วารสาร Holy News ฉบับที่ 1349

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  มกราคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?”  ตอน 2

“จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราก็ยังเรียนเรื่องอาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? วันนี้ตอนที่ 2 ซึ่งผมให้ชื่อเรื่องวันนี้ว่า “จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย” ตายแล้ว ก็หมดสิทธิ์ย้ายแล้วนะ เราได้เรียนรู้ไปตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า มีเรื่องเดียว เรื่องนี้แหละ คือเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ ในโลกวิญญาณ และในโลกที่มองเห็นนี้ มันมีกฎของมันอยู่ กฎของโลกที่มองเห็นนี้ มันไม่ยากนะ เราก็เรียนรู้กันเห็นชัด แตะต้องได้ จับได้ เห็นได้ แตะแล้วรู้สึกมันร้อน รู้เลยนะครับ เอาก้อนหินโยนขึ้นไป มันหล่นลงมา มีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก อะไรอย่างนี้ มันรู้ แต่กฎทางด้านวิญญาณมันไม่เห็น มันก็ต้องฟังและเชื่อเอาว่ามีใครบ้างที่อธิบาย ที่สำแดงถึงกฎในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่ากฎสวรรค์ให้เราได้รู้บ้าง? ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือเจ้าของสวรรค์เอง คือพระเจ้าเอง อธิบายเรื่องกฎของวิญญาณให้เราฟัง

กฎทางความประพฤติด้านศีลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในโลกที่มองเห็นนี้ ก็มีระเบียบของมันอยู่ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ซึ่งจะต้องพึ่งในการกระทำของตนเอง ความประพฤติของตนเอง นี่เรียกว่ากฎที่มองเห็น อย่างที่ตะกี้นี้บอก กฎนี้ไม่ยาก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นเลยนะ โกรธเขา ไม่สบายใจ ทำอะไรรุนแรง ถูกติดคุก ติดตะราง ถูกลงโทษ อย่างนี้มันเห็น

เช่นเดียวกันกับโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น  ก็มีกฎของมันอยู่ เรียกว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ จึงเรียกว่ากฎของวิญญาณ ซึ่งให้ชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าพระเยซูได้ สำแดงกฎนี้ บอกกฎนี้ ประกาศกฎนี้ให้เราได้รับรู้ความจริง เป็นกฎทางโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น ต้องใช้ความถ่อมใจและเชื่อในถ้อยคำนั้น พอถ่อมใจและเชื่อ คือการพิสูจน์แล้วว่ามันจริงไหม? และเมื่อพิสูจน์ทุกคนก็ยอมรับว่ามันจริง โดยใช้วิญญาณสัมผัสว่ามันจริงๆ เริ่มต้นจากความถ่อมใจ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นจริง อาจจะเป็นจริง มันเป็นไปได้หรือ? แบบถ่อมใจนะ

ถ่อมใจ แปลว่ายังสงสัยอยู่ ยังไม่เข้าใจอยู่ แต่รับฟัง นี่เขาเรียกว่าถ่อมใจ  ไม่ใช่ถ่อมใจ ต้องเชื่อไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่ม ถ่อมใจ คือตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครเชื่อหรอก พระเยซูต้องสำแดง ต้องพูด อีกไม่รู้กี่ครั้ง? กี่หนกว่าคนจะเริ่มต้นเชื่อจริงๆ มาจากอะไร? มาจากถ่อมใจรับรู้สิ่งที่พระเยซูพูด และยังไม่เข้าใจ ยังไม่รับ แต่เริ่มรับรู้ เรียนรู้ แล้วก็ถ่อมใจ ไม่ทิ้ง รับไปเรื่อยๆ มีวันหนึ่ง เกิดขึ้น ก็คือความถ่อมใจลงในวิญญาณ เกิดความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด เกิดใหม่ ตาวิญญาณ ก็เปิดออก ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าคราวนี้แหละ ก็เหมือนเราทั้งหลายที่นั่งที่นี่ เราก็จะว่า …

“ว๊าว! โอ้โห! มันเป็นจริงเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็สรรเสริญพระเจ้า”

จากนั้นต่อไป ตาวิญญาณก็จะเปิดออกเรื่อยๆ

ทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องกฎของวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ที่มองเห็นความประพฤติต่างๆ บนโลกใบนี้ ทำไมเราต้องมาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เรียนรู้เฉพาะความดีและความชั่วเท่านั้นเพียงพอแล้ว ไม่ได้หรือ? เรียนรู้เฉพาะกฎของศีลธรรมบนโลกใบนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ได้หรือ? ทำไมพระเจ้าต้องให้เราเรียนรู้ และจำเป็นต้องให้เราได้เรียนรู้ และมาสำแดงให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เราเรียกว่าสวรรค์ด้วย ก็เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต คาบเกี่ยว 2 โลกเลย คือมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ ติดต่อกับโลกวิญญาณ และอาศัยอยู่ในร่างกาย นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงต้องมาประกาศโลกวิญญาณให้เราได้รู้ เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเป็นวิญญาณและอาศัยอยู่ในร่างกาย

“ร่างกาย” คือโลกวัตถุ ติดต่อกับโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นได้ มีความรู้สึกด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด สมอง แต่วิญญาณที่อยู่ข้างใน มองไม่เห็น

นี่แหละ มนุษย์บางท่าน ทุกวันนี้ยังไม่เชื่อเลยว่าตัวเอง เป็นวิญญาณ มีเยอะแยะเลย เพราะพระเจ้าก็บอกแล้วว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ แต่วิญญาณนั้นถูกตัดขาดออกจากชีวิตของพระเจ้า ที่เรียกว่าตายจากพระเจ้า จึงเป็นเหมือนวิญญาณที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ หูบอดฝ่ายวิญญาณ ฟังเรื่องวิญญาณไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่เข้าเลย มองเรื่องโลกวิญญาณ ไม่เห็น ทั้งๆ ที่ตนเองมีชีวิตอยู่เป็นวิญญาณ ตรงนี้คือสาเหตุว่าทำไมเราจึงต้องจำเป็นมาเรียนรู้ทั้งสองกฎนี้ คือกฎของร่างกาย ที่จับต้องมองเห็นได้ และกฎของวิญญาณ

ถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าต้องมาสอนเรา 2 กฎนี้ เพื่ออะไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นให้เราเห็นถึง 2 กฎนี้ว่ากฎของร่างกายที่ตามองเห็น มันอยู่ชั่วคราวแป๊บเดียวเอง แต่เราไปให้ความสำคัญกับมันมากเหลือเกิน  แต่กฎของวิญญาณ มันสำคัญ มันจะอยู่นิรันดร์ เรากลับไม่เห็น และไม่ให้ความสำคัญเท่าไร? พระองค์จึงมาประกาศเรื่องกฎของวิญญาณมากที่สุดเลย ถามว่าทำไมพระเยซูจึงมาประกาศเรื่องโลกวิญญาณมากๆ ก็เพราะว่าน้ำพระทัยพระเจ้า ความประสงค์ของพระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ คนใดคนหนึ่งพินาศนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ คือต้องอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ถูกลงโทษจริงๆ ตลอดนิรันดร์

ถามว่า “จริงๆ” หมายถึงอะไร? จริงๆ หมายถึงถูกลงโทษทางวิญญาณ นี่เป็นนิรันดร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง แม้แต่คนเดียว ต้องพินาศ พระองค์จึงพยายามเตือน บอก ให้มนุษย์ทุกคนพึงสังวรไว้ว่า …

“มนุษย์เอ๋ย มีกฎทางวิญญาณจริงๆ เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ เราได้สร้างเจ้าด้วยวิญญาณของเราจริงๆ แต่วิญญาณของเจ้าตายอยู่”

และมันมีกฎของวิญญาณว่าเจ้าจะรอดได้อย่างไร? แต่เจ้าอย่าล้อเล่นกับกฎเหล่านี้ อย่าท้าทายกฎเหล่านี้ อย่าทำการดื้อดึง ไม่เชื่อกฎเหล่านี้ว่ามีอยู่จริง ที่เราได้เตือนไว้ คือพระเยซูคริสต์เตือนเอาไว้ เพราะฉะนั้น พระองค์เองจึงเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้พ้นจากกฎของความตายทางโลกวิญญาณนี้ ก่อนที่จะช่วย พระองค์จึงมาเตือนอีก มาอธิบายอีก มาสำแดงความจริงในโลกวิญญาณ ในโลกสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? ให้กับมนุษย์อีก ทั้งๆ ที่ตอนสำแดง พระองค์ก็รู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ตาบอด ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก?  แต่สำแดงไว้ เพื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อย ในการไถ่บาป ช่วยเหลือมนุษย์ คือในวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อมนุษย์ได้มีโอกาสบังเกิดใหม่  ตาวิญญาณได้ถูกเปิดออก เขาจะทราบถึงสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ได้ประกาศ ได้อธิบายถึงสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร? ได้เข้าใจอีกทีหนึ่ง พระองค์ก็เลยมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็สำแดงสวรรค์ ให้กับมนุษย์ได้ทราบ เกี่ยวกับเรื่องกฎของโลกวิญญาณ เตือนมาตลอด จนกระทั่งสำเร็จ เสร็จสิ้นการงาน การไถ่บาปของพระองค์ ช่วยเหลือมนุษย์  ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และหลังจากนั้นเตือนต่อ ประกาศต่อ เตือนให้มนุษย์ทุกคนพึงสังวร อย่าท้าทาย อย่าเย่อหยิ่งว่าไม่จริงหรอก? ไม่ใช่หรอก? ตายไป ก็คือเป็นศูนย์ หรือตายไป ก็มาเกิดใหม่ ตายไป ก็มีโอกาสมาแก้ตัวใหม่ สั่งสมความดีต่อไป พระองค์มาเตือนบอกไม่มีๆ ตายแล้วตายเลย ถ้าไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้ย้ายข้าง ไม่ได้มา บังเกิดใหม่ วิญญาณยังคงตายอยู่ ก็จะตายนิรันดร์เลยนะ มนุษย์ตายครั้งเดียว  นี่คือคำเตือนของพระเยซูคริสต์ พระองค์คือพระเจ้า เจ้าของสวรรค์เอง มาเตือนด้วยตัวเอง และทุกวันนี้ ก็ยังเตือนอยู่

อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ก็คือมาสำแดงความจริงในอาณาจักรของโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่ ซึ่งพระเจ้าครอบครองอยู่ ซึ่งมีแห่งเดียวในโลกวิญญาณ ก็คือสวรรค์ พระเยซูมา ก็เพื่อสำแดงอาณาจักรสวรรค์ให้กับมนุษย์ได้รู้ว่าในสวรรค์เป็นอย่างไร? หน้าตาเป็นอย่างไร? พระเยซูกำลังบอกมนุษย์ทุกคนว่าจงย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ ก็คืออยู่ในตัวพระองค์ในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย

กฎการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรารู้กันอยู่แล้ว เมื่อมีความรู้ สติปัญญาแบบมนุษย์ ค้นคว้าแบบมนุษย์ บนโลกใบนี้ จนกระทั่งรู้ว่าร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีออกซิเจน นี่มนุษย์เรียนรู้เอง ถูกไหม? จากสติปัญญาพระเจ้า ในกฎที่พระเจ้าวางไว้ คือร่างกายเราจะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีออกซิเจน กฎของการมีชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณ ก็มีเหมือนกัน ก็คือถ้าจะมีชีวิตอยู่ในวิญญาณ ต้องมีพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์เป็นแหล่งของชีวิตที่เดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับออกซิเจนเป็นแหล่งของสิ่งที่มีชีวิต  สำหรับร่างกายของมนุษย์  เป็นที่เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีออกซิเจนตาย วิญญาณจะมีชีวิตอยู่ด้วยวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ หรือชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์คืออะไร? ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณ และวิญญาณของพระองค์ ก็คือแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ภาษามนุษย์แล้ว เรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ เป็นแหล่งเดียวที่มีชีวิต วิญญาณจะมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีวิญญาณชีวิตนิรันดร์ ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือพระคริสต์เท่านั้น  ท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตนิรันดร์ในวิญญาณของท่านได้ เหมือนกับอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายของท่านจะต้องอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนเท่านั้น ถ้าไม่มีออกซิเจน ท่านตายแน่ๆ ทั้ง 2 กฎขึ้นอยู่กับว่าท่านรู้หรือเปล่าว่ากฎมันเป็นเช่นนั้น

ไม่ใช่รู้อย่างเดียว ท่านเชื่อตามกฎที่ท่านได้รับรู้หรือไม่? ถูกไหมครับว่าท่านจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับโทษ จากความเชื่อหรือไม่เชื่อ จากความรู้จริงหรือไม่จริงนั้น  ถ้าท่านรู้ว่าชีวิตในร่างกายนี้ จำเป็นต้องมีออกซิเจน ท่านก็ต้องรีบแสวงหาออกซิเจนอย่างเดียว เข้าไปในสถานที่ที่มีออกซิเจน มีออกซิเจนก็รอด ไม่มีออกซิเจนก็ตาย มีพระเยซูก็รอด ไม่มีพระเยซูก็ตาย ไม่ได้เกี่ยวกันกับความประพฤติ การกระทำ ทางด้านศีลธรรม ความดี ความชั่ว ทำดีมากขนาดไหน? ความชั่วมากขนาดไหนเลยใช่หรือไม่? ลองคิดตามดูก็ได้ มันอยู่ที่กฎ

คนลงไปในถ้ำลึกๆ ออกซิเจนเริ่มหมด หรือขึ้นไปบนเขาสูงๆ ออกซิเจนเริ่มหมด รู้ไหมว่าออกซิเจนเริ่มหมด ถ้าไม่รู้ ขึ้นไปสูงๆ เรื่อยๆ หรือลงไปลึกๆ เรื่อยๆ ไม่มีออกซิเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนชั่วหรือเป็นคนดี กระทำความดีมาก่อน หรือกระทำชั่วมาก่อน ตายไหม? ตอบในใจก็ได้ มันตายเหมือนกัน ขาดออกซิเจน ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ก็ตาย ในทำนองเดียวกันโลกวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวกับความดีหรือความชั่ว เกี่ยวกับท่านรู้ไหม? ท่านทำตามกฎนั้นไหม? ท่านมีพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? ถ้ามีพระเยซูคริสต์ตามกฎนี้ ก็คือท่านมีชีวิตในวิญญาณ ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ต่อให้ท่านเป็นคนดีมากมาย แต่รู้กฎนี้ หรือไม่เชื่อในกฎนี้ ท่านก็ได้รับในสิ่งที่ท่านเชื่อนั้น ทำตามนั้น ก็คือไม่มีพระเยซูคริสต์ ไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิตก็คือตาย คือพินาศ ในฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

สิ่งเหล่านี้แหละ คือสาเหตุที่เป็นความจำเป็นของพระเจ้า พระเยซูเองเป็นพระเจ้า มาเดินบนโลกใบนี้ ก็พยายามเน้นเรื่องนี้อย่างเดียวเลย พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ทุกทีก็จะพูดอย่างนี้ เน้นเรื่องโลกวิญญาณ เน้นเรื่องสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างนี้ อุปมาเรื่องสวรรค์เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ตอนที่พระองค์เริ่มต้นประกาศ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  ประกาศครั้งแรก พระองค์กล่าวคำว่า “จงกลับใจใหม่ สวรรค์มาอยู่ใกล้แล้ว เราคือสวรรค์ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วนั่นเอง”

จงกลับใจใหม่ แปลว่าจงรีบย้ายเข้ามาเร็วๆ หันหลังกลับเลย

จงย้ายเข้ามาในสวรรค์ คือในตัวพระองค์ เข้ามาหาพระองค์เร็วๆ ประโยคสุดท้าย คือบอกว่าเร็วๆ เพราะพระเจ้ามาช่วยแล้ว เร็วๆ เร็วขนาดไหน? เร็วมากที่สุดเลย ก่อนตาย เพราะก่อนตายปุ๊บ ก็คือเร็วที่สุดแล้ว เร่งเลย ก่อนตาย แปลว่ามาเมื่อไรไม่รู้ ก่อนตาย ไม่ได้หมายถึงอายุ 80 แล้วตาย ไม่ใช่  ตามกฎของโลกวัตถุ เราก็รู้กันอยู่แล้ว อยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตในร่างกาย มันไม่แน่นอน เมื่อไรจะตายจากโลกนี้ ก็ไม่รู้ จะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ จะเป็นวินาทีนี้ หรือนาทีหน้า หรือชั่วโมงหน้า ไม่รู้ พระเยซูจึงเร่งบอก …

“กลับใจใหม่เร็วๆ กลับมา รีบๆ มา”

เหมือนไฟกำลังไหม้บ้าน แล้วมีคนมาช่วย  … “รีบออกมาเร็วๆ อย่ามัวมานั่งถามอันโน้น อันนี้ จะเอาเข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจแล้ว ออกมาก่อนๆ เร็วๆ บ้านกำลังไหม้”

หล่นโครมๆ หล่นลงมา ตายเมื่อไรไม่รู้ คานไม้ที่ไหม้อยู่ข้างบน หล่นมาใส่หัวเมื่อไรไม่รู้

พระองค์จึงบอกว่า … “จงกลับใจใหม่ สวรรค์มาแล้ว เรามาช่วยแล้ว”

วันนี้เราจะมายกอุปมาหนึ่ง ในจำนวนหลายๆ อุปมา ที่พระเยซูอธิบาย สำแดงสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนได้รู้จักในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พูดเป็นอุปมา เล่าให้ฟัง นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ในหนังสือยอห์น 15:1-6 บอกถึงเกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณ ในสวรรค์ …

“รีบมาเลย รีบๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในเรา เข้ามาๆ บ้านหลังนี้กำลังพัง บ้านหลังนี้กำลังถูกไฟไหม้ อย่าอยู่ที่นี่นะ หล่นลงมาได้ทุกเมื่อ รีบๆ เลย รีบก่อนที่มันจะหล่นลงมาทับหัวท่าน”

“หล่นมาเมื่อไร?”

“ไม่รู้ มันหล่นลงมาได้ทุกเมื่อนะ รีบๆ เลย ถึงไม่หล่นเดี๋ยวนี้ อย่างไรมันก็ต้องหล่น ท่านก็รู้อยู่แล้ว หล่นแน่ เพราะฉะนั้น รีบย้ายออกมาเร็วๆ”

ให้นึกถึงภาพนี้ไว้ แล้วเวลาอ่าน สิ่งที่พระองค์เล่าเป็นอุปมา ท่านจะได้สามารถเริ่มต้นเข้าใจ สิ่งที่พระองค์ทรงอธิบายได้ว่ามันหมายความว่าอะไร? มันง่ายขึ้นกว่าการที่จะไม่มีพื้นว่าพระองค์ทรงพูดถึงอะไร?

อุปมานี้พูดถึงอะไร เรารู้อยู่แล้ว พื้นฐาน พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้มนุษย์ทุกคนรีบย้ายออกมาอยู่กับพระองค์ อยู่ในสวรรค์ ก็คือตัวของพระองค์เอง รีบๆ เร็วๆ เลย …

ยอห์น 15:1-6 “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษา 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว  พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระ และได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

หัวข้อวันนี้ “อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร?” ตอน 2 “จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย” พระเยซูประกาศอย่างนั้น

ในข้อที่ 1 ที่ตะกี้เราอ่าน เราในที่นี้ ก็คือพระเยซู … “เราเป็นเถาองุ่นแท้ พระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษาสวน”

“เถาองุ่นแท้” คือแหล่งแห่งชีวิต คือสวรรค์ เป็นต้นกำเนิดของชีวิตนิรันดร์ พระเยซูนอกจากจะเป็นสวรรค์แล้ว พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางเข้าสวรรค์ คือต้องมาหาพระองค์ จึงเข้าสวรรค์ได้  คือเข้าไปอยู่ในพระองค์นั่นเอง พระองค์เป็นทางเข้าสวรรค์

และ “สวน” คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งความหมายในที่นี้ ก็คือพระเจ้าพระบิดา เป็นผู้ดูแล กฎระเบียบต่างๆ ของโลกวิญญาณ ในสวรรค์นี้ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบของสวรรค์ ไม่มีการลำเอียง เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลนั่นเอง พระองค์ทรงดูแลสวรรค์ให้เป็นไปตาม พระประสงค์ของพระองค์  เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ เพราะมันมีกฎ มีเกณฑ์อยู่จริงๆ นั่นเอง นึกถึงภาพนะ

(ข้อ 1) พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ครอบครองอยู่เหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกนั่นแหละ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกของวัตถุที่ตามองเห็น จับต้องได้  และกฎของโลกวัตถุ และกฎของโลกวิญญาณที่ตามองไม่เห็น ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมดูแลรักษาของเจ้าของสวน  เจ้าของโลกวิญญาณ เจ้าของสวรรค์ ก็คือพระเจ้า พระบิดา

(ข้อ 2) พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ใครดูแลเอาใจใส่? เจ้าของสวน  พระบิดา  ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตรงนี้ภาษาเดิมแปลว่าเอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา  (เราคือพระเยซู)  ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล

กิ่งก้านในที่นี้  ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน กิ่งธรรมดา ไปต่อกับเถาองุ่น ไปต่อกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตนิรันดร์ เป็นสวรรค์ พูดง่ายๆ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ก็คือเข้าไปต่อกิ่ง

อุปมานี้ ยกตัวอย่างให้เห็นถึงการปลูกองุ่น ต่อกิ่งเข้าไป ผู้เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้เข้าไปต่อกับพระเยซู พอไปต่อกับพระเยซู ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูมาเป็นของตนเอง

คำว่า “อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์” ก็คือผู้เชื่อที่ยังใหม่ๆ ยังไม่รู้จักความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณมากนัก เพิ่งจะเชื่อ เริ่มต้นใหม่ๆ ยังไม่รู้ถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของตัวเองที่เป็นวิญญาณ ที่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ยังไม่รู้จักมากมาย เรียกว่ายังอ่อนแออยู่

เตรียมพร้อมที่จะออกผล “ผล” ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้น ก็คือผลของความรัก ของวิญญาณแห่งความรักที่เราได้เกิดมาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์เลย คือผลของวิญญาณที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นความรัก เป็นธรรมชาติใหม่อันนี้ มันยังสำแดงออกมาไม่ได้มาก เพราะว่าไม่รู้เรื่อง ยังใหม่ๆ อยู่ เรียกว่ายังอ่อนแออยู่

ทำไมอ่อนแอ เพราะนึกถึงภาพ เราเป็นกิ่ง แล้วเจ้าของสวน คือพระเจ้า เอากิ่งของเราไปต่อกับลำต้น คือพระเยซู เพิ่งต่อใหม่ๆ ตอนพระเยซูเห็นภาพเลย ข้างๆ เป็นไร่องุ่นทั้งนั้น ในอิสราเอลปลูกแต่องุ่น เอากิ่งก้าน ก็คือมนุษย์ พอเชื่อปุ๊บ เอามาต่อในลำต้น คือพระเยซู ต่อใหม่ๆ มันยังไม่ติดสนิทแน่น มันเกิดแล้วจริง แต่มันยังไม่แน่น มันยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกผล เพราะผลมันออกที่กิ่ง ถ้าเผื่อผลออกที่กิ่ง รอยต่อนั้น เพิ่งจะต่อใหม่ๆ ยังไม่แข็งแรงพอ มันมีสิทธิ์ที่จะหักลงมาได้ หล่นลงมาได้  เพราะฉะนั้น เจ้าของสวนรู้ ยังไม่ให้ออกผลหรอก นี่เรื่องจริงเลยนะ เอาไม้ค้ำไว้ เขาเรียกว่าค้ำยัน ไม่ให้มันล้ม จนกว่าที่ต่อไว้นั้น มันจะแข็งแรงดี กิ่งก้านแข็งแรงดี คราวนี้รับน้ำหนักได้ ก็ออกพวงองุ่นได้ ใหญ่เท่าไร ก็ออกพวงได้ แล้วแต่กิ่งจะแข็งแรงขนาดไหน? นั่นหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มาเชื่อใหม่ๆ ยังไม่รู้อะไรมากมาย พระเจ้าจะเข้าไปดูแลประคบประหงมอย่างพิเศษ ค้ำไว้ตลอดเวลา รอให้มันแข็งแรง และถึงจะออกผล  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เชื่อใหม่ๆ อาจจะทำอะไรตลกๆ แปลกๆ ยังเมาเหล้าอยู่เลย ยังเห็นแก่ตัว ยังโลภอยู่เลย ยังโมโห ฉุนเฉียวอยู่เลย ยังริษยาอยู่เลย ยังนินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย ยังโน่นยังนี่  เหมือนชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  แต่ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว รู้ได้อย่างไร? คนอื่นไม่รู้หรอก คนๆ นั้นจะรู้เอง จากข้างในวิญญาณ

และส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว ก็คือกิ่งที่มันอยู่มานานแล้ว มันเจริญเติบโตแล้ว พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ คราวนี้ไม่ได้เอาไม้ค้ำแล้วนะ เอาไม้ค้ำออกแล้ว แข็งแรงแล้ว ลิดกิ่ง ไม่ได้ตัดทิ้ง ลิด แปลว่าแต่งให้มันสวย เพื่อมันจะได้ออกผลได้มากขึ้นอีก สำแดงความรักของพระเยซูได้มากขึ้น สำแดงชีวิตนิรันดร์ในตัวของตัวเองได้มากขึ้น ปฏิบัติภารกิจและประพฤติสมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บังเกิดใหม่ได้มากขึ้นนั่นเอง นี่มันเป็นอย่างนั้น

พระเยซูกำลังพูดถึงสภาวะว่าถ้ามาเชื่อพระเยซูแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ โดยเปรียบเทียบอุปมาเป็นสวนองุ่น เป็นต้นองุ่นกับกิ่งก้าน

(ข้อ 3) “ท่านทั้งหลายได้รับการชำระและได้รับการตกแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้”

ตอนที่พระเยซูประกาศอยู่ เหล่าสาวกที่ฟัง ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ต่อกิ่ง ยังไม่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ยังไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ข้อ 1, ข้อ 2 เพียงแต่บอกว่า … “ถ้าเผื่อต่อกับเรา แล้วมันจะเป็นอย่างนี้นะ”

ข้อที่ 3 กำลังจะบอกว่า … “ท่านพร้อมแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราประกาศให้กับท่านเรื่องสวรรค์”

ท่านพร้อมที่จะให้พระเจ้านำท่านไปต่อแล้ว ท่านยอมแล้ว รอก่อน รอวันเพ็นเตคอส รอวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา นั่นแหละ จะบัพติศมาท่าน จะผ่าตัดวิญญาณท่าน นำท่าน เอากิ่งที่พร้อมแล้ว ไปต่อกับลำต้น คือพระเยซู มันหมายถึงอย่างนั้น รอพระวิญญาณ พระบิดา ผู้เป็นเจ้าของสวน นำท่าน ซึ่งพร้อมแล้ว ก็คือได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ในความคิดจิตใจพร้อม ยอมแล้ว รออย่างเดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงเวลาปุ๊บ เจ้าของสวนหยิบท่านออกไป เอาไม้ค้ำ เริ่มต้นดำเนินชีวิตในพระคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์

(ข้อ 4) กลับมาที่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณนะ ตะกี้พูดถึงวันหนึ่งข้างหน้า พระบิดา เตรียมพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต่อกิ่งท่าน เข้าไปในเรา … “และถ้าท่านได้ถูกนำมาต่อกับเรา” ก็คือข้อ 4 บอกว่า … “ถ้าย้ายมาอาศัยอยู่ในเรา” แสดงว่าก่อนหน้านั้น กิ่งนี้มันต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เดี๋ยวตามไปนะ “ถ้าท่านย้ายมาอาศัยอยู่ในเรา” ท่านเป็นกิ่งใช่ไหม? ถ้าท่านเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับลำต้น คือเรานะ ท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเรา

เป็นส่วนหนึ่งของเถาองุ่นนี้ คือลำต้นองุ่นนี้ คือสวรรค์ ท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเรา ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว และอันนี้สำคัญมาก และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน ก็หมายถึงว่าถ้าเกิดท่านยินยอมพร้อมใจ ให้พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาต่อกับเรา เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ทันทีทันใด เราก็จะอาศัยอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันเป็นหนึ่ง มันหมายถึงอย่างนั้น

และบอกต่อไปว่ากิ่งก้าน ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่น

ผล คือชีวิตนิรันดร์ เห็นไหมครับ

กิ่งก้าน คือมนุษย์ผู้ใด ถ้าไม่เชื่อ ไม่มาต่อติดกับเถาองุ่นของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็จะไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็จะไม่มีชีวิต ก็ตายอยู่นั่นเอง

“ฉันใด  พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากเจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ พวกเจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์ด้วยตนเอง เป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมาอาศัยอยู่ในเรา ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์”

นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้ว่าเราขึ้นไปที่สูง หรือลงไปที่เหวลึกๆ ในถ้ำลึกๆ ไม่มีอากาศหายใจ  ออกซิเจนไม่มี ตายลูกเดียว พูดง่ายๆ คือเมื่อย้ายวิญญาณมาอาศัยอยู่ในเรา ซึ่งเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ ผลก็คือท่านก็จะมีชีวิตขึ้นมา

(ข้อ 5) “เราเป็นเถาองุ่น” คือเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ “ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น” ก็คือท่านก็ต่ออยู่กับเรา “ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในเรา และเราอาศัยอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย” คือไม่มีชีวิตนิรันดร์

พูดง่ายๆ ว่าท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ตาม สะสมความดีขนาดไหน? พึ่งพาตนเองขนาดไหน? ตั้งใจทำดีขนาดไหน? ก็ไม่มีประโยชน์ในการมีชีวิตเลย เพราะว่ากฎทางวิญญาณ บอกแล้วว่าชีวิตมาจากแหล่งเดียว คือพระเยซูคริสต์ ผู้มีชีวิตนิรันดร์ ผู้เป็นชีวิตนิรันดร์ ผู้เป็นสวรรค์เท่านั้น ท่านจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย คือท่านพึ่งตนเอง จะกระทำดีเท่าไรก็ไม่มีผลดีกับท่านในโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว มันหมายถึงอย่างนั้น

(ข้อ 6)  “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา”   เมื่อตะกี้เราพูดถึงว่าผู้ใดที่อาศัยต่อติด   เป็นอย่างไร? ตอนนี้มาพูดถึงถ้าไม่อาศัยต่อติดล่ะ ถ้าไม่เชื่อล่ะ ถ้าไม่เชื่อเรื่องกฎวิญญาณ  ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ที่เรากำลังอธิบายให้ท่านฟัง ถ้าไม่เชื่อ ก็คือไม่ยอมย้าย  ไม่มาอาศัยต่อติดอยู่ในเรา ไม่มาอาศัยอยู่ในสวรรค์ ไม่มาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ แต่ยังคงอาศัยต่อติดอยู่กับลำต้นเดิมนั่นเอง มันมีการย้าย แสดงว่ามันมีที่หนึ่ง

ถามว่าลำต้นเดิม คืออะไร? คือลำต้นของความบาป ลำต้นของบรรพบุรุษอาดัมที่ทำบาปไว้ ธรรมชาติบาปที่อยู่ในตัวมนุษย์นั่นเอง เชื้อสายบาป ที่มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัมนั่นเอง ถ้าไม่ยอมย้าย ยังอยู่ในที่เดิม คือต้นอาดัมก็ได้ ต้นตระกูลของความบาป ถ้ายังอยู่อย่างนั้นอยู่ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เขาก็เหมือนกิ่งก้าน (คือมนุษย์นะ) กิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง คือพินาศในบึงไฟนั่นเอง

นี่พระเยซูกำลังมาอธิบายเรื่องสวรรค์ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร? สภาวะมันเป็นอย่างไร? ไม่ได้มาสอนให้กระทำอะไร? สอนให้รู้ว่าในโลกวิญญาณจริงๆ มันเป็นอย่างไร? แล้วเราก็เลือกเอาแค่นั้นเอง ไม่มีสภาวะตรงกลาง คือต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง มีอยู่ 2 ข้างเอง เลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ? เลือกจะมาต่อติดกับพระเยซูคริสต์ หรือจะเลือกอยู่ที่เดิม ในอาดัม เลือกอยู่ในสวรรค์ หรือเลือกอยู่ในความพินาศ มันมี 2 ทางเท่านั้นเอง และพระองค์ก็ไม่ได้กำลังมาสอนให้เราพยายามอยู่อาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาสอนเราทำอะไรเลย มาประกาศบอกความจริงในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนี้ แล้วให้เราเลือกเอา คือเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อแค่นั้นเอง ไม่ใช่เลือกจะทำอันโน้น หรือทำอันนี้ บอกเลยว่าทำอะไรไม่เกี่ยวข้องเลย ต่อให้ทำดีเท่าไรก็ไม่ได้รับตามที่อยากได้หรอก ถ้าอยากได้ต้องเชื่อตรงนี้ จะเอาหรือไม่เชื่อ มี 2 อัน เอากลางๆ ได้ไหม? ไม่ได้ จะย้าย ก็ต้องย้ายเลย ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย ย้ายก็คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ยอมให้พระเจ้า ผ่าตัดเอากิ่งก้าน ตัวเรานั่นแหละ ออกจากต้นเดิม คือต้นของความบาป ต้นตระกูลของความบาป เรียกว่าต้นอาดัม ย้ายเรามาอยู่ต้นพระเยซูคริสต์ ในลำต้นพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้

