คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 4

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอนที่ 4 ใน 2 โครินธ์ บทที่ 10 พูดถึงสงคราม หรือการสู้รบทางฝ่ายวิญญาณ หรือทางความคิด และพูดถึงอาวุธที่เราใช้ในการทำสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราก็พร้อม

ก่อนจะเรียนรู้กันต่อไป ผมอยากจะย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ ที่มาที่ไปของบันทึกจดหมายฝากฉบับนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองโครินธ์ขณะนั้น และวัตถุประสงค์ของอาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฝากฉบับนี้  เพื่ออะไร? เราจะได้รู้เบื้องหลัง เราจะได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างตรงไปตรงมา และเป็นของจริง คือต้องเข้าใจถึงถ้อยคำที่อยู่ในบริบทนั้น อยู่ในหนังสือเล่มนั้น อยู่ในจดหมายฉบับนั้น มันแปลว่าอะไร? มันพูดถึงอะไร? เขียนถึงใคร มีเบื้องลึก เบื้องหลัง ที่มาที่ไปอย่างไร? เราถึงจะตีความได้ว่าหมายความว่าอย่างไร?

2 โครินธ์ 10:1-2 “1 ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ด้วยความถ่อมสุภาพและอ่อนโยนของพระคริสต์  ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่า “ขลาดกลัว” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่ “ห้าวหาญ” เมื่ออยู่ไกล 2 ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญอย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมายจะทำต่อบางคน ที่คิดว่าเราดำเนินชีวิต ตามมาตรฐานของโลกนี้”

 

ใครที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องราวชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วมาอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ อาจจะเริ่มงงเล็กน้อยว่าเปาโลกำลังพูดถึงใคร?  และหมายความว่าอะไร? การที่จะเข้าใจคำพูดของอาจารย์เปาโลตรงนี้ ต้องเข้าใจถึงสภาพเมืองโครินธ์ในขณะนั้น และความเป็นอยู่ของผู้เชื่อ คือคริสเตียนชาวโครินธ์ ในยุคนั้นเป็นอย่างไร?  ชาวเมืองโครินธ์ตอนนั้น ก็เหมือนกับกรุงเทพในขณะนี้ เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ ในช่วงที่เปาโลไปประกาศ มีทั้งชาวยิวที่เคยเป็นพวกเคร่งศาสนา แล้วก็มีทั้งชาวต่างชาติ กรีก แล้วก็ผู้เชื่อไสยศาสตร์ ผู้เชื่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งในขณะนั้นเกิดการแตกแยกในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ ซึ่งผู้เชื่อเหล่านั้นได้มาเป็นคริสเตียน โดยละทิ้งความเชื่อเก่าๆ ของเขาไปหมด ซึ่งแตกต่างกัน มีทั้งยิวและไม่ยิว มันจึงเกิดการแตกแยกกัน คนนี้คิดอย่าง คนนี้ไปอีกอย่าง เพราะว่าเปาโลไปก่อตั้งคริสตจักร แล้วก็ออกไปประกาศยังสถานที่อื่นๆ ต่อไป

ชาวยิวที่เคยเคร่งศาสนายิว แม้จะรับเชื่อผ่านทางการประกาศของเปาโลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคน บางกลุ่ม ที่ยังติดอยู่กับกิจกรรมเดิม ข้อบัญญัติเดิม พิธีกรรมเดิม ที่เคยปฏิบัติมาเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะเกิดอีก ตั้งแต่บรรพบุรุษของยิว พอมาเชื่อพระเจ้า อยู่ในคริสตจักรเดียวกัน เขาก็เริ่มต้นดูหมิ่น ดูถูกผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่ไม่ใช่ยิว ที่มาจากความเชื่ออื่น แล้วก็เริ่มไปแนะนำให้คนเหล่านั้นมาทำตามเขา เชิงบังคับบ้าง ขู่บ้าง ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าลงโทษ ไม่ได้รับพร ถ้าทำอย่างนี้นะ ไม่ได้รับความรอดแล้ว อะไรประมาณนั้น ท่านลองคิดดู เปาโลปวดหัวขนาดไหน? อันนี้เรื่องหนัก เรื่องสำคัญมาก เปาโลต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข็งแกร่ง กล้าหาญ

ในจดหมายฝากโครินธ์ ฉบับที่ 1 เปาโลได้กล่าวถึงความคิดที่แตกแยกเหล่านี้ แล้วก็ให้แนวทางไว้แล้วว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรในเรื่องพิธีการ เรื่องการแต่งงาน เรื่องการใช้ชีวิตคู่ เรื่องการอยู่ด้วยกัน สามีภรรยา เรื่องการจัดการปัญหาต่างๆ ในแต่ละวัน แม้กระทั่งการกิน เรื่องการขัดแย้งต่างๆ และที่สำคัญ คือเรื่องของการยึดมั่นในความเชื่อ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าเมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา แต่ความแตกแยกในเมืองโครินธ์ ก็ยังไม่จบ ยังคงมีอยู่ พวกที่อยู่ตรงข้าม คำว่า “ตรงข้าม” หมายถึงตรงข้ามกับอาจารย์เปาโลนะ พยายามให้ร้ายป้ายสีเปาโล พูดจาถากถาง นินทา พอแยกกลุ่มปุ๊บ ดูถูกเปาโลใหญ่เลย ทั้งๆ ที่เปาโลเป็นผู้วางรากฐานของคริสตจักรที่นั่น

พวกเหล่านี้ ก็เริ่มพูดจานินทา แล้วก็ยุยงให้ผู้เชื่ออื่น ในคริสตจักรเดียวกัน ด้วยการบิดเบือนความจริงข่าวดีของพระเยซู ที่เปาโลวางรากฐานไว้อย่างดี เริ่มเบี่ยงเบน เริ่มใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง ถ้ามาเชื่อพระเจ้า แล้วไม่พอนะ ยังคงต้องถวายสิบลดด้วย ไม่พอนะ วันสะบาโตต้องมานะ ต้องหยุดงานเลย เหมือนสมัยก่อน ทำงานไม่ได้ แล้วยังมีอีกเยอะแยะมากมาย เราต้องล้างมือ ฯลฯ

อันนี้จึงเป็นเหตุให้อาจารย์เปาโลได้ใช้คำขึ้นต้นจดหมายฝากฉบับนี้ว่า …

“ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านด้วยความถ่อมสุภาพ และอ่อนโยนของพระคริสต์ ข้าพเจ้าเปาโล ผู้ซึ่งท่านบอกว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน แต่กล้าหาญ เมื่ออยู่ไกล ข้าพเจ้าขอร้องว่าเมื่อข้าพเจ้ามา อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญ อย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมาย จะทำต่อบางคนที่คิดว่าเราดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลกนี้ ข้าพเจ้าเปาโลผู้ซึ่งท่านบอกว่า …”

หมายถึงเขานินทากันว่าขลาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้า เปาโลเคยไปประกาศ อยู่กับชาวโครินธ์ ตอนนี้ไม่อยู่ เขียนจดหมายมา เขานินทาบอกว่าเปาโล ตอนอยู่ต่อหน้า หน่อมแน้มมากเลย พอไม่อยู่เขียนจดหมายมาทำกร่าง ตรงนี้ ก็คือ 1 ในคำครหา นินทาว่าร้าย  ใส่ความเปาโล ตอนที่มาประกาศในเมืองโครินธ์ อาจารย์เปาโลมาในลักษณะเหมือนพระเยซู อ่อนโยน ถ่อมใจ ขณะเดียวกัน อาจารย์เปาโล ไม่มีของประทานในการพูดในที่สาธารณะ แบบมีโวหาร แบบชาวโลก แบบเนื้อหนัง อย่างเช่นนักเทศน์มาเทศน์ที่มีคำคม มีท่าทาง เปาโลไม่มีอย่างนั้น มีแต่เนื้อความล้วนๆ ของถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซู ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เปาโลจึงบอกเสมอว่าเรามาประกาศ ไม่ใช่สติปัญญามนุษย์ แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ เลย  จะไม่ไปเอาปรัชญากรีกมาพูด แล้วก็มาเทียบกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นต้น

ในจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 อาจารย์เปาโลแนะแนวทางสำหรับผู้เชื่อว่าให้ดำเนินชีวิตเลียนแบบท่าน … “ท่าน” ในที่นี้ก็คือเลียนแบบอาจารย์เปาโลเอง เพราะอาจารย์เปาโลมั่นใจว่าท่านดำเนินชีวิตในทางของพระเยซูคริสต์ด้วยความมั่นคง ในความเชื่ออย่างแท้จริง

1 โครินธ์ 4:15-21 “15 ถึงแม้ว่าท่านมีผู้ปกครองดูแลนับหมื่นในพระคริสต์ แต่ท่านมีบิดาคนเดียว เพราะในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้เป็นบิดาของท่าน โดยทางข่าวประเสริฐ 16 ฉะนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านเลียนแบบข้าพเจ้า 17 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะส่งทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งสัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มาหาท่าน เพื่อเตือนท่านให้ระลึกถึงวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ อันสอดคล้องกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าสอนทุกหนทุกแห่ง ในทุกคริสตจักร 18 บางคนในพวกท่านได้หยิ่งผยองขึ้นมา ราวกับข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่าน 19 แต่ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ข้าพเจ้าจะมาหาท่านในไม่ช้านี้ แล้วเมื่อนั้น ข้าพเจ้าจะได้รู้ ไม่เพียงสิ่งที่คนยโสพวกนั้นพูด แต่ฤทธิ์อำนาจที่เขามีด้วย 20 เพราะอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์อำนาจ 21 ท่านชอบแบบไหนมากกว่า จะให้ข้าพเจ้าถือแส้มาหาท่าน หรือมาด้วยความรัก และด้วยใจอ่อนโยน”

 

สิ่งหนึ่งซึ่งเปาโลพยายามสอนและวางแนวทางให้ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้ดำเนินชีวิต เลียนแบบชีวิตของท่าน ก็คือการตอบสนองต่อปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต ด้วยแนวทางและความคิดแบบผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ เพราะเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นผู้เชื่อแล้ว เราต้องมองไปที่โลกวิญญาณอย่างเดียว ให้ลักษณะเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทำในลักษณะที่เป็นแบบตรงกันข้าม ก็คือทำแบบที่โลกนี้เขาทำกัน ส่วนใหญ่ที่ผู้ที่ไม่เชื่อเขาทำกัน ก็คือภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าแบบเนื้อหนัง บางทีเราไม่เข้าใจ แบบเนื้อหนัง ก็คือแบบไม่ใช่วิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ แบบตัวฉัน ของฉัน แต่ถ้าฝ่ายวิญญาณ คือแบบวิญญาณที่เกิดใหม่แล้ว โดยที่ปรึกษาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

