คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2018

เรื่อง “พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ อาทิตย์นี้เป็นสัปดาห์แรกของคริสตจักรในปีที่ 26 เขาเรียกว่า Time fly when we have fun. เวลามันผ่านไปรวดเร็ว 10 ปีๆ แป๊บเดียว ตอนอยู่ รู้สึกมันนาน แต่พอเลยไปแล้ว หันกลับไปดู แป๊บเดียวนะ พระคัมภีร์บอกว่า 1,000 ปี เท่ากับ 1 วันของพระเจ้า นี่มันผ่านไปเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง แป๊บเดียว เป็นไปตามพระคัมภีร์บอก อะไรที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ ที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มันอยู่เพียงชั่วคราว และมันอยู่แค่แป๊บเดียวเอง เมื่อเทียบกับชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์จัดเตรียมให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย ตรงนั้นอยู่นิรันดร์ อะไรที่อยู่ที่นั่นอยู่นิรันดร์ แต่อะไรที่อยู่บนโลกนี้ มันอยู่แป๊บเดียว  ไปแล้ว

ใครเคยดูหนังเรื่องนี้บ้าง?  จะได้รู้ว่าอายุเท่าไร? “เรื่องอภินิหารขนแกะทองคำ” หลายคน รุ่นเดียวกัน แต่เขาเอามาทำใหม่นะ อภินิหารขนแกะทองคำ และอีกเรื่องหนึ่ง “ซินแบต” ใครเคยดูซินแบต ดูหมด คือหนังเหล่านี้ คืออะไรบางอย่างที่มนุษย์ทุกคนทั่วโลก ไม่ว่ารุ่นไหนก็ชอบนะ ปัจจุบันเขาเอามาทำใหม่ ผมชอบฉากหนึ่งมาก ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็ประทับตรา ประทับใจอยู่นี้ คือฉากที่พระเอก หนังประเภทนี้มันต้องลงเรือเนอะ แล้วก็ไปติดเกาะไหนสักอัน เกาะแรกไปถึงปุ๊บ ถูกจับ ใครจับไป? ยักษ์ตาเดียว ยักษ์จับมาใส่กรง จะมากินพรุ่งนี้ ในที่สุด พระเอกก็หลุดออกจากกรงได้ แล้วทำอะไร? ทำอาวุธ ขณะที่ยักษ์นอนหลับอยู่ ยักษ์ตาเดียว ไปแทงที่ตรงตา ตาบอด แต่มันไม่ตาย มันตาบอด มันก็โกรธ แต่มันจับพวกพระเอกไม่เจอ พวกพระเอกก็หลุดออกจากกรงหนีออกไป หนีไปไหน? ก็ต้องไปลงเรือ รีบออกจากเกาะไป พอลงเรือปุ๊บ เรือก็เคลื่อนออกจากเกาะไปปุ๊บ

ยักษ์พอรู้ว่าเรือออกปุ๊บ มันโมโหใหญ่ มันก็คลำ เจอหินก้อนหนึ่ง ก็ยกขึ้นมา กะจะทุ่มเรือไง มันก็ทุ่มไป โดนเรือไหม? ไม่โดน ถ้าโดนพระเอกก็ตายสิ แต่ถ้าไม่โดน แล้วมันอยู่ห่างๆ เรือ มันไม่สนุกนะ ในหนัง ทุ่มไปไม่โดนเรือ แต่มันลงที่ท้ายเรือ เรือเลยพุ่งไปใหญ่เลย กำลังพายๆ อยู่ ใครมา  (ถีบ)  เรือมันไปเร็วขึ้นอีก หนีได้เร็วขึ้นอีก ยักษ์มันโกรธมาก คลำๆ ทุ่มไป รู้ว่าพระเอกยังไม่โดนเรือ ก็คลำอีก คราวนี้ ก้อนหินใหญ่ขึ้นอีก คราวนี้เสร็จแน่ ทุ่มไป ใช่กำลังเต็มที่เลย สูงที่สุด โดนเรือไหม? ไม่โดน โดนตรงไหน? ตรงท้ายเรือ คราวนี้ก้อนมันใหญ่ขึ้น เกิดการผลักดันแรงขึ้น คราวนี้พุ่งไปไกลกว่าเดิม รอดพ้นเลย

ชีวิตคริสเตียนก็เป็นอย่างนี้ มารมันยังไม่ตาย เพียงแต่มันตาบอด และพระเจ้าคุ้มครองเรา ทุกครั้ง เราจะเห็นว่าถ้าปัญหามันมา ถ้าก้อนเล็กๆ เรือชีวิตเรา ที่มีพระเยซูอยู่ มันก็จะไปได้ พุ่งขึ้นไปเป็นธรรมดา แต่เร็วแบบธรรมดา ถ้าจะให้พุ่งเร็วๆ ไปกับพระเจ้าไกลๆ ต้องทำไม? ต้องหินก้อนใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่ยิ่งไปไกลใหญ่เลย มองกลับมาตายแน่ ลูกนี้ลูกเบ้อเริ่มเลย รัศมีมันลงกลางลำเลย แต่มันจะเฉี่ยวนิดเดียว ยิ่งเฉี่ยวมากเท่าไร? ใกล้เรือมากเท่าไร? ใกล้ท้ายเรือมากเท่าไร? ก้อนใหญ่เท่าไร? ก็ทำให้เรือมันไปไกลเท่านั้น ความเชื่อเรากับพระเจ้าเดินไปด้วยกัน สนิทกันมากขึ้นเท่านั้น

แล้วเขามีคำกล่าวว่าเมื่อชีวิตเราดำเนินกับพระเจ้า ไม่ว่าจะ 26 ปีเหมือนคริสตจักรเรา หรือกี่ปีก็ตาม ในตลอด 26 ปีหรือกี่ปีก็ตาม พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนี้ คือวนเวียนอยู่กับวงแหวนอย่างนี้ คือพระองค์จะพาเราไปที่หน้าผาสูงชัน ไปที่หุบผาสูงชัน พอไปถึงหุบผา จะมี 2 อย่างเกิดขึ้น ที่พระองค์จะสอนเราว่าความยิ่งใหญ่ของพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ทุกวงจรความเชื่อของคริสเตียน ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม ก็จะมีอยู่เรื่อยๆ พระเจ้าก็จะพาเราไปที่หุบผาเขาชัน พอไปถึงหุบผาสูงปุ๊บ เตรียมไว้เลย จะมี 2 สิ่งที่พระเจ้าจะสอนเราว่าพระองค์ยิ่งใหญ่อย่างไร?

อันดับแรก พระองค์จะสอนเราอย่างนี้ พอพาเราไปปุ๊บ จะให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ก็พาเราเกาะปีกของพระองค์ แล้วพระองค์ก็บินไปเลย เรามองไปเสียวมาก แต่นี้บินไป อยู่บนหลังปีกของพระเจ้า เราก็จะตะโกนว่าฮาเลลูยา แล้วเราก็ร้องเพลง บินไปกับพระองค์

“I saw with you ลูกบินไปกับพระองค์ ไม่ว่าคลื่นลมแรงขนาดไหน ลูกไม่กลัวอยู่แล้ว ลูกบินไปกับพระองค์ บินไปกับพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก สรรเสริญพระเจ้า ลูกบินไปกับพระองค์”

อันดับที่สอง และแล้วมันก็จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าพาเราขึ้นมาที่เดิมนั้นแหละ เราก็คิดว่าเที่ยวนี้จะบินไปกับพระองค์อย่างนี้อีกแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่ ปรากฏว่าพระเจ้าเขี่ยเราลงมา  เข้าใจไหม? เรากำลังจะรอขึ้นปีก พระเจ้าเอาขาเขี่ย เราตกจากหน้าผาลงมา  แล้วเราก็ทำอะไร? จะพยายามด้วยตัวเอง จะบิน มันก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ เพราะเราไม่เคยบิน มันลงมาเรื่อยๆ เราก็ตะโกนแหกปากสุดเสียงว่า …

“พระเจ้าช่วยด้วย ครั้งที่แล้วก็บินอย่างนี้ ตายแล้วๆ”

แล้วพระเจ้าก็จะปล่อยเราตะโกนไป อดอาหาร 40 วัน แล้วก็ตะโกนสุดเสียงไป ก็ยังไม่มา จนกระทั่งร่างเราร่วงลงไปเรื่อยๆ เห็นพื้นดินอยู่อีกไม่ไกล เรารู้ว่ามันใกล้ขนาดไหน? มันลงมาทุกวันๆ ทุกทีๆ พระเจ้าก็ยังไม่มา ในที่สุด ร่างเราก็จะอีกประมาณ 1 มิลฯ จะกระแทกถูกพื้น พอถึง 1 มิลฯ ปุ๊บ พระเจ้าเอาขาเหยียบจับเราขึ้นมา แล้วก็บินไปกับพระองค์ต่อ แล้วก็โยนเราขึ้นไป แล้วก็ช้อนเรา ให้เราไปนั่งที่ปีกของพระองค์เหมือนเดิม คราวนี้เราก็จะตะโกนว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ตะกี้นี้ไม่มีจริง ตอนแรกๆ พระเจ้ายิ่งใหญ่เฉยๆ แต่ตอนนี้บอกพระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ เลย เชื่อสิ ตอนที่บิน พระองค์ตอนแรก ไม่เห็นพูดอย่างนี้เลย พูดพระเจ้ายิ่งใหญ่เฉยๆ แต่ตอนนี้ใส่คำว่าจริงๆ เชื่อเถอะ ไปเจอใครก็ …

“จริงๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง เล่าถึงตอนบินกับพระองค์ เล่าตอนที่เกือบจะกระแทกนั้นแหละ มันตื่นเต้นมาก”

นี่แหละ ชีวิตคริสเตียนมันเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะ 26 ปีหรือกี่ปี มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็จะวนอยู่อย่างนี้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีปัญหา จงรู้ไว้ว่าเรากำลังเจริญเติบโตไปกับพระองค์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อเราหรอก เพื่อผู้คนรอบข้างจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเราด้วยต่างหาก เรานึกว่าเพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อเรา เพื่อคนรอบข้างมากกว่า เพื่อแผนการของพระองค์จะได้สำเร็จ

แผนการของพระองค์มีอันเดียว คือมนุษย์รอด โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขนไปแล้ว 2,000 ปีแล้ว ช่วยมนุษย์ไปแล้ว ข่าวประเสริฐนี้ต้องไปถึงมนุษย์ทุกคน และช่วยเขาให้รอด ด้วยข่าวประเสริฐนี้ นี่คือแผนการ เพราะฉะนั้น ชีวิตเราจะดิ่งลงเหว ขึ้นไป ทั้งหมดนั้น เพื่อคำว่าสำเร็จแล้วของพระเยซูที่ประกาศบนไม้กางเขนเท่านั้น สำเร็จแล้วๆ นี่ส่วนประกอบส่วนหนึ่งในชีวิตเรา คือสำเร็จแล้ว ที่เราเกือบกระแทกนั้น เพราะพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ที่ยักษ์ไม่สามารถทุ่มเรือชีวิตเราได้ ก็เพราะว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เอเมน

 

*********************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 3 “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอนนี้ตอนที่ 3 แล้ว ใช้ชื่อตอนว่า “ข่าวดีจริงๆ คืออะไร?” 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราก็ได้เรียนรู้ความหมายของความแตกต่าง เรื่องการเผยพระวจนะกับข่าวดี เรื่องพระเยซู สรุปง่ายๆ ก็คือคำเผยพระวจนะเป็นพันธสัญญาของพระเจ้า ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และได้ถูกปิดบังเอาไว้ก่อน ยังไม่มีการเปิดเผย รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม จึงเปิดเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย ทางผู้เผยพระวจนะ ที่เรียกว่า “Prophet” หรือที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งเอาไว้ นั่นคือแผนการ หรือข่าวดีที่ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งที่เรียกกันว่า “คำเผยพระวจนะ” หรือเรียกว่า “คำบอกล่วงหน้า” ก็เกิดขึ้นจริง คือพระบุตร พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ทนทุกข์ทรมาน และตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับโทษบาป ไม่ใช่ เพียงอิสราเอลเท่านั้น  แต่แทนมนุษยชาติทั้งปวง และ ณ เวลานั้น คำเผยพระวจนะหรือคำบอกล่วงหน้าที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ก็ถูกเรียกใหม่ว่าเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ เพราะว่าแผนการของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้าไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลายเป็นข่าวดี

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้ไปประกาศข่าวดีนี้ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ใครเชื่อในข่าวนี้ ก็ได้รับผลจากข่าวดีนี้ ได้รับสิทธิจากข่าวดีนี้ คือได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากโทษของความบาป และได้รับอะไรเยอะแยะตามสิทธิที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ หัวใจสำคัญของการประกาศข่าวดีนี้ ก็คือข่าวดีนี้ มันสำเร็จแล้วนั่นเอง Testelesti

แผนการที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป รอดจากความทุกข์ทรมานทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายร่างกาย มันสำเร็จแล้ว จบแล้ว นี่คือข่าวดี