พระเยซูยกตัวอย่างให้เป็นต้นไม้ เพื่อให้มนุษย์สามารถพอจะเห็นรางๆ ได้ว่าเป็นอย่างไร? และพระองค์ประกาศอย่างนี้ตลอด พระคัมภีร์ใหม่ก็ประกาศอย่างนี้แหละ

แต่ก่อนนี้  ผมก็ไม่เข้าใจ ผมก็นึกว่ามาเชื่อพระเยซูคริสต์ ต้องพยายามทำตัวเองให้ติดสนิทกับพระเจ้ามากๆ แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวเลย ผมจะทำดีมากเท่าไรในอดีต ผมจะอธิษฐานเยอะเท่าไรในอดีต ผมก็ติดสนิทกับพระเยซูคริสต์เท่าเดิมกับวันแรกที่พระองค์ดึงผมออกมาจากต้นไม้อาดัม ผมยอมและพระบิดาก็เอาผม ซึ่งเป็นกิ่งจากต้นอาดัม มาเสียบเข้ากับต้นของพระเยซูคริสต์ นั่นผมสนิทแล้วตั้งแต่นั้น แล้วก็ไม่สนิทกว่านั้น สนิทที่สุดเลย ผมเพียงต้องเรียนรู้ว่าผมสนิทกับพระเจ้า ผมกำลังอยู่ที่ไหน? ตำแหน่งใด? ผมไม่รู้ ผมเข้าใจผิด  นึกว่าพระเยซูกำลังสอนบอกว่า …

“พยายามติดสนิทกับเรานะ พยายามนะ พยายามมาโบสถ์นะ จะได้ติดสนิทกับพระเจ้า พยายามอธิษฐานจะได้ติดสนิทกับพระเจ้า พยายามอ่านพระคัมภีร์ จะได้ติดสนิทกับพระเจ้า”

ไม่ใช่พยายาม  การอธิษฐาน การมาโบสถ์เป็นประจำ การฟังถ้อยคำพระเจ้า การอ่านพระคัมภีร์มันดีทั้งหมด ดี เพื่อเรียนรู้ว่า … “ฉันติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว ที่สุดแล้ว ไม่มีสนิทกว่านี้แล้ว” เรียนรู้มันเป็นอย่างไร? ความเป็นจริงเป็นอย่างไร? แล้วพระเยซูก็มาสอนอยู่แค่นี้

ซึ่งสรุปใน 6 ข้อนี้ ก็คือเมื่อใครก็ตาม มนุษย์คนใดตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือกำลังบอกว่า … “ฉันต้องการย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ คือในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ ฉันต้องการอย่างนี้” และนั่นคือสิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้ามีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน คืออยากช่วย และมาช่วยแล้ว แค่รอให้มนุษย์คนนั้นตัดสินใจ ยอมให้พระองค์ช่วยเท่านั้นเอง

ฟังให้ดีๆ นะ ตัดสินใจยอมให้พระองค์ช่วย พระองค์มาช่วยแล้ว ยอมให้พระองค์ย้ายเขาออกมาจากอาณาจักรของความมืด หรือต้นไม้อาดัมนั่นเอง แค่เขายอมตัดสินใจ มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีในโลกวิญญาณ ทันทีเลยนะ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน  เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อตัดสินใจยอม และเปิดใจให้พระเจ้า พระบิดา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยอมเลย ย้ายเลย ฉันอยากจะย้ายแล้ว ทันทีทันใดนั้น ผู้นั้น ก็ได้อาศัยอยู่ ได้มีที่พำนัก สถานที่อยู่ในสวรรค์ ที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ทันที ต้องเน้นตรงนี้ “ทันที” ไม่ใช่ต้องรอตาย ทันที

ผมถึงบอกว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าพิสูจน์ได้ เพราะมันเกิดขึ้นทันที เกิดขื้นในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณ อาจจะพิสูจน์ลำบาก แต่ในโลกวิญญาณ วิญญาณที่อยู่ในตัวท่าน ที่พระเจ้าได้มาสถิตอยู่ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ท่านจะรู้เองแหละ ตอนนี้ พิสูจน์ได้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น คนนั้น ก็จะอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว ไม่ต้องพยายามอยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องพยายามอยู่ในพระคริสต์ให้มันมากขึ้น มันอยู่แล้ว ก็อยู่เลย แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว พระเยซูบอก … “ไม่มีใครมาเอาแกะออกไปจากคอกของเขาได้” ก็คือไม่มีใครมาเอาเราออกไปจากในพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ถ้าจะเอาเราออกไป พระเยซูก็ออกไปด้วย ไปได้ไหม? บางคนบอกทำบาปมากๆ หลุดออกจากสวรรค์ได้นะ  ถ้าเราหลุดออกจากสวรรค์ พระเยซูก็หลุดออกไปด้วยนะ เพราะพระเยซูกับเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้น เราเพียงแค่ พยายามรับรู้ เรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? อยู่ในพระเยซูคริสต์สถานะเราเป็นเช่นไร? สภาพวิญญาณเราเป็นอย่างไร? พอรู้แล้ว มันก็ง่าย แล้วก็ประพฤติตามที่เรารู้นั้นว่าเราเป็นใคร? เราก็แค่ประพฤติตัวให้สม หรือสอดคล้องกับสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ คืออยู่ในสวรรค์ ในฝ่ายวิญญาณของเรา  คือเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว  ขณะนี้พลเมืองในสวรรค์เขาอยู่กันอย่างไร? เราก็อยู่อย่างนั้นแหละ เราจะอยู่ได้อย่างไร?  เราจะอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้ก่อนว่าเราอยู่ในสวรรค์จริงๆ ตอนนี้ ไม่ใช่เราแสวงหาที่จะอยู่ในสวรรค์ หาทางอยู่ในสวรรค์ ทั้งๆ ที่อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น ชาวเอสกิโม อยู่ขั้วโลกเหนือ สมมติย้ายมาประเทศไทย เป็นความฝันอันสูงสุดของเขาเลย ประเทศไทยอบอุ่น อุดมสมบูรณ์ มาอยู่ในประเทศไทย เหมือนอยู่ในสวรรค์เลย ใช่ไหม? แต่ปรากฏว่าย้ายมาอยู่ประเทศไทยปุ๊บ ยังไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง คืนแรกตื่นขึ้นมา  ยังนึกว่าอยู่ที่ขั้วโลกเหนืออยู่ เสื้อหนังสัตว์ที่ใส่หนาๆ อยู่นั้น ก็ไม่เปลี่ยน กลัวหนาว ไม่กล้าออกไปไหน อยู่ในห้องอย่างเดียวเลย เพราะว่าเอสกิโม อยู่ในบ้านอิกกู เป็นเหมือนเต็นท์ทึบๆ กันลม กันความหนาว อย่างนี้เป็นต้น

เขาอยู่ในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยเขาอยู่สบายๆ ไม่ได้ต้องใส่หนังสัตว์ เพราะมันคุ้นเคย พระคัมภีร์จึงบอกให้เราสวมเสื้อผ้าในโลกวิญญาณ พอเรารู้แล้ว ให้เราสวมตัวตน ให้เหมือนกับวิญญาณที่เราเป็นอยู่ ให้เราถอดตัวเก่า เสื้อผ้านะ ไม่ใช่วิญญาณของเรา  ให้เราถอดเสื้อผ้า คือความประพฤติเก่าๆ ถอดมันออกไป แล้วก็สวมตัวใหม่  ตัวใหม่ที่มันเข้ากันกับวิญญาณใหม่ ที่เราเกิดใหม่แล้ว

เพราะฉะนั้น ก็คือเรียนรู้มากๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้ว เอสกิโมคนนี้ จำเป็นต้องมีคนมาสอนเขา ไม่ใช่มาสอนเขาเรื่องวิธีการที่จะย้ายมาประเทศไทย เพราะเขาย้ายมาแล้ว ไม่ต้องบอกเขาว่า …

“คุณต้องโทรศัพท์ติดต่อสถานทูต คุณต้องขอวีซ่า เพื่อจะมาประเทศไทย  คุณต้องขอใบเกิดที่จะมาประเทศไทย คุณต้องทำอันนี้อันนั้น”

ไม่ต้อง เขาทำเสร็จหมดแล้ว เพราะตอนนี้เขาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ต้องสอนเขาว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร? เขาอยู่กันอย่างไร? เขาไม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ขนาดนี้ ใช่ไหม? เขาอยู่บ้านกัน 2 ชั้น ลมโกรกสบายๆ ไม่ต้องอยู่ในอิกกูต่อไปแล้วนะ  นี่คือสิ่งที่เขาควรจะเรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร? เขาจะได้มีอิสระ อยู่ในประเทศไทย เดินออกไปจากบ้าน ใส่เสื้อม่อฮ่อมตัวเดียว  สบาย เย็น ไม่เคยมีอิสระอย่างนี้มาก่อนเลย ใส่เสื้อหนังหนักจะตาย ใช่ไหม? แล้วก็อยู่บ้านโปร่งๆ กล้าออกจากบ้านไปโน่นไปนี่ไปนั่น เรียนรู้จักเมืองไทยเยอะขึ้น  ไปจังหวัดนี้ก็ได้ ไปจังหวัดนั้นก็ได้ นึกว่าอยู่ในอิกกูอย่างเดียว ออกจากที่นั่นไม่ได้เลย เพราะไปไหนก็มีแต่หิมะทั้งสิ้น เปล่า มันเป็นอย่างนี้เองหรือ?

สิ่งเหล่านี้มาจากความจริง ที่เขาจะต้องเรียนรู้ ตอนที่เขามาอยู่ประเทศไทยแล้ว ก่อนเขามาอยู่ประเทศไทย เขาต้องเรียนรู้เรื่องวิธีเข้าประเทศไทยให้ได้  ทำอย่างไร?  แต่พอเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้เรื่องนั้นแล้ว  เรียนรู้ว่ามาอยู่แล้วตอนนี้ เขาอยู่กันอย่างไร? ถามใคร? ถามพ่อ คนที่ย้ายเรามาอยู่ อธิบายให้เราฟัง แล้วถามใครอีก? ถามพี่น้องเยอะแยะที่เขามาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ข้างบ้าน อะไรต่างๆ เขาอยู่กันอย่างนี้ คือถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ด้วย

เราไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาทางที่จะไปอยู่ในสวรรค์อีกต่อไป แต่หาทางประพฤติตน ให้สมกับที่อยู่ในสวรรค์แล้ว พลเมืองสวรรค์เขาอยู่กันอย่างไรบนโลกใบนี้ ต่างหากที่สมควรจะเรียนรู้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถามว่าพวกเราที่ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว บอกว่าย้าย แสดงว่าเราต้องเคยอาศัยอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง เหมือนเอสกิโม ที่ย้ายมาอยู่เมืองไทย แสดงว่าก่อนมาเมืองไทย เขาต้องย้ายมาจากที่ใดที่หนึ่ง ก่อนหน้านี้แน่ เรารู้ว่าเขาย้ายมาจากขั้วโลกเหนือ

และในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เมื่อพระเยซูอธิบายให้เราฟังว่าเราต้องย้ายเข้ามาอยู่ในพระองค์ อาศัยอยู่ในพระองค์ ก็แสดงว่าแต่ก่อนนี้ เราอาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว ถึงจะเรียนรู้ว่าก่อนหน้านี้  เราอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความมืด ในอาดัม พินาศอยู่ แต่ตอนนี้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระองค์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว และมันเป็นความจริงในโลกวิญาณ มันเป็นความจริงว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องรักษาสถานะอยู่ในสวรรค์ เพราะมันอยู่ๆ แล้ว ไม่ต้องพยายามแสวงหาวิธีที่จะเข้าสวรรค์  เพราะอยู่ในสวรรค์แล้ว แสวงหาในการเรียนรู้ ให้มีความมั่นใจ รับรู้ว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วๆ ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็คือฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

ข้อสำคัญกว่านั้น ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ที่ตะกี้พระเยซูอธิบายให้ฟังแล้วว่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ไม่ใช่ฉันอยู่ในพระคริสต์ อาศัยอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในฉัน”

เป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งมาก ต้องปฏิบัติอะไรให้มันได้ไหม? ต้องอธิษฐานเยอะๆ ไหม? สิ่งเหล่านี้มาจากอะไร?

“ฉันอาศัยอยู่ในพระเยซู เพราะฉันย้ายมาอยู่ในพระเยซู” ถูกไหม? “พระเยซูอยู่ในฉัน พระเยซูก็ย้ายมาอยู่ในฉัน เป็นหนึ่งเดียวกัน” ถูกไหม?

สิ่งเหล่านี้ … “เกิดจากฉันยอมเชื่อ  และให้พระเจ้าทำทุกอย่างหมดเลย ฉันแค่เปิดใจเชื่อในข่าวดีนี้  เชื่อในความจริง ในโลกวิญญาณที่พระเยซูประกาศให้ฉันฟัง แค่นั้นเองนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดนั้น การต่อกิ่งเข้าไปที่ลำต้นองุ่น การที่ฉันเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์อาศัยและสถิตอยู่ในฉัน เป็นสิ่งที่ฉันเชื่อและได้รับมา เป็นของขวัญ เป็นของประทานฟรีๆ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป ฉันก็อยู่ตรงนี้แหละ  มันเป็นความจริง”

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระคริสต์ก็อยู่ในฉันแล้ว ฉันอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อาศัยอยู่ในฉัน”

ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์ต้องพยายามไหมว่าจะอาศัยอยู่ในเรา? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าพระคริสต์ไม่ต้องพยายามอาศัยอยู่ในเรา เราก็ไม่ต้องพยายามอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะมันเป็นจริง มันเกิดแล้ว  พระเจ้าเป็นผู้ทำทั้งสิ้น  เอเมน

นี่คือความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ที่อุปมานี้ พูดถึงกิ่งก้านกับเถาองุ่น ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่พระเยซูอธิษฐานขอในหนังสือยอห์น บทที่ 17 ด้วยเช่นเดียวกัน  ลองอ่านดูนะว่าความลึกซึ้งเป็นอย่างไร? ในยอห์น 17:20-23 คำว่า “พระคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์” นั้นเป็นอย่างไร? มันเป็นจริงอย่างไร? …

“ใครมีหูฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด ใครมีตาฝ่ายวิญญาณจงมองให้เห็นเถิด พระวิญญาณของพระเจ้าได้ประกาศให้ทราบ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ สวรรค์ของพระองค์อย่างนี้ว่า …”

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน  เพื่อพวกเขาเท่านั้น  แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อ บรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์  ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย  21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์  เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

พระเยซูได้อธิษฐานบอกว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น” หมายถึงพวกสาวกที่เดินอยู่กับพระองค์ในขณะนั้น สาวกทั้ง 12 คน แล้วผู้ใดที่เชื่อตามสาวกเหล่านี้ ในขณะที่พระองค์ยังไม่ได้ถูกตรึง ที่ไม้กางเขน

พระเยซูบอกว่า … “ข้าพระองค์อธิษฐาน  ไม่ใช่ให้กับพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้น แต่อธิษฐานเผื่อให้กับพวกบรรดาผู้เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขา ที่เขาประกาศข่าวดี”

ก็คือพวกเรานั่นแหละ พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ผู้เชื่อ อธิษฐานให้กับพวกเราผู้เชื่อว่าอย่างไร? ก็คืออธิษฐานให้กับพวกกิ่งก้าน ที่ยอมเชื่อพระเยซู ยอมเชื่อข่าวดี ยอมเชื่อกฎของพระวิญญาณ ยอมเชื่อสิ่งที่พระเยซูประกาศเรื่องสวรรค์ให้ฟัง

“เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงเป็นอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร? ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นแหละ”

เห็นหรือยังที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้ “เราอยู่ในพระเยซู พระเยซูอยู่ในเรา ตรงเป๊ะ พระเยซูอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ในพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูและก็อยู่ในพระเจ้า  และพระเจ้าพระเยซูก็อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น”

“เกียรติสิริ” คือชีวิตของข้าพระองค์ คือชีวิตนิรันดร์  แสงสว่าง พระองค์บอกพระองค์เป็นแสงสว่าง พระองค์เป็นพระสิริ เกียรติสิริตรงนี้ คือชีวิตนิรันดร์นี้ ที่พระองค์ประทานให้กับข้าพระองค์ เมื่อตอนชุบข้าพระองค์ให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เกียรติสิริอันนี้  ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนกับตัวของพระเยซูเลย ที่เป็นขึ้นจากความตาย สภาพในวิญญาณของพระเยซู เป็นชีวิตนิรันดร์อย่างนี้ พระองค์บอกว่าอย่างไร? …

“ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว”

ใคร? คนที่ยอมเชื่อในข่าวดีนี้ และมาต่อติดกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็มอบชีวิตนิรันดร์นี้ให้กับเขาด้วย เขาก็เกิดใหม่กับข้าพระองค์ไปด้วยเลย พอมองเห็นไหมวิญญาณของเราเป็นสภาพเหมือนวิญญาณของพระเยซูเลย เรียกว่าเกียรติสิริ พระสิริ แสงสว่าง

“เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนข้าพระองค์กับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน”

“เป็นหนึ่งเดียวกัน” คือเป็นชนิดเดียวกัน  ไม่แตกต่างกันเลย เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนกัน

ข้อ 23 “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” ย้ำอีกทีหนึ่ง “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” พระเยซูบอกว่าพระเยซูอยู่ในพวกเขา อยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย “และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ พระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ อยู่ในพระเยซู ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์”

พระบิดาเอากิ่งก้านเหล่านั้น  ที่ยอมให้พระองค์ย้าย เอามาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับลูก และลูกเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เพราะฉะนั้น ท่านไปไหนก็ตาม ท่านอยู่ในสวรรค์ ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ก็สถิตอยู่ในท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็อยู่ในท่าน 3 พระภาคนี้อยู่ในท่าน และท่านก็อยู่ใน 3 พระภาคนี้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

นี่เฉพาะสำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นอย่างนี้ คือพระเยซูสถิตอยู่ด้วย ท่านเชื่อแล้ว ท่านไม่ต้องห่วงอะไรเลย นี่เป็นความเป็นจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บนโลกใบนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร? รู้สึกวันนี้พระเจ้าไม่อยู่ด้วย รู้สึกวันนี้หงุดหงิด รู้สึกวันนี้ทำไม่ดี รู้สึกอย่างนั้นไม่ดี แต่ถ้าวันใดที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจำวันนั้นได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ ท่านมอบชีวิตให้กับพระองค์แล้ว แค่นั้นเอง  ท่านได้ถูกย้ายเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกใดๆ ของท่านเลย บนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะรู้สึก พระองค์จะอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วยก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ด้วย พระเยซูสถิตอยู่ด้วย และคอยนำพาชีวิตท่านในทุกเสี้ยววินาที จะให้กำลังท่านในการที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ให้สติปัญญากับเราในการตัดสินใจ ในการเผชิญกับทุกๆ ปัญหา ในทุกๆ ครั้ง ให้สติปัญญากับเรา เป็นสติปัญญากับเรา ให้ความรัก เป็นความรักให้กับเรา ปลอบโยนจิตใจเราตลอดเวลา ยามเราทุกข์ยากลำบากตลอดเวลาเลยนะ ท่านจะสัมผัสได้หรือไม่ได้ ด้วยร่างกายก็แล้วแต่ แต่มันเป็นเช่นนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า และพระองค์จะเป็นสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจให้กับท่าน เป็นความสงบ นำพาชีวิตท่านในทุกเสี้ยววินาที จากขณะนี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถึงแม้จะมีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท่านจะมีกำลัง มีพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีกำลังที่จะปฏิเสธการทำบาป ทำชั่ว ทำไม่ดี ซึ่งเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ท่านจะกระทำดีได้มากขึ้นทุกวันๆ เพราะท่านได้รับกำลังและการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในท่าน และสิ่งที่ท่านทำนั้น มันจะออกมาจากใจแล้วคราวนี้ จากใจ จากวิญญาณท่าน ซึ่งเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี สมบูรณ์จากใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่านจากใจของท่าน ตามใจดีของท่านที่อยู่ในใจของท่าน ท่านก็จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ที่ท่านทำ ก็เป็นสิ่งที่ทุกๆ ความเชื่อ ทุกๆ ศาสนา ทุกๆ สังคมในโลกนี้อยากได้กัน ต้องการและพยายามทำด้วยตนเองกันอยู่ แต่ท่านสามารถทำได้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในท่านตลอดเวลา นำท่านให้ทำสิ่งเหล่านี้ จากใจ เป็นอิสรภาพ ทำจากใจ มีกำลังจะทำด้วย

นี่คือความหมายที่พระเยซูคริสต์บอก …

“ผู้ใดที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย พยายามทำดี พยายามด้วยตนเองมาหาเราเถิด เราเป็นแหล่งชีวิตนิรันดร์ที่จะให้ท่านทำดีด้วยใจ มีกำลังจากวิญญาณของท่านที่เกิดใหม่นั้น มาหาเราเถิด ท่านจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขไปตลอดนิรันดร์”  เอเมน

พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สำหรับข่าวสารที่พระเยซูประกาศไปถึงมนุษยชาติ บรรดาผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้ใช้สิทธินี้ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ตัดสินใจ พระเยซูก็ส่งสารนี้ไปให้เขาหรือท่านว่า …

“โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดท้าย   โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดพิเศษ  เที่ยวบินสายสวรรค์  บินสู่โลกใหม่ นักบินพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู และผู้ดูแลบริการตลอดระยะทาง คือพระวิญญาณและเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง จอดรับผู้โดยสารทุกสถานที่บนโลกนี้ และทุกเวลา ข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะค่าตั๋วเครื่องบินฟรี จ่ายเพียงความถ่อมตนเท่านั้น คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หมดบาป พ้นบาปได้  จึงยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดจากบาป เต็มใจจ่ายความถ่อมตนนี้ แล้วขึ้นเครื่องได้ทันที ไม่จำกัดจำนวน หมดเขตโปรโมชั่นเมื่อมนุษย์คนนั้นตาย  วิญญาณออกจากร่าง หรือโลกนี้ดับสูญไป ตัดสินใจโดยด่วนนะครับ ก่อนหมดโปรฯ ลงชื่อ พระเยซูคริสต์ ผู้อำนวยการสายการบิน I am the way”

 

และสำหรับท่านที่ขึ้นเครื่องแล้วพระเยซู กล่าวต้อนรับท่านบนเครื่อง …

“ขอต้อนรับลูกๆ ทุกคนในพระคริสต์ เที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ Rest in peace พักผ่อนวางใจในพระเจ้าพระบิดา หลับให้สบาย ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางให้สนุกสนาน อย่าเครียด อย่ากังวล บางครั้งอาจมีมืดมนบ้าง อากาศแปรปรวนบ้าง ตกหลุมอากาศบ้าง รัดเข็มขัดไว้ แล้วจงนิ่ง และรับรู้ว่านักบินผู้ควบคุมการบินอยู่ คือพระเจ้า พ่อผู้ให้กำเนิดท่านนั่นเอง”

 

นี่คือสารที่มาจากพี่ชายคนโตของเรา หัวหน้าครอบครัวใหญ่ของเรา คือพระเยซูคริสต์ กำลังบอกพวกเรา น้องๆ เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ เราอยู่ในหนทางสวรรค์แล้ว ย้ำอีกที เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ รอจนกว่าโลกใบนี้มันจะดับสูญไปสิ้นสลายไป ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึง Rest in peace ได้แล้ว

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1348

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มกราคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ผมใช้หัวข้อว่า “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” มันเป็นความจริง ที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ  แค่คิดแค่นี้  อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ก็คืออาณาจักรโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร?  เป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในทุกยุคทุกสมัยมาแล้ว ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับเรา หรือในยุคไหนก็ตาม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ แสวงหาทั้งหมดบนโลกใบนี้เลยทีเดียว คือการแสวงหาว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร? ถูกไหม? แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์  มาสอนเรา มาอธิบายให้เราฟังว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?  แล้วจดบันทึกเอาไว้  ในพระคัมภีร์เรียกว่าพันธสัญญาใหม่  เราจึงมาเรียนรู้จักคำพูด คำอธิบายของพระเยซู พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ และพระองค์ ก็คือสวรรค์นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงมีหัวข้อนี้ อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ใครๆ ก็อยากจะรู้

เราเชื่อในพระเยซูคริสต์  เราก็ไปเรียนรู้ได้ง่าย เพราะพระเยซูคริสต์พูดเสมอว่า …

“เราบอกความจริงให้กับท่านทั้งหลาย”

ก่อนจะพูด พระองค์ก็บอกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า”

ความจริงในที่ไหน?  ความจริงในโลกวิญญาณ  เราไม่ได้โกหกท่าน “เราบอกความจริง”

คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่ท่านมองไม่เห็น  แต่เรากำลังบอกความจริงว่าเรารู้จักโลกสวรรค์ โลกวิญญาณดี เพราะเราเป็นเจ้าของที่นั่น  เราคือสวรรค์นั้น

พระองค์พูดเสมอว่า “ความจริงจะทำให้เราเป็นไท” และเรากำลังพูดความจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์บอกว่าพระองค์นั้นแหละ คือความจริง เราคือความจริง  ก็คือเราคือสวรรค์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เรากำลังเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ  ซึ่งเรารู้ตอนนี้แล้วว่าอาณาจักรวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ ที่มีผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม รู้จัก ทุกยุค ทุกสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ไม่ว่าจะมีความรู้ทางด้านสติปัญญามนุษย์มากน้อยเท่าใด ศิวิไลมากเท่าไรก็ตาม และมนุษย์ทุกคนรู้ดีในโลกวิญญาณ  มีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกวิญญาณ  และทุกคนก็บอกว่าผู้นั้น คือพระเจ้า

พระเจ้า คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสากลโลก เพียงแต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์กลุ่มนั้น ผู้นั้น ช่วงนั้น จะรู้จักโลกวิญญาณมากน้อยเพียงใด  มนุษย์แสวงหาตรงนี้อยู่แล้ว  เพราะรู้มีโลกวิญญาณอยู่ และโลกวิญญาณ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ซึ่งถูกต้องตามความจริง ผู้นั้น คือพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถาน พระบิดาของพระเยซูคริสต์ และพระบิดาของเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกวิญญาณ

พระเยซูจึงเริ่มต้นอธิบายโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ให้เราฟังว่า … “ให้เราแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงแก่ท่าน”

ก็หมายถึงโลกวัตถุ ที่เรากำลังหากัน จะกินจะอยู่อย่างไร? เอาไว้ก่อน มันไม่สำคัญมากนัก สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน จะตายเมื่อไร? ไม่รู้ จะเข้าไปสู่โลกวิญญาณเมื่อไร? ก็ไม่รู้ จะหมดลมหายใจเมื่อไรก็ไม่รู้ อันนี้สำคัญกว่า มันจะอยู่นิรันดร์ วิญญาณของท่าน เพราะฉะนั้น จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรทางโลกวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์ ก่อนอื่นเลย มัทธิว 6:33 พระเยซูบอกไว้อย่างนี้ อย่าไปกังวลโลกใบนี้ โลกใบนี้มันอยู่ชั่วคราว มันกำลังจะสิ้นสุดไปแล้ว ไม่ต้องห่วง ห่วงอย่างเดียว ห่วงวิญญาณของเธอที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล หรืออยู่ในสวรรค์ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล นั่นน่าห่วงมากกว่า ต้องเรียนรู้ตรงนี้

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์” ถามว่าเมื่อเรารู้ความจริง ตรงนี้แล้ว อาณาจักรสวรรค์ ก็คือตัวของพระองค์เอง จงแสวงหาว่าพระองค์ คือใคร? เราคือใคร? พระเยซูคริสต์ คือใคร? พระองค์กำลังมาบอกว่า …

“จงแสวงหา ให้รู้ว่าเรา เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์ทั้งหลายรอคอย  มาเป็นเวลาพันๆ ปีแล้วนั่นแหละ เราคือสวรรค์นั่นแหละ เราคือผู้ที่จะมาช่วยท่านให้เข้าสู่สวรรค์นั่นแหละ เราคือความชอบธรรม”

แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์

ความชอบธรรมของพระองค์ คือตัวของพระเยซูคริสต์เอง พระองค์เป็นความชอบธรรม

ความชอบธรรม คือความดีงาม บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ จงแสวงหาพระองค์นั่นแหละ

พอเราเรียนรู้จักโลกวิญญาณ เรียนรู้จักความจริงในถ้อยคำพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่อธิบายให้เราฟังถึงโลกวิญญาณ เราก็จะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกมันสำคัญ

พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธว่ามีความจริงอยู่ในโลกวัตถุ พระองค์เป็นผู้สร้างวัตถุทุกอย่าง บนโลกใบนี้ มีกฎ มีเกณฑ์ เพราะฉะนั้น ความจริงจึงมีอยู่ในโลกวัตถุด้วย  และความจริง ก็มีอยู่ในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งสองอย่างเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ใครดำเนิน ตามกฎในความจริงนี้ ก็จะได้ประโยชน์ แต่โลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ที่เรียกว่าโลกใบนี้ กับโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเรามองไม่เห็น มันมีกฎ เป็นความจริงทั้งคู่ แต่มันแยกกันกระทำการงาน เอามาข้ามไปข้ามมาไม่ได้ ผู้ใดที่รู้ความจริงทั้งคู่ มีประโยชน์ทั้งคู่ ทั้งโลกนี้และโลกวิญญาณ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย  เพราะรู้แผนผังว่ากฎของบนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? รู้ อะไรไม่ดีเลี่ยง อะไรดีทำ  กฎของโลกวิญญาณ ก็มีของเขา อะไรรู้ว่าเป็นประโยชน์ทำ อะไรรู้ว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องทำ

เพราะฉะนั้น ความรู้ต้องมาก่อน ถูกไหม? พอรู้แล้ว ไม่มีเลือกผิดหรอก  รู้แล้ว เลือกถูกหมด เพราะรู้แล้วว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเรา ชัดๆ เลย  ก็ต้องเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์

การตั้งใจ พยายามทำตามกฎระเบียบ กฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม ก็เป็นสิ่งที่ดี อย่างเช่นการพยายามลด ละ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังให้น้อยลง ดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ในทุกๆ ด้าน ที่เรียกว่าสันโดด ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นกฎของโลกใบนี้  เป็นสิ่งที่ดีมากด้วยซ้ำ และจำเป็นมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อให้มีความสุขกาย สบายใจ ทุกข์น้อยลงได้ เรียกว่าได้รับพรบนโลกใบนี้  ได้รับพร สุขกาย สบายใจ เฉพาะบนโลกใบนี้ เพราะเหล่านี้เป็นกฎของโลกใบนี้ ถูกไหม? เรียกว่ากฎของการทำดีและทำชั่วนั่นเอง ถูกต้องเลยนะ ลดกิเลสได้มากเท่าไร? ก็มีสุขบนโลกมากเท่านั้น สุขกาย สบายใจมากขึ้นเท่านั้น นี่คือกฎ ใครทำตาม ก็ได้  ใครไม่ทำตาม ก็ไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกิดผลใดๆ  การกระทำที่ว่ามาตะกี้นี้ทั้งหมด ไม่เกิดผลใดๆ กับทางโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งโลกวิญญาณ พระเยซูบอกแล้ว มันสำคัญกว่ามากเลยทีเดียว

การลด  ละ  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ลด ละ กิเลส การทำชั่วบนโลกใบนี้ มันดีไหม? มันดีมาก ทุกคนควรจะพยายามฝึกฝน ทำให้ดีที่สุด มันจะได้ประโยชน์ เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับผลทางด้านโลกวิญญาณเลย โลกวิญญาณจะเกิดเป็นผล เรียกว่าผลทางโลกวิญญาณ มีอันเดียวที่พระเยซูบอก “ผล” ก็คือความรอด ในวิญญาณ ซึ่งมาโดยการรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ และเชื่อตามความจริงนั้น และทำตามเท่านั้น

ทำตามกฎของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณมันมีจริง เหมือนกฎทางโลกวัตถุ ที่เราพูดถึง ลด ละ กิเลส ทำสิ่งที่ดีงาม พระเจ้าก็วางไว้ สำหรับกฎบนโลกวัตถุนี้ ใครทำถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ดี ก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดี อันนี้เป็นกฎอยู่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

เห็นไหมว่าเราถูกหลอก ให้ข้ามไป ข้ามมา ทำตามกฎของโลกวิญญาณ อยากให้มันเกิด ในโลกวัตถุ ได้ไหม? ไม่ได้  ทำในโลกวัตถุ แล้วก็อยากให้มันเกิดผลในโลกวิญญาณได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน พูดไป พูดมา มันง่ายมากเลย แต่ถ้าตาวิญญาณไม่ได้เปิดออกโดยพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน

ซึ่งการรับรู้ความจริง ทั้งของโลกนี้ และในโลกวิญญาณ มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งคู่แน่นอน แต่พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ ใช่ไหมว่าอะไรสำคัญกว่า ยอห์น 6:63 พระวิญญาณประทานชีวิต พระเยซูตรัสว่าในโลกวิญญาณ ประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย เนื้อหนัง คือโลกวัตถุ เนื้อหนัง ไม่สำคัญอะไรมากนัก …

ยอห์น 6:63  “พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย  ถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่าน เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต”

 

