คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฏาคม 2017 เรื่อง “พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฏาคม 2017

เรื่อง “พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ ช่วงนี้เราเน้นเรื่องการบรรยายหนุนใจกันเกี่ยวกับพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้บังคับบัญชาทั้งโลกวิญญาณ โลกวัตถุ ใต้โลก ไม่ว่าจะโลกไหนก็ตาม พระเจ้าควบคุม และยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วเราก็ได้เรียนรู้กันถึงเรื่องว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว คือนำเรากลับไปหาพระองค์ คือนำมนุษย์ทุกคนกลับไปหาพระองค์ ผ่านทางพระเยซู ที่พระองค์ พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนตรัสว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จ ก็คือเราสามารถกลับไปเป็นครอบครัวของพระเจ้าได้แล้ว เป็นลูกของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ต้องรอตาย แล้วค่อยไป สามารถไปเดี๋ยวนี้เลย การเปิดใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับความเชื่อตรงนี้ เราก็ได้รับสิทธิของเราทันที เรากำลังเน้นเรื่องนี้อยู่

วันนี้ ก็เลยมีคำพยานมาเล่าสู่กับฟัง หนุนใจเรื่องเล่านี้มากขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดทันที เดี๋ยวนี้ อีกเรื่องหนึ่งเกิดเมื่อประมาณสัก 10 ปีที่แล้ว ลองฟังดู คำพยานแรกรู้สึกง่ายๆ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ต้องการให้ท่านสังเกตเท่านั้นว่าพระเจ้าควบคุมอยู่จริงๆ อย่างไร? และเราอยู่ในพระเยซูแล้ว เราเป็นหนึ่งกับพระองค์ เราเป็นวิญญาณเดียวกัน ไปไหน พระเยซูก็อยู่กับเราตลอด  ไม่ว่าอธิษฐานหรือไม่อธิษฐานก็อยู่กับเรา ไปทุกหนทุกแห่ง มันเป็นเช่นไร? พระเจ้านำเราเช่นไร? อาจจะเรื่องเล็กๆ สำหรับเราทั้งหลายในขณะนี้ว่าเรื่องนี้เล็กๆ แต่ก็ฟังเรื่องนี้ก่อน แล้วเรื่องที่ 2 ใหญ่กว่านี้

เป็นคำพยานของนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้เอง เป็นคำพยานที่ย้ำถึงความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมและครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง เขาเตรียมตัวเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ครั้งแรก จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว จากนั้น ก็เริ่มศึกษาสถานที่ท่องเที่ยว จองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า เริ่มจากค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนต สอบถามข้อมูลจากคนที่เคยไปมาแล้วว่าจะไปเที่ยวไหนดี เพราะการวางแผนล่วงหน้าก่อน จะทำให้เราได้ซื้อได้ในราคาที่ถูก รวมทั้งตั๋วเครื่องบินด้วย

และก็ได้รับข้อมูลว่าการเดินทางด้วยตัวเอง อาจลำบากหน่อย  และอาจจะมีปัญหาเรื่องภาษา เขาก็เลยตัดสินใจที่จะซื้อทัวร์เมืองไทยร่วมด้วย มาซื้อทัวร์ในนี้ มันจะได้ราคาถูก จองล่วงหน้า เขาก็ค้นหาบริษัทต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ แล้วก็ที่มีโปรแกรมทัวร์ที่น่าสนใจ จนในที่สุด ก็ได้พบกับโปรแกรมที่ถูกใจ เที่ยวทั่วไทยใน 10 วัน แถมมีโปรโมชั่นพิเศษด้วย ถ้าจองล่วงหน้า 2 เดือน จ่ายเงินทันที จะได้รับส่วนลดทันที 10% ไม่น้อยนะครับ ก็ไม่รอช้า จัดการจองออนไลน์ ผ่านทางอินเตอร์เนต

พอหลังจากจัดการเรื่องโปรแกรมทัวร์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ใจเย็นๆ สบาย รอวันที่จะเดินทางอีกแค่  2 เดือนเท่านั้น ก็จัดเตรียมอะไรต่างๆ ไป ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง ก่อนการเดินทาง มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนการเดินทาง 8 วัน  อยู่ๆ ก็บังเอิญ

ให้เราพูดพร้อมกันว่า “บังเอิญ”

มนุษย์เราชอบพูดอย่างนี้ อยู่ๆ ก็บังเอิญไปหยิบรายการทัวร์ที่จองไว้มาอ่านดู ไม่ได้ตั้งใจจะอ่าน บังเอิญ ก็ตกใจ อ้าว! เพราะว่าโปรแกรมทัวร์เมืองไทยที่จองไว้ มันกลายเป็นจองผิดวัน คือเขาจะเดินทางมาถึงเมืองไทย วันที่ 17 และตั้งใจจองทัวร์วันที่ 18 แต่ในใบคอนเฟรม กลายเป็นจองวันที่ 16 ตอนที่จองทางออนไลน์ คงตื่นเต้นมาก กดวันผิดไป ไม่รู้ตัว แล้วที่ทางทัวร์คอนเฟรม เขาไม่ได้ตรวจดูว่ามันตรงกันไหม? เวลาจองเสร็จเขาจะมีคอนเฟรมมาว่าวันที่ 16 ก็โอเค แต่จริงๆ มันไม่ตรงกับคิวที่วางไว้ มันต้องตรงเป๊ะหมด ทั้งการเดินทางด้วยเครื่องบิน โรงแรม ทุกอย่างมันต้องตรงกันหมด ทำอย่างไรดีคราวนี้ อาทิตย์หน้าจะเดินทางแล้ว 8 วัน ถูกไหม อีกอาทิตย์เดียว ยิ่งพออ่านรายละเอียด เงื่อนไขในใบจอง คราวนี้เหงื่อแตกเลย

เงื่อนไขระบุว่าถ้ายกเลิกการเดินทางน้อยกว่า 20 วัน จะได้รับเงินคืน 50% แล้วถ้ายกเลิกน้อยกว่า 7 วัน จะไม่คืนเงินเลย นี่ 8 วัน ซวยแล้วสิ ซวยไหม? จองไว้ 4 คน จ่ายเงินไว้แล้ว แสนกว่า วันนี้ก็บังเอิญเป็นวันสุดท้ายพอดี ถ้าไม่ยกเลิกวันนี้  ก็ได้ศูนย์ ถ้าไม่ยกเลิกภายใน 7 วันเป็นศูนย์ เขาไม่คืนเงินเลย  ถ้ายกเลิกวันนี้ ได้  50% คืน แค่เรื่องต้องเสียเงิน ก็เป็นข่าวร้ายมากพอแล้ว แต่ข่าวนี้ยิ่งร้ายกว่านั้น  ก็คืออาทิตย์หน้าก็จะเดินทางแล้ว อีกอาทิตย์เดียว แล้วจะทำอย่างไร? จะไปไหน? จะพักที่ไหน? จะทำอะไร? ไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย? ทำอย่างไร? ยุ่งแล้วสิ ไม่ใช่เสียเงินไปแสนกว่า แล้วหาอันใหม่ แพงกว่าเก่าอีก เพราะมันใกล้วันแล้ว มันยิ่งแพงขึ้น หาไม่ได้ด้วยซ้ำไป