แล้วทำไมเราต้องมาเรียนรู้กันเยอะแยะ ทำไมผมต้องมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีนี้ ก็เพราะว่าด้วยเนื้อหนังของเรา ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ความเคยชินของเรา ที่เราเป็นกันอยู่ ดำเนินชีวิตกันอยู่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ของเรา วัฒนธรรม ประเพณีเก่าๆ ที่เรา ดำเนินอยู่ตลอดมา ด้วยสำนึกในจิตใจเก่าๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งยังอยู่กับเรา สำนึกในจิตใจนี้ ที่หยั่งรากลึกมาถึงทุกวันนี้ มันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเราว่าเราเป็นคนบาป มันจึงทำให้เราเชื่อเรื่องข่าวดีได้ยาก เชื่อในเรื่องฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐหรือข่าวดีนี้ ได้ยาก ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามันเป็นฤทธิ์เดช และเชื่อยาก มนุษย์ก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างเพิ่มมากขึ้น เพื่อแลกกับความรอดที่ได้รับ แม้เชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังทำอยู่ อยากจะลบมันบ้าง เพราะมันเคยชินกับจิตใต้สำนึกอย่างนี้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีจริงๆ ของพระเจ้า พระเยซู ปากก็บอกเชื่อ แต่ทนไม่ไหว เพราะฉะนั้น ผมจึงมาย้ำเรื่องนี้บ่อยๆ เรื่องสำคัญและย้ำตามพระคัมภีร์เลย  พระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายฝากของอาจารย์ต่างๆ จะเน้นเรื่องนี้มาก ให้ความสำคัญมาก พระเยซูเองก็ประกาศ สอนเรื่องนี้ ในพระกิตติคุณหลายๆ เล่ม ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ และสอนมนุษย์ด้วยตัวตนที่เป็นมนุษย์อยู่ พูดถึงเรื่องนี้เยอะเลย ยกตัวอย่างมากมายไปหมด บางคนคิดเอง ทำเองไม่พอ ไปสอนคนอื่นให้ทำอย่างนี้ด้วย

ผู้เชื่อใหม่บางคน เพิ่งมาเชื่อพระเจ้า พอมาเจอการสอนแบบใหม่นี้ หมายถึงแบบที่เสริมเอง เติมเอง ก็เข้าใจว่าคริสเตียนต้องทำแบบนี้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อฟัง เพราะเขาเป็นผู้รับใช้ เขาอยู่บนเวทีต้องให้เกียรติ ต้องเชื่อ ก็ทำตาม ทำตามไม่พอ ยังสอนลูกสอนหลาน สอนผู้เชื่อใหม่ต่อๆ ไปอีก มันก็เลยเป็นหางว่าวไปยาวเลย นี่แหละคือความสำคัญ ที่ผมพยายามมาพูดย้ำบ่อยๆ แล้วพยายามทำให้มันละเอียด ก็เพราะอย่างนี้แหละ สอนกันต่อๆ มา หนักเข้าๆ ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นความเข้าใจผิดในวงกว้าง หลายๆ คนก็เลยคิดว่าพอมาเป็น คริสเตียน มาเป็นผู้เชื่อแล้ว มีกฎบังคับเต็มไปหมด ข้อห้ามเยอะแยะทั้งสิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ห้ามทำ ใช่หรือไม่? ทุกคนคิดในใจอันนี้ต้องทำ อันนี้ห้ามทำ

ในขณะที่พระคัมภีร์บอกว่าให้เราประกาศข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ต่อๆ ไป พระเยซูเป็นผู้แรกที่ประกาศ บนโลกใบนี้เลยว่าสำเร็จแล้ว ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนั้น มันจบแล้ว ช่วยเหลือมนุษย์ เป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว มนุษย์ได้รับความรอดแล้ว จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ มนุษย์ได้รับการลบล้างบาปชั่วนิรันดร์แล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มจากนี้ มันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ตามพระคัมภีร์เป็นอย่างนั้น แต่ผู้เชื่อหลายคน ก็ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “ห้ามทำ” “ต้องทำ” ก็คือกฎนั่นแหละ พระเยซูบอกว่าเป็นอิสระแล้ว แล้วมันคืออะไร?

มีผู้เชื่อใหม่หลายคน พอต้องมาเจอการสอนแบบนี้ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ซึ่งในยุคนี้ พออึดอัดแล้ว ทำอย่างไร? ท่านก็กดไปทั้งไลน์ เฟสบุ๊ค พันธุ์ทิพย์ Google อยากรู้ว่าอะไรคือความจริง พออึดอัด ก็ต้องโพสต์ทั้งโซเซียนมีเดีย ตั้งกระทู้ เต็มไปหมด

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟังบางส่วนที่อ่านเจอมา และต่อไป ถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องนี้ให้มีหลักฐานตามถ้อยคำพระคัมภีร์ ยิ่งเจริญเติบโตในประเพณีวัฒนธรรม ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุสิ่งของที่มันเจริญ ยุ่งไปหมดเลย คราวนี้ ข้อห้ามคงจะเยอะขึ้น มาเป็นคริสเตียนตอนนี้อาจจะมี 500 ข้อ อีก 5 ปีผ่านไป เมื่อเราไปอยู่ดวงจันทร์แล้ว คงจะเพิ่มไปอีกประมาณ 3,000 ข้อ เพราะเราไม่มีพื้นฐานที่ถูกต้อง จริงๆ ถ้าพื้นฐานถูกต้อง ไม่ว่ามันจผ่านไปอีกกี่ปี? มันก็ต้องเหมือนเดิม ตอนที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือสำเร็จแล้ว ไม่ใช่นานๆ ไป เหลือครึ่งสำเร็จ

เรามาดูสิว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง? มันตรงกับใจเราไหม? มีโพสต์อันนี้บอกว่า …

“อาจารย์ที่โบสถ์สอนว่าห้ามทานอาหารที่ไหว้รูปเคารพ แต่ไม่กล้าบอกที่บ้าน ทำอย่างไรดี?”

ที่บ้านเขายังไหว้อยู่ แล้วเราก็นั่งอยู่ เขาก็กินกัน แต่อาจารย์บอกว่า “อย่ากิน” เราก็เลยกินไม่กิน? สรุปแล้ว ไม่บอก? แล้วแต่

“เป็นคริสเตียน บางคนบอกกินปลาดุกได้ บางคนบอกกินไม่ได้ สรุปว่ากินได้ไหมครับ? ปลาดุกฟูนี้อร่อยมาก ผมชอบ ขอคำแนะนำด้วยครับ?”

ใครที่กำลังมีแฟน อ่านตรงนี้ให้ดีๆ

“ให้คำแนะนำด้วยค่ะ แฟนยังไม่เชื่อพระเจ้า วางแผนเตรียมแต่งงาน แต่มีหลายคนเตือนอย่าเทียมแอกกับคนไม่เชื่อ”

สะดุ้งโหยงเลย สรุปว่าแต่งไหม? ต่อไป

“เพื่อนๆ เรา ที่โบสถ์อื่น ต้องออกไปประกาศกันหรือเปล่าค่ะ บางอาทิตย์ทำงานเหนื่อยมาก แต่โดนตามตลอด บังคับให้ไปประกาศ การประกาศเกี่ยวกับความเชื่อ ความรอดไหมค่ะ?” คุ้นๆ ไหม?

“เป็นคริสเตียนเล่นน้ำสงกรานต์ ตามประเพณีไทยได้ไหม?”

“มีญาติจะบวช แม่ให้ไปร่วมงานที่วัดด้วย แต่พี่เลี้ยงที่โบสถ์บอกว่า “ห้ามไปเด็ดขาด” ทำอย่างไรดี?”

“เมื่อไรจึงจำเป็นต้องอดอาหารอธิษฐานกับพระเจ้าบ้าง?”  เมื่อไรครับ?

“การเฝ้าเดี่ยว เราควรใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละวัน”

เหล่านี้จะเป็นคำถามที่เราได้ยินหรือแม้กระทั่งตัวเราเองมีในใจบ่อยๆ ถ้าท่านเป็นสมาชิกที่นี่ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ แล้วมีใครถามท่านส่วนตัว สมาชิกที่นี่ต้องตอบได้แล้ว รับรอง ผมเชื่อเลย  เพราะว่าได้เรียนรู้ไปบ้าง? เราจะตอบว่าอย่างไร? ใน 1 โครินธ์ 10:23 เป็นคำเฉลย

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

นี่คำตอบแล้ว ทำได้ไหม? ไม่รู้ มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้าเป็นประโยชน์ก็ทำ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องทำ

พันธสัญญาเดิม คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ คือไถ่มนุษย์ให้พ้นจากความบาป

ในสมัยพันธสัญญาเดิม มีบทบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เพราะว่ามันยังไม่สำเร็จ ถ้าไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ ในพระคัมภีร์เดิมเขียนชัดเจนเลย ที่เรียกว่ากฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้ Testelesti (ทำสำเร็จแล้ว) ที่ไม้กางเขน ทำให้พันธสัญญาของพระเจ้า กฎแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันนี้ ก็ถูกลบไปแล้ว ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “พระเยซูได้ฉีกกรมธรรม์ที่ผูกมัดเราไว้ และนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  คือบทบัญญัติต่างๆ ไม่มีผลต่อวิญญาณ ทางชีวิตของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งพระคุณ “พระคุณ” คือให้ฟรีๆ ได้มาฟรีๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องลงแรงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันจึงเรียกว่าข่าวดี ท่านเคยเห็นโฆษณาไหม?

“วันนี้ฉลองเปิดที่ดูแลล้างรถใหม่ เพราะฉะนั้น อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ล้างรถฟรี”

นี้คือข่าวดี เขาเขียนว่าข่าวดี เบ้อเริ่มเลย “ล้างรถฟรี” เห็นไหมข่าวดี ในยุคแห่งพระคุณนี้ ไม่มีคำว่า “ต้อง” ไม่มีคำว่า “ห้าม” แต่มีคำว่า “ควรทำ” หรือ “ไม่ควรทำ” หรือ “ไม่สมควรจะทำ”  ทำแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ทำแล้วเกิดการเสริมสร้างขึ้นหรือไม่? ถ้าทำในสิ่งควร เป็นประโยชน์ ทำในสิ่งที่ส่งเสริมมันก็ทำให้เกิดสันติสุข เกิดความสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกิดผลดี ก็ทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ นี่เรียกว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว แต่ถ้าทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ ไม่เหมาะสมกับผู้ที่เกิดใหม่ ผู้ที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพิ่มขึ้นอีก ทั้งโลกตกลงไปในความบาป มันทุกข์ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่ในพระคัมภีร์บอกว่าอย่าทำ ไม่ดี ยังไปทำอีก เพิ่มความทุกข์ยากในชีวิตของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด ในพระเยซูคริสต์เลย แม้แต่นิดเดียว แต่ทั้งหลายทั้งปวง ความรอดทางวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้กับเรานั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำที่บอกสมควรหรือไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว จึงบอกว่าไม่มีคำว่าต้องไง

ความรอดนิรันดร์ทางวิญญาณของมนุษยชาติ ได้รับจากความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  นั่นแหละ คือหัวใจแห่งความรอดในวิญญาณนิรันดร์ของเรา คือความเชื่อตรงนี้ อันเดียวเลย

ผมชอบไปเดินออกกำลังกาย โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ นิดหนึ่งก็ออกไปเดิน ออกกำลังกาย เพราะทำให้จิตใจสภาพดี เพราะว่าเวลาเราไปดูทุ่งนา ทุ่งหญ้า หรืออะไรกว้างๆ ใหญ่ๆ เราจะสามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้มากขึ้น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด วิญญาณพวกเราถูกสร้างโดยพระเจ้าจะชินกับสิ่งเหล่านี้ คือสวนใหญ่ๆ กว้างๆ ทุกประเทศ ทุกแห่ง นานมาแล้ว เป็นพันๆ ปีมาแล้ว สวนสาธารณะอะไร เป็นสิ่งที่มนุษย์ขวนขวายหามากที่สุด

เมื่อไปเดินออกกำลังกายในสถานที่แห่งหนึ่ง เขามีบึงใหญ่ มีต้นไม้ล้อมรอบ เขากักน้ำเอาไว้ เขาก็จะมีป้ายติดไว้ตรงบ่อน้ำ หลายท่านคงเคยเห็นบ่อยๆ ผมเห็น ก็สะดุดตา นึกถึงเรื่องนี้แหละ พอเรานึกถึงพระเจ้า เราก็จะมองอะไรเป็นเรื่องพระเจ้าหมด ป้ายใหญ่เลยนะ  บรรทัดแรก เขียนว่า “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า “อย่าลงเล่นน้ำ”