นี่คือที่มาที่ไปว่าทำไม อยู่ๆ อาจารย์เปาโลถึงขึ้นต้นจดหมายฝาก ด้วยคำพูดแบบนี้ ถ้าไม่ทราบเบื้องหลัง เบื้องหน้า ใครมาอ่านก็งง มาได้อย่างไร? เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมต้องพูดอย่างนี้ แล้วจดหมายฝากถึงชาวโครินธ์ 2 ฉบับนี้  เราพอจะประมาณการอุปนิสัยใจคอของอาจารย์เปาโลได้ว่าน่าจะเป็นแบบไหน? ที่เราสามารถนำไปเลียนแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์เปาโลเป็นคนกล้าหาญ ตายเป็นตาย แต่สุภาพอ่อนโยนมาก …

“พี่น้องจะให้ช่วยอะไรไหม? พี่น้องเป็นอะไรหรือเปล่า? พี่น้องต้องเชื่อในพระเจ้าต่อไปนะ พี่น้องพระเยซูทำอะไรให้กับท่านนะ ท่านได้เกิดใหม่แล้วนะพี่น้อง”

แต่ขณะเดียวกัน ใครจะมาจับเปาโล ว่ากล่าว ว่าร้ายอาจารย์เปาโล ตายเป็นตาย ตายก็ได้กำไร อยู่ก็อยู่เพื่อทำงานให้พระคริสต์ อยู่ก็อยู่เพื่อเสริมสร้างร่างกายพระคริสต์ให้เข้มแข็งในผู้เชื่อทั้งหลาย แล้วยังมีอะไรอีกที่เราสามารถเลียนแบบอาจารย์เปาโล อ่อนโยน แต่มั่นคง ชัดเจนในจุดยืน ไม่โอนเอนและไม่ก้าวร้าว มีใจถ่อม  แต่หนักแน่นในความเชื่อ ไม่ใช่ถ่อม แล้วก็โลเล ไม่ ถ่อมแล้วก็เป๊ะเลย ถ้าพระเยซูไถ่ท่านให้พ้นจากบาปแล้ว ท่านก็พ้นจากบาปจริงๆ ท่านไม่ต้องกลับไปนำแพะไปถวายพระเจ้า ปีต่อปีอีกแล้ว อะไรประมาณนั้น กล้าพูดเลย กับพี่น้องของเขานั่นเอง เขาเรียกว่ามีใจถ่อม แต่หนักแน่นในความเชื่อ อันนี้ไม่ใช่อุปนิสัย อันนี้ เป็นบุคลิกเกิดมาเป็น เขาเรียกว่าของประทานก็ว่าได้ หรือเป็นคนแบบนี้ ก็คือเป็นคนพูดไม่เก่ง พูดตะกุกตะกักอย่างนี้ อันนี้เป็นเหมือนกับพรสวรรค์

พวกเราได้ทราบข้อมูลในบริบท ถ้อยคำแล้ว เราก็สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ อย่างที่เราได้เรียนรู้กันไป 2 ตอน ในหัวข้อเรื่องต่อสู้ของโลกฝ่ายวิญญาณทางความคิด ที่หมายถึงการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้ากับข้อมูลเท็จของมาร นี่คือรายละเอียดของสงครามฝ่ายวิญญาณ แค่นั้นเอง  ฟังให้ดีๆ เลยนะ ไม่อย่างนั้น ไปฟังจากที่อื่นมา แล้วก็มั่วไปหมดเลยว่าไปเกี่ยวอะไรกับทูตสวรรค์ ผีอะไร วุ่นวายกันไปหมด มันมีอยู่แค่นี้เอง ข้อมูลฝั่งไหน ครอบครองพื้นที่ได้มากกว่า ฝั่งนั้น ก็เป็นฝั่งชนะ แล้วความคิดเราอยู่ไหน?  ความคิดก็อยู่ในสมองเรา

แล้วเปาโลได้พูดถึงการทำสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ปัจจัย คือคำว่า ..

  1. ป้อมปราการ คือที่มั่น
  2. อาวุธ
  3. กลยุทธ หรือวิธีการในการต่อสู้

2 โครินธ์ 10:3-5 ที่เรารู้จักกันดี เอามาใช้บ่อยๆ “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

ป้อมปราการของใครของมัน ป้อมปราการอยู่ที่สมองเรานี่ ป้อมปราการ ก็คือความคิด หรือสมองในการเก็บข้อมูล รับข้อมูล ข้อมูลอะไรก็ได้ อยู่ในสมองเราหมด อาวุธที่เราใช้ ก็คือถ้อยคำ หรือความจริงของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ และวิธีการต่อสู้ของเรา ก็คือสยบทุกความคิด ให้มันยอมจำนนและเชื่อฟังพระคริสต์ ก็คือเชื่อถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่บังคับให้คนอื่นเชื่อฟัง แต่บังคับตนเอง ไม่ใช่ไปสู้กับมารให้มันเชื่อฟัง แต่สู้กับความคิด ข้อมูลที่มันส่งเข้ามา ไม่เกี่ยวกับมารแล้ว เกี่ยวกับเราแล้ว มันส่งเข้ามา ไม่ต้องไล่มัน แต่ไล่ข้อมูลความคิดที่มันส่งเข้ามา รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

ความหมาย ก็คือเราฝึกฝนที่จะใช้ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นอาวุธของเรา ในการต่อสู้กับข้อมูลเท็จของมาร เราจะพยายามเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ให้ถึงที่สุด และถ้ายังมีความคิดตรงไหนที่เผลอไปอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  พอไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เรารู้ดี มันแปลกปลอมเข้ามา เราก็จะลงโทษเจ้าความคิดตรงนั้นแหละ ตรงที่มันแปลกปลอมมา อยู่ในสมองเรา จัดการลงโทษมัน  ก็คือเอาเจ้าความคิดที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ที่มารส่งเข้ามา ไล่มันออกไปจากสมองของเรา จากความคิดของเรา กำจัดมันออกไปจากสมอง แล้วก็ใส่ข้อมูลของพระเจ้า ที่บอกถึงความจริงนั้นลงไปแทนที่ ต้องทำอย่างนี้ ใส่ข้อมูลของพระเจ้าที่บอกถึงความจริงใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ทำทุกสิ่งให้อยู่ในฝั่งพระเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่าการลงโทษความคิดที่มันส่งเข้ามา

สมมติว่ามารส่งข้อมูลเข้ามา … “เราต้องโลภหน่อยนะ เราต้องเก็บเอาไว้เยอะๆ นะ เราต้องทำงานเยอะ เราต้องเก็บทรัพย์สมบัติไว้ เผื่อข้าวยากหมากแพง ไม่มีอะไรกิน เราไม่ต้องให้ออกไปหรอก เราไม่ต้องไปช่วยใครหรอก เก็บไว้ก่อน” อย่างนี้

หรือบอกให้เราโลภ “อย่างนี้ ไม่พอ พระเจ้าจะอวยพรเราอีก ลงทุนเลย ไปกู้หนี้ยืมสิน ลงทุนเข้าไป พระเจ้าอวยพรแล้ว ได้อีกแล้ว เขาบอกใครมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าอวยพรทั้งสิ้นแหละ ขอแล้วจะได้ ขอสิๆ ลงทุนใหญ่เลย”

หวังว่าจะรวยขึ้น เยอะขึ้นๆ อย่างนี้ใช่ทางของพระเจ้าไหม? ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้ในหนังสือฮีบรู บทที่ 13 ว่าอย่างไร? ตรงกันข้ามกัน พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าจงพึ่งพอใจในสิ่งที่ท่านกำลังมีอยู่ พระเจ้าทรงสัจธรรม ทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ไม่ทอดทิ้ง หรือละท่านเลย พระองค์จะอยู่กับท่านตลอดเวลา  แล้วกลัวอดเหรอ เห็นไหม? ต่างกันเยอะเลย เพราะฉะนั้น ท่านก็เอาถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นอาวุธใส่เข้าไปแทนที่ แล้วก็ท่องถ้อยคำนั้นตลอดเวลา ที่ทำให้ท่านโลภ มันก็ไม่โลภ

บางครั้งเปิดโอกาสให้ การได้ทรัพย์มาครั้งนี้ มันดูเหมือนเทาๆ จะว่าผิดศีลธรรมก็ไม่ใช่ แต่ท่าทางมันน่ารับไว้ น่าจะๆ ได้มากขึ้นอีก เหมือนกับจะเอาเปรียบเขานิดๆ โกงเขาหน่อยๆ นี่มารมันก็จะส่งเข้ามา ถ้าท่านยอมมัน เอาเงินไว้ ท่านก็จะเริ่มโกงเขานิดๆ แล้วท่านก็บอกว่านี่การโกงอย่างบริสุทธิ์ใจ พระเจ้าอวยพร เอะอะอะไรก็พระเจ้าอวยพร ไม่คิดถึงว่าสิ่งที่มา มันมาได้อย่างไร? ท่านโลภหรือไม่? อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละ คือวิธีการหนึ่งในการต่อสู้ในโลกฝ่ายวิญญาณ

ย้อนกลับไปดูคำเริ่มต้นในจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล ที่ได้บรรยายถึงลักษณะธรรมชาติของพระเจ้าที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร? นี่คือความจริง อาจารย์เปาโลสนิทกับพระเจ้า แล้วก็บอกว่าลักษณะพระเจ้าเป็นอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น พวกท่านต้องรู้ว่าพระเจ้าของเรา  เป็นพ่อเรา มีนิสัยอย่างไร? ถ้าท่านรู้ ท่านก็จะไม่ถูกหลอก

2 โครินธ์ 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้า และพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  พระบิดาแห่งความเมตตาเอ็นดู และพระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจทั้งปวง 4 ผู้ทรงปลอบประโลมใจเราในความทุกข์ร้อนทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถปลอบประโลมใจ บรรดาผู้ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ  ด้วยการปลอบประโลมใจ ซึ่งเราเอง ได้รับจากพระเจ้า”

 

เปาโลเริ่มต้นจดหมายฝากด้วยการจัดระเบียบความเชื่อที่ถูกต้อง เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า เพื่อที่จะย้ำว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าที่โหดร้าย  หรือเต็มไปด้วยข้อระเบียบ ข้อบังคับ ขู่เข็ญ เคี่ยวเข็ญ เหมือนเราเป็นทาส ไม่ใช่ แต่พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นผู้ที่คอยปลอบโยนเรา อยู่ข้างเรา คอยดูแลเรา พระเจ้าเป็นความรัก ตามแบบอธิบายไว้ใน 1 โครินธ์ 13:4 เป็นต้นไป อดทนนาน ไม่อิจฉา ไม่จดจำความผิด พระเจ้าเป็นความรัก มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น พระเจ้าไม่มีความเกลียดชัง พระเจ้าไม่มีความอิจฉา ไม่มีความโหดร้ายอย่างเด็ดขาดเลย ไม่เป็น ไม่รู้จัก เราจำเป็นต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ว่าพระเจ้าเป็นใคร? พระเยซูคริสต์เป็นใคร? พระวิญญาณเป็นใคร? มีบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไร? ความจริง คือพระเจ้าเป็นความรัก เป็นความเมตตา คอยปลอบโยน เป็นผู้ที่อยู่ข้างเราตลอดเวลา พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะตัดสินเรา หรือดูแลเราอย่างแข็งกระด้าง หรือบังคับเคี่ยวเข็ญเราตลอดเวลา ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ เปาโลเริ่มต้นจดหมายอย่างนี้  แสดงว่ามีข้อมูลอะไรผิดมา  ผ่านมาทางมาร ผ่านมาทางผู้เชื่อนั่นแหละ แล้วเอามาใส่ลงไปในคริสตจักร เมืองโครินธ์ เปาโลจึงต้องเขียนอย่างนี้ว่า …

