คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2016 เรื่อง “ตามรอยของพ่อ” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

ผ่านมา 17 วัน เกือบ 3 สัปดาห์แล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศโศกเศร้าเสียใจ

หลายๆ คนก็ยังอยู่ในสภาวะทำใจ ยังโศกเศร้าอยู่

แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นในขณะนี้

เราก็ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ผมก็ติดตามข่าวอยู่ตลอด

ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่ามีผู้คนเยอะแยะมากมาย ที่ตั้งใจจะทำความดี

ตั้งปณิธานที่จะดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปร

มินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชของเรา

แล้วหลายคนก็เริ่มต้นทำแล้วด้วย ไม่เพียงแต่มีสิ่งดีๆ

เกิดขึ้นเยอะแยะในบ้านเราเท่านั้น ยังมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ทำให้เราคนไทยภูมิใจมากมาย

จากที่ได้เห็นข่าวจากหลายประเทศ

ก็ได้เห็นจัดกิจกรรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่

สมพระเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา

หลายคนก็ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมสมัชชาพิเศษ

ที่สดุดีถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล

เราคนไทย นั่งดูไป ก็เศร้าไป แต่ก็ตื่นเต้น ภูมิใจ

อาการนี้เขาเรียกว่ายิ้มทั้งน้ำตา คิดถึงสิ่งที่ท่านทำ

สมัยก่อนตอนท่านอยู่ เราก็ไม่ได้คิด แต่พอท่านไป

แล้วทั้งโลกเขาแซ่ซ้อง เราถึงได้มานั่งคิดนะ

คนเราก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นเอกฉันท์ทั่วโลก

แล้วก็เป็นความภาคภูมิใจของเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเจ้า

ที่ทรงให้เรามาเกิดบนแผ่นดินนี้

และทุกคน เวลาจะพูดถึงในหลวงของเรา ที่เราได้ดู

ทั่วโลกจะต้องกล่าวถึงเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน

ที่ได้ตรากตรำทำงาน เพื่อคนไทยตลอดเวลา 70 ปี

ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว

มีผลกระทบไปยังบรรดาสังคมในโลกนี้ด้วย

พระเจ้าบอกว่าเกียรติเป็นของใคร? ก็เป็นของผู้นั้น สมควรได้รับ

ก่อนหน้านี้ หลายคน รวมทั้งผมเองด้วย

ก็ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าโครงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา

ได้คิดและทำมานั้น มีมากมาย

คือเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพระองค์ทรงงานหนักมาก

เยี่ยมพสกนิกร ราษฎร ไกลมากเลย

แต่ก็ไม่เคยนับว่ามีจำนวนโครงการทั้งหมดเท่าไร? จนมาวันนี้

รู้ว่า 4,000 โครงการ

และหนึ่งในโครงการของพระองค์ที่รู้จักกันดีที่สุด

ทุกคนพูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยเอง

หรือต่างประเทศทั่วโลกก็ตาม ก็คือโครงการเศรษฐกิจพอเพียง

ไม่ใช่เป็นนโยบาย บอก สอนเฉยๆ แต่ทำเป็นตัวอย่าง

แล้วก็สอนคนเป็นตัวอย่าง เริ่มต้นตรงนั้นเป็นตัวอย่าง

เริ่มต้นตรงนี้เป็นตัวอย่าง พร่ำสอนเรื่องนี้มาตลอด

คนไทยทุกคน จึงคุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียง” หรือคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” แต่อย่างว่าก็ยังมีหลายคน

รวมผมเองก็เหมือนกัน

ผมก็คิดว่าผมยังเข้าใจไม่ได้ลึกซึ้งเท่าในหลวงของเราที่พระองค์ท

รงตรัสเอาไว้ แต่ก็ยังมีหลายคนในโลกนี้ และในประเทศนี้

ที่ยังไม่เข้าใจเลย

ถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หั

ว ถึงความหมายที่แท้จริง

ที่พระองค์ทรงต้องการให้เราได้เรียนรู้ว่ามันคืออะไร?