ฟังให้ดีๆ “ห้ามตกปลา” อีกป้ายหนึ่ง “อย่าลงเล่นน้ำ”  ผมอ่าน แล้วรู้สึกเปรียบเทียบกับที่เรากำลังเรียนเรื่องข่าวดี ความสำเร็จที่พระเยซูทำ คำว่า “ห้าม” กับ “อย่า” ท่านคิดว่าเหมือนกันไหม? เพื่อจะได้เข้าไปในจิตใจลึกๆ ผมก็เดินๆ ไป แล้วก็คิด ไม่เหมือนนะ

คำว่า “ห้าม” แปลว่า “ทำไม่ได้” ใครฝ่าฝืน กระทำ มีความผิด ต้องถูกลงโทษ เช่น หากถูกตำรวจจับ ถูกปรับ

คำว่า “อย่า” หมายถึงไม่แนะนำให้ทำ หรือไม่ควรทำ แต่ถ้าเราจะฝ่าฝืนไปทำ ก็ไม่ได้เป็นความผิด ถึงขนาดต้องโดนลงโทษ แต่อาจจะมีผลร้ายต่อชีวิต หรือเสียประโยชน์ตัวเอง เช่น ป้ายบอกว่า “ห้ามตกปลา” ถ้าเราฝ่าฝืนเอาเบ็ดไปนั่งตกปลา เจ้าหน้าที่อาจจะเรียกตำรวจมา อาจจะต้องเสียค่าปรับไป ปลาก็ไม่ได้เลย ยึดปลาเราคืน ยึดเบ็ดไปอีกต่างหาก แต่ป้ายที่เขียนว่า “อย่าว่ายน้ำ” ถ้าใครเกิดคะนอง โดดลงไปว่ายน้ำ เจ้าหน้าที่คงไม่ไปตามตำรวจมาจับ แต่เขาก็จะมาเรียกเรา

“ขึ้นมาเถิด เพราะน้ำมันสกปรก ตายไปหลายคนแล้ว ติดเชื้อ” สมมติ อย่างนี้ หรือ

“มันอันตราย เดี๋ยวจมน้ำตายหรอก ไม่ดี ขึ้นมาเถอะ”

แค่นั้นเอง แล้วเราก็ขึ้น ไม่มีอะไร ถูกไหม?

ผมพยายามพูดให้ท่านเห็นภาพ ความแตกต่างระหว่างกฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับกฎแห่งพระคุณมันคืออะไร?  พระคัมภีร์เดิม กฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เป็นกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟันบอกว่าจะไปเฝ้าพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ เลือดแพะไปถวาย เพื่อชำระบาป ต้องเข้าพิธีสุหนัต ห้ามกินเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทิน แล้วก็มีอีกหลายร้อย หลายพันข้อ ห้ามอีกเยอะแยะมากมายที่ต้องทำตาม แต่พอมาถึงยุคพระคุณ ในสมัยพระเยซู เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น  พูดง่ายๆ คืออันนี้อย่าทำ อันนี้ควรทำ

อันนี้ยกตัวอย่างแบบหินเลย สะดุดเยอะเลยเรื่องนี้ ยกไปถึงอดีต ในสมัยยุคหลังพระเยซู เป็นขึ้นจากความตายใหม่ๆ พึ่งจะประกาศ ข่าวประเสริฐนี้ เริ่มเข้า ประกาศที่คนยิวก่อนเลย

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ร้ายแรงของชาวยิวมาก คือเรื่องการเข้าสุหนัต การขลิบอวัยวะเพศชาย เพื่อทำพันธสัญญากับพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าสั่งให้ทำตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้าเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ เป็นพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าจะทำให้สำเร็จแล้ว ตั้งแต่สมัยพระเยซูนั่นเอง เล็งให้เห็นถึงเรื่องราวที่พระเยซูจะมาทำให้สำเร็จ ซึ่งพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เราก็ไม่ต้องทำ

พูดถึงเรื่องการเข้าสุหนัต ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ ในหนังสือกาลาเทีย ผมเอามาให้ท่านอ่าน ท่านจะเห็นภาพชัดๆ ลึกๆ และสามารถเอามาเทียบกับชีวิตของเราได้ คือผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ในยุคที่เรากำลังพูดถึงนี้  ได้รับการประกาศ โดยอาจารย์เปาโล  แล้วเขาก็เชื่อในข่าวดี แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน คนที่มาเชื่อพระเยซู ที่เป็นคริสเตียนแล้ว จากการประกาศของเปาโล ก็เชื่อในผู้นำ เปาโลก็เป็นยิว แต่ปรากฏว่าเปาโลมีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ พอเชื่อปุ๊บ สร้างฐานพอสมควรแล้ว อาจารย์เปาโลก็ลาไปเมืองอื่นๆ เพื่อจะประกาศต่อไป ก็ปล่อยให้ผู้นำยิวอื่นๆ และผู้นำคริสตจักรกลุ่มชน ดูแลกันเอง

ปรากฏว่ามีผู้นำยิว ที่ไม่ใช่เปาโลแล้วนะ ก็เริ่มเข้ามาสอนผู้เชื่อใหม่ แล้วผู้นำยิวเหล่านี้ ในสมัยนั้น แม้ว่าเขาจะเชื่อพระเยซู บางคนอายุถึงได้เห็นพระเยซูยืนอยู่บนโลกใบนี้  ทำอัศจรรย์ต่อหน้าเลย เห็น เขาก็เชื่อว่าข่าวดีนี้เป็นจริง แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออย่างมั่นใจ เพราะว่าเขายังคุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ ที่เขายังยึดติดอยู่ในพิธีเดิมทางความเชื่อของเขา ศาสนายิวของเขาอยู่  เขาก็เลยเชื่อว่าสิ่งที่พระเยซูทำบนไม้กางเขนนั้นจริง แต่ยังจริงไม่ครบ เขาก็เลยสอน โดยแกมบังคับให้ผู้เชื่อ ที่อาจารย์เปาโลบอกเป็นอิสระแล้ว ไปสอนให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ต้องเข้าสุหนัต ตามบทบัญญัติเดิม ที่ชาวยิวเคยทำมาในอดีต ซึ่งเล็งถึงสิ่งที่พระเยซูจะมาทำในอนาคต พระเยซูทำสำเร็จแล้ว คือข่าวดี คนเหล่านี้บอกยังไม่สำเร็จ โดยไม่ได้พูดคำนี้  แต่พูดให้ไปทำส่วนนั้น ก็แสดงว่าพระเยซูยังทำไม่สำเร็จนั่นเอง  อาจารย์เปาโลก็โมโหมากเลย ในกาลาเทีย 3:1-14

กาลาเทีย 3:1-14 “1 ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า ภาพพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน คือท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน 3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ! หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ! 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ! สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ! 5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน

6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม 8 พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า” 9 ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัม บุรุษแห่งความเชื่อ 10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” 14 พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติ โดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

 

ดูสิ ความรัก จึงทำให้เกิดอารมณ์ แบบโกรธมาก

“ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย”

โอ้โห! ท่านอ่านทั้งฉบับนี้ จะรู้ว่านี่เปาโลรักเขาเหล่านี้มาก เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดทางฝ่ายวิญญาณ ยกตัวอย่าง …

“คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน”

พูดง่ายๆ ก็คือ … “ท่านได้รับพระวิญญาณ ท่านได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ เป็น คริสเตียน โดยการทำตามบทบัญญัติหรือ! หรือโดยข่าวดีที่ผมเล่าให้ฟัง”

เปาโลกำลังบอก ก็คือโดยข่าวดีนั่นเอง

“ท่านโง่เขลาป่านนี้หรือ!”

หนักเลย หลังจากที่เริ่มต้นดีๆ ด้วยความเชื่อทางพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยความขวนขวายของมนุษย์หรือ! กลับมาทำเองอีกแล้วใช่ไหม? จะลบล้างบาปให้ตัวเองอีกแล้ว ดูสิ โมโหไหม?

“พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน ก็คือให้ท่านได้เกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย  และทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น คือทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ก็เพราะว่าท่านรักษาบทบัญญัติหรือ! หรือเพราะท่านเชื่อ (ในข่าวดี) ในสิ่งที่ท่านได้ยิน ที่ผมหรือเปาโลได้ประกาศออกไป”

เห็นไหม? ผมเลือกเอาเฉพาะที่มันๆ มานะ ที่ใช้อารมณ์นี้ คนต่างชาติ ก็คือคนไม่ใช่ยิว

“คนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่าทุกประชาชาติจะได้พรผ่านทางเจ้า คนทั้งปวงที่พึ่งการกระทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง และมีเขียนไว้ว่าขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

พูดง่ายๆ ว่า “ถ้าคุณดำเนินด้วยตัวเองตามธรรมบัญญัติ จะทำด้วยตัวเอง คุณต้องทำให้ตลอดรอดฝั่งนะ บัญญัติเขาเขียนไว้อย่างนั้น แล้วมันไหวไหม? ทำได้ไหม?”

“ไม่ได้”

ไม่ได้ ก็ไปพึ่งพระเยซูสิ พูดง่ายๆ อย่างนั้น

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำแช่งสาปของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำแช่งสาป แทนเรา ซึ่งมีเขียนไว้ว่า … เนื่องจากพระคัมภีร์เดิม คำเผยพระวจนะ พระเจ้าเล็งถึง บอกล่วงหน้าว่า ‘ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกสาปแช่งแล้ว’”

เล็งถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกสาปแช่งแทนเรา นี่คือการบอกล่วงหน้าในพระคัมภีร์เดิม ถูกสาปแช่ง เพื่อพระพรจะมาถึง โดยผ่านทางความเชื่อ เพื่อคนเหล่านั้น จะได้รับพระวิญญาณตามสัญญา

ได้รับพระวิญญาณ หมายถึงวิญญาณได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่าวิญญาณใหม่เอี่ยมเลย ได้บังเกิดใหม่ หลังจากที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู นี่หมายถึงอย่างนั้น

นี่พูดถึงเรื่องพิธีเข้าสุหนัต และพิธีอื่นๆ แต่ผมยกเอาพิธีเข้าสุหนัตมา เดี๋ยวพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็จะพูดถึงตอนนี้ชัด เพราะว่าเรื่องนี้ เรื่องสำคัญ ถ้าพลาดไป ข่าวประเสริฐจะเบี้ยวไปเลย พอมาถึงเรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อ ซึ่งจะเป็นผู้รับใช้อีกท่านหนึ่ง ชื่อว่าทิโมธี เด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นลูกแกะ เป็นศิษย์เอกของอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลคนเดียวกันกับที่ตะกี้นี้โกรธมากในเรื่องนี้

ทิโมธี เบื้องหลัง ก็คือมีแม่เป็นชาวยิว และพ่อเป็นชาวกรีก และเปาโลกำลังจะรวบรวมทีมไปรับใช้ด้วยกัน และจะเอาทิโมธีไปด้วย และอาจารย์เปาโลต้องการให้ชาวยิวร่วมมือกับอาจารย์เปาโล ยอมรับอาจารย์เปาโล เพื่อจะเอาข่าวประเสริฐไปประกาศให้กับคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลไม่อยากให้มีการต่อต้านมากเกินกว่านี้ หรือทุกข์ลำบากเกินกว่าเท่าที่จำเป็น ได้บันทึกไว้ในหนังสือกิจการ 16:1-3  ผมอ่านให้ฟัง นึกภาพตามนะ

กิจการ 16:1-3 “1 เขามาถึงเมืองเดอร์บี จากนั้นไปยังเมืองลิสตรา ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธีอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นผู้เชื่อชาวยิว แต่บิดาของเขาเป็นชาวกรีก 2 ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูม 3 เปาโลต้องการจะพาทิโมธีไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่ชาวยิวที่อยู่แถบนั้น เนื่องจากใครๆ ก็รู้ว่าบิดาของเขาเป็นคนกรีก”

 

เห็นแก่คนยิวเหล่านั้น ที่ความเชื่อเขายังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้น เปาโลจึงบอกทิโมธีไปเข้าสุหนัต  เห็นไหมครับว่ามันไม่มี คำว่า “ห้าม” ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่คำว่า “อิสระ ในพระเยซูคริสต์” เท่านั้น  มีอิสระในการทำว่าทำแล้ว เกิดผลดีหรือไม่ดี? เสริมสร้างหรือไม่เสริมสร้างเท่านั้น อยากจะทำอะไร? มีอิสระที่จะทำได้ แต่ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ไหม? ถ้ามีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ เห็นไหม?  เปาโลรู้ว่า … ในหนังสือกาลาเทีย ตอนที่ผู้นำยิวมาใส่ความเชื่อผิดๆ ให้กับผู้เชื่อที่กาลาเทีย เปาโลโกรธจัด ไม่ได้ แล้วแรงถึงขนาดไหน?  อ่านไปตอนจบบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเกลียด (หมายถึงโมโห) คนเหล่านี้มาก ที่มาสอนให้พวกท่านเข้าสุหนัต พวกนี้ ไม่ใช่สมควรเข้าสุหนัตนะ แต่สมควรตัดทิ้งทั้งอันเลย เอาไปตอนซะเลย”

