วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1438

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 31

โดย  วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็มาคุยเรื่องของพระเจ้าต่อ คราวที่แล้วเราอยู่ที่เอเฟซัส บทที่ 5 เราเรียนไป 2 ข้อ วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 5:3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ในหนังสือเอเฟซัส 5:1-2 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            จากการที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า  เพราะเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพระเจ้าได้เตรียมพวกเราทุกๆ คน สำหรับความรอดเหล่านี้ เมื่อเราได้รับพระคุณจากพระเจ้า ให้มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพ่อของเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

            เลียนแบบพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม  ให้เราเลียนแบบพระองค์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ แล้ววิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า พระบิดาเลย ก็คือพระเจ้าทำให้เราดีงาม ทำให้เราบริสุทธิ์  ทำให้เราสะอาด ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้นให้เราทำชีวิตของเราให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว  แค่นี้เอง  แต่แค่นี้เอง มันยากมากเลยนะ ยากมากสำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้เสริมกำลังเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  แปลว่าทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย คือมันไม่ใช่ความสามารถของเรา  หรือไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้ทำให้เราสามารถมีกำลัง ที่จะทำตาม น้ำพระทัยของพระเจ้าได้

            อันหนึ่งที่มันเกิดขึ้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง ก็คือวิญญาณเราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าพฤติกรรมของเรา การประพฤติของเราบนโลกใบนี้ อาจจะบางครั้ง ไม่เชื่อฟังก็ได้  ไม่เกี่ยวกัน  เกิดมาเป็นคน เวลาออกไปไหน เขาก็ใช้ 2 ขาเดิน แต่บางครั้ง มีคนที่ชอบทำอะไรผิดปกติ จากการเป็นคน เดินออกไปข้างนอก ไม่ใช้ขาเดิน  ก็ใช้มือไต่ไป  หรือไม่อย่างนั้น ก็ใช้หัวเข่าคลานออกไป  ซึ่งมันผิดจากการที่เราเป็นคน  ใช่ไหม? เวลาเราคลาน  มันคือเด็ก  ตอนที่เขายังไม่ได้ฝึกฝน ที่จะตั้งไข่ ไม่ได้ฝึกฝนที่จะเดิน เขาก็ใช้คลานเอา มันเป็นธรรมชาติ แต่พอเด็กโตขึ้น เขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเดิน แต่บางครั้งเด็ก ก็นึกสนุก เรามีหลาน มีเหลน  เราเห็น เด็กๆ  บางทีเขานึกสนุก เขาเดินได้แล้ว เขาวิ่งได้แล้ว อารมณ์บางวัน เขาก็อยากจะคลานเล่นเฉยๆ แต่เขาคงไม่ได้คลานตลอดเวลา คือคลานเล่นสนุก พอแล้ว เขาก็ลุกมาเดิน นี่คือธรรมชาติ

            ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ก็คือเป็นธรรมชาติเดียวกันกับพระเจ้า  เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด  เป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม แล้วเป็นผู้ที่เชื่อฟังด้วย เกิดมาเป็น ไม่ใช่อาการที่แสดงออกถึงการเชื่อฟัง แต่มันเกิดมาเป็นเลย เป็นผู้ที่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น พอเรามีธรรมชาติใหม่ตรงนี้แล้ว  พระเจ้าก็บอกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้บอกเรา ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางอัครทูตทั้งหลาย ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ที่จะมาบอกเราว่าต่อแต่นี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำอย่างไร? อันนี้ ใช้คำว่า “ควร” ไม่ใช่คำว่า “ต้อง” เมื่อมีคำว่าต้องเมื่อไร? คือบังคับ ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำ พระเจ้าจะตัดออกจากกองมรดก ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่มีตรงนี้นะ ต่อให้เราจะดื้อไม่ทำ พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่ถูกตัดจากกองมรดกแน่นอน เพียงแต่ว่าพระเจ้าก็เสียใจ

            ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งบอกว่า … “อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย”

