วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1435

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กันยายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 30

โดย  วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็ยังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส เราก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  เพื่อว่าเราจะได้หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเราได้รับอะไรแล้วบ้าง? จากการที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนี้ก็มาถึงบทที่ 5 เริ่มต้นจากข้อ 1 …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            สั้นๆ  คำว่า “เพราะฉะนั้น” มันต้องมีที่มาที่ไป อยู่ดีๆ เราจะมาใช้คำว่า “เพราะฉะนั้น” ก็คงไม่ใช่ มันต้องมีเหตุเกิด ก่อนที่จะมีคำนี้เกิดขึ้นว่ามันคืออะไร? จากเพราะฉะนั้นตรงนี้ หมายความว่าอาจารย์เปาโลได้พูดตั้งแต่เอเฟซัส บทที่ 1, บทที่ 2, บทที่ 3, บทที่ 4 แล้วว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง? แผนการอันล้ำลึกของพระเจ้า แล้วก็แผนการที่ลี้ลับของพระองค์ ที่ทรงปิดซ่อนไว้ ไม่ให้ใครรับรู้ความจริงเรื่องนี้เลย จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์ ได้ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย และแผนการนี้ ก็ได้ถูกเปิดเผยผ่านทางคริสตจักร ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมแผนการนี้ไว้ ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ตั้งแต่วันที่มนุษย์คนแรกเลย ล้มลงในความบาป  คืออาดัมกับเอวา  เพราะไม่เชื่อฟัง  ฟังแค่นี้นะ ล้มลงในความบาป เพราะไม่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น คำว่า “ไม่เชื่อฟัง” เราฟังแล้วเหมือนง่ายๆ อ้าว! ไม่เชื่อฟังแค่นี้ ทำไมต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า พระเจ้าตั้งกฎไว้แล้วว่าวันใดที่มนุษย์ดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อตามที่พระเจ้าบอก มนุษย์จะต้องเจออะไร? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า  พระเจ้าไม่ได้คิดจะลงโทษมนุษย์ โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนกับพ่อแม่จะลงโทษลูก จะต้องมีบอกล่วงหน้าว่า …

            “ลูกอย่าทำอย่างนี้ ถ้าลูกทำ ลูกจะเจออย่างนี้ ลูกจะต้องถูกลงโทษ ถูกตัดค่าขนมนะ”

            อะไรก็แล้วแต่ ตามกฎของแต่ละบ้านที่มีไว้

            ฉะนั้น  พระเจ้าก็มีกฎของพระองค์ ที่ให้กับมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าให้เชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าบอก ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรว่าทำไมพระเจ้าถึงห้ามเรา มันอะไรล่ะ เราอยากจะรู้ พระเจ้าบอกไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะว่าพระเจ้าได้เตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับมนุษย์คู่แรก เรียบร้อยไปแล้ว  จากที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา ให้เป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเจ้าเลยนะ ให้ชีวิตนิรันดร์ ลมหายใจของพระเจ้าระบายลงไป แล้วทำให้เกิดชีวิตนิรันดร์ เป็นคุณภาพชีวิต แบบพระเจ้าเลย ซึ่งอาดัมกับเอวามีหน้าที่อย่างเดียว คือเดินกับพระเจ้า ติดตามพระเจ้า ติดสนิท คือเป็นธรรมชาติ แบบเหมือนพ่อกับลูกที่พระเจ้าบอก …

            “เธออยู่อย่างนี้ ดีแล้ว พ่อเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ลูกก็อยู่ให้มีความสุข เรียกว่าเสวยสุขกับทุกสิ่งที่พ่อสร้างไว้ให้”

            ก็คือมนุษย์คู่แรกไม่ต้องทำอะไรเลย  เดินไปเดินมา โฉบไปโฉบมา ในสวนเอเดน อยากกินอะไรก็ได้กิน  เพราะพระเจ้าบอกว่า …