พอตั้งสติได้ เขาเลยโทรถามทางไกลมาบริษัททัวร์ ที่เมืองไทยเลย โทรทันทีเลยนะ เหลืออยู่ 7 วันกว่า เจรจาขอเลื่อนวันเดินทางจากวันที่ 16 เป็นวันที่ 18 ปรากฏว่าเวลาโทรมาเป็นเวลา 6 โมงเย็น เพราะเวลาไม่ตรงกัน จากเมืองนอก เป็นเวลา 6 โมงเย็นของวันศุกร์ของเมืองไทย ซึ่งบริษัทปิดแล้ว แต่บังเอิญมีพนักงานเหลืออยู่ 1 คนรับโทรศัพท์ บังเอิญอีกแล้ว จริงๆ เขาไม่ได้ตั้งใจอยู่หรอก แต่ยังไม่ได้กลับ เลยได้รับโทรศัพท์พอดี พนักงานก็แจ้งว่าต้องเช็คดูก่อนว่าวันที่ต้องการเดินทาง มีที่ว่างหรือเปล่า? รับได้ แต่ขอเช็คดูว่าว่างหรือเปล่า? แต่ไม่แน่ใจว่าจะเช็คได้หรือไม่ตอนนี้ เพราะตอนนี้ปิดแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันศุกร์ ถ้าไม่ทัน จะเช็คให้อีกทีวันจันทร์ ซึ่งวันจันทร์ก็ช้าไปแล้ว เป็นศูนย์ไปแล้ว ถ้าเป็นวันจันทร์ก็แปลว่าเงินแสนกว่าก็ถูกยึดไป และต้องจัดโปรแกรมทัวร์ใหม่ทั้งหมด ไม่รู้จะเสียเงินอีกเท่าไร? ทั้งค่าที่พัก ค่าโรงแรม ค่าเดินทางต่างๆ แค่นึกก็เหงื่อแตกแล้ว ทำอย่างไรดี เก็บหอมรอมริบมาตลอดหลายปี เพื่อมาเที่ยวเมืองไทย

แต่หลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่า บริษัทปิดทำการไปแล้วนะ พนักงานบริษัททัวร์ก็ส่งเมล์มาตอบ อุตส่าห์ทำงานล่วงหน้า เลิกงานแล้ว พนักงานบริษัททัวร์ก็ส่งเมล์มาตอบว่าวันที่ 18 ที่ต้องการเลื่อนไป บังเอิญมีคนยกเลิก 4 คนพอดี เพราะฉะนั้น สามารถเลื่อนได้เดี๋ยวนี้เลย เลื่อนไหม? ตอบ มือสั่นเลย เลื่อนๆ ทันที จอง จบ ถือว่าจบภายในวันนั้น เลื่อนพอดี จบภายในวันที่ 8 สุดท้าย รุ่งขึ้น ก็หมดแล้ว

ที่เอามาเล่าให้ฟัง ก็อย่างที่บอกอยากให้ท่านได้คิดว่าทั้งหมดมีกี่ “บังเอิญ” กี่บังเอิญ?

–  บังเอิญหยิบโปรแกรมขึ้นมาดู 7 วันสุดท้ายก่อนเดินทาง

– โทรศัพท์ตอนบริษัทปิดแล้ว แต่บังเอิญมีพนักงานเหลืออยู่คนหนึ่งพอดี

–  ต่อมาวันที่ต้องการเดินทาง ที่ต้องการเปลี่ยนไป   จริงๆ เต็มแล้ว  เขาบอกแล้วว่ามันเต็ม มันเต็มมาตั้งนานแล้ว  เต็มตั้งแต่ตอนที่เขาโปรโมชั่น จองกันทั่วโลกมาแล้ว หมดแล้ว อย่างไรก็หมด  ใกล้วัน จะถึงงานอยู่แล้ว ตอนนี้ไฮท์ซีซั่น มันเต็มไปหมดแล้วล่ะ แต่บังเอิญมีคนยกเลิก 4 คน ทำไมไม่ 5 คนล่ะ ถ้า 5 คน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้ามั้ง บังเอิญ เพื่อให้เป็น 4 คน มันจะได้เท่าๆ กัน จะได้รู้ว่าพระเจ้าเป๊ะแน่

จากคำพยานตรงนี้ มันบังเอิญแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เราเลยยิ้มแย้มแจ่มใส เราเลยขอบคุณพระเจ้าด้วยใจจริงของเราว่าพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่จริงๆ พระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างจริงๆ ง่ายเนอะ ฮาเลลูยา

แต่ถ้าเราเปลี่ยนเรื่องนี้นิดหนึ่ง สมมติผมเปลี่ยนเรื่องนี้นิดหนึ่ง บอกว่าบังเอิญวันที่ตรวจเจอว่าจองผิดวันนั้น มันเลยกำหนดเวลาที่แจ้งขอยกเลิกแล้ว เจอคืนนั้น มันเลยไปแล้ว เลย 7 วันไปแล้ว ไม่มีการยกเลิก เขาริบเงินไปแล้ว พูดง่ายๆ

หรือไม่เวลาที่โทรศัพท์ไป ก็บังเอิญเป็นเวลาเลิกงานแล้ว พนักงานกลับหมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ไม่มีคนรับสาย หรือบังเอิญวันที่ต้องการไปจริงๆ มันเต็มหมดแล้ว ไม่มีใครเขายกเลิกสักคนหนึ่งเลย อย่าว่าแต่ 4 คน คนเดียวหนึ่งยังไม่มี สรุปว่าเปลี่ยนวันไม่ได้ ต้องโดนยึดเงินทั้งหมด ต้องเสียเงินอีกเยอะแยะ จองที่พักใหม่ จ่ายค่าเดินทางใหม่ทุกอย่าง

ถามว่าถ้าเป็นการบังเอิญในลักษณะอย่างนี้ เปลี่ยนไปอย่างนี้ เรายังขอบคุณพระเจ้าไหม? เรายังหัวเราะเหมือนตะกี้ไหม? เรายังรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยไหม? เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฮาเลลูยา เราชนะแล้ว พระเยซูบอกเราทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน พระเจ้านำพาเราตลอดเวลา เราจะคิดอย่างไรนี้หรือไม่? คิดไหม? คงคิดยาก อาจจะคิดได้ทีหลัง ตอนเกิดใหม่ๆ คงคิดยาก เรื่องจริง

มาอีกเรื่องหนึ่ง จำได้ใช่ไหม? เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว 911 นี่ก็เรื่องจริงนะ ตึกเวิร์ดเทรล ถูกเครื่องบินชน 2 ตึกล้มลง มาทั้ง 2 ตึกว่ามีผู้ที่เข้าไปช่วย หน่วยกู้ภัยเข้าไปเยอะแยะ เสียชีวิตกันเยอะเลย จำได้ใช่ไหมครั้งนั้น ไปช่วย แล้วตึกมันถล่มมา ขณะที่ช่วยอยู่ ช่วยออกมา ชุดที่ 3 ตึกถล่มพอดี ก็เสียชีวิตไปเยอะแยะ

มีอยู่รายหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง ก็คือเขาเป็นพ่อ … ครอบครัวของลูกเป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้ามาก ลูกก็เฝ้าอธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลาให้กับพ่อ แล้วก็ประกาศให้กับพ่ออยู่บ่อยๆ ว่าให้พ่อ มีโอกาสรับเชื่อ แต่ยังไม่มีโอกาสไปคุยกับพ่อจริงๆ จังๆ สักทีว่าพ่อรับเชื่อเถิด แต่อธิษฐานให้ตลอดเวลา ปรากฏว่าพ่อเป็นหน่วยกู้ภัย และไปเสียชีวิตในเหตุตึกถล่มครั้งนี้ แล้วยังไม่ได้รับเชื่อ ลูกที่อยู่ก็เสียใจมากว่าพ่อเป็นคนดีมาก พ่อช่วยเหลือคนอื่นเยอะแยะมากมาย ตลอดชีวิตของพ่อทำแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วทำไมไม่ได้ดี ก็อธิษฐานด้วยความเป็นทุกข์ใจ รู้สึกตัวเองผิด เรารู้จักพระเจ้า เราเป็นผู้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขนาดนี้ ทำไมเราไม่สามารถประกาศ หรือเรียกพ่อให้มารู้จักพระเจ้าได้ รู้สึกผิด ปรากฏว่าผิดไป