            พระเจ้าเสียใจได้อย่างไร? เสียใจ เพราะว่าเราดื้อ แต่ว่าไม่ได้เสียใจ เพราะว่า …

            “ไม่น่าเลือกมาเป็นลูกเลย  ไม่เกี่ยวกันนะ พระเจ้าเลือกเรามาเป็นลูกแล้ว พระเจ้ารักเรามาก แต่เสียใจ เพราะไม่อยากให้เจ็บตัว ถ้าเราดื้อ เราก็จะเจ็บตัว หว่านอะไร เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นบนโลกใบนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ส่วนในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ตั้งกฎไว้เหมือนกัน ก็คือใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นถูกสร้างใหม่ เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเรากับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น ไม่มีการลงโทษแน่นอน พระเจ้ามองเรา คือเป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูเลย พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย  พระเยซูทำอะไร? เราทำด้วย  พระเยซูได้อะไร? เราได้ด้วย อันนี้คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนนี้ให้เราทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้แยกเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูแยกเราแล้ว ถวายเราให้เป็นกลิ่นหอมของพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ข้อ 3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            แปลว่าถ้าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีชีวิตใหม่แล้ว แล้วเราก็นั่งจับกลุ่มกัน คุยเรื่องพวกนี้ ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดศีลธรรมทางเพศ แล้วก็สนุกกับมัน ซึ่งพระเจ้าบอกว่าอันนี้มันไม่เหมาะสม สำหรับเรา เหมือนเราได้เสื้อใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นความดีงาม ความชอบธรรมทั้งหลาย แต่วันนี้ เราไม่อยากใส่เสื้อใหม่ เราก็ไปหยิบเสื้อเก่าที่ฟิตๆ วันนี้อยากสวย จะใส่กางเกงให้ฟิตเลย  แล้วก็หายใจไม่ออก พอตอนเที่ยง เราจะไปทานข้าว หายใจไม่ได้ หายใจเข้าไปมันปริ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่เหมาะสม มันไม่สวย ไม่งาม

            หรือบางคนจะใส่รองเท้าส้นสูง  สูงสัก 8 นิ้ว  คือสวยไง ใส่แล้วทำให้เราตัวระหงเชียว  ดูสูงไง แต่มันเจ็บ  คือมันไม่เหมาะกับเรา  ทำให้ขาหรือกล้ามเนื้อของเราต้องทำงานหนัก  ต้องแบกงานหนัก เอ็นขึ้นเลย แล้วพอยกสูงๆ มาก เอาแค่เรามาโบสถ์ 2 ชั่วโมง สวย 2 ชั่วโมง กลับไปเราไปนวดทั้งวัน ก็ไม่หายปวด  เพราะมันปวดมาก  ฉะนั้น มันเป็นความสวยงามที่เราคิดว่ามันพอดี  แต่พระเจ้าบอกไม่เหมาะกับเรา ใส่รองเท้าธรรมดานั่นแหละ ส้นแบนๆ  มันเหมาะกับเราแล้ว เราเดินสบาย  แล้วเราก็ไม่เจ็บ ไม่ถูกกัดด้วย อะไรอย่างนี้

            นี่คือลักษณะที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้เห็นว่าถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่เหมาะสมหรอกกับสิ่งเหล่านี้ ที่พูดมาทั้งหมด ก็คือไปทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา  ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ต่อไปข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 5:4 “ทั้งอย่าพูดหยาบโลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า”

            นี่เป็นข้อแนะนำ อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปทำอย่างนี้เลย มาขอบคุณพระเจ้าดีกว่า  เพราะว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำอย่างนี้ดีกว่า ให้มาสวมเสื้อใหม่ดีกว่า ให้มันเหมาะสม ดูแล้วมันสง่างาม ออกไป ทุกคนเห็น ทุกคนก็เอเมนเลย ใช่ๆ มันเป็นอย่างนั้น อะไรแบบนี้ ในข้อที่ 5 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:5 “ท่านแน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า”

            ในข้อที่ 5 นี้ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไม่ได้เป็นผู้เชื่อ อาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็น  เราจะสังเกตคำว่า “คน” คนที่ไม่บริสุทธิ์  แต่ตอนนี้เราเป็นผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว  เราไม่ได้เป็นคนโลภแล้ว  พระเจ้าเปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น คนที่เป็นแบบนี้ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ก็คือเขายังไม่ได้กลับใจใหม่  เขายังไม่ได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขายังไม่ได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ แปลว่าอยู่ข้างนอกใช่ไหม? เขายังไม่ได้เข้าวังเลย แต่พวกเราอยู่ในวังแล้ว