            “ผลไม้ทุกต้นในสวนนี้ เจ้ากินได้หมดเลย เจ้าเห็นแล้วอยากกินอะไร เจ้าก็หยิบกินไปเลย แต่มีข้อแม้แค่ว่าต้นนี้ที่อยู่กลางสวน อย่ากิน พระเจ้าเตือนไว้แล้วนะ  ถ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า แล้วถ้ามนุษย์คู่แรกเชื่อฟังตามที่พระเจ้าบอก ไม่ถูกหลอกให้ไปทำเรียกว่าไม่เชื่อฟังพระองค์ จริงๆ วิญญาณของมนุษย์ พระเจ้าสร้างมา เป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย คือไม่มีความรู้สึกอยากจะกบฏกับพระเจ้าเลยข้างใน แต่ว่ามนุษย์ถูกหลอกให้กบฏกับพระเจ้า ถูกหลอกให้ไม่เชื่อฟังพระองค์ สงสัยในพระเจ้าว่า …

            “ทำไมพระองค์มาห้ามด้วย ไหนลองกินดูว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกมันเป็นจริงไหม?”

            ตอนนั้น เราไม่รู้นะ นี่ดิฉันคิดเอาเอง คิดว่าเขาต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ เลย อาดัมกับเอวา …

            “มาห้ามทำไม ไหนลองกินสิว่าสิ่งที่พระเจ้าบอก มันจะเป็นจริงไหม?”

            ผีมารซาตานก็มาหลอกนั่นแหละ … “พระเจ้าบอกเธอกินแล้วตาย ไม่จริงหรอก เธอกิน แล้วเธอจะฉลาดเหมือนพระเจ้า”

            ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าบอกมนุษย์ เป็นพระฉาย เหมือนพระเจ้า พระเจ้าฉลาดแบบไหน? มนุษย์ก็จะฉลาดแบบนั้น ฉลาดเหมือนกันเลย คือไม่มีผิดเพี้ยน พอมนุษย์ไปหลงกลมาร การล่อลวงมันเกิดขึ้น มนุษย์ก็เริ่มคิดว่าเขาสามารถที่จะดีด้วยกำลังของตัวเองได้  ซึ่งพระเจ้าบอกว่า …

            “เธอดีอยู่แล้ว  ฉันสร้างเธอสุดยอดแห่งความดี อภิมหาอัครดีเลย เธอไม่ต้องพยายามที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้”

            จะมีอะไรที่จะดีกว่าการเป็นเหมือนพระเจ้า มันไม่มีอยู่แล้ว  เพราะพระเจ้าดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์ก็พลาด พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล้มลงในความบาป” ทันทีที่มนุษย์ตัดสินใจ ที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเข้ามาสวมทันที มนุษย์ตัดสินใจปุ๊บ เอาความบาป เข้ามาทันที

            คำว่า “บาป” หมายถึงการผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งเป้าไว้ให้มนุษย์อยู่สบาย อยู่กับพระเจ้า แล้วก็เสวยสุขกับทุกอย่างที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้  แต่มนุษย์ผิดเป้า พอผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ก็คือบาป บาปเกิดขึ้นจากการไม่เชื่อฟัง พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ นำเอาความบาปเข้ามา กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเกิดขึ้นทันที  คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าทันที มันเกิดผลทันทีเลย ก็คือวิญญาณของมนุษย์กับวิญญาณของพระเจ้าแยกจากกันทันทีเลย พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็ออกจากมนุษย์  เดิมที มนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า

            เรารู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า  เพราะว่ามนุษย์คู่แรกไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลือยกายอยู่” แต่เขาไม่อายกัน ถ้าเป็นปัจจุบัน เปลือยกายน่าอายนะ ไม่มีมนุษย์คนไหน แก้ผ้า แล้วก็ออกไปเดินหน้าบ้าน  เดินถนน อย่างนั้น คือคนเขาบ้า เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่ได้รู้สึกว่าอาย เดินแก้ผ้าตามถนน แต่มันไม่ใช่ ความเป็นจริงของมนุษย์ปกติ ก็คือก่อนออกจากบ้าน อย่างไรเราก็ต้องใส่เสื้อผ้า  ไม่ว่าเราจะมีเสื้อผ้าแบบไหน? อาจจะมีเสื้อผ้าอยู่แค่ตัวเดียว ออกจากบ้าน ฉันก็ใส่ตัวนี้แหละ คนเดินออกไป …

            “ยัยคนนี้ทำไมใส่เสื้อผ้าอยู่ตัวเดียว”

            “ก็ฉันมีตัวเดียว ฉันใส่แล้วซัก ใส่แล้วซัก แล้วฉันก็เดินออกไป แม้มีตัวเดียว ฉันก็ยังพยายามทำให้ได้ เมื่อเวลาออกจากบ้าน ฉันต้องใส่เสื้อผ้า” … นี่คือปกติของมนุษย์

            ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระสิริ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของมนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าปกคลุมมันหลุดหายไป พอหลุดหายไปปุ๊บ เขาก็เลยมองเห็นตัวเองว่าฉันโป๊อยู่ สองคนอายกัน  เริ่มรู้จักคำว่า “อาย” แล้วก็ไปซ่อน หลบซ่อนจากพระพักตร์ของพระเจ้า ไปแอบ แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำครั้งแรกเลย ที่ทำให้มนุษย์คู่แรก ก็คือพระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วก็เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกายให้กับอาดัมและเอวา ตอนที่อาดัมเอวาไปซ่อนตัว พระเจ้าถามเขาว่า …

            “เจ้าอยู่ไหน?”

            เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ คำว่า “เจ้าอยู่ไหน?” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รู้ว่าอาดัมกับเอวาแอบอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เอวากับอาดัมอยู่ตรงไหน? แต่พระเจ้ากำลังถามอาดัมเอวาว่ารู้ไหมว่าตอนนี้สถานะของเขาอยู่ตรงไหน? จากการที่เป็นลูกของพระเจ้า พอล้มลงในความบาปปุ๊บ สถานะเขาเปลี่ยนไป คือเขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว เขาหลุดจากการอยู่ในพระเจ้า ไปอยู่ในบาป ซึ่งพอมนุษย์ต่อๆ มา เราก็ใช้คำว่า “อยู่ในอาดัม” เพราะอาดัมเป็นบรรพบุรุษของเราไง  เป็นคนแรกที่ล้มลงในความบาป เอาความบาปเข้ามาในโลกใบนี้ ขายสิทธิของตัวเอง ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “เธอเป็นลูกที่น่ารัก ฉันสร้างเธอมาดีพร้อม สุดยอด เธอมีหน้าที่แค่มาเสวยสุขเท่านั้นเอง” นั่นแหละ คือที่มา

            ฉะนั้น พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าก็เตรียมแผนการตั้งแต่สมัยเริ่มต้น มาจนวันที่พระเยซูคริสต์ มาเกิดบนโลกนี้ แผนการนี้พระเจ้าเตรียมไว้นานมาก เป็นหลายพันปี แล้วในพระคัมภีร์ ถ้าพี่น้องอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน คือเราอ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านเสร็จ เราก็เอามาเป็นของเรา นึกออกไหม? มันเพราะนะพระคัมภีร์เดิมดีๆ ยิ่งหนังสือสดุดี ดีๆ เราก็เอามาเป็นของเรา ซึ่งพระคัมภีร์เดิม เป็นการเผยพระวจนะ  ที่พระเจ้าได้บอกกับผู้คนบนโลกใบนี้ หรือ ณ เวลานั้น บอกกับคนอิสราเอลแหละว่าพระเจ้าจะทำอะไร? เมื่อไร? เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้

            แล้วคำเผยพระวจนะนี้ ก็ได้ถูกประกาศตั้งแต่สมัยอดีตเลย เราอ่านหนังสือปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ โยชูวา เราก็อ่านมาเรื่อยๆ เราก็อ่านแล้วเพลิน แต่สิ่งเหล่านั้น คือพระเจ้ากำลังบ่งบอกว่า ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่มา  คนอิสราเอล ถูกเลือกสรรให้มาเป็นกลุ่มคนพิเศษ  แล้วพระเจ้าก็ทำพันธสัญญากับคนอิสราเอลด้วยเลือดของสัตว์ ก็คือเลือดแกะที่คนอิสราเอลทุกปี เขาจะเอาแกะไปถวายเป็นเครื่องบูชา แล้วพระเจ้าก็เลือกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เขาเรียกว่ากลุ่มเลวี ก็คือมาทำหน้าที่ในวิหารของพระเจ้า โดยเฉพาะ พระเจ้าก็เลือกอาโรนมาเป็นปุโรหิตคนแรกของมนุษยชาติ  เพื่อที่จะถวายเครื่องบูชาแทนมนุษยชาติ  ณ เวลานั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้เลย เข้าใกล้พระเจ้าเมื่อไร มนุษย์ตาย  เพราะว่ามนุษย์กลายเป็นคนบาป พระเจ้าบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์กับความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าอยู่เฉยๆ พอมนุษย์วิ่งเข้ามาใกล้พระเจ้าปุ๊บ เด้งกลับไป ตายทันที นึกภาพออกนะ