มันสำคัญอย่างไรกับชีวิตของคนจริงๆ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข จุดเริ่มต้นของความสงบ

ไม่ใช่สุขอย่างเดียว แต่จุดเริ่มต้นของชีวิตของคนทีเดียว

อยากบอกว่ามันสำคัญที่สุด

พอดี ก็ติดตามข่าวมาตลอด ในช่วงนี้ เหมือนเราหลายๆ คน

ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ คลิปวีดีโอมากมายถึงสิ่งต่างๆ

ของพระองค์ท่านเยอะแยะในขณะนี้ มีอยู่คลิปหนึ่ง ผมได้เปิดดู

ประทับใจมาก ที่พระองค์ท่านได้ทรงอธิบายความหมายของคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” ได้แบบลึกซึ้งเข้าใจง่ายๆ เป็นคลิปสั้นๆ

เท่านั้นเอง ผมฟังแล้วประทับใจมาก ก็ฟังแล้วฟังอีก ยอดเยี่ยมๆ

ถ้าฟังเมื่อ 20 ปีก่อน ผมอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้

ได้ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร

เป็นพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม ปี  2541

https://youtu.be/yvO3dbTN4xI (ให้พี่น้องไปเปิดฟัง)

นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น จริงๆ

ผมอยากให้ท่านฟังฉบับเต็มเลย มีประโยชน์มากจริงๆ ฟังแล้ว

นอกจากเราจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านแล้

ว ถ้าเราน้อมนำเอาความคิดทั้งหมดนั้น

มาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราทุกคน

ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ

แม้กระทั่งไปถึงทั่วโลก นี่แหละครับ

ทั่วโลกจึงถวายเกียรติแด่พระองค์ท่าน

ตัวอย่างพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ได้ประทาน

เนื่องในวันปีใหม่ 31 ธันวาคม 2502 หลายท่านยังไม่ได้เกิดเลย

ประมาณ 57 ปีมาแล้ว มีใจความตอนหนึ่งว่าอย่างนี้ …

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น

จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง

และครอบครัว ช่วยป้องกันการขาดแคลนในวันข้างหน้า

การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดี

ไม่เฉพาะแก่ผู้ประหยัดเท่านั้น

แต่ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

จริงเลยแหละ ไปจนถึงทั่วโลกเลย

ก่อนหน้านี้จะมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง ผมไม่แน่ใจ

เพราะเท่าที่ค้นมา เก่าที่สุด คือ 2502 สอนมา 57 – 58 ปี เกือบ 60

ปีแล้ว สอนเรื่องนี้มาตลอด ถ้าพูดตามสามัญชาวบ้าน

ต้องบอกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ ก็ยังไม่เข้าใจกันเท่าไร?

ยังปฏิบัติกันไม่ได้มากในบ้านเมืองเรา ยังไม่เกิดประโยชน์มาก

แต่พระองค์ท่านไม่เคยท้อเลย พูดทุกปี พูดบ่อยๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียว ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นโครงการนั้น

โครงการนี้ ในชนบท ตั้งแต่ปี 2502 จนมาถึงคลิปตะกี้นี้ 2541

ก็ยังอธิบายอยู่ แล้วพระองค์ท่านก็บอกว่าปีหน้าก็ต้องพูดอีก

รู้ว่าเบื่อ แต่รู้ว่าเข้าใจแค่นิดเดียว จะพูดต่อไป

มาถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงคนไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ที่ หลายๆ

แห่งในโลก ก็ได้รู้จักปรัชญาเศรษฐกิจเพียงพอ ที่เราได้ยินกัน

เพราะมันเกิดผลจริงๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิ

พลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของเรา

จึงเป็นอันหนึ่งที่สำคัญมาก ทั่วโลกนำไปใช้ในขณะนี้

ซึ่งเราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เราก็รู้ด้วยตัวเราเอง นั่นมีหลักฐานชัดเจน

ลึกซึ้ง อีกหลายอย่าง ถ้าฟังสมัยก่อน เราอาจไม่ลึกซึ้งขนาดนี้

และถ้าท่านฟังวันนี้ และตั้งใจฝึกฝนไปเรื่อยๆ อีก 10 ปี

ท่านเอาคลิปนี้มาฟังใหม่อีก

ก็จะขยายความเข้าใจท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แค่ 15 นาทีเท่านั้น

แต่ความลึกซึ้งมหาศาลมาก

ผมจึงอยากจะใช้เวลานี้ ให้พวกเราได้เข้าใจกับคำว่า

“เศรษฐกิจพอเพียง” หรือคำว่า “พอเพียง”

ซึ่งภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “To be contentment” คือ

“มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่” ไม่ใช่แค่เงินอย่างเดียว