“พระเจ้าเป็นอย่างนี้ จงมั่นใจนะ”

เพราะฉะนั้น เราต้องใส่ข้อมูลความจริงเหล่านี้ เข้าไปในความคิด เข้าไปในสมองเรา ให้เป็นข้อมูลพื้นฐานเลย  เพื่อที่จะคอยหักล้าง หรือทำลายล้างข้อมูลเท็จที่มารส่งเข้ามา ตัวนี้สำคัญมาก ไม่อย่างนั้น เราจะไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่จะไปมองศัตรู กลับมองพ่อเราเอง แค้นพ่อเรา ทำไมพ่อเราทำอย่างนี้ ทำไมพ่อเราไม่สงสารเรา มันเป็นอย่างนี้ ตัวมาร มันทำอีก มันแอบอยู่หลังเสา แอบหัวเราะ จงมองเห็นภาพเถิด ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น ทารุณจิตใจพระเจ้าไหม? …

“เราไม่ได้ทำ ยังถูกใส่ร้ายอีก เราตั้งใจจะช่วย แต่เขาหนีเรา เพราะเขานึกว่าเราเป็นคนทำ”

“ไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว นี่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น”

มีบางคนหนักกว่านั้น เชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน ไปอเมริกา มันเกิดเหตุ เราก็เคยได้ยิน คนเสียสติ เอาปืนกราดยิงเด็กนักเรียนตายเต็มไปหมดเลย คนนี้บอก …

“ฉันเลิกเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าควบคุมได้ ทำไมพระเจ้าปล่อยให้มีคนมาฆ่าเด็กๆ ตายหมดเลย เด็กบริสุทธิ์ สงสารเด็กมากเลย พระเจ้าโหดร้ายอย่างนี้ ไม่เชื่ออีกแล้ว เพราะเชื่อว่าพระเจ้าควบคุมทุกอย่างได้ แล้วทำไมไม่ควบคุมเรื่องนี้”

เดี๋ยวไปเรื่อยๆ ท่านจะรู้เอง นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เราต้องรู้จักสงคราม รู้จักการหักล้างข้อมูลที่มารส่งเข้ามา เมื่อเราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราได้รับความรอดแล้ว ปลอดภัยในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว ด้วยความรัก และความเมตตาของพระเจ้า ด้วยความดีงามของพระองค์ เหมือนพ่อที่ใจดีมากๆ ไม่มีใครมาเอาเราออกไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อเราเชื่อและเกิดใหม่แล้ว เอเมน ตัวเราเองยังเอาออกไปไม่ได้เลย มันเกิดแล้ว

ท่านมีลูก ลูกท่านเกิดมา ท่านสามารถเอาลูกออกไปได้ไหม? ท่านอาจจะทำให้เขาตายได้ แต่เขาก็เป็นลูกท่าน ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น พระเจ้าให้ท่านเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว ท่านเชื่อแล้ว ท่านก็เกิดใหม่ อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า พระเจ้าดูแลท่านอย่างดีเลย หลายคนที่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว มักมีความคิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ถวายชีวิตให้พระองค์ พระเจ้าก็จะเริ่มเข้มงวดในชีวิตของเรา ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ถ้าทำนะ ซัดเลย ลงโทษเลย ไม่ได้พระพรเลย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน อย่างนั้นหรือ? ตั้งใจฟังต่อไป

ก็คล้ายๆ กับผู้ที่อยู่ที่เมืองโครินธ์ในสมัยนั้น สมัยที่เรากำลังพูดอยู่ ที่สอนกันไปต่างๆ นานา ห้ามทานข้าวกับพวกนอกรีต … “พวกนอกรีต” คือคนที่ไม่ใช่ยิว คนยิวสมัยก่อนนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด เขาไม่กินข้าวกับคนที่ไม่ใช่ยิวเลย ถือว่าผิด มาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังไม่มากินอีก ถ้าอาหารไม่อร่อย ก็แล้วไปนะ นี่มันไม่เกี่ยว นี่หมายถึงว่า …

“คนละชั้น ชั้นเป็นคริสเตียนที่เป็นยิว ท่านเป็นคริสเตียนที่เป็นกรีก ไปไกลๆ ฉันบริสุทธิ์กว่า”

เป็นอย่างนี้ ถูกหลอก กินข้าวต้องล้างมือ อันนี้เป็นกฎต่างๆ ที่ใส่เข้าไป สมัยก่อนที่พระเยซูมาเกิด ห้ามทานของบูชารูปเคารพ พวกที่เคร่งในการทำสิ่งเหล่านี้ ก็จะคอยจับผิด ทำหรือเปล่า? ถ้าคนไหนทำ ก็แสดงว่าเป็นผู้เชื่อตกกระป๋อง ผู้เชื่อชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ไปเรื่อยๆ คนทำได้เยอะๆ ก็เป็นชั้น 1 นี่มันเป็นอย่างนี้ และคอยกล่าวหาคนอื่น ที่ไม่ได้ทำตามว่าทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น จึงเป็นที่มา ทำให้อาจารย์เปาโลต้องเขียนจดหมายมาจัดระเบียบให้

ซึ่งว่ากันตามตรง คริสเตียนเราในปัจจุบัน ผู้เชื่อหลายๆ คน ก็ยังมีความคิดแบบนี้อยู่ ใช่หรือไม่? ยังเชื่อว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องเคร่งครัด ต้องเคร่งศาสนานิดๆ ต้องทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าสอนไว้เป๊ะๆ แถมยังมีการสอนต่อๆ กันไปอีกว่าพระเจ้าจะนำสิ่งไม่ดีเข้ามา จะนำท่านเข้าไปในความทุกข์ร้อน เพื่อจะทำให้ท่านแข็งแรง อดทน แข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก สิ่งไม่ดีในชีวิตนั้นแน่ มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าจะให้เราแข็งแรงขึ้น จะให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ฟังให้ดีๆ เมื่อฝึกฝนเราให้แข็งแกร่ง เพื่อว่าพระองค์จะทำให้เราเหมือนทหาร มันต้องฝึกสิ โดยเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์บาปๆ อย่างเรา ฝึกให้เจอความทุกข์ยากลำบาก ผมบอกความจริงให้ท่านนะ ท่านจะตกใจเลย ท่านรู้ไหมว่าเวลาพระคัมภีร์บอกว่าเวลาเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับการบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเกิดใหม่ เราเป็นทารกในวิญญาณในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทนุถนอมทารกคนนี้ ยิ่งกว่าไข่ในหินอีก เพราะว่าเป็นเด็กๆ แดงๆ เลย เพิ่งจะเกิด รักมากเลย รอดจากมาร รอดจากนรกแล้ว ลูกฉันๆ ท่านจะทำอย่างนี้กับลูกของท่านที่เป็นทารกไหม? เขาเป็นทารกอยู่ แล้วไม่ใช่ทารกธรรมดานะ ในพระคัมภีร์บอกเป็นทารกที่อ่อนแออีกต่างหาก ตาเกือบบอด เพราะมันอยู่ในร่างกายนี้ มันมองไม่เห็น เห็นพระเจ้ารางๆ เห็นพ่อรางๆ พ่ออยู่ไหน? ถ้าท่านมีลูกอย่างนี้ แล้วลูกคนนี้ กลางคืนอึราด ท่านจะลุกขึ้นมาตบเขาไหมครับ

“สอนกี่ครั้งแล้ว อย่าอึๆ อย่างนี้หรือ”

ลูกทารกแดงๆ แล้วยังแถมป่วยอีก ท่านลองคิดดู นี่คือเรื่องจริง ในพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอท่านเห็นภาพอย่างนี้ ท่านจะรู้ว่าเราเคยมองพระเจ้าผิดไป เราเคยใส่ร้ายพระเจ้า พ่อของเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว ทำไมเรากล้าทำอย่างนี้ ก็เพราะศัตรูของพ่อเราไง ใครล่ะ ที่กล้าเหยียบทารก ทั้งๆ ที่ทารกนี้อ่อนแอ ตาบอด ก็คือศัตรูของพ่อเรา ศัตรูของครอบครัวเรา ก็คือมารนั่นแหละ มันเหยียบเรา

ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ บางคนก็สอนต่างๆ นานา พระเจ้าจะนำเราเข้าไปสู่ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  เพื่อจะดัดนิสัย นี่ใครเอามา มาร ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอก นี่คือมารทั้งสิ้น มารส่งมา ทางความคิดของเรา ซึ่งรับโดยทางเนื้อหนัง … เนื้อหนัง ก็คือร่างกายนี้ และในยามที่เราพลาดพลั้งไปทำอะไรผิด พระเจ้าก็ตีสอนเรา อะไรประมาณนี้  สอนแบบนี้  และบางครั้ง พระเจ้าก็จะนำเราไปในสถานที่ที่ทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะทดสอบชีวิตเรา หรือทดสอบความเชื่อของเรา อะไรอย่างนี้ มันใช่ที่ไหน? ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น พระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เราถูกทดลองให้ทำสิ่งที่ชั่วร้าย อย่าบอกว่าพระเจ้าทดลองเรา แต่ท่านถูกทดลอง เนื่องจากกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังของท่านเอง โดยผ่านทางการยุแยงของศัตรูที่อยู่นอกตัวท่าน ก็คือมาร ที่ทำงานอยู่บนโลกนี้ มันส่งกระแสมา ข้อมูลท่านไม่มี ท่านยอมแพ้ในความคิด เพราะฉะนั้น ท่านก็จะทำในสิ่งที่เอาความทุกข์มาสู่ท่าน แล้วท่านก็ไปบอกว่าพระเจ้าเป็นคนพาท่านเข้าไป

พอเราต้องเจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ก็จะเจอคำพูดที่บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เราได้เรียนรู้ เพื่อให้เราได้ฝึกฝน ให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้ได้ ถ้าพระเยซูอยู่ทุกวันนี้ ท่านที่เป็นคนบาปอยู่ แล้วได้รับการอภัยจากพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านจะดูเด็กทารก ลูกของท่านอย่างนี้ไหม? ท่านก็คงบอก “No” ไม่มีใครทำหรอกใช่ไหม?