สิ่งที่เราพูดให้กับท่าน คือกฎของวิญญาณและให้ชีวิต ให้เป็นประโยชน์ต่อท่าน ในโลกวิญญาณเท่านั้น เดี๋ยวเราฟังต่อไปว่าแล้วในโลกวัตถุ พระองค์ทรงช่วยเหลืออะไรเราบ้าง? ช่วยอยู่แล้ว แน่นอน ขนาดสิ่งสำคัญที่สุดในโลกวิญญาณ พระองค์ยังช่วยได้เลย ในโลกวัตถุช่วยได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น เรียนรู้ทั้ง 2 กฎ เชื่อและวางใจในพระเยซูด้วย เพื่อนำเราไปสู่โลกวิญญาณ  ผลที่เราจะได้รับ ก็คือไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ว่าเราจะเข้าสวรรค์ผ่านทางพระองค์ ไม่พึ่งพาการกระทำดี บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นการกระทำตามกฎของโลกใบนี้ จะไปหวังอะไรในโลกวิญญาณไม่ได้  เพราะฉะนั้น เราควรจะเรียนรู้และพึ่งพาทั้ง 2 กฎ …

กฎแรก คือเรียนรู้และวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ในเรื่องโลกวิญญาณ ฉันไม่รู้ล่ะ ฉันพึ่งในพระเยซูคริสต์ และไปสวรรค์แน่นอน

กฎที่สอง คือเรียนรู้ที่จะทำตามกฎของโลกใบนี้ด้วย โดยการนำ การช่วยของพระเยซู ก็คือพยายามทำตามกฎของโลกนี้ โดยการช่วยเหลือของพระเยซู ที่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านอะไรก็ได้ตามนั้น

นี่คือกฎของโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงๆ และเมื่อเราพึ่งในพระเยซู เราได้รับผลทางโลกวิญญาณ คือไปสวรรค์

การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ล่ะ พระเยซูก็จะช่วยเรา พยายามทำตามกฎระเบียบของโลกใบนี้ ก็คือทำตามศีลธรรมอันดีงาม เชื่อฟังต่อศีลธรรมอันดีงาม กฎหมาย บ้านเมือง ทำสิ่งที่ถูกต้อง เรียกว่าทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุดด้วย เพื่อความสงบสุข ทั้งกายและใจ ระหว่างที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

มันสำคัญทั้ง 2 กฎ เห็นไหม? ถามว่าพระเยซูช่วยเราอย่างไรบนโลกใบนี้ นี่ไง ก็ช่วยอย่างนี้แหละ เพราะว่าโลกใบนี้มันมีกฎของมันอยู่  เพราะฉะนั้น เมื่อโลกวิญญาณ ท่านได้รับความรอดไปสวรรค์แล้ว พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน แล้วก็จะนำพาท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ใน 2 กฎเลย กฎของวิญญาณ ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว กฎบนโลกวัตถุ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็จะนำพาท่านด้วยสติปัญญาของพระองค์ ค่อยๆ สอนท่านให้เรียนรู้จักการดำเนินชีวิต ให้สอดคล้องกับกฎของโลกใบนี้ เพื่อท่านจะได้เก็บเกี่ยว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ชัดเจนเลย แยกกัน กฎใดเป็นกฎใด บางคนพึ่งพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วก็จริง ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในกฎของมนุษย์ แต่เอากฎวิญญาณมาใช้

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันมีชัยชนะ เหนือความชั่วร้ายทั้งหมดแล้ว”

เพราะฉะนั้น ขับรถ กฎหมายเขามีไว้ ไม่ให้เกิน 120  ขับเกิน 150 แล้วก็บอกพระเยซูช่วยด้วย

“พระเยซูอยู่ข้างๆ ฉัน อยู่ในตัวฉัน พระองค์ทรงช่วยเหลือฉันเสมอ ช่วยในวิญญาณไปแล้วด้วย  เพราะฉะนั้น ช่วยในโลกวัตถุนี้ด้วย ฉันจะละเมิดกฎของโลกใบนี้  คือขับรถเร็ว เขาให้ 120 ฉันเอาสัก 200”

พอเกิดอุบัติเหตุ ก็มาเรียกร้อง บอกว่าพระเยซูไม่เห็นช่วยเลย ถามใจท่านดูว่าพระองค์ทรงช่วยหรือยัง? ช่วย ช่วยทำอะไร? ไปสวรรค์ ไปตั้งแต่ท่านเชื่อแล้ว แต่มาช่วยทำอะไรตอนนั้น เตือนท่าน บอกท่าน ให้ลด ละ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้รู้จักกฎระเบียบ ถูกไหม? แล้วท่านเชื่อไหม? ท่านไม่เชื่อ ท่านก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น จากผลของการกระทำบนโลกใบนี้ทั้งหมด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านสิ่งใด ได้สิ่งนั้น คริสเตียนโยนก้อนหินขึ้นไป หล่นลงมาไหม? หล่น คนไม่เป็นคริสเตียน โยนก้อนหินขึ้นไป หล่นลงมาไหม? หล่น คนเป็นคริสเตียนได้อยู่ในสวรรค์แล้วใช่ไหม? ใช่  แล้วโยนหินขึ้นไป ทำไมตกลงมา ก็เพราะว่ามันเป็นกฎของโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ เรียกว่ากฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จะทำดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม ถ้าทำถูกกฎของโลกใบนี้ มันก็ได้ตามกฎของโลกใบนี้นั่นแหละ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอีกกฎหนึ่ง

พระเยซูจึงประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พระองค์ทรงทราบดีว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเขากระทำการอย่างไร? กฎของโลกสวรรค์เป็นอย่างไร? ไปถามใครเล่า? มนุษย์จะรู้ได้อย่างไร? หรือจะรู้ได้ดีมาก เท่ากับพระเยซูคริสต์เอง พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งโลกวิญญาณ และไม่ใช่โลกวิญญาณ คือทางโลกวัตถุนี้ พระองค์ทรงทราบ ไม่ใช่ทราบกฎอย่างเดียว พระองค์ทรงทราบ ทะลุเข้าไปถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในวิญญาณ หรืออยู่บนโลกใบนี้ หรือจะแตะต้องมองเห็นได้ อะไรต่างๆ แม้กระทั่งกาลเวลา พระองค์ยังอยู่เหนือกาลเวลานั้นด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ไม่เชื่อพระองค์ แล้วจะไปเชื่อใคร?

พระเยซูจึงประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่คำแรกเริ่มต้นการงานของพระองค์บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ประกาศคำแรกเลย …

“กลับใจใหม่ซะ  อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว อาณาจักรสวรรค์มานี่แล้ว”

พระองค์นั่นแหละ คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์เดินอยู่ท่ามกลางพวกท่านนั่นแหละ ท่านยังไม่รู้จักหรือ? นี่เรากำลังอธิบายอาณาจักรสวรรค์ให้กับท่าน ให้ท่านเชื่อและวางใจในเรา และจะได้รับความรอด ในโลกวิญญาณ คือรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายนั่นเอง

กำลังบอกว่า “เรามาเพื่ออธิบาย  เพื่อสำแดงสวรรค์ให้ทุกคนได้เห็นว่าในโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ และพวกท่านอยู่ในสภาวะตายในโลกวิญญาณถูกพิพากษา ต้องลงนรก  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไป ท่านกำลังถูกพิพากษาอยู่ และถูกพิพากษาตลอดไป ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือหรือการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน หลังจากที่ท่านตายแล้ว ท่านก็จะอยู่ที่เดิมนั่นแหละ  อยู่ในความสาปแช่ง ในโลกวิญญาณ  ซึ่งท่านมองไม่เห็น”

ประกาศเรื่องเกี่ยวกับความจริงในโลกวิญญาณว่ามันเป็นอย่างไร? เหมือนครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ 2 ตอนไป เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

มันก็ต้องเรียนรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ในทุกแง่มุม เพื่อเราจะได้เข้าใจ และเห็นภาพโลกวิญญาณ หรือสวรรค์ของพระเจ้ามากขึ้น ชัดเจน และเราจะได้เป็นเครื่องมือของพระเจ้า เอาความจริงเหล่านั้น พูด อธิบายให้กับคนที่เขาไม่เข้าใจ ได้เข้าใจมากขึ้น พระเยซูก็จะพูดผ่านทางความรู้ที่เรามีอยู่ในตัวของเรานั่นแหละ

ในช่วงที่พระเยซูประกาศ ในตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปีนั้น ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์นี่แหละ ประกาศให้กับชาวยิว ตามแผนการที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ คือให้ชาวยิวเป็นหัวหอก เป็นกลุ่มแรกของมนุษย์ ชาวไม่ใช่ยิวทั้งหลาย ชนชาติทั้งหลาย รวมทั้งพวกเราคนไทยด้วย ประเทศอะไรก็ตาม เป็นกลุ่มที่ 2 ของมนุษย์ ที่จะรับรู้ในความจริง ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้ เพื่อจะได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ เตรียมไว้ทั้งสองกลุ่มนั้นแหละ แต่เริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน ซึ่งแผนการนี้ เป็นแผนการที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบแล้วว่ามนุษย์จะล้มลงไปในความบาป มวลมนุษยชาติจะตกลงไปในการล่อลวงของมาร ให้กบฏ ดื้อต่อพระเจ้า จะอยู่ด้วยตามลำพังของตนเอง  เชิญพระเจ้าออกไปจากชีวิต ทุกอย่างจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งทำไม่ได้ พระเจ้าทรงรู้แล้ว ก็เลยเตรียมไว้ นี่แหละก่อนสร้างโลก เตรียมการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายที่ตกลงไปในความบาปเหล่านั้น ให้กลับคืนมาสู่อ้อมกอด มาสู่สวรรค์ของพระองค์ มาสู่พระสิริของพระองค์ เหมือนเดิม หลังจากที่บรรพบุรุษของเราได้กบฏต่อพระเจ้า ก็คือตกสวรรค์นั่นเอง หล่นออกนอกสวรรค์ คือไม่มีพระเจ้าแล้ว พระเยซู ก็คือผู้นั้น ผู้ที่พระเจ้าวางแผนการไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายนั่นเอง และแผนการนี้ เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าให้เริ่มต้น ประกาศให้ได้ทราบถึงข่าวดีนี้ ผ่านทางชาวยิวกลุ่มแรก และจากชาวยิวเสร็จปุ๊บ ก็มาประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวต่อไป 2 พวก

เพราะฉะนั้น พระเยซูก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอเริ่มประกาศ 3 ปีนั้น ก็ประกาศให้พวกยิว เท่านั้น หลังจาก 3 ปี ทำงานเสร็จบนไม้กางเขน ไถ่บาปให้มนุษย์เสร็จเรียบร้อย  เกิดผลในโลกวิญญาณแล้ว พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปอยู่ในสวรรค์ และเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคน  ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ต้อนรับพระองค์เข้าไปสถิตอยู่ปุ๊บ พระองค์ก็อธิบายต่อ สอนต่อ เหมือนเดิม เหมือนสอนชาวยิว แต่คราวนี้ ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียว  เอาไปสอนคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวด้วย ทั้งหมดเลย จนสิ้นยุค จนสิ้นโลก

เพราะฉะนั้น  ใครเป็นคนสอน ก็คือพระเยซูเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่พระเยซูทำผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกอัครทูตทั้งหลาย และทูตทั้งหลาย ก็คือผู้นำข่าวดีทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง มากหรือน้อย ก็แล้วแต่ แต่พระเยซูสถิตอยู่ในเขา แล้วประกาศอย่างนี้อีกต่อไป เหมือนกับผมนั่งอยู่นี่ พระเยซูก็กำลังประกาศเรื่องเดิมนั่นแหละ เรื่องสวรรค์เป็นเช่นไร? มาเชื่อเรา แล้วจะได้ไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างนี้จริงๆ เราจะอธิบายเรื่องสวรรค์ให้ท่านฟัง มันเป็นอย่างนั้น

นึกถึงภาพ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็สอน  กำลังสอนชาวยิว ซึ่งหลังจากนั้น 3 ปี จึงค่อยมาสอนพวกเรา ผู้ที่ไม่ใช่ยิว อย่างเช่นในยอห์น 3:16-18 พระเยซูก็มาประกาศว่าในสวรรค์เป็นอย่างไร? ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? มนุษย์อยู่ในสภาวะอย่างไรในโลกวิญญาณ? ทำไมพระเจ้าทรงเตรียมพระบุตร สละชีวิตลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยพวกท่าน เพราะพวกท่านอยู่ ณ ตำแหน่งใดในโลกวิญญาณ  ในขณะนี้  มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาวะใดในขณะนี้ ถึงต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า  และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าจึงส่งเราลงมา เพื่อช่วยท่านทั้งหลาย ก็แสดงว่าท่านต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอน ถ้ามิฉะนั้น พระเจ้าคงไม่ส่งเรามา เราลองอ่านดู …

ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษ มนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

เวลาอ่าน ทำความเข้าใจ ตั้งสติไว้ที่ เบอร์ 1 คือกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่รู้ล่ะ เกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าในสวรรค์ หรือเรียกว่าในวิญญาณ  อย่าใช้สติปัญญา ที่เราใช้กับกฎของโลกใบนี้ คือโลกวัตถุ มันใช้กันไม่ได้ นึกในใจว่ามันคือโลกวิญญาณ เป็นอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณก็จะนำท่านไป ถึงความจริงมากขึ้นนั่นเอง

และเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมอธิบายให้ฟังว่าพระเยซูประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ อธิบายเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ให้กับชาวยิวในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนใลกใบนี้ และให้กับชาวต่างชาติทั้งหลาย ทั้งหมด จนมาถึงทุกวันนี้ จนถึงสิ้นยุค ผ่านทางการสถิตอยู่ของพระองค์ในผู้เชื่อทั้งหลายนั้น เริ่มต้นจากอัครทูตทั้งหลาย  พระองค์พูดสิ่งเดียวกัน  และสิ่งเดียวกันที่พูดนี้ มีอยู่แค่ 4 ประเด็นเอง …

ประเด็นแรก คือพระองค์มาประกาศว่าสวรรค์เป็นเช่นไร? โลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร? ถูกไหม? โลกวิญญาณ คือมนุษย์ตกสวรรค์อยู่ “ตกสวรรค์” ก็แปลว่าอยู่ในความบาป อยู่ในความพินาศ อะไรบางอย่างที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ทั้งหมดนั้นแหละ มนุษย์อยู่ตรงนั้น จะเรียกว่าบึงไฟนรก จะเรียกว่าพินาศ จะเรียกว่าความตาย อะไรที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พระเจ้าดีงาม  มนุษย์ตกอยู่ในความชั่วร้าย พระเจ้าเป็นความสว่าง มนุษย์ตกอยู่ในความมืด พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ มนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์  ก็คือเป็นคนบาป

ประเด็นที่ 2 เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์ไม่สามารถพึ่งพาการกระทำของตนเอง ให้กลายเป็นคนดีได้ เป็นไปไม่ได้เลย เอาอูฐเข้ารูเข็มยังง่ายกว่า มนุษย์ต้องเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะทำได้ ถ้าทำด้วยตัวเอง มันเกิดได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้

ประเด็นที่ 3 คือเมื่อทำไม่ได้ แล้วจะพึ่งใคร? ก็นี่ไง พระเจ้าส่งเรามาช่วย เพราะเจ้าทำด้วยตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ทำให้ตัวเองเกิดใหม่ก็ไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งเรามาช่วยไง จงมาวางใจในเรา เชื่อในเรา พระผู้ช่วยให้รอด หรือเรียกว่าพระมาซีฮาห์ หรือพระคริสต์นั่นแหละ ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ บอกตั้งแต่โน้นมาแล้ว เผยพระวจนะมาก่อนหน้านั้นแล้ว

ประเด็นที่ 4 คือเมื่อเชื่อแล้ว เมื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ เจ้าจะถูกย้ายออกมาจากที่เดิม มาอยู่ที่ใหม่ มาอาศัยอยู่ในเรา “เรา” คือสวรรค์ เจ้าจะถูกย้ายเข้ามา  อยู่ในสวรรค์ทันที

จบข่าวดี ฮาเลลูยา เชิญท่านเลือกเอา จะรับซื้อหรือไม่รับซื้อ จะรับหรือไม่รับ? ในที่นี้ต้องรับอยู่แล้ว แต่คนอื่นที่อยู่นอกโบสถ์ ก็ไม่รู้ ก็ต้องฟัง ก็ต้อง …

“เอ๊ะ! มันจริงหรือเปล่า?”

พระเยซูรู้ว่าเราคิดอย่างไร? มนุษย์ทุกคน … “มันจริงหรือไม่? มันจะจริงหรือ? คนเราถ้าไม่พึ่งพาตนเอง มันจะไปรอดหรือ?”

พระเยซูคริสต์รู้แล้ว เราจะคิดอะไร? พระองค์จึงบอกว่า … “เราบอกความจริงกับท่าน นี่คือความจริงๆ ไปอ่านดูได้ นี่มันจริงๆ เราคือความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เป็นไท”

ลองมาดูเมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน ยอห์น 3:16-18 ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ เห็นไหมครับ?  ถ้าไม่เช่นนั้น ท่านก็จะอยู่ในความพินาศ ตายนิรันดร์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น นี่ข้อ 16 ท่านจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนกับพระองค์ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาช่วยเหลือท่าน ถ้าท่านไม่ได้รับความช่วยเหลือ ท่านตายนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ

ข้อ 17 ตอนท้ายบอกว่า “แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ โดยทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์” นี่คือเหตุที่พระเจ้าส่งมนุษย์ผู้หนึ่ง ที่เรียกว่าพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้เดียว ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในหญิงพรหมจารี บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีบาป  ไม่มีเชื้อบาปเลย เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์

ถ้าบันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความช่วยเหลือนั่นเอง หมดหนทางแล้วไง ถูกไหม? แต่ก็ยังมีคนไม่รู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าบอกความจริงแล้วว่าไม่มีทาง เราจึงส่งคนมาช่วย เจ้าไม่มีทางที่จะพาตัวเองไปสวรรค์ได้ แต่มนุษย์คนนั้น ถูกหลอก เขายังคิดว่าโดยการพึ่งพาในการกระทำของตนเอง บนโลกใบนี้ คือจะให้เกิดผลในโลกวิญญาณ เพื่อได้รับความรอดในโลกวิญญาณให้ได้เลย ฝืนให้ได้  ถูกหลอก ถึงขนาด หลอกให้ทำทุกอย่าง อดทน ลด ละ กิเลสตัณหา ให้มากที่สุด รักษาศีลธรรมให้ดีที่สุด รักษาความดีให้มากที่สุด ทำชั่วให้น้อยที่สุด ซึ่งมีประโยชน์ มีสันติสุข มีความสุขกาย สบายใจบนโลกใบนี้ แน่นอน แต่เขาหวังว่ามันจะเกิดในโลกวิญญาณว่าเมื่อตายไปแล้ว หลังความตาย เขาจะได้ไปสวรรค์ และถ้าเขาไม่แน่ใจว่าได้ไปสวรรค์ เขาก็จะถูกหลอกต่อว่าและไปสวรรค์นั้น ยังไม่แน่ใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะตายไป เราก็จะมาเกิดใหม่ แล้วเราจะสร้างความดี ผสมประสานบวกความดีไปเรื่อยๆ ทุกๆ ชาติไป อันนี้ต้องขออภัยนะ ถ้าเกิดไปกระทบกับความเชื่อของท่านใด ที่เป็นคำกล่าว อธิบายของพระเยซู

ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ว่ามนุษย์พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่ได้เลย ผมก็พูดตามนั้น  เพื่อให้ท่านเลือก ที่จะรับเอากฎนี้ เข้าไปพิจารณาในชีวิตของท่านหรือไม่? สิ่งที่ท่านทำอยู่แล้ว มันดี มีประโยชน์มากๆ เลย คือการลด ละ กิเลส พระเยซูก็สอนให้เราลด ละ กิเลส ในพระคัมภีร์ก็สอน ให้พยายามควบคุมเนื้อหนัง ควบคุมเมื่อเราเชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว เราก็ต้องควบคุมเนื้อหนัง ควบคุมความประพฤติของเราให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ เกิดสันติสุขบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนก็ทราบดี และใครทำได้ ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง สรรเสริญ  เป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อยู่อย่างสันติสุข มนุษย์ทุกคนไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ บนโลกใบนี้แน่นอน แต่ในโลกวิญญาณที่สำคัญกว่า พระเยซูกำลังบอกอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อข่าวดีมาถึงท่าน มาอยู่ต่อหน้าท่าน อย่าเพิ่งไปลบ อย่าเพิ่งไปทิ้ง อย่าเพิ่งไปปฏิเสธ อย่าเพิ่งกล่าวหาว่าผู้ที่มาพูดความจริงนั้น กำลังตำหนิ ว่าท่าน มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

ในข้อ 18 ยิ่งชัดใหญ่เลย “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ” ก็คือถูกช่วยย้ายออกมาจากความพินาศ มาสู่สวรรค์นั่นเอง  ถูกย้ายออกมาจากความมืด มาอยู่อาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ “ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจในการช่วยให้รอดของพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษในความผิดบาป ในความตายเหมือนเดิม อยู่แล้ว ก็คือพระเยซูไม่ได้มาซ้ำเติม ให้เขาโดนลงโทษมากกว่านั้น อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่แล้ว พูดง่ายๆ มนุษย์ทุกคนเหมือนเกิดมาอยู่ในนรกอยู่แล้ว ถ้าไม่รับความช่วยเหลือ ก็อยู่ที่เดิม

อยู่ที่เดิม เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่พระเยซูคริสต์ตรัสเอง พูดเอง นี่คือความจริง ก่อนจะพูด พระองค์ก็บอกแล้วว่านี่คือความจริง ความจริงเท่านั้น ที่เราพูดกับท่าน ความจริงๆ

พระเยซูกำลังประกาศ แสดงถึงอาณาจักรสวรรค์ว่ามันเป็นเช่นไร? ก็เหมือนชื่อเรื่องในวันนี้ อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร? นี่คือความจริงเกี่ยวกับเรื่องอาณาจักรสวรรค์ แล้วพระเยซูก็จะประกาศอย่างนี้ ไปตลอด จนกระทั่งสิ้นยุค ประกาศตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้เลย 3 ปี หลังจาก 3 ปีนั้น ประกาศผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลาย ตั้งแต่อัครทูต จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ และจนกระทั่งถึงสิ้นสุดโลกใบนี้ พระองค์ก็จะพูด 4 ประเด็นนี้ คือประกาศให้รู้ถึงเรื่องอาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?

เราลองมาดูเรื่องนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่พระเยซูประกาศตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ที่ประกาศเริ่มต้น  ในหนังสือมัทธิว 12:33-37 ก่อนอ่านอย่าลืมนะ คิดไปที่อะไรเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณในสวรรค์บ้าง? พื้นฐานอยู่ตรงนี้ แล้วพระองค์อธิบาย ประกาศให้เราเห็นถึงอาณาจักรสวรรค์ ใน 4 ประเด็นนี้แน่นอน

อ่าน จบแล้ว ผมจะถามว่าท่านคิดว่าอยู่ในประเด็นไหน? ตอนนี้ ที่พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว  รู้แล้วนะ พูดกับชาวยิวหมายถึงพูดกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ชาวยิวเป็นตุ๊กตาเท่านั้นเอง  คิดไว้ เดี๋ยวผมถามตอนจบ 4 ประเด็นจำได้ไหมมีอะไรบ้าง? …

ประเด็นที่ 1 คือมนุษย์เป็นคนบาป เกิดมาเป็นบาป ทำอะไรก็บาป ไม่มีทางเป็นคนดีได้เลย

มนุษย์ตอนนี้อยู่ที่ไหน? เป็นคนบาป ถูกสาปแช่งอยู่

ประเด็นที่ 2 คือมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองให้หายบาปได้  ต้องพึ่งพระเยซูเท่านั้น

มนุษย์เมื่อเป็นคนบาป ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำดีให้ตาย ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดใหม่ได้

ประเด็นที่ 3 คือพระเยซูทำให้ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์

มนุษย์จะเกิดใหม่จากการเป็นคนบาป ต้องกลายเป็นคนดี ต้องเกิดใหม่ เกิดใหม่ไม่ได้ ก็ต้องหาผู้ที่จะสามารถช่วยมนุษย์เกิดใหม่ได้ ก็คือพระองค์สำแดงว่าพระองค์นั่นแหละ ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ได้ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์

ประเด็นที่ 4 คือเมื่อท่านมาเชื่อเราแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น เราจะย้ายท่านมาอยู่ในสวรรค์

สี่ประเด็นนี้ ลองอ่าน มัทธิว 12:33-37 …

มัทธิว 12:33-37 “33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดีผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลวติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว เพราะว่าเราจะรู้จักและตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูผู้เป็นความดี ถ้าวิญญาณภายในเลวติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (โอ้ มนุษย์ ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาปเป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตรยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาปเป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเราผู้เป็นความชอบธรรมความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดีภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่วภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษามนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ในทุกคำที่พูดนั้น (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

 

นึกถึงภาพพระเยซูคริสต์ ประกาศถึงความจริงในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมแผนการไว้ตั้งหลายพันปีก่อนสร้างโลก สละตัวเอง เพื่อมาช่วยมนุษย์ เพราะรัก เพราะฉะนั้น เวลาอ่าน และพระเยซูประกาศ พูดสิ่งเหล่านี้ บนพื้นฐานของความรักอย่างมากมาย สละสภาพพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ต้องคิดอย่างนั้น ว่าด้วยความรัก ภาษาเขียน บางครั้งอ่านออกมา รู้สึกมันไม่เข้าใจ เหมือนกับมันรุนแรง เหมือนด่าว่ากล่าวอะไรต่างๆ กระแทกกระทั้น แต่จำไว้ว่าทั้งหมด บนพื้นฐานแห่งความรักทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อ่านในมุมมองของความรู้ทางโลกวิญญาณด้วยว่าพระองค์มาช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความรัก ไม่ได้มาทับถม พระองค์บอกว่าไม้อ้ออ่อน พระองค์จะไม่หัก  ก็คือมนุษย์แย่อยู่แล้ว มาช่วยอย่างเดียว

มาดูสิเป็นอย่างไร? พระองค์เริ่มพูด ยกตัวอย่างสิ่งรอบข้างของคนยิว ที่เห็นอยู่แถวนั้น จะรู้ทันที ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมา ก็จะดี หมายถึงอะไร? ถ้าวิญญาณ ภายในมันสมบูรณ์ดีนะ ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความดี กำลังบอกว่าในวิญญาณกับข้างนอก มันสำคัญกว่ากันเยอะ  ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู ก็คือกับพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าส่งพระเยซู พระเยซูเป็นพระบุตร พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ต่อต้านกับพระเจ้า คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ก็คือเป็นบาปอยู่ กำลังบอกว่ามนุษย์อยู่ในบาป ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำวิญญาณให้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในบาปแน่นอน

ต่อไปในข้อ 34 บอก “โอ้! พวกชนชาติงูร้าย” ก็หมายถึงโอ้! มนุษย์  ซึ่งตกอยู่ในความบาป  ในตระกูลของอาดัม บรรพบุรุษทั้งหลาย ที่ติดเชื้อโรคบาป  เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณอยู่ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด ข้างในวิญญาณ ซึ่งสำคัญมาก เป็นตัวกำหนดชีวิตของท่าน เป็นตัวตนแท้ๆ ของท่าน จะพูดเป็นมิตร ยอมรับเราได้อย่างไร?  เพราะที่พูดต่อต้าน ปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป  เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ซึ่งเป็นความชอบธรรม เป็นความดีงามของพระเจ้า คือท่านปฏิเสธความชอบธรรม ก็คือท่านอยู่คนละขั้ว ท่านอยู่ในที่มืด ท่านยังไม่รู้จักแสงสว่าง เข้ากับแสงสว่างไม่ได้ เจอแสงสว่าง ความมืดก็จะสูญสิ้นหายไป ท่านเป็นคนบาป คนบาปนี้ แปลว่าเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า

คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเรา คลังแห่งวิญญาณ ก็คือวิญญาณดี สิ่งออกมาจากข้างในวิญญาณ มันก็ดี วิญญาณไม่ดี สิ่งออกมาจากข้างในใจ ก็ไม่ดี คำว่า “ดี” “ไม่ดี” นี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น คือถ้าวิญญาณดี ส่งผลออกมาจากปาก ก็จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นสิ่งดีงาม  แต่ถ้าในใจชั่ว ก็จะปฏิเสธพระเยซู

ข้อ 36 “เราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษา” นี่พูดถึงโลกวิญญาณแล้วนะ วันพิพากษา คือวันที่มนุษย์คนนั้นทิ้งร่างกายนี้  วิญญาณเขาออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกวิญญาณ  เข้าสู่มิติของสวรรค์ หรือวันที่มนุษย์ทั้งโลก ทั้งหมด รวมทั้งวัตถุทั้งหมดบนโลกใบนี้  สรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ทั้งดวงดาว ดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์สูญสิ้น หมดไป มี 2 วัน ในวันนั้น เราบอกความจริงว่าในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรับผิดชอบ ต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อต้าน เป็นผลเลวให้กับเขา

ก็คือส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา คือไม่เชื่อเรานั้น เป็นศัตรู ปฏิเสธเรา ไม่บังเกิดใหม่ ไม่ยอมรับเรา คือท่านไม่ได้รอดจากบาป ท่านยังคงอยู่ในความพินาศ การกระทำของท่านด้วยคำพูด ที่ไม่ยอมรับเรา ผู้ช่วยให้รอดนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ ในวันพิพากษานั่นแหละ เพราะท่านไม่ได้ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด จากโทษของความบาป ก็คือตัวเรานั่นเอง ท่านยังคงไปพึ่งตนเองอยู่

ในข้อ 37 พระองค์ก็สรุปตรงนี้บอกว่า “ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการพิพากษาลงโทษ เพราะคำพูดของท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่?” ก็คือท่านจะรอดไปอยู่ในสวรรค์ ตอนที่ท่านตายหรือไม่?  ตอนที่ท่านตายจากโลกใบนี้  และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณหรือไม่? หรือท่านจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตอนที่ท่านตายไปพร้อมๆ กับโลกใบนี้ ทุกคนบนโลกใบนี้ จบสิ้น บนโลกใบนี้ เข้าสู่โลกวิญญาณอย่างเดียวนั้นหรือเปล่า? ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธหรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านหรือไม่?  นี่ประกาศชัดเจน

ตอบสิว่าอยู่ในประเด็นไหน? ที่พระเยซูอธิบายบริบทตรงนี้ พระองค์ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ในโลกวิญญาณถึงประเด็นไหน? 4 ประเด็น นึกออกหรือยัง?

(1) มนุษย์อยู่ในความบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยู่ในประเด็นที่ 1 ถูกไหม?

(2) ช่วยตัวเองไม่ได้

(3) ให้มาวางใจในพระองค์ซะ

ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นอันดับ 4  … อันดับ 4 เพียงบอกว่าผ่านทางพระองค์ แล้วจะได้รับความรอด แต่ยังไม่ได้บอกว่าความรอดเป็นเช่นไร? อธิบายทีหลัง ตอนที่พระคัมภีร์ใหม่เกิดขึ้น ตอนที่พระองค์เข้าไปสอนมนุษย์ผ่านทางอัครทูต และบอกว่าการบังเกิดใหม่ รอดแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ แล้วก็บอกรายละเอียดเรื่องโลกวิญญาณมากขึ้นต่อเนื่องจากนี้ แต่นี่คือสิ่งที่สำคัญ ที่พระเยซูประกาศตั้งแต่แรกเลย

พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พระองค์ทรงยุติธรรมมาก บริสุทธิ์ ไม่ลำเอียง ดูแลกฎระเบียบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกฎของโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ หรือกฎทางด้านวิญญาณก็ตาม พระองค์ควบคุมโดยฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งความกริ้ว ไม่ใช่นะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงดูแลกฎระเบียบ ความยุติธรรมทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความรัก ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ดูแล ให้ความยุติธรรมกับคนทั้งปวง ไม่ว่าในโลกที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ด้วยความรัก และความยุติธรรม

ยกตัวอย่าง เช่นเรื่องแรงดึงดูดของโลก ถ้าท่านไม่เชื่อเรื่องแรงดึงดูดของโลก แล้วขึ้นไปบนที่สูง ประมาท ท่านก็ตกลงมา ขอพระเจ้าช่วย แล้วไม่ตกไหม? มันก็ตกอยู่ดี นี่คือความยุติธรรม พระเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือคุณให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลกได้ แต่พระองค์พยายามที่สุด ที่จะเตือนคุณก่อนหน้านั้นแล้ว อย่าล้อเล่นนะ อย่าท้าทายนะ อย่าดื้อนะ อย่าไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพต่อกฎที่มีอยู่นะ ให้เคารพกฎนี้นะ ในกรณีนี้ พูดถึงกฎของโลกวัตถุ เตือนไหม? เตือนสิ ก็คือย่าประมาทนะ บอกให้ใส่เซฟตี้ ก็ใส่นะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ถ้าคุณไม่เชื่อ คือคุณกำลังท้าทาย ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเป็นจริงๆ อย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับโทษ จากการละเมิดกฎเหล่านี้ ใช่หรือไม่? ถูกไหม? ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำดีหรือไม่ดี เป็นคนดีหรือคนเลวมากน้อยเท่าไรก็ตาม ไม่เกี่ยวกันเลย ต่างก็ได้รับผลของการกระทำ ตามกฎนี้ ซึ่งเป็นกฎของโลกวัตถุนี้ ใช่หรือไม่?

