วารสาร Holy News ฉบับที่ 1353

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 8

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 2 เรามีเวลาคุยกัน เรื่องราวของถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ว่าเราจะฟังเมื่อไร? อย่างไร?  ตอนไหน? เราก็จะฟังอยู่เรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม คือเรื่องในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์มาบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ? เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด? หลังจากที่เราเปิดใจแล้ว พระเจ้าทรงเตรียมอะไรบ้างในโลกวิญญาณ สำหรับผู้เชื่อทุกๆ คน แล้วพระองค์ทรงนำพาเราอย่างไร? ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ซึ่งพระเจ้าก็บอกเราว่าเรื่องของโลกใบนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือเป็นการอวยพร หรือพระพรทางด้านร่างกาย ทางด้านจิตใจอะไรก็แล้วแต่ บนโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าทำเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว อันนั้นไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา  แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับเราแน่นอน

บนโลกนี้เราอาจจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร? ซึ่งความทุกข์ยากลำบากในแต่ละคน ก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่ขนาดที่พระเจ้าใส่ให้ จะพูดอย่างนั้นก็ได้ คือพระเจ้าจะนำพาเราอย่างไร? แต่สิ่งที่แน่ๆ คือพระองค์ผู้เริ่มต้นการดีจะทรงนำพาเรา จนถึงจุดสุดท้าย ก็คือถึงชีวิตนิรันดร์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่แล้ว อย่างที่เราคุยกันบ่อยๆ ต้องย้ำ เพื่อให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก เหล่านี้ ก็คือเป็น เกิดแล้ว พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทุกๆ คน เรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็สัญญาว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา

นี่คือความจริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์อยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม  พระเจ้าจูงมือเราเดิน เดินไม่ไหว พระเจ้าก็อุ้มเรา แบกเรา พาเราจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเราจากโลกนี้ไป พระองค์จะรักษาวิญญาณจิตของเราไว้ จนถึงวินาทีสุดท้ายแน่นอนพี่น้อง ให้มั่นใจได้เลยว่ายังไง ท่านก็ไม่หลุดไปจากความรักของพระเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าความรู้สึกของเรา ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่อยู่กับเราหรือเปล่า? พระเจ้าทิ้งเราไหม? ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เหตุการณ์ยุ่งยากวุ่นวาย เข้ามาสู่ชีวิตของเรา เรื่องแล้วเรื่องเล่าเหมือนกับความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรก คือเรื่องนี้เพิ่งจบไป มาอีกแล้วหรือ? อะไรประมาณนั้น

แต่ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นแบบไหน? อย่างไร? ให้พี่น้องรับรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเรา แล้วพระเจ้าจูงมือเรา พระเจ้าให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านได้ ด้วยวิธีไหนไม่รู้ ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้รับประกัน วิญญาณที่อยู่ข้างใน พระวิญญาณของพระเจ้าจะบอกเราเองว่าพระเจ้าไม่ทิ้งเราแน่ๆ เราผ่านได้อย่างแน่นอน แต่ผ่านด้วยวิธีไหนอีกเรื่องหนึ่ง บางคนผ่านได้ โดยที่พระเจ้าบอกว่า …

“โอเค เจอกับความทุกข์ยากลำบากเยอะ มากจนเกินไป เหนื่อยแล้วนะลูก กลับบ้านเถิด”

พาเราผ่านเหมือนกัน ก็คือผ่านจากโลกนี้ ไปสู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เลย คือสบายแล้วตอนนี้ ไม่ต้องทุกข์ยากลำบากอีกต่อไป ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องอะไร? ก็ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล นี่คือการผ่าน หรือจะผ่านอีกวิธีหนึ่ง คือทำให้จิตใจเราสงบสุข ปัญหาก็ยังอยู่รอบข้างเรา แต่ข้างในเราเริ่มเย็นแล้ว แล้วเราก็ค่อยๆ เดินต๊อกแต๊กผ่านไป หรือบางครั้งพระเจ้าให้ปัญหาหยุดเลย เรากำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ พระเจ้าแก้ปัญหา ให้เราเลย แล้วเราก็เดินฉลุยไป

คือวิธีการแต่ละอย่าง ไม่สามารถเลียนแบบได้ หรือไม่สามารถเอามาเป็น แบบฉบับว่าเราเคยเจอแบบนี้ เดี๋ยวเราเจออีก เราจะต้องได้รับผลแบบนี้ ไม่ใช่ แล้วแต่พระเจ้า แต่ว่าที่มั่นใจได้มากที่สุด คือพระเจ้ารักเรา พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่กับเรา พระองค์โอบอุ้มเรา นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้ามีอยู่เหนือชีวิตของพวกเรา คอยมองดูเราตลอดเวลา ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน

เอเฟซัส 2:2 “ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณซึ่งบัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์)”

 

ตรงนี้ สืบเนื่องจากข้อที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงว่า “ท่านทั้งหลายตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิด” คือตั้งแต่เริ่มต้นบรรพบุรุษของเรา ล้มลงในความบาป แล้วจากเชื้อตรงนี้ DNA แห่งความบาป ได้ไล่เคลื่อนมาจนถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน ดังนั้น มนุษย์ทุกคนได้รับ DNA เดียวกัน คือ DNA บาป ที่มาจากบรรพบุรุษ เกิดมาก็บาปเลย เกิดมาก็ไม่เชื่อฟังเลย เป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย หรือถึงแม้ว่าในสายตาของเรา มองดูแล้ว เหมือนกับ …

“คนนี้น่ารักนะ เป็นคนดี เป็นคนที่เชื่อฟัง เป็นคนที่รักษากฎระเบียบนะ  เขาทำดีมากเลย”

แต่ความเป็นจริง ต่อให้เขาทำดีแค่ไหน มันไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ได้ดูที่เราทำอะไร? แต่พระองค์ดูที่เราเป็นใคร? ฉะนั้น คนที่ยังไม่รู้จักกับพระเจ้า เมื่อก่อนวิญญาณเขาอยู่ในบาป คือวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป อยู่ในความมืดบอด อยู่ในคำสาปแช่ง ตั้งแต่บรรพบุรุษมา คือ DNA มาเป็นอัตโนมัติ ไม่มีใครสามารถที่จะทำตัวเองให้หลุดพ้น จากการติดเชื้อบาปนี้ได้เลย ทำไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าจะทำตามมาตรฐานของพระเจ้า คือทำทุกขีด ทุกจุดได้ 100% ทุกเวลาด้วย ไม่มีว่างเว้น ถึงจะสามารถทำได้

หรืออีกนัยหนึ่ง พระเจ้าบอกว่า … “ท่านจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา ผู้เป็นผู้ดีรอบคอบ”

ซึ่งมนุษย์ฟังแล้ว ผงะเหมือนกัน ใครจะไปทำได้ ให้เป็นคนดีรอบคอบเหมือนพระเจ้าพระบิดา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ฉะนั้น พระเยซูก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้  เพราะเหตุที่เป็นไม่ได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อให้มนุษย์สามารถตาย แล้วก็เกิดใหม่ เข้ามาในโลกวิญญาณ นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าประกาศในเรื่องนี้

พอวิญญาณเราอยู่ในความบาปปุ๊บ เราก็ดำเนินชีวิตตามวิถีของบาป ดำเนินชีวิต ก็คือข้างในบาปอยู่แล้ว การกระทำก็บาปไปด้วย ต่อให้บางครั้งเราจะทำดี

มนุษย์ที่ข้างในเป็นคนบาป สามารถทำดีได้  หรือมนุษย์ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ข้างในเป็นคนชอบธรรม คือเป็นเลยนะ เป็นคนชอบธรรม ก็สามารถที่จะประพฤติไม่ดีได้  แยกให้ออกเลยระหว่างวิญญาณกับการประพฤติ วิญญาณของมนุษย์ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ย้ายจาก DNA เดิม คือในอาดัม เข้ามาสู่ DNA ใหม่ คือในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเขาจะกระทำดีขนาดไหน? เขาก็ไม่รอด เพราะว่าวิญญาณเขาถูกตัดสินเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณถูกตัดสินไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเขาตาย ตายก็คือขาดจากความรักของพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าหลุดไปจากมนุษย์เลย  ฉะนั้น ไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถดำเนินชีวิต ให้ดีครบถ้วนได้ นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เมื่อเป็นคนบาป ทำดีแค่ไหน ก็ยังเป็นคนบาปอยู่

มนุษย์บนโลกนี้ ถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกในปฐมกาล ที่พระเจ้าบอกว่าถ้ากินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม เขาจะตายกับตาย ตาย ก็คือตายจากพระเจ้า ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากการคุ้มครองของพระเจ้า ก็คือตายจากความดีงามของพระเจ้าเลย มนุษย์ไม่มีความดีงามของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้า มนุษย์ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรก็ไม่เกิดผล ในพระคัมภีร์บอกเราอย่างนั้น

เอเฟซัส บทที่ 2 อาจารย์เปาโลกำลังอธิบาย ถึงก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่มาเชื่อพระเจ้า วิญญาณเดิมเขาเป็นแบบนี้ วิญญาณเดิมเขาถูกควบคุม ถูกครอบงำ โดยเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ก็คือมารครอบงำ ครอบคลุม จริงๆ แล้ว มารมันทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม มารทำอะไรมนุษย์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจ แต่มารสามารถที่จะใส่ข้อมูลลงมา ที่สมองของมนุษย์

เราเคยเห็นสมัยก่อนเขาเล่นปั่นจิ้งหรีดกันไหม? จิ้งหรีดอยู่เฉยๆ แต่พอปั่นๆ งง มันตีกันเลย นั่นแหละภาพเดียวกัน คือมารทำได้อย่างเดียว ก็คือพยายามปั่นหัวมนุษย์ ให้ทำตามมัน ตอนปั่นไปใหม่ๆ มนุษย์อาจจะ …

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”

แต่พอปั่นเยอะๆ เข้า คล้อยตาม พอระบบความคิดคล้อยตามปุ๊บ สมองจะสั่งการมาที่ร่างกาย  ทำให้เราทำตามที่มารมาหลอกเรา มันจะเป็นภาพอย่างนี้แหละ  เป็นภาพที่ว่ามารทำอะไรเราไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ยอม คำว่า “เรา” ยังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านะ และยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่ในเรา แล้ววิญญาณใหม่ของเรา คือชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักคำว่าบาป คืออะไร? แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ฉะนั้น ร่างกายหรือสมอง ความคิดของเรา ยังสามารถที่จะรับสื่อของมารเข้ามาได้อยู่ ถ้าเรารับสื่อของมารเข้ามาเยอะๆ ปุ๊บ สมองเก็บข้อมูลๆ ที่มารใส่เข้ามา สมมติว่ามีคนทำไม่ดีกับเรา มารก็จะใส่ข้อมูลเข้ามา …

“เขาทำไม่ดีกับเธอ เธอให้อภัยเขาไม่ได้หรอก เธอต้องเก็บและเธอต้องจำ เธอต้องแก้แค้น เธอต้องตอบแทน  เธอต้องโต้กลับไปเลย” นั่นคือข้อมูลของมารใส่เข้ามา ในความคิดของผู้เชื่อ

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ก็บอกว่า … “ให้อภัยเขาเถิด”

พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันมี 2 ขั้วแล้วตอนนี้ เรามีกำลังพอที่จะต่อสู้ พอรับรู้ความจริง ในเรื่องของพระเจ้าว่าตอนนี้เราเป็นคนใหม่แล้วนะ  พระเจ้าให้ธรรมชาติใหม่กับเรา ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  คือความชอบธรรม คือความสว่าง  คือความดี นั่นคือธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ใหม่ของเรา ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ เราก็ต่อต้าน ขัดขืนมัน เราไม่เชื่อมัน พอเราไม่เชื่อมัน เราก็ไม่ทำตามมันใช่ไหม? เราก็เอาข้อมูลของพระเจ้าเข้ามา พอข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาในสมองของเราเยอะๆ สมองของเรา ก็จะสั่งการ ให้ร่างกายของเราสำแดงความรัก  สำแดงการให้อภัย  ไม่ว่าคนนั้นเขาจะทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็จะสำแดงการให้อภัย ออกไป แต่ว่าการสำแดงจะมากหรือน้อย  ก็แล้วแต่ ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเราเลย ตรงนี้พี่น้องต้องชัดเจน แยกให้ออกเลยว่าคริสเตียน อย่างที่เมื่อกี้บอก คนที่เป็นลูกพระเจ้า มีโอกาสที่จะประพฤติไม่ดี มีโอกาส เพราะสมองเราไปฟังระบบของโลกนี้ มันปั่นเรา หรือพยายามที่จะส่งข้อมูลที่ไม่ดี แล้วเราก็ไปฟังมัน …

“เหรอๆ อย่างนี้ให้อภัยเขาไม่ได้ใช่ไหม? ต้องฉะเลย”

เอาแล้ว เราก็ฉะเลย อะไรประมาณนี้ แต่ว่าไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลยนะ อันนี้ชัดเจน  สมัยก่อน เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับมาร ไม่มีกำลังพอจริงๆ พอมารมันปั่นหัวเราปุ๊บ ใส่ข้อมูลมาปุ๊บ เราก็รับข้อมูล บางครั้งด้วยกำลังเราเอง เราก็สู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง  แต่พอเสร็จสรรพ เราก็อาจจะทำสิ่งที่ดีออกไป  หรือทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  แต่ว่าไม่ว่าทำดี หรือทำไม่ดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติข้างใน คือ DNA ที่ยังเป็นคนบาปอยู่ ให้เป็นคนชอบธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้ทำดีให้ตาย ก็ยังคงอยู่ในการพิพากษาอยู่ ก็คือถ้ามนุษย์คนนั้น ไม่ได้กลับใจใหม่ ไม่ได้มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อมนุษย์ พอมนุษย์ตาย คือไม่ใช่มนุษย์แล้ว เป็นวิญญาณ วิญญาณ ก็คือ จบแล้ว ลมหายใจออกจากร่าง จบแล้ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับใจใหม่ได้อีกเลย แล้วถ้ามนุษย์คนนั้น รอจนวันสุดท้ายของชีวิต ที่ลมหายใจออกจากร่าง  แล้วเขายังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของเขา ไม่เปลี่ยนจากการพึ่งการทำดีของตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง  พยายามรักษากฎบัญญัติด้วยตัวเอง เพื่อมาพึ่งในพระเจ้า ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เขาอยู่ที่เดิม คือยังอยู่ในบาปอยู่ ยังอยู่ในการพิพากษาอยู่ วิญญาณเขาก็ต้องไปถูกพิพากษาในนรก หรือในที่ที่ไม่มีพระเจ้า หลังความตาย  นี่คือสิ่งที่น่ากลัว

ฉะนั้น ถ้าใครก็ตาม ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ปุ๊บ ให้สบายใจได้เลย พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสามารถเอาแกะออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ เมื่อเราเกิดแล้ว เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ว่าพฤติกรรมที่เราทำบนโลกใบนี้ จะออกผลมาเป็นอย่างไร? ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นลูกพระเจ้าของเรา ถ้าเราทำไม่ดี เราก็อยู่โลกนี้ ลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่ากฎของโลกนี้ ก็มี พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ควบคุมทั้งกฎของวิญญาณ และกฎของโลกใบนี้ด้วย ถ้าคริสเตียนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้ทำตามกฎ ที่ถูกวางไว้บนโลกใบนี้ ทำตามใจตัวเอง  คริสเตียนคนนั้น ก็ต้องรับผลของการกระทำของเขา เพราะว่าพระเจ้าเรายุติธรรม พระเจ้าไม่ได้เข้าข้างใคร? ไม่ได้ลำเอียงว่า …

“คนนี้เป็นลูกฉัน ไม่เป็นไร เขาทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องรับผลหรอก บนโลกใบนี้”

ไม่จริงนะ อย่าโดนหลอก พี่น้องต้องรับผลแน่นอน บนโลกใบนี้ แต่ผลทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องรับ เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อันนี้ชัดเจน

หลายคนจะคิดว่าถ้าเราสอนว่าไม่ว่าเราทำอะไร ก็ตามที่ไม่ดี  ไม่มีผลเกี่ยวกับโลกวิญญาณ คืออย่างไรเราก็เป็นลูกของพระเจ้าอยู่ดี ถ้าอย่างนั้น คริสเตียนทำอะไรก็ได้  ทำชั่ว ทำบาป ก็ไม่มีผลอะไร? ไม่จริงนะ พระเจ้าบอกผลของร่างกายนี้ เรายังต้องรับอยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ฉะนั้น เรายังต้องรับผลตรงนี้อยู่ แต่ผลวิญญาณไม่ต้องรับ ถ้าพี่น้องไม่แยกให้ชัดเจน เราก็จะงง ตกลงเราจะโดนหรือไม่โดน แต่พระเจ้ายังคงยืนยันว่าวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แต่ผลของโลกใบนี้ ถ้าเราอยากจะอยู่ให้ลำบากน้อยลง เพราะปกติมันก็ลำบากอยู่แล้ว มาเชื่อพระเจ้า  ก็ยังลำบากอยู่ เพราะพระเยซูบอกว่า …

“ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้วไง”

ลำบากอยู่ แล้วถ้าเรายังทำไม่ดี เราก็เพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง ซึ่งพอเราเพิ่มความลำบากให้กับตัวเอง  พระเจ้ามองแล้ว  …

“ลูกเอ๋ย ลูกทำทำไม ลูกทำเหมือนถีบประตัก ก็เจ็บตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรลูกเลยนะ ลูกทำเอง แล้วลูกก็ต้องรับด้วย” นี่คือความยุติธรรมของพระเจ้า

พอเสร็จในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “วิญญาณที่ยังมีอำนาจอยู่ในย่านฟ้าอากาศ ตอนนี้ทำการงานอยู่ในบรรดาผู้ไม่เชื่อ”

“บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ” คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของการไม่เชื่อฟัง วิญญาณเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง มันไม่ใช่ลักษณะอาการที่เราแสดงออกว่าไม่เชื่อฟัง แต่อันนี้เป็นธรรมชาติ ความเป็นคนที่ไม่เชื่อฟัง ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือมันเป็น DNA ที่ไม่เชื่อฟัง มันเกิดขึ้น แม้ว่าดูเหมือนบางครั้งคนนี้เชื่อฟัง แต่วิญญาณข้างในเขาเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟัง พอเป็นวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังปุ๊บ มันก็อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง  คือเราไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้เชื่อฟัง วิญญาณเราเปลี่ยนเป็นวิญญาณเชื่อฟังเลย  แต่หลังจากนั้น พอเรารับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังแล้วนะ เราก็เริ่มต้นฝึกฝนตัวเอง ให้ทำตามวิญญาณใหม่ของเรา ก็คือทำตามวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า

ฉะนั้น เรามีสิทธิ์เลือก พระเจ้าให้อิสระเรา ไม่ว่าก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า หรือหลังเชื่อพระเจ้า พระเจ้ายังเป็นองค์เดิม วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเชื่อพระเจ้า หรือยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจให้กับมนุษย์

พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าในขณะที่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเป็นความสว่างแล้ว เราเป็นความดีงามแล้ว แล้วเราเลือกที่จะประพฤติตามธรรมชาติใหม่ของเราหรือไม่ในแต่ละวัน

การประพฤติตามธรรมชาติใหม่ตรงนี้ เราก็ไม่ต้องพยายามประพฤติอีก พูดแล้วพี่น้องอาจจะงง แต่มันเป็นเรื่องจริง พอเรารับรู้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะรู้ว่าข้างในเราเป็นอย่างนี้ พอเราเจริญเติบโตขึ้นระดับหนึ่ง เราก็จะทำเองได้ มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ

ในพระคัมภีร์ พระเยซูพยายามที่จะยกตัวอย่างของต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ทำไมพระเยซูต้องยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าพวกต้นไม้ ดอกไม้ ใบหญ้า ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้ มะละกอ ส้ม มะพร้าว อะไรก็แล้วแต่ ก็คือแต่ละอย่างมันเป็นชนิดของมัน ที่พระเจ้าสร้างไว้ชัดเจนว่าต้นมะละกอ ปลูกลงไป ผลมันออกมา ต้องเป็นลูกมะละกอ ไม่ใช่ต้นมะละกอ ผลออกมาเป็นมะพร้าว เราปลูกมะละกอ ไปดูอีกที …

“มันออกมาเป็นมะพร้าวได้อย่างไง เราไม่ได้อยากกินมะพร้าว เราอยากกินมะละกอ”

คือผลมันจะออกมาอย่างนั้น แล้วผลมันออกเองไม่ได้ ต้นมะละกอจะอยู่เฉยๆ แต่ขึ้นอยู่กับคนปลูก ถ้าเรามองตามสายตาของมนุษย์ ก็คือมนุษย์คนหนึ่งคนใด นาย ก. นาย ข. ปลูกใช่ไหม? แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปอีก คนที่ปลูกจริงๆ คือพระเจ้า คนหว่านและคนปลูก ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดผล ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้ต้นมะละกอนี้เกิดผล ต่อให้เราปลูก เราประคบประหงม เราดูแลอย่างดี มันก็ตาย  มันมีสิทธิ์ที่จะโดนแมง โดนหนอนกัดกิน จนตายไปได้  แต่พอมันเจริญเติบโตถึงระดับหนึ่ง

พี่น้องดูจากต้นไม้ใบหญ้าอย่างนี้ จะชัดเจนมาก ตอนถูกหว่านไปเป็นเมล็ด เมล็ดต้องเน่า แล้วมันก็เกิดออกมาเป็นต้นกล้า แล้วมันก็จะค่อยๆ โต แล้วคนที่ปลูก เขาก็จะไปเฝ้ามอง วันนี้โตขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วเขาจะรู้ว่าแต่ละต้น  แต่ละอย่างต้องใช้เวลากี่ปี? กี่เดือน? มันจะออกผลให้เรา พอถึงเวลากำหนด สมมติว่ามะม่วงปลูก 5 ปี มันจะออกผลให้ นอกจากเราไปซื้อต้นที่มันพร้อมจะออกผลแล้ว มาลง มันเกิดผลเลย ถ้าตามที่เราปลูกตั้งแต่ต้น 5 ปี คนปลูก ก็ทำหน้าที่ของเขาไป รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย  เก็บเล็มอะไรที่มันไม่ดีออกไป พอถึงเวลากำหนดมันออกดอก แล้วผลมันก็ออกมาเอง ต้นมะม่วงไม่ได้ทำอะไรเลย ยืนเฉยๆ ตั้งตระหง่านอยู่ที่สวนใครไม่รู้ เขาปลูกเอาไว้เฉยๆ เลย แต่เขาเกิดออกมาเป็นผล ภาพเดียวกัน

หรือแม้แต่ดอกไม้ ที่เราปลูก พอถึงเวลา ตอนนี้ต้นหางนกยูง  ที่อยู่หน้าโบสถ์เริ่มออกดอกแล้ว  เป็นฤดูกาลของมัน ปีนี้ออกเร็วนะ มันออกมาช่อหนึ่ง  ปกติพอถึงเดือนเมษา ใบมันจะผลัดออกเกือบหมด แล้วดอกมันก็เริ่มขึ้นเป็นช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง แล้วต้นนี้เราดูมา 19 ปีแล้ว มันออกดอกให้เราทุกปี ออกมาสวยมาก พอเมษาปุ๊บ มันจะออกเต็มทั้งต้นเลย แล้วมันจะอยู่ประมาณเดือน, สองเดือน  หรือสามเดือน ไม่แน่ใจ มันก็จะสวยงาม ต้นหางนกยูงมันไม่ได้ทำอะไรเลย มันอยู่เฉยๆ ผู้ที่ทำให้มันออกดอก ออกผล คือพระเจ้า นี่เราต้องเล็งไปที่พระเจ้า มนุษย์มีหน้าที่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย  แต่พระเจ้าทำให้เกิดผล ทำให้เติบโต คริสเตียนเหมือนกัน เราจะพยายามไปเร่ง บีบให้ตัวเอง ออกผลไม่ได้ เพราะผลมันไม่ได้เกิดจากความคิด ความสามารถ หรือความตั้งใจของเราว่าอยากให้มันออกผลเยอะๆ ไปเลย รีบๆ โต มันรีบโตไม่ได้นะ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป พอถึงเวลาที่โตจริงๆ แล้วพระเจ้าเห็นว่าคนนี้โตพอ ที่กิ่งของคนนี้ สามารถที่จะรับผลได้ รับผลตรงที่ไม่ทำให้กิ่งหัก พระเจ้าก็จะให้ผลมันออกมาตามน้ำพระทัยของพระองค์

ตอนที่เราต้อนรับพระเจ้าใหม่ๆ เราถูกหักกิ่ง  จากต้นเดิม  คือต้นอาดัม ต้นแห่งความบาป มาปักเสียบในต้นใหม่ คือต้นของพระเยซูคริสต์ พอปักเสียบใหม่ๆ คริสเตียนที่เชื่อใหม่ๆ ไม่มีผลอะไรหรอก ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดผล กิ่งนี้อาจจะหัก เพราะว่ายังต่อไม่สนิท เมื่อยังต่อไม่สนิท แล้วพยายามให้ผลมันออก มันก็รับน้ำหนักไม่ไหว มันก็หัก แล้วก็ตายไป เหมือนมนุษย์พยายามที่จะผลักดันให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ใหม่ๆ รีบออกไปรับใช้ รีบออกไปทำให้เกิดผล กิ่งเขายังแบเบาะมากเลย ยังไม่ติดสนิทเลย พี่เลี้ยงก็ผลักดันออกไป ปรากฏว่ามันรับน้ำหนักไม่ไหว ผลมันไม่ใช่ผลจากพระเจ้า มันก็เลยหักคาต้น แล้วมันก็ตายจากไป มันก็หายไปเลย นึกออกไหม? มันเป็นภาพเดียวกัน เป็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าเป็นผู้ทำการงานอยู่ในใจของพวกเราทุกคน พระเจ้ามีแผนการสำหรับแต่ละคน ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ทำอะไร? อย่างไร? เหมือนกับร่างกายของมนุษย์

ผู้เชื่อเป็นเหมือนอวัยวะในร่างกาย โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะ ฉะนั้น อวัยวะในร่างกาย ก็คือแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน ในหนังสือโครินธ์บอกว่าไม่ใช่ทั้งร่างกาย มีแต่ลูกตา หรือทั้งร่างกายมีแต่จมูก ทั้งร่างกายมีแต่ปาก ก็กลมดิ๊ก ทำอะไรไม่ได้ แต่ร่างกายประกอบด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ตับ ไต ไส้ พุง แขน ขา หัวใจ ปอด ม้าม คือพระเจ้าเตรียมทุกส่วน ในร่างกายของเรา ให้ทำงานตามความเหมาะสม เนื่องจากมนุษย์ล้มลงในความบาป ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหลาย มันก็เลยต้องสูญเสีย คือใช้งานนาน มันก็เริ่มเสื่อมถอยไป นี่เป็นเรื่องปกติของโลกวัตถุ ณ เวลานี้ ต่อให้เราเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ร่างกายเราก็ค่อยๆ เสื่อมโทรมไป ตามสภาพที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  แต่ในโลกวิญญาณ พระจ้าทรงเตรียมผู้คนของพระองค์ ผู้เชื่อ คือให้แต่ละคนทำหน้าที่ตามความเหมาะสม ตามชอบพระทัยของพระเจ้า  ไม่ใช่เราเป็นคนเลือก พระเจ้าเลือกให้ ใครเป็นหู เป็นตา เป็นจมูก เป็นลิ้น เป็นกาย เป็นตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ ม้าม ปอด อะไรก็ว่าไป ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกส่วนสำคัญหมด เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าใคร?

เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้าหมด เป็นน้องของพระเยซูหมด ดังนั้น แต่ละคนแล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้งานอะไร? แล้วเมื่อพระเจ้าจะใช้งาน พระเจ้าก็จะให้ความสามารถ พระเจ้าไม่ใช่ผลักเราออกไป แล้วก็ไปตายเอาดาบหน้าเลย ไปหาวิธีเอาเอง ไม่ใช่ พอพระเจ้าจะใช้เรา พระเจ้าจะให้เครื่องไม้ เครื่องมือ ให้ความสามารถ ให้กับแต่ละคน จะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนกับพรสวรรค์ พี่น้องนึกพรสวรรค์ออกไหม?

พรสวรรค์  พระเจ้าให้คนที่มีพรสวรรค์เขาจะทำอะไรเหมือนกับง่ายดาย มองแล้ว ทำไมเขาทำง่ายอย่างนี้  เรามาฝึกแทบตาย เราไม่เห็นทำได้อย่างนี้เลย แต่บางคน เขาเรียกว่าพรแสวง พยายาม ไม่ได้ เราไม่มีความสามารถตรงนี้ แต่เราอยากทำ เราก็พยายามทำ พอทำจนเสร็จ บางทีมันไม่ได้ เราก็จะทิ้งมันไป ท้อใจ

พูดถึงพรแสวง ตอนที่เรามีโบสถ์นี้ใหม่ๆ เรียนพระคัมภีร์ มีหลักสูตรหนึ่งให้เล่นดนตรี ทุกคนก็ไปซื้อกีต้าร์ ดิฉันคนหนึ่งล่ะ ไปซื้อกีต้าร์มา ดีดมา 2 ปี ร้องอยู่เพลงเดียว …

“ขอโปรดเตรียมเรา  ที่จะถวายเป็นเครื่องบูชา”

ร้องนะ แต่ดีดไม่เคยตรงคีย์ แล้วจนทุกวันนี้ ร้องไม่เคยตรงจังหวะ  ถ้ามีขึ้นดนตรีปุ๊บ ไปไม่ถูก คืออันนี้พยายามเป็นพรแสวง แต่แสวงจนเสร็จต้องถอดใจว่ามันไม่ใช่  พระเจ้าไม่ได้เรียกเรามาอย่างนี้ เราไปหาที่ที่พระเจ้าเรียกเรา ใช้เรา ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้ศักยภาพ หรือให้เป็นพรของเราดีกว่า แล้วเราจะทำงาน แบบไม่เหนื่อย มันเป็นธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้กับเรา เราทำ แล้วเรามีความสุขด้วย เหมือนกับเราใช้ขาเดิน  เรามีความสุขเนอะ ถ้าวันหนึ่งเราจะไปใช้มือเดินแทน เดินแป๊บหนึ่ง เราก็เหนื่อยแล้ว ไม่ไหว พอเดินเยอะๆ มือเราเดี้ยงเลย อย่างไงก็ไม่ได้

พอเราเห็นภาพ ความเป็นจริงในทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเรา เราก็จะอยู่อย่างมีความสุข บนโลกใบนี้ ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วเรารู้ว่าน้ำพระทัยที่พระเจ้าให้กับพวกเราแต่ละคน ดีที่สุด เพราะว่าพระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของเรา แล้วพระเจ้ามอง ไม่ใช่มองตอนนี้ ที่เราเป็น แต่พระเจ้ามองตอนที่มันจบสิ้น เรียบร้อยแล้ว เราแต่ละคนสวยงาม ตามที่พระเจ้าได้เขียนไว้

นี่แหละ คือการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเข้าใจหลักการของพระเจ้า เข้าใจถึงทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เราจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข และเราสามารถสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณ สำหรับพระเมตตา  ที่พระองค์ได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงดูแลพวกเรา

คำว่า “ดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง” ก็ไม่ได้หมายความว่าพอพระเจ้าดูแล ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง แล้วเราจะไม่เป็นอะไร อันนั้นไม่เกี่ยว ปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองวิญญาณจิตของเราแน่นอน ไม่เป็นอะไรแน่นอน เราปลอดภัย แต่ว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย เยอะแยะมากมาย

สมมติ ถ้าเราอายุเยอะ แล้วเดินไม่ระวัง อย่างดิฉัน เดินไม่ระวัง ก็หัวทิ่ม เราก็เจ็บ ได้แผล ประมาณนี้ คือเราต้องรับรู้ความจริงว่าร่างกายเรา สังขารเราไม่ได้แล้ว  ตอนนี้อายุเยอะแล้ว ไม่เหมือน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลุกปุ๊บ ไปเลย ตอนนี้เวลาลุกก็ค่อยๆ ลุกเร็ว มีสิทธิ์หน้ามืด หัวขมำได้

พี่น้อง พอเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ ถ้าเรารักษาเต็มที่แล้ว มันยังเกิด อันนั้น มันช่วยไม่ได้ ช่างมันเถิด ดูแลสุขภาพร่างกายอย่างดีแล้ว มันยังเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังขาร ที่เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ จริงหรือไม่จริง? คริสเตียนป่วยตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนถูกอุบัติเหตุตาย มีเยอะแยะไป คริสเตียนไปเจอแจ๊คพอต ไปอยู่ในที่ที่เขาตีกัน แล้วเราก็ถูกลูกหลง ถูกมีดฟันตายก็มี ฉะนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่าปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครองเรา เราจะไปไหนก็ได้ฉลุย รับรองพระเจ้าดูแลเรา ส่งทูตสวรรค์มาช้อนเราไว้ ไม่ใช่ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แต่ในโลกวัตถุ ไม่มีใครสามารถเป็นหลักประกันได้ เพราะว่าตรงนี้ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขแห่งพันธสัญญา  ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น พออยู่บนโลกใบนี้ เราก็ระวังให้เต็มที่นั่นแหละ เราจะไปไหน เราก็อธิษฐาน ขอพระเจ้าดูแลปกปักษ์ พิทักษ์รักษา คุ้มครอง เรายังคงอธิษฐานได้อยู่ แต่ถ้าบังเอิญเจอแจ๊คพอต มาเจออย่างนี้ เราอธิษฐานไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ถ้าเจอ ก็ขอบคุณพระเจ้า อย่างไรก็ต้องเจอ ก็ไม่เป็นไร ให้รับรู้ว่าเมื่อเจอ เราก็รับตรงนั้นมา แล้วพระเจ้าจะให้กำลังเราผ่านไปได้

พอเรารับรู้ตรงนี้ เราก็จะไม่ต่อว่าพระเจ้า … “อธิษฐานแล้ว ทำไมพระเจ้ายังให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

อะไรประมาณนั้น เพราะว่าโลกนี้ได้ถูกทำให้เสียหายไปหมดแล้ว มันรวนไปหมดแล้ว  เราจะคาดหวังให้ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี เหมือนที่เราอธิษฐานไว้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่ดีเลิศ ประเสริฐศรีจริงๆ ก็คือในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกมันเรียบร้อยแล้ว มันสวยงาม

นี่คือภาพที่พระเจ้าให้เรามองเห็น ฉะนั้น มนุษย์ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าเขามีวิญญาณไม่เชื่อฟัง พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรามีวิญญาณที่เชื่อฟังทันทีเลย ไม่ต้องพยายามทำ แล้วต่อจากนั้น เรียนรู้ความจริงมากๆ ผลมันจะออกมาเอง

พอเราเข้ามาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าปุ๊บ เราก็จะเห็นภาพหนึ่ง ที่พระเจ้าให้เราเห็น ก็คือตอนนี้ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้เราอยู่ในไหน? เราต้องรู้ตรงนี้ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในฝั่งชอบธรรม เราอยู่ในฝั่งของความดีงาม เราอยู่ในฝั่งของความเชื่อฟัง เราอยู่ในฝั่งของความสว่าง เราอยู่ในฝั่งของพระเจ้าทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อ อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งตรงกันข้าม  ถ้าพระเจ้าเป็นความสว่าง คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  คือความมืด ถ้าพระเจ้าเป็นความดีงาม คนที่ไม่เชื่อ คือความชั่วร้าย ถ้าพระเจ้าเป็นความเชื่อฟัง คนที่ไม่อยู่ในทางพระเจ้า ก็คือคนที่ไม่เชื่อฟัง มันจะอยู่ตรงกันข้ามเลย พอเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็จะไม่โดนหลอก เวลาเราเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มารมันก็จะมาหลอกเราทันที  มารก็ใส่มาในความคิดของเราเลยว่า …

“เธอเป็นลูกพระเจ้า เธอทำอย่างนี้ๆ ทำได้อย่างไร พระเจ้าไม่รักเธอ”

ยืนยันกลับไป … “ไม่ว่าฉันทำอะไรก็ตาม ฉันเผลอทำ หรือถูกเธอหลอกให้ทำ ฉันก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักมากด้วย ดังแก้วตาดวงใจอยู่ดี” … ต้องยืนยันตรงนี้ให้ได้

คือจริงๆ อยากจะให้ความชัดเจนกับพวกเรา พอเรารู้ความจริงชัดเจนมากขึ้นเท่าไร? เราก็จะไม่โดนหลอกมากเท่านั้น พี่น้องอดทนฟังไปนิดหนึ่งนะ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เหมือนเดิม แต่ว่าตรงนี้เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เป็นเรื่องที่พวกเราถ้ารู้ทะลุปรุโปร่ง เราจะเป็นไท เป็นอิสระเลย แล้ววิญญาณเราจะไม่ต้องมานั่งกังวล คือทุกวันนี้มารพยายามใส่ความคิดให้เรากังวล  ทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็เริ่มกังวล ตกลงตรงนี้อะไรอย่างไง? พอเรารู้ความจริง เราจะเลิกกังวล ในเรื่องนี้เลย และเราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ที่เป็นผู้เชื่อ รับรู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเรา ดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา พระเจ้าไม่เคยละสายตา จากชีวิตของเราเลย แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว แม้บางครั้งเจอความทุกข์ยากลำบาก เราอาจจะคิดว่าพระเจ้าไม่สนใจเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายังคงยืนยัน ในขณะที่เราทุกข์มากที่สุด พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระเจ้าคอยดูแลเราอย่างแน่นอน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2 โครินธ์ 4:17 “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น  เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย”

 

สังเกตให้ดีนะครับ  ในข้อนี้ ใช้คำว่า “เปรียบ” ก็แปลว่ามีการเปรียบเทียบของสิ่งที่ต่างกัน

 

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบเทียบระหว่าง  …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก และ …

(2) สง่า ราศี และพระสิริ

 

มาดู ลักษณะของ 2 สิ่งนี้ ที่เรากำลังเปรียบเทียบกัน …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย

(2) สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนใช่ไหมครับ? อันแรก คือความทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย  ในขณะที่สง่า ราศี และพระสิริพระเจ้า เป็นสิ่งถาวรนิรันดร์และยิ่งใหญ่

นี่คือที่บอกว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เล็กน้อย  ชั่วคราว กับยิ่งใหญ่ ถาวรนิรันดร์

 

โรม 8:18 “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น  ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”

 

แต่ไม่ใช่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์เลยนะครับ ตรงนี้ ยังบอกว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่ สง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์

 

โรม 5:3-4 “3 และไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ให้เราชื่นชมยินดี ในความทุกข์ยากลำบากด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยาก (ความกดดัน ท้อแท้ ลำบาก เครียด) นั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทน ทำให้เกิดความทรหด 4 ความทรหด ผ่านประสบการณ์ ความทุกข์ยากต่างๆ ทำให้เกิดอุปนิสัย ที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่ผ่านการทดสอบแล้ว ทำให้ความหวังใจ ในความรอดนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับแล้วนั้น มีหลักฐาน ที่มั่นคง ชัดเจน แน่ใจ”

 

ดังนั้น เมื่อเราได้รู้อย่างนี้แล้วว่า 2 สิ่งนี้ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  คือ …

(1) ความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เรา จับต้องมองเห็นได้ เป็นสิ่งเล็กน้อย และเป็นสิ่งชั่วคราว

(2) สง่าราศีและพระสิริของพระเจ้า ที่ได้ทรงสำแดงในเราแล้ว … เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ ถาวรนิรันดร์

 

เมื่อเราได้รับรู้อย่างนี้แล้ว  เราจะจดจ้อง มองไปที่ใด?

คำตอบ คือ …

2 โครินธ์ 4:18 “ดังนั้น เราจึงไม่จับตา มองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตาดูสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (สง่าราศี และพระสิริของพระเจ้า) เป็นถาวรนิรันดร์”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1352

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 4

“การพึ่งพาในการกระทำดีของตน  เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ถ้อยคำของพระเจ้าในวันนี้ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็น ตอนที่ 4 ซึ่งผมให้ใช้ชื่อเรื่องว่า “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว อย่างที่ผมสรุปหลายๆ ครั้งแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นการบรรยายเรื่องอะไร? ตอนอะไร? ถ้าเป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จะหนีไม่พ้น เรื่องราวใน 4 ประเด็นหลักนี้เท่านั้น ตามที่พระเยซูได้มาประกาศ และตระเวนสั่งสอนผู้คนในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็มีอยู่แค่ 4 ประเด็นเท่านั้น

“ฉันต้องจำตรงนี้ให้ได้ ตรงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของความจริง ความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อย่าให้ใครหลอกได้ 4 อย่างนี้เท่านั้น”

ประเด็นที่ 1 คือมนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ มีบรรพบุรุษอยู่ในอาดัม ตายจากชีวิตนิรันดร์ คือความดีงามของพระเจ้าตายไปแล้ว ตายจากความดี ก็มีธรรมชาติของความชั่วอยู่ในตัว

ประเด็นที่ 2 คือเมื่อมีบาปมาตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีบาป ก็อ่อนแอ จึงไม่สามารถที่จะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทำไม่ได้ ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการพึ่งการกระทำของตนเอง ให้เป็นคนดีได้ เพราะว่าเกิดมาในวิญญาณ ใน DNA ก็เป็นบาปแล้ว

ประเด็นที่ 3 คือเมื่อพึ่งตนเองไม่ได้ ไปสวรรค์ด้วยตนเองไม่ได้ ก็ให้มาพึ่งเรา “เรา” คือพระเยซู ให้มาพึ่งพระเจ้า และพระเยซูสัญญาว่าพระเจ้า พระบิดา จะส่งพระบุตร คือพระเยซูมาประกาศว่าพระองค์เป็นทางนั้น ที่เราจะเข้าสวรรค์ได้ โดยผ่านทางความเชื่อ พึ่งพาในพระองค์เท่านั้น

ประเด็นที่ 4 เมื่อเชื่อพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้น อัศจรรย์เกิดขึ้น บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิต ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ดีครบถ้วนบริบูรณ์ในวิญญาณเลยทันที พิสูจน์ได้บนโลกใบนี้  ขณะที่มีลมหายใจเลย

นี่คือ 4 ประเด็นหลักของข่าวประเสริฐ ของเรื่องราวของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งวิวรณ์ ย้ำกันอีกว่าคำประกาศ หรือคำสอนของพระเยซูทั้งหมด ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย

ถามว่าทำไมพระเยซูไม่เน้นสอนเรื่องศีลธรรมและความประพฤติ การทำดีทำชั่ว ทั้งๆ ที่ทั้งโลกก็บอกว่าดี ใครๆ เขาก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ก็เพราะว่าเรื่องการทำดีทำชั่ว มันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกและมนุษย์ทุกคน รู้อยู่แล้วในใจ รู้อยู่แล้วในวิญญาณ ไม่ต้องสอน เรื่องความดีความชั่ว มันถูกฝังเอาไว้แล้ว ตอนที่เกิดมา ก็เป็นแล้ว ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ในวิญญาณนั่นแหละ

การสำนึกในการทำดี การทำชั่ว มันอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่ครั้งที่มนุษย์ บรรพบุรุษของเราคู่แรก คืออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ในการพึ่งพาตนเอง ตายจากชีวิตนิรันดร์ ตายจากความดีงามของพระเจ้า นั่นแหละ มันเกิดขึ้นตอนนั้น

ตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรก ทุกอย่างมันดีหมด ทั้งโลกที่เป็นสรรพสิ่ง เป็นโลกวัตถุก็ดีหมดเลย มันไม่วิปริต ยุ่ง วุ่นวายอย่างนี้ แล้วในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ก็สวยสดงดงามทั้งสิ้น มีเพียงกฎเดียว ที่มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของพระเจ้า กฎแห่งความรัก มนุษย์ยังไม่รู้จักเรื่องการทำดี ทำชั่วเลย ทำอยู่อย่างเดียว คือเชื่อพ่ออย่างเดียว เชื่อพระเจ้า พระเจ้าว่าอย่างไร? ก็ว่าอย่างนั้น

พระเจ้าบอกว่า … “ดี” ก็โอเคดี

พระเจ้าบอกว่า … “เราสร้างเจ้าดีมากกว่าอย่างอื่นตั้งเยอะ” ก็ดี

จนเมื่ออาดัมและเอวาไปเชื่อมาร ที่ล่อลวงให้ขัดคำสั่ง ให้กบฏต่อพระเจ้า ให้กินผลไม้ต้องห้าม เพื่อที่จะมีปัญญามากขึ้น เหมือนพระเจ้า ถูกหลอก จึงทำให้มนุษย์เกิดสำนึกของการเรียนรู้จักความดีและความชั่ว คือต้องการกระทำดี และละความชั่ว ด้วยความสามารถของตนเอง พึ่งตนเอง ตนเองเป็นใหญ่แล้ว คราวนี้ตนเองก็เป็นพระเจ้า บูชาความดีงามของตนเอง ซึ่งสิ่งที่อาดัมและเอวาทำ ก็คือการขัดคำสั่ง กบฏ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบาป คือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่พระเจ้าวางไว้

สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็ตาม  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ คือเชื่อฟังในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ผู้ใดฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ก็จะถูกลงโทษ เป็นไปตามกฎ มนุษย์ก็ไม่เว้น แม้ว่าจะถูกหลอกก็ตาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา อยู่ในกฎแห่งพระพร เชื่อพระเจ้าเฉยๆ ก็ดีแล้ว ไม่เอา อยากจะมาอยู่ด้วยตนเอง ก็ไปอยู่ด้วยตนเอง ก็เลยเกิดกฎที่ 2 ขึ้นมา ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย

นี่แหละ มนุษย์อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ที่ตัวเองเป็นคนเลือก พวกเราไม่ได้เลือกหรอก แต่บรรพบุรุษของเราเลือก ต้นตระกูลของเราเลือก แล้วเราก็ต้องอยู่ในต้นตระกูลของเรานั่นแหละ DNA เหมือนกัน ก็คืออยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย แล้วมนุษย์ก็ถูกย้าย ออกจากการอยู่ในกฎของพระเจ้าในสวรรคสถาน ตกกระป๋อง มาพึ่งตนเอง มาอยู่ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าไม่ใช่เชื่อพระเจ้านะ เชื่อในตัวเอง ต้องทำด้วยตัวเอง มีบัญญัติไว้ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” คุ้นไหม? เกิดมา ก็ไม่ต้องมีใครสอนแล้ว รู้ว่าทำดี ก็ต้องได้ดี ทำชั่ว ก็ต้องได้ชั่ว ทำชั่วแม้นิดเดียว ก็ต้องได้ชั่ว ก็ต้องตาย เพราะในวิญญาณมันตาย อยู่แล้ว เข้าสวรรค์ไม่ได้ อยู่คนละข้างกันกับกฎของพระเจ้า ซึ่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ต้องไม่มีการตาย คือไม่มีการทำชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว

และเมื่อมนุษย์ต้องอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความพยายามที่จะทำดีและละชั่ว เพื่อให้หลุดพ้นจากโทษของความบาป ที่กระทำนั้น ละจากโทษของการทำชั่ว ซึ่งรู้ว่าทำชั่ว แล้วถูกลงโทษ แต่มันก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ตามที่ในใจอยากทำ เพราะว่ามันถูกฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคนไปแล้ว

นี่คือเหตุผลที่บอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม สิ่งเหล่านี้มันอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนาเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงไม่ต้องมาประกาศเรื่องความประพฤติว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ชั่ว เพราะรู้อยู่แล้ว แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ใน 4 ประเด็นที่บอกเมื่อสักครู่นี้ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ว่าทำไม่ได้หรอก ที่อยู่ในใจนั้น แต่ถ้าผ่านในความเชื่อของเรา มาเชื่อพระเยซูแล้ว ทำได้ๆ อะไรประมาณนั้น เพราะว่ามีผู้ช่วย

อย่างที่บอก มนุษย์รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าต้องประพฤติอย่างไร ถึงจะได้ไปสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่ใช่? ลองคิดในใจตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาสอนเลยนะ เกิดมามนุษย์ทุกคนจะรู้เลยว่าถ้าทำดี ได้ไปสวรรค์ ทำชั่วต้องตกนรก โดยพลัน รู้หมด แต่ว่าทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น ก็รู้ว่าแนวโน้มตกนรกแน่นอน ก็พยายามต่อไป นี่คือความวนเวียนของมนุษย์ที่อยู่ในกฎแห่งความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กรรมเวรเอ๋ย กรรมๆ เมื่อไรมันจะหมดกรรมสักที พระเยซูก็ไม่ต้องมาย้ำตรงนั้นแล้ว เพราะมนุษย์รู้อยู่แล้ว  และมนุษย์ก็จะสอนซึ่งกันและกัน มาเตือนซึ่งกันและกัน ในสิ่งที่รู้อยู่แล้วนั้นแหละ ย้ำยืนยันในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งกรรมนั่นแหละ

พระเยซูจึงมาชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันดี แต่มันช่วยเจ้าไม่ได้หรอก พระเยซูจึงมาประกาศ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตัวเอง อย่าเย่อหยิ่ง อวดดี หลอกตัวเองต่อไปว่า …

“ฉันทำได้”

ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ ก็ยอมรับซะสิ ก็หยุดพยายามซะ หาตัวช่วยๆ แสวงหาตัวช่วย ก็จะเจอ พระเยซูจึงบอกว่า …

“จงมองให้เห็นเถิด ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงเปิดออกให้เห็นเถิด”

มองอะไรให้เห็น มองในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังมาประกาศ 4 ประเด็นนี่แหละ ยอมรับตัวเองว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ เพราะว่าพระองค์มาประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? เมื่อกระทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ไม่ได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ตายแล้ว จะไปที่ใดที่หนึ่งแน่นอน แล้วก็กลัวนรก เพราะรู้ว่าแนวโน้มไปนรกแน่นอน ก็พยายามทำ และในใจก็รู้ว่าทำไม่ได้ ก็ถ่อมใจมาพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าทำได้ ก็พึ่งในพระองค์สิ เพื่อที่จะไปสวรรค์ หลังความตาย

พระองค์มาทำแค่ 4 ประเด็นนี้ มาเตือน มาบอก (ทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดเหมือนผมอย่างนี้นะ พระองค์พูดนุ่มนวลกว่านี้เยอะ) พระองค์พูดด้วยความรัก ความเมตตา ความห่วงใย รักมนุษย์ยิ่งนัก กระทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเอาไปเถิด มาเอาสิทธิของเธอไปเถิด หยุดพึ่งตนเอง แล้วมาพึ่งเราเถิด

นี่คือสรุปรวมเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อพระเยซูมาประกาศเรื่องข่าวดี เรื่องสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?