ไม่ใช่สิ่งของอย่างเดียว รวมหมดทุกอย่าง

เหมือนที่พระราชดำรัสที่เราได้ฟังกัน แม้กระทั่งความคิดของเรา

ซึ่งเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ของเราพร่ำสอนมาตลอด 60 ปี เราก็จะใช้เวลานี้แหละ

เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น

เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัว

และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโลกด้วย

ตามที่มูลนิธิมั่นพัฒนา โดย ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา

ได้เคยกล่าวไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

ทรงเปรียบเทียบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหมือนเสาเข็ม

พระองค์ทรงรับสั่งว่าบ้านเมืองของเรา ถ้าจะให้มั่นคง ต้องมีเสาเข็ม

และเสาเข็มมันอยู่ใต้ดิน มองไม่เห็น

คนเลยละเลยไม่ให้ความสำคัญกับเสาเข็ม แต่บ้านมันจะอยู่ได้

ต่อเมื่อเสาเข็มแข็งแรง ถ้าเสาเข็มไม่แข็งแรง วันหนึ่งลมพัด พายุมา

มันก็โค่นล้ม ในหลวงตรัสว่ามันเป็นเหมือนเสาเข็มนี่แหละ

คนมักมองไม่เห็นว่าความสำคัญอยู่ตรงไหน?

ถ้าพื้นฐานของคนไม่มีความอยู่ดีกินดี ตามอัตภาพ

“อยู่ดีกินดีตามอัตภาพ” คืออะไร? เป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่

หมายถึงกินอาหารอย่างเดียว อยู่ดีกินดี

หมายถึงชีวิตทุกอย่างอยู่ในความพอเพียง พอดีแล้ว ตามอัตภาพ

ก็คือตามกำลังของตนเอง คิดก็คิดตามกำลัง อยากก็อยากตามกำลัง

แล้วสุดท้าย ก็คือกินตามกำลัง ใช้สอยเงินตามกำลัง

ไม่คิดอะไรใหญ่โตเกินกว่าที่ตัวเองควรจะคิด ถ้าเป็นอย่างนั้น

นั่นแหละเรียกว่าพื้นฐานที่มั่นคง มันจะไม่ล้มลงมาง่ายๆ

แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะล้มลงง่ายๆ คิดเกินไป

คิดว่าเราจะไปอยู่ตำแหน่งนั้น แต่เราทำไม่ได้ เราคิดเกินไป

เรามีสติปัญญาแค่นี้ ขนาดนี้ เราควรจะรับผิดชอบแค่นี้

เราคิดว่าเราอยากจะมีตำแหน่งอย่างโน้น

แล้วในที่สุดมันก็พังลงมาหมดเลย อย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับอาหาร

และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ประทาน

สรุปความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง หรือความพอเพียงตรงนี้

เป็นประเด็นหลักๆ 3 ข้อเริ่มต้น คือ …

(1) พอประมาณ ไม่สุดโต่ง …

(2) มีเหตุมีผล …

(3) มีภูมิคุ้มกันที่ดี …

หลักข้อที่ 1 พอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ก็คือพอประมาณในทุกอย่าง มีความพอดีไม่มาก

หรือไม่น้อยจนเกินไป และไม่เบียดเบียนตนเอง

หรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ความหมายก็คือตามกำลังของตนเอง

ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ หรูหราไม่ได้

ตามที่พระองค์ท่านตรัสตามคลิปเมื่อตะกี้นี้ มีได้

แต่มีตามกำลังของเราที่มี หรูหราได้ไหม? ได้

ถ้าท่านคิดว่าท่านมีกำลังพอ จะทำอย่างนั้น

ไม่เดือดร้อนชาวบ้านและตนเอง รู้จักประมาณตนนั่นเอง

อย่างตอนหนึ่งในพระราชดำรัสที่เราได้ฟังเมื่อตะกี้นี้

ที่ทรงตรัสว่าพอเพียง ก็คือ 2 ขาของเรายืนอยู่บนพื้นให้ได้

ไม่หกล้ม ไม่ต้องขอยืมขาของคนอื่น มาใช้สำหรับยืน คำว่าพอ

ก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเอง คนเราถ้าพอในความต้องการ

ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย

ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง

ไม่โลภมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้ อาจจะมีมาก

อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น

ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจา ก็พอเพียง

ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

แค่นี้เอง ลึกซึ้งมาก คิดกับคนข้างๆ ผิด

ก็คือคิดเลยจากความพอเพียง คิดอิจฉา จะไปเลื่อยเก้าอี้เขา

จะไปแทนที่เขา อย่างนี้ เรียกว่าคิดมากเกินไป ไม่ต้องคิดอย่างนี้

คิดพอดี ก็มีความสุข มีสันติสุข เขาก็สุข เราก็สุข

ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน คิดไปเลื่อยขาเขา ก็สร้างแผนการที่ไม่ดี

สิ่งชั่วร้ายก็เกิดขึ้น พระคัมภีร์บอกว่าพอรู้สึกไม่พอ

ความโลภก็เกิดขึ้น ความโลภ คือความไม่พอ

พระคัมภีร์บอกความโลภ คือบ่อเกิดของความบาปทุกชนิด

ความโลภ คือไม่พอ … พอ ก็คือไม่โลภ เศรษฐกิจพอเพียง

คือเศรษฐกิจที่ไม่โลภ พูดฟังง่ายนะ แต่ปฏิบัติยาก

ต้องเรียนรู้กันต่อไป ต้องปฏิบัติ ฝึกฝน อย่างที่บอก 57 ปี

ในหลวงของเราก็ยังสอนเรื่องนี้ตลอดเวลา

เพราะนี่คือหลักการของชีวิต ที่ทำให้เกิดความสุขสงบได้

ในประเทศนี้ และในโลกนี้เลย

หลักข้อที่ 2 ต้องมีเหตุและมีผล

หมายถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น

จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลด้วย

โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง

ตลอดจนถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ

อย่างรอบครอบ ไม่ใช่พอบอกว่าใช้ตามอัตภาพ ตามกำลัง

พอเรามีเยอะ ก็ใช้แบบไม่มีสติเลย ไม่มีเหตุ ไม่มีผล

ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญในการใช้ อันนี้ก็ไม่ใช่พอเพียง

พระบรมราโชวาทในพิธีประทานปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปี 2540 … 19 ปีที่แล้ว

มีใจความตอนหนึ่งว่า …

“ข้อสำคัญในการสร้างตัว สร้างฐานะนั้น

จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบครอบ

ระมัดระวัง และความพอเหมาะ พอดี ไม่ทำเกินฐานะ

และกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ”

จำข้อความในพระคัมภีร์ได้ไหม? ความเร่งรีบ คือความบาป …

บาปทำให้เกิดความเร่งรีบ เพราะถ้าเชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็จะนิ่งได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อและวางใจในพระเจ้า

เราก็อยากได้ในสิ่งที่เราอยากได้เอง ทุกอย่างจะพึ่งตัวเองหมด

เราก็ทนไม่ไหว ในที่สุดเราก็จะเร่งรีบ ต้องการตรงนั้น

ต้องการตรงนี้ รอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้วางใจในพระเจ้า

เมื่อบาปเกิดขึ้น ก็คือเราไม่ได้นึกถึงพระเจ้านั่นเอง การเร่งรีบ

คือคนไม่นึกถึงพระเจ้า ตอนนั้น มันเป็นบาปอยู่ บาป

คือตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า …

พระเจ้าต้องการให้เรานึกถึงพระองค์ …

พระองค์จะให้เราทำอะไร? เรานึกถึงพระองค์เมื่อไร? เราจะไม่รีบ

เรารีบเมื่อไร? เราก็ไม่นึกถึงพระองค์ ถูกไหม?

เพราะรู้ว่าการควบคุมดูแล การกำหนด การจัดเตรียม

จัดหาทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น เรารู้มาตลอด

แล้วทำไมตอนนี้เรารีบ ก็แสดงว่าเรากำลังลืมพระเจ้า

ลืมถ้อยคำของพระองค์ก็ได้ ลืมคำสอนของพระองค์ก็ได้

ก็คือลืมพระเยซูนั่นเอง แต่ถ้าเรามีความพอใจ

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่บอกว่า …

“ข้าต้องการพระเยซูยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา”

แล้วในเพลงนี้บอกว่า “ข้าต้องการพระเยซูมากกว่าทุกสิ่ง”

พอมีพระเยซูก็นิ่งแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน แต่ขณะที่เร่งรีบ

พระเยซูหายไปแล้ว

หลักการข้อที่ 3 คือต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง

หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อรับผลกระทบ

และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ

ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งใกล้และไกล

ก็คือต้องมีการเรียนรู้ฝึกฝนที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ให้ได้

เช่น เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมา ไม่ว่าวิกฤตอะไรก็ตาม

เราจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างไร? เช่น เมื่อทำตามข้อ 1

ข้อ 2 แล้ว พออัตภาพสำหรับตนแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่นึก ไม่คาด

ไม่ฝันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่าแอดสิเดนเกิดขึ้นมา

ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำอย่างไร?

