วารสาร Holy News ฉบับที่ 1331

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กันยายน  2021

 เรื่อง “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย”  ตอนที่ 1

โดย นคร เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  หลังจากที่เราได้ฟังการบรรยายกันไปหลายๆ ตอนแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ คือการพิพากษาของพระคริสต์บนบัลลังก์สีขาว เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น หลังความตาย มนุษย์ทุกคนต้องพบกับการพิพากษาตัดสินว่าวิญญาณนั้นจะไปอยู่ที่แห่งใด? จะได้รับสิ่งใด? ซึ่งสรุปสั้นๆ ชัดๆ ตามที่เราเรียนรู้กันว่า …

“ไม่มีการพิพากษาลงโทษสำหรับผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน 100%”

และสรุปสั้นๆ ชัดๆ อีกว่า … “ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า 100% เช่นเดียวกัน”

สาระสำคัญของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์มีแค่นี้จริงๆ คือเชื่อและวางใจในพระเยซู ได้รับความรอด ก็คือรอดจากการพิพากษาลงโทษ  ได้ไปสวรรค์ ทั้งหมดมีแค่นี้  เพียงแค่เชื่อ วางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลยแม้แต่นิดเดียว  เพียงแค่นี้จริงๆ นี่คือข่าวดีหรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้มนุษยชาติทุกคนสามารถที่จะไปสวรรค์ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดมาก คิดมากเกินไป ก็เลยไม่ได้  นี่คือข่าวดี เป็นเรื่องความรู้ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  สาระสำคัญของข่าวดี  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มีแค่นี้เอง  คือเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะได้รับความรอด

แต่ในชีวิตจริงของหลายๆ คน แม้จะมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว คือพูดง่ายๆ ว่าปฏิบัติตามที่พระเยซูบอก ก็คือพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ คือเชื่อด้วยความคิดทั้งหมดเลยว่าเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ก็ยังไม่หยุดความพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตนเองเพิ่มเติมอีก เพราะไม่ค่อยแน่ใจ มันก็เป็นอย่างนี้  นี่คือเรื่องจริงของการดำเนินชีวิตคริสเตียน บนโลกใบนี้ แทนที่จะเชื่อและวางใจ และหายเหนื่อย และเป็นสุข เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก เลยกลายเป็นว่าเชื่อและวางใจ หายเหนื่อย กลายมาเริ่มต้นเหน็ดเหนื่อย  และเป็นทุกข์กับการที่จะไปสวรรค์ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย ก็ได้ไปสวรรค์อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น มันก็เปรียบเหมือนไม่จำเป็นต้องทำ แต่ไปทำให้มันมากขึ้น ผมก็เลยใช้สุภาษิต ก็เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขาใช่ไหม? อันนี้มันเหมือนเข็นครกขึ้นสวรรค์ หมายถึงการทำงานที่ยากลำบากเกินความสามารถของตนเอง เช่นเดียวกัน ความพยายามพึ่งพาตนเอง เพื่อไปสวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับมนุษย์  เกินความสามารถของมนุษย์ พยายามไปก็เหนื่อยเปล่าๆ เราจึงควรมาพึ่งและวางใจในพระเยซู เมื่อมาพึ่งและวางใจในพระเยซู ก็ควรจะพึ่งและวางใจ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพราะทำอะไรเพิ่ม ก็ช่วยเราไม่ได้อยู่แล้ว คิดไปคิดมา วนไปวนมา มันก็แปลกดีนะ

เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกว่า … “ลูกเอ๋ย อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย มาวางใจในเราเถอะ แล้วจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข”

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า … “พี่น้อง … อย่าเข็นครกขึ้นสวรรค์เลย” … พี่น้อง หมายถึงผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้วนั่นเอง ซึ่งก็พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว กำลังเดินทางไปสู่โลกใหม่  สวรรค์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง เดินไปบนโลกใบนี้กับพระองค์  อย่างหายเหนื่อยเบาสบาย เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปฝืนธรรมชาติ ให้มันเป็นการเข็นครกขึ้นสวรรค์

เราได้รับรู้ความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว เราก็รอดจากการถูกลงโทษของการเป็นคนบาปของเราทันทีเลย ทันทีทันใดที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์นั่นเอง อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าแสงสว่างเรียบร้อยแล้ว ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  และขณะเดียวกันนั้น วิญญาณและใจใหม่ของเรา ได้รับการบังเกิดใหม่ ตอนนั้นเลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว 1 ยอห์น 1:7 บอกไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ จึงเป็นแค่เดินทางไปสู่สวรรค์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์เท่านั้น คือเดินทางไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งที่นั่นจะไม่มีบาป ไม่มีความชั่วร้าย  ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาป ทำชั่วอีกต่อไป ที่เราเรียกกันว่าสวรรค์นิรันดร์ ก็คือโลกใหม่นั่นเอง

ชีวิตคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เกิดใหม่แล้ว เกิดในโลกวิญญาณ  เหมือนกับเด็กทารก เกิดแล้ว เป็นคนแล้ว  แต่ยังไม่เห็นตัวเลย  อยู่ในครรภ์มารดา เกิดหรือยัง? เกิดแล้ว รออะไร? ดิ้นไปๆ ตามธรรมชาติ เดี๋ยว 8, 9 เดือนก็คลอดออกสู่โลกใหม่

“โลกนี้เป็นอย่างนี้เองหรือ?”

ถามว่าเด็กคนนี้ เป็นคนตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ 9 เดือนที่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นคน ตอนที่อุแว้ออกมาที่โรงพยาบาล  เช่นเดียวกัน คริสเตียนก็เหมือนกัน  เมื่อรับเชื่อ วันนั้น มันเกิดแล้วทันที อยู่ในครรภ์อีกเมื่อไร? ดิ้นไปเถอะ พระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีความหวังใจ เหมือนกับหญิงตั้งครรภ์ที่กำลังจะคลอด มีความชื่นชมยินดีมากเลย กำลังจะคลอด เมื่อคลอดออกมา ก็ได้เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ตื่นเต้น เช่นเดียวกัน อย่างนั้นแหละ

การบังเกิดใหม่เหล่านี้ การเข้าสู่สวรรค์เหล่านี้ เป็นผลของข่าวดี และข่าวดี คือผลของพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้รับความรอด เชื่อและวางใจในพระเยซูท่านจะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครรภ์ของพระคริสต์ รอวันที่จะคลอดออกมา ก็คือวันสิ้นสุด การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สู่ความตาย วิญญาณออกมาจากร่าง เห็นโลกใหม่ สวยสดงดงาม ฉันใดฉันนั้น มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ อยู่ในครรภ์ 8, 9 เดือน อึดอัด มืดๆ หายใจก็ลำบาก พอคลอดออกมา เขาก็มีความสุข เห็นโลกใหม่

เอเสเคียล 36:25-27 ได้บอกถึงพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้าคืออะไร?  พระเจ้าได้บอกว่าอย่างนี้ แล้วพันธสัญญานี้ ทรงสัญญาแล้ว และได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เอเสเคียล 36:25-27 พระเจ้าได้บอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จแล้ว ในข้อนี้ บอกมาประมาณสัก 7-8 ร้อยปีแล้ว ลองอ่านดู …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นึกถึงภาพพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน อันนี้บอกล่วงหน้า  เหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง

“เรา” คือพระเจ้า “เราจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ใต้กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย วิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป  ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่จากความตาย บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกพระเจ้า  เข้ามาอยู่ในสวรรค์นั่นเอง และพระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่าเมื่อพระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ให้เราแล้ว พระองค์จะไม่จดจำการละเมิด การผิดบาปของท่านอีกต่อไป  ไม่จำมันอีกเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะว่าธรรมชาติใหม่ ที่ท่านได้บังเกิดแล้วในพระเยซูคริสต์ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระบุตร ก็คือเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าบอกว่าดีพร้อมแล้ว ดีแล้ว จึงไม่จดจำอะไรอีกเลย จดจำอย่างเดียว คือดีแล้ว ดียอดเยี่ยม ดีพร้อมแล้ว ดีเท่ากับใคร? ดีเท่ากับศิษยาภิบาล หรือดีเท่ากับเปโตร ไม่ใช่ ดีเท่ากับเปาโล ไม่ใช่ เพราะว่าเปาโลทำเยอะนะ  ดีเท่ากับเปโตรก็ไม่ใช่ เพราะว่าเปโตรมีความเชื่อเยอะ ไม่ใช่ แต่น้อยไป ดีเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย  พระเจ้าดูเราดีเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอไหม? พอ ฮีบรู 10:16-17 ได้บันทึกอย่างนี้ว่าพระเจ้าทำพันธสัญญาใหม่ให้เป็นอย่างนี้ คือ …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าไม่จดจำความผิดบาปทั้งหมดของเราเท่านั้น เมื่อถึงวันที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่แล้ว แม้ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาป ความชั่วใดๆ ที่อยู่ในความคิดจิตใจเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณและใจใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีการคิดสกปรก ไม่มีความจำ เรื่องความชั่วอะไรอีกเลย เป็นธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และเราไปสวรรค์ เฉพาะแค่วิญญาณ และความคิดจิตใจเท่านั้น ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ซึ่งมันมีแต่ความสกปรกอะไรต่างๆ ที่เราทำบ้าง พลาดบ้าง อยู่บนโลกใบนี้ เลอะเทอะจากการดำเนินบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้าย สกปรกนั้น รวมทั้งสมอง โปรแกรมเก่าๆ ความคิดเก่าๆ ที่ยังอยู่ในร่างกายนี้ มันตายแล้ว เมื่อคลอดเข้าไปอยู่ในสวรรค์ มันเป็นโลกใหม่แล้ว มันไม่มีของเก่าอยู่เลย เพราะฉะนั้น ท่านเองก็จะไม่มีความคิดสกปรก โสโครก ไม่มีความริษยา ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในตัวท่านเลย  เพียวๆ ตัวท่านจึงสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ และแถมได้สวมร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตัวเราเองก็ยังจำความสกปรกของตัวเราเองไม่ได้เลย ไม่ต้องห่วงแล้วนะ

บางคนบอก เก็บความลับไว้ตั้งนาน มาเชื่อพระเจ้าแล้ว น่าเกลียดมาก เคยทำอะไรผิดที่น่าละอายมาก กลัวไปสวรรค์ ไปเจอหน้าคนนี้แล้ว …

“วันนั้น ฉันโกหกเธอ ต่างคนต่างเป็นคริสเตียนแล้ว  เจอหน้าเธอ แล้วเขินจัง วันนั้น ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันทำความชั่ว วันนี้เธอเห็นแล้วเนี้ย”

ไม่เห็น ไม่มีใครเห็นอะไรทั้งสิ้น ความชั่วนั้น ถูกฝังลงไปกับความตายบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว  อิสยาห์ 65:17-19 พระเจ้าตรัสว่า …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ  หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่เราจะสร้างขึ้น เพราะเรา จะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่นจะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

นี่พระเจ้าตรัสเองเลย เยรูซาเล็ม คือประชากรของพระเจ้า คริสตจักรของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายนั่นเอง

ดังนั้น พี่น้อง ความจริงเหล่านี้ ควรเป็นเป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิต ในการเดินทางไปสู่สวรรค์ เพื่อคลอดเขา อยู่ในโลกสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ความจริงเหล่านี้ควรจะเป็นเป้าหมายให้เราเดินไปสู่สวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างเบาสบาย เต็มไปด้วยความเชื่อและความหวังใจ เหมือนเดินทางขึ้นสวรรค์ อย่างที่บอก เดินทางขึ้นสวรรค์ เหมือนกับกำลังอยู่ในครรภ์มารดา เกิดแล้วก็จริง อยู่ในครรภ์มารดา มันก็เหนื่อยบ้างอยู่แล้วนะ แต่อย่าให้ถึงขนาด เดินไปด้วย แล้วเข็นครกไปด้วย  เข็นครกขึ้นสวรรค์ มันเหนื่อยขึ้น โดยไม่จำเป็น และไม่ได้เป็นที่พอใจ สำหรับพระเจ้าด้วย เพราะว่าพระเจ้าเสียใจ …

“ลูกเอ๋ย ทำไมทำอย่างนั้น”

และก็ไม่ได้สามารถทำให้เรามีชีวิตเป็นพยานให้กับคนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อได้เห็น นี่แหละ คริสเตียนเขาเป็นอย่างนี้ เขามีความเชื่ออย่างนี้ แสดงว่ามันต้องมีสวรรค์หลังความตายแน่นอน  พิเศษแน่นอน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ฮีบรู 12:1-4 เราจะมาเรียนเรื่องนี้ด้วยกัน เพราะว่ามีหลายคนเข้าใจผิดในหนังสือฮีบรู บทที่ 12 ตรงนี้เยอะ เราจะมาเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวถ่วงเรา อะไรที่ทำให้เรารู้สึกหนัก อะไรที่ทำให้เราถูกแปะเข้ามา เหมือนเราเข็นครกขึ้นสวรรค์ แทนที่จะเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว แต่ไปใส่ภาระหนัก เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา เข็นครกเข้าสู่สวรรค์ หนักเกินไป  เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้ เริ่มต้นที่ฮีบรู 12:1-2 …

ฮีบรู 12:1-2  “1 เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่นอดทน  ไปตามลู่วิ่งที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา 2 ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู ผู้ทรงก่อตั้งความเชื่อ และทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์แบบขึ้น พระองค์ทรงทนแบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า”

 

ข้อ 1 บอกว่า “เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรามีพยานจำนวนมาก รายล้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว”

ใครคือพยานจำนวนมากที่รายล้อม? ตรงนี้ กำลังพูดถึงบทที่แล้ว ก็คือฮีบรู บทที่ 11 พูดถึงบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อ ในสมัยอดีตของชาวยิว ที่วางใจและเชื่อในพระเจ้า เป็นวีรบุรุษเลย คือเชื่อ ถึงขนาดทำอะไรบางอย่างที่มันเกินกว่าที่ความคิด สติปัญญามนุษย์ จะกล้าทำ หรือมีเหตุผล ที่จะให้ทำ

ยกตัวอย่างเช่น ฆ่าบุตรของตนเอง  หรือยอมให้เขาเลื่อยเป็นท่อนๆ หรือยอมให้เขาเอาไปเผาไฟเป็นต้น ด้วยเหตุของความเชื่อในพระเจ้า

ตรงนี้กำลังกล่าวถึงบรรดาผู้คนที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ผู้คนเหล่านั้น คือชาวยิว ที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าสัญญาว่าจะให้พันธสัญญาใหม่ แต่ยังไม่ได้รับ เขายังอยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เป็นตัวอย่างของการรักและเชื่อฟัง อย่างสุดใจของพวกเขา  แม้ว่าจะอยู่ในพันธสัญญาเดิม ซึ่งไม่ใช่พันธสัญญาใหม่เหมือนเราก็ตาม  พวกเขาทั้งหลายมีความมั่นคงในความเชื่ออย่างมาก จนถึงลมหายใจสุดท้าย อย่างที่บอก เราได้เห็นตัวอย่างมากมายของผู้ที่ถูกข่มเหงรังแก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ถูกฆ่าตายอย่างโหดร้าย เพราะความเชื่อในพระเจ้าที่เขามองไม่เห็น

เราได้เห็นตัวอย่างมากมาย และพันธสัญญาเดิมที่เชื่อฟังพระเจ้า และยอมทำทุกอย่าง ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ยอมอดทนต่อการถูกข่มเหงรังแก อดทนต่อการถูกทรมานอย่างแสนสาหัส อดทนต่อการถูกฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ โดยที่เขาเหล่านั้น ยังไม่เคยได้เห็น และยังไม่เคยได้รับในสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว ที่เราอ่านพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ในอิสยาห์ ในเอเสเคียล ที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ถึงพระเยซูคริสต์จะมาทำสำเร็จ เขายังไม่ได้รับอย่างนั้นเลย เขายังไม่เคยเห็นเลย แต่เขาเชื่อวางใจในพระเจ้า ถึงขนาดยอมทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ยอมทนทุกข์ทรมานเหล่านั้น

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “พวกเราในวันนี้”  คือในปัจจุบัน ในสมัยพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อ อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่แล้ว เรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีกว่า มากกว่าบรรดาผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ที่เชื่อพระเจ้า เขาไม่มี เราได้รับแล้ว อย่างง่ายๆ เลย แตกต่างกันมาก และตอนสมัยนั้น เขาก็หวังว่าเขาคงจะได้รับในเร็วๆ นี้ แม้กระทั่งเขาตายไปแล้ว เขายังไม่ได้รับเลย พันธสัญญาใหม่ก็ยังไม่เกิดขึ้น หลังที่เขาตายแล้ว มันถึงค่อยเกิดขึ้น

สิ่งที่ดีกว่าคืออะไร? ก็คือสิ่งที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ไง  การให้วิญญาณใหม่ การให้ใจใหม่  ในขณะที่ผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม ยอมอดทนทุกอย่าง โดยที่ไม่เคยได้รับ เหมือนที่พวกเราได้รับตามพันธสัญญาใหม่เลย แต่พวกเราผู้เชื่อ ที่อยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ เราได้รับการเปิดเผยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ ในเรื่องความจริงของข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ อย่างง่ายๆ ได้รับรู้แล้วว่าทุกสิ่งตามพันธสัญญาใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยโน้น เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์ ข่าวดีนั้น เรียบร้อยแล้ว เราสามารถบังเกิดใหม่ เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ตั้งแต่สมัยโน้น สมัยวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่เขาอยากได้ แต่เขายังไม่ได้

เราได้รับรู้อะไรในข่าวดีนี้ เราได้รับรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว  เราได้รับการย้ายจากการมีชีวิตอยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เรารู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เราได้รับรู้ว่าวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตน ที่แท้จริงของเรา ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่เรารับเชื่อ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น วิญญาณเราเปลี่ยนแปลงแล้ว วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ความคิดจิตใจใหม่แล้ว เราได้รับรู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าเมื่อเราได้รับความรอดแล้ว เราได้รับความรอดอย่างนิรันดร์ และนิรันดร์ และนิรันดร์ ตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว

สิ่งเหล่านี้แหละ บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม พูดตรงๆ นะ เขาไม่อิจฉาแล้ว เพราะเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่อิจฉาแบบโฮลี่ …

“แหม! ทีเรายังไม่ได้อย่างนี้เลย” ลองคิดถึงภาพ เป็นความจริงนะ

เพราะฉะนั้น เขาเหล่านี้กำลังมองเราอยู่ มองด้วยความหมั่นไส้หรือ? ไม่ใช่ มองด้วยความอิจฉาแบบโฮลี่ มองด้วยความแบบ …

“โอ้โห! น้องเอ๋ย พี่อยากได้อย่างนี้ตั้งนานแล้ว พี่ยังไม่ได้ พี่ต้องใช้ความเชื่อ ถึงทุกวันนี้ น้องสบายจังเลย” น้องๆ ของความเชื่อ

พระคัมภีร์จึงบอกว่าบรรดาผู้คนเหล่านั้น ในพันธสัญญาเดิม ล้วนเป็นพยานให้กับเราในเรื่องของการเชื่อฟังและทำตามพระเจ้า ก็หมายถึงเป็นพยานว่าขนาดเขาไม่ได้อย่างเรา เขายังเชื่อพระเจ้าถึงขนาดนั้น ยอมทนทุกข์ทรมาน  ยอมถูกรังแก เลื่อยเป็นท่อนๆ ถูกเอาไปเผาไฟ ยังทำได้เลย แล้วพวกเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน ทำบาปอะไรก็ได้รับการยกโทษ ไม่จดจำ มากกว่านั้นสักเท่าใด  ที่ความเชื่อเราจะ … ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน

เป็นพยานว่าเขาเหล่านั้น ทำสิ่งต่างๆ อดทนสิ่งต่างๆ ได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าความหวังอยู่ที่ไหน? แต่พวกเราได้รู้ได้เห็น ได้สัมผัสแตะต้อง ได้มีพระเจ้าจูงมือเราเดินทุกวัน

พระคัมภีร์จึงบอกว่าในเมื่อเรามีพยานจำนวนมากเหล่านี้ รายล้อมเรา เยอะแยะไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพยานเหล่านี้ จึงควรเป็นสิ่งที่เรายึดไว้ ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ เพราะเห็นคำพยานเหล่านั้น ความเชื่อของเราง่ายกว่าตั้งเยอะ  ก็ขอให้เราละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน ไปตามลู่วิ่งที่กำหนดไว้สำหรับเรา

ลู่วิ่ง ก็คือลู่วิ่งที่พระเยซูวางไว้ ก็คือเดินตามพระเยซู พระองค์กรุยทางไว้เรียบร้อยแล้ว เราก็วิ่งไปตามลู่นี้ ไปถึงสบายๆ แต่มันก็ต้องเหนื่อยบ้างนะ วิ่ง มีหอบบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้อยคำตรงนี้ กำลังเปรียบการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูแล้ว เหมือนกำลังวิ่งแข่งในสนาม แต่ละคนมีลู่วิ่งของตนเองและเส้นชัย อยู่ที่เบื้องหน้า ก็คือรางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ไปรับ รางวัลนั้น คือชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ คือได้รับร่างกายใหม่  และอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ทั้งหมด  ที่ตะกี้เราได้พูดถึงกันมา คือการคลอดจากในพระเยซูคริสต์เข้าสู่โลกใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า

รางวัลที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ จำได้ไหมที่เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว รางวัล ก็คือมรดก … มรดก ก็คือรางวัล  รางวัลเดียวที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ ก็คือมรดกเดียว มรดกนั้น ก็คือชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน นี่คือเป้าหมายเดียวที่ให้เราวิ่งไป

ขอให้เราละทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ และขอให้เราวิ่งด้วยความบากบั่น อดทน หมายความว่าต้องมีความทุกข์ยากลำบากด้วย วิ่งไป มันก็เหนื่อยนะ เดินยังเหนื่อยเลย แต่มันเหนื่อยแบบสามารถที่จะทำได้ เพราะพระเยซูเป็นผู้วางลู่นี้ไว้ให้เราสามารถที่จะทำได้ อดทนได้นั่นเอง

“บากบั่นด้วยความอดทน” หมายความว่าลำพังแค่วิ่งบนลู่วิ่งของเรา ที่พระเจ้าวางไว้ ก็ต้องใช้ความบากบั่น ต้องใช้ความอดทน ก็คือมันเหนื่อยอยู่แล้ว แต่เหนื่อยแบบธรรมชาติ แต่หลายคนก็ยังอุตส่าห์ไปหาห่วงมาถ่วงขา ให้วิ่งยากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง หรือบางคนยากมาก ลำบากมากขึ้นไปอีก พระคัมภีร์บอกว่าอย่าไปเอามาถ่วง แค่เดินเฉยๆ มันก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ห่วงที่มาถ่วงขา ท่านลองคิดดู ท่านวิ่งไป แล้วก็มีอะไรมาเกาะแข้งเกาะขา ในขณะวิ่ง มันทำให้วิ่งลำบาก

ถามว่าห่วงนี้คืออะไร? ในนี้บอกว่าก็คือบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ก็คืออะไรที่เกี่ยวกับบาป ที่มารใช้ความบาปเป็นอาวุธ มาเกาะเราอยู่ แม้ว่าเราเป็นอิสระ จากมันแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เราวิ่งสบายหน่อย วิ่งไปตามลู่ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์วางไว้ให้กับเราแบบธรรมชาติ ลำบากน้อยหน่อย ก็จงอย่าไปสนใจ ละทิ้งทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่นสนิทอยู่นั้น ออกไปเสีย

ตัวอย่าง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง นึกภาพนะ ชีวิตคริสเตียนเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว เข้าสู่ลู่วิ่ง นึกถึงภาพกีฬา วิ่งแข่งโอลิมปิกก็แล้วกัน มีลู่วิ่ง เหมือนเรากำลังวิ่งแข่ง กำลังเข้าสู่เส้นชัย รอบสุดท้าย เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ตรงเส้นชัย  แล้วในขณะที่เรากำลังจะเข้าสู่เส้นชัย อาจจะ 100 เมตรสุดท้าย กำลังวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเลย ดีใจเหลือเกิน แล้วข้างสนาม ก็มีคนคอยกล่าวหา  พูดใส่เรา  ขณะที่เราวิ่งว่า …

“นี่วิ่งผิดกฎนี่น่า นี่วิ่งผิดระเบียบ  อย่างนี้ปรับฟาวล์ ไปถึงเส้นชัยก็ไม่ได้หรอก ฟาวล์แล้ว”

ถามว่าใครล่ะ ที่มาเชียร์อย่างนี้ วิ่งไป มันก็คอยพูด …

“โอ๊ย! ฟาวล์ แกไปไม่ถึงหรอก ถึงไปก็ไม่ได้รับรางวัล เพราะว่าวิ่งผิดกติกา ถูกปรับโทษให้แพ้ ไม่ได้รับรางวัลที่ตั้งใจไว้หรอก”

ก็คือเสียงของมาร นี่แหละ คือมาถ่วงเรา วิ่งไปแล้ว ก็ต้องหันกลับมาดู …

“เหรอๆ” วิ่งไป กลัวไป  ก้าวขาก็ไม่ค่อยออก

“ผิดตรงไหน?” เผลอๆ หยุดวิ่ง แล้วก็มาคุยกับเขา

“อ้าว! เหรอ” แล้วก็วิ่งต่อ

นอกจากข้างสนามจะมีมาร ผ่านทางเนื้อหนัง มาคอยฟ้อง คอยบอก คอยว่าเราผิดกฎ ผิดระเบียบอะไรก็แล้วแต่ แต่ขณะเดียวกัน  ก็มีอีกข้างหนึ่ง  ก็คือพระวิญญาณพระเจ้าที่อยู่ในเรานั่นแหละ พระวิญญาณของพระเจ้าก็บอกว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

อ๋อ! ไม่มีการลงโทษ ตะกี้ ฝั่งหนึ่ง มารบอกว่า … ‘ฟาวล์แล้ว อย่างนี้ถูกปรับโทษ เป็นฟาวล์ ไม่ได้เข้าสู่เส้นชัย’ แต่อีกฝั่งหนึ่ง พระวิญญาณบอกอย่างนี้ ‘เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ แห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้เรา พ้นจากกฎของบาปและความตาย’ บอกไว้เสร็จเรียบร้อย ผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  แค่นั้นพอแล้ว  เขาก็จะได้รับความรอด ไปสู่ชีวิตนิรันดร์แล้ว อย่าไปสนใจ ไม่ฟาวล์หรอก ชนะเรียบร้อยแล้ว  เพราะเจ้ากำลังวิ่งในกฎของวิญญาณ อย่าไปสนใจมัน และอย่าให้มันถ่วงเรา พอได้ยินอย่างนั้น ก็วิ่งสุดชีวิตต่อไปเหมือนเดิม ก็จะเป็นอย่างนี้

และวิธีการที่จะสลัดทิ้ง สิ่งที่ถ่วงอยู่  หรือห่วง ที่คล้องอยู่ ในข้อ 2 บอกต้องทำอย่างไร? ให้เราจดจ่อไปที่พระเยซู เพ่งมองที่พระองค์เป็นหลักชัยอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่จะวิ่งแข่ง แล้วมัวแต่มองด้านหลัง มองด้านข้าง มองแต่คนเขาประท้วงเรา  มองไปที่พระเยซู ขณะเดียวกัน หูฟังเสียงเชียร์ จากคำพยานรอบข้าง ก็คือบรรดาวีรบุรุษแห่งความเชื่อในอดีต ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว ผู้ชอบธรรมทั้งหลายกำลังเชียร์

“ไปเลย โลทๆ”

ให้เราวิ่งแข่งอย่างนี้แหละ ไม่หันหลังกลับเลย มองข้างหน้าอย่างเดียว พระเจ้าบอกให้เราวิ่ง เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์และไปรับรางวัล ที่รอเราอยู่ เพ่งไปที่พระเยซูคริสต์ คือเป็นผู้เริ่มต้นของความเชื่อ เรามาวิ่ง เพราะว่าเราวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นพระเยซูคริสต์อยู่ข้างหน้าแล้ว ก็จงวิ่งไป จงวางใจไปจนที่สุด จนถึงสำเร็จนั่นแหละ เพราะพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พันธสัญญาของพระองค์เป็นจริงอย่างแน่นอน มันหมายถึงอย่างนั้น

อย่ามัวแต่หันไปดูข้างหลังว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง? เขาบอกเรา เขามาพูดอะไรกับเราบ้าง ให้เราท้อใจ เราเคยทำผิดอะไรมาบ้าง เคยมีบาปอะไรติดตัวมาบ้าง อย่ามัวแต่เฝ้ามองการกระทำในอดีตว่ายังทำไม่ดีพอ ยังอธิษฐานไม่พอ ยังถวายไม่มากพอ ยังเฝ้าเดี่ยวไม่มากพอ ยังประกาศไม่มากพอ ยังทำความดีไม่มากพอ อันนั้นก็ไม่ดีพอ อันนี้ก็ไม่ดีพอ วิ่งไป ลิ้นห้อยไป ไม่ดีๆ

พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ดีพร้อมแล้วๆ เสียงอยู่ที่โน้น เป้าหมายอยู่ที่พระเยซูคริสต์ ดีพร้อม ข้างทางบอกไม่ดีๆ พระเยซูคริสต์ตะโกนเลยบางครั้ง ต้องตะโกนดังๆ ผ่านทางพระวิญญาณบอกว่า …

“ใครเป็นคนบอกว่าแกไม่ดี ใครเป็นคนบอกว่าน้องไม่ดี ก็ฉันเป็นคนบอกว่าเธอดีพร้อมแล้ว ใครเป็นคนบอกว่าไม่ดี?”