หลังจากนั้นประมาณ 10 วันหรือหลายวัน มีอยู่วันหนึ่งมีผู้หญิงมากดกริ่งหน้าบ้าน แล้วก็เอาของมาให้ แล้วก็มาขอบคุณ ถามว่ามาขอบคุณเรื่องอะไร? เขาบอกว่าขอบคุณ เขาเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ตึกถล่ม เขาอยู่ในนั้น แล้วเขารู้ทีหลังว่าผู้ที่ช่วยเขา คือพ่อของคุณ ตรวจชื่อแล้วว่าเป็นพ่อของคุณ เลยจะมาขอบคุณว่าพ่อของคุณได้ทำสิ่งที่เป็นเหมือนวีรบุรุษ เข้าไปช่วยเขา ออกจากซากที่มันทับลงมาอยู่ใต้ดิน อย่างไม่คิดถึงชีวิตของตนเองเลย

และแค่นั้นไม่พอ ขอบคุณไม่พอ เขายังเล่าต่อว่าพ่อของคุณยังได้มีโอกาสคุยกับเขา  และผู้หญิงที่มีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดคนนี้  เป็นคริสเตียนแล้ว  พ่อคนนี้ได้ไปช่วยเขาออกมา ขณะที่ช่วยออกมา เขาได้มีโอกาสประกาศข่าวประเสริฐให้กับพ่อของผู้ชายคนนี้  เข้าใจไหมครับ? ประกาศข่าวประเสริฐให้กับพ่อ แล้วนำพ่อเขารับเชื่อด้วย แล้วพ่อก็รับเชื่อด้วย แล้วก็พาเธอออกมาส่งข้างนอก แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเข้าไปช่วยคนอื่นๆ อีกที่หลงเหลืออยู่ในนั้น และขณะที่เข้าไป ก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงอยากจะหนุนใจคุณว่าคุณพ่อคุณ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ ขอบคุณมากๆ

โดยที่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้นะว่าผู้ชายคนนี้เขาคิดอย่างไรในใจ เห็นหรือยัง? บังเอิญอีกไหม? บังเอิญ ถามว่าเรื่องนี้กลางๆ ไหม? ขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ก็ขอบคุณได้ แต่พ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว โอ๋! ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้ารู้เสมอว่าอะไรควรจะเป็นอย่างไร? เราไม่รู้

ถ้าตามภาษาพจนานุกรม “บังเอิญ” หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  โดยไม่รู้ตัว หรือไม่คาดหมาย บังเอิญ แปลว่าอย่างนี้ แต่คริสเตียนไม่มีคำว่าบังเอิญ ถูกไหม? บังเอิญใช้กับผู้อื่น ใช้ในอดีต แต่เดี๋ยวนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  ไม่มีคำว่า “บังเอิญ” อีกแล้ว เพราะว่าชีวิตเรามอบให้พระองค์แล้ว จะรู้หรือไม่รู้ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ พระองค์อยู่ในเรา เราก็อยู่ในพระองค์ ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่งนั้นแหละ

เพลงคร่ำครวญ 3:37-38 บันทึกไว้อย่างนี้ “37 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มีประกาศิตไว้ ผู้ใดเล่าจะสั่งให้มันเกิดขึ้นได้? 38 ทั้งหายนะและสิ่งดีงาม ล้วนมาจากพระโอษฐ์ขององค์ผู้สูงสุดไม่ใช่หรือ?”

 

สุภาษิต 19:21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “ในใจของมนุษย์มีแผนงานมากมาย แต่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ”

 

สุภาษิต 3:5-6 บันทึกไว้ว่า “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ”

 

ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บัดนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในพระเยซู เราได้รับบัพติศมา เราได้จุ่มลง เราได้ชุบ มุดลงไป พระเจ้าได้วางเราลงไป  ในพระเจ้า พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ เราอยู่ในนั้น เราเป็นครอบครัวอยู่ในนั้น ชื่อเราได้ถูกจดอยู่ในสำมะโนครัว ครอบครัวนั้น ที่มีชื่อว่า The book of life หรือหนังสือแห่งชีวิต ชื่อเราอยู่ที่นั้นแล้ว พระองค์นำพาเราไปเป็นครอบครัว รักเรามาก ให้เรารู้สิ่งนี้ว่าเราอยู่ในความรักของพระเจ้า และไม่มีใครเอาเราออกไปจากนี้ได้ เราอยู่ในนั้นแล้ว เขาจึงมีเพลงที่ร้องกัน เขาจึงมีเพลงนี้ว่า …

จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรัก จนหมดดวงใจ

จะอยู่ เพื่อจะกล่าว และจะบอกเล่าเรื่องพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญพระนามพระองค์

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ให้พวกเรามีบทเพลงนี้อยู่ในใจเลยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราอยู่ในพระองค์ พระองค์อยู่ในเรา ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น โดยพระองค์ไม่รู้ พระองค์จูงมือเราเดินอยู่ตอนนี้ เอเมน เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ได้ไหม?

จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรัก จนหมดดวงใจ

จะอยู่ เพื่อจะกล่าว และจะบอกเล่าเรื่องพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญ พระนามพระองค์

จะอยู่ เพื่อร้องเพลง สรรเสริญ พระนามพระองค์

ปรบมือให้พระเจ้าของเรา ความรักของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2017 เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 21 “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กรกฎาคม  2017

เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า”

ตอน 21 “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาต่อ “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอนที่ 21 ชื่อตอนว่า “ชัยชนะแห่งยุคสุดท้าย” วันนี้เราจะมาดูกันต่อ ในหนังสือดาเนียล บทที่ 11 ย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่าที่เรามาเรียนรู้หนังสือดาเนียล ก็เพื่อที่จะให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ควบคุม ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย บนโลกใบนี้  ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกที่ตามองเห็น และประเด็นสำคัญที่สุด ก็คือสิ่งใดที่พระเจ้าต้องการให้เรียนรู้ และสามารถเข้าใจได้ พระองค์ก็เปิดตาฝ่ายวิญญาณเรา ให้นิมิตกับเรา สอนเรา บอกเราได้ชัดเจนเลยว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร?  และเราเข้าใจในนิมิตนั้น ส่วนอีกหลายๆ เรื่องที่พระเจ้า ไม่ต้องการให้เรารู้ ซึ่งเราเรียกกันว่าสิ่งลี้ลับ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งลี้ลับ เมื่อพระเจ้าไม่เปิดเผย เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น เช่น หลายๆ เรื่องที่เราได้รับรู้ผ่านทางนิมิตของดาเนียล ที่เราได้เรียนกันมาตลอด ได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงไว้ล่วงหน้า  เป็นเวลาหลายร้อยปี ที่เรากลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ ได้เห็นบันทึกก่อนสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น  มันเป็นจริง ตามนั้นหมดเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าให้เราเรียนรู้ศึกษา

ส่วนสิ่งใดที่พระเจ้าไม่เปิดเผย และไม่ทรงสำแดงให้เรารู้ ในที่เราเรียนมาก็มีเยอะแยะ หลายตอนเลย เราก็ไม่ต้องพยายามสืบเสาะ แล้วก็หาวิธีที่จะรู้มัน ไม่ต้องพยายามที่จะไปหาความจริงในสิ่งลี้ลับอะไรต่างๆ อย่าเข้าไปเลย มันเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เพราะว่าเราไม่ทำตามที่พระผู้สร้างกำหนดให้เราเป็น ถ้าเราไปเรียนรู้สิ่งที่เราไม่รู้ และพระเจ้าไม่อยากให้เรารู้ มันจะเป็นโทษต่อเรา เช่น อัศจรรย์ใหญ่โตอะไรต่างๆ ฤทธิ์เดชอำนาจมากเกินมนุษย์ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเลย แม้ตัวเราเองจะผ่านประสบการณ์นั้น ก็ตาม เข้าไป แล้วรีบออกมา อย่าเข้าไปติดยึดอยู่ มันอันตราย