แล้ววันนี้ เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กันต่ออีก ไม่ว่าจะพูดในลักษณะไหน ก็พูดแค่ใน 4 ประการนี้แหละ ท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็พูดอยู่แค่นี้แหละ ไม่เชื่อ ท่านลองไปเช็คดูตัวเอง ก็ได้ วันนี้เราก็จะมาพูดเรื่องนี้ต่อ จากเรื่องที่สอนและประกาศ โดยเจ้าของสวรรค์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อจะย้ำยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใครจะพยายามพึ่งในการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ไปสวรรค์ หลังความตาย มันเป็นไปไม่ได้เลย

“อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร?”  ตอนที่ 4 “การพึ่งพาในการกระทำดีของตน เพื่อจะไปสวรรค์ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม” ชื่อเรื่องวันนี้

อูฐลอดรูเข็ม เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย พระเยซูสอนในเรื่องนี้ ที่เรากำลังจะเรียน ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะ บอกว่า “ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้” มันคืออะไร? เป็นไปไม่ได้ คือสำหรับเรา เราก็พอแล้วนะ พระเยซูบอกยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย

เรามาอ่านในหนังสือมาระโก 10:17-27 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาพระเยซู …

มาระโก 10:17-27 “17 ขณะพระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” 18 พระเยซูทรงตอบว่า “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครอื่น ที่ประเสริฐ 19 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” 20 เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก” 21 พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขา และตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น จงตามเรามา” 22 เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด แล้วจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก 23 พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนัก ที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (ยากเป็นธรรมดา แต่ยังเป็นไปได้ ที่เค้าจะต้อนรับ ข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซู)” 24 เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส  แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนัก  ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า (สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เค้าเชื่อว่าเค้าสามารถใช้ทรัพย์สินแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไปกระทำเช่นนี้ใช่หรือไม่? ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย)  25  ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวย (ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ) จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” 26 เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น ใครจะรอดได้” 27 พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้

 

ฟังเมื่อสักครู่นี้แล้ว ทำตามที่บอกหรือเปล่า? ฟังไป นึกถึง 4 ประเด็นไหม? นี่สอบเลย ตรงเลยนะว่าจำได้ไหม 4 ประเด็น คืออะไร? เรากำลังจะมาพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่? 4 ประเด็นนี้ พูดกันไปเรื่อยๆ บรรยายกันไปเรื่อยๆ ถึงข้อนั้นข้อนี้ นึกในใจตามไปด้วยนะว่านี่มันประเด็นที่เท่าไร? สนุก และทำให้ต่อไปนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านจะสนุกด้วย  นึกในใจ 4 ประเด็นนี้ แล้วอ่านข้อพระคัมภีร์อะไรที่อยากจะอ่าน

เรื่องที่พระเยซูกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวยิว เป็นอิสราเอล ซึ่งรักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเคร่งศาสนายิวมากนั่นเอง

ในข้อที่ 17 เริ่มต้นนั้น … “ขณะที่พระเยซูเสด็จออกไป ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำอะไรบ้าง?”

ลองสวมเป็นเด็กหนุ่มคนนี้สิ “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้าง? จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์” ก็คือจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า หลังความตาย

คำถามแบบนี้ เป็นคำถามที่อยู่ในใจเรา มนุษย์ทุกๆ คนอยู่แล้วใช่หรือไม่? ใช่ ทำอย่างไรถึงจะไม่ตกนรก เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าถ้าทำบาป ถ้าทำชั่ว ได้ไปนรกแน่นอน ไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำไม่ดี ตีพ่อตีแม่ ไปอยู่ในนรก โกหกตกนรก คือมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าต้องทำดี จึงได้ไปสวรรค์ แต่มนุษย์ทุกคนก็รู้แก่ใจว่ายังทำดี ได้ไม่เพียงพอ เพราะยังทำชั่วอยู่บ้าง? “อยู่บ้าง” นั้น ไม่ว่ามากหรือน้อย ในใจก็จะบอกว่าชั่วนั้นจะพาเราลงนรก ความดีไม่สามารถลบล้างได้ จริงหรือไม่? ถามใจตัวเองก็แล้วกัน อย่าหลอกนะ ถามจริงๆ

กฎแห่งการทำดี แล้วไปสวรรค์นี้ มันฝังอยู่ในจิตใจลึกๆ เขาเรียกว่าอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน มันฝังอยู่ ทำให้เราอยากได้ดี ใครอยากไปอยู่ในนรกล่ะ ไม่มีใครอยากอยู่ในนรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่มีคนใดเลยที่อยากทำชั่ว เพราะวิญญาณเขารู้อยู่แล้วว่าทำชั่ว มันได้ชั่ว และชั่วที่สุด กลัวที่สุด คือเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่ในนรกนิรันดร์ มันเขียนอยู่ข้างในใจอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจึงพยายามทำความดีไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที เพราะการทำดีไปนั้น มันสลับด้วยความชั่ว และความชั่วนั้น มันฝังอยู่ มันจะเป็นตัวฟ้องบอกว่า …

“เธอลงนรกแน่ๆ”

และมันก็เป็นจริงตามนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ยังอยู่ในกฎแห่งการทำดี ทำชั่ว

ในข้อ 18 ดูสิพระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็นถึง 4 ประเด็นนี้ อย่างไร?

ข้อ 18 พระเยซูตอบว่า … “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครที่ประเสริฐ”

คำว่า “ประเสริฐ” ตรงนี้ คือดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าไม่มีมนุษย์คนใด ที่เป็นคนบริสุทธิ์อย่างนี้เลยแม้แต่คนเดียว คือมนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์แห่งบาป ไม่มีคนไหน ไม่มีตำหนิเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีคนไหนไม่เคยทำบาปเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็เป็นบาปแล้ว เกิดมา ก็อยู่ในกฎของความชั่วร้ายแล้ว เกิดมา ก็ไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณอยู่แล้ว

ถามว่านี่ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 1 มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป อ่อนแอ ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ไม่มีความดีงามของพระเจ้า เห็นไหม?

พระเยซูเริ่มต้นชี้ให้เห็น โดยผ่านทางเศรษฐีหนุ่มคนนี้  เพื่อจะสอนคนทั้งโลกเลย โดยเฉพาะผ่านทางผู้ที่ฟังในตอนนั้น ก็คือชาวยิว เน้นไปที่เศรษฐีหนุ่ม แต่กำลังพูดถึงชาวยิว สะท้อนไปถึงชาวคริสเตียนทั้งโลก  ก็คือยิวในวิญญาณ ก็คือพวกต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียนนั่นแหละ พูดไปถึงมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ใช่ คริสเตียนก็จะได้รับรู้ด้วยว่าพระองค์กำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? สภาพของมนุษย์ในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นเช่นไร? ทำอย่างไรถึงรอดพ้นจากการพิพากษา หลังความตายได้ พระเยซูก็มาบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นคนดีพร้อม สักคนหนึ่งหรอก

เศรษฐีหนุ่มก็บอกว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้ดีเหมือนอาจารย์”

เพราะเขาเห็นพระเยซูทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ สอนอะไรต่างๆ เขามีความรู้สึกว่าดี เขาจึงไปบอกว่าพระองค์ดี เขามองดูพระองค์เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนดีเลยสักคนหนึ่ง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น

ข้อที่ 19 พระเยซูเริ่มสอนแล้วนะ.ว่าทำไมถึงไม่ดี …“ท่านก็รู้บทบัญญัติว่าอย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย  อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า”

พระเยซูกำลังยกบัญญัติ กฎ รากฐานของบัญญัติ ที่ชาวยิว บันทึกเอาไว้ในสมัยโมเสส เป็นฐานของกฎข้อบังคับอีกเยอะแยะ ในด้านศีลธรรม อีก 600 กว่าข้อ นี่คือพื้นฐานหลักใหญ่ๆ ที่พระเยซูบอกเศรษฐีหนุ่มคนนี้ให้ได้รับรู้ เพื่อจะนำพาเขาไปถึงซึ่งความอ่อนแอ ทำไม่ได้ ตามที่เขาคิดไว้

ข้อที่ 20 เขาก็ทูลว่า … “ที่อาจารย์พูด 5 ข้อหลัก ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฟังดูก็รู้ ในข้อ 17 ตอนแรกๆ ถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพิ่มอีกบ้าง? ถึงได้ไปสวรรค์ ถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

พอพระเยซูพูดรากฐานมาปั๊บ … “โอ้! สบายมากครับ พวกนั้น ผมทำหมด เรียบร้อยแล้ว”

ตอบด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดีและสะสมความดีของตนเอง ตามกฎบัญญัติ ตามหลักศาสนา และคิดในใจว่ามันได้มาก รู้ได้อย่างไรว่าได้มาก ก็เขาทะนงตนอย่างนั้น เขารู้สึกว่าเขาทำมาก

คำว่า “มาก” มันต้องไปเปรียบเทียบกับใครสักคนหนึ่ง มันถึงจะรู้ว่ามากหรือน้อย ถ้าไม่ไปเปรียบเทียบกับใครก็ไม่รู้ว่ามากหรือน้อย แสดงว่าเขามองไปที่คน ว่าคนอื่นทำได้น้อยกว่าเขา เขามากกว่า เขาก็หยิ่งทะนง เขาเห็นพระเยซูทำได้ดีกว่า เขาก็บอกว่าพระเยซูยอดเยี่ยม นมัสการ หรือนับถือพระเยซู ทำได้ดีกว่าเขา  เขาไม่ได้มองพระองค์เป็นพระเจ้าหรอก  เขามองพระองค์เป็นคนดีคนหนึ่ง เป็นอาจารย์คนหนึ่ง ที่ทำได้ดีกว่าเขา สละได้มากกว่าเขา อะไรประมาณนั้น เขาคิดของเขาเองตามประสาของมนุษย์ ด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความหยิ่งทะนงในการกระทำดี สั่งสมความดีด้วยตนเองว่าทำได้มากกว่าคนอื่น พอเราทำดีๆ แล้วเรายึดมั่นอยู่ในความดีปุ๊บ เราอดไม่ได้หรอก ที่จะอยากรู้ว่าตัวเราเองทำดีมากขนาดไหน? แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร? ถ้าอยู่คนเดียวในโลก มันไม่ได้ อันนี้มันอยู่หลายคน มันก็พอจะรู้ได้ว่าทำอะไร? ก็ไปหา มองดูคนอื่น …

“ฉันรักษาศีล ได้ 5 ข้อ เธอได้ 2 ข้อ”  ใครดีกว่า อันนี้มันชัวร์เลย คิดในใจเองแล้วกัน

ชายคนนี้ก็ตอบพระเยซูว่า … “บทบัญญัติต่างๆ ที่มีกำหนดไว้นั้น ที่พูดมาทุกข้อ เขาสามารถประพฤติได้ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

คือในใจของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขารู้ตัวว่าถึงแม้จะประพฤติตามบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด อย่างที่เขาได้ทำ มาตั้งแต่เด็ก แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพร้อม ยังไม่มั่นใจว่าจะได้เข้าสวรรค์หรือไม่? เขาก็เลยมาถามพระเยซูว่าต้องทำอะไรเพิ่มอีก จะพยายามทำต่อไป จึงจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? ใช่ แล้วพระเยซูกำลังทำอะไร? พระเยซูกำลังประกาศตามที่ในใจเขาบอกนั่นแหละ ต้องการพาเขามา รอดพ้นจากสิ่งที่เขาพึ่งพาตนเอง ให้มาพบความจริงว่าถ้ามาหาพระองค์ ไม่ต้องพยายาม ให้มาหา ให้มาเชื่อในพระองค์ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว

ประเด็นสำคัญตรงนี้ พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าต่อให้พยายามรักษาบทบัญญัติ เคร่งครัดขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีทางเลยที่จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามมาตรฐาน กฎเกณฑ์ของพระเจ้าในสวรรค์ได้ ย้ำยืนยันเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ย้ำยืนยันลงไปในจิตใต้สำนึกของฟาริสี และพวกชาวยิวที่กำลังฟังทั้งหลาย และย้ำไปถึงจิตใต้สำนึกของพวกเราทั้งหลาย มนุษย์บนโลกใบนี้ ขณะนี้เลย และต่อไปเป็นนิตย์ เพื่อจะให้มนุษย์ได้รู้ความจริง อย่าปฏิเสธ ในใจของเราเองนั่นแหละ เป็นตัวบอก

ตะกี้นี้ข้อ 18-20 พระเยซูกำลังพูดถึงประเด็นที่เท่าไร?  ประเด็นที่ 2 เห็นไหม? ทำไม่ได้หรอก

ประเด็นที่ 2 ก็คือช่วยตัวเองไม่ได้

ข้อที่ 21 อันนี้เจ๋งมากเลย  … “พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” ตรงนี้ต้องจำใส่ใจ ระลึกไว้เลย อ่านพระคัมภีร์ครั้งใด นอกจาก 4 ประเด็นนี้ จงนึกถึงผู้ที่พูด 4 ประเด็นนี้ คือพระเยซูคริสต์ พูดในความรู้สึกอย่างไร? พูดในท่าทีอย่างไร? ตัวนี้เป็นอีกตัวหนึ่ง ที่เราจะต้องสำนึกตลอดเวลา อย่าให้ผิด เพราะนี่คือหัวใจของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลายว่าพระองค์มีความรู้สึกกับเราอย่างไรบ้าง?

“พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา” บันทึกไว้ว่า “ทรงรักเขาและตรัสว่า” แล้วคนที่บันทึกรู้ได้อย่างไรว่า “ทรงรักเขา” แสดงว่าพระเยซูแสดงหลายอย่าง อาการออกมา เป็นความเมตตา กรุณาต่อเศรษฐีหนุ่มคนนี้ อย่างมากมายเลย ถูกไหมครับ

แล้วพระองค์ก็ตรัสชี้ให้เห็น รู้แล้วนะว่าพระองค์กำลังพูดถึง 4 ประเด็น และพระองค์กำลังพาเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ไปในทิศทางใด  เพื่อจะช่วยเขา

พระองค์ตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ แจกจ่ายให้คนจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้น ก็ตามเรามา”

พระองค์ทรงรู้จุดอ่อนของแต่ละคน รู้ดีว่าจุดอ่อนของเศรษฐีหนุ่มนี้อยู่ที่ไหน? อยู่ที่คลังทรัพย์ในใจของเขา ทรัพย์ที่เขามีอยู่ และทรัพย์ในใจของเขา

ข้อที่ 22 “เขาได้ยินเช่นนั้น ก็หน้าสลด”

นี่คือจุดอ่อน เขานึกว่าเขาทำได้หมด แต่มันมีจุดอ่อนที่เขาทำไม่ได้ เขาก็รู้อยู่

“เขาได้ยินเช่นนั้น เขาก็หน้าสลด และจากไปด้วยความทุกข์ เพราะเขาร่ำรวยมาก”

เศรษฐีคนนี้ มาหาพระเยซู มั่นใจมากว่าตัวเองรักษากฎอย่างยอดเยี่ยม รักษาศีลธรรมตลอดชีวิต สั่งสมความดีมาเยอะมาก มากกว่าคนอื่นตั้งเยอะเลย สมมติว่ามาตรฐานในจิตใจของมนุษย์ต้อง 100% ใช่ไหม? ถึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ เศรษฐีหนุ่มคนนี้ เขาอาจจะบอกว่าเขาทำมาตั้งมากแล้ว อาจจะได้ 95% แล้วล่ะ เหลืออีกนิดเดียว  ทำเพิ่มแค่นิดเดียว ก็เลยมาหาพระเยซู

“พระเยซู 5% นั้น จะทำเพิ่มได้อย่างไร? จะได้เติมให้มันเต็ม มันไม่เต็มสักทีในใจ ขนาดทำดีขนาดไหน ยังไม่เต็มสักที ไม่เต็ม 100% ที่จะเข้าสวรรค์ได้ เลยมาถามพระเยซูว่าอีก 5% ทำอย่างไร?พระองค์ทรงช่วยได้หรือเปล่า?  ไหนลองบอกสิ  ฉันต้องทำอะไรเพิ่ม”

แต่คำตอบของพระเยซูบอกว่า … “95% ที่ทำมาทั้งหมดนั้นแหละ ทิ้งไปซะ”

โอ๊ย! เจ็บๆ นี่คือทำให้เขาสลด เขาคิดว่าอีก 5% คนอื่นทำได้ ไม่ถึง 10% ตั้งอีก 90% ทำยาก ของเขาอีกนิดเดียว ก็ถึงแล้ว พระเยซูทำอะไรเพิ่มอีกนิดหนึ่งน๊า ทำอะไรได้ เพิ่มอีกนิดหนึ่ง

พระเยซูบอกที่มีอยู่ขายไปให้หมดเลย คือทิ้งไปให้หมดเลย มันไม่ได้ช่วยอะไรท่านเลย 95% ที่ท่านคิดว่ามันช่วยอยู่ ถ้าอยากเข้าสวรรค์ มีอยู่ทางเดียว คือทิ้งให้หมด นั่นแหละที่มีอยู่ 95% นั้น แล้วหันมาหาพระองค์อย่างเดียว พึ่งในพระองค์อย่างเดียว ไม่พึ่งในทรัพย์สิน ในความดีที่ตัวเองสะสม

เป็นเราสลดไหม? สลด

ซึ่งเศรษฐีหนุ่มคนนี้  ก็ทำใจไม่ได้ เพราะตัวเองพยายามทำมา สะสมความดี มาทั้งชีวิตอย่างงดงาม ทั้งรักษาบทบัญญัติอย่างยิ่งยวด ทั้งทำความดีมาเยอะมาก เต็มไปหมดเลย ตรงนั้น ก็ดี ตรงนี้ก็ดี เขาก็บอกว่าเราดี ผู้คนรอบข้างก็บอกว่าเราทำดีมากเลย ชื่อเสียงก็ดีมาก ใครๆ ก็สรรเสริญ ยกย่องว่าเราเป็นคนดี สมควรได้ไปสวรรค์ แต่ในใจลึกๆ เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป จะเอาอย่างไร? ทิ้งชื่อเสียง ทิ้งโลกที่เขาบอกว่าเราไปสวรรค์ แต่เราเองลึกๆ เราบอกเราไม่ได้ไป เราไม่พร้อม จะเลือกข้างไหนดี? เลือกข้างจิตใต้สำนึกดี หรือเลือกข้างที่โลกบอกเธอว่าเธอดีกว่าคนนั้นตั้งเยอะ เธอไปสวรรค์แน่ แต่เรารู้ว่าเราไม่ได้ไป เขาตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุด ก็ต้องทนทุกข์อยู่ต่อไป ต้องจมอยู่กับความพยายามสั่งสมความดีต่อไป และความพยายามนี้ ก็ไม่สามารถพาเขาไปสู่สิ่งที่เขาอยากได้ในจิตใจของเขา ในวิญญาณของเขา เป้าหมาย คือความรอดนิรันดร์ การไปอยู่สวรรค์สถานหลังความตาย เขายังคงดำเนินตามความเชื่อเดิม คือพยายามทำดีต่อไป  ซึ่งพระเยซูกำลังบอกว่าความพยายามของเขาอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่น พระองค์กำลังบอกว่าให้มาเชื่อพระองค์ เชื่อพระองค์อยู่ที่ไหน? ความสำเร็จในการได้รับชีวิตนิรันดร์ก็อยู่ที่นั่น

ประเด็นอะไร? ประเด็นที่ 3 คือเมื่อทำไม่ได้อย่าทำ ให้มาพึ่งเรา ให้มาตามเรา ตามหาเรา ก็คือทิ้งการกระทำของตนเอง ทิ้ง 95% ที่คิดว่าตัวเองได้ขนาดนั้น ทิ้งไปเลย ใครจะมี 10%  20%  90%  99%  ก็ทิ้งให้หมดเลย แล้วก็มาหาเรา เท่านั้น ถึงจะทำได้ ก็คือท่านทำเองไม่ได้หรอก ต้องมาพึ่งเรา

ก็คือกำลังประกาศอันที่ 3 เมื่อทำไม่ได้ มาพึ่งเรา พระมาซีฮาห์ เราคือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญา  พระบิดาทรงสัญญาว่าจะส่งมาช่วย  คือเรามาแล้ว  และทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

ต่อมาข้อ 23 “พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ” เพื่อจะดูบรรยากาศมั้ง “แล้วก็ตรัสกับเหล่าสาวกว่า”

คราวนี้เห็นภาพนะ ตะกี้คุยกับเด็กหนุ่มคนเดียว แล้วก็ทะลุเล็งไปถึงคนยิวทั้งหมด แล้วเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตอนนี้มองไปรอบๆ พูดกว้างๆ เลย  นึกถึงภาพนะ

“แล้วตรัสกับเหล่าสาวก” สาวก ก็คือผู้ที่ติดตามมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งเป็นชาวยิวทั้งนั้น ส่วนใหญ่นะ ตอบว่าอย่างไร? บอกว่าอย่างไร? ประกาศว่า …

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ หรือจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า”

ตรงนี้ ตั้งใจฟัง “ยากนัก” ก็คือยากเป็นธรรมดา แต่ยังพอเป็นไปได้ ที่เขาจะต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันยากสำหรับเขาที่จะทิ้งทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ แต่ยังพอทำได้ เดี๋ยวฟังดูต่อไปว่าตรงนี้พระองค์หมายถึงอะไร? มันยากนะ สำหรับคนที่มั่งมีที่จะเข้าสวรรค์ เพราะตัดสินใจลำบาก มีถ่วงอยู่

ข้อ 24 “เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า”

สาวกแปลกใจเพราะอะไร? คนนี้มีชื่อเสียงในการกระทำดีมากเลยนะ เอาเงินช่วยคนจน อะไรต่างๆ และเป็นคนที่มีชื่อเสียงในการรักษากฎเกณฑ์ อยู่ในศีล ในธรรม อยู่ในบทบัญญัติ เป็นคนธรรมะ ธรรมโมมากเลย อย่างนี้ยังไม่รอดเลย สมมตินะ เปโตรหันมาถามยอห์น …

“นายทำได้ถึงเท่านี้ไหม?”

“ฉันไม่ได้ถึงครึ่งเขาหรอก ยากอบทำได้ไหม?”

“ไม่ไหวหรอก เราก็ไม่ได้”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร? แล้วพวกเราจะไปสวรรค์ได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่ได้เลย?

นี่คือความคิดของมนุษย์ทั่วไป คือจะเปรียบเทียบอยู่เรื่อยว่าเท่าที่ตามองเห็น คนนี้ทำดีหรือไม่ดีเยอะขนาดไหน? น่าจะไปสวรรค์ เราทำน้อยกว่า เราคงไปนรก คนนี้ทำชั่วกว่าเรา ดังนั้น เขาไปนรก เราตัดสินเขาหมด จากความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูกลับพูดกับเราอีกอย่างหนึ่ง

“ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า”

ข้อที่ 24 เหล่าสาวกแปลกใจในดำรัสนั้น พระองค์ทรงรู้ กำลังซุบซิบกันใหญ่เลย

“มันเป็นไปได้อย่างไร? นี่ไม่ได้ไปสวรรค์แล้วเนี้ย”

พระเยซูตรัสต่ออีก คราวนี้เปลี่ยนคำว่า “ยากนัก” เป็น “ยากยิ่งนัก” คือเป็นไปไม่ได้เลย ตะกี้ยากนัก ยังพอเป็นไปได้ ตอนนี้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า ก็คืออันนี้เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ ที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า

ตะกี้นี้ “ยากนัก สำหรับคนที่มีทรัพย์สมบัติ” ยังเป็นไปได้ที่จะเข้า มีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่วางใจในทรัพย์สมบัติ แต่ถ้า “มีทรัพย์สมบัติและวางใจในทรัพย์สมบัตินั้นด้วย” อันนี้ ที่ทำให้เข้าไม่ได้ คืออะไร? คือวางใจในทรัพย์สมบัติหรือไม่? สำหรับผู้ที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เขาเชื่อว่าเขาสามารถใช้ทรัพย์สมบัติแลกซื้อสวรรค์ภายหน้าได้ ซึ่งมนุษย์ทั่วไป ก็มีความคิดเช่นนี้ กระทำเช่นนี้ ถามว่าใช่หรือไม่? ท่านลองคิดตาม พระเยซูกำลังชี้ให้เราเห็น ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? พระเยซูกำลังตอบว่าเป็นไปไม่ได้เลย “ยากยิ่งนัก” ยากขนาดไหน?

ข้อที่ 25 ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าคนรวยที่วางใจในทรัพย์สมบัติ เพื่อจะเข้าสวรรค์ จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้

ให้เอาอูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่า อูฐลอดรูเข็มทำได้ไหมครับ? ทำไม่ได้ เอาอูฐลอดรูเข็มมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าอีก พูดง่ายๆ ว่า …

“เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้   เป็นไปไม่ได้  เป็นไปไม่ได้เลย”

กำลังย้ำยืนยันว่าคนที่วางใจในทรัพย์สิน เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ โดยพึ่งพาในทรัพย์นั้น ในสิ่งที่ตนเองหามานั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เข้าไปในสวรรค์ได้ เดี๋ยวผมจะชี้ให้ท่านเห็น พระเยซูไม่ได้ชี้แค่ทรัพย์ที่เป็นวัตถุสิ่งของอย่างเดียว อันนี้ลึกซึ้ง …

ประเด็นที่ 1 กำลังชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เป็นชั่ว

ประเด็นที่ 2 กำลังชี้ให้เห็นถึงเขาช่วยตัวเองไม่ได้    เขาอยู่ในบาป    อยู่ในความชั่วนั้น    ในวิญญาณของเขา ถ้าเขาไปพึ่งตนเอง ก็พึ่งในความตายนั่นแหละ

ประเด็นที่ 3 คือมีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำได้ คือพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ตรงนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าประเด็นอยู่ที่วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ซึ่งทรัพย์สมบัติตรงนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติทางวัตถุสิ่งของ เงินทอง และทรัพย์สมบัติทางวิญญาณด้วย ก็คือการทำดี สะสมความดีไว้มากเลย มันอยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มคนนี้มีทรัพย์สมบัติอยู่ ตะกี้ผมยกตัวอย่าง 99% เขาอาจจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ 20% เอง สมมติว่ามีอยู่ 2 ล้านบาท แต่สิ่งที่เขามีอยู่ เกินกว่า 2 ล้านบาท คือเขารักษาบทบัญญัติได้มาก กระทำดีมาตั้งแต่เด็กๆ ตรงนี้ อีก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์รวมเป็น 90 กว่าเปอร์เซ็นต์มันอยู่ในใจของเขา นี่คือทรัพย์สมบัติที่เขาหวงมากเลย …

“อย่าเอาออกไปนะ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยทรัพย์สมบัติตรงนี้ ฉันจะไปสวรรค์ด้วยการรักษาบทบัญญัติที่ฉันรักษามาตลอดชีวิต ฉันจะไม่ทำผิดอีกเลย ทำผิด ก็จะแกล้งลืมไป”

ไม่ใช่แกล้งลืมไป ตั้งใจจะทำต่อ ตั้งใจจะแก้ไขมัน ก็เลยมาหาพระเยซู ตั้งใจจะถามพระเยซูว่าต้องทำอย่างไร?