ใครที่เคยได้ยิน ได้ฟังข้อมูลแบบนี้ เรื่องราวของพระเจ้าแบบนี้  วันนี้ขอร้องเลย เป็นวันที่เริ่มต้นกันใหม่เลย เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เอาความคิดที่ถูกต้อง ข้อมูลที่ถูกต้อง เรื่องเกี่ยวกับพ่อของเรา ใส่เข้าไปในสมอง แม้ว่าตอนนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจนักก็ตาม แต่นี่คือถ้อยคำพระเจ้า เอเมน ใส่เข้าไปเลย แทนที่ไป แล้วพระเจ้าจะนำพาท่านต่อไปเรื่อยๆ เอาข้อมูลเก่าออกไปเลย ถ้าท่านได้ยินข้อมูลเก่า ที่บอกว่าพระเจ้าทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ อาจจะออกมาจากตัวผมเองก็ตาม ก็เอามันออกไปด้วยนะ ผมเอามันออกไปตั้งนานแล้ว เพราะถูกหลอกเหมือนกัน เราต้องใช้อาวุธ คือถ้อยคำพระเจ้ามาลบล้างข้อมูลออกไป เอาถ้อยคำพระเจ้าล้วนๆ มาใส่

คำกล่าวที่ว่าพระเจ้าจะทดสอบความเชื่อของเรา ความทุกข์ยากลำบาก  เพื่อจะฝึกฝนเราให้เข้มแข็ง นั่นคือความเท็จทั้งสิ้น มาจากมารทั้งนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วการทดสอบความเชื่อผ่านความทุกข์ยากลำบากเล่านี้ มาจากอะไร? เดี๋ยวผมบอกให้ท่านฟัง ท่านจะอ๋อเลย มีถ้อยคำพระเจ้ามาชี้ให้เราเห็น พระวิญญาณพระเจ้าที่เราเห็น เราจะเห็นชัดเลย ความทุกข์ยากลำบากอะไรที่เกิดขึ้น ความเสียหาย ความวิปริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันมาจากระบบของโลกนี้ ที่เสียหายไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราอาดัมและเอวาได้เอาบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ มารก็เข้าครองบนโลกใบนี้ ระบบของมารครองโลกใบนี้อยู่ มันวิปริตไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว สงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น ก็เป็นความคิด ข้อมูลผิดๆ ที่มารส่งเข้ามาให้เราว่าพระเจ้าเป็นผู้เอาความชั่วร้ายเข้ามา ความทุกข์ลำบากเข้ามาในโลกนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ 6 วัน แล้วพระองค์บอกว่า … “ดี” สร้างให้เป็นบ้านของเรา บ้านของมนุษย์ แล้วพระองค์อยู่กับเรา ในสวนเอเดน พระองค์สร้างไว้อย่างดี แล้วมารมันเข้ามาหลอกล่อบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ให้ทำพลาด  คือไล่พระเจ้าออกไป แล้วส่งมอบทุกอย่าง สิทธิของมวลมนุษย์ และลูกหลานของเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ให้เป็นสิทธิของมารซาตานไปแล้ว พระเจ้าก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น พยายามช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนมา โดยวางแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยยอมสละพระบุตรเพียงองค์เดียว มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากคำสาปแช่ง ความบาปนั้น แล้วก็ช่วยสำเร็จแล้ว ความสำเร็จนั้น มันเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว แต่ขบวนการที่จะเกิดผลสำเร็จจนกระทั่งถึงโลกใบนี้ เปลี่ยนใหม่ มันยังไม่ถึง มันต้องรอก่อน รอวันที่พระเยซูกลับมาใหม่ โลกจะถูกเปลี่ยนไป มารจะถูกผลักลงไปในบึงไฟนรก นิรันดร์

กลับมาที่ชีวิตเราคริสเตียน ในขณะที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะคอยช่วยนำพาเรา เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ปลอบโยน คอยช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่มันเกิดขึ้น เป็นธรรมดาบนโลกใบนี้ได้ เพราะโลกใบนี้มันเสียหายไปแล้วต่างหากล่ะ ไม่ใช่เป็นผู้นำเราเข้าไป แต่เป็นผู้นำเราออกมา

นี่คือข้อมูลความจริง และเป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่แท้จริง ที่เราเรียกกันว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ความดีงาม รักเราหมดหัวใจ ทุ่มเททุกอย่างให้กับเรา นี่แหละคือพ่อของเรา เห็นไหม นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณที่หนักที่สุดเลย ถ้าเราหาศัตรูไม่เจอ หรือไปเพ่งที่ผิด ผิดผู้ ผิดคน แย่เลย ศัตรูยังอยู่ ทำให้มิตรเราเสียหายไป พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าผู้ปลอบโยน จะไม่ติดต่อกับเรา หรือพูดคุยกับเราผ่านความทุกข์ลำบากที่ให้เกิดกับเรา ผ่านทางโศกนาฎกรรมอย่างเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้เลย อย่างที่ตะกี้นี้ ที่ผมบอกแล้วนะ เพราะเราเป็นลูก แล้วยังเป็นลูกที่อ่อนแอด้วย  เป็นทารกที่เพิ่งเกิด พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ทำให้เกิดโศกนาฎกรรม หรือเป็นผู้อนุญาตให้มีการฆ่ากันตายบนโลกใบนี้ คนดีๆ ถูกฆ่าตาย  พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ก่อสิ่งเหล่านั้นขึ้นบนโลกใบนี้  โลกใบนี้มันวิปริตแล้ว เนื่องจากบาป แล้วพระองค์มาช่วยเรียบร้อยด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ปลอบโยน และเป็นผู้นำพาเราผ่านทางความทุกข์ยากลำบาก ให้สามารถดำเนินชีวิตผ่านทางความวิปริตบนโลกใบนี้ได้ เอเมน ถ้าคนเชื่อเต็มๆ เขาบอก …

“พระเจ้าจะพาเราผ่านพายุที่โหมกล้ากระหน่ำ ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าเราเชื่อว่าพระองค์พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าขณะที่เดินผ่าน พระองค์ทำให้มันสงบหรือไม่? หรือพระองค์ต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็พาเราผ่านได้ ข้อมูลเท็จที่เรามักเคยได้ยิน พยายามที่จะบอกเราว่าโศกนาฎกรรมเหล่านั้น ความทุกข์ยากเหล่านี้มาจากพระเจ้า เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่ ถูก เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องรับผิดชอบตรงนี้ด้วย เฮ้! อยู่ดีๆ ไปสรุปอย่างนั้นได้อย่างไรเล่า ต้องดูอะไรมันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มารมันไปอยู่ไหน? บางคนไปดูละคร ดูออกมาเสร็จ ตัวละครมีอยู่ 10 ตัว ดูอยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้นเอง พระเอก นางเอก และนางร้าย ตัวประกอบคนอื่นไม่เห็นเลย ไม่มองเลย ในโลกใบนี้ มีผู้แสดงเยอะแยะ มีทั้งพระเจ้า มีทั้งมนุษย์  และมีทั้งมาร เราต้องมองให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ซึ่งความหลอกลวงเหล่านี้ คืออาวุธของมารที่พยายามส่งข้อมูลที่ผิดพลาดเข้ามาในสมอง เข้ามาในความคิดของเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย และผู้ที่ไม่เชื่อด้วย สิ่งไม่ดีเหล่านี้มาจากพ่อของเรา มาจากพระเจ้าๆ ใส่เข้ามาอย่างนี้ตลอด ถึงเวลาแล้วที่เราจะลุกขึ้นมา แล้วบอกว่าไม่ใช่ๆ โดยที่บอกตัวเราเองก่อน แล้วค่อยบอกคนอื่น ถ้าตัวเราเองชัดเมื่อไร? มันจะออกมาเป็นอัตโนมัติเอง ไม่ใช่แน่นอน เราจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยให้ข้อมูลเท็จเหล่านี้ เข้ามาครอบครองพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในสมองของเราเด็ดขาด เมื่อเรามองไปที่ความตายบนโลกใบนี้ หรือความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ ซึ่งโดนกันทุกคน หรือโรคภัยไข้เจ็บบนโลกใบนี้ หรือความยากลำบากบนโลกใบนี้ ความเครียดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ข้อมูลที่พวกมารพยายามส่งเข้ามา ก็คือพระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นผู้นำเข้ามาทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นข้อมูลไม่จริง แต่มนุษย์บนโลกใบนี้ ชอบคิดอย่างนี้ พอคิดถึงพระเจ้า ชอบคิดอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็ต้องเจออย่างนี้ เพราะโลกมันถูกสาปแช่งไปแล้ว เพราะโลกมันอยู่ในอำนาจของมาร แต่พระเยซูชนะแล้ว และชัยชนะนั้นมันจะเลยมาถึงการทำโลกใหม่ การจับมารเข้าไปขังอยู่ในนรกนิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา คือพระเยซูคริสต์ คือความจริง แล้วความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท ทำให้เราสามารถเอาชนะการหลอกลวง การล่อลวงของมาร เอาชนะสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ได้ เอเมน

ในข้อที่ 6 ที่บอกว่า “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

“เราพร้อมที่จะลงโทษ” ทุกคนรู้แล้วนะ

“ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่คนแล้วนะ

“หลังจากที่ท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์” หมายถึงการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า … พระเจ้าบอกขาว คนนี้บอกดำ ก็คือบาปนั่นเอง

การลงโทษความคิดที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือบาป ก็คือความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ความคิดที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรามีหน้าที่ลงโทษมัน ไม่ใช่คนแล้วนะ ลงโทษความคิดที่เป็นศัตรู ลงโทษความคิดที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ยกตัวอย่าง เช่นความคิดที่บอกว่าตัวเราเองด้อยกว่าคนอื่น พระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น มาโบสถ์บ้าง ไม่มาโบสถ์บ้าง ขี้เกียจอธิษฐานบ้าง ประกาศก็ไม่กล้าพูด แล้วอะไรอีกล่ะ ถวายทรัพย์ก็ได้แค่นิดเดียว สรุปสุดท้ายถ้าเราเชื่อมัน มันก็จะบอก “ฉันมันเลว” ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างนี้คือความคิดที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราจับมันได้ปุ๊บ ความคิดอย่างนี้ต้องถูกลงโทษ คือไล่มันออกไป แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นดาบสองคม แทงทะลุเข้าไปในความคิดของเรา เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่เป็นความจริงใส่เข้าไป

ยกตัวอย่าง พูดไม่ดีมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว … “อันนั้นก็ไม่ได้ทำ อันนี้ก็แย่ ฉันเป็นคนเลวจริงๆ เซ็งตัวเองเหลือเกิน เดี๋ยวก็หงุดหงิด ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ไม่เคยถวายเกียรติพระองค์เลย ฉันมันเลว”

ลุกขึ้นมาเลย เอาถ้อยคำพระเจ้าใส่เข้าไป แล้วลงโทษมันด้วยวิธีนี้ เชิดหน้าขึ้น แล้วก็บอกว่า …

“ในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูไม่มีผิดเลย แล้วจะมาบอกว่า “ฉันเลว” ได้อย่างไร?”