ในหนังสือฮีบรูบอกว่า …

“เมื่อครบกำหนด เจ้าจะต้องตาย”

มันเป็นการกำหนดไว้แล้วว่ามนุษย์ทุกคน จะตายเพียงครั้งเดียว บอกล่วงหน้าว่าเราต้องตายแน่ๆ ไม่รู้เมื่อไร? แต่เมื่อครบกำหนด เราก็ต้องตาย

สมมติว่าพระเจ้าบอกเราล่วงหน้าว่าจะตายเมื่อไร? เราไม่ทำอะไรแล้ว ก็นั่งรอๆ อย่างเดียว   ไม่มีสมาธิในการดำรงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น การรู้อะไรล่วงหน้า มันไม่ใช่ดีเสมอไปหรอก

เราจึงต้องยอมเคารพกติกาพระเจ้า เมื่อพระเจ้าไม่ให้เราเรียนรู้ว่ามันเป็นอะไร? อย่างไร?  ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าย่อมรู้มากกว่าเราว่าอะไรเราควรจะรู้ อะไรเราไม่ควรรู้ มันไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ก็ไม่ต้องไปรู้ เชื่อฟังพระองค์เถิด เอเมน

กลับมาที่ดาเนียล บทที่ 11 เราได้เรียนรู้กันไปถึงข้อที่ 35 ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวล่วงหน้าในนิมิตของดาเนียล ที่ดาเนียลได้รับถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับชนชาติต่างๆ ในตะวันออกกลาง และแอฟาริกาเหนือ ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ไซรัส แห่งเปอร์เซีย ประมาณ 529 ปีก่อนคริสตศักราช   จนถึงการยึดครองอำนาจในอิสราเอล ในปี 167 ก่อน คริสตศักราช เรื่องราวที่เราจะเรียนกันในครั้งนี้ ก็จะต่อจากครั้งที่แล้ว

วันนี้เราจะมาดูดาเนียล 11:36-45 ซึ่งพระเจ้าได้เปิดเผยให้รู้เพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย คือยุคต่อจากเราไป ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่เรารอกันทั้งโลกนี้ ย้ำอีกครั้งว่าเป็นการบอกให้ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไร? วันใด? เวลาใด? แต่บอกว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอน

และในช่วงท้ายๆ ของดาเนียลบทที่ 11 เป็นบทสรุปว่าประชากรของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะต้องพบกับความพ่ายแพ้ ความทุกข์ทรมาน ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้ว คนที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า จะได้รับความสุข เป็นนิรันดร์ นี่เรื่องจริงๆ

ส่วนผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเรา ผู้ที่เชื่อพระเจ้า ก็คือผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แล้วยังไม่ได้เชื่อในนิมิตนี้ สุดท้ายแล้วจะได้พบกับความทุกข์ทรมานนิรันดร์ อันนี้ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน มันเป็นจริงทั้งคู่

ดาเนียล 11:36-37 “36 “กษัตริย์องค์นั้น จะทำตามใจชอบ เขาจะยกตัวเหนือเทพเจ้าทั้งปวง และกล่าวลบหลู่พระเจ้าสูงสุด อย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน เขาจะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้ 37 เขาจะไม่สนใจบรรดาเทพเจ้า ของบรรพบุรุษ หรือผู้ที่บรรดาสตรีฝักใฝ่ หรือพระใดๆ แต่จะยกตนเอง เหนือเทพทั้งมวล”

 

ตอนนี้เห็นภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังจะเกิดขึ้น จะมีฝ่ายเหนือ ฝ่ายใต้เดินทัพผ่านอิสราเอลจะทนทุกข์ลำบากอย่างไร? พอมาข้อ 36 ปุ๊บ เข้ามาสู่โลกฝ่ายวิญญาณแล้วว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างนี้

กษัตริย์องค์นั้น จะทำตามใจชอบ เขาจะยกตัวเหนือเทพเจ้าทั้งปวง และกล่าวลบหลู่พระเจ้าสูงสุด อย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อน

คำว่า “กษัตริย์องค์นั้น” ตรงนี้ หมายถึงปฏิปักษ์พระคริสต์ในยุคสุดท้าย หมายถึงแอนตี้ไคร์ซ ตรงตามที่เปาโลได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ ใน 2 เธสะโลนิกา 2:4 ซึ่งผ่านจากเรื่องของดาเนียลมาประมาณ 500 ปี ในยุคที่พระเยซูมาเกิดแล้ว และไปอยู่ในสวรรค์แล้ว และเปาโลเป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าเปิดตาให้เห็นอาณาจักรสวรรค์ และเปาโลพูดถึงสงครามฝ่ายวิญญาณ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์ไว้ว่าอย่างไร?

2 เธสะโลนิกา 2:4 “มันจะต่อต้าน และยกตนขึ้น ข่มทุกสิ่ง ที่ได้ชื่อว่าพระเจ้า หรือเป็นที่เคารพบูชา เพื่อว่ามันจะตั้งตนขึ้น ครองพระวิหารของพระเจ้า และประกาศตัวเป็นพระเจ้า”

 

และยอห์น อัครสาวกของพระเยซู ก็เคยเตือนให้ระวังปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกแอนตี้ไคร์ซ ที่จะเข้ามาในยุคสุดท้าย  คือยุคสุดๆ แล้ว จบแล้ว จบบริบูรณ์ และในยุคสุดท้ายนี้ มันจะเร่งการทำงานของมัน เหมือนกับว่าพระเจ้าอนุญาต แล้วมันก็ทำสุดท้ายเลย  ทุ่มสุดตัวเลย อะไรประมาณนั้น  และผู้ที่เชื่อในพระเจ้าชนะ ใน 1 ยอห์น 2:18

1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

 

เวลาท่านอ่าน คำว่า “ยุคสุดท้าย” “วาระสุดท้าย” ท่านจงจำไว้ว่ามันหมายถึงยุคที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิตแล้ว บรรดาอัครสาวกและผู้เชื่อต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐนี้ ถ้ามาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาประมาณ 2,000 ปี แต่เริ่มต้นจากนั้น ตลอดมา ถือว่าเป็นยุคสุดท้าย หมดเลย พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามแผนการใหญ่ของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็หมายความว่ารวมทั้งสิ้นที่ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยตาหรือไม่ก็ตาม และรวมทั้งสิ่งที่เราคิดว่ามันดีก็ตาม และเราคิดว่ามันไม่ดี มันเลวร้ายก็ตาม บางคนพอมีสิ่งเลวร้ายขึ้นมา บอก …

“ไอ้นี้ มารซาตานเป็นผู้ควบคุม”

แล้วอย่างนี้ เราจะร้องเพลง “พระเจ้ายิ่งใหญ่” ได้อย่างไร? ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ บางครั้งก็ใหญ่ไม่พอ พระคัมภีร์ไม่เคยพูดอย่างนั้น พระเจ้าควบคุมทุกอย่างอยู่ ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นก็ตาม เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้น ถ้าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ตามที่บอกมาจริงๆ แล้วปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราก็สามารถตอบด้วยสติปัญญาของเรา ที่พระเจ้าให้มาว่า …

“ไม่รู้  ฉันไม่ใช่พระเจ้า ไปถามพระเจ้าเองก็แล้วกัน”

ถ้าเราพยายามไปหาคำตอบที่พระเจ้าบอกลี้ลับ ในที่สุด เราก็จะตอบด้วยความหงุดหงิดว่า …

“พระเจ้าอยากลงโทษเธอไง”