            พี่น้องเชื่อไหมในถ้อยคำของพระเจ้า  ในโลกวิญญาณ  พวกเราทุกคนตอนนี้  เราอยู่ในวังแล้ว วังที่พระเจ้าสร้างไว้ให้กับเรา อย่างสวยงาม คือสวรรคสถาน เราได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระบิดา ในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอก เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย  พระเยซูอยู่ในสวรรค์ เราก็อยู่ด้วยในโลกวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายเรายังนั่งอยู่ตรงนี้  ในโบสถ์โฮลี่ส์ ที่เดินทางมา ก็ยาก  แต่ขอบคุณพระเจ้า พี่น้องก็ตั้งอกตั้งใจ มานมัสการพระเจ้า  พระพรเป็นของท่าน

            ตรงนี้ มันคือโลกวัตถุ แต่ ณ โลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  และอาจารย์เปาโลกำลังแยกแยะให้ผู้เชื่อในเอเฟซัสได้รับรู้ความจริงว่าถ้าคนที่เป็นแบบนี้ เขาไม่มีส่วนเลย ในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเขายังไม่กลับใจใหม่ พระเจ้าจะช่วยเขา ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร?  เพราะเขาจำเป็นต้องตัดสินใจเองว่าเขาอยากจะให้พระเจ้าช่วยเขา  เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา  เขาอยากจะย้ายวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเขา อยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขายอมให้พระเยซู พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฆ่าวิญญาณเก่าให้ตายไปพร้อมกับพระเยซู เพื่อเขาจะได้บังเกิดใหม่ ในข้อที่ 6 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:6 “อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจาไร้สาระ   เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้น  พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

            พอบอกว่า “ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่เราแน่นอน แล้วเราอาจจะสงสัย ไม่ใช่เราได้อย่างไร? บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งข้างในวิญญาณเรารู้เลย พระเจ้าบอกว่าให้ทำแบบนี้ แต่วันนี้ไม่เอา ไม่อยากทำ ขี้เกียจ อะไรอย่างนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเลยนะ ไม่เกี่ยวกับการที่เราเป็นคนเชื่อฟัง  เป็นผู้เชื่อฟังเรียบร้อยไปแล้ว แต่เกี่ยวกับ ณ เวลานั้น  เราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง  ก็คือไม่ยอมทำตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น วันนี้เราอยากจะฉีกกฎออกไป ขอดื้อกับพระเจ้านิดหนึ่ง ก็แล้วกัน อะไรประมาณนั้น  แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา เราดื้อกับพระเจ้า อันดับแรก ก็คือพระเจ้าก็เสียใจ  พอเราดื้อปุ๊บ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของความดื้อของเรา แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงคนที่ไม่เชื่อฟัง ก็คือเหมือนเดิม คนที่ยังไม่เป็นลูกพระเจ้า คนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  พอคนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  เขาก็จะมีพฤติกรรมแบบนั้น  แล้วที่บอกว่า …

            “แล้วพระพิโรธของพระเจ้า จึงมาถึงบรรดาผู้เหล่านี้”

            คือมันอัตโนมัติ  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะโกรธเขาเป็นฟืน เป็นไฟ จะฆ่าให้ตาย ไม่ใช่ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาดัมเอวาว่า …

            “ผลไม้ทั้งหมด ในสวนนี้เจ้ากินได้ ยกเว้นต้นนี้อย่ากินนะ”

            แล้วพระเจ้าบอกเหตุผลด้วย ไม่ใช่แค่บอก “อย่าไปกิน” แล้วก็จบ บางครั้ง พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ หรือเป็นพ่อแม่ เราชอบบอก “ห้าม” แล้วเราไม่บอกเหตุผลลูกว่าห้ามเพราะอะไร? ห้ามทำไม? มันมีผลอะไร?  ลูกก็เลยไม่ยอมเชื่อไง

            “อ้าว! ห้ามเฉยๆ ฉันก็อยากลอง”

            พูดถึงอยากลอง ก็มีเรื่องเล่า เล่ามาหลายรอบแล้ว  มีผู้ชายคนหนึ่ง  เขาทำงานหนัก เป็นคนรับจ้าง ในบ้านของเศรษฐี คือต้องทำงานสารพัดอย่าง ในบ้านนี้  แล้วเขาก็ทำไปบ่นไป  เพราะมันเหนื่อยไง บ่นถึงใคร? บ่นถึงอาดัม …

            “อาดัมเอ๋ย ทำไมถึงทำอย่างนี้  ไม่น่าจะไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เห็นไหม ทำให้ผลตกมาถึงฉัน ตอนนี้ฉันต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย”