บอกมันอย่างนี้ นี่แหละคือการลงโทษ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ใส่ถ้อยคำเข้าไปอย่างเดียว แต่เป็นการพูดให้มันได้ยิน   หรือบางอย่างต้องใช้การกระทำ  สมมติว่ากลัวๆ เขาให้ขึ้นไปเป็นพยานบนธรรมาส ไม่กล้าขึ้น เรายังไม่บริสุทธิ์พอ คราวนี้แหละ …

“อาจารย์ขอเป็นพยานหน่อยได้ไหม? ฉันจะขึ้นไปพูด”

ทั้งที่เป็นคนกลัว ไม่กล้า เพราะรู้สึกตัวเองไม่ดีพร้อม วันนี้กล้า ทำอะไร? กำลังลงโทษมันไง ลงโทษความไม่เชื่อฟังตะกี้นี้ ที่คิดว่า “ตัวฉันเลว” กลายเป็นมั่นใจแล้ว โอเค วันนี้ขอเป็นพยาน ขึ้นมา อธิษฐานเต็มที่เลย แล้วพูดว่า …

“ผมมาเชื่อพระเจ้าวันนั้น วันนี้ บัดนี้ผมเข้าใจแล้วว่าการเชื่อพระเจ้า คืออะไร? ผมเจริญเติบโตในวิญญาณ ผมเข้มแข็ง ผมเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ผมก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว”

เห็นไหม? มันตรงกันข้ามกับที่มารโกหกหลอกลวงแบบนี้เยอะแยะเลย ตัวอย่างเยอะแยะไปหมด ท่านสามารถเอาไปใช้ได้  อย่างนี้เขาเรียกว่าความคิดที่ต้องถูกลงโทษ ไล่มันออกไป แล้วก็แก้แค้นมันเลย เพราะฉะนั้น อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด ที่เป็นเหมือนปรมณู สำหรับชีวิตคริสเตียน ก็คือความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราหรือท่านที่เชื่อแล้ว เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเกิดใหม่แล้ว อย่าให้ใครมาขโมยความจริงนี้ไปได้โดยเด็ดขาด รวมทั้งผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่ สะอาดหมดจด พ้นจากบาปเวรกรรม เป็นของมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่เรามาเชื่อแล้ว เราได้รับแล้ว คนที่ยังไม่เชื่อ เขายังไม่ได้รับ แต่ก็เป็นของเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มารมันพยายามปิดบังตา พยายามใส่ข้อมูลเท็จต่างๆ เข้าไป เพื่อไม่ให้คนได้มารับตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องรักษาตรงนี้ไว้

วันนี้ผมจะนำท่าน ติดอาวุธปรมณูไว้ที่สมองของท่าน วิธีติดอาวุธทำอย่างไร? อย่างที่บอก เอาถ้อยคำแห่งความจริงในนี้ว่าท่านเป็นใครในพระคริสต์ใส่เข้าไป ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ฟังอยู่ทางบ้าน หรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ถ้าท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ไม่เชื่อพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ สิ่งที่พูดมันเป็นของท่าน พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน ไม่ใช่เพื่อผู้เชื่อทั้งหลายเท่านั้น แต่ผู้ที่ไม่เชื่อด้วย พร้อมทั้งผม ก็คืออดีตที่ไม่เชื่อนั่นแหละ แต่พอได้รู้ความจริงแล้ว ก็มาเชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ท่านรู้ความจริง ท่านก็แค่มาเชื่อ ก็เป็นของท่านแล้ว อย่าให้มารหลอกลวงท่านอีกต่อไปว่านี่คือการเปลี่ยนศาสนา นี่คือการเปลี่ยนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ยุ่งไปหมดเลย เอาเป็นว่าให้เป็นประโยชน์ของท่าน ไม่เสียหายอะไร?

คราวนี้ผมจะนำผู้ที่เชื่อแล้ว ติดอาวุธของท่านเข้าไป ก็คือที่ผมเคยบอกบ่อยๆ ว่าใช้วิธีการใส่ถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปในสมองของเรา วิธีใส่เขาเรียกกันว่าใคร่ครวญภาวนาถ้อยคำพระเจ้า วันนี้เราจะฝึกต่อ พูดพึมพรำเบาๆ พูดกับตัวเอง ก็คือการเอาถ้อยคำพระเจ้าใส่ลงไปในความคิดของเรา พูดเบาๆ แล้วให้ตาฝ่ายวิญญาณของเราได้เปิดออก ให้เห็นภาพเป็นไปตามนั้น นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้แหละ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อ ในการไถ่บาปของพระเยซู ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้กระทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู ชดใช้บาป เวรกรรม ด้วยการตายที่ไม้กางเขน พร้อมกับพระเยซู และพระเจ้า ได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ ได้เกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซู ฉันถึงเป็นวิญญาณที่เกิดใหม่พร้อมพระเยซู เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ ชอบธรรม เหมือนพระเยซู อยู่ในบ้านของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเรียกว่าบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณ อยู่ในฐานะ เป็นลูกของพระเจ้า ครอบครองมรดกของพระเจ้าในสวรรค์ร่วมกับพระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู และพระเจ้าได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจใหม่ เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระเยซู เพียงแต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ บนโลกใบนี้ ซึ่งร่างกายนี้ จะต้องตาย ต้องเจ็บป่วย เสียหาย เสื่อมโทรมไปสู่ความตาย กลับไปสู่ดิน เป็นไปตามโทษของความบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม

ฉะนั้น ตัวจริงๆ ของฉัน คือวิญญาณของฉัน จะอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้น ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ มันจึงแค่แป๊บเดียว เล็กน้อย ไม่สามารถเทียบได้กับสง่าราศีนิรันดร์ ในสวรรค์สถาน ที่พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูให้กับฉันวันหนึ่งข้างหน้า และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่นี้ ที่ไม่ต้องตาย ไม่มีเจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีอิทธิพลของความบาป อีกต่อไป และฉันจะอยู่ในร่างกายสวรรค์นี้ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู เอเมน”

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2019 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2019

 เรื่อง “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราจะต่อซีรี่ย์นี้ เรายังอยู่ในเรื่องของ “การต่อสู้ของโลกวิญญาณ ทางความคิด” ตอน 3 ที่พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องเจอ และต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา ก็คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็พูดถึงสงครามทางฝ่ายวิญญาณนี้ ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ ซึ่งหลายๆ คน ก็ไม่เข้าใจเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ เที่ยวนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจน แล้วเห็นชัดว่ามัน คืออะไร จะได้ไม่ถูกหลอก

ครั้งที่แล้ว ผมได้อธิบายให้ฟังแล้ว จุดกำเนิดของมารซาตาน จุดกำเนิดของความบาป คือความชั่วร้ายมาจากไหน? ก็คือมาจากทูตสวรรค์ที่มีชื่อว่าลูซีเฟอร์ ซึ่งพอตกกระป๋อง ก็มีชื่อเปลี่ยนไปว่าซาตาน ความชั่วร้าย  ที่เกิดขึ้น ก็คือในตัวของลูซีเฟอร์ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาเอง อยากเป็นพระเจ้าเสียเองเลย มันโผล่ขึ้นมา มันก็เออร์เล่อ เกิดความผิดปกติในตัวของมันเอง มันก็จะคิดกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ทำสงครามกับพระเจ้า แล้วมันก็พ่ายแพ้ จึงตกกระป๋อง กลายเป็นซาตาน

แล้ววิธีทำสงครามของมัน ก็คือการใส่ข้อมูล ที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า บิดเบือนถ้อยคำของพระเจ้า ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นพระฉายของพระเจ้า มันต้องการทำลายทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เริ่มต้นครั้งแรกในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลก มันมีพรรคพวก 1 ใน 3 หลังจากตกกระป๋องมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็เริ่มหลอกพระฉายของพระเจ้า คือลูกของพระเจ้า คือพวกเรา เริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ในสวนเอเดน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เริ่มหลอกว่า …

“พระเจ้าบอกว่า “อย่ากิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะต้องตาย”

แต่มันบอกว่า “พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน”

ถูกครึ่งหนึ่ง แล้วมันบอกต่อว่า “ถ้าเจ้ากิน เจ้าจะเหมือนพระเจ้า”

ถ้ามันหลอกคำแรกเลย อาจจะไม่ฟัง คำแรกนะถูก พระเจ้าบอกอย่ากิน แต่พระเจ้าบอก ถ้าวันใด ขืนกิน เจ้าจะต้องตาย ถูกสาปแช่ง แต่มันบอกไม่ถูกสาปแช่งหรอก ไม่ตายหรอก แต่เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า

ก็คือนิสัยของมันนั่นเอง มันอยากจะเป็นพระเจ้า มันก็เอาสิ่งเหล่านั้น มาใส่ให้กับมนุษย์ หลอกมนุษย์ ผลก็คืออาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเรา ก็เชื่อมาร คือมีความคิดเหมือนกับที่มันส่งเข้ามา ก็คืออยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ความคิดเดียวกันกับมาร ตอนสมัยที่เป็นลูซีเฟอร์ตกลงไปในความบาป อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น มันถ่ายทอดจากความคิดของมาร มาสู่ความคิดของมนุษย์ คู่แรก ก็คืออาดัมและเอวา พูดแล้วจะขนลุกเลยว่าขณะที่อาดัมและเอวา เชื่อฟังต่อคำโกหกและหลอกลวงของมาร และตกลงไปในความบาป ไปเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ในขณะที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังนั้น มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันที่พระเจ้าสร้างมาวันแรก ซึ่งทั้งหมด อยู่ในตัวของอาดัมและเอวา ซึ่งเรียกว่า DNA พวกเราอยู่ในนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป ตกลงไปในคำสาปแช่ง ถูกลงโทษ พวกเราก็เลยถูกลงโทษด้วย  เพราะเราอยู่ในนั้น เราก็ถูกลงโทษไปด้วย นี่คือสิ่งที่มารต้องการ และมารก็เยาะเย้ยพระเจ้าว่า  …

“นี่ไง เห็นไหม ลูกของพระองค์ตอนนี้ มาเป็นทาสเราแล้ว ลูกของพระองค์ตอนนี้มาเป็นพวกเราแล้ว”

