน้า คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือการนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  แล้วก็เชิญมนุษย์ทุกคนมาเข้าสวรรค์กัน นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ

            เราเข้าใจผิดกัน เพราะเรามัวแต่ไปมองในสิ่งที่ตามองเห็น สัมผัสได้ คือเรามอง แค่ 3 มิติ และ 4 มิติเท่านั้น  มิติที่ 4 เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลย เรื่องเวลา แต่เรามองใน 3 มิติเท่านั้น คือตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแตะต้องได้ เรามองแค่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ โลกนี้ มีอยู่ 4 มิติ กว้าง ยาว สูงและเวลา แต่พระองค์กำลังมาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ โน้น มิติที่ 5 ไม่มีใครเข้าใจเลย ก็คือนอกเหนือจากกาลเวลา ก็คือโลกของวิญญาณ โลกของพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ลงมาจากสวรรค์ ก็คือลงมาจากโลกวิญญาณ มิติที่ 5 จึงสามารถที่จะมาอธิบายให้กับเรา ประกาศสวรรค์ได้  เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงมา เพื่อประกาศ ในหนังสือมัทธิว 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพออายุครบ 30 ปีในการดำเนินชีวิต เป็นแบบมนุษย์ บนโลกใบนี้แล้ว  พระองค์เริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร? มัทธิว 4:17 …

        มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์ มาใกล้แล้ว”

            “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศ” ไม่ใช่เริ่มต้นสอน เวลาที่พระองค์บอกว่าใครที่ประพฤติตามคำของเรา “คำของเรา” คือคำประกาศ ไม่ใช่คำสอน คำประกาศ ภาษาเดิมใช้คำนี้เลยว่าประกาศ แจ้งให้ทราบ ไม่ใช่มาสอน

            พระองค์มาประกาศว่าอย่างไร? ว่าจงกลับใจใหม่ เห็นไหม? เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว โลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ ที่มนุษย์อยากจะไปเหลือเกิน แต่พยายามวาดฝันไว้ว่าสวรรค์เป็นอย่างโน้นอย่างนี้  อย่างนั้น  และพยายามไปสวรรค์ด้วยสิ่งที่ตามองเห็น และจับต้องได้ใน 4 มิตินั้น แต่สวรรค์เป็นมิติที่ 5 คือโลกฝ่ายวิญญาณ

            อาณาจักรสวรรค์เป็นอาณาจักรทางโลกฝ่ายวิญญาณ และมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรจากการเรียนรู้นี้  พระเยซูพูดชัดเจนว่าจงกลับใจใหม่ เพื่อมาวางใจในพระองค์  พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังบอกว่าเรียนรู้จักสวรรค์นี้  เมื่อเป็นโลกวิญญาณ มนุษย์ไม่สามารถก้าวเข้าไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณได้ จึงไม่สามารถใช้ความเข้าใจแบบมนุษย์ ไม่สามารถใช้ความคิดวิเคราะห์แบบมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เรียกว่าวิชาวิทยาศาสตร์  พยายามค้นหาโลกวิญญาณ  พยายามค้นหาพระเจ้าให้เจอ  โดยหลักการของ 3, 4 มิติที่พูดถึง คือทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันได้เจอหรอก พระเยซูกำลังบอก ต้องกลับใจใหม่จากสิ่งเหล่านั้น ไปหาจากตามองเห็น จับต้องได้เหล่านั้น 3 มิติ 4 มิติเหล่านั้น ไม่มีทางเจอหรอก ท่านต้องมาหาทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือมิติที่ 5 วิธีการหา ก็คือมาวางใจในเราก่อน แล้วถึงจะเรียนรู้จักเรื่องโลกวิญญาณทีหลัง ถ้าท่านไปหาจากโลกวิญญาณ โดยใช้สติปัญญาของท่านเอง ท่านถูกหลอก ท่านไม่มีวันได้เจอหรอก ท่านต้องเชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน  ถึงจะเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องพระเจ้าทีหลัง

            ใครที่อยากจะรู้จักพระเจ้า แล้วก็บอกว่ามาเรียนรู้จักพระเจ้าด้วยความคิด หาเหตุผล พระเจ้าว่าพระเยซูว่าอย่างโน้นอย่างนี้  เพื่อจะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่มีวันเชื่อหรอก ต้องเชื่อพระเจ้าก่อน วางใจพระเยซูคริสต์ก่อน แล้วพอเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณก็จะมาบอกเรา  ตาฝ่ายวิญญาณเราจะเปิดออก มันต้องเป็นอย่างนั้น พระองค์จึงต้องมาประกาศสิ่งนี้แหละ ไม่ใช่มาสอน กลับใจเสียใหม่ นี่ไม่ใช่การสอนนะ กลับใจเสียใหม่ คือเลิกจากทางเก่าซะ ไม่ได้สอนให้ทำโน่นทำนี่ มาชี้แจงบอกเงื่อนไขว่า …