            พระเจ้าบอกต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย อยู่ดีๆ ไม่ชอบ เขาก็บ่นๆ อยู่นั่นแหละ จนเจ้านายได้ยิน เจ้านายเลยบอก …

            “บ่นทำไม ถ้าเป็นเธอ เธอก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ” คือเป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น  ก็ต้องแพ้การทดลองอยู่ดี  เขาก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ …

            “ไม่มีทางหรอกเจ้านาย ถ้าเป็นผมนะ ผมรับรอง ไม่ตกเข้าไปในการทดลองแน่นอน พระเจ้าสั่งอย่างไร? ผมจะทำอย่างนั้นเลย”

            เจ้านายเลยบอก “โอเค เดี๋ยวลองดู”

            มีวันหนึ่ง เจ้านายจะออกไปข้างนอก ก็บอก สมมติชื่อเอ  …

            “นายเอๆ ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอไปทำความสะอาดในบ้าน แล้วบนโต๊ะ ฉันมีฝาครอบของไว้ เธออย่าไปเปิดนะ ห้ามเปิดเด็ดขาดเลย เธอเช็ดไปเลยข้างๆ อย่าไปยุ่งกับตรงนี้”

            เขาก็ … “ครับๆ ไม่เปิดครับ”

            แล้วก็เข้าไปทำงาน มองไปมองมา เหมือนกับยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ถ้าเจ้านายไม่ห้าม เขาคงเช็คเสร็จก็ออกไปข้างนอกแล้ว  บังเอิญมาบอกว่าอันนี้อย่าเปิดนะ  เขาก็เช็ดไปเช็ดมา มอง มันน่าเปิดมาก อยากรู้ว่าเจ้านายซ่อนอะไรไว้ในนั้น ทำไมต้องห้ามเราไม่ให้เปิด จนที่สุด ทนไม่ไหว  ก็เลยไปเปิดฝาออกมา ปรากฏว่าเปิดฝาออกมาปุ๊บ มันไม่มีอะไร คือเจ้านายครอบของว่างเปล่าไว้  แต่ไม่รู้ว่าข้างในนั้น เจ้านายเขาใส่กลิ่นหอมของน้ำหอมเอาไว้  พอเปิดออกมาปุ๊บ กลิ่นมันโชยทั่วห้องเลย แต่เขาไม่รู้นะ  เขาก็รีบปิด ออกไปข้างนอก ทำเนียนเลย  ไม่ได้ทำผิดอะไร พอเจ้านายกลับมา เดินเข้าห้องรู้เลย พี่น้องนึกภาพออกไหม? เวลาเราอยู่ข้างในกับกลิ่นที่ปกติ เราจะไม่ได้รู้สึกว่ามันมีกลิ่น  แต่ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก แล้วเดินเข้ามาอีกที กลิ่นมันแรงมากเลย เจ้านายเขาก็รู้ไง เดินเข้ามา กลิ่นน้ำหอมฟุ้งทั่วทั้งห้อง ก็เลยเรียกนายเอมา …

            “เธอขัดคำสั่งฉันแล้วใช่ไหม? ฉันบอกว่าอย่าไปเปิดฝาไง เธอเปิดทำไม?”

            เขาก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ … “ไม่ได้เปิด เจ้านาย ไม่ได้เปิดเลย ทำตามคำสั่งเลย”

            เจ้านายบอก … “ไม่ได้เปิดได้อย่างไร? กลิ่นน้ำหอมมันฟุ้งไปหมดทั้งห้อง”

            แล้วเจ้านายก็เลยสอนเขา … “เราอย่าไปบ่นว่าคนอื่นเลย ถ้าวันนั้น เธอเป็นอาดัม แล้วก็ยินอยู่ตรงจุดนั้น เธอก็เหมือนกันแหละ เธอก็อยากรู้อยากเห็น  พระเจ้าบอกว่า “อย่า” เธอก็อยากลองสักนิด เผื่อฉันจะได้มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า มารมันหลอกไง”

            “มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า เผื่อฉันจะรู้ดีรู้ชั่ว ฉันจะได้ทำดี เพื่อทำให้พระเจ้ามีความสุข”