นั่นสิใครล่ะ? ก็หันหน้าหันตา

“พระวิญญาณหรือ?”

พระวิญญาณก็บอกว่า “เธอดีพร้อม  ไม่มีการลงโทษใดๆ แล้ว ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วใครล่ะ?”

“รู้แล้ว ตัวฉันเอง”

เสร็จอีก ก็ไม่ถูกอีก … “ตัวฉันเองสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วใครบอกฉันยังไม่ดีพร้อม ใครๆๆๆๆ”

ท่านก็รู้แล้วว่าใคร? ท่านตอบเองสิว่าใคร? ก็มารมันอยู่ข้างๆ คอยฟ้อง มารมีชื่อว่านักฟ้องหมดโลกนี้ คอยกล่าวโทษ เวลามันกล่าวโทษคนที่ยังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มันโอเค มันถูกต้อง  แต่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์หลุดจากการเป็นทาสมันแล้ว  เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นคนดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว มันไม่มีสิทธิ์มาฟ้องเหมือนเดิมอีกต่อไป

“โอ๊ย! ยังไม่ดี ยังทำไม่ดี ยังโกหกเขาอยู่เลย ยังริษยาเขาอยู่ จะเข้าสู่สวรรค์ได้อย่างไร?”

“เอ่อว่ะ”

พอเอ่อว่ะเมื่อไร? ก็เท่ากับไปฟังมันนะ เราต้องบอกว่า …

“ฉันดีพร้อม”

แล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน ไม่ต้องตอบมันบ่อยๆ นานๆ ตอบทีพอ ตอบ แล้วมันแย้งมากๆ …

“ฉันดีพร้อมแล้ว  ไม่มีการลงโทษใดๆ ฉันวิ่งหน้าต่อไป”

หลายคนในวันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นอย่างนี้ ชื่นชมยินดี น้ำหูน้ำตาไหล สารภาพบาป

“ลูกเป็นคนบาป ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มาช่วยให้ลูกเป็นคนที่บริสุทธิ์สะอาด ชำระบาปให้ลูกสะอาดหมดจด ให้ลูกบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดนิรันดร์ ได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์ เป็นลูกของพระองค์นิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญ ขอบคุณพระเจ้า”

ดีใจ เป็นอิสระอยู่แค่ อาจจะไม่กี่วัน  หรือไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี น่าจะไม่ถึงปีหรอก  เป็นอิสระ มีความสุขอยู่ไม่กี่วัน ก็เริ่มไปเจอคำพูด คำสอนว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ  เป็นคริสเตียนแล้วทำไม? พูดแล้วยังขำไม่หายเลยนะ  ทุกคนมีชีวิตอยู่ ผ่านอย่างนี้มาทั้งนั้นแหละ หมายถึงชีวิต เมื่อรับเชื่อแล้วนะ  ก็จะได้ยินเสียงมาร  ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า เสียงมารผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าได้เหรอ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ  ก็มารมันบิดถ้อยคำพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าผิด  และใครสอนถ้อยคำนั้นล่ะ ก็ผู้เชื่อด้วยกันเองนั่นแหละ  เพราะคนอื่นเขาไม่มาสอนถ้อยคำพระเจ้า เราก็ฟังเขา พอฟังไปฟังมา มันก็เป็นอย่างนี้แหละ …

“เป็นคริสเตียนแล้วนะ ได้รับการไถ่บาปแล้วนะ  จากนี้ไป”

เอาแล้วสิ มาแล้ว แต่ก่อนนี้ เริ่มรับเชื่อใหม่ๆ … “เป็นคริสเตียนแล้วนะ สบายแล้ว พระเยซูบอกว่าจากนี้ไป หายเหนื่อยและเป็นสุข เดี๋ยวพระองค์จะนำพา พระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านทั้งหลาย จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ พระองค์สามารถที่จะทำได้ พาท่านไปสู่ความสำเร็จในวันสุดท้ายได้อย่างแน่นอน พระองค์ทรงจูงมือท่านเดินอยู่ ท่านเชื่อและวางใจในพระเจ้าใช่ไหม? บัดนี้ พระเยซูจะจูงมือท่านเดินในหุบเขาเงามัจจุราช ผ่านหุบเขาเงามัจจุราชไปได้อย่างแน่นอน”

แต่นี่ไม่ใช่ … “ท่านได้รับการไถ่บาปแล้วนะ จากนี้ไป ต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตนะ มารมันเต็มไปหมดเลยนะ ระวัง ต้องหมั่นอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องเฝ้าเดี่ยวเป็นประจำ ต้องอดอาหาร อย่าหลุดจากความเชื่อนะ  และต้องระวังตัวให้ดีด้วย อย่าเผลอไปทำบาปอีก ทำบาปซ้ำๆ กัน เดี๋ยวพระเจ้าคายทิ้งเลย ทำอย่างนี้ วันพิพากษาไม่รอดแน่ ถ้ารอด ก็รอดด้วยไฟ แล้วขาดรุ่งริ่ง”

ท่านจะมีกำลังวิ่งไหมเนี้ย ถามจริง ถ้าโดนไปเยอะๆ ท่านก็เข็นครกเยอะหน่อย ถ้าโดนไปน้อยๆ ก็เข็นครกน้อยๆ ถ้าไม่โดนเลย ก็เหนื่อยธรรมดา เบาสบาย ตามที่พระเยซูบอกว่า …

“แอกของเราก็พอเหมาะ พอดี สำหรับแต่ละคน”

เหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าเป็นสิ่งที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะสนิทแน่นอยู่ ที่เราควรสลัดทิ้งออกไปให้หมด เอามันออกไปให้หมด ทุกคนเคยเป็นคนบาป ทุกคนล้วนเคยทำผิดบาป และทุกคนล้วน กำลังทำบาป อันนี้เป็นเรื่องจริง พระคัมภีร์ก็บอกเป็นอย่างนั้น สอนอยู่เชื่อเรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ก็สอนอย่างนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังทำบาปอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกว่าบาปเราได้รับการอภัยโทษ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งบาปในอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตที่กำลังจะทำด้วย

พูดอย่างนี้ หลายคนคงคิดว่าส่งเสริมให้คนทำบาป  รู้แล้วนะ ผมสอนไปหลายครั้งแล้วนะว่าไม่ใช่เลย ไม่เกี่ยวเลย ไม่ส่งเสริม ไม่ได้ด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว ธรรมชาติมันเปลี่ยนไป เป็นตัวตนแท้จริงของเขา มันแพ้บาปแล้ว ทำบาปไม่ได้เลย ผะอืดผะอม ทำนิดหนึ่ง ก็อึดอัดในใจ มันเป็นไปไม่ได้ ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ว่าทุกคนก็เคยทำบาป ล้วนทำบาป แต่อย่าให้มารเอาสิ่งเหล่านี้มาฟ้องเรา ซึ่งทันทีที่เรากลับใจใหม่แล้ว มาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ความบาปผิดทั้งหลายเหล่านั้นในอดีต และในปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้รับการอภัย ได้รับการลบล้างจนหมดสิ้นแล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียว ที่ไม้กางเขน เต็มด้วยฤทธิ์อำนาจ ชำระล้างบาปเราจนหมดสิ้นแล้ว เกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต  พระเยซูเป็นพยาน พระเยซูอยู่ที่เส้นชัยนั้น ตะโกนสิ่งนี้มาให้เราฟังตลอดเวลา เพราะฉะนั้น สลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดว่าเราเป็นคนบาป ทำบาปอยู่ พระเจ้าไม่ให้อภัยแล้ว ลบคำว่าเราเป็นคนบาป  ลบคำว่าความผิดบาปออกไปจากความจำ และเพ่งมองที่พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียว ผู้ลบล้างความผิดบาปของเราทั้งสิ้นแล้ว  มองที่พระองค์อย่างเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ล้มลงไป ก็ลุกขึ้นมา มองไปที่พระเยซู วิ่งไปทางเดียว คือวิ่งไปข้างหน้า อย่าถอยมาข้างหลัง อย่าหันรีหันขวาง

ถามว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังทำตัวแบบมีสิ่งที่ถ่วงอยู่ มีบาปที่เกาะแน่นอยู่ เรายังได้ไปสวรรค์อยู่ไหม? ก็ต้องตอบว่าไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน แต่ก่อนอยู่ มันทุกข์ทรมาน มันไม่สมควรเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มันเหนื่อยเปล่าๆ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ไปยอมมันทำไม? ใช่ไหม? และข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่เราจะเสียโอกาสที่จะได้เป็นพยานให้กับคนอื่นในการบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันเป็นจริงอย่างนี้แหละ ทำให้คนอื่นสังเกตดู และก็รู้ว่านี่คือความหวังใจของคริสเตียนจริงๆ คือเขาพ้นบาปแล้ว เขาได้ไปอยู่ในสวรรค์ ณ วินาทีนี้ ณ เดี๋ยวนี้เลย เป็นมัดจำให้เขา เป็นความหวังที่มีมัดจำ เป็นตัวอย่างให้กับเขาได้ว่าเขาสามารถ ที่จะมาเชื่อแบบเราได้

พระคัมภีร์บอกว่าการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ครั้งเดียวเป็นพอ ที่จะลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ  ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคต แต่อย่างที่บอกเสียงต่อต้าน เสียงฟ้องผิด เสียงชี้นิ้ว มาจากมาร เต็มไปหมดทั้งโลกใบนี้ ทั้งผ่านมาทางเนื้อหนังของเราเอง จากการถูกล่อลวงโดยมาร ส่งกระแส อิทธิพลของข้อมูลความบาป มาฟ้องเรา บอกเรา บางทีกระตุ้นให้เราทำผิดด้วย พอกระตุ้นให้เราทำผิด แล้วตัวมันเอง มันมาฟ้องเรา พูดง่ายๆ ว่าตัวมันเอง เป็นผู้กระตุ้นให้เราทำ นำให้เราทำผิดบาป แล้วตัวมันเอง ก็เป็นคนฟ้องเรา …

“แกทำๆ”

ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำ เราถูกมันล่อลวง จนเราหลุด พลาดไปทำ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจสิ่งเหล่านี้ พระคัมภีร์จึงบอกให้เรามองที่พระเยซูเป็นตัวอย่าง มองที่พระเยซูอย่างเดียว มารมาได้หลายรูปแบบ เราจะมาดูรูปแบบของมาร อ่านข้อ 3 กับข้อ 4 …

ฮีบรู 12:3-4 “3 ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้า และไม่ท้อแท้ใจ  4 ซึ่งอันที่จริงในการต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้ จนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย”

 

“ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงพระองค์ ผู้ทรงอดทนต่อการเกลียดชัง และการต่อต้านจากบรรดาคนบาป” … ให้เรานึกถึงใคร? เวลามีความทุกข์ยากลำบาก ให้เรานึกถึงพระเยซูคริสต์ ซึ่งถูกบรรดาคนบาป ที่ตะกี้ผมบอกว่ามารมันสามารถใช้ได้ทั้งหมด ใช้ระบบของโลกใบนี้ เป็นอาวุธ ใช้คนที่เป็นคนบาป ก็ได้ เป็นเครื่องมือในการเป็นปฏิปักษ์ ข่มเหงรังแกผู้เชื่อทั้งหลาย และสามารถใช้อะไรได้อีก? สามารถใช้อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งมันแอบแฝงอยู่ในร่างกาย และความคิดของผู้เชื่อ อยู่ในร่างกายภายนอกนี้ คอยกระตุ้นให้เชื่อฟัง และทำบาปได้  พลาดไปทำบาปได้เช่นเดียวกัน มารก็จะใช้สิ่งเหล่านี้

ในนี้จึงบอกว่าถ้าเราเจออย่างนี้ ให้เราทำอย่างไร? ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง ให้เราอดทน แต่ตอนนี้ กำลังบอกว่าเราอดทนต่อบรรดาคนบาป พระเยซูคริสต์อดทนต่อบรรดาคนบาป ที่ต่อต้านพระองค์อย่างไร? ก็ทรมานพระองค์ เฆี่ยนพระองค์ จับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน ดูถูกพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้เราดูพระเยซูคริสต์เป็นตัวอย่าง เราจะได้ไม่อ่อนล้า ไม่ท้อใจ ในนี้บอกว่าในการต่อสู้กับบาป … ต่อสู้กับบาป ก็คือ …

(1) ต่อสู้กับเนื้อหนัง กิเลสตัณหา ซึ่งมาเกาะเหมือนปลิง เกาะอยู่ที่ร่างกายของเรา คอยจะส่งกระแสให้เรา ทำผิดบาป พอเราทำบาปปุ๊บ มันก็ซ้ำเติมเลย บอกว่า

“แกทำบาป แกไม่ได้ไปสวรรค์แน่”

แต่พระเยซูบอกว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซูชำระหมดเรียบร้อยแล้ว อย่าไปสนใจมัน  อย่าไปสนใจปลิงพวกนี้ มันเป็นปลิง มันไม่ใช่ตัวเจ้า มันมาเกาะตัวเจ้า มันเองเป็นคนทำทุกอย่าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ เห็นไหม?

(2) อดทนต่ออิทธิพลของความบาป ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่มันเสียหายไปแล้ว โลกที่ได้ถูกสาปแช่งไปแล้วตั้งแต่สมัยอาดัม มันยังคงอยู่ มันยังทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเป็นเรื่องธรรมดา อดทนกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยความเชื่อ อย่าให้มารมาหลอกว่าพอมีเหตุการณ์ไม่ดี ต้องทุกข์ยากลำบาก มันก็จะบอกว่า …

“เพราะแกทำบาป เพราะวันก่อน แกโกหก แกก็เลยได้อย่างนี้ เพราะวันก่อน แกไม่ได้ไปโบสถ์ แกเลยถูกรถชน เห็นไหม? เพราะว่าแกทำอย่างนี้ แกจึงได้รับโทษอย่างนี้”

ไม่ใช่เลย นี่คือการต่อสู้กับมันอย่างนี้ หรือถูกข่มเหงรังแก โดยคนที่ไม่เชื่อ และได้รับอิทธิพลจากมาร มาข่มเหงรังแกเรา เหมือนเปาโลที่อดีต ชื่อเซาโล ข่มเหงรังแกคริสเตียน เพราะว่าความไม่รู้จักข่าวประเสริฐ และถูกครอบงำโดยมาร ลักษณะเดียวกัน เราอาจจะถูกข่มเหงรังแก โดยผู้คน ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เราอดทน

ในนี้บอกว่าอดทน ถึงขนาดยังไม่ได้เสียเลือดเลย คืออดทนหนักถึงขนาดพระเยซูคริสต์ต้องหลั่งเลือด  อาจจะถูกใส่ร้าย  อาจจะถูกอัปเปหิออกจากสังคมของชาวยิว  ไม่ได้สวัสดิการเหมือนแต่ก่อนนี้ อาจจะถูกรังแกสิทธิเสียหายไป อาจจะถูกรังแก ถูกจับ แล้วก็ป้ายความผิด โยนเข้าคุกไป  อะไรอย่างนี้ คือการถูกข่มเหงรังแก โดยมาร ผ่านทางผู้คน

ให้เราอดทน เพราะสิ่งเหล่านี้  คือสิ่งที่มันจำเป็นต้องเกิด เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เดินไปสู่สวรรค์แล้ว สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรค สิ่งเหล่านี้คือข้างทาง ที่จะคอยมาถ่วงเราอยู่ อย่าไปมองมัน มองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เริ่มต้นความเชื่อของเรา  และเป็นผู้ทำให้ความเชื่อนั้นสำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์ทรงสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ให้มองไปที่เป้านี้อย่างเดียวเลย ชัดๆ อย่างเดียวเลย นอกนั้นอดทน … อดทน เพราะมันต้องเกิด มันเกิดแน่นอน แต่อดทน เพราะเรามีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ในชัยชนะที่เรากำลังวิ่งอยู่นี้แล้ว

และขณะเดียวกันที่มันเกิดขึ้นในธรรมชาติอย่างนี้ ในความทุกข์ยากลำบากบ้าง ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ได้หนักหนา สาหัสสากันอะไร เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเจ้าปกปักคุ้มครองดูแลเรา พระเจ้าอยู่ในเรา และพระองค์จะทรงใช้อุปสรรคเหล่านี้ ความทุกข์ยากเหล่านี้ เป็นเครื่องมือของพระองค์เลย นี่แหละยอดเยี่ยมเลย เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างเรา ให้เข้มแข็ง ให้แข็งแกร่ง เพื่อเราจะได้คลอดออกมา ในวันสุดท้าย ด้วยความสง่างาม เป็นลูกของพระเจ้าที่สมเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และตัวเราเองก็ภูมิใจ

ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ พระเจ้าจะใช้เป็นเครื่องมือ ในการที่พระองค์จะได้ทรงสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางชีวิตของเราออกมาได้ เพราะว่าเราผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นยังไงล่ะ เมื่อเราอดทนต่อความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น กล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณ เราจะเจริญเติบโตแข็งแกร่งๆ แล้วค่อยเรียนรู้กันต่อไป สำหรับเรื่องนี้

พระคัมภีร์จึงบอกว่าให้เรามองที่พระเยซูเป็นแบบอย่าง และทำตามอย่างที่พระองค์ได้กระทำมาเรียบร้อยแล้ว คือพระองค์ทรงทนทุกข์ แบกรับกางเขน และไม่สนใจในความอัปยศของไม้กางเขน เพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า อดทนคนข่มเหงรังแก คนเอาไปเฆี่ยนตี ด้วยความทุกข์ทรมาน ตรึงพระองค์ ดูถูกพระองค์ พระองค์ทนได้ เพราะความยินดีในข้างหน้าว่าการกระทำอย่างนี้ เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อมนุษยชาติทั้งหลายจะได้รอดพ้นจากนรก พ้นจากความพินาศ  พ้นจากการเป็นทาสของมาร ให้เราทำอย่างเดียวกันอย่างนั้นแหละ

นี่คือเสียงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่คอยเชียร์เรา พร้อมทั้งวีรบุรุษแห่งความเชื่อดั้งเดิม ที่ตะกี้นี้บอกไว้ ทั้งอัฒจันทร์กำลังเชียร์เรา  พระเยซูก็เชียร์เราอยู่ ให้เราอดทน เต็มไปด้วยความหวัง วิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูบอกว่าเราได้รับชัยชนะเรียบร้อยแล้ว เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อดทน รอคอยเท่านั้น เราเกิดแล้ว เราอดทนรอคอยคลอดเท่านั้นเอง เราชนะโลกนี้ไปแล้ว ใน 1 ยอห์น 4 บอกว่าเราชนะโลกนี้แล้ว ใครเล่าที่ชนะโลก โลกเต็มไปด้วยความสาปแช่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยนรกทั้งนั้น ใครล่ะ ที่ชนะโลกนี้ พระคัมภีร์พูดชัดเจน ก็เขาผู้นั้นไง ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เขานั่นแหละ คือผู้ที่ชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ลำบากทุกอย่างเป็นหยากเยื่อ อย่าให้บาปที่เราทำพลาด ทำผิดตั้งแต่ในอดีต หรือในปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม มาเกาะถ่วงเรา ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะเขาชนะโลกแล้ว ไม่มีการลงโทษสำหรับเขาอีกต่อไป ชีวิตเขาก็คือรับรางวัลชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์สถาน อย่างเดียวเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าในนามพระเยซู  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

อย่างนี้! เรียกว่า “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” … “ไม่สมฐานะ” …

คริสเตียนได้อยู่ในพระคริสต์  แต่ยังสวมเสื้ออาดัม  เป็นผู้บริสุทธิ์  แต่ยังสวมเสื้อสกปรก  เหมือนเกิดเป็นคน  แต่ยังสวมเสื้อลิง

โคโลสี 3:12-14 “12 เหตุฉะนั้น  ในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้  เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก (เป็นลูก) จงสวมความเมตตา ความปรานี ความถ่อม ความอ่อนสุภาพ ความอดทนไว้นาน 13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด  ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน 14 แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์”

อย่างนี้สิ!  เรียกว่าสมฐานะลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ราชาจอมราชาพระเยซูคริสต์

 

โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมา เพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

 

เชื้อบาปก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณ ที่ทำให้มนุษย์ถึงตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนคนเดียว คืออาดัม  ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง  ก็คือปฏิเสธการรักษานั่นเอง

 

1 ยอห์น 1:8-10  “8 ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเราเลย 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”

 

ถ้าท่านยอมรับความจริง  พระเจ้าสามารถรักษาท่านให้หาย  ผ่านทางพระเยซูคริสต์  ฉะนั้น ยอมจำนนต่อความจริงแล้วรับการรักษาเถิด

บางคนพูดว่า  “ฉันไม่ได้ติดไวรัสบาป แต่มีอาการ เดี๋ยวก็หาย”

ท่านคิดอย่างไร?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1330

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 3

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้เป็นตอนที่ 3 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ประเด็นหลักๆ ที่สรุปและย้ำกันมาตลอดในเรื่องนี้ ก็คือ …

          (1) การพิพากษาลงโทษมนุษย์ในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อหรือคริสเตียนอย่างแน่นอน

          (2) การกระทำใดๆ ของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือทำชั่ว ก็ไม่มีผลใดๆ ในโลกวิญญาณ ไม่มีการตัดสินลงโทษ ทำดีก็ไม่มีบำเหน็จรางวัลพิเศษใดๆ ในสวรรค์

          (3) ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า    ทุกคนได้เท่ากันหมด    ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าคนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย คือไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร? ไม่มีใครได้รับบำเหน็จรางวัลมากกว่าใครเลย

นี่พระเยซูตรัสเองนะ ทุกคนตกใจ ต้องกลับไปฟังทวนใหม่ กลับไปฟังทวนหลายๆ วันที่ผ่านมา 5 – 6 ตอน คิดอยู่ใช่ไหมว่าจะพูดอะไรต่อไป  ฟังเสร็จแล้ว ต้องบอกว่าแต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดมาก ใครที่ได้ฟังแค่นี้แล้ว แล้วคิดในใจว่า …

“ถ้าอย่างนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้ จะใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้ จะทำชั่ว ทำบาปอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องทำความดีเลย ก็ได้ เพราะไม่เกิดผลอะไรๆ กับเราเลย ไม่มีใครระมัดระวังตัวเลยใช่ไหม?”

ใครก็ตามที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ ต้องมีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คิดว่าทำงานบนโลกใบนี้แล้วจะมีรางวัลพิเศษ ยิ่งคิดใหญ่เลยว่า …

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีใครอยากทำดีเลยสิ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว”

ใครที่กำลังคิดเช่นนี้ กรุณาฟังคำบรรยายวันนี้ให้จบด้วยนะครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก ต้องฟังให้จบว่าผมหมายความว่าอย่างไร?