            “ไม่มีทางเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องสวรรค์แท้จริงได้หรอก  เราจะบอกให้นะ เลิกจากทางเก่าซะ กลับใจใหม่จากทางเก่า จากวัตถุสิ่งของตามองเห็น จากหลักวิทยาศาสตร์ จากความคิดของตนเอง เลิกจากการพึ่งพาการกระทำของตนเองซะ หันมาวางใจพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าผู้นั้น ที่พระเจ้าเจิมไว้  ที่พระเจ้ากำหนดไว้  เพื่อส่งมา ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากการตกนรกอยู่ในความบาป ในความพินาศ ท่านต้องวางใจและเชื่อในผู้นี้เท่านั้น เชื่อในใคร? คนที่พูดอยู่ คือเรา คือพระเยซูคริสต์ ท่านต้องมาเชื่อว่าเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป และสามารถมาอาศัยอยู่กับพระเจ้าได้ สามารถมาเข้าสวรรค์ อย่างที่ท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน โหยหาอยู่ในจิตวิญญาณ โดยที่ไม่รู้ตัว โหยหา พยายามจะเข้าสวรรค์ หาทางเข้าไปหาพระเจ้า  แต่เนื่องจากความบาป คือตายจากวิญญาณของพระเจ้า ตายจากพระเจ้า ตาบอดทางวิญญาณ จึงไม่สามารถเห็นได้  และท่านก็พยายาม โดยวิธีพึ่งพาตนเอง ในหลักการ ในความคิดแบบมนุษย์ ในหลักการ คือตามองเห็น หูได้ยิน ก็คือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันไม่มีวันเจอหรอก ท่านต้องมาวางใจในเราเสียก่อน

            ในลูกา 17:20-21 พระเยซูได้ทรงอธิบายให้กับคนที่สงสัยตรงนี้ นึกถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าถึงขนาดนี้ นึกถึงเวลาพระเยซูพูดตรงนี้ เขาคิดถึงอะไร? พอพระองค์บอกว่าอาณาจักรสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว กำลังจะมาตั้งอยู่แล้วนะ เตรียมพร้อม กลับใจใหม่ซะ อย่าไปพึ่งพาความคิด วิธีเก่าที่เคยแสวงหา  จะเข้าสู่สวรรค์ มาแสวงหาวิธีใหม่ จะบอกให้ฟังนะ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แล้วนะ คิดถึงคนที่ฟังอยู่ เขาจะคิดอย่างไร? ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ลูกา 17:20-21 พระเยซูอธิบายให้เขาฟังไว้ว่าอย่างไร? …

        ลูกา 17:20-21 “คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ทั้งผู้คน จะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้น อยู่ที่นี่หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่านล้อมรอบท่าน”

            ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง พระเยซูก็บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ก็คือที่ท่านคิด ที่จับต้องมองเห็นได้ ตามความคิดของมนุษย์

            “ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่าอาณาจักรนั้นอยู่ที่โน่นหรืออยู่ที่นี่” ก็หมายถึงว่าไม่ได้อยู่ในวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคนั้น คิดเองและคาดเอง ซึ่งพระเจ้าก็อนุญาตให้ทำอย่างนั้นด้วย เพราะว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจในโลกวิญญาณได้ จึงได้ทำสัญลักษณ์ให้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่นะ  สวรรค์อยู่ที่นี่ และมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ และรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ เป็นสัญลักษณ์นั้นคืออะไร?  เราลองคิดดูสิ ก็คือวิหารไง ก็คือวัดไง  ก็คือบ้านฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีพระเจ้าอยู่

            สำหรับอิสราเอล อย่างที่บอกว่าพระเยซูกำลังพูดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอิสราเอล พระองค์กำลังบอกว่าอาณาจักรสวรรค์นั้น ไม่ได้อยู่ที่โน่นที่นี่ อย่างที่ท่านคิด อาณาจักรสวรรค์ที่จะลงมาตั้งอยู่ อยู่ในท่าน อยู่ล้อมรอบท่าน อาณาจักรสวรรค์ที่ลงมาตั้งอยู่ ไม่เหมือนกับอาณาจักรสวรรค์ก่อนหน้านี้ คือในอดีต ที่พระเจ้าใช้สัญลักษณ์ คือหีบพันธสัญญาในวิหารของอิสราเอลนั่นแหละ

            หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงการสถิตของพระเจ้า คือบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ในอดีตนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร เป็นแค่สัญลักษณ์ที่พระเจ้าตั้งขึ้นว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่นะ เพื่อมนุษย์จะได้ไม่ลืมว่ามีพระเจ้าจริงๆ เพื่อนำมาถึงซึ่งพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภายหลัง เพราะฉะนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร ก็เป็นแค่สัญลักษณ์ การทรงสถิตของพระเจ้า ในสมัยนั้น  แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่เดี๋ยวนี้ วันที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์จะนำเอาสวรรค์ของจริง ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ สวรรค์ไม่ได้อยู่ในวิหารของพวกท่าน ของชาวยิวอีกต่อไปแล้ว

            สวรรค์ไม่ได้มาตั้งอยู่ตรงโน้นตรงนี้ หมายถึงกำลังบอกชาวอิสราเอลว่าสวรรค์ ที่สถิตของพระเจ้า ไม่ได้ตั้งอยู่ในวิหารของยูดาห์ คืออิสราเอลตอนใต้ คือในช่วงที่พูดนั้น อิสราเอลถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ คือชาวยิวใต้ เรียกว่ายูดาห์ ชาวยิวเหนือ เรียกว่าอิสราเอล ทั้ง 2 ชาติ อิสราเอล ยิว มีวิหารที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่เหมือนกัน