            แต่พระเจ้าบอกว่า “เธออยู่อย่างนี้ ฉันมีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉันสร้างเธอมาดีหมดเลย” แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็น  ก็คือพระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อให้เขามีความสุข  แล้วให้มนุษย์เสวยสุข  มาจนถึงปัจจุบัน ที่พวกเราได้เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้นำเอา สิ่งที่เริ่มต้นจากที่พระเจ้าสร้างอาดัมในสวนเอเดนกลับคืนมาใหม่ แล้วสร้างได้ดีกว่าเดิมด้วย พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนสะอาด หมดจด ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มมากกว่านี้แล้ว …

            “พวกเจ้าเป็นสุดที่รักของเรา พวกเจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเรา  พวกเจ้าดีพร้อมทุกอย่างเหมือนเรา บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด  เป็นลูกของเรา เป็นทายาทของเรา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราทำให้กับเจ้าหมด เรียบร้อยแล้ว”

            วันไหน? … “วันที่เจ้าเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            บอกพระเจ้าว่า … “ลูกอยากติดตามพระองค์ ลูกเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

            ขอพระเจ้า พระเจ้าก็เข้ามาเลย พอเราขอ พระเจ้าเป็นพระเจ้าสุภาพใช่ไหม?  ไม่ขอ พระเจ้าไม่ล่วงล้ำ ถ้ายังไม่ยอม พระเจ้าก็ยืนมองคนนั้นตาปริบๆ …

            “ฉันทำให้เธอแล้ว เมื่อไรเธอจะยอมสักที”

            เหมือนในพระคัมภีร์บอก เราเคาะอยู่ที่ประตูใจ เคาะๆ เคาะทุกวัน เคาะจนคนนั้นได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง เขาเปิดใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาในใจของเขา นั่นแหละ คือวันที่พวกเราทุกคนอธิษฐาน บอกพระเจ้าว่า …

            “พระเจ้า ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของลูก ลูกอยากมีพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”

            นั่นแหละ วันนั้นมันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน  ไม่ว่าคนนั้นจะเปิดใจ 30 ปีแล้ว 40 ปีแล้ว 60 ปีแล้ว หรือเพิ่งเปิดใจ  ก็เป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

            ในโลกวิญญาณ เรามีสถานะเท่ากัน เราเป็นพี่น้องกัน  แล้วเราก็เป็นพี่น้องร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายใหญ่ของเรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่ได้บังเกิดใหม่ คนแรก เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย  เป็นพันธุ์ใหม่เลย และพวกเราก็เป็นน้องๆ ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เหมือนกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป  ไม่มีความสกปรก ในวิญญาณของเราเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ถูกหลอก หลายครั้งเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หลายครั้งเราเผลอ วันนี้อยากสวย  จะใส่ส้นสูง 6 นิ้ว ก็ใส่ไปเถอะ เจ็บขาเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ ไม่มีทาง เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงความจริง ให้ชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าถ้าคนอย่างนี้ คนที่ไม่เชื่อฟัง พระพิโรธก็ไปถึงเขา ถึงเขาตรงที่ว่าเขาไม่รอดไง  เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  ถ้าเขาไม่ยอมเชื่อฟังกลับใจใหม่ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม  ที่เดิมตรงที่เดินทางไปสู่ความตาย ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  อย่างพวกเราทุกวันนี้ วิญญาณเรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  ก็ยังต้องเดินทางไปสู่ความตายอยู่ เห็นไหม? เราแก่ขึ้นไหม?  ไม่ใช่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่แก่เลย มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ผมเราไม่หงอก  นี่ผมหงอกแล้ว  มันไม่ใช่  ก็ยังดำเนินไปตามปกติของโลกนี้อยู่ อายุมากขึ้น ตีนกาขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะ ทำไป เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เอาธรรมชาติที่พระเจ้าให้กับเรา พระเจ้าบอกสวยที่สุดแล้ว สุดยอดที่สุดแล้ว อะไรประมาณนั้น

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอเรารู้ความจริง  เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่เป็นไร วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว ร่างกายนี้ บางทีก็เจ็บบ้าง ป่วยบ้าง  เป็นโน่นบ้าง เป็นนี่บ้าง  ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณพระเจ้า