            เหมือนที่อาจารย์นครชอบยกตัวอย่างกระแสไฟฟ้าแรงสูง เขาไม่ต้องทำอะไร? เราวิ่งเข้าไปจับ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน ไฟฟ้ามันจะวิ่งเข้ามาสู่มนุษย์คนนั้น แล้วถูกไฟช๊อตตายเลย เราเคยเห็นคนถูกไฟช๊อตตายไหม? คือไฟฟ้าไม่ได้ทำอะไร แต่โดยธรรมชาติของไฟฟ้ามันแรง ถ้ามนุษย์ไม่มีเครื่องป้องกัน เขาก็จะถูกไฟช๊อตตาย

            พระเจ้าเหมือนกัน กฎของพระเจ้าตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ ตอนนี้มีแต่ความบาปเลย เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้  พระเจ้าก็จะหาวิธีที่จะให้มนุษย์ อย่างน้อยมาเข้าใกล้พระเจ้าได้บ้าง ณ เวลานั้น ก็คือให้ปุโรหิตมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ปุโรหิตซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ยังเป็นมนุษย์บาปอยู่ แต่ถูกเลือก เหมือนคัดออกมา เพื่อที่จะทำหน้าที่นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่มหาปุโรหิต จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา เอาเลือดของคนที่เอามาถวาย เข้าไปถวาย ในห้องอภิสุทธิสถาน ปุโรหิตต้องชำระตัวเองก่อน ต้องถวายแกะ เพื่อลบล้างความผิดบาปของตัวเองก่อน ให้สะอาด ถึงจะสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ ซึ่งมันเป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แล้วถ้าปุโรหิตคนไหน ลืมที่จะชำระตัวเองให้สะอาด เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ ปุโรหิตคนนั้นตายทันที  เพราะว่าเขาไม่สะอาด

            พระเจ้าต้องกำหนดชุดปุโรหิตว่าจะต้องตัดอย่างไร? จะต้องมีแบบไหน? ปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องทำอย่างไร? เสื้อผ้าของปุโรหิต ใส่กระดิ่งไว้เต็ม รอบตัวเลย หมายความว่ามหาปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องรีบๆ ทำงานของตัวเอง เดินไปเดินมา เราจะได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ตลอดเวลา หมายความว่าปุโรหิตคนนั้น เตรียมตัวดี ได้ถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเข้าไปถวายเครื่องบูชาให้กับคนอิสราเอล แล้วเมื่อเสร็จจากการถวายเครื่องบูชา ก็ต้องรีบๆ ออกมา แต่ถ้าปุโรหิตคนไหนไม่ได้ถวายเครื่องบูชา สำหรับตัวเองก่อน เข้าไปปุ๊บ ตาย เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความบาปของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ตายทันที คนข้างนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าปุโรหิตตาย ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แล้วปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ก็คือแค่ปีละ 1 ครั้งไปถวายเครื่องบูชา

            ฉะนั้น คนข้างนอกจะไม่มีสิทธิ์ที่จะแง้มเข้าไปดูว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม? เขาสังเกตจากในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าให้โมเสสทำเชือกผูกขาของอาโรนไว้ เริ่มแรกเลยนะ คนแรก ผูกเอาไว้ แล้วระหว่างที่เข้าไปถวายเครื่องบูชา จะต้องมีเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ต่อๆ มา เมื่อมหาปุโรหิตส่งต่อทอดมา ถ้าคนไหนเข้าไปในอภิสุทธิสถาน แล้วกระดิ่งไม่ดัง แปลว่าคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอกทำอย่างไร? ก็ลากเชือกออกมา  เพราะเชือกผูกขามหาปุโรหิตไว้ ลากออกมา  เพราะเข้าไปเอาศพไม่ได้ เสร็จ ก็ต้องส่งคนใหม่เข้าไป