สิ่งที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ คือผมกำลังจะพาท่าน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปถึงแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ไม่อยากให้ข่าวดีของพระเจ้าถูกดิสเครดิต ถูกทำให้มันด้อยลง ถูกทำให้เสียหายด้วยสติปัญญาความคิดของมนุษย์ คิดกันเองเป็นอย่างนั้น

แก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าการกระทำของผู้เชื่อบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนในการพิพากษาหลังความตายเลย บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ ก็ 6 ตอนที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ได้บอกอย่างนั้นใช่ไหม? มันเรื่องจริงใช่ไหม? ท่านลองไปศึกษาดู ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า มันจึงเป็นข่าวดีไง ถ้าเผื่อเรายังคิดถึงการกระทำของเราเอง  มันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกกว่าความเชื่ออื่นๆ หรือหลักการของศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงปัจจุบัน หรืออนาคตที่มี ก็ต้องพึ่งการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ใช่หรือไม่? แล้วมันจะไปเกี่ยวอะไรกับข่าวดีล่ะ ก็ไม่ใช่ข่าวดี ก็ข่าวธรรมดาอยู่แล้ว แต่พระเยซูมา เพื่อประกาศข่าวดี มีข่าวดีเดียวในโลก ในเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติที่ได้ยิน คือข่าวดีของพระเยซู คือไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดีหรือชั่วไม่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำนะว่าการกระทำของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ก็ตาม มีความหมายและมีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเหมือนกัน

โคโลสี บทที่ 3 ที่มีการตีความเรื่องนี้  เรื่องการลงโทษและรางวัลที่จะได้รับหลังการตาย ไม่ตรงตามหลักความจริงของข่าวประเสริฐ เราลองมาพิจารณากันดู ด้วยจิตใจที่เปิดออก ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา โคโลสี 3:23-25 …

โคโลสี 3:23-25  “23 ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใด จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์ 24 เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล องค์พระคริสต์เจ้านี่แหละ คือผู้ที่ท่านกำลังรับใช้อยู่ 25 ผู้ใดทำผิดก็จะได้รับผลตอบสนองตามความผิด และไม่มีการลำเอียง เข้าข้างใครเลย”

 

ประเด็นที่หลายคนยังเข้าใจผิด ในความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ก็คือเรื่องของรางวัลกับผลตอบสนองตามความผิด ในข้อ 24 และข้อ 25 ใช่ไหมครับ? อันนี้ต้องใช้ความคิดนิดหนึ่ง

ข้อ 24 บอกว่าอย่างนี้ … “เพราะท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นรางวัล”

หลายคนก็ไปแปลความหมายพระคัมภีร์ข้อนี้ว่าหมายถึงการรับใช้พระเจ้าบนโลกนี้ จะส่งผลให้เราได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น ในสวรรค์ ยิ่งรับใช้เยอะ ยิ่งได้รางวัลเยอะในสวรรค์ ถูกไหม? มีคนคิดอย่างนั้นใช่ไหม?

ซึ่งจริงๆ แล้วข้อนี้ ก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่ารางวัลที่ได้รับ คือมรดก  ท่านผู้ที่เชื่อ เป็นคริสเตียน จะได้รับมรดก จากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นรางวัล เพราะฉะนั้น รางวัลของเรา ก็คือมรดก

มรดก แปลว่าทรัพย์สินของผู้ตาย ที่ตกทอดแก่ทายาท  ผู้รับมรดกได้รับสิ่งนี้มา เพราะว่าเป็นทายาท ไม่ใช่ได้รับมา เพราะทำดีนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย  เห็นไหมครับ? ชัดเจนเลย

พระคัมภีร์ยังบอกอีกว่าเมื่อเรามาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงให้เราบังเกิดใหม่เลย และบังเกิดใหม่เป็นทายาท พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมายืนยัน และเป็นพยานในใจเราเลยว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และเป็นทายาท

การเป็นทายาทตรงนี้แหละ คือสิทธิ์ในการรับมรดกของพระองค์ โดยอัตโนมัติทันที ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งดีหรือชั่ว แค่เชื่อปั๊บ เกิดใหม่ ได้รับมรดกนี้ทันที ไม่มีตรงไหนบอกว่าให้เราเป็นทายาทก่อน แล้วถ้าทำความดีเยอะ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จะได้รับมรดกเป็นรางวัล ไม่มีที่ไหนเป็นอย่างนี้นะ แม้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นมนุษย์ก็ยังไม่ได้กระทำกันอย่างนี้ด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาท่านอ่านพระคัมภีร์ เจอคำว่า “บำเหน็จ” หรือ “รางวัล” ท่านก็จะได้เข้าใจแล้วว่ารางวัลหมายถึงมรดก  มรดกหมายถึงรางวัล ก็มีอยู่ 2 อัน ไม่ต้องทำอะไรเลย  ได้รับรางวัล   ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ได้รับมรดก ว่ากันตามจริงแล้วพอพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มรดกก็ตกทอดถึงมนุษย์ทุกคนแล้ว ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าก็เป็นของเขาแล้ว แต่เขาไม่มาใช้สิทธิ์ เมื่อมาใช้สิทธิ์ของเขา เขาก็ได้รับมรดก เหมือนเดิมนั่นแหละ

ท่านเห็นภาพไหมครับว่ามันจะไม่เท่ากันได้อย่างไร? เพราะมันเป็นมรดก พระเยซูคริสต์กระทำให้เราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม ทั้งหมดนี้เป็นมรดกที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว มรดกถึงทำงาน

ท่านรู้ไหมครับคำว่า “มรดก” ในพระคัมภีร์ภาษาไทย ยังแปลได้อีกความหมายหนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นคำเดียวกันกับที่ใช้ในพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ หรือเรียกว่า New testament คือมรดก  เพราะฉะนั้น เมื่อท่านถือพระคัมภีร์ใหม่  ท่านกำลังถือมรดก พินัยกรรมที่พระเยซูทิ้งไว้ให้กับท่าน ทำให้กับท่าน นั่นแหละ คือมรดก ยังไม่ทำอะไร ท่านก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจะมาทำเพิ่มอย่างไร ก็ได้เท่าเดิมนั่นแหละ มันเพียงพอแล้ว และผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน คือผู้ที่ได้บังเกิดใหม่และเป็นทายาท เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน จึงได้รับมรดก เป็นรางวัลเท่ากัน

คำว่า “รางวัล” ในภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกใช้คำว่า “Reward” คือภาษาไทย เนื่องจากจะทำเป็นพหูพจน์ ทำยาก รางวัลหลายๆ รางวัล แปลว่าเป็นรางวัลเฉยๆ ก็พอ แต่ในภาษาอังกฤษจะมี “S” หรือไม่มี S” คือเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ แค่ตัวเดียวเอง เพราะฉะนั้น ภาษาอังกฤษตรงคำว่ารางวัล ใช้คำเอกพจน์ เป็นหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่ามีอยู่แค่รางวัลเดียว คือรางวัลนั้นเป็นมรดก มรดกเดียว  ที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับเหมือนกันหมด เท่ากันหมด ซึ่งก็คือชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ วิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายใหม่ และจะไปอยู่ในสวรรค์ โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมให้กับเรานิรันดร์กาล นั่นแหละคือมรดก ไม่มีรางวัลพิเศษ ไม่มีเสื้อคลุมพิเศษ หรือที่นั่งพิเศษ  หรือบ้านใหญ่พิเศษ  หรือมีบริวารอยู่ในบ้าน อยู่ในสวรรค์ พิเศษกว่าบ้านอื่นๆ  เพราะเราอยู่บนโลกใบนี้ เราทำเยอะ เรารับใช้มาก เราประกาศเยอะ เราอธิษฐานมาก ไม่มี

ในข้อ 25 ตรงนี้น่าสังเกต บอกว่า “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิด และไม่มีการลำเอียงเข้าข้างใครเลย”

ฟังตรงนี้ ก็รีบมาแย้ง อ้าว! ในนี้เขียนไว้นี่ไง “ผู้ใดทำผิด ก็จะได้รับผลตอบสนอง ตามความผิดไง ไม่มีการลำเอียงอีกด้วยต่างหาก”

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงผลกระทบที่ท่านทำ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม การกระทำบนโลกใบนี้ จะได้รับผลตอบสนอง ไม่มีลำเอียงเด็ดขาด การกระทำของมนุษย์ทุกคน มีผลต่อการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน จริงๆ และเปาโลยังย้ำด้วยว่าไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างใครเลย พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล อาจารย์เปาโลกำลังจะเตือนผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ใช่เป็นลูกพระเจ้า เป็นทายาท แล้วจะมีสิทธิพิเศษ จะทำอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

ก็เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ เรื่องเกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลกใช่ไหม? นี่คือกฎบนโลกใบนี้ วันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ ก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แรงดึงดูดของโลก คือขึ้นไป ตกแน่นอน โยนเงิน โยนก้อนหินขึ้นไป มันร่วงลงมาแน่นอน แต่ท่านอยู่ในสวรรค์ลอยได้ พระเยซูลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย อีกหน่อยเราได้รับร่างกายใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็อยู่ในกฎใหม่ ก็ลอยได้เหมือนกัน ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าสร้างกฎนี้ขึ้นมา คือกฎแรงดึงดูดของโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงๆ เชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอยู่จริงๆ ถ้าเราไปยืนอยู่ที่ระเบียงตึกสูงๆ โดยไม่เคารพต่อกฎของวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ต้องว่าเป็นกฎของวิญญาณ เพราะว่ามองไม่เห็น แต่เป็นวิญญาณที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นกฎของสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง คือกฎของแรงดึงดูดของโลก ถ้าเราไม่ระมัดระวัง แล้วเราก็ก้าวพลาด เกิดอะไรขึ้น แรงดึงดูดของโลก ซึ่งเป็นกฎ ก็จะทำงาน ก็จะทำให้ท่านร่วงตกลงมาอย่างแน่นอน เจ็บตัวอย่างแน่นอน ไม่มีการเห็นแก่หน้าผู้ใด  พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ตาม แรงดึงดูดของโลกไม่มีความลำเอียง เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่ ไม่มีการเข้าข้างใครเลย มันหมายถึงตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นคริสเตียน ไปยืน ก้าวพลาดมาตะโกนขอพระเยซูช่วย พระเยซูลงมารับ อย่างนั้นมีในหนังอย่างเดียว  ถ้าในหนังเป็นไปได้ โดยเฉพาะ หนังกำลังภายใน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันไม่มี

ถ้าใครไม่ระมัดระวัง ไปยืนกลางทุ่งนา ใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะที่มีฝนตกฟ้าร้อง ก็ถูกฟ้าผ่าตาย แม้ไม่เคยสัญญากับใคร ก็ถูกฟ้าผ่าตาย ต่อให้เป็นคริสเตียนที่เชื่อพระเจ้าอย่างมากมาย ก็ถูกฟ้าผ่าใช่หรือไม่? หรือว่าผ่าเฉพาะคนเลว คนที่ไม่เชื่อ คนที่เชื่อแล้ว ไม่ถูกฟ้าผ่าแล้ว อย่างนั้นหรือ?

ใครที่ขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร หรือขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็โดนตำรวจจับ ปรับโทษทุกคน พอตำรวจเรียกเรา เราเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว

เราบอก … “หมวด ผมเป็นคริสเตียน ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์”

หมวดก็บอกว่า … “โอเค เอาไป 2 ใบเลย ใบหนึ่ง คือฝ่าฝืนกฎจราจร อีกใบคือฝ่าฝืนเจ้าหน้าที่”

ถูกปรับพิเศษกว่าชาวบ้านเขาอีก ใช่หรือไม่?  ลองคิดตามดู นี่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้คริสเตียนและคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ก็ฟังไปด้วย ใครที่ไปทำร้ายคนอื่น ดูหมิ่นคนอื่น ก็ถูกปรับโทษตามกฎหมาย กฎหมายไม่มีการลำเอียง ไม่มีการเข้าข้างผู้ใด และใครเป็นคนดูแลกฎหมาย ผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณและบนโลกใบนี้ มีผู้พิพากษาผู้หนึ่ง ที่ดูแลทุกอย่างอย่างยุติธรรม สำหรับมนุษย์ทุกคน สิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนโลกใบนี้ แน่นอน 100%

ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเอาน้ำกรดไปรดต้นไม้ ต้นไม้มันจะอ้างไม่ได้เลยว่าไม่ตายได้ไหม? มันเป็นไปตามกฎ คนไหนหายใจ แล้วไม่มีอ๊อกซิเจนเพียงพอ ออกซิเจนทำให้ชีวิตอยู่ได้

“ผมเป็นคริสเตียน เพราะฉะนั้น ผมกลั้นหายใจก็ได้ ไม่ตายหรอก พระเจ้าช่วยผม” เป็นอย่างนั้นหรือ?

กฎที่พระองค์ทรงวางไว้ว่าชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องอาศัยอ๊อกซิเจน ไม่มีออกซิเจนก็ตาย หายใจเอาคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เข้าไปมากๆ ก็ตาย จะทำดีทำชั่ว ก็ตายนั่นแหละ เราจึงจะเห็นภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้

สิ่งที่ผมได้ย้ำตลอด เสมอมาว่าการกระทำของเราในร่างกายนี้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือจะชั่วก็ตาม ไม่มีส่วนใดๆ ในการพิพากษา หรือการพิจารณารางวัล หลังความตายเด็ดขาด  ไม่มีเลย มันคนละกฎกัน พอหลังความตายแล้ว กฎที่เรายืนอยู่ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์” ไม่ใช่กฎของความบาปและความตาย การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  กฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว แล้วมันล่มสลายลงไป  ย้ำอีกทีหนึ่งว่ามันไม่มีจริงๆ

ตรงนี้ คือหัวใจ ความจริงของข่าวประเสริฐ ที่จะทำให้เราเป็นไท ทุกคนเป็นไท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ลูกของพระองค์ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อแล้ว เป็นไท ไม่กลัวการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย ไม่กลัววันแห่งการพิพากษาลงโทษอีกต่อไป นี่คือความจริงที่จำเป็นต้องรับรู้และใส่ใจให้มากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือการกระทำชั่วไม่สำคัญ ผมรู้ ท่านก็แย้งในใจ ผมเองในอดีตก็เคยคิดอย่างนี้แหละ

“สอนอย่างนี้ คนอื่น ฟังแล้วเหมือนเราไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำหรือไง”

ผมไม่ได้หมายความว่าการกระทำดี หรือกระทำชั่วไม่สำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ำอีกทีไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น การกระทำดี ทำชั่วบนโลกใบนี้ เมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็น คริสเตียนแล้วพระเยซูจะเป็นผู้นำพาสอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม ตามธรรมชาติของวิญญาณ ที่เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ตัวตนภายในได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตอนรับเชื่อแล้วนั่นแหละ ให้มันสมศักดิ์ศรี เป็นลูกของพระเจ้า แล้วใครจะช่วยเรา สอนเรา ฝึกเรา เหมือนเด็กเกิดใหม่ พ่อแม่สอนตั้งแต่นอนแบเบาะ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง มนุษย์เป็นอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ มนุษย์ก็ต้องเดินได้ นี่ยังเดินไม่ได้ พ่อแม่ประคบประหงม เพื่อให้เขาค่อยๆ เรียนรู้ตามธรรมชาติ เพราะว่ามนุษย์ต้องเดินได้ตรงๆ ไม่ใช่คลาน เขาก็ฝึกฝนตั้งแต่นอนแบเบาะ เริ่มหัดพลิกตัว ใครไปฝึกเขาหัดพลิกตัว พ่อแม่ช่วย แต่ช่วยตามธรรมชาติของเขา ฝึกพลิกตัวปุ๊บ ฝึกคลาน แล้วก็คลานต่อไปเรื่อยๆ ได้ไหม? ไม่ได้ เพราะธรรมชาติของเขาเป็นมนุษย์ เขาจะต้องเดินในที่สุด  และใครช่วย? พ่อแม่ช่วย ฝึกฝน เริ่มคลาน ตั้งไข่ แล้วก็เริ่มเดิน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น หน้าที่ในการฝึกฝนให้เราดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า คือหน้าที่ของพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา พอเราบังเกิดใหม่ พระวิญญาณได้รับหน้าที่นี้เลย คือเป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลประคบประหงมเรา เหมือนพ่อแม่ดูแลเด็กๆ เกิดใหม่ ทารกเกิดใหม่ พระองค์จะสอนเรา นำเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้เรากระทำดี (ดีจริงๆ)  ดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ดีตามสติปัญญาของพระเจ้า ดีกว่าเดิมอีก ดีกว่าก่อนที่เราจะเกิดใหม่ จะรับเชื่อพระเจ้า แล้วเราคิดว่าเราทำดีแล้ว ตอนนี้ดีกว่าเดิมอีก คือไม่ใช่การกระทำดีอันเนื่องมาจากความกลัวกฎหมาย กลัวการถูกลงโทษ ใช่ไหม?

อดีตก่อนเราจะรับเชื่อพระเจ้า ก่อนเราจะเกิดใหม่ เราทำดี เพราะเรากลัว เรากลัวกฎหมายลงโทษ เรากลัวตายแล้วจะตกนรก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสอนเราให้กระทำดีตามธรรมชาติภายใน ดีกว่าเดิมอีก คือจะสอนเราให้ทำดี จากธรรมชาติตัวตนที่แท้จริง ภายใน ที่บังเกิดใหม่ ที่เป็นความรัก ที่เป็นลูกของพระเจ้า ออกมาตามธรรมชาติเลย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรัก เพราะมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นเอง …

“ไม่ใช่กระทำ เพราะว่ามีกฎห้าม กฎเขาไม่ได้ห้ามหรอก แต่ฉันก็ไม่ทำ ฉันไม่ทำ ไม่ใช่ฉันเป็นคนดีหรอกนะ ฉันไม่ทำ เพราะว่าฉันไม่มีธรรมชาติที่ชอบแบบนั้น ฉันเกิดใหม่แล้ว” อย่างนี้เป็นต้น “เหมือนฉันเป็นปลา ฉันก็จะอยู่ในน้ำ อยากอยู่ในน้ำๆ เอาฉันไปขึ้นบก ฉันก็ดิ้นพร๊ากๆ”

ผมเคยบอกว่าพอเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านจะเริ่มต้นแพ้แล้ว แพ้อะไร? แพ้ความบาป เคยนึกถึงคนที่แพ้อาหารทะเลไหม? กินปุ๊บ พุพองขึ้น จะอาเจียน พะอืดพะอม กินอาหารทะเลไม่ได้เลย  ไม่มีใครห้ามเขานะ ไม่มีกฎอะไรห้าม กินอาหารทะเล แต่เขากินไม่ได้ เพราะตัวเขาเอง แพ้ ในทำนองเดียวกัน เป็นคริสเตียนแล้วแพ้ความบาป พระเจ้าไม่ห้าม อยากจะทำบาป เชิญทำเลย แต่ทำทีไร มันแพ้ มันพะอืดพะอม ทางวิญญาณไม่สบายใจเลย นั่นแหละ หน้าที่ของพระวิญญาณจะสอนเราว่า …

“ทำอย่างไร ลูกเอ่ย ถึงจะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้มีความสุข มันจะได้ไม่แพ้ ไม่บวม ไม่ปวด ไม่เมื่อย  ไม่พะอืดพะอม ไม่เป็นพิษ”

นี่คือข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้า การได้รับรู้ความจริงเหล่านี้ ยิ่งเป็นการให้เกียรติ ให้ความเคารพ ยำเกรงพระเจ้า ให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้นด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่? ใช่

การรับรู้ความจริงเหล่านี้ มันกลับกลายเป็นเน้นให้เราเคารพยำเกรงพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ไม่มีลำเอียง ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลย เราจะให้ความสำคัญกับความประพฤติ การกระทำบนโลกใบนี้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะเรารู้แล้วว่าความจริงคืออะไร? เรารู้ว่าความจริงตัวเราเป็นใครในพระคริสต์ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว นั่นเอง นี่คือข่าวดีของพระเยซู คือพึ่งในพระองค์ทุกอย่าง ทุกสิ่ง แล้วมันเป็นจริงๆ ด้วย พระคริสต์อยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ นี่คือหัวใจของคริสเตียน คือพระคริสต์อยู่ในเรา ทำการงานอยู่ในเรานั่นเอง

สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ก็คือให้ความสำคัญมากกว่าเดิม ที่ถูกสอนให้กระทำแต่สิ่งที่ดี ตามบทบัญญัติ ตามกฎเกณฑ์ของศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นความเชื่อต่างๆ ศาสนาอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่เรื่องของข่าวดี แม้กระทั่งศาสนาคริสต์ก็เหมือนกัน แม้ว่าถ้าท่านทำข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นศาสนาคริสต์ ท่านก็จะพึ่งพาการกระทำของตนเอง ท่านก็ให้ความสำคัญกับการกระทำอีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้  เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับการกระทำ แต่ให้ความสำคัญมากกว่าการสอนตามบทบัญญัติของหลักการของศาสนา ซึ่งมีบทลงโทษบนโลกใบนี้  ขู่ให้กลัว บอกห้ามอะไรต่างๆ เหล่านั้น

นี่คือความหมายของข้อ 23 ที่บอกว่า … “ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะทำสิ่งใดๆ จงทุ่มเททำอย่างสุดใจ เหมือนทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อมนุษย์”

“เหมือนทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้า” ก็คือให้ทำด้วยสุดใจ ให้รู้ว่าพระวิญญาณกำลังนำท่าน กำลังสอนท่านให้สมฐานะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ในทิตัส 2:12 ได้ยืนยันตรงนี้ …

ทิตัส 2:12 “พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บังเกิดใหม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

 

“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” ก็คือสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ตะกี้ผมพูดมา ถ้อยคำพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ จากความกลัว และพร้อมที่จะเผชิญกับความตาย หรือการจากร่างกายนี้ ไปสู่โลกวิญญาณ  แล้วเราจะเห็นความตาย เป็นประตูแห่งชัยชนะสุดท้ายของเรา ที่จะนำพาเราหลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ซึ่งการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความทุกข์ลำบาก นี่ก็คือกฎของพระเจ้า ที่จัดการ เพราะพระเจ้าลงโทษ สมัยอาดัมมอบโลกใบนี้ให้กับมารไปแล้ว เชิญพระเจ้าออกไปจากโลกใบนี้แล้ว คำสาปแช่งเข้ามา มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันมีวันสิ้นสุดของมัน โลกนี้มันเสียหาย ล่มสลาย พร้อมมนุษย์ทั้งหลาย ถูกสาปแช่ง ล่มสลายไปตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ สมัยบรรพบุรุษของเรา อาดัมแล้ว มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ  เราแค่อดทน รอคอย อีกแป๊บเดียว อีกไม่กี่ปี เราก็จะได้พักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ด้วยความสุขอันแท้จริง อยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูในสวรรคสถานเป็นนิรันดร์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอีกเลย และนี่คือมรดก รางวัล สำหรับผู้ที่มาเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าเมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ หลังจากทิ้งร่างอันอ่อนแอ อันด้อยนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ระบบเก่าบนโลกใบนี้ที่ถูกสาปแช่งไว้นั้น มันก็ได้สูญสิ้นไปจากเราแล้ว เราก็จากมันไปเลย และเราจะอยู่ในโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ ให้กับเราทั้งหลายในสวรรคสถาน ได้อยู่อาศัยในครอบครัวของพระคริสต์ คือครอบครัวของผู้เชื่อทั้งหลาย  ร่วมกับพระคริสต์ ร่วมกับพระเจ้าเป็นนิรันดร์เลย นี่คือมรดกรางวัลสำหรับผู้เชื่อ

ถามว่า “เชื่อแล้วต้องทำอะไร? ต้องทำไม๊?”

“ทำสิ”

“ต้องทำอะไรล่ะ”

“อดทน รอคอย”

แสดงว่าทุกอย่างมันเสร็จหมดแล้ว เพียงแต่อดทน รอคอย รอรับ เข้าคิว แป๊บเดียวเอง ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำ  พระวิญญาณทำให้เรา นำพาชีวิตเรา เราแค่อดทนๆๆ และอดทน พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสืออิสยาห์ 65:17-19 ย้ำยืนยันให้เรารอคอย รอคอยอะไร? รอคอยวันเวลาที่เราจะออกจากร่างนี้ หมดสิ้นกันที ประตูแห่งชัยชนะของมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความตาย … ความตาย คือชัยชนะสุดท้าย  การจากร่างนี้ไป คือชัยชนะสุดท้าย อดทนแค่อีกไม่กี่ปี  กี่เดือน เราก็จากไป และตอนจากไปนั่นแหละ คือชัยชนะสุดท้าย ชัยชนะนิรันดร์ สุดท้าย และสิ่งที่เราจะได้รับ ก็คือเหล่านี้แหละ  นี่คือตอนหนึ่งที่พระเจ้าได้ตรัสให้เราได้รู้ว่า … “อดทนนะลูกเอ๋ย แล้วเจ้าจะเห็นอะไร?”  อิสยาห์ 65:17-19 …

อิสยาห์ 65:17-19  “17 ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ จะไม่มีใครจดจำ หรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป 18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป ในสิ่งที่ เราจะสร้างขึ้น เพราะเราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี 19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม และชื่นชมในตัวประชากรของเรา ที่นั่น จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป”

 

“เราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความยินดี และให้ชาวเยรูซาเล็ม” … เยรูซาเล็ม คือใคร?  คือผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นธรรมิกชนของพระเจ้า ที่เชื่อในพระเจ้า  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นั่นแหละ “จะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ให้ได้ยินอีกต่อไป” นี่พระเจ้าตรัสเลยนะ ดังนั้น ในวันเดินทางเข้าสู่สวรรค์สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีในพระเยซูคริสต์ วางภาระลง ไม่ต้องกลัว เดินเข้าไปสู่ชีวิตหลังความตาย ด้วยความร่าเริง และด้วยความมั่นใจได้แล้ว เพราะท่านไม่ได้นำเอาความผิดบาป ที่ได้กระทำบนโลกใบนี้ไปกับท่านด้วย พระเจ้าบอกว่าพระองค์ลืมการละเมิด ความผิดบาปของท่านบนโลกใบนี้ทั้งสิ้น และจะไม่จดจำมันอีกเลย อยากรู้ไหมพระเจ้าพูดตรงไหน? ฮีบรู 10:16-17 จริงๆ พูดหลายแห่ง แต่อ้างข้อนี้ก็ได้ ฮีบรู 10:16-17 ไม่ต้องกลัว …

ฮีบรู 10:16-17  “16 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เดินทางเข้าสู่สวรรค์ แม้แต่ตัวเราเอง ตัวท่านเองที่เชื่อ ก็จะไม่สามารถจดจำการกระทำผิดบาปของตัวเองเลยด้วยซ้ำไป

ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงวันที่จากโลก ทิ้งร่าง เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ท่านเองไม่ได้พกเอาความบาปไป และท่านก็จดจำความผิดบาปที่เคยทำไว้บนโลกใบนี้ไม่ได้เหมือนกัน พระเจ้าลืม ท่านก็ลืมเหมือนกัน ท่านพอเข้าใจไหม?