            พระเยซูกำลังบอกว่านั่นแหละ ไม่ว่าจะวิหารไหนก็ตาม เป็นแค่สัญลักษณ์ พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่โน่น ที่นี่ ตามที่ท่านคิด แต่มาอยู่ในใจ ก็คือในวิญญาณของท่าน พระองค์จึงบอกไงว่าเมื่อถึงเวลานั้น คือเวลานี้ เวลาที่พระองค์ทรงมาเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด ก็คือมนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หลักวิทยาศาสตร์ ความคิดของตนเอง หรือสัญลักษณ์อะไรต่างๆ จากวัตถุต่างๆ อีกแล้ว แต่ต้องติดต่อกับพระองค์ในทางวิญญาณและความจริง ความจริง ก็คือความจริงที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์คือใครในโลกวิญญาณนั่นเอง

            ฉะนั้น สวรรค์ที่กำลังจะมา พระเยซูกำลังบอกว่าจะมาตั้งอยู่นั้น จะมาตั้งอยู่ในโลกวิญญาณ คือในวิญญาณของท่าน และพระองค์นำเอาสวรรค์นั้นเข้ามา ซึ่งเราเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าพระองค์ ก็คือพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น สวรรค์ที่จะมา ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือพระเจ้าจะทำให้วิญญาณท่านเกิดใหม่ เพื่อร่างกายของท่านจะได้เป็นวิหาร  เป็นอภิสุทธิสถานของจริง แทนสัญลักษณ์ในอดีต  คือวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ วิหารสมัยโมเสส วิหารสมัยโซโลมอน ก็คือวัดที่สร้างขึ้นมา แล้วก็บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ ร่างกายของท่าน จะเป็นวิหาร เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นสวรรค์ที่พระเจ้าจะมาประทับอยู่ นี่พระองค์มาประกาศความจริงอย่างนี้

            และเมื่อท่านจะไปที่ไหนก็ตามสวรรค์ก็จะอยู่ในตัวท่าน ไม่ได้มาอยู่ที่โน่น อยู่ที่นี่ อยู่ที่จังหวัดโน้น อยู่ที่ประเทศนี้  ไม่ใช่ อยู่ในตัวท่าน มนุษย์ทุกคน แต่ละคนมีวิญญาณอยู่ แล้ววิญญาณนั้นจะเป็นที่ประทับของพระเจ้า พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์ที่ท่านมา จะเป็นลักษณะอย่างนี้ พระองค์บอกให้เราฟัง สวรรค์จะอยู่ในตัวท่าน จะปกคลุมอยู่เหนือร่างกายความคิด จิตใจและวิญญาณของท่านตลอดเวลาเลย สวรรค์จะอยู่ในใจท่าน และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน หมายถึงอย่างนี้  เพียงแต่ท่านต้องใช้วิญญาณของท่าน  ท่านไม่สามารถใช้ความรู้สึกนึกคิดแบบมิติ ทั้ง 4 คือมิติที่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านต้องใช้วิญญาณของท่านติดต่อเท่านั้น ถึงจะรู้ได้  เพราะว่าท่านยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ นึกออกใช่ไหม?

            เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดของท่าน  ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความมืด ความบอดจากโลกวิญญาณ วิชาความรู้ในโลกวิญญาณ ไม่มีทางเข้าใจได้เลย ด้วย 4 มิตินั้น เป็นไปไม่ได้เลย ท่านต้องไปสู่มิติที่ 5 เลย เรื่องกาลเวลาไป โลกฝ่ายวิญญาณ อินฟีนิตี้ โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสถิตอยู่ โลกที่ท่านคิดไม่ถึง โลกที่เกินกว่า 4 มิตินี้ ท่านจะมาพิสูจน์พระเจ้าด้วย 4 มิตินี้ ไม่มีวันเจอพระเจ้า ท่านจึงหลุดออกจากมิติที่ 4 คือกาลเวลาไป ท่านจึงจะเจอพระเจ้าได้

            พระองค์กำลังบอกอะไรกับเรา ผ่านทางคำประกาศนี้ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่ามีสถานที่หนึ่งในร่างกายของท่าน หรือร่างกายของมนุษย์ทุกคน   ที่จะเป็นอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ ศักดิ์สิทธิ์มาก และที่นั่นก็คือที่วิญญาณของเรา วิญญาณของท่านมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง

            “วิญญาณของเราจะเป็นอภิสุทธิสถาน เป็นบ้านของพระเจ้า ที่พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าสวรรค์”

            1 โครินธ์ 3:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 3:16  “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            นี่หมายถึงผู้ที่วางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศ ให้เรากลับใจใหม่  นี่กลับใจใหม่แล้ว พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังบอกว่าท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ก็คือบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วไง พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าอย่างไร? พวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน

            อาณาจักรสวรรค์อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 ตามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางความคิด เพราะฉะนั้น วิญญาณของเราอยู่ที่ไหน? วิญญาณของเราก็อยู่ในมิติที่ 5 เหมือนกัน พระเจ้าอยู่ในมิติที่ 5 นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็พยายามจะค้นคว้า หาหลักฐานให้เจอว่ามิติที่ 5 เริ่มต้นอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? พยายามค้นให้เจอ ตอนนี้เจอแล้วว่ามิติที่ 4 คือเวลา มีจริงๆ แต่เป็นมิติที่อยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่มิติที่ 5 ยังหาไม่เจอ พยายามหาใหญ่เลย แล้วก็หาไม่มากเท่าไร?  ก็พบกับความจริงในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเต็มไปหมดเลยว่าพระองค์บอกแล้วว่าพระองค์เป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น ก่อนกาลเวลา พระองค์ทรงมีชีวิต พระองค์ทรงดำรงอยู่แล้ว  แค่นี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหากันวุ่นวายไปหมด พระองค์บอก พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น พระองค์เป็นแสงสว่าง  แสงสว่าง คือชีวิต นี่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พยายามหากันอยู่ แล้วเริ่มเจอหลักฐานอะไรบางอย่างว่าแสงสว่าง คือชีวิตจริงๆ ถ้าไม่มีแสงสว่าง จะไม่มีชีวิต

            ดังนั้น พระเยซูบอกสวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว กำลังมาตั้งอยู่ และตอนนี้ตั้งอยู่หรือยัง? ตั้งอยู่แล้ว เพราะว่าตอนที่พระองค์ทรงประกาศนั้น พระองค์ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งคือความสำเร็จชิ้นสุดท้ายที่พระองค์จะมาทำบนโลกใบนี้  คือเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ อันสุดท้าย ก็คือเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            สวรรค์ได้มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และใครก็ตามที่เชื่อและวางใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้วทันที สวรรค์อยู่ในใจ และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน มันหมายถึงอย่างนี้นั่นเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อท่านวางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะไปหาว่าสวรรค์เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เข้ามาอยู่ในฉันได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้  ไม่มีวันได้เจอของจริงแน่นอน  อาจจะเจออะไรบางอย่างลางๆ นิดๆ หน่อยๆ  แต่ท่านจะถูกความเท็จ ถูกโกหก ถูกหลอกลวงไปในทิศทางที่ผิด แต่ถ้าท่านวางใจในพระเยซูผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ผู้เป็นความสว่าง ผู้เป็นชีวิต หลังจากนั้น ท่านจึงจะเรียนรู้ได้ว่าที่พระองค์ทรงพูดเรื่องเกี่ยวกับมิติที่ 5 เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนั้นคืออะไร? พระเจ้าที่สถิตอยู่ ณ โลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ที่ตั้งอยู่บนโลกฝ่ายวิญญาณนั้นคืออะไร?  อะไรคือคำว่าชีวิตนิรันดร์? อะไรคือคำว่านิรันดร ยอห์น 14:23 …

        ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            คำว่า “มาหาเขา” และ “อยู่กับเขา” ก็คือเรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะมาสร้างบ้านของเราในเขา จะสร้างบ้านของเราอยู่กับเขา “เขา” ตรงนี้ คือมนุษย์คนใดที่เชื่อฟังคำประกาศของพระเยซู พระองค์จะเข้าไปทำบ้านของพระองค์ ในวิญญาณของคนนั้นนั่นเอง  อย่างที่เมื่อตะกี้นี้บอกว่า …

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา”

            ไม่ใช่ “ผู้ใดที่รักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            มันไม่ใช่ มันต้องแปลว่าคำประกาศ  เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา ที่เราประกาศให้เขาฟัง ให้เขากลับใจใหม่ เขาก็ทำตาม คือกลับใจใหม่ แล้วให้มาวางใจในเราว่าเรา คือพระเมสิยาห์ เราคือพระคริสต์ คือผู้นั้นที่พระเจ้าจัดตั้งไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นโน้น หลายพันปีว่าพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ลูกชายของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยมนุษย์ให้รอด  และกลับคืนสู่สวรรค์กับพระองค์ได้ และถ้าคนใดที่เชื่อว่าเราคือผู้นั้น  ก็คือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอด คนนั้นจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ สู่พระบิดา โดยที่เรากับพระบิดาจะมาอยู่กับเขา มาทำบ้านของเราอยู่ในวิญญาณของเขา

            ทำบ้านของเรา คือสถานที่สถิตของเรา คือวิหาร ก็คือทำวิญญาณของคนๆ นั้น ที่มันตายอยู่ มันไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ไม่บริสุทธิ์สะอาด ทำให้วิญญาณของเขาได้เกิดใหม่ วิญญาณเขาจะได้สะอาดหมดจด มาเป็นบ้านของเรา  และเราจะได้เข้าไปอยู่กับเขา สวรรค์เลยอยู่ในใจของเขา อยู่ในวิญญาณของเขา เอเมน

            บ้าน ก็คือที่อยู่อาศัย บ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่ประทับของพระเจ้า  มนุษย์ทุกคนรู้ ทุกภาษารู้เลย  พอบอกว่าสวรรค์ ก็นึกถึงพระเจ้า พอบอกว่าพระเจ้า ก็นึกถึงประทับอยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย เมื่อมนุษย์คนใดตัดสินใจเลือก ที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับคำประกาศของพระเยซู คือวางใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  ก็คือคนๆ นั้น ทันทีทันใดในพระคัมภีร์บอกว่า ก็เหมือนกับได้ถูกย้าย จากบ้านเดิม จากในความมืด  วิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ พูดง่ายๆ เป็นบ้านผี บ้านที่ตายอยู่ บ้านที่พระเจ้าอยู่ไม่ได้ เขาเรียกว่าบ้านที่พินาศอยู่ เมื่อคนใดเชื่อคำประกาศของพระเยซู กลับใจใหม่ มาต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือได้ถูกย้ายมาอาศัยอยู่บ้านใหม่