จริงๆ ในข้อสุดท้ายของกาลาเทีย โมโหมากเลย แต่พอมาถึงทิโมธีทำไมทำอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะแตกต่างกันด้วยวาระ แตกต่างกันด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นๆ เพราะฉะนั้น วันก่อนผมถึงถามไง ไปเช็งเม้งได้ไหม?  ทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ไปคิดเองว่ามันเสริมสร้างไหม? จะเอาคนนี้มาใส่คนนี้ไม่ได้ เห็นอาจารย์นครยังทำอย่างนี้เลย เราไปทำบ้าง ไม่ใช่ ผมอาจจะต้องทำอย่างนั้น แต่ท่านอาจจะต้องทำอย่างนี้  แต่ทั้งหมดทำเพื่อเสริมสร้าง เป็นประโยชน์ เป็นความรักในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ท่านพอจะเห็นภาพไหม? มันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ ทำแล้ว เป็นการเสริมสร้าง ส่งเสริม หรือทำแล้ว ให้เกิดการสะดุด ไม่มีเสริมสร้าง ทำให้หลักการเสีย นี่คือหลักการที่แท้จริง ในยุคพระคุณ คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เสียสละ เห็นแก่ผู้อื่นก่อน  พระเยซูจึงบอกว่าทั้งหมดมันรวมกันมาเหลือข้อเดียวแล้ว ตอนที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว บทบัญญัติเยอะแยะเป็นหลายพันข้อ รวมกันเหลืออันเดียว คือความรัก

ความรัก คือการเสียสละ เห็นแก่คนอื่นก่อน ท่านทำอย่างนี้หรือไม่? ท่านไปวัดดู ถ้าท่านทำอย่างนี้ ท่านอยากจะทำอะไร ก็ทำไป ถ้าในใจท่านรู้ว่าท่านทำสิ่งนี้ เพื่อความรัก เพื่อผู้อื่นก่อน เป็นประโยชน์ ท่านก็ทำ อย่างนี้เป็นต้น

พอพูดถึงเรื่องห้ามทำ ต้องทำ มันจำเป็นต้องคุยถึงเรื่องนี้ สำคัญ เรื่องนี้ ทำให้หลายคนตื่นเลย เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานที่สุด และเป็นเรื่องที่พูดถึงมากที่สุด มีกระทู้เยอะที่สุด ตั้งแต่เคยมีมา เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจผู้คนมากที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนตื่นเต้นที่สุด เป็นเรื่องที่ทำให้คนหลุดออกจากพระเจ้ามากที่สุด คือเรื่องเงินในกระเป๋า เอาล่ะสิ คนที่ไม่มีเงินสบาย คนมีเงิน …

“มาแล้ว มายุ่งกระเป๋าฉัน จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ อย่ามาพูดเรื่องกระเป๋าฉันนะ”

ถ้าเราไม่มีเงิน พูดไปเถอะ แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ …

“ศิษยาภิบาลพูด ต้องการเงินในกระเป๋าเราแล้วสิ”

ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการถวายสิบลด ซึ่งเป็นบัญญัติของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หายใจโล่งเลย ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งมันเลิกไปแล้วใช่ไหม? น่าจะดีใจ โอเค เรามาพูดถึงเรื่องถวายสิบลด กระทู้ที่อ่านเจอมีอย่างนี้นะครับ อาจจะโดนใจใครหลายคน มีผู้เชื่อ เขาถามมาว่า …

“ผมเพิ่งขายที่ดินไป พอศิษยาภิบาลทราบข่าว ก็มาคุยกับผมเรื่องให้ถวายสิบลดให้พระเจ้า พระเจ้าทรงทราบดีว่าผมขายไปได้เป็นเงินเท่าไร? สิบลดจะเป็นเงินจำนวนเท่าไร?”

“อย่าโกงพระเจ้า อย่าเหมือนอานาเนีย” อันนี้ศิษยาภิบาลขู่เขานะ

“‘อย่าเป็นเหมือนอานาเนียกับซับฟีราที่โกงพระเจ้าเรื่องนี้’ ทำให้ผมเครียดมาก ที่ดินที่ผมขายไป เพราะผมเอาเงินมาใช้หนี้ และตอนนี้ ใช้เงินกู้ไปซื้อ ตอนนี้ก็เหลือแค่ไม่เท่าไรเอง ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ?”

นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ไปอ่านดูเยอะแยะ ทุกข์ทรมานไหม?  นี่มันข่าวดีไหม ผมเชื่อพระเยซูต่อไปดีไหม?

ขอโทษทีที่อ่านขำไป ผมเชื่อทุกวันนี้ยังมีอย่างนี้อยู่ เพราะฐานมันยุ่งไปหมดแล้ว ไม่รู้ฐานมันอยู่ตรงไหน? เราต้องหาทางให้เจอ

จริงๆ แล้วในเรื่องการถวายสิบลด คุยไปหลายครั้งแล้ว ย้ำแล้วย้ำอีกว่าการถวายสิบลด ไม่มีผลอะไร? เกี่ยวกับความรอด โดยความเชื่อของเราเลย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้นด้วย และไม่ได้ทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลงด้วย วันนี้ ผมและพวกเราทุกคนที่นี่ ขอยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ อาเมน โอ๊ย! สบายแล้ว ไม่ต้องถวาย ดีใจจัง เป็นอิสระแล้ว ใช่หรือเปล่า? คนที่มีเงินใช่หรือเปล่า?  พระคัมภีร์บอกว่าในพระคริสต์ พระเจ้ารักเราทั้งหมดเหมือนกัน

เหมือนกัน แปลว่าอะไร? คนที่รู้สึกว่าคนอื่นมองว่าดี คนที่รู้สึกคนอื่นมองว่าไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกว่านิสัยไม่ดี คนนี้คนอื่นบอกนิสัยดี คนนี้คนอื่นบอกว่าเป็นคนถวายเก่ง คนนี้คนอื่นบอกขี้เหนียว ไม่ค่อยถวาย พระเจ้ารักเท่ากัน

พระเจ้าบอกในกาลาเทีย 3:26 บอกว่า “ในพระเยซูคริสต์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในสวรรค์ที่เรียกว่าพระคริสต์นี้ ของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เข้ามาอยู่ บัพติศมาในพระคริสต์ บัพติศมาเข้าในส่วนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระคริสต์แล้ว

กาลาเทีย 3:26 “ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายเป็นลูกๆ ของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อ” จบ

โดยความเชื่อ เป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว รักเท่ากันหมดเลย

ในยุคแห่งพระคุณนี้ การถวายสิบลด ไม่ใช่บทบัญญัติ ที่จะมาบังคับให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคนต้องทำอีกต่อไป แต่ว่าเป็นการแนะนำ ฝึกฝน ให้ผู้เชื่อ คือประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้าทั้งหลาย รู้จักการให้ออกไป ด้วยความรัก มีใจชื่นชมยินดี เพื่อแนะนำให้บทเรียนในการดำเนินชีวิต ในโลกใบนี้ เพื่อจะดำเนินการบนโลกใบนี้ด้วยสันติสุข อยู่ด้วยความสงบสุข และทุกข์น้อยลง

ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ เพราะพระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ทุกๆ คนแหละ เพราะโลกมันเสียหายไปแล้ว เนื่องจากบาป นี่เรื่องจริง แต่มาเป็น คริสเตียน มาเชื่อพระเยซูแล้วว่าพระองค์อยู่กับเรา  พระองค์ดูแลเรา นำพาชีวิตและสอนเราให้ดำเนินชีวิตอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราและคนอื่น เราก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น คนอื่นก็ทุกข์น้อยลง สันติสุขมากขึ้น นั่นแหละ พระเจ้าจะสอนเราทำ รวมทั้งการถวายสิบลดด้วย

เรามาดูในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลสอนเรื่องเกี่ยวกับการให้ และการถวายนี้อย่างไร? ชัดเจนมาก ใน 2 โครินธ์ 9:1-15

2 โครินธ์ 9:1-15 “1 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้ เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ 2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่าตั้งแต่ปีที่แล้ว พวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลาย ได้กระตุ้นพวกเขา ส่วนใหญ่ให้ลงมือทำตาม แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้ จะไม่สูญเปล่า 3 แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่ สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอกไว้ 4 เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้า พบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เราเองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน 5 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องกำชับพี่น้องเหล่านั้น ให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวาง ตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลา ก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วยการฝืนใจ หว่านด้วยใจกว้างขวาง

6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่นิรันดร์ 10 บัดนี้ พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่าน ประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉางของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน

11 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกด้าน เพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่าน ส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า 12 การรับใช้ที่ท่านทำอยู่นี้ ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย 13 ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้  และเพราะการรับใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้า เนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่าน ซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขาและแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง 14 และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่าน ขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วยพระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน 15 ขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับของประทานอันสุดจะพรรณนาของพระองค์” เอเมน

 

ผมพูดถึงเรื่องถวายมาตลอดว่าไม่จำเป็นต้องถวายสิบลด หลายคนก็เข้าใจผิด คงนึกว่าผมคงไม่ทำ แต่ผมบอกท่านวันนี้เลยว่าผมทำมาก … มากจริงๆ ไม่ใช่ว่าถวายสิบลด เพราะว่าผมรักษาบัญญัติ แต่มันเป็นประโยชน์ มันง่ายกว่าการคิดว่ารายได้เข้ามา ถวาย 10% แต่ก่อนนี้ ตอนเข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถวายสิบลด เพราะเขาสั่งมา กลัวจริงๆ กลัวตามที่อ่าน แล้วหัวเราะไปด้วย นั่นคืออดีตของผม ที่บ้านก็จะอย่างนี้ เพราะว่ากลัว แต่ตอนหลังรู้แล้ว ยังรักษาไว้ ยังทำอยู่ ไม่กลัวแล้ว แต่ยังถวายสิบลดอยู่เหมือนกัน มันคิดง่ายดี ไม่รู้จะให้เท่าไร? เราตั้งหลักตามข้อพระคัมภีร์ตะกี้นี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าคิดหมายไว้ก่อน ตั้งแต่อยู่ในใจแล้วว่า …

“ถ้ารายได้เข้ามา ฉันจะตัดอันนี้เป็นค่าใช้จ่าย ตัดนี้เป็นค่ารถ ตัดนี้เป็นค่าน้ำ ตัดนี้เป็นค่ารักษาพยาบาล ตัดนี้เป็นสิบลด”

สิบลด แปลว่า 10% เราไม่ให้ได้ไหม? ได้ แต่ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ และก็ไม่เคยขาดเลย ที่ตั้งไว้ มันได้ทุกที และได้มากกว่าอีก เพราะเป็นการฝึกฝนไง  ถ้าให้ 10 ได้ ต่อไปก็ให้ 20, 30 ได้ ถ้าให้ 30 ได้ ก็ให้ 50 ได้ ถ้าให้ 50 ได้ ก็ให้ร้อยหนึ่งได้ เพราะมันไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ไม่ให้ แล้วมาให้ร้อย ไม่จริงแล้ว แสดงว่าข้างในต้องการกลับคืน ไม่ใช่วิธีนั้น แต่ก่อนนี้มาใหม่ๆ ยอมรับว่าเคยถวายสิบลด เพราะอยากได้กลับคืน เขาบอกว่าถวาย แล้วจะได้ 10 เท่า 100 เท่า 5 เท่า อะไรก็ว่ากันไป  อยากได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีความหวังเลย ในพระคัมภีร์เขาให้ความหวังเรา แต่ไม่ใช่ความหวังที่เราจะต้องมาเรียกคืนว่าจะต้องเป็นเท่านั้น ต้องอย่างนี้ พระเจ้าไม่ใช่ตู้ ATM นะ ใส่ไปเท่านี้  เด้งออกมาเท่านี้ ไม่ต้องทำมาหากินพอดี

ถ้าเข้าใจถึงความรักพื้นฐานข่าวดีของพระเจ้า จะเข้าใจตรงนี้ชัดๆ พระเจ้ารักเรามาก พยายามไม่แตะต้องเงินเราเลย รู้ว่าเรารักเงินมากเลย  ท่านจะมีเงินและมีพระเจ้าพร้อมๆ กันไม่ได้ พระเยซูบอกเลย เพราะรู้แตะเรื่องนี้ทีไร? มันแตะหัวใจของพวกเราทุกทีเลย …

“จะมาเอาอะไรกับฉันอีกล่ะ”

ในนี้บอกว่าให้เราเตรียมพร้อมในใจไว้ก่อน เรื่องที่เรากำลังพูดอยู่นี้  เกิดการกันดารที่เยรูซาเล็ม แล้วแถบนั้นอดอยาก จึงมาเรี่ยไรเงินจากที่นี่ไปช่วย … ช่วยทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ ในนี้ถึงเรียกว่าเป็นบริจาค มันไม่มีสิบลด มันมีแต่ว่าท่านสามารถเอาคำนี้ แปลเป็นไทย แล้วเอาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตท่านว่าท่านเตรียมตัว เหมือนคนไปธนาคาร ต้องวางแผนล่วงหน้าในชีวิต ในการใช้เงินของเรา เราจะสะสมเงินไว้เท่าไร? กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้? เราจะใช้เงินเท่าไร? อันนี้เป็นประโยชน์ในการทำบัญชี ท่านว่ากี่เปอร์เซ็นต์ที่ท่านเตรียมไว้ในการรู้จักให้ออกไปฟรีๆ ให้ไม่คิดอะไรทั้งสิ้นว่าจะได้อะไรกลับมา พระคัมภีร์ใช้คำว่าหว่านออกไป