ผมเคยได้ยินคำพยานหลายคนเลยนะว่าแม่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว พออายุมากๆ แล้ว แม่เป็นอัลไซเมอร์ แต่จำเรื่องพระเจ้าได้หมดเลย เรื่องอื่นจำไม่ได้เลยสักนิดหนึ่ง นี่เรื่องจริงๆ นะ นี่ยกเปรียบเทียบให้ท่านฟังเท่านั้นเองว่าถึงวันนั้น วันที่ท่านทิ้งร่างกายสกปรกนี้ไปแล้ว ท่านก็ไม่สามารถที่จะจดจำอะไร ที่ได้กระทำในร่างกายนี้ ความชั่วอะไรต่างๆ เพราะวิญญาณและใจใหม่ที่เดินทางไปสู่สวรรค์นั้น นึกให้ดีๆ ใจใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ วิญญาณใหม่ที่พระเจ้าทรงให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้านั้น ที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้  เรารับเชื่อปุ๊บ ก็เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไม่มีความคิดสกปรก ไม่มีความจำเรื่องความชั่วร้ายอีกเลยแม้แต่นิดเดียว และท่านไปเฉพาะวิญญาณและความคิดจิตใจของท่าน ที่เกิดใหม่เท่านั้น เพื่อไปรับร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น ส่วนร่างกายเก่า โปรแกรมเก่า ที่เคยมีอิทธิพลความบาปมาเขี่ยๆ อยู่ มันได้ตายไปพร้อมกับร่างกายอันด้อย ที่ดำเนินบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว มันถูกเผาไปแล้ว มันถูกฝังไปแล้ว มันจบไปแล้ว ตัวท่านเองไป ตัวท่านจริงๆ คือวิญญาณ  และความคิดจิตใจใหม่ที่เกิดใหม่นั้นแหละ

อย่างที่ได้เรียนมาหลายตอนแล้ว คือวิญญาณเรา ความคิดจิตใจเราบังเกิดใหม่ ตั้งแต่เราเริ่มต้นรับเชื่อพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาป ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ผ่าตัดชีวิตของเรา ให้วิญญาณเราได้ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เหมือนพระเยซูเลย ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าทันทีทันใด ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ร่างกายยังเป็นร่างกายเดิม ซึ่งตกอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่ ใต้กฎของความบาปและความตายมาตั้งแต่สมัยอาดัม มันต้องตายลงสักวันหนึ่ง มันต้องหมดสิ้น แต่มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา มันเหมือนเสื้อ เสื้อเก่ามันก็ต้องถูกทิ้งไป ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและความคิดจิตใจ นั่นแหละ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเยซูแล้วตอนนั้น  และเวลาเราออกจากร่าง ก็ออก แต่ตัวตนจริงๆ เท่านั้น ทิ้งเสื้อไว้ วิญญาณและความคิดจิตใจตัวจริงๆ ก็ออกจากร่าง ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เวลาเท่าไร? ไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ? ก็คือแค่พริบตาเดียว หลังจากที่เราผลักประตูเข้าไปสู่มิติสวรรค์ มิติวิญญาณ รับร่างกายใหม่ ก็เหมือน ใส่เสื้อผ้าใหม่

รับร่างกายใหม่ จำไว้นะวิญญาณและความคิดจิตใจใหม่อยู่แล้ว ทิ้งร่างเก่านี้ไปปุ๊บ แค่พริบตาเดียว เสี้ยววินาที แป๊บ เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่ คือร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนเป็นขึ้นจากความตาย  ท่านก็จะไม่มีความบาป ความชั่วร้าย  ไม่มีความสกปรกโสโครก ในความคิดจิตใจ ในร่างกายของท่านด้วย ในขณะนั้น ไม่มีความกลัว มีแต่ความบริสุทธิ์สะอาด สุข สงบ ร่าเริงยินดี ใช่หรือไม่? ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในความคิดเลย  ความคิดเก่า โปรแกรมเก่ามันตายไปกับร่างกายเก่านี้เรียบร้อยแล้ว เพราะที่นั่น ในสวรรค์ หลังมิติโลกวิญญาณที่เราผลักเข้าไปแล้ว หลังความตายนั้น ที่นั่นไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีความเศร้าโศก พระเจ้าจะมาซับน้ำตาทุกหยดที่เราร้องไห้ ด้วยความอดทนบนโลกใบนี้ ให้กับเราแต่ละคนเลยนะ ไม่ใช่ให้โดยรวม แต่ให้กับแต่ละคน มาปลอบโยนจิตใจเขา มากอด เราจะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า นั่นแหละคือมรดกของเรา

เพราะฉะนั้น จงมั่นใจ วิ่งไปสู่หลักชัย ก็คือรับมรดกที่พระเยซูคริสต์จัดเตรียมไว้ให้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงวิ่งไปสู่หลักชัย พระเยซูรอเราอยู่ รอให้เราไปรับรางวัลเดียว พอแล้ว คือมรดกชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าให้อะไรมาถ่วงกับการอดทนรอคอย ไปสู่หลักชัยนี้ อย่าให้มาถ่วง เหมือนเราเดินเข้าไปสู่สวรรค์ ก็เดินเข้าสู่สวรรค์อย่างเบาสบายที่สุด เท่าที่ทำได้ ขนาดเบาสบาย ก็ยังใช้ความอดทน พระคัมภีร์บอก

ทำไมถึงใช้คำว่าอดทน เพราะว่ามันมีความทุกข์ยากลำบาก อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ได้เท่ากันหมด คือทุกข์ยากลำบากหมด เป็นกฎ มันเป็นมาแล้ว โลกถูกสาปแช่งมาแล้ว จะอยู่โดยมีพระเจ้าหรือไม่มี ก็ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้เช่นเดียวกันนั่นแหละ ไม่มีการยกเว้น แต่คริสเตียนเรามีความหวังชัดเจน ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  พระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา คอยนำพาเรา ทุกข์ก็ทุกข์น้อยลง เพราะเรามีความหวังข้างใน มีพลังข้างใน พระเจ้าอยู่ข้างในเรา เพราะฉะนั้น มั่นใจในการเดินไปรับมรดกของพระเจ้าด้วยความอดทนและเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ อย่าให้อะไรมาถ่วง เหมือนเรากำลังเดินขึ้นสวรรค์ใช่ไหม? ก็ไม่ต้องหาอะไรมาถ่วง เคยได้ยินคำนี้ไหม? เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เอาภูเขาเป็นสวรรค์แล้วกัน เหมือนเดินเข้าสวรรค์ มันเหนื่อยนะ นี่ยังไปเข็นครกขึ้นสวรรค์อีก …

“จะไปสวรรค์ อันนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้  จะไปสวรรค์ เธอต้องทำให้ดีมากกว่านี้ เธอถึงจะไปสวรรค์ได้ เธอจะไปสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนี้”

แล้วพระเยซูหายไปไหน? พระเยซูที่ไถ่บาปเราแล้ว แล้วมาสถิตอยู่กับเรา ข้างในตัวเราแล้ว แล้วบอกเราว่าชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์ทรงอยู่ไหน? ถ้าเรายังคงพึ่งตนเองอยู่ เราก็ดิสเครดิตพระเยซู กำลังไม่เชื่อพระเยซูใช่ไหม? ว่าฤทธิ์อำนาจพระโลหิตของพระองค์เพียงพอเสมอในการไถ่บาปเรา  การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ทำให้เราบังเกิดใหม่ นี่เรื่องจริง พระองค์ได้บังเกิดใหม่จริงๆ ถ้าเชื่อว่าพระองค์บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่ใช่ตายพร้อมพระองค์อย่างเดียว แต่ถ้าตายพร้อมพระองค์ ก็ต้องเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นจริงๆ ไม่ใช่รับการไถ่บาปอย่างเดียว แต่ไม่ยอมเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้ ท่านต้องได้รับเป็นแพ็คเกจ ก็คือถ้าท่านได้รับการไถ่บาป โดยการตายของพระเยซูคริสต์ โลหิตของพระองค์ ท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับการเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าทันที บนโลกใบนี้เลย เพียงแต่ว่าท่านรู้ความจริงหรือไม่? หรือถูกปิดบัง ถูกหลอก ได้แล้ว แต่ดูเหมือนไม่ได้ มีเหมือนไม่รู้ตัวว่ามี มันมีอยู่จริงๆ แต่ไม่รู้ตัวว่ามี เป็นมหาเศรษฐี แต่จน เพราะถูกหลอก เป็นอย่างนี้แหละ

พระคัมภีร์จึงใช้คำนี้เสมอว่า “จงรู้เถิด … ท่านไม่รู้หรือว่าตัวเก่าท่านตายไปแล้ว” วิญญาณที่ตายอยู่ ท่านก็ตายไปแล้ว ท่านได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่รู้หรือ ขณะนี้วิญญาณของท่านและความคิดจิตใจของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย และร่างกายของท่านได้รับการชำระโดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ สะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่ามันยังเป็นร่างกายที่อ่อนแอ ต้องอยู่ตามกฎของโลกใบนี้อยู่ ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง เดี๋ยวมันก็ต้องตายแล้ว  แต่ว่าไม่ต้องไปห่วงมัน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพา และวิญญาณของท่านที่บังเกิดใหม่ เป็นทายาทของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด พร้อมทั้งความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น  จะไปรับร่างกายใหม่ ถ้ารู้ความจริง มันก็ทำให้ตัวเบา ไม่ต้องเข็นครกขึ้นภูเขา ก็คือเชื่อ เต็มเปี่ยมในหัวใจว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระองค์เป็นจริง 100% ก็ 100 อย่าให้ใครหน้าไหน มาขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราเลยว่า …

“100% ฉันเชื่อในฤทธิ์อำนาจพระโลหิตพระเยซู และฉันเชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ฉันได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า ตัวบาป ตอนนี้ฉันเกิดใหม่พร้อมพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจใหม่เหมือนพระองค์เลย ฉันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป อดทนรอรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง”

เพราะฉะนั้น ถ้าเชื่ออย่างนี้ มันก็ชัดเจน เพราะการกระทำผิดพลาด บาปอะไรต่างๆ ในอดีต ที่เราดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มารพยายาม ไม่ว่าจะทำผิดมาก ผิดน้อย ก็ตาม นี่พูดถึงคริสเตียน มารจะใช้การกระทำผิดบาปของเรา ให้เป็นอาวุธของมัน คือมันจะใช้ความบาป ตรงที่เราทำพลาดมาเกาะติดในความคิดของเรา ให้เรารู้สึกฟ้องผิดตลอดเวลา ทำให้กลัว วิตกกังวล ไม่พร้อมที่จะวิ่งไปรับรางวัลของเรา

ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกว่า “เราจะไม่จดจำความผิดของท่านอีกเลย ความผิดบาปของท่าน เรายกออกไปแล้ว ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? เราได้เอามันออกไปห่างไกลจากเจ้าเท่านั้นแล้ว เราไม่จดจำความบาปผิดของท่านอีกแล้ว แล้วลูก แล้วท่านไปจดจำความบาปผิดของตัวเองอีกทำไม”

หันมามองพระเจ้า เออ! ใช่ “เราไม่จดจำความบาปผิดของเจ้าแล้ว แล้วเจ้าจะไปจดจำความบาปผิดของตัวเองทำไม?”

“เออ! นั่นนะสิ แล้วใครเป็นผู้ให้เราจดจำ”

“ก็ไอ้นี้ไง (โทษทีนะ) ไอ้นี้ไง (ชี้ต่ำๆ หน่อย)”  ก็คือมาร

แต่การจากไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว บนสวรรค์ ไม่มีใครมาฟ้องผิดแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำ ผู้ที่ทำให้เราจดจำ ก็คือมารที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  เพราะเราไปอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่มีมารแล้ว ใครจะมาฟ้องผิดเรา ไม่มีแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้จดจำสักหน่อย เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์ของการสู้รบ ก็คือรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา ที่ไปจดจำ พอเราผิดพลาด มารพยายามเอามาแปะ ที่ความคิดของเรา แล้วก็กลัว ทำอย่างนี้เยอะขึ้นๆ เริ่มต้นจากวันแรกที่มาเชื่อพระเจ้า ไปสวรรค์แน่นอน 100% ขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามารับไปวันนั้น ดี ถ้ายังไม่มารับไป ขอบคุณพระเจ้า ดำเนินชีวิตคริสเตียนไปเรื่อยๆ ไปเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ไปเรียนพระคัมภีร์ มารก็ค่อยๆ ใส่เข้ามาทีละนิดๆ เข้าใจนั่นผิด เข้าใจนี่ผิด เริ่ม อันนั้นก็มีบาป อันนี้ก็มีบาป  อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ได้อธิษฐานขออภัยโทษจากพระเจ้าเลย  ก็จดจำแต่สิ่งที่ผิดพลาดเท่านั้น  ไม่ได้จดจำสิ่งที่ดีหรอก มารมันมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันฟ้องว่าผิด อันถูก มันไม่มาชี้หรอกว่าถูก

มันจะชี้ว่า … “แกผิดๆ”

เขาเรียกว่า … “แกเป็นคนบาป”

เพราะฉะนั้น ต้องยืนยันในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าว่า … “ฉันไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ฉันไม่ได้เป็นเลย ตัวจริงๆ ของฉันเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด และฉันจะอยู่ในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตลอดชั่วชีวิตนี้นิรันดร์ เพราะฉะนั้น จงมองไปที่ผู้เดียวเท่านั้น  อย่าไปมองสิ่งผิดพลาด ที่เราเคยทำ มารพยายามจะจับมันยัดเข้ามาในความคิดจิตใจของเรา  ทิ้งมันไปซะ พระเจ้าบอกไม่ต้องไปจดจำ เราก็ตอบพระเจ้าบอกว่าเอเมน เพราะพระเจ้ามีพระนามว่าพระเจ้าแห่งเอเมน เชื่อพระเจ้า นมัสการพระองค์ วิธีนมัสการ ก็คือเอเมน นี่นมัสการพระองค์แล้ว ท่านเอเมน ก็คือนมัสการพระองค์ พระองค์ทรงชอบ พระองค์ทรงพอพระทัยมาก เมื่อท่านเอเมนไปกับสิ่งที่พระองค์ทรงบอก  พระองค์บอกไม่จดจำ ท่านก็บอกฉันก็ไม่จดจำ เพราะฉะนั้น มองไปที่พระเยซูเป็นหลักชัยเท่านั้น เพ่งไปที่พระองค์เลย อดทนก็มองเห็นพระเยซู ทุกข์ยากลำบากก็เห็นพระเยซู ทำผิดพลาดอะไรไป ก็มองเห็นพระเยซู เชื่อและวางใจในพระโลหิตและการไถ่บาป  สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างเต็มเปี่ยมเลย มองไปที่พระเยซูเพียงผู้เดียว ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ

ในหนังสือฮีบรูบอกว่ามองไปที่พระเยซู เป็นเป้าเป็นหลัก ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อ เป็นผู้เริ่มต้นแห่งความเชื่อของเรานั่นแหละ เชื่อในการไถ่บาป ผู้เป็นต้นตอแห่งความเชื่อและความหวังของเรา ในชีวิตนิรันดร์  ที่เรารอคอย พระเยซูผู้ที่ตรัสว่า … “สำเร็จแล้ว”  … และก็สำเร็จจริงๆ ชั่วนิรันดร์

“สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมก้า เราเป็นผู้ต้นและเป็นผู้ปลาย”

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ฟีลิปปี 1:6 พอฟังมาอย่างนี้แล้ว อาจารย์เปาโลอยากจะบอกให้ผู้เชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่งมารับเชื่อพระเจ้า เพิ่งได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ยังไม่รู้ความจริงอะไรมากนัก อาจารย์เปาโลจึงเขียนไปหนุนใจ แล้วก็บอกว่า …

ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลบอกว่ามั่นใจมาก  พี่น้องที่รับจดหมายฉบับนี้ เพิ่งเชื่อพระเจ้า แล้วก็มีความประพฤติน่าเกลียดอีกหลายอย่าง ประพฤติบาปอีกตั้งเยอะแยะ ยังถกเถียง ริษยากัน เห็นแก่ตัว วุ่นวาย เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อเลย  แต่เปาโลเขียนตรงนี้ ไปหนุนใจ นอกจากสอนว่าให้กระทำสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ให้สมศักดิ์ศรีกับการเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ อย่าให้ขายหน้าพระเจ้าอะไรประมาณนั้น พระวิญญาณกำลังสอนท่านอยู่ แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดให้ผู้เชื่อใหม่ที่ยังประพฤติไม่ดีเลย ตามสายตาของมนุษย์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขาดูแล้วก็ไม่ดี แต่ยังประพฤติอยู่ แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว”

ก็หมายถึงว่าท่านรับเชื่อปุ๊บ พระเยซูคริสต์และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน และก็เริ่มนำพาชีวิตของท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นพี่เลี้ยงดูแลวิญญาณที่เติบโตของท่าน และเปาโลบอกข้าพเจ้ามั่นใจ พระวิญญาณผู้นี้ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน ผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว เริ่มเมื่อไร? เริ่มเมื่อท่านเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาการกระทำตนเองอีกแล้ว แต่พึ่งพาพระเยซูคริสต์อย่างเดียว เปิดใจต้อนรับพระเยซู นั่นแหละพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ตั้งแต่วันนั้น

เปาโลบอกอย่างไรต่อไป และพระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จอย่างแน่นอน  จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือจนกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมารับท่าน จะเป็นท่านกลับไปรับพระเยซูคริสต์ หรือพระเยซูคริสต์กลับมารับท่าน อันใดอันหนึ่งก็แล้วแต่ คือถ้าพระเยซูยังไม่ได้กลับมาพิพากษาโลกใบนี้ เราตายก่อน  เสียชีวิตก่อน  เราก็ไปพบกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์มารับเรา แต่ถ้าเราอยู่จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา พระเยซูคริสต์ก็กลับมารับเรา จะเอาอย่างไร? จะไปหาพระเยซูคริสต์ หรือให้พระเยซูคริสต์มารับเรา ได้ทั้งคู่ ไม่ต้องห่วง เปาโลยังบอกมั่นใจมาก เป็นอย่างนั้น เพื่อประชากรของพระเจ้า  ที่ได้เชื่อแล้ว และยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ อย่าไปคิดมาก มันเรื่องธรรมดา ปล่อยให้พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ค่อยๆ สอนเรา ฝึกเรา ให้ดำเนินชีวิตสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ยังเดินไม่ได้ ยังคลานอยู่ เดี๋ยวพระวิญญาณ ก็จะนำพาเรา ค่อยๆ ฝึก ตั้งไข่  แล้วค่อยๆ เดิน ยังวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวพระวิญญาณค่อยๆ ฝึกเรา สอนเรา จนกระทั่ง ค่อยๆ วิ่งได้  เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นเลย เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะว่าสติปัญญาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าไปอธิบายถึงเหตุผล หรือความเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย แต่ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรายอมรับรู้ เรารู้แล้ว รู้ว่ามันเป็นจริง ถามว่ารู้ว่าเป็นจริงเพราะอะไร? เพราะเรารู้จักพระเจ้าที่เราเชื่อแล้ว เรารู้จักพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อแล้ว  เราไม่ได้รู้ด้วยความคิด เรารู้ด้วยวิญญาณของเรา เรารู้ว่าเรารู้ความจริงนี้ ไม่ใช่เราคิดว่าเรารู้ แต่เรารู้เพราะความเชื่อ และความเชื่อนี้จะประทับอยู่ในใจของเรา พระวิญญาณเป็นพยานในใจของเราว่าสิ่งนี้เป็นจริงทั้งหมด เพราะเรารู้จากข้างใน เรียกว่ารู้อยู่ในใจนั่นเอง ให้เราอธิษฐานร่วมกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สองสิ่ง ที่เป็นพระประสงค์อันดีเลิศ สำหรับคุณ …

  1. ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกคุณถึงความสำเร็จในโลกวิญญาณที่ พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้คุณสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

ปากพูดว่า “เอเมน” โดยไม่มีข้อแม้

พระเจ้าตรัสว่า … “แต่คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ แต่ถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความชื่นใจในคนนั้นเลย’”   ฮีบรู 10:38 KJV

  1. ยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ทั้งตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมองให้พระองค์ใช้ … “อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่ยอมมอบตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และยอมให้อวัยวะของท่านเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า ”  โรม 6:13

คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว  ถวายเครื่องบูชาได้สองอย่าง คือ …

ถวายลิ้น สารภาพยอมจำนนต่อถ้อยคำความจริงของพระเจ้า เชื่อแล้วขอบคุณเอเมนในความจริงเหล่านั้น ซึ่งเป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามาก …และ…

ยอมมอบร่างกายและอวัยวะทุกส่วน  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ความคิด  สมอง  สติปัญญาให้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

 

ยอห์น 15:1-6  “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษาสวน 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตัดแต่งทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระและได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นแถวองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น  ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร  ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1329

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

วันนี้จะเป็นตอนที่ 2 ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว หัวเรื่องที่บอกว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

การบรรยายช่วง 2, 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราน่าจะรู้และน่าจะมั่นใจ เพราะได้บรรยายไปหลายครั้ง ก่อนหน้านั้นได้พูดไว้ว่าการพิพากษาลงโทษโลก และมนุษย์บนโลกในวันสุดท้าย วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่ได้รวมถึงผู้เชื่ออย่างแน่นอน 100% ผู้เชื่อไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษแล้วแน่นอน  เพราะผู้เชื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู เมื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซู  … พระเยซูได้ทำสำเร็จที่ไม้กางเขน ลบล้างบาปออกไปจนหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย  และใครก็ตามที่รับเชื่อ และใช้สิทธิของเขา เขาก็ได้รับการชำระล้าง ให้พ้นจากความบาป ลบเอาความบาปของเขาออกไปหมดสิ้นแล้ว  ทั้งบาปที่ทำในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย

เพราะฉะนั้น การกระทำของผู้เชื่อในขณะที่อยู่ในกายบนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำดี หรือการกระทำชั่วก็ตาม ก็ไม่มีการพิจารณาใดๆ อีกแล้ว ในโลกวิญญาณในวันพิพากษา  บทสรุปของความหมายของคำว่าไม่มีการพึ่งพาตนเองอีกแล้วบนโลกใบนี้ ก็คือการไม่พึ่งในการกระทำของตนเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือจะเลว ก็ไม่พึ่ง พึ่งพระเจ้า พึ่งพระเยซูคริสต์อย่างเดียว พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว  ซึ่งเราได้เรียนรู้ในครั้งที่แล้ว  ก็คือว่าการไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ก็คือการทำชั่วหรือการทำบาปของผู้เชื่อนั้น  ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น  ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาว ไม่มีการตัดสินลงโทษใดๆ อีกแล้ว เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว  ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพกาษาของพระคริสต์เช่นเดียวกัน ไม่มีการพิจารณารางวัลพิเศษใดๆ เช่นเดียวกัน

บางคนเขาก็คิดว่าพูดอย่างนี้ คนก็ไม่มีแรงจูงใจในการกระทำดีของคนที่กลับใจ หรือเป็นคริสเตียนเลย แล้วเอาอะไรมาเป็นแรงจูงใจของเขา ความรักไงครับ  ความรักที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักข้างใน เกิดมาเป็นความรัก ทำตามธรรมชาติที่อยู่ข้างใน เป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่  ไม่ได้ทำจากความกลัว ที่มีกฎบัญญัติห้ามไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราขึ้นเครื่องบิน เราไม่สูบบุหรี่ ถูกไหมครับ?  แต่ก็มีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าปกติเขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของเขาเอง เขาเป็นคนไม่ชอบบุหรี่ เขาก็ไม่สูบอยู่แล้ว แต่มีคนอีกจำพวกหนึ่ง ไม่ได้สูบบุหรี่ บนเครื่องบิน เหมือนเราเลย  ทำเหมือนกันเลย ประพฤติเหมือนกันเลย แต่ในใจเขาไม่ทำ เพราะแรงจูงใจ ก็คือมีป้ายเขียนห้าม และต้องถูกปรับอย่างสูง ถ้าไปสูบบุหรี่บนเครื่องบิน อะไรอย่างนี้ พอลงจากเครื่องบิน  ป้ายหายไปปุ๊บ วิ่งไปหาห้องสูบบุหรี่ทันที นึกภาพออกไหม? คล้ายๆ อย่างนั้น เช่นเดียวกัน

แรงจูงใจของคริสเตียนที่จะทำดี ทำจากข้างในที่เกิดใหม่แล้ว เป็นธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้เอง พระคัมภีร์จึงมีบันทึกไว้ว่าบรรดาอัครทูตและสาวกของพระเยซู ก็ออกไปหาบรรดาผู้คนทั้งหลาย เพื่อโน้มน้าว เพื่อประกาศ เพื่อสอนชักชวน ให้บรรดาผู้คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐนั้น ที่ยังพึ่งพาตนเองอยู่ พึ่งพาในการกระทำดีด้วยตัวเอง สั่งสมความดีด้วยตัวเอง ไปสอนเขา บอกเขา ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาเปลี่ยนใหม่ มาพึ่งในพระเยซู คือออกจากกฎเดิม ก็คือออกจากกฎที่อยู่ในอาดัม ก็คืออยู่ในบาป ให้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ มาพึ่งในพระคริสต์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการถูกพิพากษาลงโทษ ในวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์ ตามการกระทำของเขา  ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ เขาก็ต้องถูกพิพากษาตามการกระทำของเขา  แต่คริสเตียนผู้ที่พึ่งพาในการกระทำของพระเยซู ก็ไม่ต้องได้รับการพิพากษาใดๆ เลย เพราะได้รอดพ้นจากการกระทำของตนเอง ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เหล่าอัครทูตและนักประกาศทั้งหลาย จึงออกไปประกาศตามที่พระเจ้านำพา สอนเขา ให้เขาออกไปประกาศอย่างนี้

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อเรื่องเกี่ยวกับการพิพากษา ในวันสุดท้าย วันสิ้นโลก วันที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษานั้น รางวัลของผู้เชื่อ คืออะไร?