            เราเห็นภาพหนึ่งที่พระเจ้าเมตตาเรามาก เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำอะไร?  พระเจ้าจะประทานกำลัง บางทีอยู่ข้างล่าง ใจเต้นตุ๊บตั๊บๆ พอขึ้นมาบนธรรมาสปุ๊บ  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  แล้วคนที่พูด จริงๆ ไม่ใช่เราหรอก พระวิญญาณให้พูด แล้วถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดชจริงๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช เมื่อเรารู้ความจริงของข่าวประเสริฐ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง เราต้องรับรู้ความจริงว่าตอนนี้ เราเป็นอย่างไร? ตอนนี้ เราสะอาดบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้น เราจะเอาข้อที่ 6 มาเป็นของเรา  ก็คือเราเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมใช่ไหม?  แต่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีธรรมชาติที่เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ อันนี้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราจริงไหม?  ในข้อที่ 7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:7 “ฉะนั้น อย่าเป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย”

            เมื่อก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็สวนเสเฮฮา เสวนากัน แต่พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลก็แนะนำว่าอย่าไปผสมโรงกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์บอกเราว่าอะไร คือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  อะไรคือทำตามพระวิญญาณ อะไรคือทำตามเนื้อหนัง

            พี่น้องจำในหนังสือกาลาเทียได้ใช่ไหม? กาลาเทีย 5:16-21 เป็นการงานของเนื้อหนังทั้งหมด  ที่อาจารย์เปาโลเขียนออกมาให้เราเห็นชัดๆ ส่วนกาลาเทีย 5:22-25 เป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือผลของพระวิญญาณ

            การงานของเนื้อหนัง กาลาเทีย 5:16-21 …

        กาลาเทีย 5:16-21 “16 ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป 17 เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ 18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ 19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่เป็นคนเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            การงานของพระวิญญาณ กาลาเทีย 5:22-25 …

        กาลาเทีย 5:22-25 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

            ผลของพระวิญญาณเหล่านี้ คือผลที่มันอยู่ในเราผู้เชื่อ เรียบร้อยไปแล้ว มันมีอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เทียบได้ ถ้าเรากำลังทำอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมาเป็น เหมือนในกาลาเทีย 5:16-21 แปลว่าตอนนี้เราหลุดขอบแล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง ที่เราเป็นอยู่ เรากำลังถูกหลอกให้ดำเนินชีวิตตามโลกนี้ไป  เราก็ถอยกลับไง ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่รู้ว่าไม่ใช่ ก็ถอยสิ  ไม่ใช่ ไม่เอา พอไม่ใช่ไม่เอาปุ๊บ โลกนี้ทำอะไรเราไม่ได้ บังคับเราก็ไม่ได้ด้วย แม้แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้อยู่ในเรา ก็ไม่บังคับเรา คือพระองค์ให้อิสระเรา ที่จะเลือก  แต่เราแยกให้เห็นชัดๆ เลยว่าตอนนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ลักษณะใหม่ของเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าวันไหนเราโผล่หลุดจากลักษณะใหม่ตรงนี้ อันนี้แปลว่าไม่ใช่ พอไม่ใช่ปุ๊บ ทำไง? ก็ไม่เห็นต้องทำไง ก็ไม่เอา ฉันไม่เอาด้วย ฉันก็ถอยออกมา แค่นั้นเองง่ายๆ เอเฟซัส 5:8 …

        เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

            ชัดเลย เมื่อก่อนเป็นความมืด อยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ ชาวเอเฟซัสและพวกเราทุกคน ที่นั่งอยู่ที่นี่ และที่ฟังอยู่ที่บ้าน เราเป็นลูกของความสว่างแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนลูกของความสว่าง ก็แค่นั้น  แค่ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราทำงานเต็มที่ เรายอมนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทำเต็มที่ จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ที่ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือในลักษณะว่าเราเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ พอความคิดเราเก็บสะสม สิ่งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรามากเท่าไร? ความคิดนี้จะสั่งร่างกายของเราให้ทำสิ่งนั้นออกไป คือมันต้องเริ่มต้นจากความคิด  แต่ถ้าสมมติว่าความคิดของเรา ไปจดจ่อกับโลกใบนี้ เอาขยะอะไรไม่รู้เข้ามาสุมอยู่ที่ศีรษะเรา สุมเยอะๆ ในสมองเรา มีแต่สิ่งที่มันไม่ได้เป็นของพระเจ้า แต่เป็นของโลก สมองของเราก็จะสั่งให้ร่างกายเราทำตามออกไปเหมือนกัน

            เหมือนโลกนี้เขาบอกว่าอะไร? …

            “แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้เหยียบขาเราเจ็บ เราต้องไปเหยียบกลับสัก 10 ครั้ง ให้เจ็บยิ่งกว่า”