“หว่านออกไป” คือท่านทำนา ปีนี้ทำมาได้ 30 ถัง ท่านคิดว่าจะกินสักกี่ถัง? เอาไปขายกี่ถัง? แล้วที่เหลือท่านต้องเตรียมเป็นเมล็ดเอาไว้หว่านในฤดูหน้า ไม่อย่างนั้น ท่านกินหมด ฤดูหน้า ท่านไม่มีหว่าน อดตายพอดี ธรรมชาติ ไม่เห็นมีอะไรเลย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารการเงิน ที่พระเจ้าสอนเรามากกว่า เห็นไหม? มันชัดๆ ง่ายๆ เอาไปใช้ได้หมดเลย เตรียมไว้สำหรับค่าพยาบาลกี่ตังค์? กี่เปอร์เซ็นต์? อย่าซี้ซั่วใช้ อันนี้ใช้สุรุ่ยสุร่ายได้กี่เปอร์เซ็นต์? มันเป็นอย่างนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องฝึกฝนในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นผู้เชื่อจริงไหม? ถ้าท่านเชื่อในข่าวดีจริงๆ ท่านต้องรู้จักการให้ออกไป  ไม่ใช่ไม่มีสักเปอร์เซ็นต์เลย ยังเป็นหนี้อยู่ จะมาเอาอะไรกับฉัน ท่านก็อยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ ท่านไม่ได้เชื่อจริงแล้ว ถ้าเชื่อจริง ท่านต้องไม่ขาด ต้องมีเหลือให้ด้วย เพราะมันเป็นเปอร์เซ็นต์ นี่เป็นคำแนะนำจากพระเจ้า เป็นเปอร์เซ็นต์นะลูก เราได้มา 10 บาท 10% ของ 10 บาท มันบาทเดียวนะ ท่านให้บาทหนึ่งกับคนให้ 10 ล้าน มีเงิน 100 ล้านเท่ากัน ไม่มีใครดีกว่าใคร? แต่พระเจ้าต้องการให้ได้รับสิ่งดีๆ ในนี้บอกว่า …

“และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่าง ที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา เพราะท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง”

ไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ทุกอย่าง เพื่อเอามาทำดีต่อไป  ถ้าเราเรียนรู้ลึกซึ้งไป พระเจ้านำเราไปเรื่อย เราเชื่ออย่างเดียวได้ผลออกมาอย่างนี้ทุกคน เราคอยคิดโน่น คิดนี่ มันจะไปไหน? พระเจ้าไม่ได้ต้องการเงินจากเรา พระเจ้าต้องการให้เราดีที่สุด  แต่กลัวว่าเงินมันจะทำร้ายชีวิตเรา กลัวว่าเงินจะทำอันตรายความเชื่อเรา จึงต้องค่อยๆ สอนเรา ค่อยๆ ฝึกเรา ไปทีละนิดที่ละหน่อย เพราะฉะนั้นวันนี้ เข้าใจแล้วนะ

ผมพูดอยู่เสมอ พอพูดถึงเรื่องสิบลด ก็จะบอกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องถวายก็ได้ โฮลี่ส์เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราเคยคุยกันอยู่ตลอด ถ้าไม่มีใครถวายเลย เราก็เลิก ไม่มีเงินแล้ว ไม่มีอะไร? ไม่ยากเลย  ถ้าไม่มีเงินดูแลสถานที่แล้ว ก็เลิกสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าจริง พระเจ้าต้องดูแลสิ  ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา คำว่า “เกี่ยวอะไรกับเรา” หมายถึงยังต้องให้ เพื่อฝึกฝนตัวเราเอง เข้าใจใช่ไหมครับ? แต่มันมาเกี่ยวอะไรกับเรา ทำไมต้องให้คริสตจักรมีเงินเยอะๆ เข้ามา เพื่อเราจะอยู่ได้  ถ้าพระเจ้าให้อยู่ มันก็จะอยู่เอง ถูกไหม? เราเอาความถูกต้องดีกว่า อะไรที่มันถูก เราก็บอกว่าถูก อะไรที่เป็นประโยชน์ เราก็บอกเป็นประโยชน์ เหมือนพระคัมภีร์พูดเดี๋ยวนี้ ในเรื่องนี้ เรื่องการถวายนี้

อีก 4 ปี เราจะหมดสัญญา เราก็ต้องเตรียมสถานที่ใหม่ พระเจ้าไม่ได้โยนเงินมาจากข้างบนหรอก พระเจ้าก็จะใช้ทั้งโลก เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อ 16 ปีที่แล้ว เราจำเป็นต้องย้ายที่ ก็ไม่มีเงินอย่างนี้แหละ  ในที่สุด มันก็มีมาจนได้ แล้วก็ใช้คนที่พร้อม เพราะที่นี่ไม่เคยสอนผิดจากหลักพระคัมภีร์ กล้ายืนยัน โดยเฉพาะเรื่องนี้  ไม่เคยบังคับว่าให้คนต้องให้ๆ บอกเสมอว่าอย่าให้นะ ถ้าฝืนใจ ไม่ต้องให้ ไม่ต้องถวายสิบลดก็ได้ แต่ให้ท่านไปคิดดูว่ามันฝึกฝนไหม? มันฝึกฝนชีวิตเราหรือเปล่า?  อะไรอย่างนี้  เพราะฉะนั้น เที่ยวนี้ก็เหมือนกัน อีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้ ฝากไว้ที่พระเจ้า ทุกอย่าง แต่มิใช่หมายถึงพวกเราจะไม่มีหน้าที่ตรงนี้

ผมเป็นศิษยาภิบาลมีหน้าที่สอนในสิ่งที่ดี ไม่ใช่ต้องการอยากจะได้เงินจากพวกท่าน พูดกลับไปกลับมา พูดถึงเรื่องนี้ พูดยากนะ พูดเรื่องอื่นสนุกสนาน พูดเรื่อง ก็ไม่สนุกเลย  นานๆ ถึงพูดที ไม่อยากจะพูด ไม่พูดก็ไม่ได้  พอไม่พูด ก็เหมือนไม่บอกทางสว่างให้กับท่าน มีทางที่ท่านจะเจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่อยากจะพูดอย่างนี้  พูดอย่างนี้ ก็กลายเป็นไปทำให้เขาโลภ มันไม่ใช่ มันคือตรงกลาง เข้าใจไหม? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ผมก็ไม่เข้าใจ มันวนไปวนมา สมมติผมจะบอกว่าเมื่อ 16 ปีที่แล้ว มีคนได้พรตามนี้ จากความเชื่ออย่างนี้ ร่วมกันก่อสร้างตรงนี้มาตลอด และได้พรตามนี้เป๊ะเลย  และตอนนี้ ท่านฝึกฝน ท่านรู้จักให้ออกไป ท่านก็จะได้พรจากนี้ต่อไป อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะมีสถานที่ใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่ตรงพรในโลกใบนี้นะ ไม่ใช่ไปสวรรค์แล้วมันได้ ไปสวรรค์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ในโลกใบนี้  ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข ความสงบสุข และพระเจ้าสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือทุกอย่าง เพื่อการดีต่อๆ ไป เยอะแยะมากมาย เหมือนที่เขาเขียนไว้ว่า …

“เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์”

ผมอยากให้ท่านได้ตรงนี้ ก็เลยมาหนุนใจท่าน ฝึกให้ออกไปบ้าง กลับมาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมศิษยาภิบาลพูดลำบาก ยากไหม? ไม่พูดไม่ได้ ผมจำเป็นต้องพูด ผมพูดเสมอๆ ตลอดมาว่าไม่จำเป็นต้องถวาย ให้ไปฝึกฝน ตรงนี้มันคือพร มันไม่ใช่ได้เงินกลับมาอย่างเดียว มันได้ทุกอย่างเลย  ในนี้บอกทุกอย่าง

“พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการ อย่างเหลือล้นแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา”

เวลารถท่านตายกลางถนน บนทางแยก ทางด่วน ไม่มีใครจะทำให้ ก็จะมีคนไปดูแลท่าน เอเมน ยกตัวอย่างให้ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไรแล้ว มันไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่น ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หมายถึงอย่างนั้น  แต่ตอนเราให้ เราไม่ได้หวังตรงนี้ เข้าใจไหม? พูดยากอีกแล้ว เราไม่ได้หวังว่าเราให้ออกไป แล้วเราจะได้ตรงนี้ ไม่ใช่ ให้วันนี้ไป

“พระเจ้าบอกว่าจะให้ ไม่เห็นให้สักที ไหนล่ะ วันนี้ต้องมานั่งเข็นรถ ไหนล่ะ รถพิเศษที่บอกว่าจะเตรียมมา ไม่เห็นมาเลย”

ไม่ใช่ มันอธิบายยากใช่ไหม? สรุปแล้ว มันไม่เข้าใจหรอก ท่านเชื่อไหม? อย่างนี้ดีกว่า ท่านทำตามพระคัมภีร์นี้ว่าฝึกฝน รู้จักให้ ผมจะบอกว่ามันเป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด ให้อย่างไม่ได้คิดอะไรเลย มือซ้ายให้ มือขวาไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าท่านให้อะไรเท่าไร?  ไม่ต้องบอกเลยว่าให้อะไรเท่าไร? ไม่ต้องใส่ชื่อฉัน กรุณาอย่าใส่ ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องออกบิลก็ได้ ออกบิลดีแล้ว ให้ตามหน้าที่เขา จะได้ลงบัญชีเอาไว้ อะไรอย่างนี้

คือผมอยากจะอธิบายให้ท่านฟังว่าสิ่งนี้เป็นพระพรมากมาย ไม่ใช่เป็นการเรียนอย่างเดียว เพราะว่าผมฝึกฝนปฏิบัติตามมา 30 ปีแล้ว โง่ๆ เซ่อๆ เรื่องข่าวดี ทำตามเขาไป ผิดๆ ถูกๆ แก้ไขความเชื่อไปเรื่อยๆ  แต่ยังปฏิบัติตามเหมือนเดิมตลอดๆ  และผมเชื่อว่าข่าวดีนี้  มันไปถึงลูกหลานเหลนโหลนของผม ไปบอกคนอื่นๆ ต่อๆ ไป มันก็เป็นไปตามพระคัมภีร์ตรงนี้เลยว่าเราได้เป็นพระพรด้วย เกิดการขอบคุณพระเจ้าขึ้น เกิดการสรรเสริญพระเจ้าขึ้น ข่าวดีนี้ถูกประกาศออกไป เราได้ทำสิ่งที่ดีๆ น้ำท่วม คนเกิดลำบากยากจน เราก็เข้าไปช่วยได้ เพราะว่าเขามี ถามว่าเขามี เพราะอะไร? เพราะว่าเขาเก็บเมล็ดไว้ สำหรับหว่าน พอเราหว่านปุ๊บ พระเจ้าก็อวยพรให้ต้นไม้เจริญเติบโต เราก็เก็บเกี่ยวไปอีก เราก็หว่านออกไปอีก เอเมน

เพราะฉะนั้น สรุปก็คือเราเป็นลูกๆ ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีข้ออะไรที่ให้เราต้องอันนั้น ต้องอันนี้ แต่พระองค์แนะนำในสิ่งที่ดีๆ เราควรจะทำตาม และสิ่งเดียว สำหรับลูกของพระเจ้า ที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ มีข้อห้ามเพียงข้อเดียวเอง ซึ่งจะสอนตอนต่อไป แต่วันนี้ ให้เป็นกระสายนิดหนึ่ง