            สมัยก่อน มนุษย์ต้องใช้วิธีแบบนี้ ก็คือต้องถวายเครื่องบูชาตลอด เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้น ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วคนที่ไม่ได้เป็นอิสราเอล คนต่างชาติ เหมือนกับพวกเรา  ไม่มีสิทธิ์เลย หมดสิทธิ์ ที่จะไปถวายเครื่องบูชา แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะมีพิธีกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอถึงกำหนด ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มา แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเครื่องถวายบูชา เป็นแกะที่จะบูชา ถวายแด่พระเจ้า แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทำครั้งเดียวจบ หมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่มีบาป พระองค์จึงสามารถที่จะมาชำระบาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมด เมื่อพระองค์ตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด ตอนนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว คือมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า บาปในปัจจุบัน หลังจากเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วบาปในอนาคต ก็คือเชื่อแล้ว โอกาสที่จะทำบาป มีอีก เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้น พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทำครั้งเดียว จบ แล้วทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสำเร็จแล้ว ทันทีที่บอกว่าสำเร็จแล้ว พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจสูงสุดให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือให้พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเลย  ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใต้พื้นแผ่นดินโลก และในสวรรค์ พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว

            พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่อัศจรรย์ที่สุดในข้อ 1 ในคำว่า “เพราะฉะนั้น” นี่แค่เพราะฉะนั้นนะ พี่น้องนึกดูว่าอัศจรรย์ขนาดไหน? ทันทีที่มนุษย์คนหนึ่งคนใด ไม่จำเป็นจะต้องยิวแล้วนะ ตอนนี้ ก็คือใครก็ได้ บนโลกใบนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูมาทำอะไร เพื่อเขา แล้วเขาตัดสินใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันทีที่เขาตัดสินใจ บอกพระเจ้าว่า …

            “ลูกต้องการ ลูกอยากได้ความช่วยเหลือจากพระองค์”

            พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทันทีเลย มาผ่าตัดวิญญาณเรา มาบัพติศมาวิญญาณเรา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เราตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระเยซู ตรงนี้เขาเรียกว่า “บังเกิดใหม่” พอคนหนึ่งคนใดที่บังเกิดใหม่ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นอีก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย แยกกันไม่ออก เหมือนที่เราร้องเพลง เพลงนี้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ประโยคเดียววนอยู่ในหัว

                        “พระคริสต์อยู่ด้วย โลกคล้ายสวรรค์”

            มันวนอยู่ตรงนี้  พระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกับเรา อยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  โลกนี้ก็เหมือนสวรรค์แล้ว ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ยังไง มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้างในวิญญาณเราที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี มันเป็นความชื่นชมยินดีที่บอกไม่ถูกว่าทำไมเราถึงสามารถปิติยินดีได้  ทำไมเราถึงสามารถที่จะมีความสุขได้ ท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางอุปสรรคอะไรเยอะแยะมากมาย ท่ามกลางที่เราต้องเจ็บป่วย ต้องสู้กับโรคภัยไข้เจ็บของตัวเรา หรือสู้กับปัญหาเศรษฐกิจเยอะแยะมากมาย แต่ข้างในลึกๆ เราสามารถมีสันติสุขได้ ตรงนี้แหละ คือเป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุด ถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา ใครล่ะบนโลกใบนี้จะสามารถที่จะต่อต้านเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งหมด ก็ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย เพราะพระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด

            รักเราขนาดที่ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วพระเจ้าก็ยังสัญญากับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระพรนานัปการได้ให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระพรนี้มาถึงพวกเราด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร? เรามีด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย อันนี้แหละ อัศจรรย์ พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นบุตรด้วย พระเยซูเป็นทายาทของพระเจ้า เราก็เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเวลานี้ เราก็นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย ซึ่งไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ สามารถแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้เลย ก็คือรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ที่เราคุยกันเป็นแล้วเป็นเลย  เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อเราเกิด เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะกลับกลายเป็นลูกของความบาป มันไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น ตอนนี้ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เราเป็นวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เราเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่ให้ใหม่เลย เป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง ผู้เชื่อทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าหลายครั้ง พฤติกรรมของเรา ที่สำแดงออก มันไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร? แต่พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าวิญญาณของเราทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง วิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เยอะเข้าๆ มากเข้าๆ สถาปนาเข้าไปในวิญญาณของเราปุ๊บ ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถหลอกเรา ให้หลุดไปจากทางของพระเจ้าได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว เรายืนกราน ยืนหยัดอยู่ในความจริงนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของเราได้เลย