นี่แหละจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาพูดอะไร? เห็นไหมครับ? มาบอกว่ามันทำไม่ได้ เพราะอะไร? วางใจ พึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุและทางวิญญาณ คือการกระทำดี มันไม่ใช่ตัวทรัพย์สมบัติเอง ที่มีปัญหา แต่มันอยู่ที่ใจของคนๆ นั้น มีปัญหา พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น ใจ ความคิดที่สกปรก ที่อยู่ในความชั่ว อยู่ในความบาปนั้น นั่นมีปัญหา  มันไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่มีปัญหา วัตถุที่มีปัญหา อาจจะแก้ไขได้ สละได้ แต่ความดีงาม ถ้าไม่รู้ความจริง มันทำยากมากเลย ที่คนทำดีจะทิ้งความดีของตัวเอง แล้วบอกว่า …

“ฉันจะมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทิ้งทั้งหมดเลยไม่ว่าอะไร? ที่ทำดีในอดีต ฉันเลิกเลย ฉันมาพึ่งพระเยซูอย่างเดียว” มันยากกว่าเยอะ

เพราะฉะนั้น คำว่า “ยากนัก” เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนรวยที่วางใจ ที่พึ่งพาทรัพย์สมบัติ คือพึ่งพาทรัพย์สมบัติ ทั้งวัตถุสิ่งของและการกระทำดีของตัวเอง จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์ได้เลยใช่ไหม?

ซึ่งตรงนี้ มีหลายคนเข้าใจผิด ไปตีความว่าหมายถึงคนที่ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ จะไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ คนเอาไปตีความเฉพาะเรื่องวัตถุสิ่งของเท่านั้น ดังนั้น คนที่คิดว่าตัวเองรวย มั่งมี ทรัพย์สิ่งของเงินทอง เขาก็แนะนำว่าจงไปขายซะ หรือแจกจ่ายทรัพย์สิน เพื่อที่จะทำให้ตัวเองหายรวย เขาก็จะสอนกันอย่างนี้ มันพูดตรงๆ มาถึงตรงนี้ ท่านจะรู้แล้ว มันคนละเรื่องกันเลย คนร่ำรวยที่เชื่อพระเจ้าแล้ว และได้รับความรอด มีเยอะแยะมากมาย ในพระคัมภีร์ก็พูดถึงเยอะแยะมากมายไปหมด ซึ่งจริงๆ ตรงนี้ อย่างที่บอกแล้วว่าพระเยซูกำลังใช้ตัวอย่าง เรื่องนี้ การมั่งมี ทรัพย์สมบัติ เงินทอง และทรัพย์สมบัติในใจ คือวิญญาณที่เกาะติดกับการสั่งสมความดี และการทำดี เพื่อที่จะไปสวรรค์ เปรียบได้กับคนที่คิดว่าจะสั่งสมความดี ตามความประพฤติของตัวเอง อยู่ในบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด เหมือนทรัพย์สินอันมีค่าที่มีอยู่ในใจว่าตนสร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการกระทำดีได้มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งเยอะ ยิ่งมีความภูมิใจมากว่าหลังความตาย จะได้เกาะความดี ความชอบธรรม ที่สะสมไว้นี้ด้วยตนเองนั้น ผ่านเกณฑ์ของพระเจ้า ที่จะไปอยู่ในสวรรค์ได้ และจิตใต้สำนึกข้างใน ก็ยังบอกว่ามันยังไม่ได้ มันยังไม่ดีพอ ต้องทำอีก ก็พยายามต่อไป ชดใช้เวรกรรมต่อไป และแม้กระทั่งถึงจะตาย ถ้าไม่รู้ความจริง เรื่องนี้ ก็จะบอกต่อไปว่า …

“ไม่เป็นไร ตายไป แล้วเกิดมาใหม่ในชาติหน้า ก็จะสั่งสมความดีนี้ต่อไป จะพยายามต่อไป”

ซึ่งความจริงพระเยซูบอกแล้ว มันไม่มี กฎของพระเจ้า ธรรมชาติของโลกวิญญาณ ความเป็นจริง ก็คือมนุษย์ตายจากร่างกายนี้ เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้น เข้าสู่พิพากษาทันทีว่าจะอยู่ในสวรรค์ หรืออยู่ในที่ไม่ใช่สวรรค์

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างเรื่องคนรวย ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ยิ่งร่ำรวยเงินทองมากเท่าไร? ยิ่งสละละทิ้งเงินทองได้ยากมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น พระเยซูบอก ยิ่งพึ่งตัวเอง รักษาบัญญัติ และสั่งสมความดี คือทรัพย์สมบัติในใจที่หวงแหนได้มากเท่าไร? ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะหันมาพึ่งพระเยซูเท่านั้นแหละ เอเมนไหม?

นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็น พระเยซูจึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเอาอูฐลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าที่คนรวย ที่วางใจในทรัพย์สมบัติทั้ง 2 อย่างที่ว่ามา  จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พระเยซูกำลังบอกว่าข่าวประเสริฐเป็นประตูแคบ สำหรับอิสราเอล อิสราเอลเป็นชนชาติที่คงแก่การเคร่งครัดในศาสนา การเคร่งครัดในบทบัญญัติของพระเจ้ามากๆ มากกว่าชนชาติอื่นๆ ตั้งแต่ดึกดำบรรพมาแล้ว  พระเยซูกำลังเปรียบเทียบให้เขาว่าถ้าเขาพึ่งพาในกฎบัญญัติอย่างนั้น เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม เพราะตอนนี้พระเจ้ามาช่วยแล้ว มาเกิดเป็นมนุษย์ตามพระสัญญาของพระองค์แล้ว ถ้าเขาพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในความดี ในการเคร่งศาสนาด้วยตนเอง แบบฟาริสี แบบธรรมาจารย์ของยิวแล้ว ไม่มีทางรอดเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งใครก็ตามที่ได้ฟังแบบนี้ ก็คงคิดว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครรอดเลยสักคน โดยเฉพาะชาวยิว อย่างที่ตะกี้นี้บอกสาวกทั้งหลายเป็นชาวยิวเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า …

“แล้วใครจะได้ไปสวรรค์”

เข้าทางพระเยซูเลย พระเยซูรู้แล้ว ชี้ให้เห็นถึงว่าสุดท้ายนั้น ฟังหมดแล้ว รู้ใช่ไหม? มันแรงเลย รักษาความดีไป ไม่มีทางเลย ขนาดฟาริสีเขารักษาความดีขนาดนั้น ยังไปไม่รอดเลย แล้วใครรอดล่ะ ถามกันใหญ่เลย พระเยซูบอกมาถูกทิศแล้ว พระองค์กำลังจะประกาศให้รู้ว่าทางรอดอยู่ที่ไหน? ก็คือประเด็นที่ 3 ที่ 4 นั่นเอง สาวกทั้งหลายก็คิด พระเยซูก็เอาล่ะ ได้ทีแล้ว เขาเรียกอะไรล่ะ ยิงโกลลูกสุดท้ายเลย ยิงเผาขน ได้ประตูแน่นอน เลี้ยงมาตั้งนาน คราวนี้ยิงประตูเลย เข้าไคร์ซแม๊ก

ข้อ 26 “เหล่าสาวกยิ่งประหลาดใจ จึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้น จะมีใครรอดได้เล่าลูกพี่ หรือเจ้านาย หรือว่าอาจารย์เยซู พูดอย่างนี้ ก็ไม่มีใครรอดดเลยสิ เป็นไปไม่ได้หรอก”

เข้าทางไหม? เข้าทาง ก็คือในที่สุด ยอมรับแล้วว่าทำไม่ได้ใช่ไหม? ใครจะรอดได้

“รอด” หมายถึงรอดตาย ตายทางวิญญาณ คือรอดตายจากวิญญาณ ก็ได้มารับชีวิตนิรันดร์ ตามที่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ถาม

“ทำอย่างไรถึงได้รับชีวิตนิรันดร์ ทำอะไรเพิ่มถึงได้รับชีวิตนิรันดร์”

ตอนนี้เหล่าสาวกคงคิด “ทำขนาดนั้น ยังไม่ได้เลย พวกเราเป็นไปไม่ได้เลย แล้วมีใครไปทำได้ขนาดนั้นเล่า มองหญิง แค่กำหนัด ก็ทำชั่วแล้ว แค่คิดเคืองคนนี้ ก็เท่ากับไปฆ่าเขาตายแล้ว แล้วใครจะไปทำได้ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์เล่า จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ลบเลือนหายไป ต้องทำให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ แล้วใครจะทำได้เล่า ก็ไม่มีใครได้รับความรอดนี้สักคนหนึ่งเลยใช่ไหม?”

ถามในใจ ไม่กล้าถาม พูดกันเอง “ทำอย่างนี้ ใครจะรอดได้  ใครจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้ไปอยู่สวรรค์หลังความตาย”

หมดอาลัยตายอยากเลย ไม่ใช่เหล่าสาวกพูดอย่างเดียว ผู้คนทั้งหมดที่ได้ฟัง ต้องกระซิบกัน สมมติมีคนฟังอยู่ ห้าพันคน หันหน้าเข้าหากัน

“นี่ขนาดฟาริสีทำขนาดนี้ ยังไม่ได้ แล้วเราจะไปเหลืออะไร?” เข้าทาง

ข้อที่ 27 “พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา”

เติมเอาเอง ทอดพระเนตรด้วยอะไร? ด้วยความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน ปรารถนาดี อยากจะให้เขาได้รับความรอด อยากให้เขามาอยู่ในสวรรค์ อยากให้เขามาพบกับพระบิดา เหมือนกับเราทั้งหลายใช่หรือไม่? นี่ลองคิดในใจ อย่างที่บอก

“พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขา แล้วตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ (ที่พยายามพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะไปอยูในสวรรคสถาน หลังความตายนั้น มันยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนพยายามเอาอูฐลอดรูเข็ม เหมือนชาวยิวส่วนใหญ่ที่เคร่งศาสนา เคร่งการประพฤติ เคร่งการทำดี บูชาความดีของตัวเอง ความชอบธรรมของตนเอง เป็นเหมือนทรัพย์สินที่อยู่ในใจ ที่มีค่าของตนเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับเขาที่จะไปอยู่ในสวรรคสถาน ประโยคสุดท้าย

“แต่สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ครับ”

สำหรับพระเจ้า ทำไม่ได้ปุ๊บ มาถึงประเด็นที่ 3 มาเชื่อในเรา และสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้ แปลว่าทุกสิ่งเป็นอัศจรรย์ได้ อัศจรรย์คืออะไร? ก็คือบังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์เลย นี่คืออัศจรรย์มันเกิดได้ นี่คือประเด็นที่ 3 และ 4 ต่อกันเลย ชัดเจนเลย

ประเด็นที่ 4 ก็คือมาเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าอัศจรรย์มันสามารถเกิดขึ้นได้ อัศจรรย์ คือวิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ได้รับเป็นชีวิตนิรันดร์ จากตาย เกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์ บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความชั่วใดๆ ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของท่านที่จะอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์นั่นแหละ

ตรงนี้เหมือนพระเยซูมองดูด้วยความรัก ความเมตตา กำลังบอกกับคนที่ร่ำรวยมาก ตั้งแต่สมัยโน้น 2,000 ปีแล้ว มาเรื่อยๆ จนถึงสมัยนี้ พูดผ่านทางเรื่องนี้มาเลย กำลังบอกกับคนรวยมาก ทั้งสองแบบ รวยทั้งสองอย่าง ทั้งวัตถุและวิญญาณ ในยุคปัจจุบันจนถึงสิ้นยุคว่าที่พวกเราทั้งหลาย เห็นในสังคมโลกว่าคนโน้นคนนี้เป็นคนดีมาก ช่วยเหลือมนุษย์ มีเมตตา เสียสละ ให้ทรัพย์สินเงินทอง จำนวนมากมาย เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน ที่ยากจน อาจจะเป็นพันๆ ล้าน  เป็นหมื่นๆ ล้าน ที่เราเคยได้ยิน แต่พระเยซูกำลังบอกว่าให้เขากำจัดออกไปให้หมด ไม่ใช่ทรัพย์สินตรงนั้นอย่างเดียว แต่ในใจของเขา ให้ขายมันออกไปซะ คือสละมันออกไป พระองค์กำลังหมายถึงเอาคุณค่าที่คุณให้กับมันในสิ่งที่คุณมีอยู่ ที่คุณทำได้นั้น ให้มันไม่มีคุณค่าซะ เอาคุณค่าที่คนร่ำรวยได้ให้กับทรัพย์สมบัตินั้น ออกไปจากใจของเขา คุณค่าที่เขาจะพึ่งการกระทำดีของเขา พึ่งพาทรัพย์สมบัติของเขา เพื่อจะแลกเอาสวรรค์นั้น ให้เอาออกไปจากใจของเขา  และมาหาพระเยซู อย่าพึ่งพากำลังทรัพย์ อย่าพึ่งพาคลังทรัพย์ในใจ ทั้งสองอย่าง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจ คือวัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง คลังทรัพย์ที่อยู่ในใจอันที่สอง ก็คือการกระทำดี สั่งสมความดี สั่งสมบุญบารมีไว้เยอะแยะ เอาตรงนั้นออกไปซะ อันแรกยังเอาออกไปง่ายหน่อย คือไม่วางใจในทรัพย์สินเงินทอง แต่ไม่วางใจในการกระทำดีมากๆ มันยากมาก และทรัพย์สิน 2 อย่างนี้ คือความดี ความชอบธรรม ที่ตนเองทำ บวกกับทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ ซึ่งไม่มีวันที่จะทำดีได้ จนครบถ้วนบริบูรณ์ แบบเดียวกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน  ไม่มีทางท่านจะไม่บกพร่องเลย มันต้องบกพร่องแน่ๆ ในใจของท่าน ในจิตใต้สำนึกก็รู้อยู่ว่าท่านไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียวเลยใช่ไหม? ในใจท่านจะเป็นตัวบอกเอง

จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งก็ไม่เคยทำบาปเลยใช่ไหม? จิตใจท่านก็จะเป็นตัวฟ้องเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นกฎของสวรรค์เป็นอย่างนี้ การเข้าอยู่ในสวรรค์หลังความตาย ถูกพิพากษาเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ ท่านต้องตายด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีที่ติแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีชั่วเลยในวิญญาณของท่าน ทำได้อย่างไร? เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้วางไว้ เป็นกฎของมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระองค์ทรงสร้าง ก็อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ทั้งหมด กฎของพระเจ้า ก็คือกฎเหล่านี้ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้ว่าท่านจะทำดีหรือทำชั่ว ไม่ว่าคุณจะกระทำดีหรือกระทำชั่วขนาดไหน ท่านปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ท่านก็มีโอกาสตกจากต้นไม้ ถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาได้เช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกันกับกฎโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน ถ้าท่านยังพึ่งพาตนเองอยู่ เพื่อที่จะไปสวรรค์ ท่านกำลังทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ ท่านจะซื้อสวรรค์ด้วยทรัพย์สินของท่าน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ท่านจะเอาความดีงามของท่าน เพื่อที่จะเกาะความดีงามนั้น เพื่อไปสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  สิ่งเดียวที่ท่านจะกระทำได้ ก็คือวางใจในพระเจ้า เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

2  โครินธ์  4:16 “ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน”

 

ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป

คำว่า “ท้อถอย” ตรงนี้ ภาษาอังกฤษบางฉบับ ใช้คำว่า “Lose Heart” ที่แปลเป็นภาษาพูด เรามักใช้คำว่า “ถอดใจ” .. ก็คือท้อแท้ หมดหวัง นั่นเอง

 

เราไม่ท้อแท้หรือเราไม่ถอดใจ จากเหตุอะไร? จากเหตุที่ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นๆ อยู่ จับต้องมองเห็นได้ คำว่า “กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป” ตรงนี้ หมายรวมถึงทั้งการเสื่อมโทรมของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ที่เป็นไปตามอายุขัย ความเจ็บไข้ได้ป่วย โรคร้าย โรคเรื้อรังต่างๆ เครียด จนนอนไม่หลับ รวมถึงความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบ ที่เราได้รับอยู่  ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลจากกายภายนอกของเราที่อ่อนแอ กำลังทรุดโทรมไปทั้งสิ้น

 

แต่ถึงแม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้  เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ  เพราะอะไร? เพราะตรงนี้ บอกต่อว่าถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรา (ซึ่งก็คือวิญญาณและจิตใจที่เหมือนพระเยซู ที่ได้รับจากการบังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์) กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ด้วยพลังฤทธิ์เดช  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา

 

ข้างนอก คือสิ่งที่มองเห็นอยู่ อาจดูเสื่อมโทรมลงทุกวัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้ ไม่ถอดใจ ไม่สิ้นหวัง เพราะเรารู้ว่าตัวตนที่แท้จริงภายในของเรา กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์

 

ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1351

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” ตอน 3

“ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในการบรรยายของซีรี่ย์เดิมนี้อยู่ คือเรื่อง … “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” วันนี้เป็นตอนที่ 3 ใช้ชื่อตอนว่า … “ไม่มีมนุษย์คนใด ดีพร้อม” พระเยซูกำลังประกาศว่าไม่มีมนุษย์คนใดดีพร้อม “ดีพร้อม” อะไร? ดีพร้อมที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ก็หมายถึงโลกวิญญาณถูกไหม? อาจจะดีพร้อมในสายตาของมนุษย์ ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้รับการชื่นชมยินดี ได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดี แต่พระเยซูกำลังบอกว่าไม่มีใครเลย ที่ดีพร้อม ที่จะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่มีใครดีพอ พระองค์ทรงพูดคำนี้อยู่บ่อยๆ บอกกับฟาริสีที่อ้างตนเองว่าบริสุทธิ์ ที่อ้างตนเองว่ากระทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด ที่พระเจ้าให้อย่างที่สุดแล้ว  ที่ได้รับความชื่นชมยินดี ได้รับการยกย่องจากบรรดาปากของมนุษย์ก็ตาม พระเยซูบอกว่า …

“คุณทำอย่างไร?” หรือ “ท่านทำอย่างไร?  ก็ไม่มีวันดีพร้อม ท่านต้องดีพร้อม สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า” ในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ท้ายๆ ท่านต้องทำดีถึงขนาดไหน?  ต้องดีพร้อม ดีพร้อมแปลว่าอะไร?  ไม่ใช่ดีธรรมดา ดีพร้อม หมายถึงเพอร์เฟค เพอร์เฟค หมายถึงสมบูรณ์แบบ ท่านต้องดีสมบูรณ์แบบพระเจ้า ดีพร้อมแบบพระเจ้า ถึงจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เพราะฉะนั้น กำลังบอกว่าไม่มีใครดีพร้อมได้อย่างนั้นเลย โดยการกระทำด้วยตนเอง

อย่างที่ผมประกาศและพูดอยู่เสมอ ตามพระคัมภีร์ว่าทั้งหมดที่พระเยซูมาประกาศ ตระเวนสั่งสอนผู้คน มันเกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เป็นเรื่องราวของโลกวิญญาณ เกี่ยวกับสวรรค์ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  ก็ประกาศถึงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น  และตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์ใหม่จนถึงพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่ปฐมกาล ทั้งเล่มเป็นผู้เดียวกันที่เป็นผู้ประกาศเรื่องนี้ คือเรื่องข่าวดี คือเรื่องสวรรค์ คือเรื่องโลกวิญญาณ  คือเรื่องไม่มีมนุษย์ผู้ใด ดีพร้อม ก็คือพระเยซูเป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ก็เพราะว่าพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้ามาในโลกนี้ แล้วประกาศอธิบาย เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่พูดถึงเรื่องการกระทำ บนโลกใบนี้เลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น พระองค์มีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มองเห็นและมองไม่เห็น  พระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์  พระองค์เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เรามองเห็นอยู่นี้  พระองค์ทรงรู้มากกว่าใครเพื่อนเลย มันเกิดอะไรขึ้นในสวรรค์ มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณ  และมนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร?  ทำอย่างไรถึงจะรอด จากความทุกข์ยากลำบาก พินาศนิรันดร์นั้นได้ จึงมีผู้เดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่มาอธิบาย ชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ชี้ให้เห็นถึงสวรรค์ ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของมนุษย์  ที่ดำรงชีวิตอยู่ และสวรรค์ที่พระองค์กำลังอธิบายให้ฟัง เราเรียนรู้ไปแล้ว ก็คือโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น  แล้วพระองค์ก็มาบอกเลยว่าโลกวิญญาณนี้มันเป็นอย่างไร? หน้าตามันเป็นอย่างไร?  มันเป็นอย่างนี้นะ  และจะเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณหรืออยู่ในสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า แบบมีความสุขได้อย่างไร? รอดจากความทุกข์นิรันดร์ รอดจากความพินาศนิรันดร์นี้ ได้อย่างไร?

นี่เป็นคำประกาศ เพราะบางทีเราพอบอกคำสอน ก็จะไปนึกถึงทำอย่างนี้ได้ดี ทำอย่างนี้ได้ชั่ว อย่าทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ เป็นกฎศีลธรรม แต่พระเยซูไม่ได้มาสอนตรงนั้น พระเยซูมาชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างไร? มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าให้เราทำอะไร? แต่ให้เรารู้ว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร?  และพระเยซูมาประกาศแค่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ไม่มีหนีจากนี้ไปเลย รับรองได้  ไม่เชื่อกลับไปอ่านดูก็ได้ อ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านพระคัมภีร์ใหม่ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  มันจะอยู่ใน 4 ประเด็นนี้เท่านั้นในเรื่องเกี่ยวกับว่าสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร?  ที่มนุษย์มองไม่เห็นนั้น 4 ประเด็นนี้มีอะไร? …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป  อยู่ในกฎแห่งการกระทำ อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ อยู่ในตระกูลอาดัม  คือตกลงไปในความบาป ไม่มีพระเจ้า พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตนเอง

(2) เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป เกิดมาก็บาป เกิดมาก็ต้องพึ่งพาตนเอง  เพราะไม่มีพระเจ้า แล้วทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ จึงอ่อนแอ ไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีพร้อมอยู่กับพระเจ้าได้

หนึ่ง มนุษย์อ่อนแอ

สอง เมื่ออ่อนแอแล้วก็ทำให้ดีพร้อมไม่ได้

(3) พระเจ้ามาช่วยแล้ว ไม่ต้องทำ ให้มาพึ่งในพระเจ้า ประกาศว่าตัวพระองค์เอง คือพระเจ้า ผู้ที่สัญญาว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตอนนี้มาแล้ว พระเจ้ามาพูดอย่างนี้

(4) คือให้มาพึ่งพระองค์ และเมื่อพึ่งพระองค์ วางใจในพระองค์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ให้ดีพร้อมเอง  โดยที่ไม่ต้องทำ แค่เชื่อในพระองค์

พูดอยู่แค่นี้เอง  นี่คือ 4 ประเด็นที่พระเยซูประกาศ ชี้ให้มนุษย์ได้เห็น ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  จนกระทั่งปัจจุบันนี้ และจะประกาศไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย สิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือวันที่พระองค์ทรงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

พระเยซูประกาศใน 4 ประเด็นนี้ตลอด ทั้งหมดเลย  คำว่า “ทั้งหมด” แปลว่าทั้งในพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่ประกาศเรื่องนี้  ประกาศอยู่ 4 ประเด็นนี้เท่านั้น  ซึ่งบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไว้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่เราถือกันอยู่ ที่บอกว่ามีเรื่องบันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวิวรณ์

พระเยซูเป็นผู้เดียวเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ ชี้ให้เห็นเรื่องของโลกวิญญาณ แล้วก็ให้บันทึกลง ในพระคัมภีร์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์เป็นผู้พูดนั่นเอง  หรือเป็นผู้เขียนผ่านมนุษย์นั่นเอง

พระคัมภีร์เดิม คือคำพูดของพระเยซู โดยเริ่มต้นพูดปฐมกาล ผ่านทางโมเสส โมเสสเขียนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสวมทับโมเสส และให้โมเสสเขียนว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เกิดการผิดพลาด ตั้งแต่เริ่มปฐมกาล ตกลงไปในความบาปได้อย่างไร?  อยู่ใน 4 ประเด็น มนุษย์เป็นคนบาป  และอย่างไร? ช่วยตัวเองไม่ได้ และในข้อ 3 สัญญาว่าจะมาช่วย ตั้งแต่ปฐมกาล 3:15 เราจะมาเหยียบหัวงูให้แหลก  เราจะมาเกิดในหญิงพรหมจารี  เราจะมาช่วยให้รอด อยู่ 4 ประเด็นนี้  พระองค์ก็พูดในเรื่อง 4 ประเด็นนี้ต่อมา ผ่านทางโมเสส และผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าใช้ได้ ผ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ หรือเป็นปุโรหิต หรือเป็นคนธรรมดาที่เรียกว่าผู้เผยพระวจนะ  อย่างเช่นอิสยาห์ เป็นต้น

เผยพระวจนะ แปลว่าที่ให้พระเจ้า ใช้ปากเขาพูด ก็คือพระเยซูพูดผ่านผู้คน พูดถึงเรื่อง 4 ประเด็นนี้ บอกว่าให้อดทนรอคอย เราจะมา เรามาแล้วจะเป็นอย่างไร?  ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 ที่เรารู้จักกันดี ก็คือประเด็นที่ 4 ที่พระเยซูพูด คือเมื่อวางใจในเราแล้ว เชื่อในตัวเราแล้วว่าเราเป็นพระเจ้า  ที่เราบอกว่าเราจะมา เราเป็นพระมาซีฮาห์ เราเป็นพระคริสต์ที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความบาป พอเชื่อในเราแล้ว จะได้การอัศจรรย์บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์แล้วเป็นอย่างไร?