ไปกันใหญ่ เละ มันเกิดความเสียหายมากกว่า ยอมตอบไปสิว่าพระเจ้าไม่ได้บอก มันลี้ลับ ไม่รู้จริงๆ หัดตอบบ้าง ไม่รู้ บางครั้งพระเจ้าก็อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบาก ความเลวร้ายเกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่าง เกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ที่เรียกว่าประชากรของพระองค์ ทุกยุคทุกสมัย ในสมัยอดีต ก็คือพวกอิสราเอล ในสมัยปัจจุบัน ก็คือพวกคริสเตียน เราผู้เชื่อนั่นเอง เราต้องยอมรับตรงนี้ก่อน เพราะมันตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ ไม่อย่างนั้น เราจะหาทิศทางในการตั้งฐาน ในการเชื่อพระเจ้าไม่ถูกเลย  ถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้นเพื่ออะไร?  เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในแผนการใหญ่ๆ ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ ซึ่งแผนการใหญ่ๆ นั้น มิได้หมายถึงเกี่ยวข้องกับชีวิตเราคนเดียว แต่เกี่ยวพันไปถึงทั้งโลกฝ่ายวิญญาณ และโลกฝ่ายวัตถุตั้งแต่สวรรค์จนถึงนรก ถ้าพระเจ้าจะใช้ท่านเกี่ยวข้องกับคนๆ หนึ่งที่จะลงนรก ดึงเขาขึ้นมา ใช้ด้วยวิธีอะไร? ไม่รู้ ทำไมใช้คนนี้เป็นภาชนะอย่างนี้ เท่ห์จังเลย  ทำไมใช้คนนี้ ไม่ค่อยเท่ห์เลย  ตอบว่าไม่รู้ คนเท่ห์อาจกลับกลายเป็นไม่เท่ห์ก็ได้ กลายเป็นกระเทเร่ก็ได้ เราไม่รู้เรื่องเลย

เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไรก็ตาม พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือโรม 8:28 ว่า …

“พระเจ้าให้ทุกสิ่งทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลดีกับเขาทั้งหลาย ที่รักพระองค์ ประชากรของพระองค์ ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้”

เอเมน จบ หลับสบาย  แล้วก็ตอบว่า …

“ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันไม่ได้ไปสืบหาว่าเป็นอะไร? ฝากไว้ที่พระเจ้า นอนดีกว่า แม้ว่าจะนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาอธิษฐานใหม่ คิดใหม่”

เหมือนในตอนท้ายของข้อ 36 บอกว่า …

“เขาจะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้”

คนนี้มาทำความทุกข์ทรมานให้ประชากรของพระเจ้า ให้เขามาข่มเหงคริสเตียนสำเร็จ เพราะว่า …

“เขา (หมายถึงแอนตี้ไคร์ซที่จะมาข่มเหงคริสเตียนนะ) จะประสบความสำเร็จ จนครบเวลาแห่งพระพิโรธ เพราะจะต้องเป็นไปตามที่ทรงกำหนดไว้”

เขาทำสำเร็จ เพราะพระเจ้ากำหนดไว้ พระเจ้าควบคุมอยู่

มาดูว่าในช่วงที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ยกตัวเองเป็นใหญ่ มันทำงานอย่างไร? ดาเนียล 11:38-39 ได้บอกไว้ล่วงหน้า

ดาเนียล 11:38-39 “38 เขาจะยกย่องเทพเจ้าแห่งป้อมปราการ ซึ่งบรรพบุรุษของเขาไม่รู้จัก  แทนเทพเหล่านั้น เขาจะยกย่องเชิดชู ด้วยเงินทอง เพชรนิลจินดา และของกำนัลสูงค่า 39 เขาจะโจมตีป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่สุด โดยความช่วยเหลือของพระต่างชาติ และจะยกย่องเชิดชู  บรรดาผู้ที่ยอมรับเขา แล้วเขาจะตั้งคนเหล่านี้ ให้เป็นผู้ปกครองคนเป็นอันมาก และยกที่ดินให้เป็นรางวัล”

 

“เขา” ตรงนี้ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่ได้ฤทธิ์อำนาจมาจากโลกฝ่ายวิญญาณ ก็คือซาตาน ในการเป็นผู้นำคนไปต่อต้านประชากรของพระเจ้า ข่มเหงประชากรของพระเจ้า

ปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือผู้นำที่ได้อิทธิพล ได้ฤทธิ์อำนาจ เป็นเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นอัศจรรย์ อำนาจมาทางฝ่ายวิญญาณ ตัวแอนตี้ไคร์ซหรือปฏิปักษ์พระคริสต์ตัวนี้  ในอนาคต จะรวบรวมสมัครพรรคพวก ด้วยการเอาทรัพย์สินเงินทองทางโลกมาล่อ ใครที่ยอมทำตามนโยบายของเขา ตามพระคัมภีร์บอก ยอมเป็นพวกกับมัน ก็จะได้รางวัล ได้รับการยกย่องเชิดชู ได้รับเกียรติ ได้รับคำสรรเสริญ ได้รับอำนาจ อิทธิพลและทรัพย์สินเงินทอง แต่พระคัมภีร์บอกเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ขอบคุณพระเจ้า

สมัยก่อนเรียนพระคัมภีร์ พยายามที่จะเรียนรู้ เหนื่อยมาก พยายามศึกษาตรงนั้น ก็ไม่เข้าใจ ตรงนี้ก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้พระเจ้าเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราได้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว พออ่านเจอสิ่งเหล่านี้ ก็ยิ่งสบายใจ อย่างเช่น …

ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ตามแผนการพระเจ้า เมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า มันแฮปปี้จริงๆ

อีกอันหนึ่ง ก็คือพระเจ้าดลใจ ชอบมากเลย พระเจ้าดลใจให้กษัตริย์ไซรัส อนุญาตให้ประชากรของพระเจ้ากลับไปยังเยรูซาเล็ม

พระเจ้าดลใจให้ฟาโรห์มีใจแข็งกระด้าง ทรมานประชากรของพระองค์เพิ่มขึ้น

มันจริงเลย ไม่ใช่ที่เห็นเขาทุกข์ทรมาน แล้วมัน แต่เพราะทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าหมด ไม่ว่า เราจะรู้สึกดีหรือเลวก็ตาม

ดลใจกษัตริย์ไซรัส ให้มีความโปรดปรานกับประชากรของพระเจ้า อย่างดี นี่ดี ตามที่ตาเรามองเห็น

แต่ดลใจฟาโรห์ เพิ่มงาน บีบบังคับ เคี่ยวเข็ญ อิสราเอล นี่มันไม่ดี แต่ทั้งสองอัน ในพระคัมภีร์เขียนคำเดียวกัน คือพระเจ้าดลใจ

เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนที่พระเยซูกำลังจะเริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ประมาณอายุ 30 ปี พระเยซูอดอาหาร ในพระคัมภีร์เขียนไว้แล้ว มารได้นำพระเยซูไปทดลอง ความเชื่อเลย  ก็คือมาล่อลวงพระเยซูนั่นแหละไม่ใช่ทดลอง มารมาล่อลวงพระเยซู พาพระเยซูขึ้นไปบนภูเขา แล้วให้มองลงมาข้างล่าง เห็นเมือง เห็นอะไรต่างๆ แล้วบอกว่า …

“ทรัพย์สินสิ่งของเหล่านี้ เกียรติยศเหล่านี้ทั้งหมด บนโลกใบนี้ ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว กราบเราสิ แล้วเราจะให้เจ้า”

ให้พระเยซูกราบมัน แล้วมันจะให้หมดเลย ทั้งทรัพย์สินเงินทอง อิทธิพล ครอบครองโลกใบนี้ทั้งใบเลย แล้วพระเยซูตอบว่าไสหัวแกไปให้พ้น