            ฉะนั้น ตรงนี้บอกว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก” เราเป็นบุตรที่รักแล้วใช่ไหม?  หลังจากนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพระเจ้า พ่อของเรา แค่นั้นเอง ง่ายๆ ก็คือพ่อเราเป็นอย่างไร? เราก็มองพ่อเรา พ่อเราทำอะไร? เป็นแบบไหน? เราก็ทำตามพ่อเรา แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อเรามีวิญญาณใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะสอนเรา

            ตอนนี้การสอนของพระเจ้าจะไม่บังคับ แต่ในพระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ต้อง” ซึ่งจริงๆ มันไม่ต้องหรอก “ต้อง” คือบังคับไง แต่ว่าความเป็นจริง คือพระเจ้าหนุนใจ  หรือพระเจ้าโน้มนำเรา บอกเราว่า …

            “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เป็นทายาทของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้วนะ เป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แล้วนะ  ลูกก็ทำตัวเองให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า”

            สมอย่างไร? ก็ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย คำว่า “แต่งตัว” ก็คือเหมือนกับเวลาเราออกไปข้างนอก  เราก็สวมเสื้อให้มันดูดีหน่อย ไม่ใช่ออกไปข้างนอก หาผ้าขาดๆ มา แล้วก็เดินออกไป มันไม่ใช่ มันไม่สวย มันไม่งาม มันไม่เหมาะกับการที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง ฉะนั้น พอเราเชื่อพระเจ้าหลังจากนั้น  เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า พ่อของเราเป็นอย่างไร? เราก็ฝึกฝนตามพ่อของเรา

            คำว่า “ฝึกฝน” เหมือนเด็กเล็กๆ เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ไม่ใช่โต แล้วก็สามารถทำได้ทั้งหมด ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ที่ตาเราคอยจ้องที่พ่อแม่เราอยู่ แล้วก็คอยดูว่าคุณพ่อคุณแม่เราทำอะไร?  แล้วเราก็เลียนแบบท่าน ทำตามพ่อแม่ของเรา เห็นไหมพ่อแม่พูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวลูกเราก็พูดจาไม่เพราะ คือลูกเรามอง ฟัง ในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เราเป็นทุกวันๆ  ฉะนั้น เราเลียนแบบพระเจ้า  เราเข้ามาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า เป็นอย่างไร? ก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ เรียนไปเรื่อยๆ พอเราเรียนได้มากเท่าไร? บุคลิกของเราก็จะเปลี่ยนแปลง ตามความจริงของวิญญาณข้างใน …

            “ตอนนี้ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันเป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันควรจะประพฤติตัวแบบไหน ให้มันสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า”

            มีพี่น้องคนหนึ่งเขาสงสัยกับคำๆ หนึ่งที่เราพูดกันบ่อยๆ ว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เคยได้ยินไหม? เราทำอะไรก็ได้ เราจะไม่หลุดไปจากทางของพระเจ้าเลย อย่างไรวิญญาณเราก็รอด

            ฉะนั้น คำว่า “เราทำอะไรก็ได้” ก็เกิดความเข้าใจผิดว่าอย่างนี้คริสเตียน ก็ไปทำบาปได้สิ คริสเตียนก็ไปทำอะไรเละเทะได้สิ”

            คำว่า “ทำอะไรก็ได้?” มันมีวงเล็บไง เมื่อวิญญาณเราเปลี่ยนใหม่แล้ว พระเจ้าให้อิสรภาพกับผู้เชื่อในการตัดสินใจ ที่จะทำอะไร? ไม่ทำอะไร? ในชีวิตประจำวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะโน้มนำเรา แล้วพระองค์ก็จะคอยเตือนเรา คอยบอกเราว่า …

            “ลูก ตรงนี้มันไม่โอเคนะ  ตรงนี้โอเค ทำได้”

            ฉะนั้น คำว่า “ทำอะไรก็ได้” หมายความว่าพระเจ้าให้อิสรภาพเราในการที่จะทำ  ในการที่จะตัดสินใจ