ข้อห้ามเพียงข้อเดียว คือห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีของพระเยซูเด็ดขาด เพราะเมื่อไรท่านทิ้งข่าวดี ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู เหยียบย่ำพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่บริสุทธิ์สะอาดว่าไม่มีค่า ก็คือเข้าพิธีสุหนัต หรือทำพิธีอะไรต่างๆ ด้วยใจท่านรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องทำ ท่านทำ เพราะว่าท่านกลัวว่าท่านไม่รอด นั่นแหละคือค่อยมาเรียนต่อครั้งหน้าว่าพระคัมภีร์พูดตรงไหน?  ถึงเรื่องนี้ว่าห้ามทิ้งความเชื่อ เรื่องข่าวดีนี้ เด็ดขาด รักษาไว้เป็นของท่าน ห้ามปฏิเสธข่าวดีของพระเยซู และที่เหลือมีเต็มไปหมด  ควรทำตามไหม? ควรทำตาม เพราะมันเป็นประโยชน์ เสริมสร้าง พระคัมภีร์จะสอนเรา ยกตัวอย่างเช่น อย่าโลภ  อย่ามีรูปเคารพ  อย่าโกรธ  อย่าเกลียด  อย่าอาฆาต  อย่าผิดศีลธรรมทางเพศ  อย่าโกง  อย่าเห็นแก่ตัว  อย่าเล่นไสยศาสตร์  อย่าเล่นคาถาอาคม  อย่าโกหก  อย่าหลอกลวง   และอย่า … อื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดเลย  ที่พระเจ้าสอนท่าน  พอท่านรู้ว่าอย่า ก็อย่าไปทำ หรือพยายามให้น้อยลงๆ ทำเมื่อไร ก็เจ็บตัวเมื่อนั้น  ก็เขาบอกอย่าแล้วไง ดังนั้น จงทำสิ่งที่พระวิญญาณ หรือสติปัญญาท่าน หรือในพระคัมภีร์บอกว่าดี ก็ทำตามนั่นแหละ เพื่อชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ จะได้ถวายเกียรติพระเจ้า แล้วมันมีแต่สันติสุข มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น  วางใจในพระเจ้านะ และทำสิ่งที่ดีเหล่านี้  เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2018 เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  พฤษภาคม  2018

เรื่อง “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะ

กับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู

ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            การบรรยายวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ชื่อเรื่องว่า “ความแตกต่างระหว่างการเผยพระวจนะกับการประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู” ตอน 2 “แก่นแท้ความจริงของการประกาศข่าวดี” และครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้แล้ว จากรากศัพท์ของคำว่า “ผู้เผยพระวจนะ” แปลมาจากภาษาเดิม ภาษาอังกฤษ ก็คือ “Prophet” …

“Pro” แปลว่า “เบื้องหน้า”

ส่วน “Phet” มาจากคำภาษากรีก ที่แปลว่า “พูด” หรือ “กล่าวออกไป”

รวมความแล้ว “Prophet” หรือ “ผู้เผยพระวจนะ” ก็หมายถึง “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ เพื่อเป็นผู้บอกเล่าเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้า หรือในอนาคต”

เรารู้แล้วว่าผู้เผยพระวจนะ คือใคร? แปลว่าอะไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

ซึ่งการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์ จะถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เกือบทั้งหมด ผู้เผยพระวจนะ มีก่อนพระเยซูคริสต์จะมาถือกำเนิด และเรื่องราวการเผยพระวจนะทุกเรื่อง ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อ่านตรงนั้น แล้วเล็งถึงหรือไม่เล็งถึง แต่พระคัมภีร์เล็งไปถึงพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องนางรูธ ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องโมเสส ก็เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เรียนรู้ถึงหรือไม่ถึง ทั้งหมดนั้น พูดเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย

เรื่องราวคำเผยพระวจนะของพระเจ้าที่บอกล่วงหน้า พอมาถึงพระเยซูคริสต์ จึงกลายเป็นข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ ได้รับการประกาศกันต่อๆ มาว่าที่พระเจ้าวางแผนไว้ เมื่ออดีต ตั้งนานมาแล้ว บัดนี้ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

เพราะฉะนั้น  จึงสามารถพูดว่าข่าวดี แห่งความสำเร็จ มันสำเร็จแล้ว ถึงเป็นข่าวดี ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ต้องลุ้นต่อไป มันยังไม่ดีจริง แต่สำเร็จแล้ว มันคือข่าวดี

การประกาศข่าวดีของพระเจ้า ประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ของพระเจ้า ก็คือเรื่องของสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ล่วงหน้าสำเร็จแล้ว นี่คือข่าวดี ได้ถูกประกาศมาตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตของพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม จนถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว ประมาณนั้น

และเรื่องราวเล่านั้น ที่กำลังพูดถึง ก็คือพันธสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป รอดพ้นจากคำสาปแช่ง โดยจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาเป็นผู้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้รับมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัมและเอวา เอาความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมาน เนื่องจากคำสาปแช่ง ซึ่งเป็นผลจากการทำบาป ต่อต้านพระเจ้า หนีพระเจ้าไป ไปอยู่ใต้หรือไปเชื่อฟังมาร มนุษย์ตั้งแต่นั้นมา ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก

คำสัญญาของพระเจ้า ก็คือจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาไถ่บาป ด้วยการทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน รับโทษบาปทั้งหมด แทนมนุษยชาติ

นี่คือเรื่องราวที่มีการเผยพระวจนะบอกล่วงหน้า ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เราเรียกกันว่าภาคพันธสัญญาเดิม คือสิ่งที่บอกไว้ตั้งแต่เดิม ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด คำว่า “เดิม” คำว่า “ใหม่” แบ่งกันตรงที่พระเยซูเกิดหรือยัง? ถ้าพระเยซูคริสต์ยังไม่เกิด เรียกว่าพันธสัญญาเดิม …

เดิมบอกไว้ว่าพระเยซูคริสต์จะมาช่วยให้รอด เดิมบอกว่าพระองค์เตรียมแผนการนี้ ช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป และหลังจากการเผยพระวจนะ ผ่านไป เป็นเวลาหลายๆ พันปี ก็ถึงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ และมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ และมาตายที่ไม้กางเขนจริงๆ ด้วย  รับโทษบาปแทนมนุษย์จริงๆ ทำแผนการของพระเจ้าที่บันทึกไว้ล่วงหน้า ที่สัญญาไว้ล่วงหน้านั้น สำเร็จ ณ เวลานั้น สิ่งที่เคยถูกเรียกว่าการเผยพระวจนะ หรือการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ก็ถูกเรียกใหม่ว่าข่าวดี

นี่คือการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ พระคัมภีร์เดิมสัญญาไว้ว่าอย่างนี้ๆ เรียกว่าพระคัมภีร์เดิม พอพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูมาทำให้สำเร็จ จากการบอกล่วงหน้า จึงกลายเป็นสำเร็จแล้ว

“สำเร็จแล้ว” เราทุกคนต้องอยู่ในคำนี้เยอะ จนตลอดชีวิตของเรา ไปชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไปถึงนิรันดร์เลย ต้องจำให้ได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ “สำเร็จแล้ว”  ภาษากรีกพูดว่า “Testelesti”

โรม 1:1-4 อาจารย์เปาโล ก็คือผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เหมือนเราอย่างนี้  อยู่ในยุคก่อนเรา เกือบ 2,000 ปี ก็ได้พูดอย่างนี้แหละ

โรม 1:1-4 “1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และทรงแยกไว้ เพื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2 คือข่าวประเสริฐซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ 3 ข่าวประเสริฐนั้น เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งในฐานะมนุษย์ ทรงเป็นวงศ์วานของดาวิด 4 และผู้ซึ่งโดยทางพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการประกาศ ด้วยฤทธานุภาพว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

 

ข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเหล่าผู้เผยพระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ มาจากคำว่าไบเบิ้ล … ไบเบิ้ล แปลว่า book … book แปลว่าหนังสือ … หนังสือที่บันทึกไว้ Holy แปลว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะพระเจ้าใช้เขาบันทึก ตามพระองค์บอก เขาถึงเรียกว่า Holy ศักดิ์สิทธิ์ เขาหมายถึงอย่างนี้

พระคัมภีร์บอกเรื่องราวข่าวประเสริฐนี้ เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แต่ปิดบังไว้ก่อน เป็นแผนการลับ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผย รอถึงเวลาที่เหมาะสม ก็ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละนิดๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ ให้บอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะทำอะไร?

แค่พูดคำว่า “เป็นแผนการ หรือสัญญาที่พระองค์ทรงเตรียมล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก”

ท่านเข้าใจไหม ก่อนสร้างโลก ไม่เข้าใจ เรามีหน้าที่เชื่ออย่างเดียว เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น แต่วันหนึ่งเราจะเข้าใจเองแหละ วันไหน? วันที่เราอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า เราก็ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นวันหนึ่ง ที่เราจากโลกนี้ไปแล้วก็ได้ เปาโลบอกว่าวันที่เราจากโลกนี้ไป เราจะรู้ ในสิ่งที่เราอยากจะรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย คือวันที่เราไปเห็นพระองค์หน้าต่อหน้านั่นเอง ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว

พระเจ้าค่อยๆ สำแดงและเปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ ก่อนที่เหตุการณ์จริงจะเกิดขึ้น เพื่อจะได้เล้าโลมจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย ก่อนช่วงที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด มันไม่มีความหวังอะไรเลย มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาปทั้งสิ้น และอยู่ภายใต้ความกลัวการถูกลงโทษในใจลึกๆ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระเจ้าจึงค่อยๆ เปิดเผยพันธสัญญาของพระองค์ แผนการของพระองค์ ให้มีความหวังใจว่าสักวันหนึ่ง วันหนึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาของเรา อาจจะไปถึงลูกหลานของเรา หรือเหลนของเราก็ได้ วันหนึ่งข้างหน้า ความบาปผิดเหล่านี้ ความทุกข์ทรมานเหล่านี้ มันจะได้รับการชำระ ได้รับการไถ่ เราจะหลุดพ้นเสียทีหนึ่ง เราจะหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง ต้องมีสักวันหนึ่ง พระเจ้าต้องการอย่างนี้ และเพื่อให้มนุษย์ใจจดใจจ่อในสิ่งเหล่านี้ และเมื่อวันที่เกิดขึ้นจริงๆ เขาจะได้รู้ว่าเป็นพระเจ้าแน่ๆ เพราะพระองค์บอกล่วงหน้ามาแล้ว  โรม 16:25-26 บันทึกเรื่องนี้ไว้

โรม 16:25-26 “25 บัดนี้ แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านตั้งมั่น โดยข่าวประเสริฐของข้าพเจ้า และการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ตามการทรงสำแดงข้อล้ำลึก ซึ่งได้ทรงปิดบังไว้ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 26 แต่บัดนี้ ได้ทรงสำแดงและเปิดเผยให้รู้ทั่วกัน ผ่านทางข้อเขียนต่างๆ ของผู้เผยพระวจนะ ตามพระบัญชาของพระเจ้าองค์นิรันดร์ เพื่อปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจและเชื่อฟังพระองค์”

 

เห็นไหม? เพื่อว่าเมื่อเกิดขึ้น ปวงประชาชาติจะได้เชื่อวางใจ และเชื่อฟังพระองค์ในข่าวประเสริฐนี้ จากพระสัญญาของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก แผนการลับ ที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากคำสาปแช่ง ถ้าเผื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่ง แล้วมนุษย์ก็ตกลงไปจริงๆ ซึ่งแต่เดิมเคยถูกปิดบังไว้ เรียกว่าเป็นแผนการลับ จนมาถึงได้รับการเปิดเผยผ่านทางผู้เผยพระวจนะทีละนิดทีละหน่อย จนมาถึงการเกิดขึ้นจริงๆ ในวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต จากนั้นเป็นต้นมา พันธสัญญาหรือคำเผยพระวจนะเหล่านี้ จึงกลายเป็นข่าวดี ให้เราทั้งหลายประกาศออกไปว่ามันสำเร็จแล้ว ประกาศไปจนกระทั่งสุดปลายแผ่นดินโลก

พระเยซูทรงประกาศข่าวดีนี้เป็นคนแรก ที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ตอนบ่าย 3 โมง  พระเยซูก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงประกาศดังลั่นในใจ แต่ปากอาจจะพูดเบาๆ เพราะว่าทรมานมาก หายใจไม่ออกแล้ว จะยกเลิกวิญญาณตัวเอง

พระองค์บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” บันทึกไว้เป็นภาษากรีกว่า “Testelesti”  ทุกอย่างจ่ายเรียบร้อยแล้ว ที่วางแผนมาทั้งหมด ตั้งหลายพันปี จบแล้ว บาปเวรกรรมของมนุษย์ได้ถูกชดใช้เรียบร้อยแล้ว จงประกาศตามพระเยซู พระองค์ประกาศอย่างไร? ท่านก็ไปประกาศอย่างนั้นแหละ ประกาศตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้สัญญาไว้ล่วงหน้าว่าเป็นบัญชา คือเป็นคำสั่ง เป็นคำพูดของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมว่าเมื่อถึงเวลามันจะต้องเกิดขึ้นตามนั้น ฉันจะช่วยลูกฉันกลับมาใหม่

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงต้องยึดหลักถ้อยคำในพระคัมภีร์ทั้งสอง คือทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ให้มันตรงกัน เป็นแนวทางสำคัญในการประกาศข่าวดีว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ไปทุกแห่งทุกหน ไม่มีที่สิ้นสุดของความจริงนี้ คือพระคัมภีร์เดิม ยืนยันด้วยพระคัมภีร์ใหม่ พูดพระคัมภีร์ใหม่ก่อน ยืนยันด้วยพระคัมภีร์เดิมว่า …

“ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จริงๆ แม้กระทั่งจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ก็ไม่ถูกลบหายไป จนกว่ามัน จะเกิดขึ้น”

จุดๆ หนึ่ง คือแม้พระเยซูต้องนั่งลาที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีใครเคยขี่เลย เดินทางเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในอาทิตย์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็ยังถูกบันทึกเอาไว้ก่อน บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปอ่านดู จะบอกโดยผู้เผยพระวจนะเขียนไว้ว่าพระเมสโปดก พระเจ้าจะเข้ามา หมายถึงพระเยซู ท่านคิดดูสิ จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่งจะไม่ถูกลบเลือนหายไป จนกว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นไปตามพันธสัญญา เป็นไปตามคำบอกเล่าล่วงหน้าของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าพูดผ่านเขาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แหละ ฮาเลลูยา เห็นความยิ่งใหญ่ไหม?