รางวัลของผู้เชื่อ คือความครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์นั่นเอง  ซึ่งเป็นรางวัลเดียว ที่พระเยซู หรือพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อทั้งหลาย

ย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่ง เราได้เรียนรู้ว่าพอเราเชื่อ ในข่าวดีแล้ว เราไม่พึ่งพาตนเองแล้ว เราพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเราได้เกิดใหม่ ความคิดจิตใจเราได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ทั้งสองสิ่งนี้ เป็นใหม่ทั้งสิ้น  เป็นเหมือนพระเยซูเลย เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  เราหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับการอภัยโทษ และได้รับการรับเป็นบุตรของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขาดอยู่นิดเดียวเอง คือเพียงแต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิม ที่จะต้องตายในวันหนึ่งเท่านั้นเอง  ก็อดทนรอคอยแค่นั้น ร่างกายสิ้นสุดลงเมื่อไร ลมหายใจสุดท้าย วิญญาณออกจากร่าง ก็เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่กับพระเจ้า พระเยซูในสวรรคสถาน บนโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ๆ ทั้งหมด ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่งอีกต่อไป  ตลอดชั่วนิรันดร์ นั่นแหละ เรารอแค่นิดเดียว แค่นั้นเอง

เราได้เรียนรู้กันแล้วว่าการพิพากษาและรางวัลของผู้เชื่อ เป็นอย่างไร?  ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ก็ยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกเยอะ ที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และมีการเข้าใจผิด เนื่องจากแปลผิดความหมาย  สอนกันมาผิดๆ เรื่อยๆ เป็นระยะ อยู่อีกหลายข้อ เราจะมาทำความเข้าใจกัน

วันนี้เริ่มต้นที่หนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 3 ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนจดหมายไปถึงบรรดาผู้เชื่อในคริสตจักรโครินธ์ อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด และสำคัญมาก สำหรับพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า  และจดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลได้เริ่มต้นด้วยการตำหนิผู้เชื่อ ชาวโครินธ์ที่เริ่มมีการแบ่งแยก อ้างตัวเป็นศิษย์เปาโล ศิษย์อปอลโล ศิษย์เคฟาส (คือเปโตรนั่นเอง)

อาจารย์เปาโลได้ใช้คำว่า “ประพฤติตนเหมือนคนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง” คนที่ยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง คนที่ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของการบาป  ก็คือคนบาป คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั่นเอง เพราะว่าพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ ยังมีการประพฤติ คืออิจฉาริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่เชื่อแล้ว  วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว นึกภาพออกใช่ไหม? มันแยกกัน ทำให้เราได้เห็นชัดว่าเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็มีสิทธิ์ถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ด้วยอิทธิพลของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  ก็คือโปรแกรมเก่าๆ  อิทธิพลของความบาป ที่เราเคยอยู่เก่าๆ ออโตเมติกเก่าๆ เหล่าานี้  สามารถล่อลวง ชักจูงให้เราหลงไปประพฤติสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวจริงๆ ที่เราเป็นอยู่ภายใน เราไม่ได้เป็นคนบาป แต่เราไปประพฤติบาป นึกภาพออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น ความประพฤติกับการเป็นจริงๆ ตัวตนเรานั้น มันคนละเรื่องกัน ความประพฤติไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วได้

ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “ความประพฤติ การกระทำของคริสเตียน ไม่สามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงวิญญาณของเขา เขาบังเกิดใหม่ รับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์แล้ว  ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะตรงนี้ได้อีกเลย จากการประพฤติของเขา ไม่ว่าประพฤติดี ก็ไม่ได้ทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้น ประพฤติไม่ดี ประพฤติตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็ไม่ได้ทำให้สกปรกลง เขาสะอาดบริสุทธิ์ เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพราะเขาได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เรามาอ่านกัน 1 โครินธ์ 3:3-5 …

1 โครินธ์ 3:3-5 “3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยา และการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกไม่ใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดามิใช่หรือ? 4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

“ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก” นี่กำลังเขียนถึงคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ของแท้ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก ก็คือท่านยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เหมือนก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เพราะท่านประพฤติอย่างนี้แหละ ยังมีการอิจฉา ริษยา มีการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว  เช่นนี้แล้ว ท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ?  ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ใช่หรือ?

“ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนธรรมดา” ก็คือท่านก็ประพฤติตัวเหมือนคนบาป นั่นน่ะ โดยทั่วๆ ไป ใช่ไหม? ก็คือท่านและคนบาปนั้น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละสถานะกัน ท่านประพฤติตัวอีกแบบหนึ่ง  แทนที่ท่านจะประพฤติตัวให้เหมือนกับท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่แล้ว  แต่ท่านประพฤติตัวเหมือนคนบาป  ชัดเจนไหมครับ?

“ในเมื่อคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามเปาโล และอีกคนหนึ่งว่าข้าพเจ้าติดตามอปอลโล พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ?” คนธรรมดา คือคนบาปทั่วๆ ไปไม่ใช่หรือ?  คนบาปทั่วๆ ไป ก็อย่างนี้ ในใจชิงดีชิงเด่นกันใช่ไหม? ริษยากันใช่ไหม? มันจะเกิดเหตุการณ์แตกแยกกันเกิดขึ้น ก็เพราะอย่างนี้ แต่ท่านไม่ใช่ ท่านเป็นคริสเตียน ท่านบังเกิดใหม่แล้ว  วิญญาณท่านเปลี่ยนใหม่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว วิญญาณท่านเป็นวิญญาณแห่งความรักแล้ว ท่านควรจะประพฤติตัวตามวิญญาณของท่านข้างใน ตามธรรมชาติที่เป็นอยู่ นี่ท่านไปทำอีกแบบหนึ่ง ท่านไม่ได้ทำตามธรรมชาติของท่าน แต่ท่านทำตามตัณหาของเนื้อหนัง มันล่อลวงท่าน ให้ท่านทำ ระบบของโลกนี้ คือระบบของการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันล่อลวง มันชักจูงให้ท่านทำ  กำลังจะบอกว่าอย่างนี้

เปาโลพยายามเน้นย้ำว่าไม่ว่าจะเป็นนักประกาศ  ครูสอน หรือนักบรรยาย นักเทศน์อะไรก็ตาม ที่เป็นอาจารย์ระดับไหนก็ตาม ทุกคนเป็นเพียงแค่ผู้รับใช้เท่านั้นเอง  ที่ทำหน้าที่ในการโน้มน้าว ในการประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่ไม่เชื่อให้กลับใจใหม่ แล้วก็สอนคนที่เชื่อแล้ว ให้จำเริญเติบโตในความจริง ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร?  ไม่มีอาจารย์คนไหนใหญ่กว่าใคร? ไม่ต้องอวดอ้างว่าคนนี้เป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนี้ คนนั้นเป็นผู้รับใช้ใหญ่กว่าคนนั้น เพราะทุกคนต่างฝ่ายต่างเป็นแค่เครื่องมือ หรือเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เปาโลต้องการเน้น ทุกคนเป็นเพียงผู้รับใช้ในการทำหน้าที่โน้มน้าว ในการช่วยเหลือ สอน เลี้ยงดูให้กับบรรดาผู้คน ให้เจริญเติบโต ให้เข้ามาอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้ใช้เขาเท่านั้น ใน 1 โครินธ์ 3:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

1 โครินธ์ 3:6 “ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต”

 

“ข้าพเจ้า” ก็คืออาจารย์เปาโล … เปาโลปลูก  อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต เห็นชัดเลย เปรียบเทียบดีมาก ความหมายของการปลูกและรดน้ำ ตรงนี้ เปาโลกำลังบอกว่าหน้าที่ของผู้รับใช้ ก็คือการสอน การโน้มน้าว การหว่านเมล็ด ข่าวประเสริฐ การประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐ ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ เมล็ดพันธุ์ของสวรรค์ให้กับบรรดาผู้คนบนโลกใบนี้นั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่จะทำให้มันเกิดผลหรือไม่  ไม่ใช่ตัวคนหว่านเมล็ด และไม่ใช่ตัวคนมาสอน มารดน้ำ แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก  ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ประเด็นที่สำคัญ คือสิ่งที่ประกาศไปนั้น ต้องเป็นการประกาศข่าวดีที่ถูกต้อง บนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ซึ่งบนรากฐานของข่าวดีจริงๆ ก็คือในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเรื่องการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือนความจริง  ข้อมูลคล้ายๆ ความจริง ไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นความจริงตรงนี้ที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่เปาโลบอกว่าพระเจ้าให้ผลเกิดขึ้น ได้อย่างไร?

ทั้งหลาย ทั้งปวง หน้าที่ของผู้รับใช้ เพียงแค่คนที่ทำหน้าที่หว่านข่าวประเสริฐ เมล็ดพันธุ์นี้ออกไป  คือเป็นแค่คนปลูกกับคนรดน้ำเท่านั้น  แต่ผู้ที่ทำให้เติบโต เกิดผล คือพระเจ้า เพียงผู้เดียว ซึ่งมันก็คือข่าวดี แห่งพระคุณของพระเจ้า ข่าวดีที่ไม่ได้พึ่งพาการกระทำของผู้คน ของใครก็ตาม รวมทั้งของตนเองด้วย  ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า คือทุกสิ่งพึ่งในพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว ไม่พึ่งพามนุษย์เลย  รวมทั้งตัวเราเอง และคนที่มาประกาศด้วย คือไม่พึ่งคนเลย พึ่งแต่พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เรามาอ่านข้อ 7, 8 ต่อว่าเปาโลว่าอย่างไร? …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ดังนั้น ไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

พูดง่ายๆ มนุษย์ไม่ได้สำคัญเลย ทำหน้าที่ตามที่พระเจ้าได้กำหนดให้ทำ และนำให้ทำเท่านั้นเอง  คนปลูกและคนรดน้ำ มีเป้าหมายเดียวกัน

เป้าหมาย คืออะไร? และต่างก็รับบำเหน็จตามการงานของตน เป้าหมาย ก็คือช่วยคนให้เจริญเติบโตในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ให้พึ่งในพระเยซูคริสต์ พึ่งแล้วพึ่งอีก อย่าหลบเลี่ยงหรือหนีไปพึ่งอย่างอื่น มนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น นี่คือหน้าที่คนปลูกและคนรดน้ำ

ในข้อ 8 ตรงนี้ มีคนเข้าใจผิดเยอะ ที่บอกว่า “ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของเขา” เพราะฉะนั้น เราประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  เราออกไปสอนผู้คน เราก็ได้รางวัลสิ คิดอย่างนั้นใช่ไหม? ก็ไม่ผิดนะ ลองคิดต่อไปว่ารางวัลที่ท่านจะได้รับ มันคืออะไรก่อน  คิดในใจของท่าน ต่างคนต่างคิด ไม่ต้องถามคนข้างๆ นะ หรือถามคนข้างๆ ก็ได้ว่าที่ท่านประกาศข่าวประเสริฐ ที่ท่านสอนข่าวดีของพระเจ้า ที่ท่านออกไปเลี้ยงดูลูกแกะ ผู้เชื่อใหม่ ในเรื่องของข่าวดีของพระเจ้า  ท่านทำเพื่อจะได้รางวัล และรางวัลคืออะไร?

เพราะว่าในนี้บอก … “แต่ละคนจะได้รับรางวัล ตามการงานของตน” ต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน ชัดๆ ซึ่งหลายคนก็มีความคิดว่ามันหมายถึงรางวัลที่จะได้รับในสวรรค์ ตอนที่จากร่างนี้แล้ว  สู่โต๊ะการพิพากษา จะมีการพิพากษาคริสเตียนด้วย คริสเตียนจะถูกพิพากษาว่าได้รางวัลนี้หรือไม่? ได้เท่ากันหรือเปล่า? หรือได้ไม่เท่ากัน อย่างไร? ใช่ไหมครับ?

ซึ่งจริงๆ คำว่า “ได้รับบำเหน็จตามการกระทำของตน” ตรงข้อความใน 1 โครินธ์ 3:8 ตามบริบทนี้ หมายถึงผลงานที่เกิดจากการปลูกและการรดน้ำ  นั่นแหละคือบำเหน็จ  การวางรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ให้กับชาวโครินธ์ ในที่นี้ ก็คือการหว่านข่าวดี สอนตามข่าวดี ที่เป็นจริง บนพื้นฐานของการพึ่งพระเยซูคริสต์นั้น มันก็จะเกิดผลเป็นบำเหน็จได้รับ ก็คือผลงานที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน บนโลกใบนี้เลย ถ้าหว่านถูก และบำเหน็จ หรือผลงานที่ได้รับ ณ บริบทนี้ ก็คือชาวเมืองโครินธ์ได้กลับใจใหม่เพิ่มขึ้น เป็นคริสเตียนมากขึ้น จากการที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐที่แท้จริง และมีพื้นฐานของข่าวประเสริฐ ข่าวดีที่ได้ถูกหว่านลงไปอย่างถูกต้อง คือพึ่งในพระเยซู เกิดเป็นชุมชนที่ประพฤติตามแบบอย่างของผู้ที่เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโต ทางฝ่ายวิญญาณ เต็มไปด้วยความรัก  ความสามัคคี เติบโตในความรัก สำแดงความรัก ซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน  ไม่อิจฉาริษยากัน ไม่แบ่งพรรค แบ่งพวกกัน เข้มแข็งขึ้น นี่แหละคือผลงานในการปลูก รดน้ำ หรือประกาศข่าวประเสริฐ หรือสอน หรือบรรยาย หรืออธิษฐานให้ หรือเลี้ยงดู ผลงาน ก็คือผู้เชื่อเหล่านั้น เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง แข็งแกร่ง หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ ได้รับการหว่านไปถึงและเชื่อจริงๆ มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อที่ถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง

คำว่า “ได้รับบำเหน็จ ตามการงานของตน” หมายถึงผลงานตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับรางวัลพิเศษ บนสวรรค์ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่งเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นรางวัลที่เก็บเกี่ยวได้เลยเดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลย ได้เห็นกับตาเลย ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ มาอ่านต่อข้อ 9 กับข้อ 10 …

1 โครินธ์ 3:9-10 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญและคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้นแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร”

 

ในข้อที่ 10 บอกว่า … “โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้า” ก็แสดงว่าเปาโลไม่ได้ทำด้วยความสามารถของตัวเองเลย ก็พึ่งในพระเจ้าอยู่ดี พระเจ้าเป็นผู้ประทานความสามารถ เป็นผู้บอกว่าจะให้ประกาศอย่างไร?  ผู้ให้ความรู้ ความจริงว่าข่าวประเสริฐ คืออะไร? เป็นผู้ให้กำลัง ให้ฤทธิ์อำนาจ ความสามารถ ชี้ให้เห็น

“ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า” เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็นว่าที่ข้อตะกี้บอกว่าเปาโลเป็นคนปลูก และอปอลโลเป็นคนรดน้ำ และผลที่ได้รับ ก็คือการเกิดผลในชีวิตของผู้เชื่อ  ก็คือเกิดผลในไร่นาของพระเจ้า เกิดเป็นผล เพื่อพระเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลเหล่านั้น เพราะเป็นไร่นาของพระเจ้า  หมายถึงผู้ที่เชื่อ ที่อยู่บนรากฐานของข่าวประเสริฐที่ถูกต้อง ได้บังเกิดใหม่ นั่นแหละ  คือผลงานของการปลูก และการรดน้ำที่ถูกต้อง  มันก็เกิดการเก็บเกี่ยว เกิดผลออกมา  พระเจ้าก็เป็นผู้เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้น โดยพระวิญญาณ

เช่นเดียวกัน “เป็นตึกของพระเจ้า” ก็หมายถึงเปาโลเป็นช่างที่วางรากฐาน อปอลโลเป็นผู้ก่อสร้าง เปาโลลงเสาเข็มไว้ อปอลโลมาสร้างชั้นหนึ่งต่อ ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะฉะนั้น มาต่อจากชั้นหนึ่ง ก็ต้องวางให้ดีๆ ต่อให้มันตรงๆ  เสาเข็มก็วางตรงนี้ จะก่อเสาขึ้นมา ก็ให้มันตรงกับเสาเข็มข้างล่าง  ถ้ามันเฉเมื่อไร ข้างบนก็ไปไม่รอดอีก ไปไม่นาน ก็ล้มโครมลงมา อปอลโลและเปาโลช่วยกัน เปาโลวางรากฐาน อปอลโลก่อสร้างขึ้นมา  จนเกิดเป็นตึกของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อที่อยู่บนรากฐานข่าวประเสริฐที่เข้มแข็ง มั่นคง  ก็คือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์

“ขอทรงสร้างเราให้มั่นคงเถิด     ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร”

สร้างเราด้วยวิธีใด? ก็ผ่านทางผู้รับใช้ที่ได้ยินได้ฟังพระวิญญาณของพระองค์ ที่ได้เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างถูกต้อง และได้ประกาศด้วยความสัตย์ซื่อ นี่แหละ เป็นฐาน ทำให้คริสตจักรเข้มแข็งและแข็งแรง เป็นอาคารที่มั่นคง

นึกถึงภาพนะ เขาสร้าง วางรากฐานไว้อย่างดี แล้วเราไปก่อแบบเอาใหม่ ไปก่อที่ไม่ตรงกับรากเดิม มันก็พังในที่สุด แต่รากยังอยู่นะ รากมันไม่ไปไหน รากมันถูกต้อง

ตอนท้ายของข้อ 10 ที่บอกว่า … “กระนั้น แต่ละคนควรระวังตนก่อขึ้นอย่างไร?” กำลังพูดถึงใคร? ก็คือแต่ละคนที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้า มาเป็นผู้รับใช้พิเศษ ก็คือมาเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ มาเป็นผู้สอน บรรยาย เลี้ยงดู ผู้เชื่อ อะไรประมาณนี้ บรรดาคนเหล่านี้ ที่ผมบอกว่าคนพิเศษ หมายถึงบริบทนี้ เป็นคนพิเศษ จากนี้แล้ว ผู้เชื่อทุกคน พอมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าใช้ในลักษณะนี้หมด ทั้งนั้น  แต่ใช้ต่างลักษณะ ต่างบุคลิก ต่างชนิดกัน หลายๆ อย่างที่พระองค์ใช้ แม่บ้าน พระองค์ก็ใช้ได้ เด็กนักเรียนพระองค์ก็ใช้ได้ คนมีชื่อเสียงพระองค์ก็ใช้ได้ คนไม่มีชื่อเสียง พระองค์ก็ใช้ได้ หมายถึงชื่อเสียงบนโลกใบนี้นะ

“กระนั้น แต่ละคนควรระวัง” ก็คือทีมงานแต่ละคนมีหน้าที่ปลูก หว่านเมล็ด มีหน้าที่รดน้ำ มีหน้าที่สอน ต้องระวังตนให้ดีว่าสอนเขาไปอย่างไร? ประกาศให้เขาถูกต้องไหม?  คือทั้งอาจารย์เปาโลและอปอลโล อุตส่าห์ช่วยกันวางรากฐานของข่าวประเสริฐ อย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ขอให้ผู้เชื่อชาวโครินธ์ทั้งหลาย ซึ่งรวมทั้งผู้ที่สอนด้วย ให้ระวัง สำหรับผู้เชื่อ ที่ไม่ได้สอน ที่ได้ฟังเขา ให้คอยระวังตัวด้วยว่าอย่าให้มีใครที่มาสอนผิด จากรากฐานจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลและอปอลโลได้วางรากไว้อย่างดีแล้ว เรียบร้อยแล้ว ก่อขึ้นมาแล้ว เราฟังดู คอยสังเกตให้ดีๆ มันตรงไหม? มันใช่ไหม? มาข้อ 11 …

1 โครินธ์ 3:11 “เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโลกำลังบอกว่าชาวโครินธ์ทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าได้วางรากฐานที่ถูกต้องให้กับท่านแล้ว อย่าให้ใครมาวางรากฐานอื่น อย่าให้เขามาสอนสิ่งที่ผิดไปจากรากฐานนี้ คือสิ่งที่ผิดไปจากข่าวประเสริฐ ให้พึ่งพาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์เท่านั้น อย่าให้ใครมาบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐนี้เด็ดขาด  อย่าให้ใครมาทำให้เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งพาพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดแล้ว ต้องกลายเป็นเรื่องยาก หรือกลายเป็นภาระมาก สำหรับผู้ที่เชื่อ จงยึดมั่นในรากฐานแห่งความจริง ในข่าวประเสริฐที่ผมได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว  ความจริงนี้ทำให้ท่านเป็นอิสระ

พระเยซูคริสต์บอกว่า … “ผู้ใดแบกภาระหนักเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข” ไม่ใช่มาเชื่อแล้วยิ่งหนักใหญ่ ยิ่งเหนื่อยใหญ่ ยิ่งแบกภาระของตนเอง ต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่ได้ความรอดนี้  ความรอดนี้ ต้องเชื่อและต้องทำ  ถ้าไม่มาชุมนุมที่สถานที่ชุมชนเป็นประจำ ขาดการประชุมบ่อยๆ เดี๋ยวพระเจ้าทิ้งเลย อะไรประมาณนั้น ท่านพอจะมองเห็นไหมครับ? ถ้าไม่ออกมารับใช้พระเจ้าบ้าง ท่านจะไม่ได้รับพระพร ถ้าท่านไม่อธิษฐาน อาจจะหลงหายไป และทิ้งความเชื่อไปก็ได้ อะไรประมาณนี้ หรือท่านต้องปฏิบัติพิธีกรรม กิจกรรมทางศาสนา มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับความรอด อะไรเหล่านี้ คือเป็นภาระเพิ่มขึ้น

ในพระคัมภีร์บอก … “เชื่อข่าวดี เชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น วางใจในเรา เจ้าก็ได้รับความรอด วางใจในเรา เจ้าก็ได้พบกับพระเจ้า วางใจในเรา เจ้าก็เข้าสวรรค์ วางใจในเรา เจ้าก็จะไม่ถูกพิพากษา พินาศ แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ วางใจในเรา เจ้าก็จะได้รับการอภัยโทษ จากการพิพากษาลงโทษอยู่แล้วนั้น  ไม่ต้องถูกลงโทษ  เป็นอิสระเลยทันที” แค่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มาต่อข้อ 12 และ 13 …

1 โครินธ์ 3:12-13 “12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นสิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน”

 

“ไฟจะทดสอบคุณภาพ ผลงานของแต่ละคน” เน้นตรงนี้ ไฟทดสอบคุณภาพของผลงาน ไม่ใช่ไฟทดสอบคน เอาใหม่อีกทีหนึ่ง ไฟจะทดสอบคุณภาพของผลงานของคน ไม่ใช่ไฟไปทดสอบคนนะ ทดสอบคุณภาพของผลงาน ใครที่มาบิดเบือนรากฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลได้วางไว้ ซึ่งเป็นความจริงอย่างแน่นอนมีอันเดียว คือรากฐานของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใครที่มาบิดเบือน ไม่ใช่รากฐานข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ก็เปรียบการกระทำงานของเขา เป็นผลงานหรือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหญ้าแห้ง  หรือฟาง หรือไม้ ซึ่งไม่สามารถทนไฟได้ สักวัน ก็จะต้องถูกเผยความจริงออกมา เหมือนกับเราคุ้นๆ กัน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ข่าวประเสริฐพิสูจน์กันอย่างนี้แหละ  ต้องใช้เวลา

ผู้ที่สอนหรือประกาศข่าวประเสริฐ ที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะมีผลงานที่คงทน ถาวร เปรียบได้กันกับผลงานทำมาจากทองคำ เงิน พลอย ที่สามารถทนไฟได้  เมื่อระยะเวลานั้นมาถึงมันยังอยู่  ความจริงเท่านั้น ที่จะคงอยู่ตลอดไป อันนี้ชัดเจนเลยนะ ข้อ 14 และ 15 …

1 โครินธ์ 3:14-15 “14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

“ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่” ก็คือคุณภาพของผลงานเขาผ่านการทดสอบ ยังอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน … “ได้รับบำเหน็จ” อีกแล้ว เขาจะได้รับรางวัลในสวรรค์ใช่หรือไม่? ท่านลองคิดดู ถ้าเขาประกาศถูกต้อง พูดง่ายๆ ผลงานยังอยู่ คือประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซู พาคนมารู้จักพระเยซู พึ่งในพระเยซูอย่างเดียวจริงๆ เลย แท้ๆ เลย เขาจะได้รับบำเหน็จ คือเขาจะได้รับรางวัลพิเศษกว่าคนอื่นๆ หรือ? ลองคิดดูนะ

“บำเหน็จ” ตรงนี้ คืออะไร? บำเหน็จตรงนี้ คือผลงานที่จะได้รับ  เมื่อผ่านการทดสอบคุณภาพแล้วว่าคุณภาพใช้ได้ บำเหน็จตรงนี้ ก็คือผลงานที่จะได้รับจากการพิสูจน์ด้วยไฟเรียบร้อยแล้ว ก็คือผลงานที่จะได้รับจากงานรับใช้ ที่สัตย์ซื่อ ตามความจริงของข่าวประเสริฐที่พระเจ้าได้บอก ได้สอนในข่าวดีนั้น ซึ่งสามารถทนไฟได้  เป็นความจริง  ก็คือข่าวประเสริฐแห่งความจริง ที่นำพาผู้คนมาเชื่อพระเจ้า  มาเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า เป็นผลงานจากการปลูก และรดน้ำ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้านั่นแหละ ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้อง ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ตรงนี้แหละ