จะบอกว่า “ฉันทำดีมากมาย และเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ มีความเมตตามากเลย เพราะฉะนั้น เรือแตก ฉันไม่ควรจะจมน้ำ  แรงดึงดูดของโลกจะดูดฉันลงน้ำไม่ได้ ฉันไม่ควรโดนแรงดึงดูด ไม่เหมือนคนข้างๆ ฉัน  เป็นโจร เป็นคนเพิ่งออกจากคุกตาราง มา 4 – 5  ครั้งแล้ว เลวกว่าฉันเยอะเลย อย่างนั้นสมควรโดนดูด ให้ตายไปซะ”

ไม่เกี่ยวเลย ทั้งคู่กำลังอยู่ในกฎของแรงดึงดูดของโลก กฎของโลกวัตถุกนี้เท่าๆ กัน จริงหรือไม่?

“ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยโกหกใครเลย เพราะฉะนั้น ฟ้าไม่ควรผ่าฉันเลย ฟ้าผ่าเฉพาะคนที่โกหก หลอกลวง ฉันไม่เคยเลย ฉันเป็นคนดีบริสุทธิ์ ทำไมฉันถูกฟ้าผ่า”

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันถือมือถือ กำลังโทรศัพท์อยู่ตอนฝนตก” สมมตินะ

“เพราะฉันรู้ถึงกฎของวิญญาณว่าให้เป็นคนสัตย์ซื่อ ถึงจะมีความสุข มีสันติสุขในโลกใบนี้ ฉันได้จริงหรือเปล่า? ฉันได้จริง แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนฝนตก กฎเขาบอกว่าอย่าใช้โทรศัพท์ออกไป มันจะเป็นสื่อให้ฟ้าผ่าได้ มีโอกาสเป็นไปได้สูง ฉันไม่รู้”

แต่อีกคนหนึ่ง ที่ทำตัวไม่ดี ผิดศีลธรรม เขาได้ศึกษาเรื่องนี้ เขารู้ว่ากฎทางวิทยาศาสตร์บอกว่าอย่าถือโทรศัพท์ออกไปโทร เขาก็ไม่ถือออกไป เขาก็ไม่ได้รับโทษ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าทำดีหรือไม่ดี ตามกฎของโลกวัตถุที่เรียกว่ากฎความประพฤติตามศีลธรรมอันดีงาม มันคนละเรื่องกัน ทำตามกฎของศีลธรรมความดี ความไม่ดี ศีลธรรมอันดีงามนั้น ก็ได้รับแล้วไง รับความชื่นใจ ความสุขทุกข์น้อยลง บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น กฎทางความประพฤติ ด้วยศีลธรรมดี ก็มีระเบียบของมันอยู่ มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ไปขโมยของเขา มันก็ไม่สบายใจ กลัวตำรวจจับ ไปที่ไหน ก็ระแวง หรือถูกจับ คราวนี้ยิ่งแย่ใหญ่เลย มันก็ต้องได้รับโทษเป็นไปตามนั้น

เช่นเดียวกันกับสิ่งที่พระเยซูกำลังพูด กฎของโลกวัตถุ มนุษย์ไขว่คว้าด้วยสติปัญญาของตนเอง สามารถที่จะเข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎของตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้ใช่ไหม? มนุษย์สามารถเข้าใจได้ แต่ในโลกวิญญาณ มนุษย์ตาบอดอยู่ เป็นคนบาป ตายในโลกวิญญาณ  มันจะเห็นได้อย่างไร? พระเยซูจึงมาอธิบายแล้วอธิบายอีก นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ นี่คือกฎในโลกวิญญาณ ทำตามกฎในโลกวิญญาณ ที่จะได้ไม่ถูกฟ้าผ่า พูดง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบกับสักครู่นี้ กฎของโลกวัตถุ เรามาบอกความจริงให้ท่านได้รู้สิ่งเหล่านี้ โลกวิญญาณก็มีกฎระเบียบของเขา เพราะพระเยซูกำลังประกาศ และพระเยซูกำลังมาบอกพระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าเลยนะ พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งพินาศในโลกวิญญาณเลย ท่านเข้าใจไหม? แม้แต่คนเดียวก็ไม่ต้องการ รักทุกคน อยากให้ทุกคนรอด จากความพินาศในวิญญาณ

นี่คือการเริ่มต้นของพระเยซู ที่ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ว่ามันเป็นเช่นไร? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ถึงกฎเหล่านี้แล้ว ก็มาเชื่อวางใจในเราสิ เราจะทำให้ท่านบังเกิดใหม่ ตัดสินใจย้าย ถ้าท่านไม่ย้าย เมื่อหมดชีวิตบนโลกใบนี้ วิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกวิญญาณ มันทำไม่ได้แล้วนะ  นี่คือกฎทางโลกวิญญาณที่บอกไว้ ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็เหมือน ยังเอาโทรศัพท์ออกไปโทรกลางฝนอยู่ วันนี้รอดไปได้ นึกว่าตัวเองทำดี แต่ถ้าท่านทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งท่านถูกฟ้าผ่าแน่นอน เพราะเขาบอกอย่าๆ

เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าท่านอยู่ในบาป อยู่ในความสาปแช่ง ท่านต้องรีบย้าย ก่อนที่ท่านจะตายจากโลกใบนี้ วิธีย้าย ก็คือมาเชื่อในเราว่าเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมา แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ทำแค่นี้เอง ได้ไหม ได้ไม่ยาก ถ้าเริ่มต้นด้วยการอย่าทิ้งความจริงเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ มันต้องอาศัยการค่อยๆ ฟังเข้าไปเรื่อยๆ หัวใจของการได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ มันมาจากการได้ยิน แล้วก็ฟัง หลับๆ ตื่นๆ ไปวันหนึ่ง มันขึ้นมา มันก็ปิ๊งออกมาเป็นความเชื่อ เรียกว่าเป็นเมล็ดแห่งความอัศจรรย์เกิดขึ้น

พระเยซูยกตัวอย่างว่ามันนิดเดียวเอง เมล็ดความเชื่อตรงนี้ คือเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด คือมันเล็กมาก มันเกิดขึ้นเมื่อไร? ไม่รู้เกิดขึ้นจากอะไร? รู้จากการฟัง ถ้อยคำพระเจ้าฟังความจริงเหล่านี้ อย่าทิ้ง  อย่าให้ความเย่อหยิ่งในตัวของเรา ขโมยออกไป ซึ่งพระเยซูยกตัวอย่างว่านกกามาคาบเอาไปเลย  นกกา คือการเย่อหยิ่ง ทะนงตนว่า …

“ฉันรู้แล้ว ฉันมาถูกทางแล้ว ฉันจะกระทำดีต่อไป พึ่งพาตนเองต่อไป”

นั่นแหละ เคล็ดลับง่ายนิดเดียว ก็คือฟังไปเรื่อยๆ วันนี้ยังไม่เข้าใจไม่เป็นไร? อย่าปฏิเสธ ฟังไปเรื่อยๆ เหมือนกับชาวนาที่หว่านข้าวลงไป เขาไม่ได้ทำอะไรนะ เขาก็ไปดูๆ ดูนกกามาจิกหรือเปล่า? มาจิก เขาก็ไล่มันออกไป แล้วก็นอน ถามว่าต้นข้าวขึ้นหรือยัง? ยัง แล้วเขาไปกังวลไหม? เขานอนหลับๆ ตื่นๆ ทุกวัน

สมมติว่าอีก 15 วันมันจะงอกเป็นต้นมา เขากังวลไหม? พรุ่งนี้เช้า เขาต้องไปขุดดูไหมว่ารากงอกหรือยัง? เขาไม่ไปขุดเลย  เขาหว่านไปแล้ว เขาก็นั่งๆ นอนๆ เขาเพียงแต่ไล่กา ไล่นกจะมาจิกเอาเมล็ดนั้นไปเท่านั้นเอง หลับๆ ตื่นๆ วันไหนก็ไม่รู้ เขารู้แต่วันหนึ่ง เดินมา มีเขียวๆขึ้นมาครับ จากเมล็ดที่ตายแล้ว มันกลายเป็นเมล็ดเขียวๆ ขึ้นมา กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ฉันใดฉันนั้น การบังเกิดใหม่ก็เป็นเช่นนั้น

พระเยซูก็จะพูดแบบนี้แหละว่าโลกวิญญาณนั้น มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาวะตายอยู่ เป็นบาปอยู่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ ก็คือการบังเกิดเข้ามาอยู่ในสวรรค์นั่นเอง และผ่านได้ทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นสวรรค์เลยสักคน มนุษย์ทุกคน เป็นคนบาปทั้งหมด พระเยซูเป็นผู้เดียว ที่มาจากสวรรค์ และเกิดเป็นมนุษย์ ที่อยู่ในสวรรค์ เพราะฉะนั้น ยอมรับพระเยซู ก็คือบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในพระองค์  ก็อยู่ในสวรรค์กับพระองค์เลย ถามว่าเมื่อไร? พระเยซูบอกเดี๋ยวนี้เลย พระองค์พูดไว้อยู่เสมอเลยว่าเมื่อมาเชื่อในพระองค์แล้ว มาอาศัยอยู่ในพระองค์เลยเดี๋ยวนี้ ยกตัวอย่างในหนังสือยอห์น 15:1-6 วันนี้ไม่มีเวลาจะเอารายละเอียด เอาแค่คร่าวๆ พอว่า …

ยอห์น 15:1-6 “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษา 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว  พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระ และได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าพระองค์เป็นเหมือนเถาองุ่น และพระบิดาเราเป็นผู้ดูแลสวน พระองค์เป็นเถาองุ่น คือเป็นแหล่งแห่งชีวิต คือชีวิต พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นชีวิต นอกเหนือจากพระเจ้า คือความตาย ชีวิตก็คือความสว่าง  ตรงกันข้ามกับชีวิต ก็คือความมืด  พระเยซูเป็นชีวิต ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ให้ชีวิต เป็นสวรรค์ ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ก็ต้องเข้ามาอยู่ในพระองค์นั่นเอง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ พระองค์ยกตัวอย่างเรื่องติดสนิทอยู่ในพระองค์ว่าให้เข้ามาอาศัยอยู่ในพระองค์ ให้มาต่อทาบกิ่ง ก็คือให้เอาวิญญาณมาต่อกับพระองค์ เอาวิญญาณบาปนั้น  มาบังเกิดใหม่ แล้วก็เข้าไปอยู่ในพระองค์ พูดง่ายๆ ให้ย้ายถิ่นฐาน ย้ายสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ แห่งความมืด โลกวิญญาณที่เรียกว่าพินาศ ความบาป  ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า มันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แม้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะอยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย  ถ้าเผื่อไม่รีบเปลี่ยนเสียก่อน ที่จะจากโลกนี้ไป ก่อนที่จะเข้าในโลกวิญญาณ ยังมีโอกาส เปลี่ยนมาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อาศัยอยู่ในพระองค์ซะ  อาศัยอยู่ในพระองค์ ก็คืออาศัยอยู่ในสวรรค์

ถามว่าท่านใดที่มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ ท่านได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้วบ้าง ยกมือขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า นี่คือในโลกวิญญาณ ที่ท่านยกมือขึ้น แสดงว่าท่านรู้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เราจะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? เรายังนั่งอยู่ที่โบสถ์ กรุงเทพกรีฑาในเมืองไทยอยู่เลย  ไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? เพราะท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นวิญญาณ ท่านมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ท่านรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูสอนแล้ว ท่านได้ถูกย้ายมา ตั้งแต่ตอนที่ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูได้ย้ายท่านจากวิญญาณที่อยู่ในบาปนั้น ตายอยู่นั้น ให้ท่านบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ในพระเยซูได้เลย และใครจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  ทำไมต้องบังเกิดใหม่ เพราะตัวเก่ามันเป็นบาป เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  ยังไงก็เข้าไม่ได้ ขัดอย่างไรก็ไม่ออก ถูอย่างไรก็ไม่ขึ้น รักษาความดีอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์พอ ไม่มีทางเข้าหรอก  มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องไปเกิดใหม่ซะ  หรือเรียกว่ามาเกิดใหม่ซะ

ถามว่าท่านเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ขั้นตอนนี้ ท่านอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง?  ท่านได้ต่อสนิท อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นวิญญาณชนิดเดียวกันกับพระองค์แล้วหรือยัง? ตอนนี้ ขณะที่นั่งอยู่นี้  ที่ท่านตอบไปแล้ว ยกมือแล้วว่านั่งอยู่แล้ว  ผมกำลังถามถึงคนทางบ้านด้วย ท่านมั่นใจไหมว่าตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้าท่านมั่นใจ ก็แล้วไป แต่ถ้าท่านยังไม่มั่นใจ  อย่างที่ผมบอก มันง่ายนิดเดียว อย่างเพิ่งทิ้งเรื่องนี้ ฟังต่อไป กลับไปฟังของอาทิตย์ที่แล้ว  ก่อนอาทิตย์ที่แล้วกับอาทิตย์โน้นอาทิตย์นี้ ฟังไปเรื่อยๆ อันไหนไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ฟังต่อไป  อันไหนยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ฟังต่อไป จะมีวันหนึ่ง มันปิ๊งขึ้นมา อัศจรรย์ใหญ่เกิดขึ้นมา ความเชื่อของท่านจะเกิดขึ้นเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านจะบังเกิดใหม่  คราวนี้แหละ พอบังเกิดใหม่ ก็จะเข้ามาอาศัย อยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ทันทีเลย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และท่านก็พิสูจน์ได้ด้วย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ค่อยพิสูจน์ได้

พิสูจน์ได้ว่าอย่างไร?  ก็ขณะที่ท่านปิ๊งปุ๊บ มาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีทันใด พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในตัวท่าน มาทำการดำเนินชีวิตในตัวท่าน นำพาชีวิตท่าน มาช่วยเหลือท่านให้มีกำลังในการลด ละ กิเลส และกระทำดีที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ บนโลกใบนี้  เพื่อความสุขและสันติสุข ทั้งกายและใจบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะโลกวิญญาณ ท่านได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะทำดีหรือไม่ทำดียังไง มากน้อยเพียงใด ท่านก็อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่อย่างนั้น นิรันดร์กาล และพระองค์ก็จะทรงนำพาท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในทุกสถานการณ์ ให้เรามีกำลัง ที่เราจะสามารถ มีสติปัญญา เผชิญได้กับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว  มีแต่ความไม่แน่นอน มีแต่ความวิปริตอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? ในสถานการณ์เช่นไรก็ตาม ถ้าเราบังเกิดใหม่แล้ว  อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูก็อยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดินทุกวัน  จนกระทั่งถึงชีวิตหลังความตาย ชีวิตนิรันดร์ ด้วยชัยชนะ อันยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงกระทำไปแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง พระองค์จะจูงมือเราปีต่อปี …

1 ปี = 12 เดือน  = 52 สัปดาห์  = 365 วัน  =  8,760 ชั่วโมง   =  525,600 นาที  = 31,536,000 วินาที

พระองค์จะจูงมือเราไปปีต่อปี,  จูงมือเราไปทุก 12 เดือน, จูงมือเราไปทุก 52 สัปดาห์, จูงมือเราไปทุก 365 วัน, จูงมือเราไปทุก 8,760 ชั่วโมง, จูงมือเราไปทุก 525,600 นาที, จูงมือเราไปทุก 31,536,000 วินาที

นี่เฉพาะบนโลกใบนี้ภายใน 1 ปีเท่านั้นนะ ทุกเสี้ยววินาที พระองค์ทรงอยู่กับเรา เสี้ยวของวินาที ยังไม่ทันหายใจเลย  อยู่กับเราแล้ว และพระองค์จะทรงนำพาเรา ในวิญญาณของเรา ในร่างกายของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ ก็คือพอหลังความตาย เราก็ได้รับร่างกายใหม่ ด้วยนะ  เปลี่ยนเสื้อใหม่ให้เรา แต่ก็ยังอยู่กับพระองค์ตลอดไป  แล้วท่านจะเลือกอะไรดี เลือกความจริงนี้ดีกว่าไหม?  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 8:1-2 “1 ดังนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดใดแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (คือผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระเยซู  เป็นผู้ช่วยให้รอดจากโทษของบาป) 2 เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ได้ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย”

เหมือนเรานั่งอยู่ในเครื่องบินที่กำลังอยู่ในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมีพลังอำนาจเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก  เราจึงไม่ถูกดูดตกลงมาบนพื้นดิน

พูดง่ายๆ ก็คือโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ให้ชีวิตกับท่านใหม่  ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ให้ท่านเป็นอิสระจากกฎเดิมที่ท่านอยู่สมัยอาดัม ก็คือกฎของความบาปและความตาย เมื่อทำบาป ก็ต้องตาย เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เมื่อโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา เมื่อทำบาป ก็ได้รับโทษของความบาป ทำครั้งหนึ่ง ก็ได้รับโทษของความบาป ทำ 100 ครั้ง ก็ได้รับโทษของความบาป   โยนของไป 100 ครั้ง  ก็ต้องหล่นลงมาแน่นอน เพราะแรงดึงดูดของโลกมันมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น กฎของความบาปและความตายดั้งเดิม ที่มาตั้งแต่สมัยอาดัม ทุกวันนี้ ก็ยังอยู่ ทำบาปครั้งหนึ่ง ก็ต้องรับโทษเท่าๆ กับคนทำกี่ครั้งก็แล้วแต่   มันเป็นกฎอยู่   เห็นภาพไหมครับ?

และพระเยซูคริสต์มาทำให้เขาหรือเราที่เชื่อในพระองค์   เริ่มต้นกฎใหม่ให้กับมนุษยชาติแล้ว  กฎนั้นเรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต   คือกฎที่พระเจ้าได้ให้ชีวิตกับเรา บังเกิดใหม่เลย ไม่ตายอยู่ในบาปอีกแล้ว

2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป ที่เสียไป เนเจอร์หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาปนั้น ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้ บัดนี้ พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู   วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายกลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์  ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าและกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อเราเชื่อ

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1347

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มกราคม  2022

เรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราเรียนเรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ถือว่าเป็นตอนที่ 1 ไปแล้วกัน ตอนแรกๆ ว่าจะตอนเดียวจบ มันไม่จบ มันยาว พูดไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็นำไปเรื่อยๆ ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ วันนี้ก็เลยเป็น “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 2

ท่านลองพูดกับตัวท่านเอง ลองถามตัวท่านเองสิ “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว”

อุปโลกน์ว่าทุกคนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วนะ ซึ่งเราเริ่มเรียนรู้จากโคโลสี 2:13-14 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราอ่านทวนกันครั้งหนึ่งก่อน …

โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  มีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัย ในการละเมิดกฎทั้งหลาย  ของพวกเรา 14 พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

ครั้งที่แล้วเราจบรายละเอียดในบทนี้ ในข้อที่ 13 อย่างค่อนข้างละเอียดแล้ว ซึ่งสรุปว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็บอกแล้วว่าก่อนเชื่อ เราตายอยู่ เราเป็นคนบาป เรายังไม่ได้รับความรอด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้บัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ พอรับเชื่อแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้รับ 2 สิ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูด รับ 2 สิ่ง …

อันดับที่หนึ่ง คือเราได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อตอนเริ่มเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอเริ่มเชื่อ เราก็ได้บังเกิดใหม่

อันดับที่สอง คือเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณกับผู้ที่เชื่อนั้น ก็คือคนที่เชื่อนั้น ได้รับการอภัยในการละเมิดกฎ คือการทำบาปทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อรับเชื่อ

สองข้อนี้ เราเรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว ค่อยข้างชัดเจน

วันนี้มาเริ่มต้นในข้อ 14 …

โคโลสี 2:14 “พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

นี่คือสิ่งที่ 3 ที่บังเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณจะเกิดขึ้นอย่างนี้

สิ่งที่หนึ่ง คือได้รับชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่

สิ่งที่สอง คือได้รับการอภัย การละเมิด การทำบาปทั้งสิ้น ทั้งหมด ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

สิ่งที่สาม ที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ จากถ้อยคำพระเจ้า ในโคโลสี 2:14 คือพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมออกไปจากเรา ครั้งที่แล้วเราหยุดอยู่ตรงนี้ แล้วเราก็ได้อ่านข้อพระคัมภีร์กำกับในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 อ่านอีกสักครั้งหนึ่ง นี่คือหลักฐานว่าพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ด้วยวิธีใด …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน  (ยอมมอบชีวิตพระองค์เอง แด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) นั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป  (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)

 

“ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” ด้วยความทุกข์ทรมาน ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พวกท่าน คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ได้รับการรักษาให้หาย จากการเป็นคนบาป

ท่านได้รับการรักษา เอาบาปออกไปจากท่านเลย แล้วบาปนั้น เอาออกไปด้วยวิธีใด? โดยวิธีเอาไปใส่ไว้ที่พระเยซูคริสต์แทน บาปทั้งหลายทั้งปวง พระเยซูคริสต์ทรงแบกรับไว้ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูบอกเสมอว่าโลกวิญญาณมันสำคัญกว่ามาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดไป มันจะอยู่เป็นนิจนิรันดร์ แต่เหตุการณ์บนโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้นั้น มันอยู่เพียงแค่ชั่วคราว มันกำลังไปสู่ความพินาศ มันกำลังไปสู่ความสูญสิ้น เขาเรียกว่าพินาศ

ลองมาอ่านสักนิดหนึ่ง ยอห์น 6:63 ว่าพระเยซูตรัสด้วยพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกนี้อย่างไรในข่าวประเสริฐ ข่าวดี ความจริงที่พระองค์ทรงประกาศให้กับมนุษยชาติ ผ่านทางกลุ่มแรก ก็คือกลุ่มชาวยิว ซึ่งเล็งไว้เลยว่ากลุ่มชาวยิวก่อน แล้วต่อไป ก็กลุ่มต่างชาติ คือพวกเราทั้งหลายที่ไม่ใช่ยิวนั่นเอง ลองอ่านดูนะ …

ยอห์น 6:63 “วิญญาณ​นั้น  ​เป็น​ที่​ให้​มี​ชีวิต  เนื้อ​หนัง​ไม่​สู้​เป็น​ประ​โยชน์​นัก  ถ้อยคำ​ความจริง ที่​เรา​ได้​กล่าว​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​นั้น​  ก็​เป็น​วิญญาณ​และ​เป็น​ชีวิต”

 

“วิญญาณนั้น เป็นที่ให้มีชีวิต” โลกวิญญาณ คือโลกที่ให้มีชีวิต

“เนื้อหนัง ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก” ก็คือความรู้

เนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถจับต้องได้ “ใจ” หมายถึงความคิด … ความคิดของมนุษย์ สามารถมีตรรกะ มีสติปัญญา วัด เปรียบเทียบ อะไรต่างๆ ได้ อย่างเช่น ค้นคว้าหาความจริง ในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ยังเป็นอยู่ในระบบของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้มีอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่น …

น้ำ มีออกซิเจนกับไฮโดรเจน ผสมอยู่ด้วยกัน ไฮโดรเจน 2 ส่วน ออกซิเจน 1 ส่วน อย่างนี้เป็นสติปัญญา แบบเนื้อหนัง รู้แล้วมีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์ แต่มีประโยชน์ไม่มากนัก เพราะอีกไม่นาน มันก็จบสิ้นไปแล้ว  โลกใบนี้ ออกซิเจนก็หายไป ไฮโดรเจนก็จะหายไป

รู้ว่าโลกกลมดีไหม? ดี

รู้ว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกดีไหม? ดี รู้ว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จะได้ทำเครื่องบินได้ จะได้รู้ว่าปีนบันไดไป ตกลงมา เพราะอะไร?

เหล่านี้เรียกว่าสติปัญญาของเนื้อหนัง ไม่ค่อยเป็นประโยชน์อะไรมากนัก เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ แต่มันมีมากไหม? ไม่มาก เพราะมันอยู่ไม่นาน เมื่อโลกจบสิ้นลง ระบบของแรงดึงดูดของโลกก็หายไป พระองค์จึงบอกว่า “สำหรับเนื้อหนัง ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก”

ถ้อยคำความจริง ที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น ก็คือความจริงแห่งถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศจนถึงทุกวันนี้นั้น ก็เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต เห็นไหม? นั่นแหละเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น ให้ท่านมาศึกษาถ้อยคำของพระองค์ ที่เป็นวิญญาณ เป็นชีวิต อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อะไรให้ชีวิตในโลกวิญญาณ นั่นแหละ จะให้ชีวิตนิรันดร์ หรือตายนิรันดร์ เสียชีวิตนิรันดร์ มันอยู่ที่โลกวิญญาณ ตรงนี้แหละ

เพราะฉะนั้น อย่าไปเสียเวลามากนัก ถามว่าทำไมถึงบอกว่าเสียเวลามากนัก เพราะมันเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ไม่ใช่มันไม่เป็นประโยชน์ อย่างเช่นออกกำลังกาย เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง มันก็เป็นประโยชน์ ศึกษาแล้วดีไหม? ดี ออกกำลังกายอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อยืดเส้นยืดสาย ดีไหม? ดี ไปโยคะ ไปวิ่ง ไปว่ายน้ำ  ไปยืดเส้นยืดสาย ศึกษาว่าวิ่งอย่างไรให้เหมาะสม อย่าทำหนักเกินไป แต่ให้ทำทุกวัน อะไรอย่างนี้

นี่คือสติปัญญาของโลกนี้ ถามว่ามีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์  แต่อย่าไปใส่ใจมันมากนัก ใส่ใจตรงนี้ดีกว่าว่า …

“ขณะนี้ เวลานี้ ฉันอยู่ที่ไหน? ฉันเป็นใคร? แล้วมีใครที่ไหน ที่บอกเรื่องโลกวิญญาณว่าวิญญาณที่ฉันมีอยู่ ที่เขาบอกว่าเกิดมาต้องชดใช้เวรกรรมนั้น มันเป็นอย่างไร? แล้วทำอย่างไร ถึงจะหลุดออกจากเวรกรรม หลุดได้ไหม? มีใครพูดอะไรเรื่องเหล่านี้ไหม?”

ซึ่งไปค้นมาทั้งหมด  ก็มีอยู่ผู้เดียวที่พูด คือพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกแล้วว่า … “ถ้อยคำของเรานั้นเป็นวิญญาณ และเป็นชีวิต มีประโยชน์มาก มาให้ความสนใจกับถ้อยคำของฉัน ฉันกล่าวให้กับเธอ”

มีผู้เดียวที่กล่าวอย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น พระองค์จึงไม่เสียเวลามานั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหนัง ที่ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก เดี๋ยวปล่อยให้มนุษย์หากันเอง สติปัญญามนุษย์ไปถึงอยู่แล้ว ไปถึงขนาดไหน? ถึงขนาดลด ละ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังได้ด้วยวิธีใด อันนี้ก็เป็นสติปัญญาของมนุษย์นะ ก็เป็นสติปัญญาแบบเนื้อหนัง และถามว่ามีประโยชน์ไหม? มีสิ ทำไมไม่มี มนุษย์จะได้มีศีลธรรมที่ดี  รู้จักลด ละ กิเลส รู้ว่ากิเลสมันทำให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ตัวเราเองอย่างเดียว มันทุกข์ต่อผู้คนรอบข้างด้วย การทำชั่ว ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ต่อตัวเราเอง และผู้คนรอบข้างด้วย และก็พยายามที่จะไม่ทำความชั่วเหล่านั้น ด้วยวิธีใดบ้าง?

สติปัญญาของมนุษย์ก็ค้นคว้าหาความจริงเหล่านี้ อย่างนี้เรียกว่าสติปัญญาในเนื้อหนังทั้งสิ้น เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ สอนให้เป็นคนดี ศึกษาว่ามันลด ละ กิเลสได้อย่างไร? ทำอย่างไรจึงลด ละ กิเลส ฝึกฝน ลด ละ กิเลสได้อย่างไร? ดีไหม? ดี แต่มันไม่มีประโยชน์มากนัก เมื่อเทียบกับความรู้ในโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอย่างไร? เราไม่มีทางรู้เลย นอกจากผู้ยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ จะมาบอกเรา ด้วยความจริงของเขา ไม่โกหกเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าเองที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์และมาอธิบายถึงอาณาจักรของพระองค์ให้เราฟัง มนุษย์ทุกคนจงฟัง นี่เราเจ้าของอาณาจักรสวรรค์เอง เรามาบอกให้ท่านฟังว่าในสวรรค์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร? พระองค์จึงมาบนโลกใบนี้ …

พระองค์ประกาศคำแรกแล้ว “สวรรค์มาอยู่ที่นี่แล้ว เรามา เพื่อแจ้งสวรรค์ให้กับท่านว่าเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? สวรรค์หน้าตาเป็นเช่นไร? เรียนรู้เรื่องอาณาจักรสวรรค์”

เพราะฉะนั้น คำพูดของพระองค์ทั้งหมด อุปมาทั้งสิ้น พระองค์ก็จะยกตัวอย่างว่า …

“อาณาจักรสวรรค์ เปรียบเหมือน …”

ใช่หรือไม่? ทั้งนั้นเลย ไปดูได้ แสดงว่าพระองค์มาทำอะไร? พระเยซูมาเปิดเผย  สำแดง อธิบายอย่างละเอียด ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

สวรรค์ ก็คือโลกวิญญาณ  มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง

อะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เมื่อเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในความจริงที่พระเยซูคริสต์ประกาศให้เรา บอกเรา …

(1) มีชีวิตบังเกิดใหม่

(2) อภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของเรา ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

และเรากำลังอยู่ใน อันดับที่ 3 …

(3) ยกเลิกกฎต่างๆ … คือยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามบทบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัตินั่นเอง

เรามาดูสิ ตรงนี้ ในโลกวิญญาณ หมายถึงอะไร? ยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ก็แสดงว่าก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการยกเลิกสำเร็จนั้น ตั้งแต่อดีตมา มนุษย์อยู่ในกฎอะไรบางอย่าง ที่พระเยซูกำลังมายกเลิก ถูกไหม?