            นี่คือโลกนี้  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าอย่างไร? …

            “อภัยให้เขาเถอะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ แล้วถ้าเขาขอโทษแล้ว  เราก็อภัยให้เขาเถอะ  ก็คือความรัก มันจะเกิด”

            แต่ถ้าในโลกนี้ มันก็จะสวนมาในความคิดของเราเหมือนกัน  … “ไม่ได้อภัยให้ได้อย่างไร? มันเจ็บนะ เขาขอโทษคำเดียว ฉันยังไม่หายเจ็บเลย มันต้องจัดการอะไรสักอย่าง ให้เขาเจ็บเท่าเรา ไม่อย่างนั้นก็เจ็บมากว่าเรา”

            นี่คือโลกนี้ เราแยกแยะออก เราอยู่ตรงกลาง ซึ่งพระเจ้าจะให้เราเป็นคนตัดสินใจ  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่วิญญาณข้างในเรา เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณแห่งความรัก มันง่ายขึ้นกว่าเดิม พี่น้องสังเกตตัวเองไหม? ง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม? เมื่อก่อนไม่ได้นะ เรื่องนี้มันต้องตายไปข้างหนึ่ง  แต่ปัจจุบัน เอาน่าๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วเราไม่ได้แกล้งทำด้วย มันออกมาเอง  มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราเห็นแล้วทึ่งๆ ทำได้อย่างไร?  แต่ทำไปแล้วไง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นี่คือผลของพระวิญญาณที่มันจะออกมา ชัดเจนมาก ข้อที่ 9 …

        เอเฟซัส 5:9 “(เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)”

            เห็นไหม ผลของความสว่าง ก็คือความดีทั้งปวง ความชอบธรมทั้งมวล และความจริงทั้งสิ้น  ความจริงตรงนี้ คือความจริง ในข่าวดีของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้ เราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น เวลาราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าออกไปข้างนอก เราต้องทำอย่างไร? ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย ใส่ชุดให้ดูดี ใส่ชุดแบบชุดความดีงาม ออกไปเลย เพราะมันอยู่ข้างในเราอยู่แล้ว ชุดของความเมตตา กรุณา ชุดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราหมดแล้ว อยู่ข้างใน  ก็ออกไป ให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัส ข้อที่ 10-11 …

        เอเฟซัส 5:10-11 “10 จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 อย่าเข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า”

            ทั้งหมดทั้งมวลที่อาจารย์เปาโลกำลังสอน ก็คือให้เราสวมเสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่าทิ้ง แค่นั้นเอง ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง  ตามที่ข้อ 1-2 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 5:1-2 “1 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            ตอนนี้เราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำตัวเลียนแบบพระเจ้าของเรา และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว ใครทำก่อน? พระเจ้าทำก่อน พระเจ้าใส่ความรักมาให้เราก่อน พระองค์รักเราก่อน เราจึงสามารถมีความรักจากข้างใน ส่งไปให้กับคนอื่น ที่เราได้พบได้เห็น  ที่พระเจ้าพาไป เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูชี้ให้มนุษย์เห็น ท่านอยากจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรมหรือ? ท่านหิวกระหายความชอบธรรมหรือ?

            มัทธิว 5:6 … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์”

            ความชอบธรรม ก็คือไม่บาป

            ผู้ชอบธรรม ก็คือคนที่รอดพ้นจากการเป็นคนบาป

            กระหายความชอบธรรม ก็คืออยากจะหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม ก็คือผู้ที่ยอมรับความจริงว่าตนเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วยในทางวิญญาณ ต้องการหมอรักษาให้หาย

            พระพรทางฝ่ายวิญญาณ หรือความสุขในวิญญาณคือสวรรค์เป็นของผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ ไม่สามารถรักษาตนให้หายจากการเป็นคนบาปได้ จึงมาหาผู้ที่สามารถช่วยเขาได้ และไม่สร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการทำตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม ทำความดี เพราะนั่นก็คือการพยายามรักษาอาการป่วยด้วยตนเอง เพราะยอมรับรู้ความจริงว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่มีทางทำได้เลย จึงแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า คือยอมให้พระเจ้ารักษาความป่วยในวิญญาณ นี่คือลักษณะท่าทีของผู้ที่จะมาวางใจในพระองค์ และเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ แพทย์ผู้ประเสริฐเข้ามาในชีวิต และจะได้รับการรักษาให้หายจากบาป โดยการบังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            พระเจ้าอวยพรครับ