            บ้าน คือวิหารทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็คือร่างกายของเรา วิญญาณของเราได้ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์  ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้วทันที และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้แล้วทันทีด้วย เช่นเดียวกัน  เป็นครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน  ที่เรียกว่าสามัคคีธรรม มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร?  ไม่ใช่สามัคคีธรรมกันแบบ 4 มิติบนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สามัคคีธรรมกันแบบมิติที่ 5 คือโลกวิญญาณ ไม่เข้าใจคำว่าสามัคคีธรรมนี้ได้หรอก ถ้าเผื่อไม่เปิดตาฝ่ายวิญญาณออก ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซู และไม่วิเคราะห์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  พยายามหาทางจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ ลักษณะเหล่านี้ด้วยความคิดของมนุษย์ ด้วยตามองเห็น จับต้องได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันเจอหรอก สามัคคีธรรมในวิญญาณมันแปลว่าอย่างนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น  ผู้ที่วางใจและกลับใจใหม่  ตามที่พระเยซูคริสต์บอก  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น  คือเราได้อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสน อะไรอีกแล้วที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าให้มากขึ้น ผู้ที่เข้าไปสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณในมิติที่ 5 จะไม่มีใครกลับมานั่งคิดว่าจะหาทางเข้าไปสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะเขาจะรู้ และรู้อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในมิติที่ 5 แล้วว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว เหมือนกับผู้เชื่อและอัครสาวกในอดีต ตอนเริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น ตอนที่วิทยาศาสตร์ไม่เยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว หลักวิทยาศาสตร์เยอะแยะมากมาย ความเจริญรุ่งเรืองของวัตถุสิ่งของและการพยายามค้นหาอะไรต่างๆ เหล่านี้  มันจำเริญเติบโต แค่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันทำให้มนุษย์ห่างจากความจริงของพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ก็เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้แหละ  นอกจากว่าคนๆ นั้นจะบังเกิดใหม่แล้ว  เข้าไปมิติที่ 5 แล้ว ย้อนกลับมาดูวิทยาศาสตร์จึงจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เหล่านั้น มันตรงกับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าจะเอาหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ  คือพามนุษย์ออกจากมิติที่ 5 ทั้งสิ้น ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

            เพราะฉะนั้น เมื่อใครก็ตามได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มิติที่ 5 กับพระเจ้าจริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะเขาอยู่ในนั้นแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเองว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ถ้าเผื่อเขายังไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาจะไปพยายามทำอะไรเยอะแยะเพิ่มขึ้นว่า …

            “ฉันจะได้อยู่ในสวรรค์ๆ”

            ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว  เหมือนเราอยู่ในประเทศไทยแล้ว ถ้าเราไม่รู้ตัว เราก็พยายามเหลือเกิน อยากอยู่ในประเทศไทยเหลือเกิน ทำอย่างไรดีๆ ท่านอยู่ในประเทศไทยแล้ว  ตอนนี้นั่งอยู่ในประเทศไทย ตื่นขึ้นมาก็สงบๆ ว่า …

            “ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้ว”

            สิ่งเดียวที่ท่านต้องการรู้ คือไม่ใช่ทำพาสปอร์ตเพิ่ม ไม่ใช่ไปติดต่อราชการเพิ่มเติม หาเอกสารอยู่ในประเทศไทย  ไม่ใช่พยายามไปหา ซื้อตั๋วเครื่องบินจะไปประเทศไทย  แต่สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ ก็คือตื่นขึ้นมาปุ๊บ ท่านต้องรู้ว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ต้องไปดูหน้ากระจก แล้วบอกว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปหาคนข้างๆ ถามว่าฉันอยู่ในประเทศไทยหรือเปล่า? ใช่อยู่ในประเทศไทย ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ

            เช่นเดียวกันกับคนที่เข้าไปอยู่ในวิญญาณ  ในมิติที่ 5 เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที  ในโลกวิญญาณ มิติที่ 5 มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องรู้ต่อไป ก็คือเขาแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้เรื่อยๆ ว่า …      “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ไปที่ไหนก็ต้องรับรู้ว่า … “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            เพราะว่าสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้  ก็คือมิติทั้ง 4 มิติที่บนโลกใบนี้ มันจะคอยแย้งว่า …

            “ฉันยังอยู่บนโลก ถูก ฉันยังอยู่บนโลกจริง แต่วิญญาณของฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน”

            ถ้าเราแค่รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ  แล้วฝึกฝนปฏิบัติตน ให้สอดคล้องกับสถานที่ที่เราอยู่อาศัย ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณของเรา ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้  ก็ประพฤติตนให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คือพระเจ้า รักดังแก้วตาดวงใจ และชื่นชมยินดีในตัวเรา พอใจมากแล้วในชีวิตของเรา อย่าให้โลกนี้มันหลอกเรา …

            “อะไร ยังนิสัยไม่ดีอยู่เลย”

            นิสัยมันก็อยู่ในมิติทั้ง 4 มิตินี้ นี่เกี่ยวกับวิญญาณ นึกออกใช่ไหม? …

            “อะไรเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อวานนี้ยังโกหกอยู่เลย อะไร ยังหงุดหงิดอยู่เลย ไหนบอกบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วไง”

            “ไม่รู้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น”

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ คือความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น …

            “ผู้ชอบธรรม เขาจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น” พระเจ้าพูดอย่างนี้เสมอ

            “เรามองดูที่ใจ เราไม่ได้มองดูที่ภายนอก” นี่พระเจ้าจะตรัสอย่างนี้เสมอ

            “เราพอใจมากในความเชื่อศรัทธาของคนใดคนหนึ่ง ถ้าปราศจากความเชื่อศรัทธาแล้ว ไม่มีใครทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย” เอเมนไหม?