“ยกเลิก” แสดงว่ามันมีอยู่ ยกเลิกกฎแห่งการกระทำ  แสดงว่ามนุษย์ก่อนหน้าที่พระเยซูจะเสด็จมาบนโลกใบนี้  มนุษย์อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎแห่งการกระทำ มนุษย์อยู่ใต้กฎนี้ แล้วมันไม่ดีต่อมนุษย์ ถ้าดี พระเจ้าคงไม่มายกเลิก ถูกไหม? แสดงว่าพระองค์มายกเลิกกฎแห่งการกระทำ ตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ จำได้ไหมที่ผมบอกว่าพระองค์กำลังพูดกับชาวยิวก่อน เป็นกลุ่มแรก และเดี๋ยวก็จะพูดกับชาวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง กลุ่มที่สอง แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ คือมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ เรียกว่า “มวลมนุษยชาติ” ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว อยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่จะช่วยให้รอด มารวมกันอยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่คือแผนการที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกอีกนะ

หนังสือธรรมบัญญัติ ที่พระเจ้าประทานให้กับชาวยิว สำหรับชาวยิวแล้ว ธรรมบัญญัตินี้ ก็คือที่เขียนถึงอะไรให้ทำ อะไรไม่ให้ทำ  อะไรที่ไม่ให้ทำ ถ้าไปทำ เรียกว่าทำบาป เขียนให้กับชาวยิว กลุ่มแรก ผ่านทางหัวหน้าชาวยิวในตอนนั้น ก็คือโมเสส สลักไว้ อยู่ในแผ่นหิน อยู่ในหนังสือม้วน และในขณะนั้น คนไม่ใช่ยิว ไม่ได้ถือกฎธรรมบัญญัติ  ที่โมเสสได้รับมาจากพระเจ้า ถูกไหม? เพราะไม่ใช่ยิว แล้วเขาไม่มีธรรมบัญญัติหรือ? พระคัมภีร์บอกมี หนังสือโรมบอกมี

“ธรรมบัญญัติ” สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ถูกเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของเขา  ในใจของมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ

ถ้ายิว ก็มีเป็นตัวหนังสือออกมาเลย 613 ข้อ

ถ้าไม่ใช่ยิว  ก็เขียนอยู่ในใจนั่นแหละ

นึกออกใช่ไหม? ธรรมบัญญัติอยู่ในใจ ก็คือรู้ว่าทำบาปแล้ว รู้ว่าไม่ดี

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ก็หมายถึงว่าพระเยซูมายกเลิก กฎที่มนุษย์ ถูกนำพาไปอยู่ใต้กฎเหล่านี้ ต้องทำตามกฎเหล่านี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำดี กระทำชั่ว ตามศีลธรรมที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติโมเสส หรือบันทึกไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ไม่มีกรณีพิเศษใดๆ ใครทำดี ได้ดีแน่นอน ใครทำชั่ว ได้ชั่วแน่นอน แล้วอยากถามว่ามนุษย์ที่อยู่ใต้กฎนี้ ตอนนั้น มีใครทำดีได้ครบหมด เรียบร้อย 100% เลยไหม? ไม่มี ไม่มีเลย มีใครทำถูกหมดเลย 100% ไหม? 613 ข้อของโมเสส ที่เขียนเอาไว้ ที่พระเจ้าให้ทำ รักษาได้หมดไหม? ไม่หมด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จำได้ไหม? ทำดีมาลบกับความชั่วไม่ได้นะ ชั่วคือได้ชั่วนะ เพราะฉะนั้น ไม่มีคนใดทำดีสักคนหนึ่ง ก็คือไม่มีคนใดไม่ได้ทำชั่วเลยสักคนหนึ่ง และในพระคัมภีร์บอกทำชั่วเพียงครั้งเดียว กฎนี้ ก็มีกฎว่าทำบาป เพียงครั้งเดียว เท่ากับบาปหมด

อาดัมทำบาปครั้งเดียว สูญสิ้นทุกอย่าง ก็คือได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อยกเลิกกฎเหล่านี้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้กฎนี้อยู่

กฎ ก็คือบอกว่าเราทำชั่ว เราเป็นคนชั่ว  เพราะอยู่ใต้กฎตรงนี้ ก็คือเป็นทาสของกฎนี้อยู่ พระเยซูมายกเลิกกฎ ถ้าท่านไม่เห็น ก็คือเราเป็นทาสกฎนี้อยู่ เราจึงบอกว่าเราเกิดมาใช้เวร ใช้กรรม  ถูกต้องเลย เกิดมาใช้เวรกรรม เกิดมา ก็เป็นทาสเวรกรรม เกิดมาก็เป็นคนชั่ว และก็กระทำชั่วตลอดไป ถูกต้อง เพราะว่าเกิดมามันเป็นเช่นนั้น  เราจึงอยู่ใต้กฎเหล่านี้  เพราะเราเป็นทาสของบาป เมื่อเป็นทาสของบาป เราก็อยู่ใต้กฎของธรรมบัญญัติ  และกฎธรรมบัญญัติ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ให้ธรรมบัญญัติเหล่านี้ เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป

กฎต่างๆ ที่พระเจ้าให้ไว้ ผ่านทางโมเสส หลักการจริงๆ คือต้องการให้มนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และเพื่อจะได้เป็นกฎที่มองเห็นอยู่ เพื่อจะประพฤติ ปฏิบัติตาม เพื่อจะได้ให้มีความทุกข์น้อย มีสันติสุข มีความสุขสบายกายสบายใจ  อยู่ร่วมกัน ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันได้บ้างเท่านั้นเอง แต่เป้าหมายหลัก คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป เนื่องจากกฎเหล่านี้ ถ้าไม่มีกฎ ก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองบาป แต่กฎเหล่านี้มีอยู่ จึงรู้ว่าตัวเองเป็นบาป ทั้งคนยิวและไม่ใช่คนยิว  ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป เพราะว่าไม่สามารถรักษากฎระเบียบได้หมด จะพยายามเท่าไรๆ ก็รักษาไม่หมด  ที่ไม่หมด ก็เพราะว่าตัวแกนจริงๆ คือวิญญาณของเขา เกิดมาในบาป เกิดมาเป็นทาส ถูกบาปบังคับ เป็นทาส แปลว่าถูกบังคับเคี่ยวเข็ญ ในภาษาไทย เรียกว่าใครเป็นเจ้าเข้าครอง ต้องบังคับขับไสเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป  ตามวิสัยเชิงเช่น ผู้เป็นนาย

เกิดมา ก็เป็นทาสเขา  ทาสของความบาป ความบาป ซึ่งเริ่มต้นมาจากมาร เอาเชื้อบาปมาให้กับมนุษย์ มนุษย์ตกเป็นทาสของความบาป บาปมันจึงบังคับเคี่ยวเข็ญให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เรียกว่าความชั่ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะออกกฎกระทำดีอย่างไรให้ทำตามพระองค์ มันจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราอย่างไร? เราก็ทำไม่ได้หมดหรอก เดี๋ยวเราก็พลาด เดี๋ยวเราก็ผิด เดี๋ยวเราก็ทำชั่ว เพราะว่าเราเป็นทาส ข้างในวิญญาณ เรามีพลังอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าพลังบาป ผลักดันให้เราทำการเป็นศัตรู ต่อต้านกับพระเจ้า ทำบาป เดี๋ยวก็ทำๆ เราจะพยายามสู้กับมันเท่าไร? เราก็ทำ เพราะเราเป็นทาสมันอยู่ ไม่มีวันเป็นอิสระหรอก สู้กับมันมากเท่าไร? ก็อาจจะทำได้มากเท่านั้น แต่ไม่มีวันครบถ้วนบริบูรณ์ หลุดจากการเป็นทาสได้  พระเยซูจึงต้องมายกเลิก พระเจ้าจึงต้องมายกเลิกมาช่วยเรา คือพาเราหลุดจากการเป็นทาสเลย ประกาศการเลิกทาสเลย

คิดถึงรัชกาลที่ 5 ที่เลิกทาสในประเทศ และนึกถึงลินคอนส์ ที่เลิกทาสในสมัยยุคอเมริกาเริ่มต้น เลิกทาส เหมือนเลย แสดงว่าก่อนหน้านี้ มีระบบทาสอยู่  ถูกไหม? ไม่อย่างนั้น คงไม่ต้องมาเลิกทาส ทาสในประเทศไทย ร.5 ทาสในอเมริกา สมัยลินคอนส์ ทาสในอเมริกา คือคนผิวดำ จากแอฟาริกัน ถูกจับมา แล้วก็ขายเป็นทาส เยี่ยงสัตว์ ในเมืองไทย ในสมัย ร.5 ทาสก็คือเหมือนเยี่ยงสัตว์  เพราะไม่มีชีวิตอยู่

“อ้าว! เขายังเป็นอยู่”

เขายังเป็นอยู่ แต่ชีวิตไม่ใช่ของเขา ตามกฎหมายการเป็นทาส เขาเรียกว่าคนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ชีวิตของเขา เจ้านายเป็นเจ้าของ มีทะเบียนอยู่เลยว่าคนนี้เราเป็นเจ้าของ เราจะทำอะไร? เหมือนกับอำแดง อำแดงสมัยก่อน แปลว่าอะไร? สมมติ …

“เราจะทำอย่างไรกับอำแดงป้อม ก็ได้ อำแดงป้อมเป็นทาสของเรา บันทึกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อำแดงป้อมมีลูก หลาน เหลน โหลน ก็ตกเป็นทาสของเราหมด เหมือนเราเลี้ยงสัตว์ไว้ แล้วสัตว์ออกลูกมา ก็เป็นของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น อำแดงป้อมเขาเหมือนตายไปแล้ว เขาไม่มีชีวิตอยู่ ชีวิตเป็นของเรา เรากำชีวิตเขาอยู่ สั่งอะไร ก็ต้องทำทุกอย่างยี่ยงทาส”

เรียกว่าเขานมัสการเจ้านายเขาอยู่ นมัสการผู้เป็นนายเขาอยู่ เรียกว่าเป็นทาสเขา ยอมจำนนทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แม้ชีวิต ก็เป็นของเขา

ในทางโลกวิญญาณ ก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์เกิดมา ก็เป็นเหมือนทาสสมัยลินคอนส์ เหมือนกับทาสสมัย ร.5 เหมือนกันเลย เกิดมาในตระกูลทาส  ก็เป็นทาสเขา  เกิดมาจากญาติพี่น้อง มาจากอำแดงป้อม ซึ่งเป็นทาส  ก็เป็นทาสเขาเลย เกิดมาปุ๊บ เขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย ชาวแอฟาริกัน ที่เกิดในอเมริกา ในสมัยก่อนลินคอนส์ ก็คือเกิดมา ก็เป็นทาสเขา ทาสในเรือนเบี้ย ก็เหมือนกัน เพราะเจ้านายซื้อเขามา ให้เป็นทาส จนกระทั่งลินคอนส์ และ ร.5 ประกาศการเลิกทาส ดีใจมาก เลิกทาส คืออะไร? คือทาสเหล่านั้น เป็นอิสระเลยนะ หลุดจากกฎของการเป็นทาสเลย กฎของการเป็นทาส ต้องทำอันนี้ ต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย ต้องทำงานกี่โมง? ทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกลงโทษ เฆี่ยน ออกไปจากสถานที่ที่บริเวณที่ทำงานไม่ได้เลย ออกไปเมื่อไร โดนเฆี่ยน หรือจะฆ่าให้ตาย ก็ได้ ตามความต้องการของเจ้านาย เพียงอย่างเดียวเลย นี่คือกฎของการเป็นทาส

ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยู่ในกฎของการเป็นทาส ทางฝ่ายวิญญาณ เรียกว่ากฎแห่งการกระทำดีและกระทำชั่ว  ค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ ตามกันนะ มันค่อนข้างต้องใช้วิญญาณ ในการฟัง ฟังไปบ่อยๆ เดี๋ยวท่านจะเข้าใจ พระเยซูมายกเลิกกฎทางวิญญาณตรงนี้

โคโลสี 2:14 “ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ  ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทานให้กับชาวยิว ผ่านทางโมเสส และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิวหนังสือธรรมบัญญัติ บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน) ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดเลย แม้จุดๆ เดียว กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ คือทำบาปต้องได้รับโทษ คือความพินาศในวิญญาณ (เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลยแม้แต่จุดเดียว) พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้ว บนไม้กางเขน (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์ ในการตายจากชีวิตเดิม ร่วมกับพระองค์ จากชีวิตเดิม ซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำตามบทธรรมบัญญัตินี้)

 

ในข้อ 14 ช่วงต้นๆ ระบุต่อมาว่าธรรมบัญญัติเหล่านี้ ที่บันทึกไว้ในหนังสือโมเสส และบันทึกไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย ได้บันทึกตรงนี้ว่า …

“ซึ่งมีบันทึกระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อในหนังสือธรรมบัญญัติ สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดใดๆ เลย แม้แต่จุดๆ เดียว”

ก็คือทำผิดครั้งเดียว ก็เท่ากับผิด โดนลงโทษ ก็คือเป็นคนบาป  แล้วมีใครที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีข้อตำหนิเลย ไม่มี เพราะเกิดมาเป็นทาส เป็นบาปอยู่แล้ว อย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อทำไม่ได้ แต่มีบัญญัติอยู่  ก็คือบัญญัติเหล่านี้เป็นเหมือนศัตรูต่อต้าน คอยที่จะฟ้องชีวิตเรา  ด้วยกฎของมันเอง ต่อต้านเรา พอเราจะทำดีปุ๊บ ข้างในไม่อยากจะทำ

จริงๆ จิตใต้สำนึกของมนุษย์ มีความดีงามของพระเจ้าอยู่ทุกคน เพราะวิญญาณของเราที่ตายอยู่นั้น เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า มีความคิด จิตใจ มีจิตใต้สำนึกที่อยากจะกระทำดีเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้ เพราะเนื่องจากตัวหัวใจจริงๆ  คือวิญญาณของเรา เป็นบาปอยู่ เป็นทาสของความชั่วร้ายอยู่ มันผลักดันให้เรากระทำในสิ่งที่ความคิด จิตใต้สำนึกเราอยากทำ แต่เราทำไม่ได้ พยายามทำ ก็อาจจะทำได้บ้าง แต่ทำๆ ไป เดี๋ยวมันก็ไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าวิญญาณข้างใน มันต่อต้านอยู่ตลอดเวลา

ตรงนี้ ข้อ 14 พระคัมภีร์จึงบันทึกว่ากฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูกับเรา  “เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่  นี่กำลังพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูจึงต้องมายกเลิกกฎเหล่านี้ พระเจ้าจึงต้องมาช่วยมนุษย์ พามนุษย์เป็นอิสระจากการเป็นทาสของกฎเหล่านี้ เพราะกฎการกระทำดี กระทำชั่ว กฎบัญญัติเหล่านี้ เป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ทำบาป ต้องได้รับโทษ ก็คือความพินาศในวิญญาณ เราจึงบอกตัวเองเสมอว่าเราเป็นคนบาป ต้องชดใช้กรรม เมื่อไรหมด ก็ไม่รู้

บาปตั้งแต่เมื่อไร? ถาม เราก็ตอบได้ด้วย บาปตั้งแต่ปางก่อน “ปางก่อน” แปลว่าในอดีต มันถูกต้องหมดเลย เพราะจิตใต้สำนึกเรารู้ว่านี่คือความจริงอะไรบางอย่างที่พระเจ้าใส่ไว้ วิญญาณเราอยากจะเป็นอิสระ เรารู้ว่าเราเกิดมาเป็นบาป  เราต้องชดใช้เวรกรรม เรารู้ว่าเราเป็นผู้ที่สมควรได้รับโทษ และเรารู้ว่าเราอยู่ในกฎของการกระทำดี ทำชั่ว คือพยายามทำดีที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่มันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างที่บอก เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลย แม้แต่จุดๆ เดียว จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่ามันต่อต้านชีวิตเรา

ตอนนี้มาร เข้ามามีบทบาทชัดเจน มารไม่ได้เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเราหรอก วิญญาณเราเป็นชั่วเป็นบาป ในพระคัมภีร์บอกมารมีหน้าที่เอามือชี้เรา และบอกต่อพระเจ้า แล้วก็บอกต่อเราว่า …

“แกเป็นคนบาป นี่เห็นไหมบาป แกทำดีอย่างไร ก็เป็นคนบาป”

คอยซ้ำเติม คอยกล่าวโทษ มารซาตานมีอีกชื่อหนึ่ง ในความหมายนี้ว่า “เป็นผู้กล่าวโทษ” ซาตาน แปลว่าผู้กล่าวโทษ …

“นี่ เธอบาปๆ”

มารเป็นผู้มีหน้าที่กล่าวโทษ ย้ำยืนยันว่าเราเป็นบาป เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม ตามบัญญัติ ที่พระเจ้าได้เขียนเอาไว้ได้ โดยไม่ละเมิด แม้แต่จุดๆ เดียว เพราะเราเกิดมาเป็นคนบาป ในวิญญาณก็บาป มีธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่แล้ว

“ต่อต้านพระเจ้า” คือต่อต้านกับความดีงาม เป็นคนอธรรม คนชั่วอยู่แล้ว มันมีแนวโน้ม 100% ที่จะไปทำชั่วอยู่แล้ว พยายามฝืนมันเท่าไรได้ไหม? ได้ คนไหนฝืนมาก ก็ได้มาก แต่จะได้มากเท่าไร มันก็ฝืนไปไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะข้างในลึกๆ ตัวแกนมันบาป มีพลังต่อต้านอยู่ข้างใน

ในหนังสือกาลาเทีย 3:10-11 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่าถ้ายังอยู่ในกฎนี้อยู่ กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งความบาป การกระทำ ความประพฤติดีหรือชั่ว ถ้าเรายังอยู่ในกฎนี้อยู่ เราตายลูกเดียว เราถูกสาปแช่ง พระคัมภีร์จะบันทึกไว้อย่างนี้เลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ย้ำอีกที “นี่คือความจริง ความรู้ในโลกวิญญาณ” ต้องคอยย้ำอยู่เรื่อยๆ

กาลาเทีย 3:10-11 “10 เพราะว่า​คน​ทั้ง​หลาย  ​ซึ่ง​พึ่ง​การ​ประพฤติ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​  ก็​ถูก​​สาปแช่ง เพราะ​พระ​คัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘ทุก​คน​ที่​ไม่ได้​ประพฤติ​ตาม​​ข้อความทุกข้อ ที่​เขียน​ไว้​ในหนังสือ​ธรรมบัญญัติ​ ก็​ถูก​สาป​แช่ง’ 11 เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า  ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ”

 

“ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ด้วยธรรมบัญญัติ”  ก็คือธรรมบัญญัติไม่มีทางทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ นอกจากความเชื่อเท่านั้น

“เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง’ ให้พินาศในบึงไฟนรก”

พินาศตั้งแต่ก่อนบึงไฟนรก ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และพินาศหลังความตาย ก็ไปอยู่ที่บึงไฟนรก เพราะว่าเขาอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำนี้อยู่

“เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง” ก็คือใครก็ตาม มนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ดำเนินชีวิต โดยพึ่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ก็คือกฎของศีลธรรม ก็คือกฎแห่งการทำดีและทำชั่ว  ผมไม่ได้พูดด้วยตัวเอง  พูดจากถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เลย

มนุษย์ทั้งหลายที่พึ่งการกระทำดีและกระทำชั่ว สั่งสมความดี ละความชั่วทั้งหลาย ก็ถูกสาปแช่ง ไม่อยากพูดเลย ผมรู้ว่าหลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ แล้วก็นึกว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? ผมจึงย้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสติปัญญา เป็นเรื่องความรู้ทางโลกวิญญาณ

ไม่มีทางที่เราจะใช้สติปัญญา หรือความคิด หรือตรรกะแบบมนุษย์มาเข้าใจได้  ไม่มีทาง  มันต้องเริ่มต้นด้วย สนใจ เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วค่อยๆ อธิษฐาน ค่อยๆ มองไป รับฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจเองว่ามันคืออะไร? ตามที่ผมบอก ชัดเจนเลย

พระเยซูจึงต้องมายกเลิกกฎเหล่านี้ … กฎเหล่านี้ คือกฎแห่งการกระทำตามบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำตามความดี ความชั่ว ยกเลิกกฎเหล่านี้ เราดูในยากอบอีกข้อหนึ่ง  ก็ได้ระบุอย่างนี้เหมือนกันเลยว่ากฎเหล่านี้มันเป็นอันตรายกับเราอย่างไร? มันฆ่าเราโดยวิธีอะไร? ลองอ่านดู ยากอบ 2:10 …

ยากอบ 2:10 “เพราะว่าใครที่รักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด”

 

เห็นไหม? มนุษย์คนใดก็ตาม รักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียวเอง คนนั้นก็ทำผิด  ตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ผิดข้อเดียว ก็สอบตก พูดง่ายๆ ผู้ใดจะเข้าสอบด้วยตนเอง ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติด้วยตนเอง  พึ่งพาการกระทำของตนเอง  ต้องสอบได้ครบ 100 คะแนน ผิดข้อเดียว ก็ถือว่าสอบตก ถูกหรือไม่ถูก? อ่านตาม แล้วฟังที่ผมอธิบายไปด้วย

ผู้ใดที่คิดว่ากฎศีลธรรมนั้นดี และจะทำให้เราไปสวรรค์ ลด ละ กิเลสได้เยอะ จนกระทั่งเราหมดกิเลสเลย ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณต้องทำได้ตามนั้นจริงๆ ครบหมดเลย แม้คิด ก็เป็นกิเลสอันหนึ่งแล้ว มันจะทันไหม? ที่หมดลมหายใจบนโลกใบนี้ เหลืออีกไม่กี่ปี ท่านจะสู้กับมันด้วยความดีงาม จนไม่มีผิดอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว มีไหมโอกาส ไม่มีเลย เมื่อไม่มี ก็อาจจะถูกหลอกว่า …

“เมื่อตายไปแล้ว ก็จะทำใหม่ต่อ เพิ่มพูน สะสมความดีต่อไป วันหนึ่ง ชาติหนึ่งข้างหน้า จะได้หมดบาปสักทีหนึ่ง ถูกหรือไม่ถูก? และพระเยซูว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่ามนุษย์มีโอกาสครั้งเดียวเอง ก็คือเมื่อวิญญาณออกร่าง ท่านพินาศ ท่านก็พินาศอยู่ที่เดิม เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็คือเมื่อตาย ถ้าท่านยังอยู่ในกฎแห่งการกระทำดี ทำชั่วอยู่ ยังรักษาความดีงาม พึ่งในการกระทำดีของตัวเองอยู่ ท่านอยู่ในความตายอยู่ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ท่านก็อยู่ในความตายนั้น แล้วก็ไม่มีการมานั่งเกิดใหม่อีกแล้ว ไม่มี ไม่มีมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอะไรต่างๆ ไม่มี

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ผมพูดเองเลย อยากให้ท่านลองเอาไปศึกษาดู ถ้าท่านไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งแย้งว่าไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้พูดเองว่าเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มนุษย์เอ๋ย จงฟัง ใครมีหู จงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด โลกวิญญาณมันเป็นเช่นนี้ แล้วท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณนั่นแหละ และโลกวิญญาณนี้จะอยู่ไปนิรันดร์

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าจึงไม่มีใครบาปกว่ากัน ถูกไหม? จากข้อความนี้ เราอ่านปุ๊บ เรารู้เลย ไม่มีใครบาปมากกว่ากัน บาป ก็คือสอบตก  ก็สอบตกหมด จะสอบได้ 99 คะแนน ตกไหม? ตก บางคนสอบได้แค่ 50 คะแนน ตกไหม? ก็ตกเหมือนกัน สำหรับพระเจ้า ถ้าไม่ได้ 100 ก็ตก พระเจ้าไม่ได้มานั่งมองว่าคนนี้น่าเห็นใจ ได้ตั้ง 98  ตก คนนี้สมน้ำหน้า ได้แค่ 1 คะแนนเอง ตก พระเจ้าไม่ได้มาคิดอย่างนั้น เกณฑ์ของพระเจ้าในการตัดสิน ก็คือตก จบแล้ว เกณฑ์วัด ครบ 100 ขึ้น ต่ำกว่าร้อยตก ไม่มีมาก มีน้อย แต่หลักการของโลกใบนี้ เห็นไหม? สติปัญญาของโลกนี้ มนุษย์ทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของการกระทำดีและทำชั่วใช่ไหม?  กฎแห่งศีลธรรม ยิ่งทำดีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าเราทำดีมากกว่าคนอื่นเขา เราต้องได้ดี

การทำดี ได้ดี มันมีจริงๆ นะ แต่มันมีเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เท่านั้น อย่าถูกหลอก และโลกใบนี้ ที่บอกว่าทำดีได้ดี มันก็ไมค่อยชัดเจนเลย แต่แนวโน้มไปได้ดี มีเยอะ ชัดเจน คืออย่างน้อย อยู่สุขสบาย ไม่ทุกข์กาย ทุกข์ใจมากจนเกินไปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่โลกใบนี้อยู่ในการสาปแช่ง อยู่ในความเสียหายแล้ว มันก็ทุกข์ธรรมดา แต่ถ้ารู้จักการกระทำดีมากๆ ผลบนโลกใบนี้มีไหม? มี ดีไหม? ดี แต่อย่างที่พระเยซูบอก ดี มันมีประโยชน์บ้าง แต่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับประโยชน์ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในกฎใหม่ ในวิญญาณในชีวิตนั้น มันมีประโยชน์มากกว่าเยอะ

มนุษย์บอกว่าทำดีได้ดี แล้วก็หวังว่าการทำดีนั้น มันจะไปเกิดประโยชน์ในทางวิญญาณ จะได้ดีด้วย มันคนละเรื่องกัน เขาบอกมันเป็นคนละเรื่องกัน กฎของวิญญาณ ก็กฎของวิญญาณ  กฎของเนื้อหนัง ระบบของโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น ก็อีกอย่างหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เป็นคนบาป มันคนละเรื่องกัน วันหนึ่งข้างหน้า กฎของแรงดึงดูดของโลกจะหมดไปไหม? หมด เมื่อโลกจบไป อันนี้มันก็หมดไปด้วย

กฎของร่างกาย เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา มีระบบเผาผลาญในร่างกายมีไหม? มี ถ้าท่านไม่มีออกซิเจนท่านก็ตาย นี่มันคือละเมิดกฎ แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะโลกที่ตามองเห็น หรือเรียกว่าโลกเนื้อหนัง ที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น ในโลกวิญญาณมันคนละเรื่องกันเลย ตายในระบบของโลก ในระบบเนื้อหนัง ก็อีกแบบหนึ่ง ตายในโลกวิญญาณ ก็อีกแบบหนึ่ง อย่าเอาการกระทำของบนโลกวัตถุนี้ ข้ามไปใช้ในโลกวิญญาณ  ซึ่งมันใช้ไม่ได้

และอะไรอยู่คงทนถาวรกว่า? โลกวิญญาณอยู่ถาวรกว่า เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้แหละ ถูกไหม? คิดตามโลกมนุษย์ ก็คือคนนี้ รักษากฎได้มาก ได้ 99 ได้รับการสรรเสริญ ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรต่างๆ พระเยซูบอกไม่? สอบตกเหมือนกัน  และคนที่ทำดี ได้ 99 ก็จะมองคนที่ทำดีได้ แค่ 10 คะแนน แบบดูถูกเหยียดหยาม

นี่คือท่าทีของชาวยิวในสมัยอดีต ที่มองพวกชาวต่างชาติ เป็นอย่างนี้แหละว่าเราชนต่างชาติ รู้จักพระเจ้าก็ไม่รู้จัก เป็นพวกป่าเถื่อน ศีลธรรมก็ไม่มี ปฏิบัติก็น้อย  “ปฏิบัติ” หมายถึงนมัสการพระเจ้า ด้วยพิธีกรรมต่างๆ ศีลธรรมก็น้อยกว่าเขา พวกนี้ เขาเรียกว่าโอกาสที่จะเจอพระเจ้า ได้รับความรอดแทบไม่มี อะไรอย่างนี้ แต่ของเขาสูงกว่าเยอะ แล้วตัวพวกเขาเอง ก็แบ่งพวกเอง คนทำได้เยอะๆ  พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกเคร่งศาสนาต่างๆ ก็มองคนเก็บภาษี หรือพวกหญิงโสเภณีว่าพวกนี้อยู่ห่างไกลสวรรค์มาก  เพราะทำบาปเยอะ  ส่วนพวกเราทำบาปน้อย ได้คะแนนเยอะ เพราะฉะนั้น เราอยู่ใกล้สวรรค์มากกว่า เราเป็นคนชอบธรรม พระเยซูบอกว่าพวกหน้าซื่อ ใจคด ไม่รู้เหรอว่าข้างในเป็นอย่างไร? ข้างในกับเขาเท่ากัน ไปบอกเขาเป็นหญิงโสเภณี ท่านข้างในยิ่งกว่าหญิงโสเภณีอีก เพราะเป็นหญิงโสเภณีที่ไม่รู้ตัว หญิงโสเภณีที่ท่านเห็นนั้น เขายังรู้ตัวว่าเขาเป็นหญิงโสเภณี เขาเป็นคนบาป แต่ท่านเป็นหญิงโสเภณี เป็นผู้หน้าซื่อใจคด และไม่รู้ตัวเองอีก แถมไปสอนคนอื่นอีกว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม มันบาปเท่ากันนั่นแหละ พระเยซูมาอธิบายให้ฟังอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าทั้งสองอันเป็นความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณ ก็เป็นความจริง ความจริงในโลกวัตถุก็เป็นความจริง ความจริงในโลกเนื้อหนังก็เป็นความจริง ถ้าเผื่อเอามาใช้ผิดที่ มันก็จะต่อต้านกัน

ข้อที่ 14 ตรงประโยคสุดท้าย  ที่บอกว่า “พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

ขอบคุณพระเจ้า ตรึงไว้บนกางเขน ตรึงอย่างไร? ก็เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน นึกถึงภาพของพระเยซู ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ 1 คน เหมือนเราทั้งหลายเลย เกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา คลอดจากครรภ์มารดา เหมือนเรา มีเลือด มีเนื้อเหมือนกัน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จะได้เป็นตัวแทนของเรา มนุษยชาติ ในการตายพร้อมกับพระองค์ ตายจากชีวิตเดิมที่เป็นทาสเขา ตายจากชีวิตเดิม ตายเมื่อไร? จะได้ตายพร้อมกับพระองค์เลย

ย้ำอีกที เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตายพร้อมพระองค์ จากชีวิตเดิม ซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำตามบทบัญญัตินี้ ที่เราอธิบาย มาตอนต้น ที่ทำดีอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกจากมัน วิธีหลุดออกจากมัน คือต้องไปตายซะ มนุษย์เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว เป็นคนบาป โดยกำเนิด ฟังให้ดีๆ ตั้งแต่แกนชีวิต  ตั้งแต่เกิด และว่ากันตามจริง ตั้งแต่ก่อนเกิดด้วยซ้ำ ตั้งแต่อยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษของเรา ซึ่งก็เปรียบเหมือนตัวแทนของเรา ถูกหรือไม่ถูก?

พอเราเกิดในอาดัมมาปั๊บ DNA ในอาดัม เราก็เป็นบาปทันทีเลย ต่อให้ทำดีอย่างไร ตัวก็เป็นบาป พระเจ้ามาช่วยมนุษย์ โดยวิธีการอะไร? มาสอนให้ทำดีมากๆ หรือเปล่าเลย พระเยซูมา เพื่อให้กำลังเราทำดีเยอะๆ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก มาทำอะไร? มีทางเดียวเท่านั้น  ที่จะช่วยเหลือมนุษย์เหล่านี้ได้ เพราะเขาเกิดมาบาป ก็ต้องให้เขาตาย ตัวบาปตายไปเลย ตายแล้วจะได้เกิดใหม่ได้ เกิดใหม่ไม่ได้ ถ้าเผื่อไม่ตายก่อน เป็นคนบาปอยู่ดีๆ แล้วไปเกิดใหม่ได้ไหม? ไม่ได้

การที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นการกระทำ เป็นหัวหน้าของมนุษยชาติ เพื่อแบกรับเอาความบาป ความชั่วร้ายทั้งหลายของมนุษย์ไว้ที่ตัวพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป  มนุษย์ทั้งหลายได้ตายจากบาป โดยว่ากันตามจริงแล้ว ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับการฆ่าให้ตาย พร้อมกับพระองค์ ฆ่าให้ตายจากอะไร? จากชีวิตเดิมที่อยู่ในบาป ในอาดัมแล้ว แต่ว่ามันจะเกิดผลขึ้น ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้น ได้รับรู้ความจริงเรื่องนี้ แล้วยอมรับว่ามันเป็นจริง รับสิทธิของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ที่ไม้กางเขน มันจึงจะเกิดผลไง

เพราะเหตุนี้ พระเยซูจึงต้องมาประกาศบอกก่อน และบอกจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ว่าพระองค์กระทำสิ่งนี้ ประกาศให้มนุษย์ได้รู้ข่าวดีนี้ ข่าวดีหรือข่าวร้าย มนุษย์สามารถเป็นอิสระหรือได้เป็นอิสระแล้ว จากกฎของการกระทำดี กระทำชั่ว กฎของการเป็นคนบาป  เป็นทาสเขา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย มีเจ้าหน้าที่ไปประกาศให้ชาวแอฟาริกันและชาวไทยในสมัย ร.5 และลินคอนส์ตอนนั้นว่าเขาประกาศเลิกทาสแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ข่าวดีหรือข่าวร้าย? ข่าวดี นี่แหละสิ่งที่บอกว่าข่าวดีในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีในสมัย ร.5 ข่าวดีในสมัยลินคอนส์มาถึงแล้ว แต่ถ้าเขาไม่รับ ในข่าวดีนี้ เขาก็ยังยอมเป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ก็ถูกเจ้านายหลอกใช้เขาเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เขาเป็นอิสระแล้ว แต่เขาไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ยอมใช้สิทธิของเขา พระเยซูมาทำสิ่งนี้

ตรงนี้เรียกว่ายกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ นี่เรียกว่าเป็นอิสระ จากการเป็นคนบาป ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเองอีกต่อไป ย้ายจากกฎของการพึ่งตนเอง มาสู่กฎใหม่ เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เรียกว่ากฎพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งการกระทำของตนเองอีกแล้ว ต่อให้ทำได้ 0 คะแนน ก็ผ่าน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ เป็นเรื่องจริงๆ เลย

ในหนังสือโรมสรุปว่าถ้าเรายังอยู่ในอาดัมเหมือนเดิม ในโลกวิญญาณ เราทำบาปครั้งเดียวก็ถูกลงโทษแล้ว แล้วมีใครบ้างไม่ทำ ก็ทำทุกคนแหละ ก็เลยเป็นคนบาป แต่พอมาอยู่กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เกิดในโลกวิญญาณ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จากอดีตอยู่ในอาดัม ทำบาปครั้งเดียว ก็เป็นคนบาป แต่พอถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทำบาปหลายๆ ครั้ง ก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

ถามว่าทำบาปหลายๆ ครั้ง แล้วยังเป็นคนไม่บาปอยู่ เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ได้อย่างไร? ก็มันเกิดใหม่มาเป็นผู้ชอบธรรมไง ในอดีต ทำบาปครั้งเดียวเป็นบาป ก็มันเกิดมาบาปไง แสดงว่ามันอยู่ที่วิญญาณข้างใน มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก นี่คือกฎ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ท่านเลือกเอาก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้น พระเยซูมาเลิกกฎการเป็นทาสเหล่านี้แล้ว เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่ามันมีอยู่ 2 กฎเท่านั้น คือ … กฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ กฎแห่งศีลธรรม การทำดี ทำชั่ว

และกฎแห่งการเชื่อและวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์

ตอนนี้มี 2 อันให้เลือก  เพราะพระเยซูมาเลิกกฎ  แสดงว่ากฎเก่ามันยังอยู่ แต่พระองค์มาเลิกแล้ว    เมื่อเลิกแล้ว   ท่านจะเชื่อใคร?    เมื่อ ร.5 ยกเลิกกฎแห่งการเป็นทาสแล้ว   เมื่อ ลินคอนส์ยกเลิกการเป็นทาสแล้ว ท่านจะเชื่อใคร? ท่านจะเชื่อ ร.5 หรือเชื่อลินคอนส์ดี หรือจะเชื่อเจ้านายเดิม ที่บอกว่า …

“ไม่มีการเลิกจริง กฎนี้ ยังใช้อยู่”