สดุดี 23:1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

ข้าพเจ้าไม่ขัดสน คือข้าพเจ้าไม่ขาดแคลนในทางวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าเป็นแกะของพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์ใหม่ก็บอกเราแล้วว่าท่านทั้งหลายเป็นแกะของเรา เมื่อเชื่อในเราแล้ว  เป็นแกะอยู่ในคอกเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกจากเราได้อีกแล้ว  จิตใจที่โหยหาความรอด ความดีนั้น  มันถูกทำให้สมบูรณ์แบบ โดยการบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจึงไม่ขัดสนทางวิญญาณอีกต่อไป ท่านไม่ต้องแสวงหาอะไรมาช่วยวิญญาณท่านให้รอดอีกแล้ว ท่านสบายใจ ท่านรู้ว่าท่านรอดแล้ว เพราะท่านดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นแกะของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน

นี่เฉพาะข้อหนึ่งข้อเดียวนะ ไปอ่านดูหมดเลย 6 ข้อ สดุดี บทที่ 22 คือตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขนว่ามันเป็นอย่างไร?  มาไถ่บาปเป็นอย่างไร?  บทที่ 23 คือเมื่อตรึงที่ไม้กางเขน  มีใครเชื่อแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เขาจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดทุกวันคืน ใช่หรือไม่? เอเมนไหม?

กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้เผยพระวจนะเขียน ใครเป็นคนบอกให้เขียน ใครเป็นคนดลใจให้ทำ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ดาวิด เป็นโยเซฟ เป็นใครก็ตาม จนกระทั่งถึงกำหนดเวลาจริงๆ ตามพระคัมภีร์เดิม  พระองค์บอกแล้วว่าพระองค์จะมาช่วย แล้วพอถึงกำหนดเวลา มาจริงๆ พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ตรงตามพระคัมภีร์เลยว่าจะมาเมื่อไร? อย่างไร?  ที่ไหน? ขนาดคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่รู้จักอะไรต่างๆ เหล่านี้ ยังสามารถสืบเสาะหาประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเจอว่าพระเยซูมาที่นี่ ดวงดาว นักปราชญ์ 3 คนที่แสวงหา เดินตามดาวประหลาด ดาวที่บ่งบอกถึงพระเยซูคริสต์จะมา ตามพระคัมภีร์เดิมที่พระเยซูได้บอกเอาไว้นั่นแหละ เขายังเจอเลย พระเยซูคริสต์ก็มาบังเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ พอมาบังเกิดเป็นมนุษย์ คราวนี้ไม่ต้องผ่านคนอื่น พระองค์พูดเอง ถามว่า พระองค์พูด ประกาศเรื่องเกี่ยวกับอะไรอีก ก็พระองค์เป็นผู้เดียวกัน ก็เป็นพระเจ้า เป็นพระเยซู ผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง เพราะฉะนั้น พระองค์ก็พูดอันเดิม ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่า …

(1) มนุษย์เป็นคนบาป อ่อนแอ

(2) ช่วยเหลือตัวเองกระทำดีไปตลอดรอดฝั่งไม่ได้หรอก ดีพร้อมไม่ได้

(3) มาๆ เชื่อในเรา วางใจในพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะรอด

(4) เมื่อวางใจในเราแล้ว พระเจ้าจะทำอะไร? เกิดใหม่เลย ดีพร้อม อัศจรรย์ ใช่หรือไม่?

เพราะฉะนั้น พระเยซูตอนที่มาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงพูด ประกาศ 4 ประเด็นนี้ เท่านั้น มิได้มาสอนเรื่องให้กระทำดี กระทำชั่ว เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม? ถึงไม่สอนตรงนั้น ถึงกำหนดเวลา พระองค์ก็มา เดินอยู่บนโลกใบนี้  สอนด้วยตัวเอง ประกาศด้วยตัวเอง เป็นเวลา 3 ปี

3 ปีเท่านั้นเอง  ประกาศย้ำยืนยันเรื่องเดิม  พระองค์พูดไว้ว่าที่เขาเขียนในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด เกี่ยวกับเรา  ก็คือที่เขาเขียนในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้เกี่ยวกับตัวเรานั้น  มันต้องบังเกิดขึ้นตามนั้น  เพราะเราเป็นผู้ให้เขาเขียนเอง ใช่ไหม?

คราวนี้มาช่วงที่ 3 นี่ 2ช่วงแล้วใช่ไหม? ช่วงพระคัมภีร์เดิม ตอนนี้มาพระคัมภีร์ใหม่ ยังไม่ใหม่จริง คือถึงกำหนดเวลา  พระเยซูมาบังเกิดตามนั้น แล้วก็มาเดิน ประกาศเรื่องนี้อีก  แต่ยังไม่ถึงพระคัมภีร์ใหม่นะ  พระคัมภีร์ใหม่เริ่มต้น เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์ และบอกว่า “สำเร็จแล้ว” อะไรสำเร็จ ก็ 4 ประเด็นนี้  มันสำเร็จแล้ว ที่พูดมาตลอด ในพระคัมภีร์เดิม มันสำเร็จแล้ว  เมื่อพระเยซูคริสต์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ คือการเริ่มต้นศักราชใหม่ ยุคใหม่ พระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่  พันธสัญญาใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่พระเยซูเป็นเบบี้อยู่ในรางหญ้า ซึ่งคนเข้าใจผิด

ทำไมรู้ว่าเข้าใจผิด เพราะพระคัมภีร์เดิมจบที่มาลาคี  และเขียนไว้ในนั้นว่าพันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ไม่ใช่ พระเยซูคริสต์บังเกิดอย่างไร? ก็ยังเป็นพระคัมภีร์เดิมอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไม่มีพระคัมภีร์ที่เขียนถึงพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาใหม่ เริ่มต้นเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ช่วง 33 ปี ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นช่วงปลายยุคพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง  พระองค์ก็มาพูดเหมือนเดิม จนพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี พระองค์ก็พูด 4 ประเด็นนี้ พูดให้ฟาริสีฟัง พูดให้ชาวยิวฟัง พูดให้สาวกคนที่เดินตามฟังว่าพึ่งตัวเองไม่ได้นะ ตัวเองอ่อนแอ จะทำดีต่อไปไหม?  ตายก็ไม่มีทางสำเร็จ ทำไม่ได้หรอก  เราคือพระมาซีฮาห์ที่เราบอกว่าเราจะมาๆ นี่เรามาแล้ว มาเพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เมื่อเจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็จะเข้ามาอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เหมือนกิ่งก้านมาต่อกับลำต้น ถ้าขาดเราเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ เจ้าต้องอยู่ในเราเท่านั้นจึงจะเกิดผล เป็นชีวิตนิรันดร์ แล้วเมื่อเจ้าอยู่ในเราแล้ว มันจะเป็นเช่นไร? ก็คือเราจะสนิทกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เจ้ากับเราจะไม่มีขาดจากกันอีก เจ้ากับเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ใช่หรือไม่? เป๊ะเลยนะ

อ้าว! เสร็จปุ๊บ ครบ 33 ปี พระองค์ก็ถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม  ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว กี่พันปีมาแล้ว ก็บอกมาอย่างนี้  แล้วพระองค์ก็ทำจริงๆ ในที่สุดพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ได้บอกไว้แล้วไงว่าจะสิ้นพระชนม์ บอกมาแล้วไงว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตาย  บอกหมดแล้ว นี่ก็ทำตามนั้นเป๊ะเลย เสร็จแล้วอย่างไรต่อ เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พันธสัญญาใหม่มา  พันธสัญญาใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ ทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่  ตามที่สัญญาไว้ ใครที่เชื่อพระเยซูก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เลย

สำคัญกว่านั้น ก็คือพระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกับเขา  ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเขาจริงๆ หลังวันเพ็นเตคอส ตั้งแต่วันนั้นมา ก็จะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่  เรียกว่าพันธุ์คริสเตียนแท้ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม ให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ และสวรรค์ก็มาอยู่กับเขา เรารู้แล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่  แล้วพระเยซูก็มาสถิตอยู่กับเขา แล้วก็ทำต่อเหมือนเดิม  ทำอะไร?  หัวใจของพระองค์เต็มไปด้วยความรัก ทำเหมือนเดิม คือประกาศ 4 อย่างนี้เหมือนเดิม ประกาศผ่านใคร?

อันดับแรกผ่านทางโมเสส  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม

อันดับที่ 2 ผ่านทางตัวพระองค์เอง เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ พูดเองเลย

อันดับที่ 3 เมื่อเสด็จเข้าไปอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว พูดผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลายรวมทั้งตัวพวกเราด้วยในขณะนี้  พูดผ่านทางผู้เชื่อ ก็คือพูดผ่านทางแรกๆ คือเปโตรและอัครสาวกเริ่มต้น  และต่อไปใครอีกไม่รู้เยอะแยะ และในที่สุด ก็มาถึงเปาโล และใครอีกเยอะแยะ รวมถึงพวกเราทุกท่านที่นั่งอยู่ขณะนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านยินยอม และให้พระเยซูพูด หรือท่านไม่รู้เรื่อง พูดออกมาจากข้างในใจของท่านจริงๆ จากวิญญาณท่านที่รู้เรื่องนี้ และความคิดของท่านที่เชื่อในพระเจ้า ท่านไม่รู้หรอก ท่านกำลังให้พระเยซูพูดออกจากปากของท่าน  เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้น  ใครที่พูดถ้อยคำของพระเจ้า ใน 4 ประเด็นนี้ คนนั้นไม่ได้พูดด้วยตนเอง เขากำลังพูด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เป็นผู้สถิตอยู่ และเป็นผู้ให้คำพูดกับเขา เหมือนที่ก่อนพระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงถามสาวก 12 คนใช่ไหม?

“เขาว่าเราเป็นใคร? คนนั้นก็ว่าอย่างนั้น คนนี้ก็ว่าเราเป็นอันโน้นอันนี้ต่างๆ เป็นผู้เผยพระวจนะ ทำการอัศจรรย์อะไรต่างๆ”

เปโตรบอกว่า “ท่านคือพระคริสต์ ท่านคือพระมาซีฮาห์ ผู้ซึ่งมาช่วยมนุษย์ทั้งหลาย”

พอพูดปั๊บ พระเยซูหันกลับมาบอก “นี่ เปโตร เฉพาะเธอ ที่พูดเมื่อสักครู่นี้  ไม่ได้พูดด้วยตัวเธอเองหรอก  แต่พระวิญญาณเป็นผู้ให้เธอพูด”

เพราะมันตรงข่าวประเสริฐ คนอื่นอาจจะพูดบอกว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ อันนี้ไม่ตรง พระองค์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เรียกว่าพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ในทำนองเดียวกัน ในปัจจุบัน ผู้เชื่อทั้งหลายที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างใน เมื่อท่านพูดอะไรก็ตาม ที่เป็นไปด้วยกันกับความจริงของข่าวประเสริฐนี้  พระเยซู พระวิญญาณของพระองค์เป็นผู้พูดออกมา แต่หลายครั้งเราพูดจากความคิดของเราเอง พูดจากเนื้อหนังของเราเอง  อันนั้นไม่ใช่พระเยซูพูด

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่ามีรถเฉี่ยวมา แล้วท่านบอก … “จงไปตายเสียเถิด” อย่างนี้ไม่ใช่พระเยซูพูดแน่นอน

ถ้าท่านบอกว่า … “ขอพระเจ้าอวยพรให้เธอได้รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฉันอภัยให้เธอ”

อย่างนี้มาจากพระเยซูแน่ หรือท่านบอกใคร? ว่า … “พระเยซู คือพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายเพื่อท่าน”

นี่ใครพูด? พระเยซูแน่นอน  ถ้าไม่ใช่พระเยซู ไม่มีใครพูดแบบนี้แน่นอน เห็นอะไรบางอย่างไหม?  พระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้วตอนนี้  มั่นใจได้เลย  และพระองค์เป็นผู้พูดตรงนั้นแหละ  ตอนที่ท่านอธิษฐานกับพระเจ้า

“ข้าแต่พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์สถาน”

หรือว่า “พ่อจ๋า  ในนามพระเยซู ลูกอธิษฐานขอพระองค์ อันโน้นอันนี้”

ใครพูด พระเยซูพูด  เพราะถ้าท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะบอกว่า “พระบิดา” “พ่อ” “พ่อที่อยู่ในสวรรค์” พ่อไหน? ไม่เห็นอะไรเลย  รูปเคารพก็ไม่เห็น รูปปั้นก็ไม่มี พ่อที่ไหนไม่เห็น แต่ที่ท่านเห็น  เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ  แล้วมันเป็นจริงตามนั้น

นี่พยายามย้ำยืนยันให้ท่านว่าเรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งเล่มของพระคัมภีร์ และผู้ที่ประกาศนั้น  มีเพียงผู้เดียว  คือพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งหมด ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน ไปจนถึงอนาคตจนจบโลกวัตถุ  ตามพระคัมภีร์ที่บอกไว้นั้น คือตั้งแต่ปฐมกาล  ที่พระเจ้าทรงสร้างโลก จวบจนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้าง ที่พระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งตามสัญญา  ทั้งหมดนี้ พระเยซูเท่านั้น เป็นผู้ประกาศ  เป็นผู้พูดเองทั้งสิ้น  ประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม พูดจากปากของพระองค์ ในช่วงที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้  พูดผ่านอัครทูต หรือผู้เชื่อต่างๆ ในพระคัมภีร์ใหม่ ถึงพวกเราทั้งหลายด้วย พระเยซูเป็นผู้พูดเองทั้งหมด

ถามว่าผมอธิบายเรื่องนี้  เพื่ออะไร?  เพื่อจะได้ให้เห็นถึงว่าเมื่อพระเยซูเป็นผู้พูด เป็นผู้ประกาศเพียงผู้เดียว ทั้งเล่มเลย  ถ้อยคำทั้งหมด จึงควรที่จะสอดคล้องกันทั้งหมด  ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมพระคัมภีร์ตอนที่พระองค์ทรงเดินบนโลกใบนี้  รวมทั้งพระคัมภีร์ใหม่ มันควรจะสอดคล้องกันทั้งหมด  ไม่มีอะไรขัดแย้ง เพราะเป็นผู้เดียวกัน เป็นผู้พูด ไม่มีแย้ง ถ้อยคำทั้งหมดจึงวนเวียนอยู่ใน 4 ประเด็นที่ตะกี้นี้บอกมา ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น โลกวิญญาณเท่านั้น  สภาวะของโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งมนุษย์มีส่วนเกี่ยวพันในนั้นมากที่สุด เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นวัตถุนี้ เกี่ยวข้องมากที่สุด

คราวนี้มาพูดถึงตะกี้นี้ที่ผมบอก พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม อันนี้สำคัญ หลายคนไม่เข้าใจ พอผมพูดเรื่องนี้ เขาก็นึกว่าผมละเลยเรื่องศีลธรรม ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม แล้วอย่างนี้จะดีได้อย่างไร?  เขาไม่เข้าใจตรงนี้  จุดประสงค์ของพระเยซู ที่ไม่สอนศีลธรรมคืออะไร? และเมื่อเรารู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร?  เราจะรู้ว่าถ้าทำตามความจริงที่พระเยซูสอนเราเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  เราจะสามารถทำความดี เป็นไปตามศีลธรรมได้มากกว่าที่เราคิดว่าเราจะทำเองด้วยซ้ำไป

ลองมาฟังดู พระเยซูไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำดีหรือชั่ว เพราะเรื่องกระทำดี กระทำชั่วนั้น  ถูกฝังลึก อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอน

การรู้ดีรู้ชั่ว  คือต้นเหตุของความบาป ที่มาจากบรรพบุรุษ  ตามพระคัมภีร์เป๊ะ ใช่หรือไม่?  พระองค์ไม่ต้องมาสอน มันอยู่ในจิตใจ อยู่ในวิญญาณ  อยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอยู่แล้ว แต่ปัญหามันอยู่ที่มันทำไม่ได้ การรู้ดีรู้ชั่ว คือต้นเหตุของความบาปที่มาจากบรรพบุรุษของมนุษย์  ก็คืออาดัมและเอวา

ตอนพระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ คืออาดัมและเอวา ทุกอย่างดีหมดเลย อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์ก็มีกฎเกณฑ์ของสวรรค์ มนุษย์อยู่ในกฎแห่งสวรรค์ของพระเจ้า  ตอนเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  อยู่ในกฎของพระเจ้า  เรียกว่ากฎแห่งความดีงาม  ความดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในกฎนี้ ก็ดีพร้อมทั้งหมด มนุษย์ไม่รู้จักเลย อินโนเซ้นต์ ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ ไม่รู้จักอะไรชั่วอะไรดี เหมือนเด็กไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่อง พระเจ้าบอกดี ก็ว่าดี นี่คือกฎในสวรรค์ที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ ตอนเริ่มต้น  แล้วมนุษย์ทำดีหรือทำชั่ว เขาไม่รู้ เขารู้อย่างเดียวว่าเขาเชื่อในพ่อผู้ให้กำเนิด พ่อบอกดี เขาก็บอกดี  พ่อบอกเลว เขาก็บอกเลว  แต่มีคำไหนไหมที่พระเจ้าบอกเลว ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ทรงบอกว่าดี  จนกระทั่งสร้างถึงมนุษย์ พระองค์ทรงบอกว่าดีเลิศ ประเสริฐศรีเลย

สร้างบ้านให้มนุษย์ คือสร้างโลกใบนี้ สร้างสัตว์ สร้างต้นไม้ใบหญ้า  สร้างธรรมชาติ  พระองค์ทรงบอกทุกครั้งว่าพระองค์สร้างมา มันดี แต่พอสร้างมนุษย์ พระองค์บอกว่าดีเยี่ยมเลย  เพราะว่าเป็นไปตามพระฉายของเรา  สร้างสิ่งอื่น ไม่มีพระฉายเลย  ดีเฉยๆ  แต่สร้างมนุษย์ เป็นพระฉายของเรา  สะท้อนถึงความดีงามของเรา ศักดิ์ศรีของเรา ดีเลิศ มนุษย์ก็มีแค่ดีเลิศ ฉันนะดีเลิศแล้ว  จบ  ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ  นี่เป็นต้นเหตุเลย  นึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ว่าพระเยซูมาชี้ให้เราเห็นอย่างนี้ เราจะได้เห็น เห็นได้อย่างไร?  เราจะรู้เรื่องโลกวิญญาณได้อย่างไร? เราจะรู้เทือกเถาเหล่ากอของเรา ผู้เป็นมนุษย์ได้อย่างไร? ถ้าเผื่อผู้สร้างเรา ผู้ให้กำเนิดเรา  ไม่เล่าให้เราฟัง ถ้าพ่อแม่เรา ที่ให้กำเนิดเรา ไม่เล่าให้เราฟังว่าตอนเด็กๆ เราเกิดเป็นเบบี้เราเป็นอย่างไร? เราจะรู้ไหม? เราไม่มีทางรู้ ในโลกวิญญาณก็เหมือนกัน มนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์เกิดมาเป็นอย่างไร? ผู้ที่ให้กำเนิดมนุษย์ ผู้นั้นที่จะรู้ว่าเธอเกิดมาตอนนั้นเป็นอย่างนี้ๆ  น่ารักอย่างนี้ๆ  ติดเชื้อเข้าไปแล้ว ใครจะเป็นผู้บอกเราได้ ก็มีพระเจ้าเท่านั้น ผู้ให้กำเนิดเรา บอกเรา  เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่เหลือก็ไม่มีใครรู้เรื่อง  เมื่อไม่รู้เรื่อง เขาก็ได้แต่สอน เรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม การทำดีทำชั่ว ก็ว่ากันไป เดี๋ยวท่านก็จะรู้ว่าทำไม ถึงต้องสอนตรงนั้น  สอนเพื่อย้ำยืนยันจากหัวใจที่ถูกเขียน ให้มีกฎของการรักษาความดีความชั่ว แล้วก็เขียนมันออกมา

โอเค กลับมาเมื่อตะกี้นี้  มนุษย์อยู่ในกฎของพระเจ้า ทำอย่างเดียว คือเชื่อในพระเจ้า  เชื่อในพ่อ พ่อบอกให้โดด ก็โดด เหมือนมนุษย์เลี้ยงลูก เอาลูกขวบหนึ่งวางไว้บนโต๊ะสูงๆ  บอก …

“โดดมาเลย”

ลูกโดดไหม? โดด เพราะเขาเชื่อพ่อ  เขาไม่คิดมาก  อันนี้โดดแล้วมันจะตกลงไปไหม? ไม่ เขาเชื่อพ่อ ภาพเป็นอย่างนั้น จนเมื่อบรรพบุรุษ คือลูก คืออาดัมและเอวาหันไปเชื่อมาร ต้องการเทียบเท่าพระเจ้า ต้องการมีปัญญาแบบพระเจ้า  แบบดีงามเหมือนพ่อ นี่ถูกหลอกนะ ถูกหลอกโดยมาร ไปเชื่อมาร เหมือนคนข้างบ้าน หรือคนนอกบ้าน มาตะโกนที่รั้ว พูดอะไรอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ที่พระเจ้าพูด  แล้วเราหลงไปเชื่อเขา

พระเจ้าบอก “อย่าออกไป ยาเสพติดไม่ดี”

นอกรั้วตะโกนมา “มาลองแล้วจะรู้ว่ามันดีขนาดไหน?”