ต้องเตรียมให้พร้อม ถามว่าพอเพียง

หมายถึงต้องเตรียมให้พร้อม อะไรบางอย่าง เราไม่คาดคิด

มันอาจเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ถ้าตามพระคัมภีร์

คือพระเยซูบอกแล้วอยู่บนโลกใบนี้มันมีแต่ความทุกข์

เดี๋ยวมันก็โผล่ขึ้นมา เราต้องรู้ว่าจะเกิดแน่ เมื่อไรไม่รู้

แต่เราต้องพร้อมที่จะรับในสิ่งเหล่านั้นที่มันอาจจะเกิดขึ้นกับเรา

คือหนึ่งในจำนวนพอเพียงนั้น แล้วเราพร้อมได้อย่างไร?

ก็คือเราสามารถเชื่อและวางใจในพระเจ้า ถ้าเราวางใจในพระเจ้า

ก็คือเราพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระเยซูคริสต์

ผู้ที่เป็นกำลังของเรา ฟีลิปปี 4:13

ฟีลิปปี 4:13

“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

ขณะที่พูดนั้น ยังไม่มีสถานการณ์อะไรเข้ามาเลย

แต่เตรียมพร้อมไว้ว่าถ้าวันหนึ่งเข้ามา

ข้าพเจ้าจะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างได้

โดยพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า คือการเตรียมชีวิตทั้งหมด

นอกจากเตรียมโดยปฏิบัติแล้ว ต้องเตรียมด้วยความเชื่อด้วย

เราดูแลอย่างนี้ตลอดแล้ว เราประหยัดแล้ว เราพอเพียงแล้ว

รับรองได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ไม่ใช่อย่างนั้น

ชีวิตไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้น มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ได้

แต่ขณะที่เกิดขึ้นนั้น

ต้องให้เราเตรียมพร้อมว่าเราเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุ

มดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ชีวิตของเราอย่างเดียวทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์นี้

อยู่ในความดูแลของพระองค์และพระองค์กระทำทุกสิ่งทุกอย่างตาม

น้ำพระทัยของพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์

และมันจะเป็นผลดี สำหรับเรา ลูกของพระองค์ ที่รักพระองค์

ที่เชื่อในพระองค์เสมอ พูดง่ายๆ ในที่สุด

มันจะเกิดเป็นผลดีสำหรับเรา นั่นก็เกิดสันติสุข ความสงบ

เมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ เราก็พอเพียงได้

มันหมายถึงอย่างนั้น

วันนี้เราก็ได้เรียนรู้วิถีทางการพอเพียง

ตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ของเรา

แล้วคราวหน้าเราก็จะมาเรียนรู้ตามแนวทางของพระเจ้า

ควบคู่กันไป ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ว่าให้เรา

เดินอยู่ในทางของพระองค์ ด้วยความพอเพียง แล้วท่านจะทึ่ง

เมื่อท่านเรียนไปเรื่อยๆ ทึ่งว่าแนวทางในพระคัมภีร์

เป็นแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างดีกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหล

วงเลย ท่านจะตกใจหลายอย่าง ที่ท่านอาจจะไม่เคยรู้

ตอนนี้สื่อออกมาตรงนี้เยอะ ท่านก็จะได้ฟังตรงนี้ ตรงนั้น หลายๆ

ทาง เพื่อให้จิตวิญญาณเจริญเติบโตในทางของพระเจ้า

วันนี้ เราจะจบกันด้วยถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ก่อน

แล้วผมจะอธิบายให้ท่านฟังถึงถ้อยคำนี้ เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ

ว่าทั้งหมดที่เราฟังในคลิปเมื่อตะกี้นี้กับถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึก เมื่อ

2,000 ปีแล้ว เป็นสิ่งเดียวกันเลย ที่เราจะต้องปฏิบัติ

แล้วพระเจ้าต้องการให้เราปฏิบัติ เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่บนโลกใบนี้

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

1 ทิโมธี 6:6-8 “ 6

แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี

ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า

เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหาร

และเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น”

นี่คือปรัชญาชีวิต นี่คือความเป็นจริงของชีวิต

นี่คือแนวทางที่พระเจ้าบอกเราว่าถ้าเราทำอย่างนี้

ชีวิตเราจะอยู่บนโลกนี้อย่าง มีความสุขสงบมาก ปลอดภัย

(มากที่สุด) แต่ทางของพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจ

ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตรงนี้ภาษาเดิมหมายความว่าอย่างไร?