ลักษณะเดียวกัน ท่านจะยอมอยู่ในกฎเดิม กฎแห่งเวรกรรม ต้องชดใช้ ก็คือกฎแห่งการทำดี ทำชั่ว ต้องชดใช้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ย้ำอีกที ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ผลในโลกวิญญาณ กฎเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านพึ่งพาตนเอง วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อท่านหมดลม ท่านก็จะพินาศ เพราะพึ่งตนเอง ไม่มีทางที่ท่านจะทำได้ทุกจุด ทุกขีดอยู่แล้ว ท่านเป็นทาสของความบาปอยู่แล้ว หรือท่านจะยอมเปลี่ยนมาอยู่ในกฎพึ่งพระเยซูคริสต์ ซึ่งในโลกวิญญาณ คือเมื่อพึ่งในพระเยซูคริสต์ ก็เกิดผลในโลกวิญญาณเหมือนกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบนโลกวัตถุ  เมื่อท่านเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เมื่อวันที่วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านก็อยู่ที่เดิม  ท่านก็เป็นคนชอบธรรมเหมือนเดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิมกับพระเจ้า และจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์

นี่คือความจริง ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ ท่านเลือกเอา มี 2 กฎเท่านั้น จะเชื่อตัวเองต่อไป หรือจะเชื่อพระเยซู จะพึ่งในการกระทำดีของตนเองต่อไป หรือจะพึ่งในการกระทำดีของพระเยซู จะพยายามไขว่คว้าไปหาสวรรค์ด้วยตัวท่านเองว่าทำดี ได้ดี ฉันจะเอาความดีนี้ ไปส่งผลในสวรรค์ให้ได้ ให้มันเกิดขึ้นในสวรรค์ให้ได้ พยายาม ท่านก็จะพบว่าความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่นตลอดไป จนหมดลมหายใจ ท่านก็ยังจะพยายามอยู่ไปถึงชาติหน้า ชาติโน้น ชาตินี้ ก็ว่าไป ถ้าท่านไม่ละความพยายาม แต่ถ้าท่านละความพยายาม แล้วมาพึ่งพระเยซู ท่านจะได้พักและหายเหนื่อยตาม ที่พระเยซูบอก

พักหายเหนื่อย หมายถึงวิญญาณท่านจะได้พักหายเหนื่อย และเป็นสุขทางวิญญาณ เพราะวิญญาณท่านจะรู้ว่าท่านอยู่ในความรอด จากการเป็นคนบาป  วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเหมือนเดิม ท่านต้องเลือกเอาว่าจะอยู่ในกฎไหน? กฎที่จะพึ่งพาตนเอง ในการไปสวรรค์ด้วยตนเอง พึ่งพาการกระทำดี สั่งสมการกระทำดี หรือจะพึ่งพระเยซูในการกระทำของพระเยซูอย่างเดียว ไม่พึ่งตนเอง จบเลย ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว บนโลกใบนี้ …

“ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันในใจในโลกวิญญาณว่าฉันเชื่อพระเยซู ฉันไปสวรรค์แน่ ในโลกใบนี้ ฉันจะทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะมันทำให้มีความสุข พระเจ้าก็มีความสุข ฉันก็มีความสุข ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเอง”

แต่ในโลกวิญญาณคนละเรื่องกัน ถ้าท่านไม่เอาตามนี้ ท่านยังคิดที่จะพยายามสั่งสมความดี พึ่งบารมีของตนเอง เดี๋ยวก็ผิด เดี๋ยวก็พลาด มันเหนื่อยนะ และพระเยซูบอกว่าอย่างไร? บอกท่านพยายามอย่างนี้ต่อไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น  อย่างผมยังบอกว่าไม่มีทางสำเร็จได้ พระเยซูตรัสหนักกว่านั้น ให้เห็นชัดเลยว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ถ้าท่านพยายามทำด้วยตนเอง และให้ดีบริบูรณ์ ครบถ้วน 100% เพราะว่าจะเปรียบเหมือน เอาอูฐเข้ารูเข็ม อย่าว่าแต่อูฐเลย เอาเม็ดแตงโมเข้ารูเข็ม ก็ไม่ไหวแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย เอาอูฐเข้ารูเข็ม พึ่งในความดี ความชอบธรรมของตัวเอง แล้วจะไปสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้เลย สาวกก็ถามว่าแล้วใครจะทำได้ล่ะ เข้าสวรรค์ ขนาดทำแบบฟาริสี  ทำตั้งเยอะ  เคร่งศาสนาตั้งมาก  ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเยอะเลย ยังไม่ได้ไปสวรรค์อย่างนี้ และใครจะทำได้ พระเยซูบอก สำหรับมนุษย์ ก็คือมนุษย์พยายามทำ อย่างไรก็ไม่ได้หรอก มันเหลือกำลัง เพราะว่าเป็นคนบาป แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ก็คือมาเชื่อในพระเยซู เป็นไปได้ ให้คุณบังเกิดใหม่ มาเชื่อพระเยซู แค่นั้น คุณก็ได้บังเกิดใหม่ มันง่ายนิดเดียว จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

นี่คือสิ่งที่สำคัญ เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ก็คือมันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ เมื่อท่านรับสิทธิของท่าน เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่ามันจะเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด ไม่ใช่รอให้ตาย แล้วจึงจะเกิดขึ้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตัดสินใจเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนกฎ ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาตนเอง  และมาพึ่งพระเยซูอย่างเดียว เชื่อและวางใจในพระเยซู ในโลกวิญญาณก็จะเกิดอย่างที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ ทันที ท่านจะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ทันที กฎนี้มีชื่อว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ท่านจะถูกย้ายออกจากกฎของความบาปและความตาย มาอยู่ในกฎของพระเยซูคริสต์ ท่านจะถูกย้ายออกจากอาณาจักรวิญญาณที่เรียกว่าความพินาศ เรียกว่าความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าทันที เกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ เห็นไหม? ในโลกวิญญาณ กำกับไว้ และโลกวิญญาณมันอยู่ตลอดไป เมื่อทิ้งร่างกายนี้ไป ท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณเหมือนเดิม ท่านก็อยู่ในที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถึงพิสูจน์ เมื่อท่านรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันจะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านทันที และท่านจะรับรู้ได้ โดยวิญญาณของท่านเองว่าใช่แล้ว ที่เคยทำอะไรมาในอดีต ที่พึ่งพาตนเอง เพื่อจะไปได้ผลในโลกวิญญาณ มันก็จะหยุดไปเลย มันก็จะเลิกทำ ท่านเชื่ออะไรก็ตาม ท่านทำอะไรก็ตาม ที่ท่านคิดว่ามันจะส่งผลในโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างว่าทำความดีอย่างนี้ไว้นะ ซื้อโลงศพเอาไว้ ให้กับคนอนาถา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ ท่านก็จะเลิกทำ แต่คำว่าเลิกทำ คือเลิกทำด้วยเหตุผลที่บอกว่าทำ เพื่อจะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านจะทำเหมือนกัน ซื้อเหมือนกัน แต่ซื้อ เพื่อเห็นแก่ความเมตตาต่อคนยากไร้ ที่ไม่สามารถมีกำลังจะซื้อโลงศพได้  พอเข้าใจไหม?

มันจะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านเอง ท่านจะเลิกปล่อยปลา ปล่อยเต่า เพื่อที่จะไปสวรรค์ พอเข้าใจใช่ไหม?  แต่ท่านจะมีเมตตาต่อสัตว์ตามปกติวิสัย เพราะคนจะมีเมตตามากขึ้น ท่านจะลด เลิก ละ กิเลส ไม่ใช่ท่านลด ละ เลิกกิเลส เพื่อจะไปสวรรค์ แต่ท่านเลิก ละ กิเลส เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ท่านเลยเลิกนิสัยเก่า  เพราะว่านิสัยใหม่ของท่าน ตัวใหม่ของท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด นี่มันจะเป็นอย่างนี้

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่ผมพูดนี้ มันเกิดขึ้นทันทีที่ในโลกวิญญาณ และมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ ในขณะนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวิญญาณเราออกจากร่างนี้ เรียกว่าตาย ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป (เป็นไปทั้ง 2 อย่าง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในกฎไหน มันก็จะเป็นอย่างนั้น) เพราะฉะนั้น ท่านจะอยู่ในความพินาศตลอดไป  หรือจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับท่านตัดสินใจ ด้วยตัวท่านเองจริงๆ  ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรท่านได้แล้ว ผมก็ได้แค่ประกาศข่าวดีให้กับท่านเท่านั้นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

กฎฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน มนุษย์ลอยคอยู่ท่ามกลางทะเลความบาป ด้วยกฎศีลธรรมดีและชั่วที่ถูกเขียนอยู่ในจิตใต้สำนึก  ไม่ช้าไม่นานก็ถูกดูดจมลงในบาป  เมื่อหมดแรง แม้มองไม่เห็น เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กฎของความบาปและความตาย กฎศีลธรรม กฎแห่งการกระทำดีหรือชั่ว กฎตาต่อตาฟันต่อฟันทำอะไรได้อย่างนั้น ก็ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อยู่จริงเกิดผลเสมอกับทุกคนบนโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นใครเชื้อชาติใดอยู่ที่ไหนดีหรือเลวเท่าเทียมกัน

 

โรม 5:12 “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตาย  จึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

โรม 5:15-19 “แต่ของประทานนั้น  ต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย  เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้า  และของประทาน  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก! และของประทานจากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว  และนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งและนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครอง  ผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น  ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว  คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น  การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว  ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว  ก็ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้  นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1346

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มกราคม  2022

เรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้มาคุยรายละเอียดเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เรื่องความจริงของพระเจ้าแบบเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ ที่เรียกกันว่าคำเทศนา คำบรรยาย การประกาศต่างๆ เหล่านี้ เรื่องของข่าวดี หรือเรื่องของพระเยซูคริสต์ หรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งนั้น ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ 99% แต่เป็น 100% เกินร้อยอีก เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ฉะนั้น อะไรที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกอย่าให้เราไปสนใจมาก อย่าไปฝากความหวังไว้มาก เหมือนบทเพลงเมื่อสักครู่นี้ เชื่อและวางใจในพระเยซู ให้พระองค์ทรงนำไป  ในทางโลก สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกให้เป็นอย่างนี้ แต่ในเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่เชื่อ และให้พระเยซูนำไป เพราะในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จแล้วนั้น มันต่างกันนะ

การเชื่อวางใจในพระเจ้า หมายถึงเชื่อและวางใจในชีวิตที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ วางใจพระองค์ เพราะเราไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น ทำไมต้องเกิดโควิดกับเรา เราก็อธิษฐานเยอะนะ เราก็เชื่อพระเจ้าจริงๆ เราก็ระมัดระวังแล้ว ทำไมเกิดขึ้นกับเรา ทำไมเป็นอย่างโน้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ยุคนี้จะล้างโลกด้วยโควิดอย่างนั้นหรือ? ใครเอาโควิดมา? วุ่นวายไปหมด พระเยซูบอกอย่าไปสนใจ เพราะมันเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วบนโลกใบนี้ พระเยซูบอก ตั้งแต่โลกวิญญาณ ที่ล้มลงไปในความบาป ความชั่วร้าย คำสาปแช่ง บนโลกใบนี้ มันเกิดมาตลอดแหละ โควิดมันเกิดมาตั้งหลายพันปีแล้ว แต่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นโรคภัยไข้เจ็บไปเรื่อยๆ

ภูเขาถล่มทลาย แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติทั้งหมด มันเกิดมาแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไร หนักกว่านี้ก็มี แล้วแต่บรรดามนุษย์จะไปค้นพบในอดีตว่ามันมีหลักฐาน มันเสียหายอย่างไร? เมืองทั้งเมืองจมลงไปในบาดาลก็มี โรคภัยไข้เจ็บที่รักษาไม่ได้เลย ฆาตชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้เกือบทั้งหมดก็มี โควิดก็เป็นอันหนึ่งเท่านั้นเอง ที่มันเกิดขึ้น จงรับรู้ความจริงเหล่านี้ ที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อย่าหวังอะไรกับโลกใบนี้เลยว่ามันจะมีแต่ความสุข เพราะพระองค์บอกว่ามันมีแต่ความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา พระองค์บอกแต่ว่าเราชนะโลกนี้แล้ว

“เรา” คือพระเยซูคริสต์ “พระเยซูคริสต์” คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ตอนนี้ ที่เราเชื่อ แล้วชนะอย่างไรล่ะ? ก็วางใจในพระองค์ พระองค์นำพา เหมือนบทเพลงที่เราร้องกัน พระองค์ก็นำพาเราวันต่อวันว่ากันไป วันนี้ไปเจออันนั้น เจอโควิด วันหน้าเจอโคขวิด วันต่อไปปีหน้าโน้นเจอควายขวิด เจออันโน้นเจออันนี้ ก็ว่ากันไป พระเยซูสถิตอยู่ในเรา นี่แหละ คือความไว้วางใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะดี จะเลว ที่เกิดขึ้น พระเยซูบอกว่า …

“เราจะสอนให้เจ้าเดิน เดินไปกับเรา ไม่ต้องกลัว แล้วเจ้าจะเรียนรู้ความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ได้”

ฟีลิปปี 4:13 บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  พระองค์จะเสริมกำลัง จะสอนเรา ให้เราได้เรียนรู้การเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก กับการเผชิญกับความสุขสบาย ความสุขสบายก็ต้องเผชิญนะ ไม่อย่างนั้น ไปหลงมันอีก ก็เป็นทุกข์ เพราะโลกใบนี้มันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราไม่มีทางจะเห็นเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันวิปริตไปแล้ว คนทำดีดูเหมือนน่าจะได้ดี แต่กลับได้ไม่ดีเยอะแยะไปหมด คนทำไม่ดี มันน่าจะไม่ได้ดี แต่ดูเหมือนเขาได้ดีบนโลกใบนี้เยอะแยะไปหมด แล้วเราจะว่าอย่างไร? ก็พระเยซูบอกแล้วอย่าไปมองตรงนั้น พระเยซูจะสอนเสมอว่าให้เรามองที่โลกวิญญาณ อย่ามองที่โลกวัตถุ อย่าแสวงหาสิ่งของที่เป็นโลกวัตถุ อย่าแสวงหาทรัพย์สมบัติที่เป็นสิ่งของที่มองเห็นได้ คือโลกวัตถุ

ทรัพย์สมบัติ คือสิ่งที่เราอยากได้ เราชอบ เราพอใจ เราเพ่งดู ก็คือสิ่งที่เราชอบ เพราะฉะนั้น อย่าชอบในสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงไป มันมีแต่ทุกข์ แต่ให้แสวงหาความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ โลกวิญญาณสำคัญกว่ามากเลย จงแสวงหาทรัพย์สมบัติในฝ่ายวิญญาณ จงแสวงหาทรัพย์สมบัติในสวรรค์

สวรรค์ คือโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และสถานที่เดียว ที่มีอยู่ในโลกวิญญาณ คือสวรรค์

สวรรค์ หมายถึงสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง มีชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ ให้แสวงหาความจริงในนั้น และเราจะมาประกาศให้ท่าน คือจะมาชี้แจงให้ท่าน จะมาบอกท่าน ถึงความจริงในโลกวิญญาณว่าในสวรรค์มันเป็นอย่างไร? เราจะมาเปิดตาท่าน ให้ท่านได้รู้ พระเยซูต้องการมาสอนเราอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเยซูคริสต์แล้วหรือไม่ก็ตาม ปลีกเวลาสักนิดหนึ่ง สนใจเรื่องของโลกวิญญาณ แสวงหาโลกวิญญาณ เรามาจากไหน? เราจะไปที่ไหน? เขาว่าอะไรกันบ้าง? มีหลักการความเชื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ อะไรบ้างที่พูดถึงโลกวิญญาณ มีใครบ้าง? มีหลักการในโลกวิญญาณ หรือความเชื่อตรงไหนบ้าง? ที่รับประกันว่าในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตบนโลกใบนี้สิ้นสุดเมื่อไร? โลกวิญญาณที่เราไปพบเจอหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร? การันตีว่ามันเป็นอย่างไร?  และเป็นสุข พ้นทุกข์นิรันดร์ได้ตามที่เขาการันตีหรือไม่? มีเหตุมีผลอย่างไร? เราควรจะเรียนรู้

นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศให้มนุษยชาติ พระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงรักมนุษย์มาก ต้องการมาช่วยมนุษย์ แต่สิ่งเดียวที่จะช่วยมนุษย์ได้ อันดับแรก คือต้องเปิดตาให้เขาได้รู้ก่อน เขาได้รู้ความจริงว่าที่เขามองไม่เห็นในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นอยู่กันอย่างไร? มันมีอะไรบ้างเกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ ก็เดินสะเปะสะปะ เหมือนคนตาบอด คนตาบอดไม่พอ ไปสอนคนตาบอดด้วยกัน ก็ไปกันใหญ่เลย แต่พระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง มาเปิดตาให้คนตาบอด

เพราะฉะนั้น พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ท่านลองสังเกตดูง่ายๆ ไม่ได้สอนอะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น  โลกใบนี้จะเกิดอะไรขึ้นอย่างไร? สรุปจบที่ง่ายๆ ว่ามันมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว และบนโลกใบนี้มีแต่ความเสื่อมโทรม สูญสิ้นไป มีแน่นอน แต่พระองค์มาเล่าเรื่อง บอกเรื่อง ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ คืออาณาจักรสวรรค์ คือโลกวิญญาณว่ามันเป็นเช่นไร? ดังนั้น ท่านจะสังเกตดูได้พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ไม่เหมือนศาสดาของผู้ก่อตั้งหลักข้อเชื่อต่างๆ บนโลกใบนี้เลย  ที่มีหลักการที่ดี สอนให้คนทำดี สอนให้คนมีศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ศีลธรรม คือกฎหมายในการอยู่ร่วมกัน ในฐานะมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ไม่เบียดเบียนกัน เอื้ออำนวยผลให้กันและกัน แบ่งปันกัน ช่วยเหลือกัน รักกัน สามัคคีกัน นี่คือหลักการทั่วๆ ไป ซึ่งก็แล้วแต่หลักข้อเชื่อต่างๆ ในแต่ละบุคคลที่ได้ค้นพบ แล้วก็ตั้งเป็นหลักการขึ้นมา แล้วก็มีผู้ติดตามเชื่อถือมากมาย ก็คือกฎระเบียบในด้านศีลธรรมว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนั้นดี ทำอย่างโน้นดี อย่าทำอย่างนี้นะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เยอะแยะ เขียนกันเป็นร้อยๆ ข้อ แล้วก็ใช้เวลาสอนกันเป็นแบบหลายสิบปีบนโลกใบนี้ ก่อนที่ผู้สอนผู้นั้นจะจากโลกนี้ไป แต่เราลองนึกถึงพระเยซูคริสต์สิ

พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า  ซึ่งมนุษย์เราปัจจุบันไม่รู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็จะบอกว่าเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา หรือเป็นศาสดาของหลักข้อเชื่อหนึ่ง ที่เรียกว่าคริสเตียน เป็นศาสดา เป็นผู้สอนศาสนา ศาสนา คือกฎของศีลธรรม ลองคิดดู พระเยซูคริสต์มาสอนศีลธรรมหรือเปล่า?  มาสอนกฎแห่งศีลธรรมไหม?  ถ้าพระองค์มาสอนกฎแห่งศีลธรรม ไม่พอสอนหรอก 3 ปีเอง เดินอยู่บนโลกใบนี้ เฉพาะตอนสอน ตอนที่เป็นคนธรรมดา เรียนรู้จักการเป็นมนุษย์ 30 ปีไม่ได้ทำอะไร เป็นเหมือนคนธรรมดา แต่เริ่มประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และประกาศความจริงในเรื่องโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? 3 ปีเอง มีไม่กี่ข้อ แสดงว่าไม่ได้มาประกาศในเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาประกาศเหมือนกับผู้สอนคนอื่นๆ ที่ได้เคยประกาศศีลธรรมมาเยอะแยะแล้ว ซึ่งดีนะ ย้ำอีกทีหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดี จำเป็นสำหรับมนุษย์มาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าโลกนี้ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอะไรต่างๆ ป่านนี้พวกเราคงลำบากกว่านี้เยอะ

คราวนี้มาพูดถึงพระเยซูว่า 3 ปี พระองค์มาทำอะไร? ถ้าไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำความดี แล้วพระองค์สอนอะไร? พระเยซูสอนเราไหมว่าให้เราทำดีตรงนี้ อย่าทำตรงนี้ ควรทำตรงนี้ ตรงนี้ไม่ควรทำ สอนเราไหมว่าอย่าโลภนะ ถ้าโลภก็จะลำบาก สอนเราไหมว่าอย่าโกหกนะ สอนเราไหมว่าอย่าฆ่าคนนะ ท่านอาจจะคิดมีนะ แต่ผมอยากจะบอกท่านว่าไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนท่านอย่าฆ่าคน เพราะท่านทราบอยู่แล้ว ท่านไม่ทำอยู่แล้ว ใครๆ ก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาสอนแล้ว มันอยู่ในใจของท่านแล้ว ไม่ฆ่าคน ไม่ทำลายซึ่งกันและกัน มันอยู่ในใจของท่าน อยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ท่านรู้ด้วยตัวท่านเอง ไม่มีใครมาสอน ท่านก็รู้ ผู้ที่สอนเรื่องศีลธรรม ก็คือสอนซ้ำในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้วนั่นเอง อย่ากินเหล้าเมายานะ ท่านรู้อยู่แล้ว กินเหล้าเมายามันไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก จริงไหม? พระเยซูจึงไม่มาสอนในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้ว แล้วมาทำอะไร ไม่สอน มาประกาศบอกความจริงว่าในโลกวิญญาณมีอะไร? สรุป มีแค่ 4 อย่างเท่านั้นเอง ที่พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี แต่เฉพาะ 3 ปีนี้ได้ประกาศถึงเรื่องความจริงบนโลกวิญญาณ ตั้งใจฟังให้ดีในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น พระเยซูมาถึงบอกเลยในโลกวิญญาณ คือ

(1) มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป มนุษย์ทุกคนถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า มนุษย์ทุกคนทำอย่างไรก็บาป เพราะว่าเกิดมาเป็นบาปเลย ต้นตอ ชีวิตของมนุษย์ คือวิญญาณนั้น เป็นบาป ทำอะไรก็บาป ไม่มีทางเป็นคนดีได้เลย

พระองค์กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ ตัวแกนชีวิตจริงๆ เป็นวิญญาณ และวิญญาณนั้นเป็นบาป

(2) เพราะฉะนั้น เธอเป็นบาป เธอทำดีให้ตาย ก็ยังเป็นบาปอยู่นั่นแหละ ฟังให้ดี เธอทำดีให้ตาย เธอก็ยังเป็นบาปอยู่ เธอจะรักษาบทบัญญัติ รักษากฎแห่งศีลธรรมอย่างดีมากมายอย่างไร? ก็ไม่มีวันได้ 100% หรอก เธอต้องพลาดทำบาปแน่นอน เพราะว่าข้างในมันเป็นบาปอยู่ ทำอย่างไรก็เป็นบาป เกิดมาเป็นบาป ทำอย่างไรก็เป็นบาป

(3) แล้วช่วยตัวเองให้พ้นจากบาปไม่ได้ คือช่วยไม่ได้ แล้วจะให้เราทำอะไรล่ะ มนุษย์ทั้งหลาย ก็คงถามในใจ ในเมื่อเราสร้างความดีงาม ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ เพราะข้างในเป็นบาป และต้องทำอย่างไร?

พระเยซูเลยบอกว่า … “เมื่อเธอช่วยตัวเองไม่ได้ เธอก็ต้องมาพึ่งเรา เราคือพระเจ้า”

พระเยซูกำลังมาบอกว่า … “เราช่วยเธอได้ เราคือพระเจ้าไง”

พระองค์ก็จะมาประกาศ และทำอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้านะ จึงทำสิ่งนี้ได้ ทำให้เธอจากการเป็นคนบาปในวิญญาณ ให้เป็นคนดีได้ ซึ่งเธอทำเองไม่ได้ แต่ถ้ามาพึ่งพระเยซู พระเยซูบอกอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ เมื่อมากับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ พระเยซูบอกว่าสำหรับมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าสวรรค์ด้วยตัวของเขาเอง แต่สำหรับพระเจ้า อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ พระองค์หมายถึงตัวพระองค์เอง เป็นผู้นั้นแหละ ผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายรอคอยมาตลอดว่าจะมาช่วยเรา ตามที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะมาล่วงหน้า

พระเยซูมาประกาศ 3 ปีมาพูดอยู่แค่นี้ “มาพึ่งในเราสิ วางใจในเรา เราช่วยให้ท่านเกิดใหม่ได้”

(4) เล่าให้ฟังว่าเมื่อวางใจในเราแล้ว เราจะทำให้เจ้าเกิดใหม่ แล้วเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร? เกิดใหม่ ก็คือวิญญาณท่านจะบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วน 100% อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์

จบ แค่นี้เอง พระเยซูมาบนโลกใบนี้ และประกาศบอกความจริงให้มนุษย์ได้ทราบ และบอกด้วยซ้ำไปว่าความจริงเหล่านี้ จะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงเหล่านี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นอิสระ ความจริงเหล่านี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ถูกหลอก ให้ไปวางใจ ไปยึดมั่น ไปถือมั่นในสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นความดีหรือความชั่ว หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นก็ตาม ไปยึดติดมัน ก็ถูกหลอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตามพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ที่พูดนี้ ต้องการให้ท่านที่เชื่อแล้ว มองเห็นแล้ว ก็เอเมน มีความชื่นชมยินดี มีความหวังชัดเจน สำหรับคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็พูดเพื่อให้ท่านได้คิด ไตร่ตรอง อย่าคิดปฏิเสธ ส่วนคนที่ต่อต้าน ที่พูดว่า …

“อะไร พูดโง่ๆ ไม่มีเหตุมีผลเลย โลกวิญญาณอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ไปสวรรค์หรือ?”

ก็พูดให้ท่านได้มีโอกาสสักวันหนึ่ง ความจริงเหล่านี้ จะหล่นลงไปในจิตใจของท่าน เพราะพระเยซูบอกแล้ว มาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 3 ปีบอกเรียบร้อยเลยว่าในโลกวิญญาณ จะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ และก็บอกด้วยว่าจะมีคนต่อต้าน จะมีคนไม่เชื่อ บอกเลยว่ามนุษย์ทุกคนที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐนี้ ข่าวดีนี้ ที่พระเยซูพูด ซึ่งพระเยซูพูดมาถึงทุกวันนี้นะ เดี๋ยวจะบอกให้ว่าพูดอย่างไร? 3 ปี เดินบนโลกนี้ พูดอย่างนี้ใช่ไหม? 4 อย่างนี้ หลังจากที่พระเยซูเสด็จเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่  พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ทุกคน และนำพามนุษย์ทุกคนนั้น พูดในสิ่งที่พระเยซูต้องการ ก็พูดใน 4 อย่างนี้เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย พระเยซูสถิตอยู่ในเขา แล้วพูด 4 สิ่งนี้ ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู และพระเยซูสถิตอยู่ด้วย

พูดนอกเหนือจาก 4 สิ่งนี้ออกไป แปลว่าพระเยซูไม่ได้กำลังพูด ท่านพูดด้วยความคิดของท่านเอง ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าเนื้อหนัง “เนื้อหนัง” คือระบบความคิดเก่าๆ ก่อนที่ท่านจะเชื่อในพระเยซู

พระเยซูบอกเลยว่าเวลาประกาศข่าวดี ตั้งแต่ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวดี เจอการต่อต้าน เจอคนต่างๆ อย่างไร? เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย มันก็จะเป็นเหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก โดนเหมือนกัน แล้วพระองค์ก็สรุปให้ง่ายๆ ชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งปวงที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐมีอยู่ 4 ประเภทเท่านั้นเอง เราก็คิดในใจ ก็มองตามตามองเห็น ตามนุษย์ มีประเทศโน้นประเทศนี้ ความเชื่อโน้นความเชื่อนี้ คงจะมีคนคิดแตกต่างกัน แบบพันกว่าอย่าง คนนี้ก็คิดอย่างนั้น คนนี้ก็คิดแตกต่างอย่างนี้ พระเยซูไม่ได้มองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์มองไปที่วิญญาณว่ามี 4 ประเภทเท่านั้นเอง พอเราพูดความจริงนี้ออกไป อย่างวันนี้ พูดความจริง เรื่องโลกวิญญาณนี้ออกไป ในพระเยซูคริสต์ว่าอย่างไร? ก็จะมีผู้คนทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไป จนกระทั่งถึงอีกร้อยปีข้างหน้า ถ้าโลกยังอยู่ อีกสองร้อยปีข้างหน้า ก็จะเป็นอย่างนี้ จะไม่มีเปลี่ยนแปลง คือมี 4 ประเภท

ประเภทที่ 1 คือฟัง แล้วก็เห็นด้วย

ประเภทที่ 2 คือเห็นด้วย แต่ว่าถูกโลกใบนี้ต่อต้าน  ต้องเสียอะไรบางอย่างไป จะมีคำว่า “แต่”

ประเภทที่ 3 คือเห็นด้วย แต่ของเก่าที่เราเรียนรู้มา เรื่องกฎศีลธรรมอะไรต่างๆ บุญบารมี ที่เราสะสมมาตั้งเยอะแล้ว จะให้เราทิ้งไป  มาเชื่อพระเยซู มันเสียดาย ไม่เอา กลับมาที่เดิม เพราะเราสะสมบุญบารมีไว้เยอะแล้ว เราทำความดีไว้ตั้งเยอะแล้ว  ก็ไม่เอา

ประเภทที่ 4 คือไม่เอาเลย  ไม่เอาไม่พอ แถมยังข่มเหง ยังกล่าวด้วยความโกรธ ทำลายความจริงเหล่านี้เลย คือตอบโต้เลย    คนประเภทที่ 4 คือคนไม่เอาเลยตั้งแต่ต้น แล้วต่อต้าน ตอบโต้เลย

พระเยซูบอกมีแค่ 4 ประเภทเท่านั้นเอง แล้วพระองค์ก็เจอด้วยตัวพระองค์เอง ตอน 3 ปีที่ประกาศข่าวดี ประกาศเรื่องจริงของโลกวิญญาณนี้  เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้รอด เจออย่างนี้ แล้วพระองค์ก็มาบอกพวกเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ เป็นทูตของพระองค์ ที่พระองค์แต่งตั้งขึ้น ให้ไปประกาศข่าวดี จนมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว ก็จะเจออย่างนี้เหมือนกันแหละ เจอ 4 ประเภท ประเภทที่ 1 ก็ฟังๆ ไป เชื่อความจริง พอเชื่อความจริงในที่สุด ความจริงหล่นเข้าไปในวิญญาณ ตกเข้าไปในใจ เกิดเป็นผลความรอดบังเกิดใหม่ รายเดียวที่ได้รับ ประเภท 2, 3, 4 ก็ว่ากันไป  แล้วแต่เขาและโอกาสมีอยู่ ก็ค่อยๆ น้อยลงไปตามประเภท ประเภทที่ 2 ก็ยังมีโอกาสอยู่มากกว่าประเภทที่ 3 ประเภทที่ 3 ก็มีโอกาสน้อยลงไปเรื่อยๆ  ประเภทที่ 4 แทบจะไม่ได้ผุดได้เกิด  พระเยซูบอกว่าเขาไม่เอา ก็ไม่ต้องไปให้เขา บอกสาวก  ตอนนั้นยังเป็นสาวกนะ ตอนที่พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่ติดตามพระเยซูจริงๆ เชื่อจริงๆ เป็นอาจารย์อันดับหนึ่ง คล้ายๆ กับอัครสาวก 12 คนนั้น ตอนนั้นยังเป็นสาวกอยู่ เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ไถ่มนุษย์สำเร็จบนไม้กางเขน ติดตามพระเยซูอยู่ แต่พอพระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว สาวกเหล่านั้นได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่สาวกแล้วนะ ไม่ต้องติดตามพระเยซูแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในใจเขาเลย เขาเกิดใหม่ เป็นน้องพระเยซู พระองค์บอกว่าเป็นพี่น้องกัน เราเรียกท่านว่าน้อง อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์

แล้วก็ให้น้องๆ เหล่านี้ไปประกาศ ประกาศเหมือนที่พระองค์ประกาศ พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในน้องๆ เหล่านี้ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็เผยพระวจนะ พูดตามที่พระเยซูต้องการพูด ก็มีอยู่ 4 อย่างแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น เรื่องของข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไร? ก็หวังอย่างยิ่งว่าท่านที่ได้ยินได้ฟัง คงเข้าใจที่ผมพยายามที่จะอธิบายให้ท่านฟัง ท่านอาจจะงงอยู่ในตอนนี้ แต่ให้ท่านเลือกเอา ท่านจะเป็นคนประเภทไหน?  4 ประเภท ยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? ไม่มีใครเข้าใจหรอก แต่พระเยซูบอกว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา เชื่อไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจ แต่มีความเชื่ออยู่บ้าง รับฟัง วันหนึ่ง การรับฟังของท่าน ความถ่อมใจของท่าน มันจะเกิดอัศจรรย์ใหญ่ขึ้น เพียงนิดเดียว ครั้งเดียวเองที่เราต้องการ ก็คือความเชื่อพระเยซูคริสต์หล่นลงไปในใจ เรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง  ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ จบแล้ว