สำหรับมนุษย์ ในยุคสุดท้าย ให้คุณพันล้าน เอาไหม? ไสหัวแกไปให้พ้น หมื่นล้าน เดี๋ยวก่อน กลับไปคิดแป๊บ ใช่หรือเปล่า?  เดี๋ยวกลับไปคิด ไม่เอา มันน้อยไป นี่มันมนุษย์ ไม่ใช่พระเยซูเลย  แต่ขอบคุณพระเจ้า เราอยู่ในพระเยซู พระเยซูอยู่ในเราแล้ว เราก็มีสิทธิ์ที่จะพูดคำนี้ ถ้าพระเยซูนำพาเรา เขาให้มาพันล้าน  เราก็บอกไสหัวแกออกไป ปฏิเสธพระเจ้าให้สักหมื่นล้าน เอาหรือไม่เอา? ตอนนี้ยังเช่าบ้านเขาอยู่นะ เงียบไม่กล้าพูด ดีแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจ ถึงวันนั้น ไม่รู้นะ ไม่มีใครตอบได้

นี่แหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย มันแรงขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้อีก และจะมีคนหลงไปในนั้นจริงๆ ยอมเพื่อให้ได้อิทธิพล ได้ชื่อเสียง ได้เกียรติยศ ได้ทรัพย์สิน และเขาก็จะสบายแค่ชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วเขาจะทุกข์นิรันดร์

ดาเนียล 11:40-43 “40 ในวาระสุดท้าย กษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับเขา และกษัตริย์ฝ่ายเหนือนั้น จะระดมรถม้าศึก กองทหารม้า และกองทัพเรือบุกเข้าประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม 41 เขาจะรุกรานดินแดนอันงดงามด้วย หลายประเทศจะล่มสลาย แต่เอโดม โมอับ และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา 42 เขาจะแผ่อำนาจเหนือหลายประเทศ แม้อียิปต์ก็ไม่พ้นมือเขา 43 เขาจะครอบครอง คลังทองคำ คลังเงิน และทรัพย์สมบัติทั้งปวงของอียิปต์ ชาวลิเบียและชาวนูเบีย ก็ยอมจำนนแก่เขา”

 

พระเจ้าเปิดเผยให้เราได้รู้ว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างคราวๆ ไม่ให้รู้หมด แต่ไม่บอกว่าจะเกิดขึ้นวันไหน? เวลาไหน? ไม่ต้องพยายามไปสืบเสาะ

ที่บอกว่ากษัตริย์ฝ่ายใต้จะรบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ตรงนี้ไม่ได้หมายถึงสงครามระหว่างเปอร์เซียกับอียิปต์ที่สัปดาห์ที่แล้ว ตั้งแต่ข้อที่ 1-35 ที่เราเรียนรู้ไป เป็นการเทียบให้เห็น เพราะตรงนี้ เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่สิ่งที่เราเรียนกันในครั้งที่แล้ว เกี่ยวกับสงครามระหว่างเปอร์เซียกับอียิปต์ ผ่านอิสราเอล สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ที่เรากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ เป็นนิมิตที่บอกถึงยุคสุดท้าย ก็คือจากนี้ต่อไป จนถึงวันที่พระเยซูจะกลับมา จบบริบูรณ์ ในอวสานของเรื่องๆ นี้ เรื่องของโลกใบนี้ เรื่องของสงครามระหว่างผู้ที่เชื่อในพระเจ้ากับผู้ที่เชื่อในมารซาตาน

ในยุคสุดท้าย กษัตริย์ฝ่ายใต้จะสู้รบกับกษัตริย์ฝ่ายเหนือ ดาเนียลใช้คำว่า “เหนือ” กับ “ใต้” เป็นสัญลักษณ์ของการทำสงครามระหว่างปฏิปักษ์พระคริสต์กับฝ่ายตรงข้าม ก็คือฝ่ายที่เชื่อในพระเจ้า ถ้าฝ่ายเหนือเล็งถึงกองทัพของปฏิปักษ์ กองทัพของพวกแอนตี้ไคร์ซ เพราะฉะนั้น ฝ่ายใต้ ก็คือกองทัพของพระเยซูคริสต์

“กษัตริย์ฝ่ายเหนือจะระดมรถม้าศึก กองทหารม้าและกองทัพเรือ บุกเข้าประจัญบานกับเขา  เขาจะรุกรานหลายประเทศ และเขาจะกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

ความหมายตรงนี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ จะใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ รวมทั้งอาวุธเคมี ปรมาณู อะไรก็แล้วแต่ ในยุคปัจจุบันเรารู้แล้ว แต่สมัยดาเนียล เขาอ่าน เขาไม่รู้เรื่อง ก็คือตรงนี้บอกว่าใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ อาวุธทุกชนิด พลังอำนาจทุกอย่าง รวมทั้งเล่ห์กล เพทุบายทุกอย่าง ทั้งหมดเข้าทำสงครามครั้งสุดท้ายนี้ พยายามทุกวิถีทางที่จะยกตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ เป็นพระเจ้าของโลกนี้ให้ได้ ตามที่มันเคยอยากจะเป็นมาตั้งนาน ตั้งแต่ตอนก่อนสร้างโลกอีก แล้วมันก็ถูกขับไล่ เพราะมันแพ้สงครามบนสวรรค์มา มันนึกว่ามันเป็นพระเจ้า พระเจ้าสร้างมันขึ้นมาให้เป็นลูซีเฟอร์ให้มีความสวยสด งดงาม มีความสามารถมากๆ จนมันเหลิง เกิดความหยิ่งผยองในตัว มันอยากจะเป็นพระเจ้าเอง  มันก็เลยทำสงคราม ใช้เล่ห์เพทุบาย ไปเกลี้ยกล่อมทูตสวรรค์อื่นๆ ให้มาเป็นพวกได้ 1 ใน 3 แล้วก็ทำสงครามกับพระเจ้า แพ้ พระเจ้าก็ขับไล่มันออกไป เพราะฉะนั้น มันมีแค่ 1 ใน 3 ทูตสวรรค์ที่ดีๆ ยังเหลือ 2 ใน 3

พระคัมภีร์บอกไว้ ทูตสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมาให้รับใช้เรา มีอยู่ 2 ใน 3  กองทัพเราเยอะกว่าตั้งเยอะ นี่ยังไม่นับหัวหน้าเรา พระเยซูคริสต์นะ ใหญ่ยิ่งสูงสุด แต่ตอนนี้ ทำไมพระองค์ไม่ทำ ไม่รู้ เราอย่าไปยุ่งวุ่นวาย เรารู้ว่าเป็นแผนการของพระองค์แล้วกัน แล้วมันต้องดีแน่นอน พอจะคิดได้นิดหน่อย อาจจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ทั่วๆ ไปที่ยังไม่รู้จักข่าวประเสริฐ ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซู มาถึงความรอดเหมือนเรา รอก่อน ยังไม่ถึงเวลา รอให้สุก แล้วถึงจัดการก็ได้

“กองทัพฝ่ายเหนือนั้น จะระดมม้าศึก กองทหารม้า เรือรบ พุ่งประจัญบานกับเขา เขาจะรุกรานหลายประเทศ และกวาดล้างไปทั่ว เหมือนน้ำท่วม”

ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือมันไม่ยอมหยุด อาวุธที่สำคัญที่สุดของปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือมนุษย์  เพราะขาดมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์ต้องยอม มนุษย์ยอมพระเจ้าอย่างไร? มนุษย์ต้องยอมมารอย่างนั้น มันถึงทำได้ บนโลกนี้ ใครใหญ่สุด พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ครอบครองโลกใบนี้  แล้วมนุษย์ไปโยนเอาสิ่งที่เรามีอยู่ ไปให้คนโน้น ไปให้คนนี้ เละตุ้มเป๊ะ พระเยซูจึงเข้ามาแทรกแซง เพื่อจะช่วยเรา