คำพูดนี้เขียนตอนที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน

หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด

เรียบร้อยแล้ว พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์

พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า

ผู้สถิตในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาส่งพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อตายที่ไม้กางเขน พระบิดาต้องการให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน

เพื่อหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งเป็นโลหิตของความบริสุทธิ์

เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นคนบาป โลหิตของพระองค์จะชำระบาป

ชดใช้บาปให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหมดเลย พระองค์จะตายที่นั่น

และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และครอบครองเหนือทุกสิ่ง

แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางนั้น

ที่ท่านทั้งหลายจะไปหาพระเจ้า ท่านจะไปหาพระบิดาเจ้า …

เจ้าของสวรรค์ ถ้าท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสวรรค์

“พระเจ้าส่งฉันมา

เพื่อให้บอกท่านว่าฉันเป็นทางที่ท่านจะไปหาพระเจ้า

เป็นทางที่ท่านจะไปสวรรค์

เป็นทางที่ท่านจะไปหาพระบิดาในสวรรค์ ฉันเป็นทางนั้น”

ทางนี้ทำด้วยอะไร? “ทางนี้ทำด้วยความตายของฉัน

ทางนี้ทำด้วยโลหิตของฉันที่หลั่งที่ไม้กางเขน

เพื่อชำระบาปให้กับท่าน”

เรากลับมาดูเมื่อตะกี้ แต่ในทางพระเจ้า ทางพระเยซู

ในนี้กำลังจะบอกว่าในทางพระเจ้า

พร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ก็คือเริ่มต้นด้วย

ถ้าท่านอยู่ในทางพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าท่านเชื่อพระเยซูแล้ว

พร้อมด้วยท่านมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ กำไรงาม จบ

ชีวิตท่านเยี่ยม เป็นกำไรชีวิตที่งามที่สุดในโลกนี้

ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น Godliness with contentment

ภาษาเดิมแปลภาษาอังกฤษว่าความบริสุทธิ์ที่ท่านได้จากทางนี้

จากการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านไม่สามารถทำเองได้

พระคัมภีร์บอกเราไม่สามารถไถ่บาปตัวเราเองได้

เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระโลหิตของพระเยซู

ซึ่งเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ สะอาดหมดจด

สามารถไถ่บาปเราได้ นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะบริสุทธิ์

ท่านได้ความบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ท่านได้กำไรไปแล้ว

แต่ไม่กำไรถึงที่สุด ท่านต้องได้พระเจ้าไปด้วย

และมีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ท่านจะมีกำไรงาม …

งามมากเลย นี่คือเคล็ดลับ

แล้วก็บอกว่าพอมีทางพระเจ้า แล้วมีความพอใจ

แค่ท่านมีอาหารและเสื้อผ้าก็พอใจ ยกตัวอย่าง อะไรก็ได้

แล้วแต่พระเจ้าให้ พูดง่ายๆ แล้วแต่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้

แม้นกในอากาศ พระองค์ยังดูแลเลย แล้วท่านเป็นใคร?

พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านมากกว่านี้หรือ? พระเยซูตรัส

ขนาดนกในอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกหญ้า

สวยงามมากเลย เดี๋ยวไม่กี่วันมันก็เฉาแล้ว ถูกแดดเผา

พระเจ้ายังตกแต่งมันสวย

แล้วท่านจะอยู่กับพระองค์ไปตลอดนิรันดร์

แล้วเป็นลูกของพระองค์ด้วย

พระเจ้าจะไม่ดูแลมากกว่าดอกไม้ไม่กี่วันนั่นเหรอ

ต้นหญ้าไม่กี่วันเหรอ นกกระจอกอายุมันอยู่นานเท่าไร?

พระเจ้ายังเลี้ยงดูมันเลย มันไม่ทำงาน วันๆ บินออกมา ร้องจิ๊บๆ

เดี๋ยวมันก็กลับไปบ้าน มันก็อยู่ได้ของมัน

พระเยซูสอนให้เรามองสิ่งเหล่านี้ แล้วท่านเป็นใคร?