วันนี้จึงจะมาอธิบาย ในฐานะเป็นทูตของพระเยซู ตัวแทนของพระเยซูในการที่จะประกาศว่า เมื่อท่านได้บังเกิดใหม่ เป็น คริสเตียน ในวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกใบนี้เลย เมื่อท่านเป็นคริสเตียนแล้ว บนโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ไม่เกี่ยวเลย ไม่ต้องไปยุ่งกับตรงนั้นเลย ตรงนั้น มอบให้พระเจ้าไป วางใจในพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่แล้ว วางใจว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน และจะจูงมือท่านเดินบนโลกใบนี้ ไม่ต้องไปคิดอะไรเลยว่าทำไมเกิดขึ้นอย่างนั้น? ทำไมเกิดขึ้นอย่างนี้? ทุกอย่าง เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว

แต่สิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราได้รับรู้ ได้ชัดเจน ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ กระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาสอนให้มนุษย์ทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าทำสำเร็จแล้ว เฉพาะเรื่องเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ผลในโลกวิญญาณ ที่เราจะทำอะไร ตามประสาของมนุษย์ทำ เพื่อให้เกิดผลในโลกวิญญาณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง การกระทำอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้ของเรา ซึ่งเราตั้งใจกระทำสิ่งนั้น ให้เกิดผลในโลกวิญญาณ ไม่ต้องกระทำแล้ว เพราะพระองค์ทำให้เสร็จ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่การกระทำบนโลกใบนี้ เราเน้นถึงการหว่านและเก็บเกี่ยว ให้เกิดผลบนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน อย่างนี้ทำได้

ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราจะไม่โกรธใคร ไม่ได้ตั้งใจจะไม่โกรธใคร เพราะว่าพระเจ้าพอใจ เราจะได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่ นี่คือความหวัง ในเรื่องโลกวิญญาณว่าตายแล้ว เราจะได้ไปสวรรค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงรักเรา ไม่ใช่ เพราะทั้งรักเราและไปสวรรค์ มันจบแล้ว พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แต่ที่เราอภัยให้เขา ไม่โกรธเขา เพราะผลของมัน ผลของการที่จะเกิดขึ้นจากนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ ถ้าเราไปโกรธเขา เราก็นอนไม่หลับ ผลเสียก็เกิดขึ้น ความเครียดก็มา โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมา เกิดปัญหาวุ่นวาย เกิดใช้อารมณ์รุนแรงไปอีก  ทะเลาะเบาะแว้ง วิวาทกันใหญ่โตเสียหาย ทั้งคู่ ไม่ใช่เขาอย่างเดียว เราด้วย นี่คือผลของการกระทำบนโลกใบนี้ ซึ่งพระเยซูก็จะสอนเรา บอกเราว่า …

“ลูกทำอย่างนี้ไม่ดีนะ เพราะเจ้าจะได้รับผลไม่ดี  ไม่มีสันติสุข ไม่มีความสุขพอ เท่าที่ทำได้บนโลกใบนี้ เจ้าจะทุกข์มากขึ้น” ผลของโลกใบนี้

แต่ผลของวิญญาณไม่ใช่ ผลของพระวิญญาณมีที่เดียว คือพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงเรียนรู้ในสิ่งที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่มาเรียนรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง? ไม่ใช่ คือมาเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว คืออะไร? และมันเกิดผลในโลกวิญญาณแล้วจริงๆ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน ความจริงในโลกวิญญาณ จากข้อพระคัมภีร์นี้ ที่ผมเอามาเป็นตัวอย่าง เป็นความจริง ซึ่งทั้งหมด ในพระคัมภีร์จะพูดเรื่องนี้หมด อย่างที่บอกแล้วนะ เป็นพระคัมภีร์ตอนที่บันทึกถึงพระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ สอนด้วยตัวเอง  พระองค์ก็พูด 4 อย่างนี้ เป็นพระคัมภีร์ที่เหล่าอัครทูตได้เขียนจากการทรงนำของพระวิญญาณของพระเยซู ที่สถิตอยู่ในเขา เพื่อที่จะส่งความจริงเหล่านี้ต่อไปถึงผู้คนทุกยุคทุกสมัยต่อๆ ไปในพระคัมภีร์นั้น ก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นผู้พูด ผู้เดียวกัน ก็คือเป็นพระเยซูเหมือนกัน แต่พระเยซูที่เดินอยู่บนโลกนี้กับพระเยซูที่สถิตในอัครทูตเหล่านั้น พูดเหมือนกัน ผมก็มาพูดเหมือนกับพระคัมภีร์ ก็คือเหมือนกับอัครทูตเหล่านี้ ก็คือเหมือนกับที่พระเยซูพูดเหมือนกัน

นี่คือเหตุการณ์หนึ่ง ที่เปาโล อัครทูต 1 คน ได้ประกาศข่าวดีนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในสิ่งที่พระเยซูประกาศ วางใจในพระเยซู แล้วในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านไม่เชื่อ มันเกิดอะไรขึ้น วันนี้เอาโคโลสี 2:13-14 ซึ่งมันชัดดี จริงๆ มันก็ชัดทุกอัน เพราะว่ามีอยู่แค่นี้เอง แต่สำหรับมนุษย์ เรารู้สึกว่าอันนี้มันง่ายดี มันเน้นเฉพาะหนังสือนี้ บริบทนี้มันเน้นชัด  เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์ด้วยกัน  โคโลสี 2:13-14 …

โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  มีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัย ในการละเมิดกฎทั้งหลาย  ของพวกเรา 14 พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

โคโลสีเป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลได้เขียน พอบอกได้เขียน  ก็คือเขียนตามที่พระเยซูบอก พระเยซูสถิตอยู่ด้วย แล้วก็ใช้เปาโลในการประกาศข่าวดีนี้ ประกาศความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐ ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ที่ไม่ใช่คนยิว อาจารย์เปาโลก็เริ่มประกาศไปถึงเมืองโคโลสี ก็มีคนเชื่อในข่าวดีนี้ แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ ที่เราเรียกว่าผู้เชื่อในข่าวดีได้บังเกิดใหม่ ได้รับความรอด ได้รับผล จากข่าวดีนี้ เกิดผล เรียกว่าผู้เชื่อ อาจารย์เปาโลก็มีหน้าที่ย้ำยืนยันให้ผู้เชื่อได้รู้ความจริงเหล่านี้ เพราะพอชาวโคโลสีเชื่อในข่าวดีปุ๊บ พระเยซูเข้าไปสถิตอยู่ด้วย ก็เกิดการต่อต้าน  เพราะจะมีคนอยู่ประเภท 2, 3, 4 ที่ยังไม่เชื่อ ก็เริ่มมาหาผู้เชื่อเหล่านั้น เพื่อที่จะมาขโมยความเชื่อ เพื่อที่จะมาต่อต้าน จะต่อต้านน้อยหรือมาก ประเภท 2, 3, 4 ก็แล้วแต่ มาแน่นอน เปาโลมีหน้าที่ป้องกันผู้เชื่อเหล่านั้น จากการถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ถูกข่มเหง ถูกต่อต้านว่าที่เชื่อไปเมื่อกี้ ไม่ใช่หรอก ที่เชื่อไปไม่จริงหรอก  อะไรต่างๆ เหล่านั้น ด้วยวิธีต่างๆ นานา ด้วยการใช้เหตุผล ใช้อะไรต่างๆ เพื่อจะดึงเอา ผู้ที่เชื่อแล้ว ไขว้เขว

เพราะฉะนั้น เปาโลก็มีหน้าที่มาย้ำยืนยัน บอกให้ผู้เชื่อเหล่านั้น อย่าไปฟังเขานะ ในโลกวิญญาณ ตอนที่ท่านเชื่อจริงๆ มันเกิดขึ้น บังเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปเชื่อเขา ที่เขาพูด มันไม่ใช่ ท่านต้องมั่นใจนะ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขียนมาให้กับคนที่เชื่อแล้ว ที่เป็นคนต่างชาติ พระคัมภีร์บอกคนต่างชาติ หมายถึงต่างจากชาติของเปาโล ก็คือชาวยิว ต่างจากชาวยิว

ชาวยิว ก็คือชาวอิสราเอล ชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ก่อนว่าจะเป็นพวกแรกที่จะเรียนรู้จักพระเจ้า เรียนรู้จักข่าวประเสริฐ และได้รับเอาความจริงจากข่าวประเสริฐ เพื่อที่จะได้รับความรอด จะได้บังเกิดใหม่ก่อนกลุ่มอื่น แล้วกลุ่มอื่นคือใคร? กลุ่มอื่นมีอยู่อีกกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่เรียกว่าพวกที่ไม่ใช่ยิว แล้วใครล่ะที่ไม่ใช่ยิว? ท่านลองคิดดู ชาวโคโลสีถูกหรือไม่ถูก? แล้วมีชาวอะไรบ้างที่ไม่ใช่ยิว ชาวไทย ชาวจีนก็มีอยู่ 2 กลุ่มแค่นี้ คือชาวยิวกับชาวไม่ใช่ยิว ท่านจะทราบแล้วนะว่ามันจะเป็นอย่างไร?

ชาวยิว คือมนุษย์กลุ่มแรก กลุ่มแรกไม่มีอะไรดีกว่ากัน เท่ากันหมด มนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นกลุ่มแรกที่พระเจ้าประกาศข่าวดี ให้ก่อน คนที่ไม่ใช่ยิว คือประกาศข่าวดี ให้ทีหลัง จบ ในโลกวิญญาณมีอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องไปนั่งคิดมากว่าศาสนาคริสต์ กำเนิดที่เมืองนั่น เมืองนี้ ไปยุโรปก่อน ไม่มีเลย มีอยู่ 2 กลุ่มเอง กลุ่มแรกกับกลุ่มที่สอง รวมความ คือข่าวประเสริฐมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ มนุษย์มีกี่กลุ่ม? มีกลุ่มเดียว กลุ่มนี้เรียกว่ามนุษย์ เรียกว่าคน เรียกว่ามวลมนุษยชาติ

มวลมนุษยชาติ แบ่งออกเป็น 2 พวก พวกแรกกับพวกที่ 2 พวกแรก ที่ได้รับข่าวประเสริฐ มีชื่อว่าอิสราเอลหรือยิว พวกที่ 2 คือพวกเราทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ยิวนั่นเอง อันนี้คือ Back ground

เปาโลก็มาพูดย้ำยืนยันในข่าวดี ที่ได้ประกาศให้พวกเขาไปแล้ว และได้ผลด้วย มีคนเชื่อเยอะแยะ ได้เกิดใหม่จากข่าวดี ที่ประกาศออกไป ฉะนั้น เปาโลก็เลยย้ำให้เขาได้เห็นอีกทีหนึ่งว่าเขาได้เกิดใหม่แล้วจริงๆ ในโลกวิญญาณ ท่านมองไม่เห็น แต่พระเยซูบอกแล้วว่าท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อ 13 ที่ผมยกมา

เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังจะมาบอก ไม่ว่าจะเป็นเปาโลบอก เปโตรบอก ยอห์นบอก ท่านจงนึกให้ดีๆ ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ก็คือพระเยซูบอก เหมือนพระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ 3 ปี ตอนนี้ก็เดินอยู่บนโลกใบนี้เหมือนกัน  แต่อยู่ในลักษณะของการอยู่ในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย

และตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อรู้ความจริงแล้ว เขาก็จะพูดในนามพระเยซู แต่ถ้าเป็นผู้เชื่อ ที่ไม่รู้ความจริง เขาก็จะพูดในนามของไม่รู้ เขาไปฟังใครมา เขาก็พูดในนามของคนนั้นเล่ามา คนนี้เล่ามา แต่ไม่ใช่ในนามของพระเยซู ถ้าในนามของพระเยซูก็ต้องพูดเหมือนกับพระเยซูได้สอนเป็นแบบอย่างไว้ตอน 3 ปีนั้น เหมือนที่สรุปไว้ในตอนต้นว่ามีอยู่ 4 กลุ่มเท่านั้นเอง

มาดูสิว่าพระเยซูพูดผ่านเปาโล และเขียนเป็นจดหมายนี้ออกมาว่าเมื่อท่านเชื่อ ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอย่างไร? หัวข้อเรื่องวันนี้ก็เลยบอกว่า “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์”

“อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณ เมื่อฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์”

มันน่ารู้ไหมล่ะ ไม่ต้องมาเรียนรู้แล้วนะว่าอะไรเกิดขึ้นกับฉัน บนโลกใบนี้ เมื่อฉันเชื่อพระเยซูคริสต์ ก็เห็นๆ อยู่ ฉันได้รับผลกระทบจากโควิด ต้องมาเรียนรู้ไหม? ไม่ต้องมาเรียนรู้ มันก็เห็นๆ อยู่ มันก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันไม่เห็น แต่มันเป็นอยู่จริงๆ พระเยซูจึงบอกว่าพอเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่รู้ความจริง ความโกหกจะทำให้เราเป็นทาส มือง่อย ตีนง่อยอยู่ตรงนั้น ในโลกวิญญาณ

เริ่มต้นข้อ 13 บอกว่า “และท่านทั้งหลาย” คราวนี้เรารู้แล้ว ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อ เป็นชาวโคโลสี  เป็นต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว  ท่านจะเห็นภาพแล้วนะ

และท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อ ชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่ชาวยิว ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ก็คือมนุษย์คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อ เป็นเช่นไร? ก่อนที่เราจะเชื่อ ก็เป็นอย่างนั้น อยากรู้ไหม เราเป็นอย่างไร?

การเรียนรู้ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้เฉพาะหลังเชื่อแล้วเป็นอย่างไร? ต้องเรียนรู้ว่าก่อนเชื่อมันเป็นอย่างไร?  มันจะได้เห็นชัดเจน แจ่มใสเลย  ซึ่งก่อนเชื่อได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ วิญญาณมองไม่เห็น ก่อนเชื่อ เราก็ดำเนินชีวิตของเรา แล้วมาบอกเราตาย ก็เพราะตายในวิญญาณ วิญญาณมีอยู่จริงๆ วิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเราที่จะอยู่ตลอดไป ในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าวิญญาณที่ก่อนเชื่อพระเยซู มันอยู่ในสภาวะตายอยู่ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎต่างๆ ที่พระเจ้าวางไว้ กฎแห่งความดี คือการละเมิดคำสอน หรือความดีงามของพระเจ้า  พูดง่ายๆ คือต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า

กฎทั้งหลายของพระเจ้า คือความดีงามของพระเจ้านั่นเอง  คือพระเจ้าอยากให้ทำอะไร? ฉันต่อต้าน พระเจ้าให้ทำอะไร? ฉันดื้อ ฉันไม่ทำ การไม่ทำตรงนั้น เรียกว่าละเมิด “การละเมิด” นั้นเรียกว่าทำบาป  บาป คืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าต้องการให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม เหมือนพระองค์ แต่เราทำอะไรที่ตรงกันข้าม คือความชั่วนั่นเอง แล้วมันเกิดขึ้นที่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งพลังความบาป  การเป็นศัตรู เพราะฉะนั้น การเป็นศัตรูนี้ เกิดขึ้นที่วิญญาณของเรา ตอนที่เรายังไม่เชื่อ วิญญาณเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม

ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เรายังไม่เชื่อ วิญญาณเราอยู่ในความตาย ร่วมกันกับอาดัม บรรพบุรุษของเรา ต้นกำเนิดของมนุษยชาติ เราสืบเชื้อสายมาจากอาดัม อยู่ในความบาป วิญญาณเกิดมาก็บาปแล้ว ว่ากันตามตรง บาปก่อนเกิดอีก ตั้งแต่อยู่ใน DNA ในเซลของอาดัมแล้ว ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลย ยังอยู่ในตัวของอาดัมอยู่ ก็อยู่ในบาป  เกิดในบาป คลอดออกมาก็เป็นบาป แล้วก็เป็นคนบาปมาตลอด เพราะวิญญาณเป็นบาป

แล้วเกิดอะไรขึ้น บรรทัดต่อไป เขียนอย่างนี้  “และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของท่าน” ท่านทราบไหมว่าคืออะไร? ท่านเป็นบาป  เพราะว่าวิญญาณท่านบาป และท่านยังเป็นบาปอยู่ เพราะท่านไม่เชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ประกาศมาถึงพวกท่าน ในนี้ใช้คำว่า “ไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน คือก่อนหน้านี้ 2, 3 ข้อในโคโลสี บทที่ 2 ได้อธิบายถึงว่าพวกท่านที่เชื่อ ได้เกิดผลอะไรจากข่าวประเสริฐ จากการบังเกิดใหม่อย่างไร? พระเยซูคริสต์ได้ทำพันธสัญญากับท่าน โดยการเข้าสุหนัตทางฝ่ายวิญญาณ

เมื่อ 2, 3 ข้อก่อนหน้านี้ พูดถึงการเชื่อของท่านทำให้พระเยซูคริสต์ เข้ามาทำการสุหนัตท่านทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทำด้วยมือ วิญญาณเข้ามา เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างไร? ก็เลยมาบอกในนี้ว่าที่ท่านยังบาปอยู่ เพราะวิญญาณท่านบาป และท่านก็ไม่ยอมเชื่อในข่าวดีที่ประกาศให้กับท่าน ท่านไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของท่าน พระเยซูคริสต์ไม่ได้เข้ามาทำการสุหนัตในฝ่ายวิญญาณของท่าน

สุหนัตทางฝ่ายวิญญาณคืออะไร? คือการบัพติศมาในพระวิญญาณของพระเจ้า คือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ก็คือการผ่าตัดวิญญาณของท่าน เข้ามาสู่พันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ เพราะท่านไม่เชื่อ จึงไม่ได้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ถ้าท่านไม่เชื่อข่าวดี พระเยซูจึงไม่ได้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของท่าน เข้ามาสู่พันธสัญญาใหม่ ท่านจึงไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ยังอยู่ที่เดิม

นี่พูดถึงก่อนเชื่อ เห็นภาพแล้วนะ นี่ก่อนเชื่อมันเป็นอย่างนั้น เพราะข่าวดีประกาศให้กับท่าน และท่านไม่เชื่อ เมื่อท่านยังไม่เชื่อ ท่านก็ไม่ได้ผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ เข้าในพระคริสต์

ต่อไปบอกว่าอย่างไร? “แต่ตอนนี้ท่านได้รับเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์แล้ว” ท่านอยากรู้ไหม? พอรับเชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้น?  ผู้ที่รับเชื่อ ก็หมายถึงเราทั้งหลายด้วย ที่เรารับเชื่อ เหมือนกัน เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  “พวกท่าน” ตามบริบทนี้ ก็คือพวกชาวโคโลสี ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิวนั่นแหละ ที่แต่ก่อนนี้ไม่เชื่อ พอมีประกาศข่าวประเสริฐไปเรียบร้อย เขาเชื่อแล้ว ตอนนี้ท่านได้รับเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน ผู้ที่เป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิวนั้น  มีชีวิต บังเกิดใหม่ ในพระคริสต์เช่นเดียวกันกับเรา เอาแค่นี้ก่อน

“มีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์” ที่ตะกี้นี้บอกก่อนเชื่อ วิญญาณเราตายอยู่ อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ อยู่ในความบาป แต่พอเราเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้ทำให้เราจากตาย กลายเป็นมีชีวิต บังเกิดใหม่ ย้ายออกจากอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์

ในนี้บอกว่า ได้บังเกิดใหม่จากความตายในวิญญาณ เช่นเดียวกันกับเรา “เรา” ในที่นี้หมายถึงชาวยิว ข่าวประเสริฐ ประกาศไปที่ชาวยิวก่อน แล้วก็มียิวที่เขาเชื่อ เปาโลก็เชื่อ เปโตรก็เชื่อ แล้วชาวยิวอีกมากมาย ก็เชื่อ ชาวโคโลสีที่ไม่ใช่ยิวเหล่านี้ ได้ยินข่าวประเสริฐทีหลัง เป็นกลุ่มที่ 2 พอได้ยินปุ๊บ ก็ได้เชื่อเหมือนกัน พอได้เชื่อ ก็ได้บังเกิดใหม่เหมือนกับชาวยิวเหมือนกันที่ได้เชื่อ

เพราะฉะนั้น “เช่นเดียวกันกับเรา” ก็คือท่านที่เป็นคนต่างชาติ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ เราที่เป็นชาวยิว เราได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ก่อนท่าน เราก็ได้บังเกิดใหม่เท่ากัน ไม่มีเลือกที่รัก มักที่ชัง ไม่มีชาวยิวกับชาวไม่ใช่ยิว รักชาวยิวมากกว่าคนที่ไม่ใช่ยิว  ไม่มี เพราะในสมัยอดีต เขาถือเป็นพวกโฮลี่ เป็นพวกที่เคร่งศาสนา เป็นกลุ่มคนที่ใครๆ ก็รู้ว่าพอพูดถึงชาวยิว โอ้โห! เป็นคนที่เคร่งศาสนามาก เป็นคนที่เจ้าระเบียบ มีศีลธรรมสูงกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ชาติอื่นๆ เยอะเลย อันนี้เป็นเอกฉันท์ที่เขารู้กันนะ คล้ายๆ เป็นชนชาติกลุ่มหนึ่งที่มีมาตรฐานในศีลธรรมสูง

เพราะฉะนั้น คนต่างชาติ พอพูดถึงเรื่องไปสวรรค์ ทำดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็จะมีความรู้สึกว่าด้อยกว่าคนที่เป็นยิว และแม้กระทั่งตัวชาวยิวเอง ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าชนชาติอื่นๆ เขา เพราะว่าเรามีมาตรฐานศีลธรรมสูงกว่า ถ้าจะมีการไปสวรรค์ พระเจ้าต้องเลือกเราก่อนแล้วล่ะ คุ้นๆ นะ ความคิดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีนะ ไม่ใช่ชาวยิวหรอก เป็นชาวเยอะแยะไปหมด มีความรู้สึกว่าชาวเราเป็นชาวที่สมควรไปสวรรค์มาก ในกลุ่มเรา แทนที่จะแบ่งเป็นประเทศ เหมือนสมัยก่อน  แบ่งเป็นกลุ่มนะ  กลุ่มที่ปฏิบัติอย่างเรา  มีโอกาสไปสวรรค์ ถ้าจะไปสวรรค์จริง เราควรจะไปก่อนแล้วล่ะ เพราะเรามีมาตรฐานศีลธรรมสูงกว่าเยอะ แต่นี่ไม่ใช่ ข่าวประเสริฐ คืออย่างที่บอกไป คือทุกคนเท่ากัน

อันนี้เป็นอันหนึ่ง อันแรก ที่เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ สิ่งแรก ก็คือมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ นี่คือสิ่งแรกที่เกิดขึ้น พระเจ้าทำให้กับเรา  พอเชื่อในพระเยซู สิ่งแรกที่บังเกิดขึ้น ก็คือมีชีวิตบังเกิดใหม่ จากตายแล้วมาเกิดใหม่  ก็คือได้รับการผ่าตัดวิญญาณ  เกิดใหม่ ด้วยวิธีผ่าตัดวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณคืออะไร? พูดให้มันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ โฮลี่หน่อย เคร่งศาสนาหน่อย เรียกว่า “ได้รับการบัพติศมา” บัพติศมา คือผ่าตัดวิญญาณ

ลองถามในใจ มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนพอไหม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิญญาณ เป็นสิ่งเดียว ที่เกิดขึ้น เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำอะไรให้เราสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน

ผ่าตัดวิญญาณ คือการบัพติศมา การเข้าส่วนร่วม ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่เรื่องการผ่าตัดวิญญาณ บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ การได้เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ท่านต้องพูดออกมาจากปากให้ชัดๆ “ในโลกวิญญาณ” จำไว้

บัพติศมา ก็แปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เหตุการณ์ที่กระทำ มีผลเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการลงน้ำ การลงน้ำ ก็คือการเอาน้ำมาจุ่ม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเลย ต่อให้ท่านจุ่มลงไปกี่ครั้ง ท่านก็ไม่ได้บังเกิดใหม่หรอก ท่านก็จะเป็นคนบาปที่เปียกน้ำเหมือนเดิม เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ แต่เปียกน้ำ ไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าท่านเกิดใหม่ ท่านไม่ต้องลงน้ำ ก็ได้ แต่ท่านต้องเชื่อในข่าวดี พอเชื่อในข่าวดีจริงๆ ปุ๊บ มันลงมาในใจของท่านปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้าไปทำการบัพติศมา คือผ่าตัดวิญญาณท่าน ย้ายวิญญาณท่านออกจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ออกจากความตายมาอยู่ในชีวิตของพระคริสต์ บังเกิดใหม่ ตรงนี้เกิดขึ้นที่วิญญาณ

นี่เป็นสิ่งแรก อันที่หนึ่ง ที่พระเจ้ากระทำให้เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง มนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรียกว่าข่าวดีนั้น ได้รับชีวิตที่บังเกิดใหม่ ในพระคริสต์

สิ่งที่สอง อยู่ท้ายๆ ข้อ “และทรงได้ให้อภัยและยกโทษ” ในนี้บันทึกไว้ว่า “และทรงได้ให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเรา” จำได้ไหมที่ตะกี้บอก พอเราตายปุ๊บ เราก็ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ทำแน่นอน มากหรือน้อย  แต่ในนี้บอกว่าเราเชื่อปุ๊บ พระองค์ได้ทรงให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเรา

ทำไมต้องของพวกเรา “พวกเรา” หมายถึงพวกที่เป็นคนยิวกลุ่มแรกและพวกที่ไม่ใช่ยิว ในที่นี้ ก็คือมนุษย์ทุกคนนั่นเอง

ถ้าแปลตามที่เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ ก็คือ “และทรงได้ให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเราทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวด้วย” ก็คือมนุษยชาติบนโลกใบนี้ อภัยหมดเลย ทำอะไรผิดมาต่างๆ ยกโทษหมด อภัยให้หมดเลย ไม่เหลือเลย อภัยให้เมื่อไร? เมื่อบัพติศมา เมื่อได้รับการผ่าตัดวิญญาณ เมื่อเปิดใจเชื่อในข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวดีนี้เข้าในชีวิต พระวิญญาณเข้ามาทันที เกิดเป็นการบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ และอันที่สอง ได้ทรงอภัยให้เราเลย  อภัยในความบาปผิดของเรา

ถ้าเกิดให้เรามีชีวิตใหม่ แล้วไม่ให้อภัยเรา ตายเลยนะ เรายังคงทำอะไรผิดพลาดอยู่ เหมือนเดิม เราก็ยังต้องได้รับโทษอยู่ แต่นี่ไม่ใช่ ในนี้อภัยบาปผิดทั้งสิ้นของเรา อย่างที่ข้อพระคัมภีร์ในฮีบรู 10:17 ได้บันทึกยืนยันอย่างนี้เลยว่าได้อภัยให้จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจะเกิดอย่างนี้ขึ้น …

ฮีบรู 10:17  “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และโรม 4:8 ก็บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 4:8 “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

แล้วพระเจ้าก็ได้ตรัสในสดุดี 103:11-12 ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

พอรู้ความจริงนี้ มีความสุขไหม? อภัยในวิญญาณเราที่เป็นตัวตนจริงๆ ซึ่งจะอยู่ตลอดนิรันดร์กาล อภัยแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย โทษของความบาปต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีวันได้เจอกับเราอีกเลย เพราะว่าเรายังไม่เคยเห็นตะวันออกกับตะวันตก มันจะมาบรรจบกันได้ ตะวันออกกับตะวันตกอยู่คนละฟาก

ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ทรงยกเอาการละเมิด คือความบาปของเราออกไปไกลเท่านั้น ไปไกลเลย ก็คือไม่มีวันที่จะเป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่มีวัน ตลอดนิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอันที่ 2 ที่พระเจ้าได้ทำให้ เมื่อเราเปิดใจเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

(1) มีชีวิตบังเกิดใหม่

(2) ได้รับการอภัย ในการทำผิดบาปทั้งหลาย ทั้งหมด

(3) คืออะไร? อยู่ใน โคโลสี 2:14 ที่ตะกี้เราอ่าน ในวรรค “พระองค์ได้ลบล้างหนี้บาป พระองค์ได้ชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของเรา” มันคืออะไร?  เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ใน 1 เปโตร 2:24 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน  (ยอมมอบชีวิตพระองค์เอง แด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) นั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป  (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

 

เรามีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ มีหน้าที่หว่านความจริงไปเรื่อยๆ ถ้าภาษาไทยก็จะบอกว่าแล้วแต่บุญบารมีของแต่ละคนที่จะได้รับความจริงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด จะเย่อหยิ่ง มั่นใจในความรู้ของตนเองอันเดิมมากน้อยเพียงใด จะไตร่ตรองและกลับไปคิดดูมากน้อยเพียงใด มันจะได้เกิดผลมากน้อยเพียงใด ก็แล้วแต่ ฝากวางใจในพระเจ้า พูดกี่ครั้งๆ ก็เหมือนเดิม  กี่ท่านที่ขึ้นมาพูดตรงนี้ ก็พูดเหมือนเดิม เรื่องข่าวประเสริฐที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

อธิบายตรงนี้ก่อน สิ่งที่ 3 คือพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ที่มนุษย์ชอบพูดกัน เราเกิดมา เพื่อใช้เวรกรรม เราเป็นหนี้เวรกรรมต้องชดใช้ เป็นหนี้มาตั้งแต่เมื่อไร? เมื่อปางก่อน

ปางก่อน  ก็คือเมื่อตอนที่อาดัมบรรพบุรุษของเรา ทำบาป ติดเชื้อบาป และก็อยู่ในอาดัม เราก็ติดเชื้อไปด้วย นั่นแหละเป็นหนี้บาป  ที่เราต้องชดใช้

1 เปโตร 2:24 เมื่อตะกี้บอกว่าพระเยซูได้รับเอาบาปตรงนั้นแหละ เอาเชื้อบาปตรงนี้ของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายของพระองค์ บนไม้กางเขน ก็คือยอมมอบชีวิตของพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้กับมนุษยชาติ ด้วยเลือดอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ล้าง ลบ ไม่ใช่กลบนะ ไม่กลบบาปอยู่ใต้พรม ไม่ใช่ นี่ลบล้าง เอาออกไปหมดสิ้น ไม่ปิดไว้ ชั่วคราว เอาออกไปหมดเลย เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป เป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรม ตายต่อบาป ก็คือตายต่อการเป็นทาสบาป  ชีวิตเก่าตายไปเลย  เป็นอิสระจากการเป็นหนี้ เหมือนเราตายจากการเป็นหนี้ธนาคาร พระเยซูจ่ายเงินให้กับธนาคารหมดเลย กี่พันล้านไม่รู้ แล้วก็ไถ่เราออกมา อิสระเลย และเราจะได้สามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผลของพระองค์ ก็คือด้วยการตายที่ไม้กางเขน  อย่างทุกข์ทรมานของพระเยซู

พวกท่าน ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านผู้ที่เชื่อ ได้รับการรักษาให้หาย คือมนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ได้รับตรงนี้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธไม่รับ เขาก็ไม่ได้รับการรักษา การรักษามีให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว แต่ถ้าเขาปฏิเสธ เขาก็ไม่ได้รับ เหมือนกับยกตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือรัฐบาลให้วัคซีนกับคนไทยทุกคน สมมตินะ ให้ฟรีเลย ไปฉีดที่ไหนก็ได้ ฟรีหมด แต่ถ้าเขาไม่ฉีด ได้ไหม? ได้ ไม่ได้ห้าม อยู่ที่การตัดสินใจ เขาไม่ฉีด เขาก็ไม่ได้รับวัคซีน เมื่อเจอเชื้อ เขาก็ต้องติดเชื้อ นี่พูดแบบยกตัวอย่างง่ายๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการ อะไรอย่างนั้นเป็นต้น

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มนุษย์เอ๋ย นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศ ตั้งแต่วันแรกของ 3 ปีที่ประกาศข่าวดี จนถึงกระทำเสร็จ สำเร็จเรียบร้อยที่ไม้กางเขน  และให้กับอัครทูต ทูตของพระองค์ทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์รุ่นต่อๆ มา ประกาศๆ จนมาถึงเราทุกวันนี้ ก็ประกาศความจริงเหล่านี้ ข่าวดีเหล่านี้ว่ามันเกิดผลในโลกวิญญาณอย่างนี้จริงๆ 3 สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆ

สรุปวันนี้ก่อนว่าใครที่ได้ยิน มนุษย์ผู้ใดที่ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ ซึ่งเป็นความจริง เป็นคำพูด เป็นข่าวสารที่พระเยซูบอกจริงๆ ท่านจะได้รับประโยชน์อย่างมากมาย อย่าไปทิ้ง ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังไม่เปิดใจ ไม่เป็นไร รับฟังไปเรื่อยๆ ด้วยความถ่อมใจ วันหนึ่งมันจะเกิดผล ตามที่พระเยซูบอกไว้  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ก่อนอื่นขอขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับผู้ที่เขียนบทความนี้ เพื่อเป็นสติปัญญาให้เราเริ่มต้นค้นหาความจริงไปด้วยกัน

* ใครเป็นผู้คิดค้นกฎพื้นฐาน 3 ประการ  ในการป้องกันเราจากโควิด *

1 – การรักษาระยะห่าง

2 – การล้างมือให้สะอาด

3 – การสวมหน้ากาก

* คุณรู้หรือไม่ว่ากฎเหล่านี้  ได้ถูกกำหนดให้กับชนชาติอิสราเอลมาตั้งแต่ 3,500 ปีก่อนแล้ว?

มาลองค้นดูในพระคัมภีร์กัน! *

* 1 – อพยพ 30:18-21 : ล้างมือของท่าน เพื่อท่านจะไม่ตาย *

* 2 – เลวีนิติ 13:4, 5, 46 : ถ้าท่านมีอาการ  ให้เว้นระยะห่าง ปิดปาก และหลีกเลี่ยงการ

สัมผัส *

* 3 – เลวีนิติ 13:4, 5 :  ผู้ใดที่ติดเชื้อ  จะต้องถูกกักตัว 7 ถึง 14 วัน *

และยังมีผู้ที่สงสัยว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งปัญญาจริงหรือ!