คล้ายๆ อย่างนั้น เมื่อถูกหลอก ก็เลยขัดขืนคำสั่งพระเจ้า เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งสำคัญ ในพระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่าไปกินผลไม้ต้องห้าม ถามว่ามันเป็นผลไม้ไหม? ไม่ใช่หรอก ยกตัวอย่างผลของต้นไม้ต้นนี้ พระเยซูยกตัวอย่างอยู่เรื่อย ผลดี ก็ได้ดี ผลเลว ก็ได้เลว ไปกินผลเลว ผลไม้ต้องห้าม ต้นนี้มันต้นเลว เพราะทำให้เกิดสำนึกของการพึ่งพาตนเองในการจะทำให้ดีพร้อม ตามที่พระเจ้าบอกว่าดีพร้อม แต่ไม่เชื่อพระเจ้าไง  อยากจะให้มันดีมากกว่านั้น  เรียกกันว่าเกิดการสำนึกถึงการทำดีและทำชั่ว  คือต้องการกระทำดี และละชั่วให้มากที่สุด ด้วยตัวฉันเอง พึ่งตนเอง ไม่ใช่คิดขึ้นมาเอง เชื่อใคร?  เชื่อต้นเหตุของความบาปนี้

ต้นเหตุของความบาปนี้ คือมาร ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างขึ้น มา อยู่ดีๆ มันก็คิด เขาเรียกว่าเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาว่า …

“ฉันจะอยู่ด้วยตัวฉันเอง  ไม่มีพระเจ้าก็ได้ ฉันทำด้วยตัวฉันเอง”

นั่นแหละ คือต้นเหตุของความบาป ก็คือการพึ่งพาตนเอง ปฏิเสธพระเจ้า ไม่เอาพระเจ้า ฉันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตของพระเจ้ามาอยู่ในชีวิตของฉัน ฉันอยู่ด้วยตัวของฉันเองได้  ฉันทำด้วยตัวฉันเองได้  แล้วมันก็ตกกระป๋องไป เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายถูกสร้างโดยพระเจ้า  ต้องมีชีวิตของพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่กับพระเจ้าได้ ถ้าไม่มีชีวิตของพระเจ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้  ก็คือตกสวรรค์นั่นเอง  ตกสวรรค์ก็ตกหมดเลย  ทุกอย่างร่วงหมดเลย  มันร่วงแล้วทำอย่างไร? มันก็มาหลอกอาดัมให้ทำเหมือนอย่างมันนั่นแหละ  เหมือนกันไม่มีผิด  ก็คืออยากจะพึ่งตนเอง  ถามว่าถูกหลอก โดยความคิด ที่หลอกนั้นนะ คิดดีนะ อาดัมและเอวาไม่ได้โกรธเกลียดพระเจ้า  อาดัมและเอวาไม่ได้มีความหวังว่าจะใหญ่กว่าพระเจ้า อาดัมและเอวามีความคิดที่ดีนะ ถูกหลอกโดยใช้ความคิดที่ดีของอาดัมนั่นแหละว่า …

“ฉันจะได้ทำได้ดีมากกว่านั้นอีก  ฉันจะได้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ฉันจะได้ทำแต่ความดี ละความชั่ว พระเจ้าจะได้ภูมิใจในตัวฉัน  ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระเจ้าบอกยอดเยี่ยม ได้ช่วยตัวเองบ้าง”

จุดนี้ต่างหากที่มันเริ่มต้นกฎของมนุษยชาติใหม่ แทนที่จะอยู่ในกฎความดีงามของพระเจ้า กลายเป็นมาอยู่ภายใต้กฎของการทำดีทำชั่ว พึ่งพาตนเอง พึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าบาป

“บาป” คือการพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้า แผนงานของพระเจ้า ที่วางไว้  บาป แปลตรงตัวว่าการผิดเป้าหมาย จากที่พระเจ้าวางไว้  พระเจ้าวางไว้ว่าเจ้าดี โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพึ่งพาตนเอง มาพึ่งในเราอย่างเดียว รับความดีความงามจากเราอย่างเดียว จากสิริอย่างเดียวเลย นี่เจ้าพลาดไปแล้ว  เจ้าอยากจะไปอยู่ด้วยตนเอง อยากจะใช้กำลังของตนเอง  อยากจะทำด้วยตนเอง  เป็นความเย่อหยิ่งที่อยากจะอยู่ด้วยตนเอง  จะโชว์ให้ดูว่าเราทำได้  ก็เลยอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง เรียกว่ากฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีและทำชั่ว ซึ่งภาษามนุษย์เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม ที่ตะกี้นี้บอก  พระเยซูจึงไม่ต้องมาสอนกฎแห่งศีลธรรม เพราะว่ามนุษย์ทุกคนรู้ เขียนอยู่ในใจ

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มนุษย์ทุกคน จะถูกส่งทอดกฎนี้มา  เกิดมาก็อยู่ในกฎของอาดัม คือการพึ่งพาตนเอง  การพึ่งพา การกระทำดีด้วยตนเอง การตั้งใจทำดี ละชั่ว  ดูดีไปหมดเลย  เห็นไหม? ทุกคนก็บอก สังคมในโลกใบนี้เขาบอกว่าดีมาก  ทำดีละชั่ว เป็นสิ่งที่ดี ก็จะไม่ดีได้อย่างไร? เพราะในใจถูกเขียนอยู่ในกฎนี้แล้ว  แต่ปัญหามันมีอยู่ว่าเมื่ออยู่ในกฎนี้แล้ว ทำดีละชั่ว มันก็ไม่สามารถจะทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะเดี๋ยวมันก็ทำชั่วไง มันก็ลบไม่ออก พอเข้าใจไหม?  ปัญหามันอยู่ที่ว่ามันทำไม่ได้ ทำดีแล้วละชั่วด้วยตนเอง มันทำไม่ได้ เพราะว่ามันไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่สามารถเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้าที่สร้างเรามาได้  ขาดพระเจ้าแล้วเราจะรู้สึก เพราะขาดพระเจ้าแล้ว เราไม่สามารถที่จะทำตัวเองให้ดีพร้อม  ไม่ทำชั่วเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่คิดชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว  มันเป็นไปไม่ได้

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศให้มนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ และที่ผมถ่ายทอดให้ท่านฟัง ก็อย่าเข้าใจผิดว่าอย่างนี้ไม่สำคัญ  นี่คือความจริง  หนีไม่พ้น มนุษย์ทุกคนตั้งใจทำความดีอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่ตั้งใจทำความดีหรอก  ถ้าเป็นมนุษย์ เพราะว่ามันถูกเขียนอยู่ในวิญญาณ จิตใจของเขาแล้ว ตั้งแต่เกิด  ถ่ายทอดมาตั้งแต่อาดัมแล้วว่าเขาตั้งใจกระทำความดี ละความชั่ว อันนี้อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ต้องสอนเลย  แต่ปัญหา คือมันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อมาหาพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์จะเป็นกำลังให้เขาสามารถกระทำทางฝ่ายร่างกายนี้ได้ดีมากขึ้นกว่าเก่า  แต่ทางวิญญาณนั้น สามารถให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ดีเลย การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็สามารถทำดีได้มากขึ้น  ตามที่หลักการของความเชื่อทางศาสนาต่างๆ และมนุษย์ทุกคนต้องการให้ทุกคนทำความดี พระเยซูคริสต์มาเสริมให้ทำความดีได้มากขึ้น เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์ทรงเข้ามาสถิตอยู่ในคนๆ นั้นแล้ว พระองค์จะเป็นกำลัง เป็นความรัก ให้คนๆ นั้นเข้าใจ และสามารถกระทำดีได้มากขึ้น  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ตรงนี้ คือหัวใจ มากกว่าที่จะมาสอนว่าตรงนี้ไม่ดีนะ อย่าทำ ตรงนั้นไม่ดีนะ อย่าทำ มันรู้แล้ว แต่เขากำลังถามว่าเขาไม่อยากทำ แล้วทำอย่างไร เขาถึงจะเลิกได้ นี่สำคัญกว่า เขาอ่อนแอ เขาทำไม่ได้ เขาต้องทำอย่างไร? ตรงนี้มากกว่าใช่ไหม ที่ควรมาประกาศให้ได้รู้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์มาสอน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าโดยพระคุณของพระเจ้า ที่ให้เราได้บังเกิดใหม่ พระคุณของพระเจ้าจะสอนเรา ฝึกเราให้ทำสิ่งที่ดี ปฏิเสธการทำชั่ว นี่คือพระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้อย่างนี้ พระเยซูจึงบอกไว้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าจุดเริ่มต้นของบาป ก็คือมนุษย์ย้ายออกจากกฎของความดีพร้อม แห่งการดีพร้อม กฎแห่งการเชื่อในพระเจ้านั้น ดีพร้อม มาอยู่ในกฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ต้องทำดี และละชั่วด้วยตนเอง เรารู้ตรงนี้แล้วใช่ไหม?  มาอยู่ภายใต้กฎแห่งการพึ่งตนเอง  หรือเรียกว่ากฎแห่งบาปและความตาย ที่มีบัญญัติไว้ว่าทำชั่ว แม้เพียงนิดเดียว  ก็อยู่ในสวรรค์ไม่ได้  ก็คือมันไม่ดีพร้อม

ดีพร้อม คือไม่มีชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งผ่านมาทางพระเยซูคริสต์หรือผ่านมาทางพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตนิรันดร์เท่านั้น เมื่อไม่มีชีวิตนิรันดร์ ไม่มีชีวิตแห่งความดีพร้อม มันก็ไม่สามารถทำได้

และกฎแห่งความบาปและความตายนี้ ก็ถูกฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วันนั้น คือวันที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป  วันที่อาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา ได้ตัดสินใจ ประกาศให้สวรรค์ได้รับรู้ว่า …

“ผมจะออกจากบ้านแล้วนะ  ออกจากสวรรค์แล้ว ผมจะดูแลชีวิตตัวเอง ผมจะทำให้ดีที่สุด ให้พ่อได้ภูมิใจ  ผมจะไปแล้ว”

คือไปเชื่อฟังคนนอกบ้าน  คือเชื่อมาร  ตกลงไปในการล่อลวง ออกจากบ้านไป  เข้าไปอยู่ในกฎแห่งศีลธรรม กฎแห่งความดีงาม  กฎแห่งการพึ่งพาตนเอง  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มันก็ตกทอดมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกหลาน เป็นเผ่าพันธุ์ของอาดัมนั่นเอง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็จะพูดต่อๆ กันมา จนถึงพวกเราทุกวันนี้ถ้ายังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะบอกว่าเมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที

“หมดเวรหมดกรรม” แปลว่าเมื่อไรจะหยุดทำชั่วเสียทีหนึ่ง

เพราะเรารู้ว่าเราทำชั่ว เราทำดีแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวก็ชั่วอีกแล้ว เดี๋ยวก็คิดชั่ว มันไม่มีหยุดเลย มันก็พยายามทำดีมากขึ้น เขาก็สอนมาอย่างนี้ ตั้งแต่เล็กๆ ยิ่งคนไทย เห็นชัดเลย จริงๆ ทั้งโลกสอนอย่างนี้หมดแหละ แต่ถ้าคนไทยเราคุ้นๆ ก็คือตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่หรือคนอื่นเขาสอน

“อย่าโกหกนะ ถ้าโกหก ตกนรก”

“ให้เชื่อฟังพ่อแม่นะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ตกนรก”

พูดกันง่ายๆ เลย แล้วเราก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วคนพูดก็เชื่อกันง่ายๆ  แล้วก็พูดกันว่าเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง กรรมที่ชั่ว ที่ทำ ทำให้เราตกนรก มันเขียนอยู่ในใจแล้ว

“อย่าขโมยของเขานะ เดี๋ยวตกนรก”

“ใครอกตัญญูต่อพ่อแม่ ตกนรก”

นี่คือเหตุผลที่ผมบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาประกาศเรื่องศีลธรรม แล้วไม่ได้มาประกาศเรื่องนี้จริงๆ ถ้าท่านสังเกตดู ใน 4 ประเด็นนี้ ไม่มีเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมว่าให้ทำอย่างนั้น อย่าทำชั่วอย่างนี้  ไม่มีเลย  ท่านไปหาดูก็ได้  เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความประพฤติ แต่มาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์ใน 4 ประเด็น เพราะมนุษย์ทุกคนรู้แก่ใจแล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว มันเขียนอยู่ในใจแล้ว  รู้ว่าประพฤติอย่างไรถึงได้ไปสวรรค์ รู้นะ หรือว่าไม่รู้

“อย่าอกตัญญูต่อพ่อแม่นะ ไม่ได้ไปสวรรค์” … รู้ไหม? รู้

“อย่าคิดลามกนะ”

รู้ไหม? รู้ มีใครสอน ไม่ต้องมี ผู้ที่สอน ก็เป็นเพียงแต่ผู้ที่ย้ำยืนยัน บอกอีกทีหนึ่งในใจของคุณ เป็นอย่างนี้ พอพูดปั๊บ เชื่อปั้บเลย  ทันทีเลย  รู้ไหมว่าโกหกไม่ดี รู้ ครูบาอาจารย์และพ่อแม่สอนไหมว่าอย่าโกหก รู้ เชื่อไหม? เชื่อ รู้ว่าไม่ดีไหม? รู้ รู้ง่ายมาก  ไม่ต้องเรียนรู้เยอะเลย  และรู้สิ่งที่ไม่ดีต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตนเองใช่ไหม? ใช่ ก็คือเวรกรรมนั่นเอง  หว่านอะไร ได้สิ่งนั้นรู้ว่าไม่ได้ไปสวรรค์แน่ รู้ไหม? รู้ รู้หมด

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ คือแล้วจะทำอย่างไรล่ะ  มันจึงจะหลุดจากพวกนี้ได้ หลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ วงจรวัฏสงสารของการทำดีทำชั่วได้อย่างไร? บางคนไม่รู้ก็บอกว่าต้องสะสมความดีเยอะๆ มันจะไปลบเอาความชั่วออก แล้วลบได้ไหม? ไม่ได้ ลบไม่ได้ทำอย่างไร? ตายไปทำอย่างไร? ตายไปก็ลงนรก ไม่เป็นไร? ลงนรกก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวไปสะสมความดีในชาติหน้า เกิดใหม่เป็นตัวอะไรก็ว่ากันไป นี่คือหาเหตุผลไม่เจอ

พระเยซูจึงมาประกาศ ฟังให้ดีๆ นะ เมื่อมนุษย์ในใจตัวเองรู้ว่ามันทำไม่ได้ ละชั่วไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์แน่นอน  ต้องได้รับเวรกรรม ต้องได้รับการตัดสินลงโทษ  หลังความตายแน่ๆ พระเยซูจึงมาชี้ว่าเมื่อทำไม่ได้ ก็อย่าพยายามทำด้วยตนเองสิ  อย่าเย่อหยิ่ง อวดตัว ฟังในใจตัวเอง แล้วอย่าหลอกตัวเองต่อไป อย่าพยายามอยู่ในกฎนี้ต่อไป  จงยอมจำนนว่าตัวเองทำไม่ได้ แล้วเมื่อ ยอมจำนนเมื่อไร? ก็คือถ่อมใจทันที หันกลับมาหาคนที่เขาบอกว่าเขาทำได้  ก็คือเรา  “เรา” ในที่นี้ คือพระเยซูผู้ประกาศ  จงหันมาถ่อมใจ พึ่งพระองค์ พึ่งพระเยซู พระมาซีฮาห์ ที่พระองค์ทรงบอก ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วว่า …

“เราจะมาช่วย เราจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเป็นอย่างนี้ เรารักเจ้ามากเลย เจ้ากระทำดีไป เจ้าไม่รอดหรอก แต่เรามาช่วยเจ้า อย่าพึ่งความดีของตัวเอง  แต่มาพึ่งเรา เราจะมาช่วย  และตอนนี้เรามาแล้ว  เราคือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ พึ่งพระองค์ ยอมรับความจริงว่าตัวเองอ่อนแอ อยู่ในบาป อยู่ในกฎแห่งกรรม อยู่ในกฎแห่งการทำดีทำชั่วและทำเองไม่ได้ จำเป็นต้องพึ่งในการกระทำของพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้า ผู้กำลังมาช่วยเหลือเรา ให้เราเชื่อในพระองค์ และกลับมาอยู่ในกฎของพระองค์เหมือนเดิม  ตั้งแต่สมัยอาดัม ตอนที่ถูกสร้างใหม่ๆ  ก็คือกฎแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกดี ก็ดี พระเจ้าบอกเอเมน ก็คือเอเมน พระเจ้าบอกดีพร้อม ก็คือดีพร้อม  ก็คือมาเชื่อในตัวเรา  เชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะดีพร้อม ก็บอกว่า …

“เอเมน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันดีพร้อม”

แล้วมันดีจริงๆ วิญญาณก็ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ กลับมาที่เดิม กลับมาเหมือนตอนที่อาดัมหล่นออกนอกสวรรค์ ตอนนี้กลับมาอยู่ในสวรรค์ได้  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเรานั่นเอง พระองค์ก็จะมาประกาศอย่างนี้ ทั้งหมด ทั้งเล่มเลย อย่างที่ผมบอกว่าตั้งใจฟังสิ่งเหล่านี้ อาจจะไม่เหมือนข้อความอะไรที่ท่านเคยได้ฟังมาก่อน ที่เน้นเกี่ยวกับเรื่องการทำดีทำชั่ว  ทำตามศีลธรรม ซึ่งตามที่ผมบอก ท่านตั้งใจฟังด้วยจิตใจที่เป็นกลางจริงๆ  ท่านจะรู้ว่ามันเป็นจริงตามที่พระเยซูอธิบายให้ท่านฟัง เหมือนที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้จริงๆ  อย่าเพิ่งไปคิดว่าผมกำลังพูดว่าศีลธรรมนั้นไม่สำคัญ ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่ามันสำคัญอย่างไร? และมันสำคัญมากด้วย

พระเยซูบอกพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างกฎที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎแห่งศีลธรรมที่ท่านกำลังดำเนินอยู่ ไม่ได้มาลบล้างกฎบัญญัติที่ท่านกำลังตั้งใจทำดี มันดีอยู่แล้ว พระเยซูบอกเราไม่ได้มาลบ มันถูกต้องอยู่แล้ว  แต่เรามา เพื่อจะมาช่วย เพราะท่านทำไม่ได้  อย่าฝืนเย่อหยิ่งว่าทำได้ เพราะเราเป็นคนสร้างเจ้าเอง เรารู้ว่าเจ้าทำไม่ได้หรอก จะทำให้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ เท่ากับพระเจ้า เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มาเชื่อในเรา และเกิดอัศจรรย์ใหม่ เชื่อในเรา แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า

พระเยซูบอกว่าสำหรับมนุษย์การพึ่งพาตนเอง ในการกระทำดีนั้น เป็นไปไม่ได้  แต่สำหรับพระเจ้า ทำให้ท่านดีพร้อม ได้ครับ  โดยการให้ท่านบังเกิดใหม่  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก่อนจะบังเกิดใหม่ ต้องทำอะไรก่อน ให้ตัวเก่าของท่านที่ทำไม่ได้ ที่อยู่ในกฎเดิม มันตายก่อน วิธีตายทางวิญญาณ ก็คือไปตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ให้พระเยซูคริสต์แบกบาป เป็นต้นเหตุของการตาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะได้เข้าไปตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เมื่อตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระองค์ พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านก็สามารถเป็นขึ้นมาใหม่ ในวิญญาณท่าน ใหม่เอี่ยม มาอยู่ในกฎของสวรรค์ มาอยู่ในสวรรค์ ในพระเจ้า ในพระคริสต์ได้นั่นเอง  และเมื่อมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว  ท่านก็อยู่ในความเชื่อ ในพระเจ้า เป็นกฎของวิญญาณแห่งชีวิต  ชีวิตของพระเจ้า ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน  ในวิญญาณของท่าน

และด้วยวิญญาณที่เต็มไปด้วยชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้านี้ ท่านก็จะมีกำลังในการปฏิเสธการทำชั่วได้มากขึ้น กว่าเดิมด้วยซ้ำ ย้ำอีกที มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ  อาจจะไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ในระบบของความบาปและเคยชินกับการทำสิ่งเหล่านั้นมาตลอดชีวิตของท่าน อาจจะเผลอไปทำบ้างอะไรต่างๆ เหล่านั้นบ้าง แต่วิญญาณข้างใน  ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้วนั้น  จะมีพลังจากข้างใน  พระเยซูที่สถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน ในจิตใจของท่าน  จะเป็นผู้นำท่าน จูงท่าน สอนท่าน กำลังนำท่าน ให้กำลังกับท่าน เรียนรู้จักในการปฏิเสธการทำชั่ว  ท่านก็จะปฏิเสธได้มากขึ้น  เข้าใจมากขึ้น  ตามกำลังที่พระเยซูคริสต์ประทานให้

นี่ไง พระเยซูคริสต์ไม่ได้บอกว่าเราได้มาล้มเลิกกฎของศีลธรรม  เรามาทำให้มันสมบูรณ์ขึ้น สมบูรณ์ทั้งวิญญาณเลย ก่อน และสมบูรณ์ทั้งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย  สมบูรณ์ขึ้น แปลว่าดีขึ้น พูดง่ายๆ พูดกันตามภาษามนุษย์บนโลกใบนี้ คือท่านสามารถทำดีได้มากขึ้น  ละชั่วได้มากขึ้นนั่นเอง โดยวิธีการของพระเจ้า ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่าน  เห็นไหมครับมันต่างกันอย่างไร?  มันต่างกันตรงที่ แรกๆ ที่ท่านไม่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านตั้งใจทำความดี เพื่อจะไปสวรรค์ แต่พอพระเยซูคริสต์มาช่วยท่านแล้ว และท่านเชื่อพระเยซู ท่านบังเกิดใหม่ เป็นความดีเลย ไปสวรรค์เลย พอไปสวรรค์เสร็จ แล้วพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  พระองค์ให้กำลังกับท่าน ทำความดี ให้สมกับที่อยู่ในสวรรค์ ท่านคิดว่าอันไหนมันทำให้เราประพฤติดีได้มากกว่ากัน และจริงใจมากกว่ากัน

การทำดี เพื่ออยากไปสวรรค์ กับการอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว รู้ว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว และมีกำลังจากในสวรรค์เรียบร้อย เป็นธรรมชาติ  เป็นการกระทำดีแล้ว  ทำดีตามธรรมชาติของวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว  โดยมีพระเยซูคริสต์นำ อันไหนจะโผล่ออกมาเป็นความประพฤติที่ดีได้มากกว่ากันและจริงใจกว่ากัน

อันแรก ท่านอาจจะตั้งใจทำความดี ไปสวรรค์ แต่ท่านละชั่วไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านอาจจะบริจาคสิ่งของ แต่บริจาคสิ่งของต่างๆ เหล่านั้นไป เพื่อหวังที่จะได้ผลตอบแทน มันก็ไม่ได้เป็นการให้ โดยจริงใจ  เพราะท่านเหมือนลงทุน ให้เพราะท่านลงทุนว่าอยากจะได้สิ่งของกลับคืน สิ่งที่ท่านอยากได้ คือท่านอยากได้บุญที่จะไปสวรรค์ เห็นหรือยังครับ?

แต่ถ้าท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่ พอเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านไปให้เหมือนกัน ทำบุญเหมือนกัน  แต่ท่านทำบุญ เพราะว่าท่านมีความเมตตา อยากให้คนเขาพ้นทุกข์ อยากให้คนเขามีสุข  ท่านไม่ได้อยากจะไปสวรรค์สักหน่อย  เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

ถามว่าอันไหนจริงใจต่อกัน ท่านพอมองเห็นภาพไหม?  ท่านช่วยเหลือคนอื่นเขา เพื่อที่จะไปสวรรค์ กับช่วยเหลือคนอื่นเขา เพราะว่าเห็นเขามีทุกข์ เราอยากจะให้พ้นทุกข์ อันไหนที่มีเมตตาจริงๆ มากกว่ากัน

นี่แหละ คือสิ่งที่อยากให้ท่านทั้งหลายลองไปคิด ใคร่ครวญในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดูว่าใช่หรือไม่ ที่ท่านคิดว่าพระเยซูกำลังสอนให้เรา หรือผมกำลังสอนให้เรา ไม่ให้เห็นความสำคัญของเรื่องศีลธรรมการทำดี ทำชั่ว หรือพระเยซู หรือผมกำลังสอน กำลังชี้ให้เห็นถึงทำอย่างไรถึงกระทำดีได้บริสุทธิ์ใจจริงๆ  และทำดีได้อย่างไรมากขึ้นกว่าเดิม ทำชั่วอย่างไรน้อยลงทุกวัน เห็นไหมครับ?  ใครมีหู จงฟังเถิด  ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิด นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประกาศให้กับเราทั้งหลาย

ไม่ใช่ความดีที่เราเคยทำ เราจึงมาได้รับความรอด พระเมตตา พระเยซูคริสต์มาตาย ที่ไม้กางเขน ไม่ใช่ เพราะเราทำดี แต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรักเรา เมตตาต่อเรา  ผู้ซึ่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  และพอมาเชื่อพระองค์แล้ว เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกของพระองค์ เป็นคริสเตียนแล้ว เราก็ไม่ต้อง กระทำดี เพื่อรักษาการอยู่ในสวรรค์ เพราะมันได้อยู่อยู่แล้ว แต่เรากระทำดี เพราะเราบังเกิดใหม่  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติของความดีงาม พร้อมอยู่ในวิญญาณของเรา อยู่ในความคิดจิตใจของเรา เราเป็นคนดี โดยกำเนิด  และมีพี่เลี้ยงผู้ดีงาม  ก็คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา คอยสอนเรา คอยบอกเราว่าควรทำอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น นี่แหละ คือความดีงาม  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรารับรู้แล้วว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีแต่ความจริง  ยังมีอยู่อีกมากมาย

 

โรม 8:10-11 “10 ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย  เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว) 11 และถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระองค์ผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้   ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู)  ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอกที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

 

นั่นหมายถึงขณะที่อวัยวะทุกชิ้นในร่างกายนี้ตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท หัวใจ ตา หู จมูก  ลิ้น  สมองทุกเซลล์กำลังเสื่อมโทรมเสื่อมสลาย  เสียหาย  เจ็บป่วยเป็นทุกข์ไปสู่ความตาย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังให้พลังชีวิตแบบพระคริสต์  ปกคลุมควบคุมอยู่เหนืออวัยวะต่างๆ ที่กำลังเสื่อมสลายนั้นตลอดเวลา พระวิญญาณช่วยเราให้สามารถชื่นชมยินดีทรหดอดทน เต็มไปด้วยสันติสุขท่ามกลางความทุกข์เหล่านี้ได้ จนสุดสิ้นกระบวนการเสื่อมสลายในที่สุด (หมดลมหายใจ)  พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำวิญญาณเราไปสวมร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสิริสง่าราศี เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู  ตอนเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าร่างกายสวรรค์

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1350

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กุมภาพันธ์  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 7

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 2 เราจบบทที่ 1 เมื่อเดือนที่แล้ว ในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 พูดถึงความลี้ลับที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียม แผนการ ความรอดให้มนุษยชาติ โดยเริ่มต้นจากชาวยิว คนอิสราเอลก่อน เรียกชาวยิวมา เพื่อเป็นคนรักษากฎระเบียบที่พระเจ้าให้ไว้ เป็นแบบอย่างถึงความชอบธรรม ซึ่งผ่านมาทางอับราฮัม จริงๆ พระเจ้าก็เตรียมแผนไว้ แล้วก็เลือกอิสราเอลมา แต่ไม่ได้หมายความว่าอิสราเอลถูกเลือกมา แล้วเขาก็ไม่ต้องมาเปิดใจเชื่อพระเยซูคริสต์อีก ในวันที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือยังคงต้องทำเหมือนพวกเราไม่มีผิดเลย พวกเราซึ่งเรียกว่าเป็นคนต่างชาติ  เราต้องมาเชื่อพระเจ้า โดยการเปิดใจต้อนรับพระองค์ อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเอาวิญญาณของเราเข้าไป ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์

และในบทที่ 1 ก็พูดถึงฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ แผนการไถ่ ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันนั้นที่พระเยซูทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเยซูก็ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

การนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เล็งถึงเสร็จงาน ไม่ต้องทำแล้ว จบแล้ว นั่งรออย่างเดียว รอเวลาที่พระเจ้าได้กำหนดว่ามนุษยชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ เราก็ไม่รู้ว่าพระองค์เลือกสรรอย่างไร? และกี่คน?  เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อครบจำนวน คนสุดท้ายที่พระเจ้าเตรียมไว้

สมมติว่า A-Z คนชื่อ Z เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูก็เสด็จกลับมารับพวกเราผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์ และในวันนั้น บอกว่าฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลกนี้ก็จะหายไป ในพระคัมภีร์เดิมเขาใช้คำว่า “ม้วนหายไป” เหมือนเราม้วนเสื่อ

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  เกิดความเสียหาย แล้วมันก็เสียหายมาเรื่อยๆ ซึ่งมนุษย์คิดว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คือมันเสียไปแล้ว แค่รอเวลาเท่านั้นเองที่พระเจ้าทรงสัญญา ที่ผู้เชื่อจะได้ไปอยู่ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ แล้วพวกเราทุกคน ผู้เชื่อ หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง อันนี้แล้วแต่ว่าใครไปก่อนไปหลัง บางคนจากโลกนี้ไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา หรือลูกหลานเหลนโหลน แต่พระสัญญาของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่วิญญาณของผู้เชื่อออกจากร่างปุ๊บ เขาก็อยู่ที่เดิม เปลี่ยนมิติจากที่ต้องใช้ร่างกายนี้ ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  ไม่ต้องใช้แล้ว คือวิญญาณก็ไปที่เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปลี่ยนมิติ เท่านั้นเอง นั่นคือความหวังใจที่พวกเราผู้เชื่อ สามารถมีกำลังในการฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคที่เราเจออยู่บนโลกใบนี้ เพราะว่าโลกนี้เสียหายไปแล้ว ความทุกข์ยากลำบากมันเข้ามา อย่างที่บอกพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราจะเจอกับความทุกข์ยากลำบาก อันแรกเลย ทุกข์ยากลำบาก ในด้านของวิญญาณ  ก็คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือจากวิญญาณเดิมที่เราอยู่พวกเดียวกันกับธรรมชาติเดิม ซึ่งเป็นของอาดัม หรือธรรมชาติบาป คือพวกเดียวกัน พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรากลายเป็นคนละพวกแล้ว พระเจ้าก็ย้ายเราจากที่เดิม คือสถานที่ที่เป็นความบาป และความตาย ย้ายเรามาอยู่ที่ที่เป็นชีวิต ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เราจะมีชีวิตนิรันดร์”

ชีวิตนิรันดร์เป็นคุณภาพชีวิตแบบพระเจ้าเลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เรามีแล้ว ได้รับแล้วในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งพอบอกคำว่า “วิญญาณ” ปุ๊บ เราก็ต้องใช้ความเชื่อเอา เพราะเรามองไม่เห็น สัมผัสจับต้องไม่ได้ รู้สึกไม่ได้ คือแบบ …

“อยากจะรู้สึก พระองค์เจ้าข้า ทำให้รู้สึกได้ไหม?”