ผลงานจากการหว่าน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ

ผลงานการรดน้ำ ก็คือการสอน หนุนใจ เลี้ยงดู บรรยาย ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเจ้า สำหรับผู้เชื่อ เกิดเป็นผลในชีวิตของผู้ที่เชื่อ เกิดเป็นผลในไร่นาของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือผลแห่งพระวิญญาณ ผลแห่งความดีงาม ในทางพระเจ้า ผลแห่งความรัก มันเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเริ่มต้นตั้งแต่หว่านเมล็ด รดน้ำอย่างถูกต้อง ไม่ใช่รดน้ำกรด แทนที่เมล็ดจะโต  ยิ่งเหี่ยวแห้งหัวโต เผลอๆ ตายไปด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ผลงานจากการวางรากฐานที่ถูกต้องเท่านั้น ถึงจะทำให้ผลมันเกิดขึ้น

วางรากฐาน ก็คือการหว่านเมล็ดข่าวประเสริฐ การรดน้ำ ก็คือการสอน วางรากฐาน ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือการวางเสาเข็ม ต่อมาก็คือเหมือนกับการดน้ำ คือการก่อสร้างจากเสาเข็ม ถูกต้อง กลายเป็นตึกของพระเจ้า คือผู้เชื่อได้เกิดนั่นเอง

ดังนั้น รางวัลตรงนี้ บำเหน็จตรงนี้หมายถึงอะไร? ง่ายๆ ก็คือหมายถึงการได้เห็นบรรดาผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า การได้เห็นผู้คนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ เจริญเติบโตบนรากฐานที่ถูกต้อง บนความจริงบนข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พึ่งพาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือรางวัลที่เขาได้รับ ได้รับทันที เดี๋ยวนี้บนโลกใบนี้เลยครับ ไม่ใช่รางวัลที่จะไปรับเอาในโลกฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ไม่ใช่

คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับรางวัลพิเศษ ตามผลงานที่เราคิดกันนะ ซึ่งคาดว่าจะได้รับบนสวรรค์ไม่เท่ากัน มันไม่ได้หมายถึงชุดเสื้อผ้าอย่างดี หรือเครื่องประดับพิเศษ หรือมงกุฎเพชร หรือบ้านที่ใหญ่ขึ้น ที่จะเตรียมไปรับในสวรรค์วันหนึ่งข้างหน้า มันคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกันเลยนะ เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วก็ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ อยู่บนโลกใหม่ และศักดิ์ศรีที่พระองค์ทรงสร้างให้ใหม่เอี่ยมทั้งหมดเลย ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ใจ ทุกข์กายอีกต่อไปเลย นั่นแหละ คือรางวัลเดียว เท่ากันหมดที่ทุกคนจะได้รับ พระเจ้าเตรียมรางวัลนี้ให้เรียบร้อยแล้ว

ในข้อ 15 บอกไว้อย่างไร? อันนี้ก็เข้าใจกันผิดเยอะ “ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้น ถูกเผาวอด” ก็คือผลงานที่เขาประกาศไป ไม่ได้วางบนรากฐานอย่างถูกต้องในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่เปาโลบอก ผลงานของเขาถูกเผาวอด ไม่ใช่ตัวเขาถูกเผานะ ผลงานของเขาถูกเผาวอด สิ่งที่เขาก่อขึ้น ก็คือผลงานของเขา แรงกาย แรงใจ แรงอะไรต่างๆ ที่เขาลงไป ไม่ผ่านการพิสูจน์ด้วยไฟ เขาก็จะสูญสิ้น  ภาษาเดิมตรงนี้ หมายความว่าเขาก็จะทุกข์ใจ เพราะขาดทุน

ขาดทุนอะไร?  ขาดทุน เพราะว่าลงแรง ลงกาย ลงใจไปตั้งเยอะ แล้วมันไม่เกิดผล หมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้รับรางวัล คือขาดทุนนั่นเอง แต่ส่วนเขาเอง ตัวเขาจะรอด เพราะว่าใจจริง เขาเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่ออยู่แล้ว แต่อาจจะถูกสอนมาผิด หรืออะไรก็แล้วแต่ เน้นรวมความแล้ว ก็คือถูกล่อลวง ทำให้สอนในถ้อยคำที่ผิดจากหลักการจริงๆ ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผลงานเขาก็สูญหาย เสียไปเปล่าๆ  เขาก็รอด รอดด้วยความสูญหาย ด้วยการขาดทุน  ขาดทุนรางวัลบนโลกใบนี้ ขาดทุนความชื่นชมยินดี ขาดทุนความชื่นใจ ขาดทุนการเห็นผลงานคนนี้ไม่เชื่อ คนนี้ประกาศไปตั้งนานเขาไม่เห็นเชื่อเลย เพราะว่าเราพูดแต่เรื่องสร้างความเชื่อ แล้วได้รับผลตอบแทนบนโลกใบนี้ เช่น ถวาย แล้วจะได้เงินเข้ามาเยอะๆ มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้หายโรค มาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ร่ำรวย ปรากฏว่าเขามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เห็นจะร่ำรวยจริงๆ  เขาพยายามทำตามเราแล้ว พยายามสร้างความเชื่อด้วยตนเอง  ก็ไม่เห็นรวยสักทีหนึ่ง  ไม่เอาดีกว่า กลับไปอยู่ศาสนาเดิม ก็ไม่ต่างกันเท่าไร? ใครๆ ก็อยากได้ตรงนี้ ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพดี มีสุขทุกประการ บนโลกใบนี้ใครๆ ก็อยากได้  แล้วเราก็ประกาศตรงนี้ให้เขาฟัง  แล้วให้เขาพึ่งพาตนเอง ก็คือสร้างความเชื่อด้วยตนเอง ถ้าทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้รวย ทำอย่างนี้เยอะๆ ก็จะได้มีความสุข ทำอย่างนี้เยอะๆ จะได้แข็งแรง จะได้หายโรค

ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ใครๆ ก็อยากได้อย่างนี้ทั้งนั้น ใครๆ เขาก็สอนแบบนี้ทั้งนั้น ให้พึ่งพาตนเอง แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไม่ได้สัญญาอะไรอย่างนั้นเลย แต่สัญญาให้พึ่งพาพระเยซูคริสต์แต่เพียงผู้เดียว  จะได้รับความรอดทางวิญญาณ จะได้บังเกิดใหม่  ส่วนการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระเจ้าเป็นผู้นำเอง พระเจ้าให้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้ว จะนำเราเดินวันต่อวัน ทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น อะไรประมาณนี้นะ เราจะเห็นภาพเลยว่าคือความเข้าใจผิด

พระคัมภีร์มีอุปมาอยู่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ย้ำให้เห็นว่าการกระทำใดๆ บนโลกใบนี้ ไม่ได้มีผล ที่จะทำให้เราได้รับรางวัลบนสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว มันคนละเรื่องกันเลย ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า แด่พระเจ้า เพื่อพระเจ้า โดยพระเจ้าเท่านั้น รางวัลก็มีอยู่แค่รางวัลเดียวเท่านั้นเอง ที่ตะกี้นี้บอก และเป็นรางวัลที่เหมือนกันหมดทุกคน เท่ากันหมด สำหรับผู้เชื่อ ใครมาเชื่อพระเยซูคริสต์ มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ อย่าหวังว่าจะได้รับรางวัลมากกว่าคนอื่นเขา และอย่ากลัวว่าจะได้รับรางวัลน้อยกว่าคนอื่นเขา พระเยซูเป็นผู้ทำทั้งสิ้น ไม่ว่าสายตามนุษย์จะรู้สึกว่าคนนี้ทำเยอะ คนนี้ทำน้อย ไม่มีใครทำเยอะทำน้อย พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในเขา ไม่ว่าจะทำเยอะ พระเยซูทำ ไม่ว่าจะทำน้อย ก็พระเยซูทำ  ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับพระเยซูผู้เดียว ไม่ว่าจะเชื่อมานานแค่ไหน? ไม่ว่าจะเพิ่งเชื่อ  ผู้รับใช้ตำแหน่งอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนำคนมาเชื่อมากเท่าไรก็ตาม เหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์คิดเอาเอง ตามสายตาของมนุษย์ ตามเหตุผลของมนุษย์ ไม่ว่าจะทำดีมากขนาดไหน? หรือมีเมตตาขนาดไหนก็ตาม ก็รู้สึกไปวัดเทียบกันเองว่าอันนี้มีเมตตามาก อันนี้มีเมตตาน้อย อันนี้มีความดีเยอะ ความดีน้อย เราคิดของเราเอง แต่ในความเป็นจริง คือรางวัลที่จะได้รับจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์บอกให้มารับรางวัลจากพระองค์นั้น คือรางวัลเดียวเหมือนกันหมด พระคัมภีร์ทั้งเล่มจะบอกไว้หมดเลยว่าให้เราอดทน รอคอยวันนั้น วันที่เราจะได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตนิรันดร์ เราได้รับเมื่อเริ่มต้น เมื่อวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นั่นแหละเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว แต่มันยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ มันยังรอรับร่างกายใหม่  และโลกใหม่ที่จะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถานด้วย  เพราะฉะนั้น รางวัลที่จะได้รับเหมือนกันหมด ก็คือชีวิตนิรันดร์ ที่จะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์ ตลอดไปนั่นเอง

เราจะมาอ่านในข้อพระคัมภีร์นี้ ในมัทธิว  บทที่ 20  อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาแบบขำขันเลยนะ  พระเยซูยกตัวอย่างมาน่ารักมาก และเป็นอุปมาที่จะว่าแทงใจดำ ก็ไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น แต่เป็นแบบเอาเป็นว่าฟังดูแล้วมันมัน คือเหมือนสอนแบบลึกๆ น่ารัก และแถมขำขันนิดหนึ่งด้วย มัทธิว 20:1-16 …

มัทธิว 20:1-16 “1 ด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นเช่นเจ้าของสวน  ซึ่งออกไปแต่เช้า  เพื่อจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของตน 2 เมื่อเขาตกลงว่าจะจ่ายค่าจ้างวันละหนึ่งเดนาริอัน  แล้วก็ให้พวกเขามาทำงานในสวนองุ่น 3 ราวสามโมงเช้าเขาออกไปเห็นหลายคนยืนอยู่ว่างๆ ที่ตลาด 4 จึงชวนว่า ‘มาทำงานในสวนองุ่นของเราสิ เราจะให้ค่าจ้างตามสมควร’ 5 พวกเขาก็มา “ตอนเที่ยงวันและบ่ายสามโมงเจ้าของสวนออกไปทำเช่นเดิมอีก

6 ราวห้าโมงเย็น เขาออกไปพบคนยืนอยู่จึงถามว่า ‘ทำไมมายืนอยู่ว่างๆ ทั้งวันที่นี่?’ 7 พวกนั้นตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ “เขาจึงพูดว่า ‘มาทำงานที่สวนของเราสิ’ 8 “พอพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นก็สั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘ไปเรียกคนงานมารับค่าจ้าง ตั้งแต่คนหลังสุดไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 “ลูกจ้างที่มาเริ่มทำงานตอนประมาณห้าโมงเย็น รับเงินไปคนละหนึ่งเดนาริอัน 10 ฝ่ายคนที่มาก่อนนึกว่าตนจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน

11 เมื่อพวกเขารับเงินแล้ว จึงบ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12 ‘คนมาทีหลังทำงานแค่ชั่วโมงเดียวกลับได้เท่าๆ กับเราที่ตรากตรำกรำแดดมาทั้งวัน’ 13 “แต่เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงนะ ก็ตกลงกันไว้ว่าหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ? 14 รับค่าจ้างและไปเถิด เราพอใจจะให้คนมาทีหลังได้เท่าๆ กันกับท่าน 15 เงินของเรา เราไม่มีสิทธิ์ใช้ตามใจชอบหรือ? หรือว่าท่านอิจฉา เพราะเห็นเราใจกว้าง?’ 16 “ดังนั้น คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

 

พระเยซูสติปัญญา สมกับที่พระคัมภีร์บอก พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างเราทั้งหลาย  ก่อนสร้างโลก พระองค์ทรงรู้จักเราทั้งหลายแล้ว พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งเราทั้งหลายทุกคน และรู้ในใจว่าเราคิดอย่างไร? แต่ละคนนะ … แต่ละคนทรงรู้ว่าคิดอะไรในใจ เป็นอย่างไร? ชันสูตรลึกซึ้งว่าเราเป็นใคร? อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทราบเข้าไปในใจของคนคิดอะไรแบบมนุษย์ มนุษย์บาป อยู่ใต้ความบาป คิดอย่างไรบ้าง? พระองค์ทรงทราบหมดทุกอย่างเลย และพระองค์ทรงสอนอย่างละเอียด ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู ด้วยความขำขัน เหมือนกับสอนเด็กๆ คนหนึ่ง น่ารักมาก นี่คือสิ่งที่เราได้อ่านมาสักครู่นี้

ในนี้บอกว่าตกลงค่าจ้างคนละเท่าไร? 1 เหรียญ คนที่มาทำงานตั้งแต่เช้า ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่ทำงานตอนเที่ยง ก็ได้ 1 เหรียญ คนที่เริ่มงานบ่าย 3 โมงก็ได้ 1 เหรียญ  คนที่มาหลังสุด เริ่มงาน 5 โมงเย็น ทำแค่ชั่วโมงเดียว เลิกงานแล้ว ก็ได้ค่าจ้าง 1 เหรียญเท่ากัน ในสายตามนุษย์ตั้งแต่สมัยโน้น จนถึงเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาปแล้ว แม้เราจะมาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณก็ตาม แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ยังอยู่ใต้กฎ อิทธิพลของความบาปและความตายอยู่ และในโลกใบนี้ก็ยังเต็มไปด้วยระบบของความบาปอยู่ คือต่อต้านกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น มันอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ยุติธรรม คือมนุษย์บาป ในระบบบาป คิดแค่นี้ก็ไม่ยุติธรรมแล้ว คือในสายตาของมนุษย์ มันไม่ยุติธรรมเลย ทำงานชั่วโมงเดียว ได้เท่ากับคนที่ทำงาน 9 ชั่วโมง แต่ในนี้บอกว่าความยุติธรรมมาแล้ว เจ้าของเงินบอกว่า …

“นี่เงินของเรา เป็นสิทธิ์ของเรา จะให้ใครเท่าไรก็ได้ ไม่ใช่หรือ?”

ตอบไม่ออกเลยนะ เราคิดในใจนะ ตะกี้ที่เราคิดว่าไม่น่า ไม่ยุติธรรม ตอนนี้พระเยซูบอก จะเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ นี่เจ้าของเงินเขาพูดอย่างนี้ แล้วเจ้าของเงินยุติธรรมไหม? ถ้าคุณอยากได้ความยุติธรรม คุณก็ต้องดูเจ้าของเงินเขายุติธรรมไหม? ยุติธรรมสิ คุณบอกไม่ยุติธรรม เพราะคุณเห็นแก่ตัว ถ้าคุณไม่เห็นแก่ตัว ก็จะเห็นเจ้าของเงินเขาก็ยุติธรรม เพราะเป็นเงินของเขา เขาจะให้ใครอย่างไร? ก็เรื่องของเขา สมมติคุณเป็นเจ้าของเงิน คุณก็พูดอย่างนี้  …

“อ้าว! ก็เงินของผม ผมไม่มีสิทธิ์จะให้คนนี้ หรือไม่ให้คนนี้ จะซื้ออันนี้หรือไม่ซื้อ จะต่อราคาหรือไม่ต่อ ก็เรื่องของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”

และข้อสำคัญ ก็คือสัญญาไว้ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา สัญญากับคนงานไว้ว่าจะได้ 1 เหรียญ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา ก็ได้ 1 เหรียญ ไม่ได้สัญญาสักหน่อยว่าต้องทำงานเป็นชั่วโมงๆ เข้ามาทำงานวันหนึ่ง ได้เท่านี้ แต่กี่ชั่วโมงไม่รู้ เช่นเดียวกัน มายุคปัจจุบันแล้วนะ บางคนบอกว่า …

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งหลายปี รับใช้พระเจ้ามาตั้งหลายสิบปี ประกาศทุกวัน เลี้ยงดูทุกวัน ทำงานรับใช้มามากมาย นับไม่ถ้วนเลย แถมยังทำความดีเพิ่มอีก มีอดอาหารอธิษฐานให้กับลูกแกะด้วย ยังถวายสิบลด ถวายพิเศษด้วย แล้วเธอคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย อดอาหารก็ไม่ได้อด ถวายสิบลดก็ถวายแค่สองลด หรือไม่ได้ถวายเลย ฉันพยายามทำตามคำสอนทุกคำในพระคัมภีร์เลย ตัวหนังสือแดงที่พระเยซูสอน ฉันพยายามทำตามทุกอย่างเลย  เพื่อไม่ให้ตกหล่นเลยแม้แต่นิดเดียว บอกให้อภัยใคร ฉันก็พยายามให้อภัย บอกให้รักใคร ฉันก็พยายามรัก บอกให้อย่าโกรธ ยกโทษให้คนอื่น ฉันก็พยายามยกโทษ แล้วอย่างนี้จะให้ฉันรับรางวัลเท่ากับคนที่มาเชื่อ แล้วยังเมาเหล้าอยู่เลย มาเชื่อแล้วยังสูบบุหรี่เลย  มาเชื่อ แล้วยังทำอะไรน่าเกลียดๆ อยู่เลย มาเชื่อแล้วยังริษยา แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งก๊กอยู่เลย เหมือนชาวโครินธ์อย่างนั้น จะให้ฉันรับเท่าเขาหรือ?”

อปอลโลพูดอย่างนี้ อปอลโลบอก “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ?”

เปาโลบอกว่า “จะให้ฉันรับเท่ากับชาวโครินธ์นี่หรือ? ที่แบ่งพรรค แบ่งพวกอย่างนี้หรือ?  ฉันรับใช้พระเจ้า ฉันถูกเขาเอาหินขว้าง ฉันก็ทำ ฉันควรจะได้เยอะกว่าสิ ถ้าให้เขาได้เท่ากับฉัน อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมนี่

มันควรจะได้เท่ากัน แต่มีรางวัลพิเศษก็ยังดี สมมตินะ มีรางวัลพิเศษมากกว่าเขาสักหน่อยหนึ่ง ก็ยังดี อย่างน้อย เข้าไปในสวรรค์แล้ว นั่งใกล้ๆ พระเยซูมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เข้าไปในสวรรค์ แล้วมีเสื้อคลุมพิเศษให้กับฉัน ฉันทำงานเยอะบนโลกใบนี้กว่าเขา หรือไม่ก็ เมื่อขึ้นไปในสวรรค์แล้ว อย่างน้อย มีคำชมพิเศษ จากพระเยซูว่า … ‘เจ้าทำงานดีมากเลย เจ้ายอดเยี่ยมนะมากกว่าอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไร?’ ขึ้นไปในสวรรค์ปุ๊บ พระเยซูบอกเข้าสวรรค์ไปเลย”

ไม่ได้รับคำชม แถมอายเขาอีก อย่างนั้นหรือ? เรียกว่ายุติธรรม ท่านลองไปคิดดูกันเองแล้วกันนะ เหมือนตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ แม่พายากอบกับยอห์นมาถึงบอกว่าฝากไว้ด้วยนะ มีเส้นๆ นั่นความคิดมนุษย์ มีเส้นว่าเมื่อไรไปถึงสวรรค์ เมื่อพระองค์ทรงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์ ให้ลูกสองคนนี้ คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งอยู่ขวา เปโตรยังถามพระเยซูเลยว่าใครจะนั่งอยู่ข้างขวา ใครจะนั่งอยู่ข้างซ้าย ใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นรองจากพระองค์ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น

พระเจ้าก็ตอบเหมือนกับเจ้าของสวนองุ่น เหมือนในอุปมานี้ว่า … “ของขวัญ หรือรางวัล มันเป็นของเราไม่ใช่หรือ? เราอยากจะให้ใครเท่าไร เราก็มีสิทธิ์ให้ไม่ใช่หรือ? มันเป็นของเรา  ก็เราให้เปล่าๆ ไม่ใช่หรือ? ให้ด้วยพระคุณ ท่านก็ได้รับพระคุณ เขาก็ได้รับพระคุณ ให้เปล่าๆ  มันเป็นสิทธิ์ของเราที่จะให้ใครก็ได้ เท่าไรก็ได้ แล้วเราก็สัญญาไว้แล้วไง และสัญญาเราเป็นมรดกด้วย มรดก คือทุกคนได้รับเท่ากัน มรดก คือทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับ ไม่เกี่ยวกับการทำทั้งสิ้น ถูกไหม? และรางวัลนี้ ก็คือความรอดนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกเรา เป็นเจ้าของทุกสิ่งที่เรามีอยู่ แค่นี้ไม่พออีกหรือ? ยังจะเอาอะไรอีก”

ริษยา พูดเบาๆ โลภหรือเปล่า? ริษยาหรือโลภ คือพระเยซูต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ไม่ให้คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าเป็นความคิดที่สูงกว่า เป็นความรัก  และเราก็เป็นลูกของพระเจ้า บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า  เป็นความรัก ควรจะมีความคิดแบบใหม่แล้ว แล้วท่านคิดดู ถ้าเป็นความรัก ความรักคืออะไร? ความรัก คือการให้ ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ความรักเห็นผู้อื่นดีกว่าตน  เพราะฉะนั้น จากร่างนี้ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นความรักครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ควรคิดแบบความรัก สมมติว่ามีการให้รางวัลพิเศษ คนก็บอก …

“ไม่เอาๆ ให้คนนั้นแหละ แบ่งให้เท่าๆ กันเลย ไม่เอาๆ”

เพราะทุกคน ก็อยากจะให้ ไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครอยากจะดีกว่าใครที่ไหน?  ขอบคุณพระเจ้าแล้ว เอาไปเถอะ จริงไหม?

ในข้อ 16 พระเยซูได้พูด อย่างที่บอก ตบท้ายด้วยความขำ การสอนอันล้ำลึก ท่าทีแห่งความรัก เอ็นดู และแฝงไว้ซึ่งความขำขันนิดๆ พระองค์บอกว่า …

“ดังนั้น คนสุดท้ายจะไปเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย”

อันนี้ไม่ได้อยู่ในอุปมานะ  อันนี้พระเยซูสรุปอุปมาให้ฟังแปลว่าอย่างนี้ ฟังอุปมา ทุกคนเริ่มเห็น เริ่มเข้าใจ ความยุติธรรมแปลว่าอะไร? แล้วพระเยซูสรุปสุดท้ายว่าอันนั้นแหละ ความยุติธรรมที่ท่านเข้าใจ มันหมายความว่าอย่างนี้ คือคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย พวกนี้ก็งงกันใหญ่ เข้าใจหมดแล้วในอุปมาว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากับมนุษย์ มันต่างกัน พอฟังสรุปสุดท้าย งง แปลว่าอะไร? คนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย ก็คือคนสุดท้ายก็ได้รับ 1 เหรียญ คนต้นที่มาทำตั้งแต่เช้า ก็ได้รับ 1 เหรียญ สรุปก็คือทุกคนได้เท่ากันหมด แทนที่พระองค์จะบอกว่าทุกคนได้เท่ากันหมด พระองค์บอกว่าคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น คนต้นจะเป็นคนสุดท้าย

สรุป ก็คือไม่มีคนต้น และไม่มีคนสุดท้าย ทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์ ไม่ใช่อยู่เบื้องขวา แล้วก็แถวที่ 1 เบื้องขวาแถวที่ 2 เบื้องขวาแถวที่ 3 นั่นคือความคิดของมนุษย์ ทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานเท่ากันหมด ทุกคนเป็นแกะเหมือนกันหมด ไม่ใช่เป็นแกะที่อยู่แถวหน้า หรือเป็นแกะที่อยู่แถวโน้น ทุกคนเท่ากันหมด

เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ในเรื่องความยุติธรรม ตามสายตาของมนุษย์ ความคิดของมนุษย์ ซึ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากเลย นี่คือพระคุณของพระเจ้า ที่เราได้รับความรอดนี้ ความรอดนี้ เราอาจจะคิดตามมนุษย์ มันอาจจะไม่เท่ากัน เราก็ยังไปมองดูการกระทำ บนโลกใบนี้อยู่ แทนที่จะมองถึงพระคุณพระเจ้า ที่ให้มาเปล่าๆ และพระเจ้า พระเยซูคริสต์กระทำการงานอยู่ในตัวเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย  กระทำการงานอยู่เริ่มต้นเลย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็ทำการผ่านชีวิตของเราออกไป แล้วเรายังจะไปเรียกร้องขอรางวัลอีก เพราะเราไม่ได้ทำเลย พระเยซูเป็นผู้ทำ  ถ้าเราทำดี ทำถูกต้องทุกอย่าง ก็คือพระเยซูทำ แล้วถ้าเราทำบาป ไม่ใช่พระเยซูทำ ทำบาป เพราะเราตกลงไปในการล่อลวง ถูกล่อลวงด้วยอิทธิพลของความบาป อิทธิพลของเนื้อหนัง ซึ่งไม่ใช่ตัวเรา เป็นปรสิต มันพยายามหลอกล่อ หลอกลวงให้เราทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่ตัวเราเลย ไม่ใช่พระเยซูเด็ดขาด เขาเรียกว่าเนื้อหนัง เราจะทำโดยพระวิญญาณ คือทำโดยพระเยซูนำ หรือทำตามเนื้อหนัง ก็คือให้ระบบของความบาป ให้อิทธิพลของความบาป ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชักจูงให้เราทำ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้ว จะเห็นภาพไหมครับ?