ฉันชอบคำอุปมานี้ : …

เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “ปลา” พระองค์ตรัสสั่ง “ทะเล”

เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “ต้นไม้” พระองค์ตรัสสั่ง “พื้นดิน”

แต่เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “มนุษย์” พระองค์หันมาที่พระองค์เอง  แล้ว “พระเจ้า”

ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของเรา”

ข้อสังเกต : …

หากท่านจับปลาขึ้นจากน้ำ ปลาจะตาย

หากท่านถอนต้นไม้ออกจากพื้นดิน ต้นไม้ก็ตายเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เมื่อมนุษย์ตัดสัมพันธ์กับ “พระเจ้า” มนุษย์ก็ตาย

“พระเจ้า” ทรงเป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติของเรา เราถูกสร้างเพื่อที่จะอยู่ เฉพาะพระพัตร์พระองค์ เราจะต้องสามัคคีธรรมกับพระองค์ เพราะการอยู่กับพระองค์เท่านั้น  คือการที่ทำให้มีชีวิตอยู่

ให้เราอยู่ใกล้ชิด “พระเจ้า”

ให้เราจำไว้ว่าน้ำ หากปราศจากปลา น้ำยังคงเป็นน้ำ

แต่ถ้าปลา ปราศจากน้ำ ก็ไม่เหลืออะไรเลย

พื้นดิน หากปราศจากต้นไม้ พื้นดินยังคงเป็นพื้นดิน

แต่ถ้าต้นไม้ ปราศจากพื้นดิน ก็ไม่เหลืออะไรเลย

พระเจ้า หากปราศจากมนุษย์ พระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า

แต่มนุษย์ หากปราศจากพระเจ้า ก็ไม่เหลืออะไรเลย

แน่นอน หากข้อความนี้  ทำให้คุณได้ครุ่นคิดใคร่ครวญ  คุณอาจจะมีความชื่นชมยินดีในการแบ่งปัน  และส่งต่อข้อความนี้ออกไปให้ผู้อื่น ซึ่งนั่นเรียกว่า “การเป็นพยานเผยแพร่พระกิตติคุณ”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1345

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มกราคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส จริงๆ ไม่ว่าเราเรียนหนังสือเล่มไหน ก็พุ่งเป้าไปที่เดิม ก็คือที่ความรอดในพระเยซูคริสต์ในข่าวประเสริฐที่พระองค์ทรงประทานให้กับพวกเรา เอเฟซัส 1:21 บอกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง  ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย”

 

“ในตำแหน่งนี้” คราวที่แล้ว ย้อนนิดหนึ่ง ข้อที่ 20 บอกว่า …

เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู  เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์  ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

สืบเนื่องมาจากตรงนี้  ก็คือตอนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็คือยอมตาย เพื่อมนุษยชาติ  หลั่งพระโลหิต แล้วพระเยซูก็บอกว่าสำเร็จแล้ว ก็คือแผนการที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ได้กระทำสำเร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว มนุษย์บนโลกใบนี้ สามารถที่จะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว รอแต่ว่าคนๆ นั้นได้รับรู้ความจริง แล้วเข้ามาเปิดใจต้อนรับเอาของขวัญนี้เท่านั้น

แปลว่าตอนที่พระเจ้าทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ทำให้มนุษย์สามารถที่จะบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พลังอำนาจที่ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้มีอยู่ในตัวเราเลย แค่เรามารับรู้ความจริงเท่านั้นเองว่าข้างในเรามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้นะ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ตอนนี้เราไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป  เราไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของระบบบนโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า มีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระเยซูเลย

แล้วตอนที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้ทำให้พระเยซูคริสต์ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

คำว่า  “เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”  ก็คือตำแหน่งที่สูงสุด  ที่พระเจ้าประทานคืนให้กับพระเยซู ตอนที่พระเยซูตัดสินใจ  คือยอมจำนน เราจำได้ใช่ไหม ตอนที่พระเยซูไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนีถึง 3 ครั้ง แล้วพระเยซูก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า …

“ถ้วยนี้ขอให้เลื่อนไปได้ไหม?”

ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานแบบนั้น  เพราะว่าตอนที่พระเยซูอธิษฐาน พระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ  มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์เลย  มีความกลัวเหมือนมนุษย์เลย แล้วก็รู้ด้วยว่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ ที่พระเจ้าให้พระองค์มากระทำ มันหนักหนาสาหัสมาก จนพระเยซูคริสต์ต้องไปขอกำลังจากพระเจ้า อธิษฐานถึง 3 ครั้งว่าถ้าเป็นไปได้ ถ้าพระเจ้าอนุญาต ก็ให้ถ้วยนี้เลื่อนไป หมายความว่าพระเยซูไม่ต้องมาถูกตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม? พระเยซูไม่ต้องมาหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปของมนุษยชาติได้ไหม? พระเยซูไม่ต้องมาถูกฝังในอุโมงค์ได้ไหม?  แต่พระเจ้าไม่ให้คำตอบ พอไม่ให้คำตอบ พระเยซูรู้เลยว่าไม่ได้

เหตุผลที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ มีเพียงเหตุผลเดียว เพื่อมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา  มีเนื้อหนังเหมือนพวกเรา มีเลือด มีเนื้อ เพื่อจะได้มาไถ่มนุษยชาติให้พ้นจากเงื้อมมือของผีมารซาตาน จากที่บรรพบุรุษของเราได้ขายเรามาเป็นทาส ทาสของความบาป ทาสของความตาย ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา แล้วก็มาชดใช้หนี้บาปนี้ ด้วยชีวิตของพระองค์เอง

ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์อธิษฐาน 3 ครั้ง แล้วพระเจ้าไม่ได้ให้คำตอบอะไร? ก็แปลว่าพระเจ้าบอกว่าจำเป็นที่พระเยซูต้องเดินไปตรงนี้ เพื่อจะได้ชดใช้บาปให้กับมนุษยชาติ แต่ถามว่าตอนที่พระเยซูไม่ได้คำตอบ พระเยซูจะสามารถขัดขืนและปฏิเสธไม่ยอมเดินไปที่แดนประหารได้ไหม? ได้ พระเจ้าให้สิทธิ์นะ เหมือนทุกวันนี้ พวกเราซึ่งเป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าก็ยังคงให้สิทธิ์นั้นกับเรา สิทธิ์ในการตัดสินใจ ดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า หรือเลือกจะเชื่อฟังตัวเอง ทำตามใจตัวเอง หรือเชื่อฟังการล่อลวงของสิ่งรอบข้าง เราเลือกได้ แต่ว่าทุกครั้งที่เราเลือก มันจะมีผลตามมา บนโลกใบนี้เท่านั้น ยังคงยืนยันตรงนี้ ฉะนั้น พระเจ้าก็ให้พระเยซูเลือก เมื่ออธิษฐานจนเสร็จ พระเยซูก็ยังคงเลือกขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถึงขนาดอธิษฐานจนเส้นโลหิตฝอยแตก ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเหงื่อออกมาเป็นเลือด แปลว่าต้องมีการต่อสู้อย่างสาหัสเลย ในช่วงที่พระเยซูขึ้นไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี เพราะว่าถ้าเป็นพวกเรา ก็คงไม่หนักหนาขนาดนั้น เพราะเราไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป แต่พระเยซูทรงรู้ทุกสิ่ง พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นทั้งมนุษย์ด้วย แล้วพระองค์รู้ด้วยว่าต่อแต่นี้ไป หลังจากที่ออกจากสวนเกทเสมนีพระองค์จะต้องไปเจอกับอะไร? แล้วพระองค์ก็ยอม ยอมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะถ้าพระเยซูไม่ยอม พระเจ้าก็ไม่บังคับ แล้วถ้าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูเปลี่ยนใจว่าไม่เอาแล้ว ไม่มาตายแทนมนุษย์ กลับไปเป็นพระเจ้าเหมือนเดิมดีกว่า พวกเราทุกคนก็ยังคงอยู่ในบาป ไม่มีโอกาสกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เลย  เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูตัดสินใจว่าถึงอย่างไรก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

แล้วพระเยซูก็ถูกจับที่สวนเกทเสมนี ก่อนไปที่โกละโกธา ถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี โลหิตหลั่งออก ตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนเลือดหยดสุดท้ายที่หลั่งออกมาจากพระกายของพระองค์ พระเยซูก็ตะโกนว่า … “สำเร็จแล้ว”

สำเร็จแล้ว ก็คือภารกิจที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับพระเยซูคริสต์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ให้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี งานที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำ ก็ยังมีผลอยู่ จนถึงทุกวันนี้ จนถึงอนาคตข้างหน้า จนถึงวันสุดท้ายที่พระเจ้าเห็นว่าผู้ที่พระองค์กำหนดไว้ มาครบจำนวน เราก็ยังคุยกันเหมือนเดิมว่าจำนวนที่พระองค์มีเป้าหมายไว้ หรือกำหนดไว้มีเท่าไร? อย่างไร?  แต่ความต้องการของพระเจ้าจริงๆ ก็คือทุกคนมาเชื่อพระเจ้าเลย แต่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จะมีผู้คนที่ฟังเรื่องราวของพระเจ้าแล้ว ก็ยังใจแข็งกระด้าง ก็ยังไม่ยอมมารับการช่วยเหลือจากพระเจ้า คนกลุ่มนั้น ถ้าถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจเขาออกจากร่าง เขายังไม่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยน มาเชื่อวางใจในพระเจ้า เขาก็ยังคงอยู่ในบาป และเมื่อวันที่ไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ที่บัลลังก์สีขาว เขาก็จะถูกตัดสินลงโทษเด็ดขาดเลย ก็คือถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรก

ฉะนั้น พวกเราผู้เชื่อทุกวันนี้  ที่เราประกาศเรื่องราวของพระเจ้า  ในโอกาสต่างๆ ที่พระเจ้าได้เปิดประตูให้กับพวกเรา  เราก็ยังคงคุยเรื่องนี้ตลอด จนกว่าจะสิ้นยุคนั่นแหละ จนกว่าเราจากโลกนี้ไป หรือจนกว่าพระเยซูเสด็จกลับมารับพวกเรา ก็ยังคงต้องคุยเรื่องนี้เหมือนเดิม คือเรื่องความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ประทาน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้ามาถึงพวกเรา มนุษยชาติทั้งหลาย

และในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจนี้แหละ ที่พระเจ้าได้คืนทุกอย่างให้กับพระเยซู ตอนวันที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ได้คืนอำนาจสิทธิ์ขาดทั้งหมดให้กับพระเยซูคริสต์ ที่ในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าให้ทุกหัวเข่าก้มลงกราบพระเยซูคริสต์ และทุกลิ้นยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเยซูได้ทำภารกิจนี้สำเร็จแล้ว อำนาจทุกอย่างได้กลับคืนมาสู่พระองค์เรียบร้อยแล้ว

ในข้อที่ 21 บอกว่าในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งที่พระเจ้าได้ให้คืนกับพระเยซูคริสต์ ในตำแหน่งของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ ในการตัดสินลงโทษมนุษยชาติ จนถึงวินาทีสุดท้าย วันที่พวกเราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อ พระเยซูก็จะกลายเป็นผู้ตัดสินลงโทษ แต่ ณ วันนี้ ที่พระเยซูมาในโลกใบนี้ คือมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรียกว่าจะมีสถานะต่างกัน การทำงานต่างกัน ทุกวันนี้ พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่ถ้าวันสุดท้ายของโลกใบนี้ ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้จะสลายไป  จะสูญสิ้นไป  แล้วมนุษย์ทุกคนก็จะไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา ณ วันนั้นแหละ พระเจ้าจะทรงแยกแกะกับแพะ  … แกะ ก็คือคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า แพะ คือคนที่เชื่อวางใจในตัวเอง

แล้วคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อยู่ฝั่งแกะ พระเจ้าก็จะบอกว่า … “ไป ไปร่วมสุขกับเรา” ก็คือร่วมสุขกับพระเจ้า ไปอยู่กับครอบครัวของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนคนที่อยู่ฝั่งซ้าย ที่เป็นแพะ พระเยซูก็จะบอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย” ไม่เคยรู้จักในลักษณะ ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าหลายคนอาจจะคิดว่าเขาเชื่อพระเจ้า แต่ความเป็นจริง เขาอ้างชื่อพระเจ้า ข้างในวิญญาณ พระเจ้าจะรู้ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่คนของพระองค์

ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่พระเยซูยกตัวอย่างว่ามีคนเป็นอันมากมาหาพระเยซูคริสต์ แล้วก็บอกว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อธิษฐานในนามของพระองค์ วางมือในนามของพระองค์ ทำโน่นนี่นั่นในนามของพระองค์”

คนยิวสมัยก่อน เขาคิดว่าที่เขารับใช้พระเจ้า เขากำลังรับใช้ในนามพระองค์ คือในนามของพระเจ้า พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพราะว่าเขาเป็นชนชาติของพระองค์แล้ว แต่พระเยซูบอกว่าถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนพวกเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ตั้งแต่วินาทีนั้น คนยิวทุกคนไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยปริยาย ก็คือกฎหมายได้เปลี่ยนแล้ว หมายความว่ากฎใหม่ที่พระเจ้าให้บัญญัติใหม่มา ตอน ณ เวลานั้น ก็คือคนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ มาพึ่งพาในพระเยซู แทนที่จะพึ่งพากฎระเบียบ กฎบัญญัติที่เขานับถือมาตั้งแต่สมัยโมเสส ถ้าเขายังคงพึ่งพาอยู่ ทำทุกอย่างด้วยกำลังของตัวเองอยู่ เขาก็ไม่รอดเหมือนกัน แล้วถึงวันนั้น

เขาก็จะไปบอกพระเยซูว่า … “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อธิษฐานในนามของพระองค์ วางมือในนามของพระองค์ รักษาโรคในนามของพระองค์”

พระเยซูก็จะพูดว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

คนเหล่านั้นพึ่งพาในตัวเอง ไม่ได้พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายมากๆ สำหรับมนุษย์ แต่เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับผู้คนอีกมากมาย ที่เวลานี้ เรายังคงเชื่อมั่นอยู่ว่าเมื่อพระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา  แปลว่ายังมีผู้คนหลงเหลืออีกมากมาย ที่เขาจะมีโอกาสกลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ได้มีเป้าหมายไว้ คือคาดหวังไว้อย่างนั้น

ฉะนั้น ตำแหน่งตรงนี้ พระเจ้าได้ให้คืนกับพระเยซูคริสต์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด แล้วสิทธิอำนาจนี้ จะเป็นสิทธิอำนาจที่อยู่เหนือวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ  คือเหนือศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพอาณาจักร เทพอะไรก็ตามที่ว่าใหญ่ยิ่งมโหฬาร ที่มนุษย์เชื่อว่ายิ่งใหญ่บนโลกใบนี้  พระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์จะมีสิทธิอำนาจเหนือกว่าเทพเหล่านี้ ฉะนั้น ในพระคัมภีร์จะบอกให้เรารู้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูใหญ่ขนาดไหน? แล้วมีอำนาจขนาดไหน?  ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ แล้วอัศจรรย์และเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือเมื่อเราเชื่อพระเจ้า  เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา  สิทธิอำนาจนี้ก็อยู่ในเราด้วย ยิ่งใหญ่สูงสุด  แล้วในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่เดียวกัน ในตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้อะไรกับพระเยซูคริสต์ พวกเราได้ด้วย ตำแหน่งนี้ สิทธิอำนาจนี้ เราทุกคนได้รับเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ

แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้บอก ไม่ใช่เฉพาะในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ในยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย ก็คือตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย อำนาจนี้ได้อยู่ที่พระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระเยซูก็ได้แบ่งชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคน แล้วสิทธิอำนาจทั้งหมดของพวกเรา ก็เป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จนถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย จนกว่าเราจากโลกนี้ไป  ไปอยู่กับพระเจ้า หรือจนกว่าพระเยซูเสด็จกลับมารับเรา สิทธิอำนาจนี้ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวเรา

เอเฟซัส 1:22 “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณอยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้ง พระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้)”

 

พระเจ้าให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุ โลกวิญญาณ  … โลกวิญญาณที่มันมีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของเรา แต่ทั้งหมด บนโลกใบนี้  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของพระเยซูคริสต์ รวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่ในโลกวัตถุด้วย  ที่เราจับต้องมองเห็นได้ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิงสาราสัตว์ ต้นไม้ ก้อนหิน อะไรทั้งหมด ก็อยู่ภายใต้อำนาจของพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน

อำนาจทั้งหมดพระเจ้าให้กับพระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกัน พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เป็นศีรษะอยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร ในพระคัมภีร์เปรียบเทียบพวกเรา  ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อทุกคน

ปกติเราพูดถึงคริสตจักร เราอาจจะคิดถึงตัวอาคาร แต่ในความเป็นจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร คริสตจักรของพระเจ้า หมายถึงตัวบุคคล คือพวกเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นคริสตจักรของพระเจ้า

ทำไมถึงเรียกว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้า  เพราะว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าพระบิดา ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ด้วย ฉะนั้น เราทุกคนถูกเรียกว่าคริสตจักร

พระเยซูจึงบอกว่าบนศิลานี้ พระองค์จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ และพลังแห่งความตายจะมีชัยเหนือคริสตจักรไม่ได้ หมายความว่าพระเจ้าได้สร้างคริสตจักรของพระองค์ คือพวกเรา ตัวบุคคล แต่ละบุคคล เมื่อเชื่อวางใจในพระเจ้า จะไม่มีพลังแห่งความตาย สามารถดึงเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้เลย ฉะนั้น พอเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลเรา แล้วพระเจ้าจะคอยปกป้องคุ้มครองเรา

คำว่า “ปกป้องคุ้มครอง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ต้องเจอกับอะไรในโลกใบนี้  ไม่เจอปัญหา ไม่เจออุปสรรค ไม่ต้องเจ็บป่วย ฯลฯ มันไม่จริง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ปัญหาเรายังเจออยู่ โรคภัยไข้เจ็บเราก็ยังเจออยู่ ถ้าอายุเราเยอะมาก โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา เพราะว่าร่างกายของเราก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรมไป  ขณะที่วิญญาณเราใหม่ทุกวัน  แต่ร่างกายยังอยู่ในโลกของความบาปและความตายอยู่ มันจะค่อยๆ ตายไป  ค่อยๆ เสื่อมสูญไป ค่อยๆ ใช้การไม่ได้ไปเรื่อยๆ แล้วยิ่งอายุเยอะมากขึ้น มันก็เป็นโน่นเป็นนี่ จนกว่าถึงวาระกำหนดของแต่ละคน ที่พระเจ้าเห็นว่าโอเคงานของเราจบแล้วนะ กลับบ้านได้ วิญญาณเราก็ออกจากร่าง แล้วไปอยู่กับพระเจ้า

คือเวลาเรามาเชื่อพระเจ้า ความตายไม่ใช่เรื่องสาหัสสากัน สำหรับผู้เชื่อ  ความตาย คือเป็นความสุขของพวกเรา ที่เราได้กลับบ้าน  เราไม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยบนโลกใบนี้แล้ว เราได้พักผ่อน  ได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล โดยที่ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ต้องมาต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคบนโลกใบนี้ นั่นคือความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า

ฉะนั้น เมื่อเราคุยถึงเรื่องความตาย ในระหว่างครอบครัวของพระเจ้า  มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคริสเตียน เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราตาย แค่เปลี่ยนมิติ เหมือนกับเราหลับไป ในพระคัมภีร์ไม่ใช้คำว่าตายกับผู้เชื่อ พระคัมภีร์จะใช้คำว่าล่วงหลับไป เหมือนเราหลับไป ตื่นขึ้นมาใหม่ อ้าว! ไปอยู่ที่แห่งใหม่แล้ว เปลี่ยนมิติ ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความหวังใจของคริสเตียนทุกคน  แล้วเราทุกคนก็จะมีความสุข แฮปปี้มาก เมื่อเราได้ถึงวาระนั้น แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่ว่าจากด้วยวิธีอะไรก็ตาม ด้วยเจ็บป่วยติดเตียง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่วิญญาณข้างในเรามีความหวัง และเรารับรู้ว่าวิญญาณเราถึงวาระ ถึงเวลาของแต่ละคน  เราได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน  นี่คือความหวังใจ

เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้เรา ที่พระองค์ทรงสัญญาจะดูแล นำพาย่างเท้าของเรา  ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราจะเจอปัญหา  เราก็เจอมา 2 ปีแล้ว ปีนี้เราอาจจะเจอต่อ ก็ไม่เป็นไร ต่อให้เจออย่างไร พระเจ้าก็จะจูงมือเราเดิน แล้วพระเจ้าก็สัญญาว่าพระองค์จะพาเราผ่าน ผ่านด้วยวิธีอะไร เราไม่รู้ อาจจะผ่านด้วยวิธีหืดขึ้นคอเลย พระเจ้าก็พาเราผ่าน หรือผ่านจนพระเจ้าบอก …

“ไม่ไหวแล้ว  เธอคงไม่ไหว กลับบ้านๆ” อะไรอย่างนี้

นั่นคือวิธีของพระเจ้า ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้า เราก็ฝากทุกอย่างไว้กับพระองค์ เราทำส่วนของเราเต็มที่ ส่วนที่เหลือ เราก็ฝากไว้กับพระเจ้า ฉะนั้น การจากไปในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สำหรับ คริสเตียน

เอเฟซัส 1:23 “ที่เหมือนร่างกายของพระองค์   ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

 

ความสมบูรณ์แบบ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราทุกคน พวกเราทุกคนเป็นพระกายของพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพวกเรา ณ วันนี้นะ ณ ปัจจุบัน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราทุกคนในคริสตจักร ไม่ใช่เฉพาะในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน แต่เป็นทุกคริสตจักร  ผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อ  ทุกคนเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์

คำว่า “พระกาย” หมายถึงแต่ละคนจะถูกเลือกให้มีหน้าที่แตกต่างกัน ทำหน้าที่ในโลกใบนี้แตกต่างกัน บางคนถูกเลือกเป็นตา เป็นจมูก ถูกเลือกเป็นคิ้ว เป็นปาก เป็นแก้ม เป็นหน้าผาก เป็นหู เป็นอวัยวะในร่างกาย เป็นมือ เป็นตัว เป็นขา หรือเป็นนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วแม่โป้งอะไรก็แล้วแต่ หรือบางคนถูกเลือกให้เป็นตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ อะไรทั้งหมด  ตับ ไต ไส้ พุง เรามองไม่เห็น แต่ว่าทุกอย่างจะทำงาน ดังนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่ออวัยวะทุกส่วนทำงานตามความเหมาะสม ร่างกายของพระเยซูคริสต์ ก็คือคริสตจักรจะจำเริญขึ้น

ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร่างกายปัจจุบันที่เราเป็น แต่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเลือกพวกเราแต่ละคนในตำแหน่งต่างๆ ที่เหมาะสมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เหมาะสมตามที่เราคิดว่าเราควรจะได้แบบนี้  แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ พระองค์เลือกไว้ว่าโอเคให้คนนี้เป็นตา ถ้าเป็นตา ก็ต้องใช้งานเยอะหน่อย  ก็คือเราเดินไปไหน เราต้องใช้ตามอง ตาทำงานพอๆ กับขา คือถ้าตา มอง ขาเดิน มันไปด้วยกัน คือจริงๆ ทุกส่วนสำคัญหมด เพียงแต่ว่าทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง

แล้วถ้าร่างกายแต่ละชิ้นส่วน อวัยวะแต่ละชิ้นส่วนยอมจำนนกับพระเจ้า หมายความว่ารับรู้ว่าพระเจ้าเรียกเรามาทำอะไร แล้วเราก็แฮปปี้ที่จะทำตามนั้น  อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็ทำงานไปด้วยกัน แต่ถ้ามีส่วนไหนที่รวน มีความรู้สึกว่าพระเจ้าให้เราเป็นตับ มันอยู่ข้างใน คนมองไม่เห็น เราไม่โอเค เราไม่แฮปปี้ เราอยากจะโชว์ตัวเราเองว่า …

“ฉันเป็นตับ ฉันทำหน้าที่สำคัญนะ”

ตับขอวิ่งออกมาข้างนอกได้ไหม? วิ่งออกมาข้างนอก ก็อันตรายนะสำหรับร่างกาย มันไม่ได้ แต่ว่าตับมีความสำคัญ หัวใจมีความสำคัญ ปอดมีความสำคัญ ลำไส้มีความสำคัญ ทุกอย่างมีความสำคัญหมด แม้แต่ไส้ติ่งก็มีความสำคัญ ที่ทุกคนบอกว่าตัดมันทิ้ง ก็ไม่มีอะไร แต่มันมีความสำคัญ ฉะนั้น ทุกส่วนในร่างกายเรา ทำงานด้วยกัน ถ้าไม่มีส่วนไหนรวน ร่างกายเราก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณเนอะ ร่างกายเราจะแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ถ้าส่วนไหนที่เริ่มรวนว่าไม่เอาแล้ว เราไม่อยากทำตามที่พระเจ้าให้เราทำ เราไปทำอย่างอื่น  มันก็ทำให้รวนไปประมาณหนึ่ง แต่ว่าไม่ว่าเราจะรวนขนาดไหน? พระเจ้ามีวิธีที่จะควบคุม และมีวิธีที่จะจับเรากลับมาที่เดิมนั่นแหละ

จำเรื่องของโยนาห์ได้ไหม? โยนาห์อยู่ในท้องปลา นั่นเป็นพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์เดิมก็เล็งถึงพระคัมภีร์ใหม่ที่พระเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ คือทุกอย่างในพระคัมภีร์เดิม ถูกเขียนไว้ ก็พุ่งเป้ามาที่พระเยซูคริสต์นั่นแหละ แต่ว่าพระเจ้าก็ให้บันทึกไว้ เพื่อให้เราเห็นภาพว่าพระองค์ทำงานอย่างไร?

โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าให้ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ แล้วโยนาห์ก็รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา ถ้าใครที่กลับใจใหม่ พระเจ้าก็จะยกโทษให้ นั่นคือสมัยพระคัมภีร์เดิม พอพระเจ้าบอกโยนาห์ว่าไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ โยนาห์ไม่ยอม เพราะรู้ใจพระเจ้า รู้ว่า …

“ถ้าฉันไปประกาศ  แล้วถ้าคนเมืองนี้กลับใจใหม่  พระเจ้าก็จะยกโทษให้เขา พวกนี้เลวมากเลย  ไม่สมควรได้รับการยกโทษ ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมให้พระเจ้าใช้  ฉันก็เลยหนีไง”

พอโยนาห์หนี หนีไม่พ้นมือพระเจ้า พระเจ้าก็มีวิธี ทำให้พายุมา เรือจะล่ม แล้วก็โยนโยนาห์ลงทะเล เข้าไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน พอ 3 วันได้คิด อธิษฐาน …

“พระองค์เจ้าข้าๆ ได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย  คายลูกออกมาจากปากของปลา แล้วลูกจะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์”

พระเจ้าก็คายเขาออกมาจริงๆ แล้วเขาก็ออกไปประกาศ พอประกาศจริงๆ ชาวเมืองนีนะเวห์ ได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า  กลับใจใหม่หมดทั้งเมืองเลย คือไปนุ่งผ้ากระสอบ สมัยก่อนวิธีแสดงการกลับใจใหม่ ก็คือนุ่งผ้ากระสอบ เอาขี้เถ้าซัดใส่หัว เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า …

“ฉันกลับใจใหม่จริงๆ”

แล้วพระเจ้าก็ยกโทษให้ทั้งเมืองเลย คือไม่ทำโทษ โยนาห์โกรธพระเจ้า …

“พระเจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร?  พวกนี้เลวมากเลย  พระเจ้าควรจะลงโทษเขา”

งอนพระเจ้าอีก แล้วในหนังสือเล่มนี้  พระเจ้าน่ารักมาก โยนาห์ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แล้วพระเจ้าก็ให้ต้นไม้โตขึ้นมาในค่ำคืนเดียว ให้ร่มเงา คิดว่าตอนนั้นน่าจะร้อนมาก โยนาห์ก็มีความสุข เย็นสบาย ข้ามวัน พระเจ้าให้ต้นไม้นี้เหี่ยวตายไปเลย พอเหี่ยวตายไป โกรธพระเจ้าอีก นี่มนุษย์นะ โกรธพระเจ้าอีก บ่นต่อว่า …

“พระเจ้า ต้นไม้นี้ให้ร่มเงาซะอย่างดี  พระเจ้าทำอย่างนั้นได้อย่างไร?  ให้มันตายไป ดูสิร้อนซะขนาดนั้น”

พระเจ้าก็ตรัสกับโยนาห์ว่า … “นี่ขนาดต้นไม้ที่เจ้าไม่ได้ปลูก แล้วมันเกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามคืน แล้วมันตาย เจ้ายังเสียดายมันเลย แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น ในเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ว่าเขาจะเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน พระเจ้ารักเขา แล้วพระเจ้าปรารถนาที่จะช่วยเขา ให้เขาได้รับพระกรุณาจากพระเจ้า”

แค่นั้น โยนาห์ยอมจำนนเลย มันจริง พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ แล้วพระเจ้ารักพวกเราดังแก้วตาดวงใจ  รักมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  ปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ไม่ปรารถนาที่จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย แต่พระเจ้าก็ไม่บังคับเรา พระเจ้าให้เรามีอิสระ ให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะยอมให้พระเจ้าช่วย หรือไม่ยอม  ถ้าเรายอมให้พระเจ้าช่วย พระองค์ก็เข้ามาช่วย  ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย แค่บอก …

“พระเจ้าช่วยด้วย ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

พระองค์มาทันทีเลย  ฉะนั้น พอเราไม่ยอมให้พระเจ้าช่วย พระองค์อยากช่วยนะ  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะพระองค์ไม่ละเมิดบุคลิกลักษณะของพระองค์เอง เป็นผู้ที่สุภาพ อ่อนโยน เป็นผู้ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจแล้ว พระองค์ก็ไม่ไปบีบคอเราว่า …

“เธอตัดสินใจอย่างนี้ผิด เธอต้องตัดสินใจแบบนี้ตามฉัน” … ไม่ใช่ พระเจ้าก็ให้สิทธิ์

ฉะนั้น พระเจ้าก็ยังขอร้อง จนถึงทุกวันนี้ ถ้อยคำของพระเจ้าทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟัง พระเจ้าก็ยังขอร้องผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้เขา …

“กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด เจ้าช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เราทำให้เจ้าเสร็จแล้ว กลับมาให้เราช่วยเจ้าเถิด”

นี่คือคำขอร้องของพระเจ้ามา 2,000 ปีแล้ว แล้วถ้าโลกนี้ยังไม่สลายไป คำขอร้องนี้ก็จะถูกประกาศออกไปทุกช่วงเวลา ทุกโอกาสที่พระเจ้าเปิดให้กับพวกเรา ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า

และในปีใหม่นี้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา อวยพรผู้คนอีกมากมาย ที่เขายังไม่ได้รู้จักข่าวดีนี้ หรือผู้คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว ให้เขาได้ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อเขาจะได้มีโอกาสเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จะจูงมือเขาเดินทุกวัน ขณะที่เขายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่

ขออวยพรพี่น้องทุกคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ในคริสตจักรแห่งนี้เท่านั้น คริสตจักรทั่วโลกเลย ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ให้ทุกคนมีกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า ให้ทุกคนสามารถที่จะรับรู้ความจริงแท้ๆ ของพระเจ้าว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าได้ประทานสิทธิอำนาจอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*******************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

กรุณาเลือกคำตอบ  …

สองทางที่ท่านสามารถเข้าสวรรค์เดี๋ยวนี้และถึงนิรันดร์ได้  คือ …

  1. พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง (ต้องสอบได้ 100% ไม่ทำผิดบาปแม้แต่ครั้งเดียว)
  2. เชื่อในการกระทำของพระเยซูที่ตายบนกางเขนเพื่อท่าน   (ไม่ต้องเข้าสอบเลย)

 

ถ้าเราพึ่งพาในการสะสมคะแนนจากการกระทำความดีของเราเอง เราจะต้องได้คะแนนเต็ม 100% ใน เกณฑ์การตัดสินของพระเจ้าเราผิดไม่ได้เลย แม้จะได้คะแนน 99.99% ก็ไม่ผ่านถือเป็นสอบตก ท่านก็จะถามว่าแล้วจะมีใครหน้าไหนที่ทำได้เล่า? คำตอบ คือไม่มี มันเป็นไปได้ ต้องไปเกิดใหม่ การเกิดใหม่เป็นอัศจรรย์จริงๆ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เพื่อท่านจะได้เข้าสวรรค์ได้ ยังไงล่ะ

 

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ  9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีในความรอดของตนได้”

 

โรม 5:6-10 “6 เมื่อเรายังไร้กำลัง  พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปในเวลาอันเหมาะ  7 น้อยนักที่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม  แม้ว่าอาจจะมีบางคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้  8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย  คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  โดยพระโลหิตของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า (การถูกพิพากษาลงโทษ  เนื่องจากเป็นคนบาป) โดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์  ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! (โดยการบังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เหมือนพระเยซู)

พระเจ้าอวยพรครับ