พระเจ้าบอกไม่มี ถ้าเราพึ่งความรู้สึก เราก็จะโดนหลอก พอวันนี้อารมณ์ดี พระเจ้าอยู่ด้วยตลอดเวลา อยู่ใกล้มากเลย พอพรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี เมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมา หงุดหงิด พระเจ้าหายไปไหน? แต่ว่าความรู้สึกของพวกเรา ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณ ในชีวิตของเรา ไม่สามารถเปลี่ยนได้เลย เพราะว่าความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกว่าทันทีที่มนุษย์คนหนึ่ง คนใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ วิญญาณเราจะถูกนำไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ คือวิญญาณเก่าเราตายเลย วิญญาณใหม่ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่ มาจากฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นฤทธิ์อำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่ทำให้ผู้เชื่อสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าได้

พอบังเกิดใหม่เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นพวกเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูตอนที่พระองค์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่าท่านทั้งหลายจะประสบความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด เพราะว่าท่านชนะโลกนี้แล้ว  ความทุกข์ยากที่เราเจอในโลกใบนี้ มันก็จะมีอยู่ 2 แบบ …

แบบหนึ่ง คือความทุกข์ยากในฝ่ายวิญญาณ คือทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเจอความทุกข์ยากเลย คือจะมีการต่อต้านในวิญญาณ คำว่า “ต่อต้านในวิญญาณ” เรามองไม่เห็นนะ แต่ในวิญญาณเรารู้เลย เรากับฝั่งที่อยู่บนโลกใบนี้  เราอยู่คนละพวก พอเราอยู่คนละพวกปุ๊บ เราจะไม่สามารถอยากจะไปทำเหมือนเดิมอีกต่อไป

หลายคนเข้าใจว่าถ้าสมมติว่าเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่สอนให้คริสเตียนพยายามทำดี เท่ากับเราส่งเสริมให้คริสเตียนทำชั่วใช่ไหม? หรือว่าเท่ากับเราปล่อยปละละเลยว่า …

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มาเชื่อพระเจ้าทำผิด ก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา วิญญาณเรารอดแล้ว”

อันนั้นจริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกจริงๆ วิญญาณเราเป็น แต่ว่าในด้านของวัตถุ เราก็ยังมีกฎของโลกนี้อยู่ ซึ่งพวกเรา ผู้เชื่ออยู่ในสภาวะที่เป็น 2 กฎด้วยกัน …

กฎหนึ่ง คือกฎของวิญญาณ ซึ่ง ณ เวลานี้ วิญญาณพวกเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณของพวกเราไม่ต้องถูกพิพากษาหลังความตายอีกแล้ว เราไม่ต้องไปนั่งกลัวว่าเกิดวันนี้ลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเรายังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ให้รับการพิพากษาไหม? ถ้าเราถูกหลอก เราก็จะคิดอย่างนี้ เพราะว่าก่อนที่เราจากไป เรายังทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่เลย สงสัยเราไม่รอด อันนั้นพระเจ้าบอกว่าอย่าโดนหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ มันจะไม่มีผลกับวิญญาณของเรา เมื่อวิญญาณของเราเชื่อวางใจในพระเจ้า คือรอดแล้ว รอดเลย ที่เราคุยกัน รอดแล้วรอดเลย

จะเปรียบเทียบง่ายๆ เลย คนที่มีครอบครัว จะชัดเจนมากๆ ในเรื่องนี้ สมมติเรามีลูก เราเป็นพ่อแม่ พอเราคลอดลูกออกมา คงไม่มีลูกคนไหน? หรือบ้านไหน? ที่ทำดี 100% ไม่เคยทำผิด ไม่เคยดื้อ ไม่เคยกบฏกับเรา หรือไม่เคยเถียงเรา พอลูกเราโตหน่อย เขามีความรู้สึกว่าเขามีความคิดของตัวเอง พอเราพูดอย่าง เขาก็จะพยายามเถียง เราเป็นรุ่นเก่า ไม่ต้องมาสอนฉัน ฉันรุ่นใหม่ ฉันรู้อะไร ไปหาในอินเตอร์เน็ต หาในอะไรเยอะแยะมากมาย ความรู้ท่วมหัว อะไรแบบนี้ แต่ไม่ว่าลูกเราจะดื้อขนาดไหน? หรือออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นลูกของเรา มันเป็นไปไม่ได้ คือโดยเชื้อสาย โดยชาติกำเนิด เขาคลอดออกมาในครอบครัวของเรา มี DNA ของคุณพ่อคุณแม่ 100% เลย คือเป็นลูกเราเลย ต่อให้ลูกของเราจะดื้อ จะทำผิด จะอะไรก็ไม่สามารถทำให้สถานะเป็นลูกเปลี่ยนไปเลย เราอาจจะรู้สึก …

“ทำไมลูกเราเป็นอย่างนี้”

ถามว่าเกลียดเขาไหม? ไม่เกลียดนะ เราก็ลุ้น พอเรามาเป็นลูกพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อลูกเรา มีหลายครอบครัวที่พ่อแม่มาเชื่อพระเจ้า ลูกยังไม่เชื่อ  เราบังคับเขามาเชื่อพระเจ้าไม่ได้ เราทำอยู่อย่างเดียว คืออธิษฐานเผื่อเขา เราอยากให้เขาได้รับความรอด  เหมือนกับที่เราได้รับ  เราก็อธิษฐานเผื่อเขา หรือบางครอบครัว สามียังไม่เชื่อพระเจ้า พ่อแม่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อเขา

พอเรานึกภาพลูกของเรา เกิดลูกเราไม่ยอมเชื่อพระเจ้า เราทำอย่างไร? ไม่เชื่อพระเจ้าไม่พอ ไปเกเรข้างนอก เราพูดว่า “ตัดหางปล่อยวัด” เราอาจจะพูดไปอย่างนั้นแหละ มันตัดไม่ได้หรอก ยังไง ก็ลูกเรา พอเขามีปัญหาปุ๊บ พ่อแม่ก็จะวิ่งกุลีกุจอ ตาลีตาเหลือกเลย รีบไปช่วยเขา

นี่คือภาพแค่เฉพาะมนุษย์ ที่พระเยซูยกตัวอย่าง แม้แต่มนุษย์ที่เป็นคนบาป ยังเรียนรู้ที่จะรักลูกของตัวเอง เมื่อลูกขอขนมปัง คงไม่เอาก้อนหินให้ เพราะลูกคนนี้ดื้อ พูดไม่รู้เรื่อง สอนก็ไม่จำ ไม่ต้องกินขนมปัง เอาก้อนหินไปเคี้ยวให้ฟันหักแล้วกัน ไม่มีใครทำอย่างนั้น ก็คือต่อให้เป็นอย่างไร? พอลูกเราหิวโชกกลับมา เราก็ต้องรีบกุลีกุจอหาของให้กิน

นี่คือภาพปกติเลย ของมนุษย์ทั่วไป  ที่พระเจ้าให้เราเห็น แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างพวกเรา แล้วพระเจ้าจะไม่ห่วงใย และรักเรามากกว่านั้นหรือ?

เพราะฉะนั้น วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าหาวิธีทำทันทีเลย ถ้าเราอ่านปฐมกาล เราจะเห็นว่าพระเจ้าไม่รีรอ ไม่ชักช้าเลย หาวิธีแก้ไขทันทีว่าตอนนี้ลูกเราตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมอยู่ในการดูแลของเรา  ไม่ยอมเชื่อฟังเรา อยากจะไปใช้ชีวิตของตัวเอง อยากจะใช้ความดีงามของตัวเอง  พยายามสะสมความดีงามด้วยกำลังของตัวเอง  พระเจ้าก็ต้องปล่อย คือพระเจ้าไม่ประสงค์

หลายครั้งเราใช้คำว่า “พระเจ้าอนุญาต” แล้วเราก็จะใช้คำถามว่าทำไม พระเจ้าถึงอนุญาตให้เหตุการณ์ร้ายอย่างนี้  เกิดขึ้นกับ … อาจจะเป็นตัวเรา ครอบครัวของเรา หรืออะไร? เราอาจจะถามอย่างนี้  แต่พระเจ้าไม่เคยบีบบังคับเรา เพราะว่าพระเจ้าให้อิสระเสรีภาพให้กับมนุษย์ ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่เป็นลูกเท่านั้น ที่ตัดสินใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาก็เป็นคนที่พระเจ้าสร้างมา และพระเจ้ารักเขามาก  ที่พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์แทนมนุษยชาติ บนไม้กางเขน  คือไม่ใช่มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราผู้เชื่อเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติทั้งโลกใบนี้เลย คือพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบ ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออก วิ่งลงวิ่งขึ้น มาทำแล้วทำอีก ไม่ต้อง เกิดเป็นมนุษย์อีก มาตายอีก  เป็นขึ้นมาใหม่อีก ไม่ต้อง คือทำเที่ยวเดียว จบ ครบถ้วนสมบูรณ์

แปลว่าความรอด มันเกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ความรอดนี้ คือทำสำเร็จแล้ว การไถ่มนุษยชาติบนโลกใบนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว แปลว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับสิทธิ์ในเรื่องนี้เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานเผื่อให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขาได้รับความรอด  เพราะว่าตามบริบทของถ้อยคำของพระเจ้า เขาได้รับความรอดแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้ความจริงว่าเขาได้แล้วไง เขาได้ของขวัญแล้ว ของขวัญผูกโบว์ไว้เรียบร้อยแล้ว มีชื่อเขาด้วย  เขาแค่ไม่รู้ความจริงว่าเขาสามารถเดินเข้ามารับของขวัญนี้ได้ มีสิทธิ์ที่จะรับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริสเตียน ถึงออกไปประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือออกไปบอกให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ให้เขารู้ว่า …

“พระเจ้าทำให้เธอเสร็จแล้วนะ เธอมีสิทธิ์ที่จะเข้ามารับเหมือนฉันเลย แล้วพระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าอนุญาตให้เธอตัดสินใจ”

เหมือนตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าก็ไม่ได้บีบคอเรา ให้มาเปิดใจต้อนรับ แต่เป็นช่วงเวลาที่เราฟังเรื่องของพระเจ้า ฟังแล้วก็สะสมๆ จนวันหนึ่ง ข้างในใจ เมล็ดมัสตาร์ดมันปังขึ้นมา เป็นระเบิดปรมาณู ทำให้เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือวางชีวิตของเรา  บอกกับพระเจ้าว่าไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งพาตัวเอง เราขอพึ่งพาพระเจ้าดีกว่า นั่นแหละ วันนั้น ทันที เกิดขบวนการการบังเกิดใหม่ แบบอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่

มนุษย์พยายามอยากให้พระเจ้าทำอัศจรรย์ พระเจ้าบอกไม่ต้องทำหรอก  เพราะอัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่พระเจ้าทำให้มนุษย์คนหนึ่งบังเกิดใหม่ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ด้วยกำลังของตัวเอง หรือด้วยความสามารถของตัวเอง หรือการทำดีด้วยตัวเอง ไม่มีเลย อย่างที่บอก พระเยซูมาประกาศว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก ทำดีให้ตาย ก็ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ เพราะว่ามาตรฐานของพระเจ้า คือ 100%

นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาบอกเราตลอดเวลา พระเยซูไม่ได้มาสอนว่าเราต้องทำอะไร? พระเยซูมาแค่ประกาศข่าวดี ข่าวดี คือฉันมาแล้ว ฉันคือผู้นั้น คือพระผู้ช่วยให้รอด  คือคนที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่โน้น สมัยปฐมกาล ที่มนุษย์คนแรกล้มลงในความบาป แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก แล้วเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

นี่แหละ คือการประกาศข่าวดี ตั้งแต่วันนั้นว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเรา มาชดใช้หนี้บาปเวรกรรมให้กับมนุษยชาติ แล้วบัดนี้ พระเยซูก็ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ฉะนั้น ข่าวดีตรงนี้แหละ คือการประกาศออกไป และหน้าที่ของพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ เราก็แค่บอกความจริง บอกข่าวดีว่าพระเยซูทำอะไรให้มนุษยชาติ พอเราบอกเสร็จ จบเลยนะ พี่น้องไม่ต้องไปพยายามบีบคอให้คนที่ฟังเรา มาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าจะทำงาน และเมื่อคนๆ นั้นเขาติดตาม เขาไม่ละทิ้ง เขาฟังมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เมล็ดนั้น มันเกิดออกมาเป็นผล นี่คือขบวนการของพระเจ้าที่ทำในชีวิตของเรา

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์ทำตรงนี้เสร็จ วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูก็เตรียมของขวัญให้กับมนุษยชาติ 3 อย่างด้วยกัน  …

อย่างแรก คือการอภัยบาป การยกโทษความผิดบาปให้กับมนุษยชาติ  เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ตามที่กฎของพระเจ้าบอกอาดัม เอวาว่าผลไม้นี้อย่ากินนะ ขืนกินวันใด เจ้าจะต้องตาย คำว่า “ตาย” ที่พระเจ้าบอก ก็คือตายฝ่ายวิญญาณ  ต่อด้วยตายฝ่ายร่างกายด้วย จากก่อนหน้านั้น มนุษย์ไม่ตาย มนุษย์มีวิญญาณนิรันดร์ อาดัม เอวามีวิญญาณเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย  แต่ว่าอาดัมกับเอวาไปเชื่อฟังการหลอกลวงว่า …

“เธอสามารถทำดี เธอสามารถที่จะรู้จักความดีความชั่ว”

ซึ่งพระเจ้าบอก … “เธอไม่ต้องรู้หรอกความชั่ว เธอแค่รู้ความดี ก็พอ เพราะว่าฉันสร้างทุกอย่าง ฉันบอกว่าดี แล้วเธอดี เธอครบถ้วน เธอสมบูรณ์  เธอไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เธอแค่เดินไป เดินมา โฉบไปโฉบมา ดูสิ่งที่พ่อสร้างให้เธอ แล้วก็ไปดูแล มีความสุข” อย่างนี้

แต่เพราะอาดัมไปคิดว่าอยากจะทำดี เหมือนกับลูกบางคน อยากจะทำดีให้พ่อแม่เห็นว่า …

“ฉันทำได้นะ”

และการทำตรงนี้ อาจจะไปทำสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง หรือบางคนอาจจะคิดว่า …

“ฉันจะต้องหาเงินเยอะๆ มาให้พ่อให้แม่ชื่นใจ”

การหาเงินตรงนี้ อาจจะหาแบบไปทำผิดกฎหมาย ลักษณะเดียวกันที่มนุษย์คู่แรก ที่เขาเชื่อมารหลอก เพราะมารหลอกว่า …

“ไม่จริงหรอก ถ้าเธอกินผลไม้นี้ เธอจะเหมือนพระเจ้า เธอจะรู้จักความดีความชั่ว”

“ถ้ารู้จักนะ เราจะได้ทำดี ทำดีได้เพิ่มขึ้น เพื่อจะให้พระเจ้าชื่นใจ”

นี่คือความรู้สึก แต่ปรากฏว่าพระเจ้าบอก … “ฉันบอกเธอว่าดี ฉันสร้างเธอดีแล้ว เธอไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย ให้มันดีกว่านั้น”

พอมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็เท่ากับกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ที่พระเจ้าพูด ไม่จริง พระเจ้าบอกดี ฉันยังรู้สึกไม่ดีเลย ฉันอยากทำดีด้วยกำลังของฉันเอง”

ก็เลยล้มลงในความบาป พอมนุษย์ตัดสินใจอย่างนี้ ถามว่าพระเจ้าอนุญาตไหม? ก็ต้องอนุญาต เพราะพระเจ้าให้สิทธิ์ไง ให้สิทธิ์มนุษย์ในการตัดสินใจ ก็ต้องบอกว่าพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าประสงค์ไหม? อยากให้มนุษย์ล้มลงในความบาปไหม? ไม่อยาก แน่นอน พระเจ้าอยากให้มนุษย์อยู่ดีมีสุข ได้เชยชมสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง มีความสุข แฮปปี้  แต่มนุษย์เลือกทางของเขาเองเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราเหมือนเดิมเลยนะ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนทุกวันนี้ เราตัดสินใจในแต่ละวันว่าเราจะเลือก ในการทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะทำตามการล่อลวงของระบบของโลกนี้ หรือโปรแกรมเก่าที่เราเคยทำอยู่ แล้วมันชิน  แล้วก็จะหลอกเรา ดังนั้น มันมีการเลือก เราอยู่ตรงกลาง ถ้าเราสะสมถ้อยคำของพระเจ้า  ที่บอกว่าเราเป็นใครตอนนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราชอบธรรม เราเป็นคนดีนะ ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก พระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในตัวเรา  เป็นความรัก และเราก็เป็นเลย พอเป็นปุ๊บ เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นความรัก เราก็จะค่อยๆ พัฒนาฝึกฝน ให้ความรักที่อยู่ในเราออกไป ให้คนอื่นได้สัมผัส

ฉะนั้นในโลกวิญญาณ อย่างที่เราบอก ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เรารักกันในวิญญาณ ผู้เชื่อทุกคนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในคริสตจักรอภิสุทธิสถานที่เรานั่งอยู่ด้วยกันว่าเรารักพี่น้องนะ  นั่นคือที่ตาเรามองเห็น เป็นเรื่องของสภาพร่างกาย แต่ในเรื่องของวิญญาณ เรารักซึ่งกันและกันทันทีเลย เป็นการสำแดงออก ที่พระเจ้าบอกเราเป็นความรัก เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ปุ๊บ เรากับพี่น้องคนอื่นๆ ทั่วโลกใบนี้ ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาก็มีพระเจ้าทั้งสามพระภาคอยู่ในตัวเขาเหมือนเราเช่นเดียวกัน ก็คือพระเจ้าว่า …

“ท่านทั้งหลายจงรักซึ่งกันและกัน แล้วโลกนี้จะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”

การรักซึ่งกันและกันในวิญญาณ เราไม่ต้องพยายามทำ แต่มันออกมาเองโดยอัตโนมัติ ในโลกวิญญาณ เรารักกันเลย

บทพิสูจน์ พี่น้องเคยเดินทางไปไหนมาไหน? สมมติเรานั่งรถ แล้วเราเห็นรถคันหน้ามีรูปปลา เวลาเป็นคริสเตียน เขาชอบแปะรูปปลา หรือเป็นคริสเตียน รถเขาก็จะแขวนไม้กางเขน  พอเราเห็นปุ๊บ ดีใจ เหมือนได้เจอญาติ ถามว่ารู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่พอเห็น นั่นข้างหน้าคริสเตียนๆ นั่นแหละ คือในวิญญาณเรารักกัน แล้วเราก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าเราไปตื่นเต้นอะไรกับคนที่เราไม่เคยรู้จัก อยู่ดีๆ  แค่เห็นรถข้างหลังเขามีรูปปลา เราดีใจซะขนาดนั้น ก็คือในวิญญาณเรา เป็นความรัก รักซึ่งกันและกัน มันออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องไปฝืน หรือเวลาเราไปต่างจังหวัด หรือไปต่างประเทศ เจอใคร แล้วบอกว่าเป็นคริสเตียนปุ๊บ ดีใจ ยังกับเจอญาติ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ข้างในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้น พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเป็นความรัก แล้วเราก็รักซึ่งกันและกันในวิญญาณ

เอเฟซัส 2:1 “และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว ในวิญญาณจากการล่วงละเมิดและการบาป  ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า    จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

 

“และท่านทั้งหลายได้ตายแล้ว” นี่อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงธรรมชาติเดิมของผู้เชื่อ ก่อนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาได้ตายแล้ว คือวิญญาณเขาตาย

“การล่วงละเมิดและการบาป”  คำว่า “บาป” หมายถึงการทำอะไรก็ตาม   ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าได้ตั้งไว้สำหรับมนุษยชาติ เป้าหมายที่พระเจ้าสร้างมนุษย์คู่แรกมา เพื่อให้เขาอยู่กับพระองค์ นี่คือเป้าหมายหลัก อยู่กับพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ พระเจ้าว่าอย่างไร? ว่าตามพระองค์ พระเจ้าบอกว่าเขาดี  เราก็บอกว่าเอเมน เหมือนทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็เอเมน  เราเป็นความรัก เราก็เอเมน ตอนนี้วิญญาณเราดี … ดีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราก็เอเมน นั่นคือจุดประสงค์และเป้าหมายแรกที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา ฉะนั้น พอมนุษย์ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า  พระเจ้าบอกเขาดีแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม อาดัมกับเอวา ก็สำแดงออกมา คือไปหยิบผลไม้มากิน เป็นการบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ที่พระองค์บอกว่าลูกดีแล้ว ลูกยังรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ลูกอยากจะทำดีให้เพิ่มขึ้น เพื่อที่จะทำให้พระองค์ชื่นใจ”

เราเคยคิดถึงจุดนี้ไหมว่าธรรมชาติข้างในมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากทำบาป แต่ว่าจะถูกหลอก หลอกล่อ หลอกลวง ฉะนั้น คำว่า “บาป” ไม่ใช่เป็นการทำอะไรที่ไม่ดี แต่คำว่าบาป ที่พระเจ้าบอกตรงนี้  ก็คือการพยายามทำความดี หรือพึ่งพาการกระทำความดี พึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์ หรือเพื่อที่จะได้มาอยู่กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่า …

“ทำอย่างไรก็ไม่ได้”

พยายามเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พยายามนะ คือความตั้งใจ ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ ถามว่าดีไหม? ในโลกมนุษย์นี้ดีนะ พระเจ้าบอกว่ากฎของมนุษย์ก็มี กฎของวิญญาณก็มี กฎของมนุษย์ ถ้าเราทำสิ่งทั้งหมดดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดี เมื่อเราเอื้อเฟือเผื่อแผ่คนอื่น เราก็ได้เก็บเกี่ยวผลดีกลับมา เมื่อเราทำสิ่งที่ดีลงไปปุ๊บ เก็บเกี่ยวอันแรกเลย ข้างในเรามีความสุขเลย แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดี เก็บเกี่ยวอันแรก คือข้างในเราจะทุกข์ ทำไปได้อย่างไร ยิ่งถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว  เรายิ่งทุกข์ใหญ่เลย เพราะธรรมชาติข้างในเรา คือความรัก  คือความดี พอเราทำอะไรผิดจากธรรมชาติ เราจะรู้สึกทุกข์ มันไม่ใช่ อะไรอย่างนี้

แต่ว่าด้วยความจริงในโลกวิญญาณ  ความจริงที่พระเจ้าบอก คือเมื่อเรากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในโลกวัตถุ กฎของโลกวัตถุมี ถ้าเราขับรถไปชนเขา เราก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เราจะมาอ้างว่า …

“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ฉันชนเธอ เธอจะมาเรียกค่าเสียหายจากฉันไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษ”

มันคนละเรื่องกันนะ แยกให้ชัดเจน ที่บอกว่าไม่มีการลงโทษ คือเรื่องของวิญญาณ ยังไงก็ไม่มีการลงโทษ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเสะอาดบริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีการลงโทษแน่นอน แต่ในด้านของวัตถุที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในกฎของความบาปและความตาย เรายังต้องเก็บเกี่ยวผลอยู่ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี เราเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดีแน่นอน อันนี้เราจะมาอ้างความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อที่จะหาผลประโยชน์ไม่ได้นะ

พอเราแยกแยะชัดเจนปุ๊บ เราก็จะรู้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมพระเจ้าถึงสอนเราว่าให้เราเรียนรู้ว่าตอนนี้ ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างไร?  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่ดีงาม ตอนนี้ความดีงามอยู่ในเราแล้วนะ แค่เราใส่ใจ และรู้ว่าตอนนี้เราเป็นความดีงาม แล้วก็เอามันออกมาใช้ แค่นั้นเอง เหมือนเรามีเสื้อผ้าสวยๆ อยู่เต็มตู้ เราก็ต้องรู้ว่าในตู้ฉัน มีเสื้อสวยๆ เราจะได้หยิบมาใส่ ใส่แล้ว มันก็ดูดี หรือเราไม่รับรู้ว่าซื้อเสื้อสวยๆ ไว้เต็มตู้เลย แต่ไปหยิบเสื้ออะไรไม่รู้ ดึงออกมาทีไร ขาดหวิ่นทุกที ใส่ออกมา ดูแล้วก็ไม่สวยงาม