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างด้วยสายตามนุษย์ ด้วยความคิดแบบมนุษย์ว่าเราจะได้รับไม่เท่ากัน ท่านลองคิดดูง่ายๆ  อยากจะทิ้งท้ายวันนี้ ให้ท่านกลับไปคิดดูให้ดีๆ ถ้าเผื่อใครที่กำลังคิดหรือคิดอยู่แล้ว หรือกำลังทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลพิเศษ  ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับรางวัลที่ใหญ่กว่า ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับบ้านที่ใหญ่กว่าในสวรรค์ ใครที่ทำอยู่ เพื่อจะได้รับคำชมจากพระเยซูในสวรรค์มากกว่าคนอื่น ใครที่กระทำอยู่ทุกวันนี้ เพื่อจะได้รับการโปรโมทแต่งตั้ง ให้เป็นใหญ่กว่าคนอื่นในสวรรค์ โปรดนำตรงนี้ไปคิดให้ดีๆ ท่านว่าเปโตรกับยอห์น รับใช้พระเจ้าบนโลกใบนี้ ควรจะได้รับรางวัลเท่าไรในโลกวิญญาณเมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ และท่านลองเทียบกันกับโจรบนไม้กางเขน ที่ได้รับเชื่อวินาทีสุดท้าย  ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมเป็นโจรอีกต่างหาก แล้วได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ท่านว่าใครได้รับรางวัลมากกว่ากัน ทุกคนก็บอกเลยนะ …

“แน่นอนโจรสู้ไม่ได้แน่นอน เปโตร ยอห์นรับใช้อัศจรรย์มากมายเยอะแยะหมด”

ท่านก็คิดอย่างนี้ใช่ไหม? ถูกไหม? ต้องคิดอย่างนั้นแน่นอน แต่ว่าลองคิด พระเจ้าเป็นผู้ทำ พระเยซูเป็นผู้เลือกว่าใครจะรับใช้อย่างไร? ตำแหน่งไหน? ใครจะเป็นหู ใครจะเป็นตา ใครจะเป็นจมูก ใครจะเป็นมือ เป็นนิ้ว  ใครจะเป็นนิ้วหัวแม่โป้ง ใครจะเป็นนิ้วก้อย ทั้งหมดเป็นร่างกายของพระคริสต์ใช่ไหม? พระองค์จะใช้ร่างกายนี้เพื่อเป็นประโยชน์ของพระกายของพระองค์ทั้งหมด แสดงว่าพระเยซูเป็นผู้ทำถูกไหม? แต่เราคิด มองดูแล้ว เปโตรทำการงานใหญ่กว่าตั้งเยอะ โจรไม่ได้ทำอะไรเลย

คราวนี้ย้อนกลับ มาคิด ท่านว่าผู้คนที่มาเชื่อพระเจ้า กลับใจใหม่จากคำพยานของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และได้รับความรอด ในอดีต เขาได้ยินได้ฟังคำพยานนั้น แล้วมาเชื่อพระเจ้า ท่านว่าเขาฟังคำพยานจากเปโตรกับยอห์น หรือกับโจรบนไม้กางเขน ฟังจากใครมากกว่า พูดง่ายๆ ใครเป็นพยานดังกว่า คนรู้จักยอห์นกับเปโตร กับคนรู้จักโจรบนไม้กางเขน ใครได้รับความนิยมมากกว่ากัน ใครได้ถูกเอ่ยนามมากกว่ากัน เมื่อพูดถึงการกลับใจใหม่มาสู่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงพระเยซูคริสต์ เมื่อพูดถึงการกลับใจมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้รับความรอด  พูดถึงใครมากกว่ากัน ใครที่ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และพูดถึงโจรบนไม้กางเขน  ประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้ไม่เชื่อนะ  พูดถึงโจรบนไม้กางเขน มากกว่าพูดถึงเปโตรกับยอห์น ท่านคิดว่าเขาพูดถึงใครมากกว่า แน่นอนทุกคนอ้างถึงโจรบนไม้กางเขน แม้นาทีสุดท้ายเมื่อเขารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกท่านได้รับความรอดแล้ว อ้างตรงนี้เลย แล้วตรงนี้ทำให้ผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ 2,000 ปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ผู้เชื่อเยอะแยะมากมายเลย มีโอกาสบังเกิดใหม่ แล้วรับเชื่อ ก็เพราะเหตุนี้ พยานยืนยันว่าเราไม่ต้องทำอะไรจริงๆ แค่เชื่อและวางใจในพระองค์ แม้วินาทีสุดท้ายก่อนร่างกายจะหมดลมหายใจไป ก็ยังทันอยู่ ใช่ไหม? ท่านลองไปคิดดูว่าท่านคิดแบบมนุษย์ หรือคิดแบบพระเจ้า  ให้เราร่วมกันอธิษฐาน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ทาร์ซานเป็นคน   แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนลิง  คริสเตียนเกิดใหม่แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม  แต่บางครั้งยังประพฤติตนเหมือนคนบาปชั่ว  ท่านจะพึ่งความประพฤติของตนเอง  หรือพึ่งพระเยซู?

“ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนชั่ว เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขา เป็นความชอบธรรม”  โรม 4:5

 

“เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”  2 โครินธ์ 5:17

 

เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว ตัวตนจริงๆของเราคือวิญญาณและจิตใจเป็นใหม่ทั้งสิ้น  และร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ ถูกแยกส่วนเป็นของใช้ส่วนตัวของพระเจ้าเพราะฉะนั้น ให้เรายอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายใหม่นี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้กับพระเจ้า ผู้สถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรา

 

อย่าเผลอยอมให้ศัตรู คือบาปมีอิทธิพล ผ่านทางโปรแกรมความคิด และการกระทำที่เคยชินเก่าๆ มาครอบงำ กระตุ้นให้เรายอมมอบอวัยวะในร่างกายนี้ กระทำตามมัน เหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นทาสมันอยู่

 

ดังนั้น พระเยซูจึงขอร้องให้เรา ให้ความร่วมมือในการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่อยู่เสมอ จะได้ใช้งานได้อย่างดี ทุกฟังก์ชั่นมีคุณสมบัติดีสมราคา ที่พระเจ้าทรงซื้อเรามาด้วยราคาแพงมาก พระเจ้าจะได้ทรงใช้เราให้สมกับเป็น มนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา   ขอความร่วมมืออัพเดตซอฟแวร์ใหม่ด้วยครับ?

 

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

 

 

วารสาร Holy News ฉบับที่ 1328

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กันยายน  2021

 เรื่อง “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”  ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

สองครั้งที่แล้ว ที่ทำให้เรารู้ความจริงที่ทำให้เราเป็นไทจริงๆ กันไปแล้ว ในวันพิพากษา ในวันสิ้นโลก คือวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษาโลกและมนุษย์ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันเยอะๆ บ่อยๆ เพราะเป็นเรื่องใครๆ ก็รู้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ทราบดีว่าเรื่องราวข้อมูลเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน เรียนรู้กัน ให้ตระหนักกันตั้งแต่มีชีวิตอยู่ เริ่มเรียนรู้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น  ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเรา เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร? ชีวิตหลังความตาย เป็นอย่างไร? ตายแล้วจะไปไหน? ไปอย่างไร? คือการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนตาย  เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะมาเมื่อไรความตาย  มนุษย์ทุกคนจะทราบดี เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงในเรื่องนี้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังความตาย  ชีวิตก็จะสุขกาย สบายจิต สบายใจมากยิ่งขึ้น ไม่วิตกกังวล คั่งค้าง ไม่เครียด ไม่กลัว ภายในลึกๆ ว่า …

“เกิดอะไรขึ้น แล้วฉันจะไปไหน? แล้วฉันจะเป็นอย่างไร?”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเจ็บป่วย  หรือในช่วงของการประสบปัญหาอะไรต่างๆ  ทำให้รู้สึกว่ามันใกล้ความตายเข้าทุกทีแล้ว  เช่นในช่วงระยะนี้ทั่วโลก ความตายค่อนข้างจะเห็นชัดเจนมากขึ้น  จากโควิด-19 ทำให้เราเห็นความตายใกล้เข้ามามากขึ้น มันก็ดีอย่างหนึ่งนะ ทำให้เกิดระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเราพร้อมหรือยัง? ถ้าเผื่อเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราพร้อมไหม? เราเห็นอะไรบางอย่างไหม? หลังจากที่เราตายแล้ว  ฉะนั้นเรื่องราวชีวิตหลังความตาย รู้ก่อนวิญญาณออกจากร่าง มันก็ทำให้ชื่นใจ มีสุขภาพจิตที่ดี สุขภาพใจที่ดี

ครั้งที่แล้วเราได้อ่านในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่จะพิพากษาโลกและมนุษย์ ที่แยกให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่ไม่เชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ซึ่งอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งเราได้เรียนรู้กัน กับผู้เชื่อในวิวรณ์ บทที่ 21ว่าผลแตกต่างกันอย่างไร? ระหว่างผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ

วิวรณ์ บทที่ 20 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือข่าวดีนั่นเอง  ซึ่งหมายถึงผู้ที่พึ่งตนเอง  ต้องการไถ่บาปของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง

ส่วนวิวรณ์ บทที่ 21 บรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่พึ่งและวางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเขา ไม่พึ่งการกระทำของตนเอง

จำได้ใช่ไหมครับ นี่สรุปแบบเร็วๆ สั้นๆ สรุปข้อความในหนังสือวิวรณ์ ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว เมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็คือคนที่พึ่งตนเอง  วิวรณ์ บทที่ 20 ก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเอง ก็คือจะไถ่บาปด้วยตนเอง พึ่งในการกระทำของตนเอง อยู่ในความพินาศ ในบาป ก็คือรับโทษของความบาป ต้องไปอยู่ในบึงไฟนรก  เพราะไถ่ตัวเองไม่ได้

ส่วนคนที่พึ่งพระเยซู ก็รับผลจากการกระทำของพระเยซู พึ่งพระเยซู คือให้พระเยซูลบล้างบาปหมดสิ้น  และพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ก็ได้ลบล้างบาปหมดสิ้นแล้ว  ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว  ไม่มีการพิพากษาอีกแล้ว  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ด้วยความเชื่อ

และเราก็ได้ยืนยันในหนังสือมัทธิว บทที่ 25 เหมือนๆ กันว่าถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาพิพากษาโลกและมนุษย์นั้น จะมีการแบ่งแยกระหว่างแพะกับแกะ ไม่มีแผะกับแก๊ะ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่มีหัวแกะ หางแพะ มีแต่แกะก็คือแกะ แพะก็คือแพะ ผู้เชื่อก็คือผู้เชื่อ ผู้ไม่เชื่อ ก็ไม่เชื่อ

แพะ ก็คือคนที่ต้องการจะพึ่งตนเอง  พึ่งความดีของตนเอง พึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะไถ่บาปให้ตนเอง  เพื่อจะได้ไม่มีบาป ด้วยตนเอง

แกะ ก็คือคนที่พึ่งพระเยซูคริสต์ ในวิวรณ์ บทที่ 21 เห็นไหมแยกกันระหว่างวิวรณ์บทที่ 20 และบทที่ 21 ชัดเจน  และวันนี้ เราก็จะมาย้ำยืนยันกันในเรื่องนี้กันอีก ให้เห็นชัดเจนว่านอกจากวิวรณ์และมัทธิว ที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้ว ก็จะมีข้อพระคัมภีร์อื่นๆ อีกหลายแห่งที่บันทึกให้เรามั่นใจ 100% ว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วจริงๆ สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น หัวข้อบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “ไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน”

ที่นำเรื่องนี้มาเน้น ก็เพราะว่ามีหลายท่านในอดีตและปัจจุบัน  ที่รู้จักกัน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว บางท่านก็หลายปี ก็ยังมีความกลัว ถามอยู่นั่นแหละ ไม่แน่ใจว่าตายแล้ว เขาจะไปสวรรค์ไหม?  ตายแล้ว เขาจะถูกพิพากษาในการกระทำอะไรต่างๆ ที่เขาทำไหม?  อะไรแบบนี้  กลัวถูกอยู่ในการพิพากษา ก็เลยอยากจะบอกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ว่าทั้งหมดนี้ จะนำมาซึ่งการปลอบโยนจิตใจ และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ากำลังบอกเราว่าอย่ากลัวเลย ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อหรือคริสเตียนอีกแล้ว  ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน 100%  เอเมน

ถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้กันไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็คือพระเยซูประกาศเอง บอกเองเลยตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าอย่างไร ในยอห์น 3:16 …

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

 

“ไม่พินาศ” ก็คือไม่อยู่ในความตายในวิญญาณ  วิญญาณที่อยู่ในความบาป  ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษสู่บึงไฟนรก แต่กลับมีชีวิตนิรันดร์ คือกลับมาเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ถามว่าเกิดขึ้นเมื่อไร? เกิดขึ้นเมื่อตอนอยู่บนโลกนี้เลย เมื่อรับเชื่อ สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นทันที  นี่พระเยซูประกาศเองเลย  เราได้เรียนรู้กันไปแล้วนะ

เพราะว่าเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เริ่มต้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ตั้งแต่วินาทีแรกที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว มันเป็นอย่างนั้น คือเราได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณแล้ว ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  การบังเกิดใหม่นั้น คือการได้รับชีวิตนิรันดร์นั่นเอง ตามที่หนังสือยอห์น 3:16 ได้บันทึกเอาไว้ ลองไปอ่านดูอีกครั้ง ในยอห์น 3:16-18 พระเยซูประกาศชัดเจนเลย ในหนังสือ โรม 8:1-2 ก็บอกไว้ชัดเจนว่า …

โรม 8:1-2  “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ไม่ต้องถูกลงโทษใดๆ อีกแล้ว ปัจจุบันอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจากโลกนี้ไป ก็ไม่ถูกลงโทษ เพราะไม่ถูกลงโทษอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่ถูกลงโทษ คือไม่เชื่อ ก็ถูกลงโทษตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนจากโลกนี้ไป ก็อยู่ที่เดิม คือถูกลงโทษอยู่แล้ว  เหมือนในเอเฟซัส บทที่ 2 บอกไว้ว่าเราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ในความเชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และด้วยความเชื่อนี้ เราได้บังเกิดใหม่ ทางวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าเลยทันที  และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เลยทันที  มันบังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เลยทันที เรียบร้อยไปแล้ว เพราะฉะนั้น การไปสวรรค์หลังจากนี้ มันจึงเชื่อถือได้

ใน 1 ยอห์น 4:17 ก็บอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราผู้ที่เชื่อ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว และมันก็จะเป็นอย่างนั้น หลังจากความตาย หลังจากวิญญาณออกจากร่างไป ก็จะอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย  …

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มีขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

 

เห็นไหม ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณของพระเจ้ากับพระเยซูคริสต์ เราเหมือนพระองค์เลย ทั้งวิญญาณ ทั้งจิตใจของเรา ที่ได้รับจากพระเจ้าในการบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว วันนี้ วานนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู

เราต้องเห็นภาพนั้นว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเราเหมือนพระเยซู ความคิดจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่กลัวการต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา เพียงแต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างเดิมนี้อยู่ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ร่างกายที่ต้องเสื่อมสลาย และต้องตายในที่สุด เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป  วิญญาณก็อยู่ที่เดิม  ก็คือวิญญาณอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่ร่างกายนี้เน่าเปื่อยไป พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าคริสเตียน เราไม่ได้ตาย แต่เราหลับ ล่วงหลับไป แป๊บเดียว  ตอนนี้มีวิญญาณ จิตใจ เหมือนพระเยซู มีใจใหม่เหมือนพระเยซู มีวิญญาณใหม่เหมือนพระเยซู แต่ร่างกายทางโลก ยังเป็นกายเดิมอยู่นั่นเอง  จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลก สมมติว่าพรุ่งนี้พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลกนี้และมนุษย์ทั้งปวง ถ้าเราผู้ที่เชื่อในพระเยซู ที่เป็นคริสเตียน และยังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ชั่วพริบตา  ร่างกายเปลี่ยน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซู ได้รับการเปลี่ยนแปลงทันที เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเยซู อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือทั้งร่างกาย วิญญาณ จิตใจเหมือนพระเยซูหมดเลย ลองคิดภาพ เพราะว่าวิญญาณกับจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูอยู่แล้ว วันหนึ่งออกจากร่างไป ได้รับร่างใหม่ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่าวกาย จิตใจและวิญญาณ ก็เหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งหมดเลย ก็ไปยืนอยู่ข้างพระเยซูคริสต์ เป็นน้องของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นภาพชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ความคิดชั่ว ความคิดสกปรก การกระทำไม่ดีต่างๆ ที่อยู่ในโปรแกรมความคิด สมอง ในร่างกายเดิมนี้  ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อ มันก็ได้ตายไปแล้ว ได้สูญสิ้นไปแล้ว พร้อมๆ กับร่างกายที่จบชีวิตลง ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมด ที่ตะกี้นี้บอก ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายใหม่ ที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้านั้น มันบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความชั่ว ปราศจากความคิดสกปรก ไม่มีอีกแล้ว ความคิดที่เคยอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป  ไม่มีอีกแล้วความคิดที่อยู่ในความชั่ว ไม่มีอีกแล้วนั่นเอง  ก็จะเหลือแต่ธรรมชาติใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ที่เป็นเหมือนพระเยซู เป็นความรัก มีความคิดสะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซู ดังนั้น ในวันพิพากษาเราก็แค่ปรากฎตัว ยืนอยู่ข้างขวาของพระเยซูในฐานะผู้ชอบธรรม ธรรมิกชน คนของพระเจ้า  พลเมืองสวรรค์ ที่มีฐานะเป็นน้องของพระเยซู ได้ยืนอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้มีการยืนอยู่ เพื่อจะถูกพิพากษาลงโทษ จากการกระทำที่ผ่านมาของเราเลยแม้แต่นิดหนึ่ง จำได้ไหมครับที่เราพูดกันอยู่บ่อยๆ พระเจ้าตรัสในหนังสือสดุดี 103:11-12 บอกอย่างนี้ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด  พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

เอาความบาปออกไปแล้ว ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ที่เราเริ่มต้นรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฮีบรู 10:14 ก็เหมือนกัน บอกว่า …

ฮีบรู 10:14  “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”

 

คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระเจ้าได้ชำระล้างเรา ครั้งเดียวเป็นพอ ให้ผู้ที่เชื่อ คือเราทั้งหลาย ได้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เท่าๆ กับพระเยซู อยู่บนสวรรค์ได้กับพระองค์ นี่ชัดเจน

และในเอเสเคียล 36:25-27 ยังบอกไว้ว่า … “พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์ได้ให้ใจใหม่กับเรา และให้วิญญาณใหม่กับเรา” ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ ได้ใจใหม่ ได้วิญญาณใหม่นั่นเอง

2 โครินธ์ 5:17 ก็บอกไว้ว่า … “ผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ใดที่เชื่อและอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นได้รับการทรงสร้างใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่บริสุทธิ์ สะอาดเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจ  รอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง” ชัดเจน

พอได้คุยเรื่องนี้ ก็ยังมีคนถามว่า … “แล้วร่างกายใหม่ที่เรารอคอย วันหนึ่งจะได้รับ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อเราเชื่อแล้ว ร่างกายใหม่จะเป็นลักษณะเช่นไร?”

ก็จะตอบสั้นๆ ว่า … “มีลักษณะเหมือนพระเยซูทุกประการ” เหมือนเลย ซึ่งวิญญาณและจิตใจของเรา ก็เหมือนพระเยซูอยู่แล้ว ตอนที่เริ่มต้นเชื่อ  ดังนั้น ตัวตนใหม่ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าตลอดกาลนั้น ในโลกใหม่ ก็คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกายที่เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เหมือนหมดเลย เหมือนทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย อยู่ในครอบครัวของพระเยซู เป็นเหมือนพระเยซู มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต เราเป็นน้อง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าร่วมกับธรรมิกชน ผู้เชื่ออื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด  เป็นพี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้น เราจึงเรียกกัน สรรพนามบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้บังเกิดใหม่ว่าพี่น้อง เกิดการเรียนรู้ไปเลย พี่น้องทางไหน? ทางวิญญาณ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว  เมื่อจากโลกนี้ไป เราก็ไปอยู่ที่เดิม คือเป็นพี่น้องร่วมกันในพระเยซูคริสต์ มีพระเยซูเป็นพี่ชายคนโต หัวหน้าครอบครัวใหม่

ซึ่งอย่าลืม ที่ตะกี้นี้บอกไปแล้วว่าความคิดสกปรก ความคิดชั่ว ความคิดไม่ดี ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สูญสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว พร้อมกับกายเดิม ซึ่งเป็นกายที่ได้รับผลกระทบ จากการถูกสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยอาดัมมา กายเดิมตายไปแล้ว พร้อมกับความชั่ว ความบาป เพราะว่ามันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ตายไปพร้อมกับการหมดลมหายใจของเรา มันจบแล้ว มันไม่ได้ติดตัวเราไป พูดง่ายๆ  บนสวรรค์เรามีแต่ความคิดที่ดี ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

บางคนก็เลยถาม พูดกันสั้นๆ ตรงนี้ว่า … “ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มันเป็นอย่างไร?”

“ก็เหมือนพระเยซู”

พระเยซูเดินทะลุกำแพงได้ ตอนที่พระองค์ปรากฏตัว หลังจากเป็นขึ้นจากความตายมา 40 วัน มาดำเนินกับสาวก นั่นแหละ เป็นลักษณะอย่างนั่นแหละ เดินผ่านทะลุกำแพงได้ ยังกินอาหารได้ ยังกินปลาได้  ยังพูดคุยได้ ไปไหนมาไหน แบบเร็วกว่าธรรมดา อยู่ดีๆ จะปรากฏตัวที่นั่น ก็ปรากฏตัวที่นั่นเลย ไม่ต้องใช้เวลา อะไรต่างๆ เหล่านี้

หรือแม้กระทั่งผู้คนของพระองค์ บรรดาสาวก ก็ยังจำพระองค์ได้ว่าเป็นพระองค์ อาจจะจำไม่ได้ตอนแรกๆ เพราะว่าราศีเปลี่ยนไปเยอะ แต่พอสักพักหนึ่ง พอสังเกตดู พระเยซูเนี้ย จำได้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เราค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติมแล้วกัน

แล้วก็มีคนถามว่าแล้วเช่นนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว  รับเชื่อในพระเจ้าแล้ว รู้ชีวิตหลังความตายว่าเราไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว เราทิ้งร่างกายนี้แล้ว เราได้รับร่างกายใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยวิตกกังวล คือความวิตกกังวล เหมือนเดิม เหมือนสมัยก่อน  ตอนยังไม่เชื่อ

ก็คือ … “แล้วพอวิญญาณออกจากร่าง แล้วร่างกายเดิม เราควรจะทำอย่างไร? เอาไปเผาได้ไหม?  เอาไปฝังดินได้ไหม? หรือควรจะทำอย่างไรดี มันเกี่ยวอะไรกับร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับไหม?”

ขอตอบสั้นๆ ว่าร่างกายใหม่ เป็นร่างกายใหม่เอี่ยม ไม่เกี่ยวอะไรกับร่างกายที่เราอยู่กันทุกวันนี้  บนโลกใบนี้เลย  ร่างกายเดิมมันจะกลับไปสู่ดิน  กลับไปสู่ที่มันเกิดมา ที่มันได้ถูกปั้นขึ้นมา  ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน คือจากดิน น้ำ ลม ไฟ วัสดุที่ทำจากโลกใบนี้นั่นเอง มันก็จะสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้ถูกตัดสินแล้ว โลกใบนี้จะดับไป จะสูญไปพร้อมกับร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้น เมื่อมันคนละเรื่องกัน ถามว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว จะทำอย่างไรดี? ก็ทำตามสบาย ถ้ามีเงินหน่อย ก็เอาไปฝัง เพราะถ้าฝัง ต้องใช้เงินเยอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ 2-3 แสน หรือ 3-4 แสนก็มี หรือถ้าไม่มีเงิน ก็เอาไปเผา เผาที่ไหน? ที่เขารับเผาฟรี ก็มี เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะไปเผา หรือไปฝัง หรือเอาไปทำอะไรก็ตาม ผลออกมา ก็เหมือนกัน เพียงแต่ต่างเวลากันเท่านั้น คือถ้าเอาไปฝัง ก็จะใช้เวลา 7-8 ปี  จนสูญสิ้นไป กลายเป็นดินไป ถ้าเอาไปเผา ก็อาจจะใช้เวลา 10 นาที เตาแบบสมัยเก่า แต่ถ้าเป็นสมัยใหม่ อาจจะใช้เวลา 1-2 นาที หายเกลี้ยงเลย  ไม่สำคัญเลย เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับร่างใหม่ที่เราจะได้รับ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เพราะฉะนั้น ร่างกายเดิมนี้ จะไปทำอะไรกับมัน ก็มีค่าเท่ากัน ก็คือในที่สุด มันก็คือสูญสิ้น

ตอนนี้รู้แล้วนะ ไม่ต้องกังวลใจว่ากลัวไปเผา บางคนบอกเอาไปเผา กลัวร้อน บางคนเอาไปฝังบอกกลัวหายใจไม่ออก อะไรประมาณนั้น นี่คุยกันเล่นๆ

สิ่งเหล่านี้ สมควรที่จะมานั่งคุยกัน มาเรียนรู้กันบ่อยๆ เขาเรียกว่ามรณานุสติ นึกถึงความตาย  พอนึกถึงความตาย แล้วรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พระเจ้าบอกเราถึงความจริงเหล่านี้  ทำให้เราเป็นอิสระ เราก็ไม่กลัว ก็ไม่กังวล ไม่วิตก เราก็มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไปสู่จุดหมายปลายทาง รางวัลที่จะได้รับหลังความตาย คือพักผ่อนนิรันดร์นั้นเอง

ดังนั้น พื้นฐานของความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ทั้งหมดในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่าง และการไปอยู่ในสวรรค์ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ความจริงเหล่านี้ จึงต้องเรียนรู้กันบ่อยๆ ให้มันฝังหัวเลย เรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ เลย ให้เป็นธรรมชาติเลยว่าเราอยู่บนโลกนี้เพียงชั่วคราว  แค่ทางผ่าน เป้าหมายของเรา คือหลังจากจากร่างนี้ไปแล้วมากกว่า มันจึงสำคัญ  ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว หลุดจากความสงสัย ความวิตกกังวล เพราะเราจะได้มั่นใจ 100% ว่าในวันที่เราออกจากร่าง จากโลกนี้นั้น  เราก็จะไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณ สู่สวรรค์ สู่อ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ สู่ที่พักนิรันดร์ของเรากับพระเจ้าตลอดไป วิญญาณออกจากร่าง แค่พริบตาเดียว หายใจออก ก็คือลมหายใจครั้งสุดท้าย  เหมือนผลักประตูเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ  สู่อ้อมกอดของพระเจ้า จบงาน ได้พักนิรันดร์ ไม่มีการพิพากษาตัดสินการกระทำของผู้เชื่อในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว

ไม่มีการพิพากษา ตัดสินการกระทำของผู้เชื่อ คริสเตียนหรือเปล่า? ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวอย่างแน่นอน  พูดให้ตัวเองชัดเจนเลยนะ  ทุกท่านเชื่อและมั่นใจตามนี้แล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่เชื่อ ไม่มั่นใจตามนี้ ฟังแล้วฟังอีก  ใน 2-3 ครั้งที่แล้ว ที่ได้บรรยายถึงเรื่องนี้ และฟังเรื่องนี้อีกสักหลายๆ ครั้ง ให้มันฝังหัวว่ามันใช่จริง  พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนมาก  แล้วผมจะค่อยๆ เอาพระคัมภีร์มาอธิบาย มาแจง มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นไทมากยิ่งขึ้น ทุกท่านจะได้เชื่อและมั่นใจตามนี้เลย

มีพระคัมภีร์หลายข้อ  ที่มีคริสเตียนหลายคนได้อ่านแล้ว ก็เริ่มสงสัย มีความไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่าจะต้องพบกับการพิพากษา ก็คือเกิดความสงสัย เกิดความกังวลเล็กๆ ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็อาจจะเกิดความกังวล สงสัยว่า …

“เอ๊ะ! เรื่องนี้หมายถึงอะไร?”