            ทีนี้ย้อนกลับ ถามว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เทียบกับสมัยก่อน ที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้าว่าเราทำอะไรก็ได้ ตามใจเรา เราไม่คิด เราอยากทำอะไร เราก็ทำ ใครจะเดือดร้อน เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา นึกออกไหม? มันเป็นอย่างนั้น  แต่หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว คำว่า “ทำอะไรก็ได้” มันจะมีขีดจำกัดในวิญญาณของเราเอง ที่เราจะรับรู้ว่าถ้าเราทำตรงนี้ แล้วมันจะส่งผลอะไรกับคนรอบข้างไหม?  ทำแล้วมันมีประโยชน์กับคนรอบข้างไหม?  ถ้าไม่มีประโยชน์ เราก็ไม่อยากทำ นี่คือคำว่า “ทำอะไรก็ได้” พระเจ้าให้อิสระไง

            แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าพี่น้องสามารถทำอะไรก็ได้  แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ท่านทำจะมีประโยชน์ ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ทำแล้วมันไม่เหมือนพ่อเรา ออกไปข้างนอก เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความดีงาม เป็นความรัก แต่เราไปทำตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่เราเป็นแล้ว ก็คือเราไม่มีความรัก เราไปทะเลาะกับเขา เราก็ไม่อยากทำ จริงหรือไม่จริง? คือเราจะเปลี่ยนเองโดยอัตโนมัติ พี่น้องสังเกตตัวเองนะ ดิฉันก็อธิบายไม่ถูกว่ามันจะเปลี่ยนอย่างไร? แต่ดิฉันรู้ว่าตัวดิฉันเองก็เปลี่ยน คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปลี่ยนเราเอง เปลี่ยนจากการที่ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนเห็นแก่ตัว พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารับรู้ความจริงมากๆ การเห็นแก่ตัวของเราจะลดน้อยลง  เราจะเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะให้ ให้คนอื่น

            คำว่า “ให้” หลายคนก็ไปคิด สรุปเอาเองว่าให้ ต้องให้เงินทอง  ไม่ใช่ คำว่า “ให้” มีเยอะแยะมากมายที่เราจะสามารถให้ได้  เราสามารถให้เวลากับคนอื่นได้  เราสามารถให้คำหนุนใจกับคนอื่นได้ เราสามารถที่จะให้ความรัก ให้อะไรก็ได้ที่คนรอบข้างเราต้องการ บางครั้งเราไปหนุนใจใคร เราอาจจะพูดไม่เป็น บางคนพูดไม่เป็น ก็สู้อย่าพูดดีกว่า  พูดแล้วไปกระทบกระเทือนใจคนอื่น ซึ่งถ้าเราพูดไม่เป็น เราก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้ามีพี่น้องในโบสถ์ เขากำลังเสียใจ  กำลังเศร้าโศก  เราพูดอะไรไม่ได้   เราก็ไปนั่งข้างๆ เขา จับมือเขาไว้  ทำแค่นี้พอ  คือทำแค่นี้ เขาจะสัมผัสได้ถึงความรัก จากข้างในตัวเรา ส่งไปถึงเขา หรือไม่ เราเดินเข้าไปกอดเขา  แค่นั้นเอง มันจะสัมผัสได้ พี่น้องนึกออกไหม?

            ฉะนั้น การให้มันมีหลายรูปแบบมาก ซึ่งเมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น เราก็จะเรียนรู้จักการที่จะให้คนอื่นมากขึ้น  ฉะนั้น ตรงนี้ให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

        เอเฟซัส 5:2 “และจงดำเนินชีวิตในความรัก   เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            เห็นไหม? “ดำเนินชีวิตในความรัก” ถ้าข้างในเราไม่มีความรัก เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตในความรักได้เลย  แต่ว่าเพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้นี้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เมื่อเราเป็นความรักแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรักนั่นแหละ สำแดงออกไป ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะสำแดงได้นิดหนึ่ง บางคนอาจจะยังไม่สามารถสำแดงได้เลย เหมือนทารกแรกเกิด ยังทำอะไรไม่ได้เลย พอโตขึ้นอีกหน่อย ก็เรียนรู้ที่จะทำได้ เด็กพอโตขึ้น ก็เรียนรู้ที่จะจับขวดนมเองได้ เรียนรู้ที่จะพลิกตัวเองได้  เรียนรู้ที่จะทำโน่นทำนี่ด้วยตัวเองได้