วิธีแทรกแซง ก็คือส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นหัวหน้ามนุษย์คนใหม่ เพราะว่าหัวหน้ามนุษย์คนเก่า คืออาดัมไม่ไหวแล้ว พระเจ้าจึงให้คนใหม่เข้ามา ชื่อพระเยซู … พระเยซูมาสร้างอาณาจักรมนุษย์ใหม่ขึ้นมา เขาเรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่ ครอบครัวใหม่ของมนุษย์ ที่มีชื่อว่าครอบครัวพระคริสต์ พระเจ้าก็เริ่มล่าหัวทีละคนๆ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ กองทัพใหญ่ขึ้นๆ กองทัพนี้มีชื่อว่ากองทัพพระคริสต์ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มาต่อสู้กับกองทัพของต่อต้านพระคริสต์ ไม่มีชื่อ ไม่ให้ชื่อมัน ชื่อมัน ก็คือแอนตี้ไคร์ซ ก็คือต่อต้านกับพระคริสต์ ต่อต้านกับฝั่งถูก ชื่อมันยังไม่มีเลย แล้วจะไปอยู่กับมันได้อย่างไร? ไม่มีอะไรเลย ตั้งชื่อยังไม่เป็นเลย  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ตั้งหมด ลูซีเฟอร์ พระเจ้าก็เป็นผู้ตั้ง ซาตาน คือเรียกตามนิสัย คือความชั่วร้าย ไม่ใช่ชื่อเขาจริงๆ ชื่อจริงๆ ของเขา คือลูซีเฟอร์

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันมีสงครามจริงๆ มันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเป็นมาตลอดเวลา แต่มันกำลังจะถึง Happy ending แปลเป็นไทยว่าอวสานบริบูรณ์อย่างสุขสำราญ เรากำลังรอตรงนั้น

ข้อ 41 บอกว่า “เขาจะรุกรานดินแดนอันงดงามด้วย หลายประเทศจะล่มสลาย แต่เอโดม โมอับ และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา”

“เอโดม โมอับ อัมโมน” ในข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงชาวเอโดม โมอับ อัมโมนจริงๆ  เพราะว่าเรื่องที่กำลังอ่านกันอยู่นี้ นิมิตอันนี้ กำลังกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต จากที่ทูตสวรรค์กำลังบอกดาเนียล แล้วมาถึงพระเยซู และไม่ใช่จากดาเนียลมาถึงทุกวันนี้แค่นั้น  แต่หมายถึงจากดาเนียล มาถึงพระเยซูเกิด จนกระทั่งมาถึงเรานั่งอยู่ปัจจุบัน และจากปัจจุบันนี้ จนไปถึงวันที่พระเยซูจะกลับมาใหม่ วันสุดท้ายนั้น ยาวนานเลย เอโดม  โมอับ  อัมโมน ที่ใช้ในข้อนี้ เป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า “ศัตรูของอิสราเอล” ก็คือศัตรูของพระเจ้า เพราะในสมัยโบราณเอโดม  โมอับ  และอัมโมน เป็นศัตรูรบกับอิสราเอลมาตลอด

และในข้อ 41 ที่บอกว่าแต่เอโดม  โมอับ  และบรรดาผู้นำอัมโมน จะได้รับการช่วยกู้ จากเงื้อมมือของเขา ความหมาย ก็คือใครก็ตาม ที่ยอมทำตามปฏิปักษ์พระคริสต์ มาเป็นศัตรูของพระเจ้า มาเป็นศัตรูของอิสราเอลนั้น  ผู้นั้นก็จะได้รับการช่วยเหลือ ไม่ถูกข่มเหงรังแก

นี่คือภาพที่บอกว่าจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย ที่พวกแอนตี้ไคร์ซ หรือปฏิปักษ์พระคริสต์จะข่มเหงรังแกประชากรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และแผ่ขยายอำนาจออกไปอย่างกว้างขวาง สำเร็จด้วยนะ ใครที่ทนไม่ได้ ก็อาจจะต้องหันไปสวามิภักดิ์กับแอนตี้ไคร์ซตัวนี้ ตามที่ในข้อ 42 กับ 43 ได้บอกไว้ว่ามีจริงๆ …

“เขาจะแผ่อำนาจเหนือหลายประเทศ แม้อียิปต์ก็ไม่พ้นมือเขา เขาจะครอบครอง คลังทองคำ คลังเงิน และทรัพย์สมบัติทั้งปวงของอียิปต์ ชาวลิเบียและชาวนูเบีย ก็ยอมจำนนแก่เขา

สรุปว่ายุคสุดท้าย กลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ จ้องทำลายล้าง กลุ่มที่เป็นฝั่งเดียวกับพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า ก็คือคริสเตียนนั่นแหละ  และทำสำเร็จด้วย

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้น กองทัพปฏิปักษ์พระคริสต์ กองทัพแอนตี้ไคร์ซ ที่มันได้ชัยชนะ มันจะถึงซึ่งอวสานบริบูรณ์ แต่มีมัดจำอันหนึ่ง เมื่อ 2,000 ปีผ่านมา พระเยซูทรงตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน และพระองค์ประกาศก่อนตายที่ไม้กางเขน ตอนบ่ายสามโมง ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

มันหมายถึงแผนการนี้ มันสำเร็จไปแล้วทางโลกวิญญาณ จบแล้ว รอทางฝ่ายโลกวัตถุค่อยดำเนินตามไปเท่านั้นเอง ดาเนียล 11:44-45 มาดูตอนจบว่าเป็นอย่างไร?

ดาเนียล 11:44-45 “44 แต่ข่าวจากทางตะวันออกและทางเหนือ จะทำให้เขาตื่นตกใจ และเขาจะยกทัพออกไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง เพื่อทำลายล้างคนเป็นอันมาก 45 เขาจะตั้งเต็นท์หลวงขึ้นระหว่างทะเลที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันงดงาม แต่เขาก็จะถึงจุดจบ และไม่มีใครช่วยเขา”

 

“เขา” คือแอนตี้ไคร์ซ และพวกสมุนของแอนตี้ไคร์ซ และผู้ที่จะมาทำให้ปฏิปักษ์พระคริสต์ต้องถึงจุดจบนี้  คือพระเยซู ย้อนกลับไปดูดาเนียล 7:26-27

ดาเนียล 7:26-27 “26 แต่การพิจารณาคดีจะเริ่มขึ้นแล้ว ฤทธิ์อำนาจของกษัตริย์องค์นั้นจะถูกนำออกไป และถูกทำลายล้างไปอย่างสิ้นเชิง 27 แล้วประชากรขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับสิทธิครอบครองอำนาจ และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรต่างๆ ทั่วใต้ฟ้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะยั่งยืนชั่วนิจนิรันดร์ ผู้ครอบครองทั้งปวงจะนอบน้อมเชื่อฟังและนมัสการพระองค์”

 

ชนะแล้ว และในพระคัมภีร์ใหม่ ก็มีกล่าวถึงจุดจบของแอนตี้ไคร์ซ ใน 2 เธสะโลนิกา 2:8

2 เธสะโลนิกา 2:8 “เมื่อนั้น คนนอกกฎหมายนี้จะปรากฏตัว องค์พระเยซูเจ้าจะทรงโค่นล้มมัน ด้วยลมจากพระโอษฐ์ และทำลายล้างมัน ด้วยความรุ่งโรจน์ของการเสด็จมาของพระองค์”

 