นี่เป็นลักษณะเดียวกัน เราเป็นลูกของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามา เหมือนเราใส่อาภรณ์ ในพระคัมภีร์บอกให้สวมตัวใหม่  แล้วก็ทิ้งตัวเก่า  “ตัวเก่า” คือโปรแกรมหรือความคิดเดิมที่มันยังอยู่บนโลกใบนี้ เพราะร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้  มีโอกาสที่เราจะถูกดึงให้ทำตามมัน แต่ว่าข่าวดี คือพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราปฏิเสธมันได้ มันหลอกเราว่าตรงนี้ไม่ได้ เธอต้องจัดการ แต่การตัดสินใจอยู่ที่เรา ถ้าเราจะโดนหลอก ใช่ๆ ที่เขาบอกไม่ได้ เขาต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำกับเรา แค้นนี้ต้องชำระ พอเราคิดอย่างนี้ พอสมองคิดเยอะๆ มันจะสั่งการลงไปที่ร่างกาย แล้วร่างกายเราก็จะทำตาม ที่สมองสั่ง มันเป็นอัตโนมัติ

ดังนั้น ถ้าเราใส่ข้อมูลที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นความชอบธรรม เราเป็นความดีงาม เราเป็นความรัก ใส่ข้อมูลไป พอมารมาหลอก การล่อลวง หรือระบบเนื้อหนัง มาหลอกเรา … “ไม่ใช่ๆ ตอนนี้เขาทำอย่างนี้ เธอต้องเกลียด เธอรักเขาไม่ได้หรอก มันรับไม่ได้จริงๆ”

ถ้าเรามั่นใจหรือแม่นในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา … “หลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันเป็นความรัก ฉันไม่เชื่อเธอหรอก”

แล้วเราก็สำแดงความรักออกไป มันจะอยู่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนสงครามระหว่างความคิด แล้วคนที่ตัดสินใจทำ คือเรา ตัวเรานะ ตัดสินใจทำ ถ้าเราทำตามที่พระเจ้าบอก  เราก็มีความสุข ชื่นใจ พระเจ้าก็หายใจโล่ง นึกออกไหม? เวลาพ่อแม่มองลูก ถ้าลูกไปทำไม่ได้ เราลุ้น  พอโตแล้ว เราไปว่าเขาไม่ได้นะ เขาจะไม่ฟังเรา เราก็ลุ้น …

“ลูกเอ่ยๆ อย่าเดินไป นั่นเหวนะ”

แล้วพอเขาคิดได้ ตรงนั้นเหว ถอยกลับ เราชื่นใจ มีความสุข ภาพเดียวกัน  พระเจ้าก็ลุ้นเรา เพราะพระเจ้าไม่บังคับเรา พอเราตัดสินใจ …

“พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ ตัวเก่าของฉันมันตายไปแล้ว ตัวอิจฉาริษยา โกรธ เกลียด มันตายไปแล้ว มันไม่มี ตัวใหม่ของฉัน คือความรัก เป็นความดีงาม ความชอบธรรม”

เราก็มาทางนี้ มันเอนมา พอเอนมาปุ๊บ สมองสั่งการ ร่างกายเราก็จะทำตาม เราก็สำแดงความรักออกไป  มันจะเป็นภาพอย่างนี้ทุกวัน  ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เรารับรู้ความจริง แล้วให้ความจริงนี้สะท้อนออกไป ให้คนอื่นรอบข้างได้เห็น  ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน  เขาจะได้รู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา ใช่เลย คริสเตียนเป็นความรัก ถ้าคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดี เขาจะพูดอย่างไร? …

“เป็นคริสเตียนทำไมทำอย่างนี้ล่ะ”

เมื่อก่อน เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ว่าเรานับถืออะไร? เราทำอะไรไม่ดี ก็ไม่เห็นมีใครบอกว่าทำไมถึงทำไม่ดี เขาก็เฉยๆ เพราะเขารู้สึกว่ามันเคยชิน แต่พอได้เป็นคริสเตียน  เป็นผู้เชื่อ เชื่อพระเยซูคริสต์ ภาพของมนุษย์บนโลกใบนี้  เขาจะวาดภาพคริสเตียน สวยหรูมากเลย แบบสุดยอด พอคริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ดีปุ๊บ เขาจะพูดว่า …

“ทำไมคริสเตียนทำอย่างนี้”

แต่ว่าเราต้องรับรู้ความจริง ตรงนี้ว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดแล้วก็จริง แต่ร่างกายเรายังอ่อนแออยู่ เรามีโอกาสที่จะพลั้งพลาดได้ ไปทำสิ่งที่ระบบของโลกมาดึงเราไป แล้วเราก็เผลอ อ่อนแอวันไหนเราก็ทำไป แต่ว่าเราทำไปตรงนี้ ผลมันจะเกิดเฉพาะในโลกใบนี้เท่านั้น แล้วพอเราได้คิด …

“พระเจ้า ลูกขอโทษนะ คือมันพลาดไป”

แต่ไม่ต้องมาสารภาพบาปแล้วนะ คริสเตียนไม่มีบาปแล้ว ไม่ต้องมาสารภาพ แค่

“พระเจ้า ขอโทษ ลูกทำตรงนี้ รู้เลย มันไม่ดี ข้างในไม่มีความสุข” แล้วเราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม

แค่นั้นเอง นี่คือลักษณะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเยซูบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง  ความจริงก็จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ เราก็จะไม่ถูกมารหลอก พอเราทำผิด มันก็มาซ้ำเติม …

“เห็นไหมๆ แกทำผิดๆๆๆๆ พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”

เราก็ต้องบอกว่า … “ต่อให้ฉันผิดแค่ไหน พระเจ้าก็รักฉัน  รักขนาดที่ยอมตาย เพื่อฉัน บนไม้กางเขน  แล้วตอนนี้วิญญาณฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีผิดอยู่แล้ว แกมาหลอกฉันไม่ได้หรอก”

นี่คือการพูดถ้อยคำของพระเจ้า ที่ทำให้เรารู้ว่าตัวจริงๆ ของเรา ณ ปัจจุบัน มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยบอกให้ชัดเจนว่าสมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เรายังอยู่ในบาปอยู่ ล่วงละเมิด เรายังอยู่ในเผ่าพันธุ์ของอาดัม บรรพบุรุษของเรา ที่ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  ไม่สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ เป็นศัตรูกับพระเจ้า แล้วต่อให้มนุษย์ทำดีขนาดไหน? ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ จนกว่ากฎของพระเจ้าจะทำสำเร็จ  ที่พระเจ้าบอกว่ามีความตายเท่านั้น ถึงจะสามารถมาชดใช้ ความผิดบาปของมนุษย์ได้ แล้วพระเจ้าก็ให้พระเยซูคริสต์มาตายแทนเรา

การตายแทนเรา พระเยซูคริสต์จำเป็นจะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เลย เพื่อที่จะมาช่วยมนุษย์ มาตายแทนมนุษย์ มีความรู้สึก มีเลือด มีเนื้อ ถ้าพระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระเจ้า คือพระเจ้าตายไม่ได้  พอเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ถึงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนได้ แล้วก็ช่วยให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ถ้าใครเชื่อตามนี้ เราก็จะได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวเดิมนั่นแหละ เหมือนบุตรน้อยหลงหายไป มาเจอครอบครัวแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็กลับมาคืนดีกับพระเจ้า

แล้วตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อก่อนเราอยู่ในบาป และถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เราไม่สามารถเดินด้วยกันกับพระเจ้าได้ เพราะว่าความบาปกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเข้าใกล้กันปุ๊บ เราตายนะ เพราะว่าความบาปเจอความสะอาด กระเด้งเลย ตายทันที

ฉะนั้น มนุษย์กับพระเจ้าก็เลยเดินกันเป็นเส้นขนาน แล้วต้องขนานไกลๆ ด้วยนะ ใกล้ไม่ได้ด้วย ขนานไปตลอด แล้วมนุษย์ก็พยายามหาทุกวิถีทาง พยายามทำความดี สะสมความดี เพื่อที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้

กฎแห่งกรรม คือกฎของการกระทำ  ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะอยากจะพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ เหมือนคนไทยเขาจะพูดบ่อย … “เมื่อไรจะพ้นเวร พ้นกรรมสักที” เพราะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมันกดเราอยู่ ฉะนั้น มนุษย์ก็พยายามทำความดี

ดังนั้น การทำความดีด้วยกำลังของตัวเอง  ที่พระเยซูคริสต์ใช้คำว่า … “บรรดาผู้ที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

แบกภาระหนัก เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้หมายความว่าเราไปทำงานเหนื่อยนะ แต่ว่าเราพยายาม แสวงหาความชอบธรรมด้วยกำลังของตัวเอง คือพยายามทำดีๆ เพื่อว่าจะได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า มันเหนื่อยไง มันต้องออกแรงทำตลอด แล้วต่อให้ทำเยอะแค่ไหน ข้างในวิญญาณจะไม่รู้สึกว่ามันอิ่ม รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันยังไม่พอ พอมันไม่พอแล้วทำอย่างไร? ก็ต้องทำต่อ แล้วใครมาบอกต้องทำอย่างนี้แล้วจะได้ เราก็ไปทำ  ทำทุกอย่างเลย

ฉะนั้น มันเป็นงานเหน็ดเหนื่อย แล้วงานเหน็ดเหนื่อยอันนี้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ค่าจ้าง คือความตาย” เหมือนในโรม 3:23 บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาปใช่ไหม? ค่าตอบแทนของความบาป  คือความตาย

ค่าตอบแทนของการทำงานเหน็ดเหนื่อย พยายามพึ่งการทำดี ทำความชอบธรรมด้วยตัวเราเอง ทำเท่าไรก็ไม่ครบ แล้วมีผล คือได้รับค่าจ้าง คือความตาย เพราะว่ากฎของพระเจ้ามีไว้อยู่แล้ว พระเจ้าตั้งกฎว่ามนุษย์จะสามารถหลุดพ้นจากความตาย มีวิธีเดียว คือมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อเรา บนไม้กางเขน เรียบร้อยไปแล้ว หนทางการไปสู่สวรรค์ มีหนทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ และพระเยซูบอกว่า

“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

พระเยซูบอกชัดเจน  ตอนที่พระองค์มาอยู่บนโลกใบนี้

ฉะนั้น เงื่อนไขที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คือเราพึ่งกำลังของตัวเองไม่ได้  ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ และพระเยซูก็ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว ไม่ต้องไปพยายามดิ้นรน ทำความชอบธรรม ด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้องทำแล้ว หลังจากเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ

พระเจ้าบอกว่า … “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

เราฟังแล้ว … “ไม่ต้องทำอะไร จริงหรือ?”

เพราะพระเยซูบอก … “ฉันทำให้เธอเสร็จแล้ว ตอนนี้เธอไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์”

ฟังชัดๆ นะ … ตอนนี้ผู้เชื่อไม่ต้องพยายามทำดี เพื่อให้ขึ้นสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์แล้ว  แต่เราทำดี เพราะธรรมชาติใหม่ของเรา ข้างในเป็นความดี แล้วเราก็ให้ธรรมชาติใหม่ของเรา สำแดงออกมา แค่นั้นเอง

ฉะนั้น พอมนุษย์คาบเกี่ยวตรงนี้ บางทีเราก็ถูกหลอก แล้วความคิดเราก็กลับไปที่เดิม เราต้องทำความดี ให้พระเจ้าพอใจ

พระเจ้าบอก … “ไม่ต้องทำแล้ว ฉันพอใจแล้ว”

พอใจตรงไหน? เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา  แล้วเรามาเชื่อพระเจ้า  เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าผู้ชอบธรรมสะอาดหมดจด พระเจ้าพอใจแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้พระเจ้าพอใจอีก ก็คือพระเจ้าพอใจแล้ว แต่ที่เราทำความดี อย่างที่บอก พี่น้องต้องเน้น ตรงนี้เลย ที่เราทำดี เพราะข้างในเราดี  ข้างในเราดี จะให้เราไปทำไม่ดีได้อย่างไร? มันก็จะออกมาเอง แต่บางครั้ง เหมือนกับเผลอ หรือลืมตัว หรือถูกหลอกให้แถไปทำสิ่งที่ไม่ดี แป๊บหนึ่ง เราจะกลับมา เพราะว่าธรรมชาติข้างในเราเป็นความดี นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าเราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ณ ปัจจุบัน ในโลกวิญญาณ วิญญาณเราสะอาดเลยนะ แต่ว่าเนื้อหนัง ธรรมชาติตรงนี้ เราก็ยังต้องต่อสู้ พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ มันก็จะมีความทุกข์ยาก ที่พระเยซูคริสต์บอก ใช่ไหม?

ทุกข์ยากอันแรก ก็คือในโลกวิญญาณ พูดถึงโลกวิญญาณ พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ โลกเป็นศัตรูกับเราเลย โลก หมายถึงมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้า เขาอยู่ฝ่ายอาดัม ก็คืออยู่ฝ่ายมืด อยู่ฝ่ายความดำ อยู่ฝ่ายของความบาป อยู่ฝ่ายของการต่อต้านพระเจ้า ฝ่ายของการปฏิเสธพระเจ้า การกบฏกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พอเรากลับมาเชื่อฟังพระเจ้าปุ๊บ  เรากับเขาต้องแยกกัน  เขาก็ต่อต้านเราในวิญญาณ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เราก็ไม่รู้ตัว ในโลกวิญญาณ

พอคนได้ยินคำว่า “คริสเตียน” ปุ๊บ ไม่ชอบ นั่นในวิญญาณนะ วิญญาณไม่ชอบ พี่น้องเคยเป็นไหม? สมัยก่อน ตอนที่ดิฉันยังไม่เชื่อพระเจ้า พอคนมาประกาศเรื่องพระเยซู ข้างในเราไม่ชอบ คนที่มาประกาศน่ารักมาก พูดดีอีกต่างหาก แต่ไม่ชอบ แล้วเราก็ไม่เข้าใจ เราไม่ชอบเขาทำไม เขาแค่มาประกาศพระเยซู แต่พอเรามารู้ความจริง คือในวิญญาณ เราไม่ชอบเลย เป็นศัตรูกันทันที พอเรามาเชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่ชอบเรา  เป็นศัตรูเหมือนกัน เมื่อก่อนเราไม่ชอบคริสเตียน ตอนนี้เราเป็นคริสเตียน  เขาก็ไม่ชอบเรา  เพราะเราเป็นคริสเตียน  นี่คือการถูกข่มเหง อันดับแรกในวิญญาณ

อันที่สอง ประสบความทุกข์ยากลำบาก คือในโลกวัตถุนี่แหละ ที่เราสัมผัสจับต้องได้ ตามองเห็น  ก็คือเรายังอยู่ในโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ระบบของโลกใบนี้ เสียหายหมดเลย ทำให้ธรรมชาติของร่างกายเรา ร่างกายที่พระเจ้าสร้างมา ตอนที่มนุษย์ยังไม่ได้ล้มลงในความบาป ร่างกายเราดีมากเลยนะ ระบบทุกอย่างดี แต่พอล้มลงในความบาปปุ๊บ ร่างกายข้างในเรา เกิดความเสียหาย  มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอภัยพิบัติ สมมติว่าเขามีแผ่นดินไหว เราบังเอิญไปอยู่ตรงนั้น เราในฐานะคริสเตียน โอกาสตายก็มี นั่นแหละคือความทุกข์ยากในฝ่ายร่างกาย หรือทุกวันนี้ ที่มีโควิด ถามว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีผลกระทบ คนเชื่อพระเจ้า ก็มีผลกระทบเหมือนกัน  ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า  เราไม่มีผลกระทบ เราตัวลอย มันมีผลกระทบ แต่ผลกระทบตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา จะให้กำลังเรา ในขณะที่เราเผชิญความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ธรรมดา คือโลกนี้เสียหายไปแล้ว เราจะไปคาดหวังว่าโลกจะกลับมาสวยงามเหมือนเดิมไม่ได้ หรือเราจะคาดหวังว่ามนุษย์จะดีเลิศประเสริฐศรีไม่ได้ แล้วเราจะมาคาดหวังว่าพอเราเป็นคริสเตียน เราจะไม่เจอกับโรคภัยไข้เจ็บ เราจะไม่เจ็บ เราจะไม่ป่วย  เราจะไม่จน เราจะไม่เจอปัญหาครอบครัว มันไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญอยู่ เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาป และความตาย

นี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้หมดเลย ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นอย่างไร? โลกฝ่ายร่างกายเราเป็นอย่างไร?  เราจะได้รู้ว่าคริสเตียนป่วยเป็นนะ ไม่ใช่คริสเตียนป่วยไม่เป็น  พอป่วยปุ๊บ …

“ในนามพระเยซูจงหายๆ” แล้วไม่หายสักที

แล้วเราก็ … “อ้าว! พระเจ้า ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐรักษาเราหาย ทำไมไม่หายล่ะ”

แล้วเราก็เอาข้อพระคัมภีร์มาอ้าง สมัยก่อนเราเอามาอ้างบ่อยๆ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าข้อพระคัมภีร์ที่พระเจ้าบอกในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์จะทำให้เราหายเป็นปกติ ก็คือเราเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์มา เพื่อที่จะรักษาเรา ให้เราหายเป็นปกติ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดชีวิตของเรา ซึ่งมันไม่ใช่  และก็ไม่เกี่ยวกันด้วย  เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้  แล้วเราก็จะมีคำถามว่า …

“พระเยซูโกหกหรือเปล่า? ฉันยังป่วยอยู่เลย ทุกวันนี้ฉันยังต้องไปหาหมอ ฉันยังต้องไปตรวจร่างกาย ฉันยังต้องกินยาอยู่เลย  อ้าว! พระเยซูบอกรักษาฉันหาย”

ในพระคัมภีร์ที่บอกรักษาหาย คือรักษาโรคบาป ฟังดีๆ โรคบาป ที่เรากบฏกับพระเจ้าให้หาย ทำให้เราสามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ ครบถ้วนสมบูรณ์ในโลกวิญญาณ

ฉะนั้น ในโลกใบนี้ ไม่ว่าเราเจออะไรก็ตาม เราก็จะมีกำลังจากพระเจ้าเสริมอยู่ข้างใน

บางทีเรา … “ไม่ไหวแล้วพระเจ้า อะไรเยอะแยะ ประดังเข้ามา”

บ่นได้นะพี่น้อง บ่นได้ไม่ผิดไม่บาปด้วย เพราะว่าพระเจ้ารู้ว่าเราอ่อนแอ

“พระองค์เจ้าข้า ทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มาเจอกับพวกเรา”

แล้วพระเจ้าก็บอก จริงๆ นะ มนุษย์ก็ทำให้โลกเสื่อมเสียไปแล้ว เรายังอยู่ในระบบโลกนี้ เหมือนพระองค์ไม่อนุญาต ก็ต้องอนุญาตนั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นผู้ทำให้มันเสียหาย

มันก็ออกมาเป็นภาพนี้ พอเราเห็นภาพความจริง ทั้งโลกวิญญาณ  โลกวัตถุ เราก็จะมีกำลัง ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเรารับรู้ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้กายภายนอกของเรา ที่อยู่บนโลกใบนี้  มันจะค่อยๆ เสื่อมสลายไป แต่วิญญาณ ภายในของเรา ใหม่อยู่ตลอดเวลา แล้ววิญญาณข้างในเราตรงนี้แหละ คอยความหวัง ความหวังตรงนี้ ไม่ได้หวังว่าเราจะรอดได้ชีวิตนิรันดร์นะ  ไม่ต้องหวัง เพราะเราได้แล้วในโลกวิญญาณ  แต่เราหวังที่พระเจ้าบอกว่าร่างกายนี้ มันทรุดโทรมแล้ว มันไม่ไหวแล้ว ก็รอเวลาที่เราจะทิ้งร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าเตรียมให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที

นี่คือความหวังใจของคริสเตียน ซึ่งความหวังใจตรงนี้แหละ จะทำให้เรามีกำลังใจ สู้อีกอึดใจหนึ่ง ความทุกข์ยากทำให้เราอดทน และความอดทนทำให้เราสามารถให้พระเจ้าใช้ได้ แล้วคนอื่นมองทำไมคริสเตียน เขาถึงทนได้ ชีวิตเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมเขายังทนได้ ทำไมเขายังขอบคุณพระเจ้าได้ นั่นแหละเรากำลังฉายแสงของพระเยซูคริสต์ออกไป ให้เขาเห็น …

“นี่ไง ฉันมีพระเจ้าไง ฉันถึงทนได้ ถ้าฉันไม่มี ฉันตายไปแล้ว ไม่อยู่ถึงตอนนี้หรอก”

มันเป็นภาพอย่างนี้ที่พระเจ้าจะให้เราเข้มแข็ง ให้กำลังเรา มีหนทางพาเราผ่านได้ …

“เอ๊ะ! พระเจ้าจะหาทางแบบไหน? อย่างไร?”

ไม่ต้องคิด คิดแล้วเหนื่อย พระเจ้าบอก พระเจ้ามีหนทาง หนทางมันมีคำตอบแน่นอน เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า ขอให้จอกนี้เลื่อนไปได้ไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูเจอความทุกข์ทรมาน  แล้วรู้ว่าจะต้องเดินไปที่ไม้กางเขน  ต้องทุกข์ทรมาน ต้องถูกตอก ต้องเลือดออกจนหยดสุดท้าย  แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อล้างบาปให้กับมนุษย์ พระเยซูกลัวนะ ไม่ใช่ไม่กลัว ในตอนนั้นเป็นมนุษย์

พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้า … “พระองค์เจ้าข้า ไม่ต้องไปได้ไหม? ไม่เอาได้ไหม?”

แต่สิ่งที่พระเยซูพูดต่อจากคำว่า … “ไม่เอาได้ไหม?” … “ยังไงก็ตามให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

แล้วพระเจ้าก็ไม่ตอบพระเยซูว่า … “โอเค เธอไม่อยากไป ก็ออกมา”

เปล่าพระเจ้าก็ไม่ตอบ แต่ว่าพระเยซูรู้แล้ว พระเจ้าไม่ตอบ อย่างไรก็ต้องเดินไป ภาพเดียวกัน เป็นภาพที่อาจารย์เปาโลอธิษฐานขอให้หนามในเนื้อออกไป ตั้ง 3 ครั้ง

พระเจ้าก็บอก … “อยู่ตรงนั้นดีแล้ว  ที่เธอมีพระคุณของฉันก็พอแล้ว”

แล้วทุกวันนี้ พวกเราผู้เชื่อ เรามีพระคุณของพระเจ้าอยู่กับเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว และพระเจ้าก็จะให้กำลังเรา กำลังในการเดินบนโลกใบนี้ พระเจ้ารู้ดีกว่าเรา ความรู้สึกเราว่าไม่ไหวๆ แต่พระเจ้ามองแล้ว เธอยังไหวอยู่ พระเจ้าก็พาเราเดินไป แล้วสิ่งที่พระเจ้าจะบอกเราตลอดเวลา คือ …

“ฉันไม่เคยทิ้งเธอ ฉันอยู่กับเธอ ฉันอยู่ในเธอ ฉันจูงมือเธอเดิน แม้ตอนที่เธอเจอความทุกข์ยากลำบาก เธอมีความรู้สึกว่าฉันไม่อยู่ด้วย แต่ฉันอยู่ด้วย”

เหมือนในพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าแม้หญิงที่ให้นมลูก สามารถลืมลูกได้ แต่พระเจ้าไม่เคยลืมเรา มันเป็นภาพที่พระเจ้ากำลังพูดให้เราเห็น ในอนาคตข้างหน้าว่าพระเจ้าจะทำอย่างนี้ พระเจ้าจะส่งพระเยซูคริสต์มา แล้วพระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา ไม่ลืมเรา เหมือนกับแม่บางคนให้ลูกกินนม เดี๋ยวไม่เอาแล้ว ขี้เกียจแล้ว เอาลูกไปทิ้ง มีอยู่นะ แต่พระเจ้าบอกว่าแม้จะเป็นอย่างนั้น  แต่พระเจ้าจะไม่ทิ้งเรา  พระเจ้าอยู่กับเราแน่นอน

นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่  แล้วในช่วงสภาวะที่เราเผชิญอยู่ตอนนี้ รู้นะว่าพี่น้องทุกคนเจอความทุกข์ยากลำบาก แต่ละอย่างมันจะไม่เหมือนกัน  ให้เราขอบคุณพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ทิ้งเราแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรอย่างไร แต่พระเจ้าจะนำเรา ถึงเวลา พระเจ้าก็นำเราค่อยๆ เดินไป อย่างไรเราก็จะผ่านไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

กาลาเทีย 2:16 “ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อในพระคริสต์  ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้  โดยการทำตามบทบัญญัติเลย”

 

โรม 5:17 “เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครอง  ผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น  ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียวคือพระเยซูคริสต์”

 

โรม 3:22 “ความชอบธรรมจากพระเจ้านี้  ผ่านมาทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไปถึงคนทั้งปวงที่เชื่อ ไม่มีข้อแตกต่างกัน”

พระเจ้าได้ฆ่าเราให้ตายแล้ว  พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่กางเขน   ได้ฝังเราแล้วในอุโมงค์  และได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากตายบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยชีวิตจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเยซูคริสต์

 

กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า  ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า  ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เอง  เพื่อข้าพเจ้า”

 

1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์ ​ใน​พวก​เรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีที่สุดในมหาจักรวาล  แด่มนุษย์ทุกคนที่เชื่อ

 

พระเจ้าอวยพรครับ