เมื่อท่านอยู่ในทางพระเจ้า ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

พระเจ้าจะดูแลท่านเอง พระเจ้าที่ดูแลนกนั่นนะ

พระเจ้าที่ดูแลต้นหญ้าให้มีดอกสวยขนาดนั้น เป็นพ่อของท่าน

จะดูแลชีวิตท่าน

และยกตัวอย่าง เมื่อสมัยท่านเป็นคนบาป

หรือทุกวันนี้ท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้จักรักลูกของท่าน

ให้ของดีๆ ใช่ไหม? เราก็ต้องบอกว่าใช่

แล้วมากกว่านั่นสักเท่าไรที่พ่อ ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ เป็นพ่อของท่าน

พระเจ้าบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพระสิริ ไม่ใช่เป็นคนบาป

จะรักท่านและให้ของดีๆ กับท่านมากกว่านั้นสักเท่าไร?

ท่านคิดเอาเอง เทียบเอาเอง เราเป็นห่วงลูกของเรามากเลยนะ ดึกๆ

ดื่นๆ ถ้าทำอันโน้นอันนี้ สมมตินะ เราเป็นห่วงมาก เป็นห่วงสุขภาพ

ตอนเขาไม่สบาย เราก็เป็นห่วงมาก พระเยซูบอกให้เราคิดเอาเอง

พระเจ้าเป็นห่วงเราขนาดไหน?

มากกว่านั้นสักเท่าไรที่ถ้าเกิดตอนนี้เราเป็นหวัด

พระเจ้าเป็นห่วงเรามากกว่านั้นสักเท่าไร?

นี่เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลย ถ้าเราได้สิ่งเหล่านี้มาทั้งหมด

รวมกับความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ว่า …

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” วันทั้งวันนั่งยิ้ม

“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งจากโลกนี้ไป ฉันก็ไปอยู่ในสวรรค์

ขอบคุณพระเจ้า อยู่บนโลกนี้ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยพระองค์

จะให้มีเงิน ฉันก็จะใช้เงินเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

เพราะพระเจ้าสอนฉันว่าถ้าให้มีเงิน หรูหราได้ไหม? ได้

แต่ความหรูหรานั้น มีสติปัญญาจากพระเจ้า

คือเป็นเหมือนผู้อารักขาของพระเจ้า

ใช้ให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า”

เห็นไหม? ไม่ใช่มีเงิน แล้วมานึกว่า …

“ฉันรวยแล้ว อันนี้เป็นของฉัน”

เปล่า “ฉันเป็นผู้อารักขาเงินจำนวนนี้

และพระเจ้าก็อนุญาตให้ฉันใช้ด้วย แต่ใช้อย่างมีสติ”

มีสติว่าอย่างไร? นี่เป็นเงินของพระเจ้า ใช้ในทางของพระเจ้า

เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า หรูหราได้ไหม? ได้ แต่คิดทางนี้

เขาเรียกว่าคิด มีเหมือนไม่มี ขับรถใหญ่หรูหราเลย มี

แต่เหมือนไม่ใช่ของเรา … เราไม่ได้ไปยึดมันเป็นของเรา

เมื่อไรพระเจ้าจะเอาคืนไป ไม่มี ก็ไม่มี …

มีก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางของพระเจ้า มีสติ คืออย่างนี้

เพราะฉะนั้น นี่คือหนทางที่มีสันติสุข และมีความสงบสุขจริงๆ

บนโลกใบนี้ และมีความหวังในโลกหน้าด้วย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2016 เรื่อง “จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” ตอน 4 “โลกนี้ คือละคร” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

เราก็ยังอยู่ในซีรี่ส์การบรรยายชุด

“จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า” และวันนี้เป็นตอนที่ 4

และเป็นตอนจบของชื่อตอน “โลกนี้คือละคร”

เนื้อหาหลักของตอนนี้ ก็คือโลกนี้เปรียบเหมือนโรงละคร

โรงใหญ่ ที่มีมนุษย์ทุกคนเป็นนักแสดงและมีพระเจ้าเป็นผู้กำกับ

และพระเจ้าก็วางบทให้บางคนเป็นตัวเด่น บางคนเป็นตัวสำรอง

บางคนเป็นพระเอก บางคนเป็นนางเอก บางคนเป็นคนดี

บางคนเป็นคนร้าย โหดร้าย แต่ไม่ว่าจะแสดงบทไหนก็ตาม

ภายใต้การควบคุมของผู้กำกับผู้นี้ ที่มีชื่อว่าพระเจ้า

พระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งสิ้น

ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงนอกบทที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ได้เลย