เพราะฉะนั้น การประกาศข่าวดี ท่านต้องเห็นทั้งสองอันเลย  ก็จะสนุกในการอ่านพระคัมภีร์ อ่านพระคัมภีร์เดิมนึกไม่ออกว่าตรงนี้แปลว่าอะไร? แต่รู้ในใจว่ามันเล็งถึงใคร? ฉันไม่รู้ ฉันรู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องพระเยซู ตอนที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เกี่ยวข้องหมดแหละ ฉันมีหน้าที่รู้แค่นี้ ไม่ ต้องรู้หมด อันไหนรู้ ก็รู้  ไม่รู้ ก็สรุปว่าเป็นไปตามนี้ เอเมน นี่คือหลักการที่เราจะไปประกาศข่าวดี นี่คือความจริงที่เราจะเป็นผู้สืบสาน พูดให้ลูกหลาน เหลน โหลนของเราภายภาคหน้า

ปัญหาของการประกาศข่าวดี คือมนุษย์มักจะใช้ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองในใจ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อเก่าๆ ความรู้เก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ การฟ้องผิดเก่าๆ ในชีวิตเดิม ความเคยชินกับการฟ้องผิดในใจว่าตนเองเป็นคนบาป มีมลทิน ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในความคิดจิตใจ อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ และอยู่ในร่างกายใช้คำว่าเนื้อหนัง ที่มีเชื้อบาป อยู่ภายใต้การกระตุ้นของร่างกาย ความคิดจิตใจที่เป็นทาสของความบาป เป็นเชื้อบาปในตัวเองอยู่ มักจะไปเอาตรงนี้ มาใส่ลงไปในการประกาศข่าวดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในใจลึกๆ จิตใต้สำนึกก็คอยที่จะฟ้องว่าตัวเองเป็นคนบาป สกปรก มันฟ้องตลอดเวลา แล้วมนุษย์ก็มักจะใช้ความรู้สึกเคยชินนี้ ในการเข้ามามีความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า เมื่อมารู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักก็ตาม แทนที่จะใช้สิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า คือถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ที่เป็นความจริง ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ว่าพระคัมภีร์เดิม หรือพระคัมภีร์ใหม่ก็ตาม ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว มาเป็นบรรทัดฐาน มาเป็นรากฐาน มาเป็นกรอบในการประกาศข่าวดีในชีวิตของตนเอง

พระคัมภีร์บอกว่าอะไรที่พระเจ้าบัญชาไว้ แผนการของพระองค์ที่ได้วางไว้ ที่พระเจ้าได้บันทึกไว้เป็นอย่างไร? พระเยซูได้มาทำทั้งหมด สำเร็จแล้ว ก็ให้เราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ใครจะถามว่า …

“เป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า?”

ไม่ค่อยกล้าพูด เพราะไม่ค่อยมั่นใจว่าสะอาดพอจะเป็นลูกพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์แล้ว อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าอย่างไร? เราก็ควรจะเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามมองเห็น หรือด้วยความเข้าใจแบบมนุษย์ หรือใช้ความรู้สึกเอา คริสเตียนที่แท้จริง ต้องไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่นี่ ไม่มีคำว่า “รู้สึก” ต้องมีแต่ “ฉันรู้” “ฉันเชื่อ”

“วันนี้ ฉันรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวที่นี่” ถูกหรือผิด?  คิดเอาเอง

“วันนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”  ถูกหรือผิด?  ผิด

“ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากเลย” ถูกหรือผิด?  ผิด

เห็นไหม ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง” ถูกหรือผิด?

“ฉันมีความรู้สึกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอย่างลึกซึ้งมาก ขนลุกไปหมด”  ถูกหรือผิด? แล้วทำไมทำล่ะ

“ฉันรู้สึกว่านมัสการเมื่อเช้านี้ อินมากๆ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันด้วยวันนี้มากกว่าเมื่อวานนี้อีก มากกว่าสัปดาห์ที่แล้ว” ถูกหรือผิด?

ต่อให้ท่านวันนี้ ตื่นไม่ทัน ต่อให้เมื่อตะกี้นี้รถตัดหน้า ต่อให้รอรถเมล์อยู่ รถเมล์ลงไปในโคลน กระเด็นขึ้นมาสาดท่าน ท่านเข้ามาที่นี่ตัวเปรอะโคลน เลอะมาก ทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห นั่งลงไปปุ๊บ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม? แถมเล่นเพลงไม่ชอบอีก พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยไหม?  เห็นไหม? โดยความรู้สึกหรือความเชื่อ  เพราะถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อเรารับเชื่อในพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์แล้ว เอเมน นี่หมายถึงอย่างนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

บางครั้งที่เรารู้สึกว่าดี เมื่อได้ยินคนพูดถึง หรืออธิษฐานเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า โดยใช้เนื้อหนังของเขาอธิบาย บางครั้งเรารู้สึกดี เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้รับรู้ ตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ก็เพราะว่าเรากับเขาคนนั้น ต่างคนต่างเป็นคนบาปเหมือนกัน มีเนื้อหนัง มีความรู้สึกฟ้องผิดเช่นเดียวกัน และเรารู้สึกว่ามันสบายใจขึ้นจัง เมื่อได้รับการปลดปล่อยในจิตใจ แล้วก็คิดเอาเองว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการมั้ง เพราะมันได้ผล มันโล่งเลยวันนี้

เช่น เวลาเจ็บป่วย แล้วก็คิดว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะไปทำผิดอะไรมา แล้วก็มีคนอธิษฐานให้ว่า …

“ขอพระเจ้าทรงเมตตา อภัยในความบาปผิดของเขาทั้งหลายที่ได้กระทำมา รักษาเขาให้หายด้วยเถิด”

เรารู้สึกสบายใจเลย แล้วก็ว่านี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ถูกหรือไม่ถูก? ที่ถามนี้ คือท่านจะรู้สึกอย่างนั้นจริงไหม?  มันปลดปล่อยเลย  แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าอย่างไร? ซึ่งพระคัมภีร์ก็บอกอยู่แล้วว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษ บาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้นแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคต และไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ นี่คือสำเร็จแล้ว ข่าวดีที่พระเยซูบอก แทนที่จะเชื่อพระเยซู เชื่อคนนี้ที่อธิษฐานให้เราดีกว่า เพราะเรารู้สึกสบาย รู้สึกได้รับการปลดปล่อย เขามาอธิษฐานให้ แต่มันผิด ก็คือผิด เพราะเราใช้ความรู้สึกในการรับรู้ เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำพระเจ้าเป็นตัวบรรทัดฐานว่าจริงไหม? เหมือนที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าท่านเข้ามาในโบสถ์ ท่านรู้สึกว่าวันนี้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น การที่เราทำตามเนื้อหนัง ความรู้สึกนึกคิดแบบเนื้อหนัง ตามความเคยชินเก่าๆ ทำตามความเชื่อเก่าๆ จากแรงกระตุ้น เนื่องจากบาปในเนื้อหนังของเรา นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักการพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น อาจเป็นการปฏิเสธพระเยซู โดยเราไม่รู้ตัวก็ได้ เรากำลังบอกพระเยซูว่าไม่สำเร็จหรอก ถ้าสำเร็จจริง เราจะมาพอใจในการที่เขาอธิษฐานให้เราว่าเราไปทำบาปอะไรมา เราถึงได้รับการเจ็บป่วย เพราะเราไปทำผิดมา มันไม่ใช่ ถ้าเราเชื่อเขา เราก็ปฏิเสธพระเยซู ถ้าเราเชื่อพระเยซู เราก็ไม่เชื่อเขา

บางคนเห็นเพื่อนหรือคนใกล้ชิดป่วย แล้วก็คิดเอาเองว่าคงไปทำอะไรมา ที่เป็นการผิดต่อพระเจ้า หรือทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ก็เลยลงโทษให้สุขภาพเสื่อมโทรม แล้วก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดีเยอะแยะ และด้วยความปรารถนาที่ดี ที่เขาเรียกว่าความหวังดีที่โลกไม่ต้องการ ความปรารถนาดีอย่างจริงใจเลย ก็พยายามมาร่วมกันอธิษฐาน เป็นหมู่ใหญ่เลย อธิษฐานโต้รุ่งช่วยกัน

“ขอพระเจ้าโปรดเมตตาความผิดใดๆ ที่เพื่อนกระทำลงไป ด้วยความไม่รู้เท่าถึงการ ขอทรงโปรดยกโทษให้เขา อย่าไปลงโทษเขาเลย” อะไรประมาณนี้ เป็นต้น มันถูกตามหลักพระคัมภีร์ไหม?

คราวนี้เรามาดูว่าถ้อยคำพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งความสำเร็จแล้วของพระเยซูเป็นอย่างไร? ว่ากันตามจริง ตามหลักพระคัมภีร์เลยนะ การกระทำอย่างนี้เขาถือเป็นบาปอย่างหนึ่ง คือไม่เชื่อในข่าวดี ต่อต้านพระเยซู เป็นปฏิปักษ์กับพระเยซู ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว เหมือนชาวยิวในอดีต ที่คุ้นเคยกับประเพณีเก่าๆ และนำสิ่ง ที่พระเจ้าได้สั่งให้ทำไว้ในอดีต มาใช้ในความสัมพันธ์ติดต่อกับพระเจ้า ในยุคหลัง จากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คือกำลังบอกว่าพระเยซูทำไม่สำเร็จ เราเลยต้องทำต่อไง เช่น  สมัยพันธสัญญาเดิม ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้า ต้องนำเลือดสัตว์ไปถวาย เรียกว่าสัตวบูชา เพื่อปกคลุมบาปของตนเอง แล้วค่อยเข้าไปบัลลังก์ของพระเจ้าได้ แต่หลังจากที่พระเยซูได้ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้แล้ว ทุกเวลา ทุกเมื่อ ด้วยโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยโลหิตของสัตว์อีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยความเชื่อเก่าๆ ด้วยความคิดแบบเก่าๆ ตามเนื้อหนังของตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าขอเติมอีกหน่อย น่าจะต้องมีพิธีการอะไรสักหน่อยหนึ่งนะ ก่อนจะเข้าไปหาพระเจ้าสัตวบูชาสักหน่อยดีไหม? เวลาจะติดต่อกับพระเจ้า ขออีกสักนิดหนึ่ง เรากำลังบอกว่าพระเยซูทำให้เราไม่พอ ขอทำอีกหน่อยหนึ่ง ช่วยพระเยซูหน่อย คล้ายๆ อย่างนั้น

ซึ่งพระคัมภีร์ในพันธสัญญาใหม่บอกว่าการกระทำแบบนี้ คือการกระทำโดยความไม่เชื่อ ในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งก็เป็นบาปที่รุนแรงมากที่สุด ที่อภัยไม่ได้ เพราะเป็นบาปที่กำลังต่อต้านพระคริสต์ พระเยซู กำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน คำเผยพระวจนะ คำบอกล่วงหน้าที่พระเจ้าบอกไว้ ช่วยมนุษย์ได้สำเร็จ เสร็จแล้ว มันไม่จริง เรากำลังปฏิเสธพระเยซู มันเลยรุนแรงตรงที่ว่าจากนี้ต่อไป เราไม่มีพระเยซูแล้วนะ ไม่มีใครมาช่วยให้เรารอดแล้ว มันถึงรุนแรง ท่านทำบาปอย่างอื่นมา ท่านก็กลับมาหาพระเยซูได้ แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู ท่านจะไปหาใคร? เหลือเพียงท่านเดียวแล้ว ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์จึงบอกว่าทำอย่างนั้น  มันไม่ดีเลย  อย่าทำดีกว่า เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังปฏิเสธพระเยซู และกำลังเหยียบย่ำพระคุณ ซึ่งเป็นบาปร้ายแรง และไม่มีใครสามารถช่วย ให้รอดจากบาปนี้ได้อีกเลย  ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ  ก็ท่านปฏิเสธผู้ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด  ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็แค่นั้นเอง  ท่านจะปฏิเสธอย่างอื่นอะไรต่างๆ แต่ยังเหลือพระเยซู ท่านยังมีโอกาสกลับมาหาพระเยซู แต่ถ้าท่านปฏิเสธพระเยซู แล้วจะหาใครล่ะ เพราะพระเจ้าได้ประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่เราปฏิเสธพระคุณนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกว่านอกจากพระเยซูคริสต์ ไม่มีผู้ช่วยให้รอดอื่นใดอีกแล้ว พระคัมภีร์จึงย้ำแล้วย้ำอีกว่าเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยเหตุผลและความคิดของเราเอง ไม่ใช่ด้วยเนื้อหนัง แรงกระตุ้นจากเชื้อบาปในตัวเรา ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าเนื้อหนังอ่อนแอมาก พระเจ้าประทานกำลังให้เราที่วิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนัง

พระคัมภีร์จึงบอกว่าท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อ บันทึกไว้ในกาลาเทีย 3:26 มันสำเร็จแล้ว พระเจ้าต้องการทำให้เรา เป็นลูก บัดนี้ทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เราต้องรักษาไว้

ตอนที่เกิดเรื่องการถกเถียงกันอย่างนี้ในกลุ่มชาวยิวว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ตอนที่ข่าวประเสริฐมาถึงชาวยิวใหม่ๆ อาจารย์เปาโลสรุปไว้ง่ายๆ เลยว่าสิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ถ้าผมบอก “ความเชื่อ” ท่านต้องคิดต่อ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูที่ทำสำเร็จแล้ว

“สิ่งใดที่ทำด้วยความเชื่อ ก็ถูกหมด แต่อะไรก็ตามที่ไม่ได้ทำด้วยความเชื่อ ในข่าวดีนี้ ก็ผิดหมด” สรุปง่ายๆ

โรม 4:22-23 “22 ดังนั้นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่องระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษตนเอง ในสิ่งที่เขาเห็นชอบ 23 แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”

 

พูดง่ายๆ มีความสุขกับการที่มีความเชื่อในความจริงแห่งข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ ไม่ว่าเขาทำอะไร ก็ไม่มีความสุขเลย มันเป็นบาปทั้งนั้น เพราะเขาไม่เชื่อข่าวดี พูดง่ายๆ แค่นั้นเอง คือเมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เราก็จะเชื่อว่าไม่มีสิ่งใด หรือการกระทำใดๆ ที่จะทำให้เรากลับกลายเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะมันสำเร็จไปแล้ว Testelesti ไปแล้ว และไม่มีการลงโทษใดๆ จะเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว (ทางวิญญาณ) โรม 8:1 ได้บันทึกเอาไว้

ท่านอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่ามันบันทึกไว้ตรงไหน? แต่ท่านเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง และพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นจริงๆ ท่านก็ได้รับผลตามนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำว่าเมื่อปากเราพูดว่าเชื่อ การกระทำของเรา ต้องออกมาตามปากที่พูดนั้นด้วย เชื่อก็ต้องทำด้วย ไม่ใช่ปากเชื่อแล้วว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูกแล้ว มาลบล้างความผิดบาปให้ตัวลูกจนหมดสิ้นแล้ว แต่การกระทำข้างนอก ยังแสวงหาวิธีการที่จะลบล้างบาปให้ตัวเองเพิ่มอยู่เลย ยังพยายามทำให้ตัวเองบริสุทธิ์มากขึ้นอยู่เลย แล้วมันคืออะไร? ปากพูดอย่าง แล้วทำอีกอย่าง ยากอบ 2:24 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยากอบ 2:24 “จะเห็นได้ว่าผู้ใดจะถูกนับว่าชอบธรรม ก็ด้วยการกระทำของเขา ไม่ใช่ด้วยความเชื่ออย่างเดียว”

 

พูดง่ายๆ คือเมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้เราแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะปฏิบัติตามนั้นด้วย คือไม่ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป ประจำปี ประจำเดือน ประจำวัน ซึ่งชาวยิว เคยยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลานานอีกต่อไปแล้ว ถ้าเชื่ออย่างนั้น ก็ต้องกล้าทำอย่างนี้ พระคัมภีร์เปรียบเทียบการกระทำแบบนี้ว่าเปรียบเหมือนเชื้อเพียงนิดเดียว ก็ทำให้แป้งขนมปังฟูขึ้นทั้งก้อนได้ เป็นคำพูดที่พระเยซูได้เตือนว่าจงระวังเชื้อของฟาริสี เชื้อความไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เราอาจจะเห็นไม่สำคัญ แต่พระเยซู พระเจ้าเห็นสำคัญ เชื้อของไม่เชื่อเพียงนิดเดียว เช่น กินอาหารที่บูชารูปเคารพ แล้วเกิดฟ้องผิด ไปกินข้าว คบหาสมาคมกับคนอื่น ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลัวคนเขาเห็น เชื้อเหล่านี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจสามารถฟูขึ้นมาได้ คือเกิดเป็นความคิดที่เชื่อผิดๆ แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้

ถ้าเทียบกับปัจจุบัน พระคัมภีร์ใหม่ ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนี้นะ คือเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องถวายสิบลด พระเจ้าจึงพอพระทัย ถ้าเผลอ ไปทำผิดบาปอะไรมา ต้องรีบอธิษฐาน ขอการอภัยจากพระเจ้า เป็นการลบล้างบาป พระเจ้าจึงจะอภัยให้ ถ้าเจ็บป่วย อธิษฐานแล้วยังไม่หาย แสดงว่าต้องไปทำบาปอะไรมา หรือถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ก็อาจจะมีคนในครอบครัวไปทำอะไรลบหลู่พระเจ้า จึงถูกลงโทษ อะไรประมาณนี้ ซึ่งเราก็เคยคุ้นๆ กันอยู่ ถ้าความจริงไม่มาถึงเรา … เราก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ใครส่งข่าวดีนี้มาให้เรา ซึ่งมันไม่ใช่ข่าวดีจริง นี่คือตัวอย่างที่บอกเป็นเชื้อแห่งความไม่เชื่อ ถ้าปล่อยไว้ ก็อาจฟู เผยแพร่กันออกไปเยอะแยะทั้งก้อนเละ ทั้งโบสถ์ ไปกันทั้งคณะก็ได้  ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู

ข่าวดีของพระเยซู คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก บอกว่าจะช่วยเหลือมนุษย์ ปลดปล่อยมนุษย์ อะไรเยอะแยะในนั้น สำเร็จแล้ว

ในขณะที่เรากำลังบอกว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระองค์ได้ทรงชำระล้างเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ จนเราสะอาดหมดจด ปราศจากตำหนิ โดยร่างกายของพระองค์ได้แบกรับเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในขณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสบายใจ เมื่อได้อธิษฐานว่า …

“ขอพระเจ้าทรงโปรดอภัยในความผิดบาปของลูก ขอทรงโปรดชำระล้างลูกให้สะอาด”

ทำไมมันแย้งกันเหลือเกิน ในขณะที่ปากเราเชื่อในข่าวดี แต่ความประพฤติเราไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่แหละคือเรากำลังปฏิเสธ เรากำลังต่อต้านพระเยซู โดยไม่รู้ตัว ปากบอกว่าเชื่อ แต่ไม่กล้าที่จะทำ ด้วยอะไรก็ตาม เรากำลังทำให้ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูเสียหายไป จนในที่สุดถึงลูก หลาน เหลน โหลน เขาก็อาจจะไม่รู้จักความจริงในข่าวดีของพระเจ้าเลย จนกระทั่งเลวร้ายที่สุด เขาอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยข่าวดีจริงๆ อีกครั้งหนึ่งก็ได้

ท่านเคยรู้สึกดีไหม? เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน และบริจาค หรือรู้สึกสันติสุข มันคนละอย่าง ผมหมายถึงตอนนี้ ท่านเชื่อในข่าวดีแล้ว ท่านได้บริจาค ช่วยน้ำท่วม ท่านรู้สึกว่าตัวเองบริสุทธิ์ขึ้นไหม?  รู้สึกเราได้สะสมความดีมากขึ้นไหม? คิดไปเรื่อยๆ นะ ผมพาท่านไปเรื่อยๆ ท่านมีความรู้สึกไหมว่าท่านได้ช่วยเหลือหมาจรจัด ที่มันเดินสะเปะสะปะ หรือสัตว์อะไรที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ท่านมีความรู้สึกไหมว่าบาป เวรกรรมของท่านลดน้อยลง

ตอนก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเคยคิดกันอย่างนี้ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ ถ้าผมไปช่วยสุนัข บาปเวรกรรมผมน้อยลง บางทีสุนัขจะช่วยเราบ้าง หมายถึงตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถูกไหม? แต่ผมกำลังบอกว่าเราสามารถมีโอกาสคิดย้อนกลับไปชีวิตเดิมได้ว่าตอนนี้ท่านเคยรู้สึกไหมว่าท่านอยากจะทำความดีเยอะเลย อยากออกไปประกาศทุกวัน อยากรับใช้พระเจ้าทุกวัน เพราะท่านกำลังอยากสะสมความดี เพื่อจะให้มีคุณภาพมากขึ้น จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ เคยคิดไหม? ไม่คิดก็แล้วไป

พระคัมภีร์จึงบอกไว้ว่าผู้ชอบธรรมจะดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ … เชื่อในข่าวดีว่าสำเร็จแล้ว ท่านต้องนึกในใจ ข่าวดี สำเร็จแล้ว สิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ สำเร็จแล้ว ผู้เชื่อ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น  ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็น ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ด้วยความเข้าใจ แบบมนุษย์ เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างไร? ก็เชื่อตามนั้นว่ามันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ต้องสู้กับความคิดเก่าๆ แบบเนื้อหนัง ที่มันกระตุ้นมาด้วยเชื้อของความบาป ต่อต้านข่าวดีของพระเยซูอยู่เรื่อยๆ  โคโลสี 3:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โคโลสี 3:1-4  “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ ไม่เข้าใจ แต่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนพระเจ้าจะให้สว่างขนาดไหน? แต่ไม่ว่าฉันจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าใจมากหรือเข้าใจน้อยก็ตาม ฉันใช้ความเชื่อเอา พระคัมภีร์บอกให้จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน … สิ่งเบื้องบน คือในสวรรค์ บัดนี้เราได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เริ่มต้นบอก ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งตัวท่านอยู่กับพระคริสต์ ท่านก็ได้นั่งอยู่เบื้องขวากับพระองค์ เข้าใจไหม?  ไม่เข้าใจ เชื่อไหม? เชื่อ อยากเชื่อเยอะขึ้นทำอย่างไร? ไปอ่านช้าๆ อ่านบ่อยๆ พูดให้ตัวเองฟังบ่อยๆ

“ฉันเป็นขึ้นมาร่วมกับพระเยซูคริสต์ และตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพราะฉะนั้น ตามเหตุและผล ฉันจึงอยู่ในสวรรค์สถานด้วย”

สำหรับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ว่าเราบ้าทั้งนั้นแหละ แต่พระคัมภีร์ให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้  ถ้าเราไม่จดจ่อ เราก็จะถูกเหตุผลของโลกดึงเราไป ตามแรงกระตุ้นแห่งกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือไม่เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

“จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” พูดง่ายๆ เลือกพระเจ้า ไม่ใช่เลือกระบบของโลก เลือกที่จะเชื่อ ไม่ใช่เลือกที่จะเข้าใจ ไม่ว่าอะไรที่เป็นของโลกทั้งหมด ไม่เอา ไม่สนใจ ระบบของโลกเลิกไปเลย ตอนนี้ฉันอยู่ในระบบของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ฉันเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ยังเดินอยู่ มาบอกท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตท่านซ่อนอยู่ หมายถึงท่านตายต่อบาปไปแล้ว ผมได้แค่นี้เหมือนกัน บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ชีวิตของเราทั้งหลายตอนนี้ ซ่อนอยู่ในพระคริสต์

ท่านก็เอาถ้อยคำนี้ ไปพูด ไปอ่านบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้ท่านเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ท่านไม่มีทาง สามารถเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย เมื่อพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏพร้อมพระองค์ในพระเกียรติสิริ พระเกียรติสิริ คือสง่าราศีของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือตัวเรา ถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ได้ทำให้เราทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทำให้เราเป็นลูกของพระองค์ และย้ายเราเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ และเรียกว่าในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า ขณะที่เรานั่งอยู่ที่นี่ เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในประเทศไทย เราก็อยู่ในพระคริสต์ ขณะที่เราอยู่ในกรุงเทพ เราก็กำลังอยู่ในพระคริสต์ เรานั่งอยู่ในโบสถ์ขณะนี้ เราก็อยู่ในพระคริสต์ … ในพระคริสต์ คือในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าเป็นพระบิดา และพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทูตสวรรค์อีกมากมาย และเราอยู่ในนั้น แล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ต้องรอ และเราก็อยู่ที่นี่ไปตลอด ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้อีกแล้ว  ไม่มีใครเอาเราออกไปจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว เพราะเราซ่อนอยู่ในความยิ่งใหญ่ แห่งฤทธิ์เดชอำนาจ และสง่าราศี และพระสิริของผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่งสารพัด ผู้ทรงกระทำทุกสิ่งได้ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ นั่นแหละเราอยู่ในพระองค์ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************