ลูกของพระเจ้า แต่ตอนนี้ มาเป็นศัตรูกับพระเจ้า มารและพวกสมุนของมัน ก็ยังคงเดินหน้า ก่อการกบฏ และทำสงคราม ถามว่าสงครามนี้ มันจะสิ้นสุดเมื่อไร? พระคัมภีร์มีบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่าต้องรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อทำการพิพากษา ปราบพวกมารเหล่านี้ให้สิ้นซาก

พระเยซูบอกว่าเมื่อข่าวดีถูกประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย ตอนนี้ข่าวดีประกาศไปประมาณ 2,000 ปี และอีกกี่ปี พระเยซูถึงจะกลับมาใหม่ ถึงจะจบสักที จับมารขังคุก ลงนรกไปเลย อีกกี่ปี ก็ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกว่าเมื่อวันที่ข่าวดีนี้ประกาศไปถึงมนุษย์คนสุดท้าย

ฟังดูสิ มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิดเมื่อไร? ไม่รู้ แต่มันจะมีวันหนึ่งแหละที่มนุษย์คนสุดท้ายจะเกิด สมมติว่าเอาสิ้นปีนี้ มนุษย์คนสุดท้ายเกิด แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? คนสุดท้ายเกิด เราไม่มีทางรู้ จนกว่าพระเยซูจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อสิ้นปีนี้ มีเด็กเกิดมา อีก 7 ปีข้างหน้า เด็กคนนี้เจริญเติบโตไปจนถึงอายุ 7 ขวบ สมมตินะ แล้วข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศไปถึงคนๆ นี้ คนสุดท้าย แล้วพระเยซูก็กลับมา กลับมาเป็นผู้พิพากษา จัดการเรียบร้อยทุกอย่าง แล้วก็สร้างโลกใหม่ให้กับมนุษย์ได้อยู่ แล้วก็เอาความชั่วร้ายต่างๆ ไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์ ไม่ขึ้นมาอีกแล้ว จบ

นี่คือความหวังใจ นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าโลกใบนี้มันเสียหายอยู่ มันเสียหาย เพราะบาปคงทำงานอยู่ พระเจ้าไถ่เราแล้วก็จริง แต่ไถ่ทางวิญญาณเท่านั้น ทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้นั้น มันยังคงตกอยู่ในคำสาปแช่ง วันก่อนไปดูที่ดินกับพี่น้องที่เขาซื้อไว้ แล้วก็ทำสวน ปลูกต้นกล้วยบ้าง ปลูกแก้วมังกรบ้าง เลี้ยงปลา เขาบอกว่าปลูกยากลำบากจริงๆ เลย  เดี๋ยวแมลงก็มา ปลูกมะพร้าวเป๊บเดียว ตัวด้วงกิน ไม่เหลือเลย เหนื่อย เลยบอก พระคัมภีร์บอกไว้  สวนเอเดน ทุกอย่างดีหมด พอมนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกสาปแช่ง โลกใบนี้เปลี่ยนไป พระเจ้าบอกว่าผืนดินจะให้หนาม พูดง่ายๆ ทำมาหากินลำบากลำบน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ของที่กินได้ ปลูกแทบตาย ศัตรูพืชเต็มไปหมด แล้วก็เดินไปอีกแปลงของพี่น้องอีกคนหนึ่ง ปรากฏว่าเขาไม่ค่อยได้มา ขึ้นดกเลย  คือไมยลาพ มีหนามด้วย เดินเข้าไปไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้มันไม่ใช่คำสาปแช่งเหรอ อันที่กินไม่ได้ มันขึ้นอย่างสวยงามมากเลย อันที่กินได้ เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะได้สักชิ้นหนึ่ง นี่ถ้อยคำพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วถามว่าจะรอเมื่อไร พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกไถ่บาปเราเลยนะ  สำเร็จในโลกวิญญาณ วิญญาณนะเรียบร้อยแล้ว มนุษย์ทุกคน เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว วิญญาณเขาได้เกิดใหม่ แต่ยังอยู่ในร่างกายเก่าอยู่ ร่างกายที่เรานั่งอยู่นี้ วิญญาณใหม่เราอยู่ข้างใน พระคัมภีร์พูดอย่างนี้เสมอ ในพระคัมภีร์ใหม่ บอกให้เรามองให้เห็นเถิดว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นใหม่ทั้งสิ้นเลย 100% แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า  ร่างกายเก่าที่จำเป็นจะต้องเจ็บและตายในที่สุด ตายก็แปลว่าลงดินไป ตามคำสาปแช่ง ในปฐมกาล ตอนที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป หนึ่งในคำสาปแช่งนั้น คือร่างกายของเจ้าที่ไม่ต้องตาย บัดนี้เจ้าจะต้องตาย ร่างกายของเจ้าสร้างมาจากดิน มันก็กลับไปสู่ดิน

เพราะฉะนั้นร่างกายของมนุษย์ที่เราเห็นๆ อยู่นี้  มันก็ต้องไปสู่ความตาย ลงไปสู่ดิน สักวันหนึ่ง เนื่องเหตุจากคำสาปแช่งนั่นเอง วิญญาณอยู่นิรันดร์ และพระเจ้าก็จัดเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซู ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต้องตายอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป  ให้กับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเขาทิ้งร่างกายนี้แล้ว พระเจ้าสัญญาว่าเขาจะได้ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ ซึ่งศักดิ์ศรีนิรันดร์  ศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ สูงกว่าร่างกายปัจจุบันมากเหลือเกิน เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย เดินผ่านทะลุกำแพงได้เลย

สรุป ก็คือตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ และตราบเท่าที่พระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา บรรดาพวกมาร ก็ยังคงทำงานของมันต่อไปเหมือนเดิม เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่จะต้องดำเนินต่อไป จนกว่าจะถูกจับทิ้งลงไปในบึงไฟนรก โดยพระเยซูคริสต์ของเรา และกองทัพผู้ชอบธรรมทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งเราด้วย ในอนาคตอันใกล้หรือไกล ไม่มีใครรู้

เรากลับมาที่ร่างกาย ในสมองหรือความคิดของมนุษย์ทุกคน ก็ยังคงต้องเป็นสมรภูมิรบ หรือเรียกว่าสนามรบต่อไป พระคัมภีร์บอก สมองความคิดของเรา  ที่เรามองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้ มันทำงานอะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามันมีความคิดอยู่ตรงนี้ จะเรียกว่าสมอง จะเรียกว่าความคิดจิตใจก็ได้ นี่คือสงคราม ที่กระทำการงานอยู่ในสนามรบ มนุษย์ทุกคนเป็นเช่นนี้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราต้องมาคุยกันในเรื่องนี้เยอะๆ เพราะมันมองไม่เห็น พระคัมภีร์เป็นโคม เป็นแสงสว่างส่องให้เราเดิน ให้เรารู้ว่ามันคืออะไร? เราต้องมาย้ำกันเยอะๆ มาเล่าให้ฟัง อย่างละเอียดบ่อยๆ เพราะเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องเผชิญกับการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา มันถึงต้องบอกบ่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น พวกเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว (ในวิญญาณของเรา) มองไม่เห็น พูดอย่างนี้บ่อยๆ เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อันเป็นที่รักของพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว  ตอนนี้ วิญญาณเราอยู่ที่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าอาณาจักรพระคริสต์ มองเห็นไหม? ไม่เห็น มันถึงต้องย้ำกันอย่างนี้

นี่แหละคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ เมื่อไม่เห็นต้องย้ำ พระคัมภีร์ก็บอกเป็นระยะว่าเพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย ให้จดจ่อความคิดของท่านไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นนี้ ซึ่งใช้คำว่าจดจ่อไปยังเบื้องบน

“เบื้องบน” หมายถึงมิติที่มันดีกว่า มิติที่อยู่สูงส่งกว่า มิติบนโลกใบนี้ที่มองไม่เห็น จะเป็นมิติที่ 4 หรือ 5 ก็ไม่รู้ … รู้ว่ามันมีอยู่จริง  แต่ร่างกายธรรมดาของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปสัมผัสรับรู้ได้ ต้องใช้วิญญาณเท่านั้น และวิญญาณก็จะถูกนำ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่านั่นคืออะไร? เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มากกว่าอื่นๆ ทั้งปวงเลย พระคัมภีร์จึงพยายามพูดวนเวียนถึงสิ่งเหล่านี้ และมารก็พยายามที่จะดึงเราออกจากสิ่งเหล่านี้ ให้มาอยู่ที่วัตถุ ให้มาอยู่ในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ พระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะพาเราไปในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น แล้วก็บอกเราว่าที่นั่นเป็นอย่างไร? อยู่อย่างไร? เขาเป็นอย่างไรบ้าง และมีอะไรเกิดขึ้น พระเจ้าสัญญาอย่างไร? เรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเป็นลูกพระเจ้าอย่างไร? เราบริสุทธิ์สะอาดอย่างไร? มารก็พยายามดึงเราลงเวทีล่าง เพื่อจะชกเรา เพื่อจะอัด เพื่อจะให้เราเป็นทาสมันให้ได้ อย่างนี้เราเรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ

เคยได้ยินไหมครับ “ตำราพิชัยสงคราม” ที่บอกว่าในการทำสงคราม สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องรู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้ง ก็ชนะ 100 ครั้ง ในขณะที่เรากำลังทำสงครามกับพวกมารอยู่ เราก็ต้องรู้ว่าพวกมันทำงานกันอย่างไร? และเราควรต้องรับมืออย่างไร? เช่นเดียวกัน มันเข้ามา 100 ครั้ง เราก็ชนะ 100 ครั้ง ถ้าเรารู้วิธี คือดึงมันขึ้นมาที่โลกวิญญาณ ดึงขึ้นมาที่เวทีวิญญาณ ดึงมันขึ้นมาข้างบนนี้ให้ได้ อย่าไปชกกับมันที่โลกวัตถุ อย่าไปชกกับมันที่สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้

บางคนไม่เข้าใจ เวทีโลกวิญญาณ เวทีโลกวัตถุมันเป็นอย่างไร? เอาง่ายๆ สมมติว่ามีข้อมูล มีคนมาถามท่านว่า …

“เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่เห็นแข็งแรงเลย ทำไมยังป่วยอย่างนี้อยู่อีกล่ะ มันไม่ควรจะป่วย พระเจ้ายิ่งใหญ่เหลือเกิน พระเยซูต้องก็รักษาได้สิ”

สมมติถ้าท่านจะชกกับมัน  มันมาแล้ว สงครามเริ่มต้นแล้ว

“ป่วยอย่างนี้ได้อย่างไรล่ะ เป็นลูกพระเจ้า ดูสิ พระเยซูรักษาก็หายแล้ว วางมือก็หายแล้ว”

นี่วางไปกี่ครั้งแล้ว ยังไม่หายเลย คุ้นๆ ไหม? เติมอีกนิดหนึ่ง ก็ได้

“นี่เป็นลูกพระเจ้า ทำไมอดๆ อยากๆ อยู่เลย ทำงานก็เจ๊งหมด อธิษฐานขอในพระเยซูมันได้หมดทุกอย่างไง ไม่ใช่หรือ?”