            พระองค์ต้องการให้เชื่อและวางใจอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง อย่าถูกหลอก เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือจดจ่อ เพ่งมองให้เห็น  เหมือนดังถ้อยคำพระเจ้าจะบอกเราเสมอทั้งเล่มเลย บอกว่า …

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            ไม่เห็นหรืออย่างไร?  ทำไมต้องบอกอย่างนั้น ก็เพราะจงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เถิด เพราะในโลกนี้ วัตถุสิ่งของ ไม่ต้องไปบอกท่านให้เห็นหรอก  เพราะมันเห็นอยู่แล้ว เห็นกับตาอยู่แล้ว แต่โลกฝ่ายวิญญาณ มันจะมองไม่เห็น โลกที่มองเห็น มันมีโอกาสหลอกเรา ล่อลวงเรา เพราะโลกที่มองเห็นนั้น เป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจึงบอกให้เราเพ่งมอง จ้องไปที่โลกวิญญาณนี้ จงมองให้เห็นเถิด แม้เราจะดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เหมือนเดิม ก่อนที่เราจะวางใจในพระเจ้าและเกิดใหม่ในวิญญาณ  พอเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้วต่างหาก ต้องเห็นภาพตรงนี้  เดินไปที่ไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าแม้เราจะอยู่ในร่างกายนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ในมิติ 4 มิตินี้ คือกว้าง ยาว สูง และเวลาก็ตาม แต่ชีวิตฉันจริงๆ ไม่ใช่เป็นเปลือกนอกแค่นี้ ตัวตนฉันจริงๆ คือวิญญาณ และวิญญาณฉันขณะนี้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมาก บริสุทธิ์  สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ เอเมนไหม?

            และรับรู้ตลอดเวลาว่าอดีตในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันเคยอาศัยอยู่ในความมืด ที่เรียกว่าในอาดัมนั้น ในบรรพบุรุษเดิม  ซึ่งเรียกว่าตายอยู่ พินาศอยู่ แต่ตอนนี้ ขณะนี้ หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ฉันได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว และพระเจ้าก็ได้อาศัยอยู่ในฉันแล้ว  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด  พระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากสถานที่นี้ได้  ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว เอเมน

            นี่คือหน้าที่ของเราที่พระเจ้าให้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ทั้งสิ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มิติที่ 5 ทั้งสิ้น โคโลสี 1:13 …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            ชัดเจนเลย เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เห็นไหม? หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์นี้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตอนที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เพราะตะกี้ที่เราอ่าน ก็คือพระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ได้ ก็คือทำไปแล้ว  และได้ทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร คือในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรค์ ผู้ที่พระองค์ทรงรักเรียบร้อยแล้ว

            “ได้แล้ว”

            พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด หลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา พระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นมาทั้งหมดนั้น จะเป็น Past Tense เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งหมด ก็คือได้แล้ว ทำแล้ว เสร็จแล้ว ทั้งสิ้น เพราะพระเยซูคริสต์ประกาศเริ่มต้น ตอนเสร็จสิ้นภารกิจบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว

            คำสำคัญอยู่ที่คำว่า “แล้ว” ได้ทำสำเร็จแล้ว  สวรรค์ได้มาตั้งที่นี่แล้ว ใครเปิดใจต้อนรับสวรรค์ กลับใจใหม่ หันจากการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อไปสวรรค์ กลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์แทน ทันทีทันใด เขาได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ท่านรู้ไหม? เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู วันนี้อาจจะดูไม่ได้ครบนะ

            แต่ก่อนพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเรารู้อย่างลึกซึ้ง เพราะไม่มีใครที่จะสอนเราได้ในเรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถสอนเราได้ วิทยาศาสตร์ ได้แต่ต๊อกๆ ตามความจริงของพระเจ้าไปทีละนิดๆ เหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์ ตามรอยไดโนเสาร์ วิทยาศาสตร์คือการตามรอยพระเจ้าว่าพระองค์เป็นใคร? และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งจะตามได้เท่าไร? ก็ได้แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเราได้เห็น

            อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้ อาจารย์เปาโล คือคนๆ หนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งที่ได้กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู และพระเยซูก็ได้พาเขาเข้าไปในโลกวิญญาณ ในมิติที่ 5 เขาเข้าไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเลย สิ่งที่เขาทำ เมื่อเขาไปเห็น และออกมาแล้ว อันดับแรก คือพระเยซูบอกไม่ให้พูดเรื่องเหล่านี้ ให้เก็บ เขาก็เก็บ คือพูดไป ก็ไม่มีคนเชื่อ ให้เก็บ และสิ่งที่เขาพูดคำแรก พอเขาไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นจริงอย่างไร? ถ้าเป็นมนุษย์ อธิบายเป็นภาษาที่เราเข้าใจ พูดง่ายๆ ว่าเขาเห็นจากตาเป็นๆ ของเขา ตาจริงๆ ของเขา  ไม่ใช่เห็นจากถ้อยคำพระเจ้า แล้วเรารับรู้จากวิญญาณข้างใน  แต่เขากำลังบอกว่าเขาก็อธิบายไม่ถูก เขาบอกว่าเขาได้ถูกรับเข้าไปสู่โลกวิญญาณ  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติที่ 5 นี้  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติสวรรค์ เขาไปพบกับความยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เขาจึงอยากจะให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ที่เรียกว่าผู้เชื่อใหม่แล้ว ได้รับรู้ ได้เห็น เหมือนสิ่งที่เขาได้เห็นอย่างนั้น เขาจึงได้ประกาศออกไป อธิบายออกไป แล้วเขาจึงพูดว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการค้นพบตรงโน้นตรงนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่อง 3, 4 มิติบนโลกใบนี้อีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงสติปัญญา ปรัชญาแบบโลกอีกแล้ว ไม่อยากจะพูดถึงเหล่านี้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากพูด ก็คือเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นฤทธิ์เดช เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจนี้มันใหญ่ยิ่งขนาดไหน? ที่ทำให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ แล้วพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้แหละ อย่างเดียว ไม่อยากพูดอย่างอื่นเลย  และรู้ด้วยว่าข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อย่างเดียว ผู้คนที่ฟังอยู่ และใช้หลักการวิทยาศาสตร์ ใช้หลักการความคิดของมนุษย์ ก็จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้เรื่องเลย พูดซ้ำไปซ้ำมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความโง่เขลา สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ

            โง่เขลา อะไร ไปอยู่ในสวรรค์ แค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย แค่นี้เองหรือ? ฤทธิ์เดชอำนาจ ทำแค่นี้เองหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นความโง่เขลาของคนที่ยังไม่เชื่อ   แล้วก็ใช้สติปัญญาตนเอง   แล้วก็จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลา  แต่ข้าพเจ้ายอมโง่  เพราะมันเรื่องจริง  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุด ในมหาจักรวาล ยิ่งกว่าตอนบิ๊กแบงอีก รู้จักบิ๊กแบงใช่ไหม? ยิ่งกวาตอนที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตอนเริ่มต้น สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ โดยพระเยซู โดยถ้อยคำของพระองค์ ที่พระคัมภีร์ภาษาไทยเรียกว่า “เนรมิตสร้างโลกและสรรพสิ่งบนโลก” คำว่า “เนรมิต” นี้ หรือคำว่า “บิ๊กแบง” นี้ ที่นักวิทยาศาสตร์ตามไปค้นพบว่าเรียกว่าบิ๊กแบงนี้ มันคือการเนรมิต มันคืออำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สร้างทางโลก และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ตรงนี้ ตอนนี้ มันอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อศรัทธาแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย ที่ท่านบอกว่าเรื่องโง่เขลา เรื่องโง่เขลาเหล่านี้ ทำให้คนฉลาดของโลกใบนี้ต้องอับอายไป เปาโลได้พูดอย่างนี้

            เปาโลบอกว่าตัวเขาเองเคยถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3  ทำไมถึงเรียกสวรรค์ชั้นที่ 3  เพราะคำว่าสวรรค์ หมายถึงสิ่งที่เกินกว่า 4 มิติ อย่างที่ผมบอก เกินกว่าความกว้าง ความยาว ความสูง และเวลา  มนุษย์จับต้องมองเห็นไม่ได้ มีเวลา เลยไปกว่านั้น พูดง่ายๆ คือมิติที่ 5 ทำไมเรียกว่าชั้นที่ 3 เพราะในสมัยนั้น มนุษย์มองขึ้นไปในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ได้เห็นอะไร? ท่านลองคิดดูสิ มองจากโลกใบนี้เห็นหมด เห็นดิน เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ มองขึ้นไปเห็นนก เท่านั้นเอง พอนกไม่บินมา เห็นอะไร? เห็นเมฆ เห็นแค่นั้นเอง นี่แหละคือที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 1 มันหมายถึงอย่างนั้น

            สวรรค์ชั้นที่ 2 คือมนุษย์ก็ยังพอเห็นอยู่ ก็คือเลยออกจากห้วงของชั้นบรรยากาศของโลกใบนี้ มองออกไป พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากแรงดึงดูดของโลก มองไปไม่เห็นนก นกบินไปไม่ถึงแล้ว  หลังจากเมฆไป เห็นดวงดาวบ้าง นั่นแหละ คือชั้นที่ 2 หลังจากดวงดาวไป ก็ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว  เปาโลจึงใช้คำว่าถูกรับไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3

            ซึ่งชั้นที่ 3 ในยุคปัจจุบัน ก็คือมิติที่ 5 นอกเหนือกาลเวลาที่เพิ่งค้นพบทางหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าเปาโลได้ถูกรับไปสู่มิติที่ 5  ก็คือเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ

            ในสวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 มีสิ่งมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่าทูตสวรรค์อยู่อาศัยด้วย  ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ที่เขาเรียกว่าตกกระป๋อง พูดง่ายๆ วิญญาณชั่ว ไม่อยากจะพูดคำนี้ ทุกคนฟังแล้ว จะหวาดกลัวว่าเป็นผี … ผี คือวิญญาณ  วิญญาณที่ตกกระป๋อง ถูกตัดสินคดีให้พินาศ อยู่ในบึงไฟนรก นิรันดร์กาล ก็คือมารและสมุนของมัน  อยู่สวรรค์ชั้นที่ 1 กับ 2 แต่ทะลุเข้าไปถึงมิติที่ 5 มีแต่พระเจ้าสถิตอยู่เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ จึงเป็นความมืดไง นึกออกใช่ไหม? นึกไม่ออกหรอก ผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่พยายามไล่ตามถ้อยคำพระเจ้าไป บนโลกใบนี้เรียกว่าความมืด บนโลกใบนี้ ก็คือโลกวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ และโผล่เข้าไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่เปาโลบอกว่าชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ทั้งหมดนี้อยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอกวันหนึ่งมันจะถูกพิพากษาให้จบสิ้น  จบสิ้น ก็คือโลกวัตถุนี้ และโลกวัตถุที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ  และโลกวัตถุที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศ พวกดวงดาวต่างๆ พวกห้วงจักรวาลต่างๆ เหล่านั้น วันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไปหมดเลย เพราะมันถูกพิพากษา โดยพระเจ้าตัดสินไปแล้วว่ามันจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้สูญสิ้นไป แล้วพระเจ้าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลย

            เปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสมัยนั้นเรียกว่าชั้นที่ 3 มันหมายถึงอย่างนี้ ก็คือสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ และไปพบกับความจริงเหล่านี้  ที่ตะกี้นี้ที่ผมพยายามเอาข้อความพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบายให้ฟัง มาให้ท่านเห็นว่าเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ตรงนั้น และเปาโลก็เลยบอกว่า …

            “เกรงว่าข้าพเจ้าจะอวดตัวมากเกินไป”

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าจึงให้หนามในเนื้อ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร? มาคอยเตือนเปาโลว่าอย่าอวดตัวว่าได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้ว ให้ถ่อมใจ ไม่ต้องไปพูดถึงมากเรื่องนี้ แต่ที่พูดให้ท่านฟัง หมายถึงไม่ใช่ผมพูดนะ หมายถึงเปาโลบอก …

            “ที่อธิบายให้ท่านฟังนิดหน่อยนั้น  ก็เพื่อว่าท่านจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าก็ไม่ใช่อัครทูตจิ๊บจ้อยนะครับ”

            เพราะว่าท่านถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายว่าเป็นอัครทูตปลอม ไม่ใช่อัครทูตจริง  อัครทูตจริงต้องเดินกับพระเยซู ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้สิ ก็เหมือนอัครทูต 12 คน ที่เหมือนเปโตร เหมือนยอห์นเหล่านั้น แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซูอย่างนั้น แถมยังฆ่าคริสเตียนตายอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น พอถูกเรียกมาเป็นอัครทูต ประกาศให้กับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวแล้ว ก็ถูกคนใส่ร้าย  หาว่าไม่ใช่อัครทูตจริงหรอก อัครทูตจริงจะต้องเดินกับพระเยซูสิ พระเยซูก็เลยพาอาจารย์เปาโลไปเดินกับพระเยซู แต่คราวนี้เดินแบบไม่ใช่ร่างกายแบบมนุษย์เดินอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซูตอนเดินบนโลกใบนี้ แต่เป็นร่างกายของพระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  อยู่ในมิติที่ 5 แล้ว ก็เลยรับเปาโลไปอยู่ในมิติที่ 5 เข้าไปพูดคุยกัน ท่านพอเข้าใจไหม?  ก็เหมือนกับว่าพระเยซูได้คุยกับเปาโล เหมือนกับที่พระองค์ได้คุยกับอัครสาวก 12 คน เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

            เปาโลเลยบอกว่า … “ขอคุยนิดหนึ่งก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ จะได้ให้เกียรติฉันบ้าง ท่านจะได้เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด  ฉันถูกเรียกมา แต่งตั้งมา เพื่อให้ประกาศกับคนต่างชาติ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย  ฉันเป็นอัครทูตของแท้จากพระเยซูคริสต์เหมือนกัน”

            สัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกันว่าอาณาจักรสวรรค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่ทำงานอยู่ในตัวของท่าน ผู้เชื่อ และผู้ที่วางใจในพระเยซู และท่านได้วางใจไปแล้ว  สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้วางใจยังฟังๆ อยู่ สัปดาห์หน้ามาฟังสิว่าถ้าท่านวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านบ้าง อัศจรรย์ ที่ผมตั้งชื่อว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์นี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  สัปดาห์หน้ามาต่อกัน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำถาม : “ต้องทำดีเท่าไหร่กี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์ได้?”

            คำตอบ : “ศูนย์ครั้ง”

            ไม่ต้องทำดีอะไรเลย  แค่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เท่านั้นจริงๆ

            เอเฟซัส 2:4-9 … “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา  (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในคยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้น จากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ นอกจากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น

            อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! Amazing Grace พระคุณอัศจรรย์ ความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขต เหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยมเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ 

            พระเจ้าอวยพรครับ