            เหมือนกัน วิญญาณของผู้เชื่อ เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น  เราก็เรียนรู้ที่จะเลียนแบบเหมือนพระเจ้า  พระเจ้าของเราเป็นความรัก ความรักอยู่ข้างใน เราก็เรียนรู้ที่จะสำแดงความรักออกไป เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  และประทานพระองค์เอง เพื่อเรา เป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ให้เราสำแดงความรัก เหมือนกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเราแล้ว อะไรมาก่อน พระเจ้าทรงรักเราก่อน  เราไม่สามารถรักคนอื่นได้หรอก ถ้าเราไม่ได้รับความรักจากพระเจ้าก่อน ก็คือพระเจ้ารักเราก่อน  หลังจากนั้น เราก็สำแดงความรักออกไป

            แล้วในนี้บอกว่าเพื่อเรา จะเป็นเหมือนของถวาย แด่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ถวายเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์  แด่พระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  คือแยกเราออกมา  เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว  แล้วก็ถวายเราเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า จำตรงนี้ไว้ พวกเราผู้เชื่อทุกคนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า เป็นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า  ไม่ต้อง พระเยซูทำให้เราเรียบร้อยแล้ว

            ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร? หรือใครจะมาว่าเราแบบไหน?  เราไม่ต้องสนใจ คำว่า “ไม่ต้องสนใจ” ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราทำตัวไม่ดีไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า แล้วคนมาเตือน เราไม่สนใจ  ฉันจะทำของฉัน มันไม่ใช่แบบนั้นนะ คนละแบบ “ไม่สนใจ” หมายความว่าถ้าใครมาบอกอะไรที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่พระเจ้าบอกเราแล้ว  เราไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าพฤติกรรมของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้ดำเนินชีวิต ให้สมฐานะการเป็นลูกของพระเจ้า ยังดำเนินชีวิตแบบเกเร ถ้ามีคนมาเตือน เราต้องสนใจนะพี่น้อง แล้วก็แก้ไข ขอกำลังจากพระเจ้า

            “พระเจ้า ขอกำลังลูกด้วย ลูกพยายามแล้ว ลูกพยายามจะไม่โกรธ พระองค์เจ้าข้า แต่มันโกรธไปแล้ว”

            อะไรประมาณนั้น ก็คือมันแยกให้ชัดเจนนะพี่น้อง บางคนไม่แยกชัดเจน  แล้วก็มาโมเม เอาทุกอย่างรวมไปหมด  มันไม่ได้ แยกให้ชัดเจนว่า ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นแบบไหน?  แล้วพระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบไหนให้สามารถที่จะส่งผลของความรักที่มันเป็นอยู่แล้ว ในจิตวิญญาณของเราออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง แล้วเขาจะสามารถสัมผัสความรักจากพระเจ้า ผ่านชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา เอเมนไหมค่ะ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คนป่วย … ต้องการ “หมอ”

            คนบาป … ต้องการ  “พระเยซูคริสต์”

            มัทธิว 5:3 “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            พระเยซูมาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์กับคนยิวในขณะนั้น ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย เพราะพระเยซูบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เร็วๆ นี้ เมื่ออาณาจักรสวรรค์มาตั้งสำเร็จเมื่อไหร่ คนที่มีลักษณะท่าทีในใจอย่างนี้ คือผู้ที่สำนึกว่าตนเองขัดสนฝ่ายวิญญาณ สำนึกว่าตนเองป่วยทางวิญญาณ คือเป็นคนบาปต้องการความช่วยเหลือ

            พระเยซูบอกว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนที่คิดว่าแข็งแรงดี ก็ไม่ต้องการ คนที่รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            ซึ่งในมัทธิว 5:3-12 พระเยซูกำลังบอกถึงลักษณะท่าทีในใจของผู้คนในยุคนั้นว่าถ้าเขามีท่าทีแบบนี้ เมื่อพระเยซูทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะกลับใจใหม่ และได้รับการบังเกิดใหม่ทันที และก็จะเข้าอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณทันที แล้วก็จะพบการข่มเหงต่อต้านจากโลก ซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืด ความบาปทันทีเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราก็ได้รับพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนเรียบร้อยแล้วในวิญญาณของเรา เราจึงไม่ขัดสนบกพร่องในวิญญาณของเราอีกต่อไป แต่เต็มล้นไปด้วยสง่าราศีบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูเลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