มี 2 เวทีให้ท่านเลือก ท่านจะชกอย่างไร? ถ้าเวทีวิญญาณ ท่านก็ดึงมันขึ้นมา

“ไม่ เพราะฉันไม่ท้อใจ 2 โครินธ์ 4:16 บอกมาเลย”

นี่ดึงขึ้นมาข้างบน “เพราะฉันไม่ท้อใจ ไม่กังวลใจ แม้ว่ากายภายนอกจะเจ็บป่วย หรือตายก็ตาม เพราะมันแค่แป๊บเดียว มันไม่สามารถเทียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่ฉันจะได้รับ ที่พระเจ้าเตรียมให้ คือร่างกายในสวรรค์ได้  เพราะว่าฉันได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด”

ไปอีกเยอะเลย มันตกม้าตายไปแล้ว เห็นหรือยัง? ท่านชนะไปแล้ว ถูกไหม? ท่านเดินผิวปากไป ทั้งๆ ที่ยังเจ็บหลัง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยสันติสุข นี่คือของแท้ แล้วในใจท่านยังพูดอีกว่า …

“ฉันก็รู้ คนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ มันก็เจ็บป่วยอย่างนี้แหละ คนที่ไม่เชื่อไม่เจ็บป่วยหรือไง? แกไปถามดูสิ ไอ้มาร แกมาจดจ่อกับฉันคนเดียว พอฉันเป็นคริสเตียนมาถามว่าทำไมฉันต้องเจ็บป่วย ตอนไม่เป็นคริสเตียน เจ็บป่วย ทำไมไม่ถามบ้างล่ะ มันก็เหมือนกันแหละ แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย มันเกี่ยวกับการหลอกลวงของแกนั่นเอง”

เริ่มเห็นชัดแล้ว แต่ถ้าเราถูกมันหลอก เราแพ้ เราลงไปชกกับมัน บนเวทีที่ตามองเห็น จับต้องได้

“ไหนไม่เห็นหายเลย”

“จริง ปวดเหลือเกิน พระเยซูรักษาลูกให้หายป่วยด้วยเถิด”

ไปให้ใครวางมือ เที่ยวตะลอนไปหาอาจารย์เยอะแยะ ไปให้เขาวางมืออธิษฐาน เพื่อจะหายโรค พอมองอะไรออกไหม? ท่านก็จะทุกข์ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันปกติ อันนี้เป็นวิสัยจริงตามนั้น เพราะว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งมาตั้งแต่โน้นแล้ว แต่มันไม่บอกความจริงกับเรา ถ้าเผื่อไปวางมืออธิษฐาน มีโอกาสไหม? พระเจ้ารักษาโรคหาย มีไหมคำพยาน มี ถามว่ามีเยอะมีน้อย? มีเยอะ ก็เราไปมองดูมันเยอะ ลองเทียบกับคริสเตียนทั้งหมด มีเยอะหรือมีน้อย นิดเดียว คนไม่เป็นคริสเตียน ทำได้ไหม? ทำได้ ไปหาอาจารย์แดง อาจารย์ดำ ทำไสยศาสตร์อะไรต่างๆ มันก็หายบ้าง ไม่เห็นแตกต่างอะไรตรงไหนเลย  เห็นไหม? แต่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดหมดจดแล้ว  มั่นใจแล้วว่าไปสวรรค์ 100% และตอนนี้ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว  พระเจ้าได้เตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปนิรันดร์ เป็นความหวังของเรา เมื่อถึงวันที่ร่างกายเราต้องทิ้ง จากร่างกายนี้ไป นั่นคือชัยชนะของเรา ความหวังใจนี้เต็มเปี่ยม อย่างนี้ ถามว่าอาจารย์ดำ อาจารย์แดง อาจารย์เยอะแยะ ไสยศาสตร์เหล่านี้ สามารถให้เราได้ไหม? ให้ไม่ได้  เห็นหรือยังว่าเราสามารถถูกหลอกลงไปที่เวทีข้างล่าง แล้วเราก็ไปมัวคิดแต่ว่าอยากจะแข็งแรง อยากจะร่ำรวย อยากจะมีชื่อเสียง อยากจะได้พระพร อยากจะประสบผลสำเร็จ ซึ่งอยู่ในโลกที่วิปริตแบบนี้ เรายังอยากได้อย่างนั้นอยู่ เราก็ซวยสิ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ทุกข์ใจ มันก็ไม่มีวันเป็นสุขเลย มีวันนี้รวยมหาศาลล้นฟ้า อีก 30 ปีต่อมา จนไม่มีอะไรจะกิน เป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้ แล้วถ้าเราฝากชีวิตไว้กับสิ่งเหล่านั้น เราจะเป็นอย่างไร? เราก็ทำลายชีวิตของเราเอง เพราะเราไปฝากความหวังไว้ในที่ที่มันไม่มีความหวัง ฝากความหวังไว้ในที่โลเล พระคัมภีร์ใช้คำว่าอนิจจัง มันกินลม กินแล้ง ไปฝากความหวังไว้ที่กินลมกินแล้ง แต่ถ้าเราฝากความหวังไว้ที่ความจริงของพระเจ้า ที่ความชัดเจนนี้  เรามั่นคงแข็งแกร่งอย่างนี้เป็นต้น  นี่คือสงคราม เห็นไหม?

ฉะนั้น ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากลยุทธของมาร ก็คือพยายามทำทุกสิ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างไร? มันก็พยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็คือมันพยายามที่จะมาขโมยความจริงในถ้อยคำพระเจ้าออกไปจากจิตใจเรา วิญญาณของเรา ถ้าเรามีความจริงอยู่ 50 มันก็พยายามจะขโมย 50 นั่นไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอยู่ 100 ก็จะพยายามขโมย 100 และมันไม่มีสงสารเราว่ามันขโมยแล้วจะให้เราเหลือบ้าง ไม่ใช่นะ มันอยากจะขโมยให้หมดเลย

พระคัมภีร์บอกว่าสำหรับคนเหล่านั้น  ที่ยังไม่เชื่อฟัง หมายถึงสำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อถ้อยคำพระเจ้า สำหรับคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อพระเยซู พูดง่ายๆ สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเยซู ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระผู้ไถ่บาป ในพระคัมภีร์บอก เขาเหล่านั้น ถูกมารปิดบังตา 100% เลย ไม่ได้เชื่อ เป็นศูนย์ แต่ปรากฏว่าคนนี้หลุดไปได้ เห็นแสงสว่างในสายตาฝ่ายวิญญาณของเขา ได้เชื่อพระเจ้า เหมือนกับเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ได้รับความรอดเข้ามาปุ๊บ มารมันหยุดงานไหม? หยุดทำสงครามไหม? ไม่หยุด มันก็ทำต่อไป คือให้เราได้รับความรอดที่มันยากที่สุด ได้รับพรน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เราไปเป็นพยานต่อคนอื่นๆ อีกต่อไป นี่คือวิธีการ มันก็ปิดบังตาเรานั่นแหละ เพื่อว่าเราไม่สามารถบอกคนอื่นอีกต่อไปว่าการเชื่อพระเยซูคริสต์มันง่ายมากๆ แต่มันพยายามหลอกเรา อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น เราต้องพยายามรู้ความจริง ตอนนี้ เรารู้แล้ว ความคิดเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นสมรภูมิที่สู้กันในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นความสำคัญในการต่อสู้สงครามฝ่ายวิญญาณ หรือสงครามทางความคิดนี้ ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ ก็คือตรงนี้แหละ คือการต่อสู้ระหว่างความจริงของพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท ตามที่พระเยซูบอกกับข้อมูลเท็จของมาร ที่จะทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจ อิทธิพลของมัน และไม่ได้รับอิสรภาพ ข้อมูลฝั่งไหนครอบครองพื้นที่ในความคิดของเราได้มาก ฝั่งนั้น ก็ชนะ ข้อมูลของฝั่งไหนอยู่มาก ฝั่งนั้นชนะ ถ้าข้อมูลคิดแต่เรื่องเบื้องบน สวรรค์ๆ พระเยซูชนะ แต่ถ้าคิดแต่ข้างล่างๆ บนโลกใบนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ มารชนะ

ในหนังสือ 2 โครินธ์ พระคัมภีร์ได้สอนวิธีการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราได้เริ่มอ่านกันแล้ว ที่เน้นว่าเราไม่ได้สู้รบแบบที่โลกนี้เขาทำกัน แล้วอาวุธที่ใช้ทำสงคราม ก็ไม่เหมือนกับบนโลกนี้เขาใช้ทำสงคราม ใช้นิวเคลียร์ ใช้ระเบิด ใช้ปืน แต่ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ 2 โครินธ์ 10:3-5

2 โครินธ์ 10:3-5 “3 เพราะแม้เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ 4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิดให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์”

 

อาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สามารถทำลายล้างที่มั่นต่างๆ ได้ ที่มั่นต่างๆ อยู่ที่ความคิด ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระคัมภีร์บอกว่าถ้อยคำพระเจ้านั้น คมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุแม้กระทั่งจิตและวิญญาณ ข้อต่อและไขกระดูก ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ที่ผมบอกว่าสมัยก่อนชาวยิวใช้มีดสั้น ที่มีความคมทั้งสองด้าน ในการฆ่าสัตว์ และสมัยนั้น มีดแบบนี้ถือว่าเป็นอาวุธที่มีความคมที่สุด พระคัมภีร์จึงเปรียบเทียบถ้อยคำพระเจ้าว่าคมยิ่งกว่าดาบสองคม แทงทะลุทั้งด้านโน้นด้านนี้ ลึกเข้าไปเลย และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้าง ประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ขัดขวางความรู้พระเจ้า  และเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

อาวุธที่เปี่ยมไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าตรงนี้ ก็คือพระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือความจริง พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า และคือความจริง นี่คืออาวุธของเราอย่างเดียวเท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจมาก

นี่แหละ เราจะชนะด้วยวิธีนี้ เพราะว่าเป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ สามารถทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง มารมันโต้แย้ง ส่งข้อมูล ผ่านทางความคิดของเรา โต้แย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่วิญญาณเราอาศัยอยู่ในร่างกายทุกวันนี้ มันจะต้องเจ็บ มันจะต้องป่วย และไปสู่ความตายในที่สุด เพราะเหตุจากบาป ตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตาย นี่คือความจริง

มันก็โต้แย้งว่า … “ไม่ใช่ พระเยซูสามารถทำอัศจรรย์ได้ พระเยซูรักษาคนโรคเรื้อนยังหายได้เลย”