ในนี้อบอกว่าพอถึงเวลาปุ๊บ พระเยซูจะทรงโค่นล้มมัน “โค่นล้ม” ภาษาเดิมแปลว่าทำให้เป็นศูนย์ ด้วยลมจากพระโอษฐ์ พอถึงเวลา พระองค์ก็เป่า ก็จบ เหมือนเราเจอมด เป่ามัน ก็แค่นี้เอง มันกัดเรา เจ็บปวดแทบตาย พระเยซูมาถึงเป่ามันไป

นี่คือเรื่องจริง มันต่างกันเยอะ แต่ที่ดูเหมือนมันทำท่าซ่าส์ เพราะพระเจ้ากำหนดให้มันซ่าส์บ้างพอสมควร นิดหน่อย เพื่อให้เป็นไปตามแผนการที่พระองค์วางไว้ พระองค์ต้องการให้พระเอกดูเท่ห์ จึงต้องทำให้ผู้ร้ายทำท่าดูดีหน่อย

การเสด็จมาของพระเจ้า พระเยซู ความรุ่งโรจน์ หมายถึงแสงสว่าง หมายถึง Glory หมายถึงแสงปรมาณู เหมือนทุกวันนี้ ท่านมองแสงอาทิตย์ มองขึ้นไป ก็ยังมองไม่ได้ มันทั้งร้อน ทั้งแสบตา มันรุนแรงกว่าดวงอาทิตย์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ เป็นล้านๆๆๆๆๆ เท่า

เปาโลใช้คำว่า “คนนอกกฎหมาย” เล็งถึงคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า  ปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งต้องถูกโค่นล้มลง ในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระองค์จะทำให้มันเป็นศูนย์ และสิ่งเหล่านี้ได้บันทึกเอาไว้ ในบทสุดท้ายต่อจากนิมิตที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น จากนี้ต่อไป อาจจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ อาทิตย์หน้า ปีหน้า เราไม่รู้ พระเจ้าไม่ต้องการให้เรารู้ เราก็ไม่ต้องไปรู้ แต่เราเตรียมตัวได้ว่าเราอยู่ในชัยชนะแน่นอน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือชัยชนะนิรันดร์แล้ว มันเป็นชัยชนะถาวรสำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่มันจะเป็นความพ่ายแพ้นิรันดร์ ความทุกข์ทรมานนิรันดร์ของมารซาตาน  รวมทั้งผู้คนที่หลงไปรับสินบน ไปเชื่อมัน ไปเดินตามมัน ตอนพระเยซูยังไม่มา เรื่องนี้ คือเรื่องที่น่าเศร้า ขณะที่เรายินดี ดีใจ เรารู้ความจริงนี้  อีกฟากหนึ่ง เราสะเทือนใจ เหมือนกับที่ดาเนียลสะเทือนใจ มีหลายคนที่ยังทิ้งความเชื่อ หรือไม่เชื่อพระเจ้าเลย นี่พูดถึงสมัยดาเนียลนะ ขนาดนั้น ดาเนียลยังทุกข์ใจมากเลย และมาสมัยเรา … เรายิ่งเห็นชัดว่าเราจะทุกข์ใจมากขนาดนั้นสักเท่าไร? ที่บรรดาผู้คนที่ได้รับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขาที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ทุกคนได้รับนะ สิทธินี้มาถึงทุกคนแล้ว เพียงแต่เขาชูมือรับสิทธิ์ว่า …

“ฉันจะเอา”

ก็เป็นของเขาแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำให้หมดแล้ว เขาเพียงแต่เปิดใจว่า …

“ฉันจะเอาแล้ว ฉันอยากได้”

มันง่าย ยิ่งกว่าง่ายอีก ยิ่งทำให้เราน่าจะทุกข์ใจมากขึ้นกว่านั้น

วันนี้จึงอยากฝากสิ่งหนึ่งที่ทิ้งท้ายให้ เมื่อเรียนเรื่องนี้แล้ว หลายคนจะนึกถึงอะไร? ผมคิดว่าหลายคนคงคิดถึงอย่างนี้ ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้าแล้ว อาจจะต้องพบกับความทุกข์บ้าง? ไม่ใช่อาจหรอก ต้องพบกับความทุกข์แน่ๆ ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง เมื่อถึงยุคสุดท้ายจริงๆ คนที่เชื่อพระเจ้า จะต้องถูกข่มเหงแน่ๆ แต่มันแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น  และไม่ต้องห่วงพระเจ้าสัญญาว่าจะไม่มีอะไร ที่จะทุกข์ทรมานมากเกินกว่าที่เราจะรับได้ รับได้แน่นอน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะได้รับความสุขที่เป็นถาวรนิรันดร์ ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดรกาล แต่คนที่ไม่เชื่อ ตอนที่แอนตี้ไคร์ซเจริญรุ่งเรือง ซึ่งอยู่ไม่นาน เขาอาจจะได้รับความสุขสบาย อาจจะมีกินมีใช้ มีชื่อเสียง เขาอาจจะเตลิดเปิดเปิงไป รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นมันถูกแล้ว เขาอาจจะมองดูคริสเตียนเหมือนคนโง่ หรือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่ในที่สุดแล้ว วันแห่งความจริงจะมาถึง คือวันที่ยุคสุดท้าย ที่พระเยซูกลับมา เขาจะไม่มีโอกาสแล้ว เขาจะต้องรับกับความทุกข์นิรันดร์ ถูกปรับโทษนิรันดร์ อยู่ในบาปนิรันดร์ ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

“นิรันดร์” แปลว่าตลอดไปเลย ไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในข่าวดีนี้  วันนี้อยากจะพูดกับท่านว่าเรื่องที่สอนกันมาทั้งหมด 21 ตอน ในหนังสือดาเนียลนี้ มันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ท่านสามารถพิสูจน์ได้ เพราะส่วนหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไปศึกษาได้ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ ตามนิมิตนี้แล้ว จนมาถึงปัจจุบัน และจากปัจจุบันไปถึงอนาคตสุดท้าย ท่านลองคิดเองว่ามันควรจะจริงไหม? อยากจะบอกกับท่านว่าอย่าไปเสี่ยงกับเรื่องเหล่านี้เลย มันอันตรายมากๆ ท่านยังมีโอกาสตลอดเวลา เพียงแต่ยอมรับว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริง เป็นของฉัน ยอมรับว่า …

          “พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระล้างบาปมนุษย์ รวมทั้งบาปของฉันด้วย  ฉันรับสิทธิของฉัน และฉันได้เกิดใหม่ ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นของพระเจ้า พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาสถิตอยู่กับฉัน”

 

แค่นั้นเอง แล้วพระเจ้าก็จะนำพาเราต่อไป นี่คือหน้าที่ของท่าน ที่ผมฝากให้กับท่าน สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ในวันนี้ก็ฝากไว้ว่าเตรียมให้พร้อม ท่านอาจจะประสบความทุกข์ยากลำบากเรื่องต่างๆ นานา จงรู้ไว้ว่าทุกคนที่เป็นคริสเตียน เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า ก็จะถูกข่มเหงรังแกอย่างนี้ บนโลกใบนี้แน่นอน เพราะถ้าเรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องจริง พระเยซูตายจริง ไถ่บาปเราจริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริงด้วย  ก็คือเราต้องพบความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ อย่างแน่นอน ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม แต่พระองค์จะให้กำลังกับเรา พาเราผ่านพ้นไปได้ ทุกวัน แต่ละวันชูมือไว้ แล้วให้มือพระเจ้าจูงเราเดินไป แล้วก็ร้องคำเดียว ไม่ว่าจะจูงมือเราไป จนกระทั่ง พระเยซูกลับมารับเรา คือกลับมาใหม่อีกครั้ง กลับมาทำสงครามกับมาร หรือหมดหน้าที่เรา เรากลับไปหาพระองค์ก็ตาม ดีทั้งสองทาง เราจะรอวันนั้น เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************