วันนี้เลยจะยกมาข้อหนึ่งก่อน ในหนังสือ 2 โครินธ์ 5:10  ก็เป็นหนึ่งข้อของผู้คนที่สงสัยในเรื่องนี้ว่าตรงนี้หมายถึงใคร ที่ต้องได้รับการพิพากษา 2 โครินธ์ 5:10 …

2 โครินธ์ 5:10 “เพราะพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

 

หลายคนพออ่านถึงตรงนี้ ก็เริ่มต้นสับสนว่า “เพราพวกเราล้วนต้องเข้าเฝ้า ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

“เอ๊ะ! หมายถึงเราหรือเปล่าหนอ?”

หมายถึงคนที่เชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ก็กังวล สงสัย หลายคนชักเริ่มไม่ค่อยแน่ใจ คำว่า “พวกเรา” กับ “แต่ละคน” ตรงนี้ จะหมายถึง รวมถึงพวกเราที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อด้วยหรือเปล่า?

จริงๆ แล้วคำว่า “บัลลังก์และการพิพากษาของพระคริสต์” ในข้อนี้  ก็มีความหมายเดียวกันกับที่เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วมา ก็คือเรื่องของการแยกวิวรณ์ 20 กับวิวรณ์ 21 นั่นเอง คือผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ  การแยกแพะกับแกะ ในมัทธิว บทที่ 25 นั่นเอง ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ การแยกผู้ที่พึ่งพาตนเองกับผู้ที่พึ่งในพระเยซู การแยกระหว่างผู้ที่อยู่ในอาดัมกับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ การแยกผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดกับผู้ที่อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนั่นเอง มันหมายความเรื่องเดียวกันเลย  เป็นเหตุการณ์เดียวกัน ลักษณะเดียวกัน

ข้อนี้ ที่ตะกี้นี้เราอ่านร่วมกันบอกว่า … “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่ได้ทำ ขณะอยู่ในกายนี้  ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ นะ แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งเขาได้ทำ  “เขาได้ทำ” นะ ขณะอยู่ในกายนี้  ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว เราจะมาวิเคราะห์กัน

ไม่ว่าดีหรือชั่ว การทำชั่วคืออะไร? การทำชั่ว ก็คือการทำบาป ถูกไหม?  เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องไปยืนที่หน้าบัลลังก์ เพื่อฟังคำพิพากษาในความบาป ที่ตนได้กระทำ เพราะพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และจึงทำบาป “เป็นคนบาป” หมายถึงเป็นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่อาดัม เป็นเชื้อสาย เป็นเชื้อที่ติดมา เกิดมาก็ทำบาปแล้ว เพราะฉะนั้น การทำชั่ว ก็คือการทำบาป เพราะเป็นคนบาป  จึงทำบาป

ฟังแค่นี้ หลายท่านก็รู้สึกเลยว่าการพิพากษาลงโทษ การกระทำบาปไม่ได้รวมถึงผู้เชื่อ หรือเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เลย เพราะผู้เชื่อทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ ที่พึ่งการกระทำ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ให้กับเรานั้น ได้รับการไถ่บาป ได้รับการลบล้างความบาปหมดสิ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ การกระทำของเราผู้ที่เชื่อ ในขณะที่อยู่ในกายนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น  ไม่ว่าจะเป็นการทำดีหรือการทำชั่วก็ตาม พูดง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำดี หรือทำบาปก็ตาม ก็ไม่มีการพิพากษาใดๆ อีกแล้ว  เพราะเราไม่ได้พึ่งในการกระทำของตัวเราเอง แต่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนต่างหากล่ะ

โลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ได้ชำระล้างบาป ความชั่วร้ายทั้งสิ้นของเรา ที่ได้กระทำไป ในร่างกายนี้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดสิ้นแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ เห็นไหมครับ? บาปจบไปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าครั้งเดียวเป็นพอ ในหนังสือฮีบรู บทที่ 10 ได้บอกไว้ ครั้งเดียวเป็นพอ เราไม่ได้สกปรก ไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ไม่นับเป็นคนบาปอีกแล้ว เราถูกนับเป็นคนชอบธรรม ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้กระทำให้กับเรา อันนี้ชัดเจนเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อหรือคริสเตียน ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้วนั้น  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วนั้น  เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์สีขาวของพระเยซู เพื่อรับการพิพากษาลงโทษอีก มันเป็นไปไม่ได้เลย มั่นใจได้ 100% ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนตะกี้นี้ที่บอกตอนต้น  เหมือนในโรม บทที่ 8 ที่บอก …

“ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ ชีวิตในพระเยซูได้ทำให้เรา

พ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้น ไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ  แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”

โรม บทที่ 8 ร้องเพลงนี้ให้ได้ มั่นใจได้เลย  ย้ำนะว่าการทำชั่ว  หรือการทำบาปของผู้เชื่อ  ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ว่าเราจะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม ไม่ได้มีผลใดๆ ในวันพิพากษาของพระคริสต์ บนบัลลังก์สีขาวเลย ไม่มีการตัดสิน ลงโทษใดๆ อีกแล้ว  อยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีการลงโทษ ตัดสินใดๆ อีกแล้ว  และไม่มีการตัดสินลงโทษ หลังจากความตาย ก็ไม่มี และไม่มีการตัดสินลงโทษตลอดไปเลย ชั่วนิรันดร์ โรม 8:1-2  ต้องจำให้แม่นๆ เลย มันเป็นอย่างนั้น

ฉันใดก็ฉันนั้น การทำดีของผู้เชื่อในขณะที่ยังอยู่ในกายนี้  ก็ไม่มีผลใดๆ ในวันพิพากษา บนบัลลังก์สีขาวเช่นเดียวกัน ทำบาป ก็ไม่ได้รับการลงโทษ ทำดี ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ พูดง่ายๆ ไม่มีการพิจารณาเฉพาะคริสเตียนว่าใครทำดีขนาดไหน?  ทำดีได้น้อย ได้มากขนาดไหน มีรางวัลพิเศษ ไม่มี ทำดีมากขนาดไหน ก็ไม่มีรางวัลพิเศษ  ทุกคนได้รับรางวัลเหมือนกัน ฟังให้ดีๆ ฟังอีกที ทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ว่าเชื่อมากี่ปี ก็ตาม เชื่อมามาก อีกคนเชื่อมาแค่ 1 ชั่วโมง อีกคนเชื่อมา 10 ปี 20 ปี ได้รางวัลเหมือนกันหมดเลย  ได้รางวัลเท่ากันหมดเลย ไม่ว่าคนนี้จะทำงานมาก ทำงานน้อย ได้เหมือนกันหมดเลย  ไม่ว่าท่านประกาศมาก ประกาศน้อย ท่านก็ได้เท่ากับอาจารย์เปาโล   อาจารย์เปโตร อัครทูตเปาโล อัครทูตเปโตร ได้เท่ากันเลย

รางวัลเดียวที่ได้รับเหมือนกัน เท่ากัน คือชีวิตนิรันดร์ แบบฟลูอ๊อบชั่น (Full option) เป็นมรดกด้วยนะ  คือได้รับมรดกแห่งชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับมาฟรีๆ จากพระเจ้าทรงประทานให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ชีวิตนิรันดร์ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก วิญญาณเหมือนพระเยซู จิตใจเหมือนพระเยซู อยู่ในร่างกายที่เหมือนพระเยซู และอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา โลกที่จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลังจากโลกเก่านี้ ที่อยู่ในคำสาปแช่ง  มันสูญสิ้นไป  และเราจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้านิรันดร์ ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่งมันเป็นมรดก พระคัมภีร์บอกเป็นมรดก แล้วเราค่อยๆ เรียนรู้เรื่องนี้ต่อไป  เป็นมรดก คือเราไม่ต้องทำอะไร? ให้กับเราฟรีๆ ให้ก่อนที่เราจะรับสิทธิของเราอีกด้วยซ้ำไป นี่คือความหมายของคำว่าไม่พึ่งในการกระทำของตนเอง ทำชั่ว ก็ไม่มีการพิพากษาลงโทษ  ทำดี ก็ไม่มีการให้รางวัลพิเศษ  เพราะได้รางวัลกันไปแล้ว  เท่ากันหมด

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ก็จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น ไม่ต้องหวาดหวั่นว่าจะถูกลงโทษ และไม่โลภที่คิดว่าจะได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะทำเยอะกว่าคนอื่นเขา  ในหนังสือโคโลสี บทที่ 1 ได้บอกเอาไว้อย่างนี้ว่า … “พระคริสต์สถิตในท่าน”  พอท่านเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งพระสิริ ให้รู้ว่าพระคริสต์ทำงาน มีชีวิตอยู่ในท่าน ท่านไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว แต่พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ทำการงาน ดำเนินชีวิตอยู่ภายในร่างกายของท่าน ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย

และในฟีลิปปี 2:13 ยังได้บันทึกอย่างนี้บอกว่า “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน  ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”

 

พูดง่ายๆ ก็คือทำดี พระคริสต์ทำ ทำชั่ว ก็คือไม่ใช่พระคริสต์แล้วนะ ตอนที่เราเชื่อพระเจ้า ถ้าทำดี ก็คือพระคริสต์เป็นผู้นำเรา เราเชื่อฟังพระเยซู ด้วยวิญญาณและจิตใจที่ฟังพระเยซู เหมือนพระเยซู ยอมให้พระเยซูกระทำการงานผ่านทางร่างกายนี้อยู่ บางครั้งเราถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวง ด้วยเนื้อหนัง … เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป และกระบวนการความคิดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าของเก่าที่ยังกระทำการงานอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตาย มันมีอิทธิพลอยู่ และบางครั้งเราถูกล่อลวงให้เป็นทาสมัน เชื่อมัน ก็หลงไปทำตามมัน เรียกว่าทำบาป ทำการเป็นศัตรู ตรงกันข้ามกับพระเยซูที่อยู่ในเรา ตรงนั้น เรียกว่าทำบาป  คือการถูกล่อลวง ถูกใครล่อลวง? ถูกมันล่อลวง ซึ่งการกระทำเหล่านั้น พระเจ้าทรงอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ การหลั่งพระโลหิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เหมือนในโรม บทที่ 6 ก็บอกไว้ว่าอย่าไปทำตามมัน

“มัน” คือเนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ระบบของความคิดเก่าๆ ที่อยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม อิทธิพลเหล่านี้มันจะยุแยงเขี่ยเรา และจะพยายามผลักเราให้ทำตาม มันล่อลวงเราให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามที่ใจอยากทำ ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง แต่พระเจ้าอภัยให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว วิญญาณที่บังเกิดใหม่ข้างในของเรา ธรรมชาติ ที่บังเกิดใหม่ จากความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะเป็นแหล่งแห่งผลงานออกมาทางการกระทำนี้

เพราะฉะนั้น พระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณท่าน วิญญาณเกิดใหม่ไหม?  ถ้าวิญญาณเกิดใหม่ พระเยซูสถิตอยู่ด้วย  พระเยซูก็จะทำการงานให้ผลของพระวิญญาณออกมาเป็นการกระทำ เป็นผลดี ก็ไม่ใช่เราทำ เป็นพระเยซูทำ  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นั่นเอง  จะเห็นภาพชัดเลย

สรุป ก็คือความหมายของพระคัมภีร์ 2 โครินธ์ 5:10 ซึ่งเราอ่านไปเมื่อสักครู่นี้  ที่บอกว่า “แต่ละคนจะได้รับสิ่ง ซึ่งสมกับที่เขาได้ทำ ขณะซึ่งอยู่ในกายนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว” ก็เหมือนกับการแยกแพะกับแกะ แยกวิวรณ์ บทที่ 20 กับบทที่ 21 แยกคนตายกับคนเป็น  แยกคนตายกับคนที่มีชื่อจดอยู่ในหนังสือชีวิต ก็คือแยกคนที่เป็นคนบาป ทำบาป  จากข้างใน  จากวิญญาณ ซึ่งเราเรียกว่าเขาพึ่งตนเอง จะให้พ้นบาป ซึ่งมันไม่ได้ ไม่พึ่งพระเจ้า แยกคนบาป ซึ่งพึ่งตนเองกับคนที่เชื่อพระเจ้า คนที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ที่พึ่งการกระทำของพระเยซูไถ่บาปให้กับเขา  จะเห็นชัดเลย  เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเราเชื่อและวางใจ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ มองไปที่ไม้กางเขน มองไปที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เราก็มั่นใจได้แน่นอนว่าไม่มีการพิพากษาลงโทษใดๆ อีกแล้วครับท่าน ไม่มีอย่างแน่นอน

จำที่พระเยซูบอกได้ไหมครับว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด คนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย”

หมายถึงอะไร? พระเยซูกำลังพูดถึงตรงนี้แหละว่าทั้งหมดนี้อยู่ที่วิญญาณข้างใน ถ้าวิญญาณข้างในเราเปลี่ยนแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว  มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้างในจะส่งผลออกมา เป็นการกระทำที่มีคุณภาพ เรียกว่าดี  เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่การกระทำดี ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการทำดีว่าทำดีมาก ทำดีน้อย  ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ มันอยู่ที่คุณภาพ

คุณภาพของการทำดี มาจากวิญญาณที่เกิดใหม่ วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าเป็นวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ยังไงๆ มันก็ไม่ดี พูดง่ายๆ  ถ้าเป็นวิญญาณของพระเจ้าที่เกิดใหม่ เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ยังไงๆ มันก็ต้องดี  เพราะเป็นผลของพระวิญญาณ ตรงนั้นนั่นเอง

คราวนี้เราจะมาเสริมตรงนี้อีกนิดหนึ่ง  ในข้อที่ 11 ต่อมาเมื่อสักครู่นี้  เป็นการเสริมให้ชัดเจนว่าบริบทนี้ เขาพูดถึงเรื่องอะไร?  2 โครินธ์ 5:11 …

2 โครินธ์ 5:11 “เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร เราจึงพยายาม  โน้มน้าวใจคนทั้งหลาย เราเป็นเช่นไรนั้น ย่อมปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าสิ่งนี้จะปรากฏชัด ต่อจิตสำนึกของพวกท่านด้วย”

 

อาจารย์เปาโลเลยอธิบายเมื่อสักครู่นี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า … “เช่นนั้นแล้ว” ก็คือกำลังจะบอกให้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าได้ยินได้ฟังว่ามันอันตราย ขนาดไหน? ถ้าท่านต้องเข้าไปสู่การพิพากษา บนบัลลังก์สีขาว วันที่พระเจ้ามา

“เช่นนั้นแล้ว เมื่อเรารู้ว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร” ถามว่าความเกรงกลัวพระเจ้านั้นคืออะไร? อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศข่าวประเสริฐ รู้แล้วว่าความเฉียบขาด การเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎที่พระเจ้าเป็นผู้ครอบครองทั้งหมดนั้น ด้วยความยุติธรรมนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะไม่มีการลำเอียงเลย  ไม่มีการว่าชอบใคร? ไม่ชอบใคร? ไม่มี กฎว่าอย่างไร? ถึงวันพิพากษา มันต้องเป็นไปตามกฎเหล่านั้น  บอกให้เชื่อในพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปแล้ว ถ้าไม่เชื่อวันนั้น วันที่ถูกพิพากษา ก็ไม่มีคำว่าแม้ หรือว่าแต่ว่า

“แต่ว่าฉันทำดีมากๆ” อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษ สู่บึงไฟนรก ซึ่งมันน่ากลัวมาก ไม่มีการลำเอียง ติดสินของพระเจ้า  ความน่ากลัวตรงนี้ หมายถึงอย่างนี้  ให้เคารพยำเกรงในการตัดสินใจของพระเจ้า  ซึ่งพูดคำไหน ต้องเป็นคำนั้น  แม้กระทั่งลูกของตนเอง  คืออาดัมและเอวา ทำผิดพลาดไป ละเมิดคำสั่ง  ทำบาปครั้งแรก  เมื่อตอนยุคโน้น ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าสั่งว่าอย่า แล้วเขาไม่เชื่อฟัง เขาฝืนคำสั่งของพระเจ้า  กระทำสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามไปกินผลไม้ต้องห้าม ก็เกิดตามผลที่บอกไว้ตามกฎแล้วว่า …

“อย่ากินนะ กินวันใด เจ้าจะต้องตาย เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย”

แล้วกินไหม? กิน ในที่สุด ก็ต้องถูกลงโทษให้ตาย หลายคนบอกครั้งเดียวเอง ก็นี่แหละ คือความน่ากลัวของพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น

อาจารย์เปาโลและทีมงานที่ประกาศ ก็บอกว่าเพราะเห็นความน่ากลัวของกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ความเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามหาจักรวาลที่ยุติธรรมอย่างนี้ มันน่ากลัวมาก ที่ท่านต้องเข้าไปถูกพิพากษา ไม่มีอะไรช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านเท่าไร? ก็ช่วยไม่ได้  แม้พระเยซูจะมาไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยแล้ว  ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้  แม้พระเยซูจะรักท่านมาก ยอมสละชีวิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เต็มด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อท่าน ก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ เมื่อวันพิพากษามาถึง เมื่อถึงวันนั้น เพราะมันเป็นไปตามกฎ

“กฎ” ก็คือท่านต้องเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย เท่านั้น ท่านถึงจะได้รับความรอด หลังจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรแก้ไข ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกเลย ท่านต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย  ถ้าจะอยู่ในสวรรค์ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอให้ตายก่อน ไม่ทันแล้ว  นี่น่ากลัวไหม? น่าเกรงขามไหม? ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า

และเมื่อเราได้รับรู้แล้วว่าความกลัวพระเจ้าที่แท้จริง คืออะไร เราจึงพยายามโน้มน้าวจิตใจของคนทั้งหลาย “เรา” ในที่นี้ คืออาจารย์เปาโลและบรรดาอัครทูตที่ตระเวนประกาศข่าวประเสริฐอยู่ไง ประกาศเรื่องพระเยซูอยู่

คำว่า “โน้มน้าวคนทั้งหลาย” คือตระเวนประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซู เรื่องความจริง ที่ผมอธิบายให้ฟังมาตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่าอย่ารอให้ถึงวันที่วิญญาณท่านออกจากร่าง คือการตายจากโลกใบนี้ มันไม่ทันแล้ว ท่านกลับตัวไม่ทัน  ท่านจะพบกับการพิพากษาลงโทษนิรันดร์ ไปสู่บึงไฟนรกนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย พระเจ้าจึงใช้ผม คืออาจารย์เปาโลและอัครทูต ทีมงานเหล่านั้น ในการที่จะโน้มน้าวจิตใจ และประกาศข่าวดีนี้ให้กับท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

โน้มน้าวให้บรรดาทุกคนบนโลกใบนี้ที่ยังพึ่งในตนเองอยู่ พึ่งในการทำดีของตนเอง พึ่งในการที่จะไถ่บาปตนเอง ให้กลับใจใหม่ หันกลับมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ มายอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ โน้มน้าว ก็คือประกาศข่าวประเสริฐให้บรรดาผู้คนในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 ซึ่งในวิญญาณตายอยู่ และต้องพบกับความพินาศนิรันดร์ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง วิงวอนให้เปลี่ยนมาอยู่ในวิวรณ์ บทที่ 21 มาได้รับความรอดนิรันดร์ มาเป็นคนของพระเจ้า มาเป็นแกะของพระเจ้า  มาเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดกนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษนิรันดร์นั่นเอง

โน้มน้าวผู้คนที่ยังอยู่ในกลุ่มแพะให้มาอยู่ในกลุ่มแกะ เห็นไหมครับ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราประกาศโน้มน้าวคนเหล่านี้ โน้มน้าวให้คนที่อยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องตัดสินใจตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น อย่างเดียวเลย อาจารย์เปาโลเลยเร่งวันเร่งคืนที่จะประกาศโน้มน้าวให้ผู้คนได้รับรู้สิ่งนี้ แล้วก็ตัดสินใจรีบเปลี่ยนซะ ไม่เช่นนั้นวันพิพากษา ท่านต้องไปชดใช้ในสิ่งที่ท่านกระทำบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว โดยการพึ่งในตนเอง ซึ่งไม่มีใครทำได้ 100% ว่าจะเปลี่ยนตัวเองจากคนบาป ให้เป็นคนชอบธรรม มันเป็นไปไม่ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น

เพราะฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงพูดในบริบทนี้ ในข้อต่อๆ ไป อาจารย์เปาโลก็บอกว่า …

“พวกท่านก็รู้ดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ พระเจ้าก็รู้ พระเจ้าเป็นคนให้ภาระนี้กับข้าพเจ้าในการที่จะออกไปประกาศ ท่านเองก็รู้ดี รู้จักนิสัยข้าพเจ้าดี วันทั้งวันข้าพเจ้ามีแต่ประกาศพระคริสต์ ประกาศข่าวประเสริฐ ไปที่ไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ประกาศข่าวประเสริฐ ถูกต่อต้านอย่างไร ถูกข่มเหงอย่างไร ถูกเอาหินขว้าง จะฆ่าให้ตายอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงประกาศอยู่ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะเป็นห่วงท่าน ไม่อยากให้ท่านต้องไปถึงซึ่งความพินาศ ในการถูกพิพากษานิรันดร์ ในวันข้างหน้านั่นเอง”

อาจารย์เปาโลประกาศถึงขนาด ในตอนสุดท้ายของบริบทนี้บอกว่าพระเจ้าแต่งตั้งให้อาจารย์เปาโลและทีมงานเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาหาพระเจ้า ขอร้องให้ท่านทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด  กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระเจ้าขอร้อง อาจารย์เปาโลเลยมีหน้าที่ออกไปบอกคน บอกว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน?

ท่านจะเห็นภาพเช่นเดียวกันผมเองก็เหมือนกัน ที่ทำอยู่นี้ ทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวัน พูดแต่เรื่องพระคริสต์ พูดลักษณะเดียวกัน เหมือนกัน ก็คือขอร้องท่าน โน้มน้าวท่าน ชักจูงท่าน ขอร้องและขอร้องอีก ในนามของพระเจ้านะ  ในนามของพระเยซูที่ทรงรักท่านมากมาย ขอร้องแล้วขอร้องอีก โน้มน้าวแล้วโน้มน้าวอีก ให้กลับมาหาพระเยซู กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมารับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้กับท่าน ที่ไม้กางเขน เสร็จไปแล้ว  กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเถิด กลับมารับพระพรต่างๆ นานาที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นแกะของพระเจ้า  กลับมาเตรียมตัวรับร่างใหม่  และสวรรค์โลกใหม่ ที่จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

ที่พูดอยู่นี้ ก็พยายามเหลือเกิน  ที่จะชักจูง อธิบายด้วยน้ำตาว่าถ้าท่านยังไม่ได้กลับใจมา ท่านจะต้องยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา คือพระเจ้า หลังความตาย และวันนั้นมาถึง ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย  แม้พระเจ้าจะรักท่านมากมาย แม้พระเยซูจะรักท่านมากมาย ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้อีกแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงบอกแล้ว เป็นกฎเกณฑ์แล้ว เป็นกฎหมายของพระองค์แล้วว่าความรักนั้นได้ปรากฏที่พระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระองค์ต้องการ ขอร้องท่านให้มาเชื่อในพระบุตรนี้  เพื่อจะได้รับความรอดนิรันดร์ รอดจากนรกนิรันดร์ พระองค์ทรงให้แล้ว และขอร้องให้ท่านมารับสิทธิของท่าน มารับของขวัญชิ้นนี้ ไปโดยด่วน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ จากการถูกโกหกหลอกลวง”

พระเยซูตรัสว่า … “คนทั้งปวงที่ยอมต้อนรับพระเยซู มาเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานฤทธิ์อำนาจ ทำให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า คือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า” ยอห์น 1:12-13

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1  หรือ  2 …

“แล้วทาร์ซานก็ฝึกฝน ประพฤติตนเหมือนคนมากขึ้น เพราะ?” …

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำเหมือนลิง
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาเป็นคน

 

“รับรู้ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ”

พระเยซูตรัสว่า … “แบบนี้สิ ความรัก​ของ​พระเจ้า​ถึง​สำเร็จ​ตาม​เป้าหมาย​ของ​พระองค์​ใน​พวก​เรา   เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์”

1 ยอห์น 4:17

 

คิดให้ดีก่อนตอบ 1 หรือ 2 …

“แล้วคริสเตียนก็ฝึกฝน  ประพฤติตนเหมือนพระเยซูมากขึ้น เพราะ …?”

  1. ถูกสั่งมากขึ้นว่าห้ามทำบาป เดี๋ยวตกนรก
  2. ได้รับรู้ความจริงมากขึ้นว่าเขาได้บังเกิดใหม่ด้วย DNA ชีวิตของพระเยซู

 

พระเจ้าอวยพรครับ