มันเคยบอกพระเยซูใช่ไหม?  ตอนพาพระเยซูไปทดลอง พระเยซูมาเป็นมนุษย์ เพื่อมาเป็นตัวแทนเรา ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ มันหลอกพระเยซู ตอนที่พระเยซูอดอาหารในถิ่นทุรกันดาร แล้วพระเยซูหิว เหมือนมนุษย์เราทั่วไป มันบอกว่าถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริง สั่งก้อนหินให้เป็นขนมปังเลย หิวๆ อยู่ พระเยซูไม่ทำ เพราะว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไม่สามารถละเมิดกฎว่าเป็นมนุษย์มาทำอย่างนี้ได้ไง มารมันมีวิธี เล่ห์กลต่างๆ  เพื่อให้เรา ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก

เพราะฉะนั้น อาวุธของเรา ก็คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าพวกมารจะใช้วิธีอะไร? ใช้ข้อมูลแบบไหนที่มาโกหกเราก็ตาม ถ้าเรามีพร้อม อาวุธของเรา ก็คือพระเยซู … ในนามพระเยซู (ไม่ใช่ไล่ผีออกไปนะ) ในนามพระเยซูออกไปเลย ข้อมูลต่างๆ ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ไปให้พ้นเลย ถ้ามันหลอกเราให้เราโลภ

“มาเชื่อพระเจ้าอย่างนี้ พระเจ้าจะอวยพรให้โลภแน่เลยอย่างนี้ ต้องได้ดีแน่เลย ไปลงทุนเลย กู้หนี้ยืมสินมา อัดเข้าไปเลย อย่างนี้ อธิษฐานเยอะแยะเลย อดอาหารมากๆ รับรองได้ รวย”

ถ้าเราเชื่อมัน เราก็ซวย แต่ถ้าเราไม่เชื่อมัน เราไล่เลย

“ไปให้พ้นไอ้ความโลภ” แค่นี้เอง

แล้วก็เอาถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงว่า “จงพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ พระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง และไม่ละท่านเลย มนุษย์คนใดเล่าจะทำอะไรท่านได้ พระเจ้าอยู่กับท่านแล้ว”

มีอะไรหรือเปล่า? และไม่ถูกหลอกลงไปในการล่อลวงให้เป็นคนโลภ นี่แหละวิธีการ 2 โครินธ์ 10:6 ลองอ่านดู

2 โครินธ์ 10:6 “และเราพร้อมที่จะลงโทษ ทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง หลังจากท่านได้เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

 

คราวนี้ ตรงนี้ต้องอธิบายละเอียดหน่อย เพราะว่าผู้คนพูดกันไปหลายทิศหลายทาง ตอนนี้ท่านพอจะมองเห็น ผมเกริ่นมาตั้งหลายตอน คำว่า “เชื่อฟัง” ฟังให้ดีๆ นะ บางคนเข้าใจว่าเป็นการเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า ในเรื่องการประพฤติปฎิบัติตน ตามกฎดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยพระเยซูยังไม่ไถ่ และพอบอกว่าเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง ก็กลายเป็นว่าใครที่ไม่เชื่อฟัง หรือไม่ทำตาม ก็จะเจอการลงโทษ ซึ่งมันไม่ใช่เลย เดี๋ยวจะพาไปดู นี่สงครามฝ่ายวิญญาณ ที่เราอ่านมาตั้งแต่ต้น ที่บอกว่าอาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนนเชื่อฟังพระคริสต์

“และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนน เชื่อฟังพระคริสต์”

คำว่า “และเราสยบ” ภาษาเดิมแปลว่า “จับ” เหมือนจับอะไรบางอย่างที่มันดิ้น จับแบบออกแรง และบังคับมันด้วย ให้มันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ เชื่อฟังต่อพระเยซู พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูคือความจริง ให้มันเชื่อฟังต่อถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง

ให้ความคิดของเราเชื่อฟัง อย่าไปนึกถึงมาร ไม่ต้องไล่เลย มารมันอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหนหรอก แต่มันจะส่งถ้อยคำ ไล่ข้อมูลผิดๆ ในความคิดของเราออกไป นี่คือการลงโทษ  เห็นไหม? แล้วมันก็มาหลอกเราว่าความคิด กลายเป็นการลงโทษ คนนี้ไม่เชื่อฟัง คนเชื่อตรงนี้ผิดในอดีต จับผู้เชื่อที่ไปทำอะไร ที่เขาไม่เชื่อฟัง ไปเผาทั้งเป็น แล้วกล่าวหาว่าเขาเป็นแม่มด ไม่ต้องอดีตมาก ถ้อยคำแบบนี้ เราจะต้องทำการแก้แค้น ลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อฟัง  กลายเป็นคนเลย อ้าว! ถูกหลอกไปอีก คริสเตียนที่ไม่รู้อีโหน่งอีเหน่

“และเราพร้อมที่จะลงโทษทุกการกระทำที่ไม่เชื่อฟัง”

“เรา” ตรงนี้หมายถึงตัวเราเองนั่นแหละ ความหมาย ก็คือเราพยายามที่จะใช้ถ้อยคำ คือความจริงของพระเจ้าในการต่อสู้กับข้อมูลของพวกมาร ข้อมูล ไม่ใช่ตัวมาร เราจะพยายามยืนยันความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเข้าไปที่ความคิดของเรา ให้ถึงที่สุดเลยว่านี่คือของจริง นี่คือใช่ แล้วใช้ฤทธิ์อำนาจนี้จัดการกับความไม่เชื่อฟัง ที่มันโผล่เข้ามาในความคิดของเรา เอเมน จบ ขอบคุณพระเจ้า

และถ้าเรายังมีความคิดตรงไหนที่ยังเผลอไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้า ทำอย่างไร? ลงโทษมันด้วยการขับไล่มันออกไป วิธีขับไล่มันออกไป คือใส่ข้อมูลของพระเจ้าเข้ามาๆ สมมุติว่าตอนนี้ บางคนยังติดนิสัยอยากจะเจออัศจรรย์ในเรื่องพระเจ้า อยากจะไปขับผี อยากไปวางมืออธิษฐาน รักษาโรค อยากไปอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปหาถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่าการอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? อย่างที่ตะกี้บอก เอาหนังสือ 2 โครินธ์ 4:4-18 ไปท่องเยอะๆ ท่องมากๆ นั่นคือความจริง ใส่เข้าไปว่าพระเจ้าสอนเราแบบนี้ ให้เราหวังในสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์สถาน ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่าหวังในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ เพราะมันอยู่ชั่วคราว มันพลิกไปพลิกมา มันวิปริตไปแล้ว บนโลกใบนี้ ถ้าไปหวัง ถ้าไปอยากได้ในสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านจะเสียใจ ท่านจะเป็นทุกข์ ให้เราหวังในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นคือความหวังนิรันดร์ และไม่มีใครมาขยับได้ มันเข้มแข็ง แข็งแกร่งเรื่อยๆ ทุกวันๆ นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าบอกไว้ พรนานานัปการในสวรรค์สถาน  พระองค์ทรงประทานให้มนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน  เอเมน

เพราะฉะนั้น ใครอยากได้พร? ไปแสวงหาในถ้อยคำพระเจ้าว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ในพระเยซูคริสต์ เรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นลูกของพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันชอบธรรมมากขึ้น เพราะพระเจ้าให้เราเกิดมาเป็น สมัยก่อนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดมาซวย เกิดมาบาป ไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่ในอาดัม … อาดัมเป็นคนทำ เราเกิดมาบาป เราเกิดมาซวยเลย  เกิดมา นรกรอเราอยู่ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน และเมื่อเราเชื่อ เราได้ตายพร้อมกับพระเยซู ไม่ต้องทำอะไรเลย  อดีตเกิดมาบาปเลย  เพราะอาดัมทำให้เรา ตอนนี้เราเกิดมาเป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด ไร้มลทิน เรามีตำแหน่งเป็นลูกพระเจ้า สูงเท่าๆ กับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร และอาจารย์อื่นๆ รวมทั้งคุณนครด้วย เราพึ่งมาเชื่อเมื่อวานนี้ เราก็มีสิทธิเท่าเขาด้วย

นี่คือความเป็นจริง นี่คือความหวังใจนิรันดร์ ที่เราได้รับ ในสิ่งที่มองเห็นชัดๆ มันเป็นอย่างนี้ และเอาข้อมูลเหล่านี้ ไปพูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ ใส่เข้าไปๆ นี่แหละเขาเรียกว่าจดจ่อความคิดท่านไปที่เบื้องบน ณ สถานที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และพระเจ้าก็นำท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานกับพระเจ้า ท่านก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

พระเยซูบอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในการไถ่ของพระเยซูคริสต์ พอเชื่อปุ๊บ สมมติชีวิตท่าน คือกระดาษแผ่นนี้ พอท่านเชื่อ นี่คือพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าพอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าใส่วิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้เชื่อ ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้าบอกว่าในพระคริสต์นี้ พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์ตาย ชดใช้บาป ขณะที่พระเยซูคริสต์ตายอยู่ในนรก เพื่อใช้บาป เราก็ตายด้วย เราก็ตายต่อบาป บาปทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แล้ววันที่สาม พระเยซูคริสต์ก็เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสเองเลย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย ยกให้พระเยซูและประทานนามนามหนึ่ง และตั้งพระองค์ไว้ที่สูงสุด เหนือนามทั้งปวงเลย วางไว้บนที่สูงสุด แล้วเราก็อยู่ที่สูงสุด ร่วมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

สิ่งเหล่านี้ต้องพูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละมารมันกลัวมากเลย กลัวกว่าไล่ผีเยอะเลย  นี่คือความจริงทั้งหมด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า แล้วท่านมองดูสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เยอะๆ ท่านก็อยู่บนโลกใบนี้ อย่างผู้มีชัยชนะนิรันดร์ เอเมน ท่านก็จะหลุดออกจากสิ่งที่หลอกลวงต่างๆ จะรวย จะมี จะจน อะไรก็แล้วแต่พระเจ้า แล้วอะไรก็ได้ ท่านก็จะไม่กังวล จะเจ็บป่วยอะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป จะมีทุกข์บ้าง มีอะไรบ้างต่างๆ บนโลกใบนี้ มันเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ มันเป็นจริง เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว ไม่เชื่อไปดูต้นไมยลาพก็ได้ ดูทีไร นึกถึงพระเจ้าทุกที

เพราะฉะนั้น มองเห็นสัจจธรรมอย่างนี้ มันหลอกเราไม่ได้อีกต่อไป  พระคัมภีร์จึงให้เราหนุนจิตชูใจ ซึ่งกันและกัน ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์หนุนจิตชูใจให้เรา ปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลาย เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเยซูบอก แต่เราชนะโลกแล้ว ทนอีกนิดเดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************