ฉะนั้น ใครที่รู้เรื่องนี้ แล้วพยายามทำตามพระองค์

ก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ก็จะมีสันติสุข มีความสุข

เท่าที่เป็นไปได้ในโลกนี้ และโลกหน้ามากที่สุด

ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มาก ก็มีสันติสุขมาก

ทำตามได้น้อยก็ได้น้อยตาม เราถึงเรียกว่าน้ำพระทัย

เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว จงทำตามน้ำพระทัย เพื่อชีวิตของเราเอง

แม้คนไม่รู้จักพระเยซู เรายังอยากให้เขาทำตามน้ำพระทัย

เพราะเขาทำ เขาจะได้ แม้เขาไม่รู้จักพระเยซู

แม้เขาจะได้ในสิ่งที่เขาควรจะได้ตรงนั้น

ซึ่งไม่เกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดนะ

เกี่ยวกับผลประโยชน์มันเกิดขึ้นเอง โดยธรรมชาติ ถ้าเราไปฝืนมัน

ไม่ทำตามกฎ ซึ่งเราเรียกกันว่ากฎธรรมชาตินั่นเอง

ไม่ทำตามบทบาทที่พระเจ้าวางไว้ให้กับเขา ก็ทุกข์ระทม

พระเจ้าวางเป็นตัวสำรอง

เรายังอยากจะเป็นพระเอกอยู่นั่นแหละ อยากๆ

ไปอิจฉาริษยาชาวบ้านเขา ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง ในที่สุดก็ทุกข์

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

นี่คือความจริง

ยังจำได้ไหมครับ เพลงประกอบเรื่องนี้ โลกนี้คือละคร

ตอนจบเขาว่าอย่างไร?

โลกนี้นี่ดู ยิ่งดูเศร้าใจ ชั่วชีวิตวัย

หมุนเปลี่ยนผันไปเหมือนม่าน

เปิดฉากเรืองรอง ผุดผ่องตระการ

ครั้นแล้วไม่นาน ปิดม่านเป็นความเศร้าใจ

นี่คือเพลงโลกนี้คือละคร สำหรับคนทั่วๆ ไป

ที่อาจจะยังไม่รู้จักพระเยซู ยังไม่รู้จักพระเจ้า คือเปิดฉากด้วยความ

สวยงาม ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความทุกข์

ความสุขวนเวียนกันไป ตามบทบาทของแต่ละคน

แต่สุดท้ายทุกคนต้องจบลงที่เดียวกัน คือความตาย

ทุกคนเจอเหมือนกันหมด สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า

เมื่อละครปิดม่านลง ก็ตามบทเพลงนี้

เกิดความเศร้าโศกอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าตายไปแล้ว

จะไปอยู่ไหน? ถึงแม้บางคนอาจจะรู้บ้าง

แต่ไม่แน่ใจว่ามันใช่ไหม? ไม่มีการคอนเฟิร์มในหัวใจของเขา

ในวิญญาณของเขา

มันจึงเหมือนละครเศร้า สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

คลอดออกมา ทุกคนเปล่งปลั่ง ผิวพรรณเจริญเติบโต เลี้ยงฉลอง

แล้ววันหนึ่ง มารวมตัวกันอีกทีที่เชิงตะกอน ที่เขาจะไปเผา

ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม? มานั่งร้องห่มร้องไห้ตรงนั้น

นี่คือเรื่องราวของทั่วๆ ไปในสังคมมนุษย์บนโลกใบนี้

แต่สำหรับเราคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พอผู้กำกับสั่งจบ

หรือเขาเรียกว่า “คัท” จบ บอกว่า …

“บทบาทการแสดงละครบนโลกนี้”

สำหรับตัวแสดงคนนี้ จบลงแล้ว หมดหน้าที่บนโลกใบนี้

คือตายนั่นเอง เรารู้ทันทีว่าเราจะไปไหน?

เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้ายืนยันกับเราในหัวใจ

แน่ใจ มั่นใจ 100% เลย ว่าหลังจากจบละครบนโลกใบนี้แล้ว

เราจะไปไหน เราจะพบกับอะไร?

เรามั่นใจว่าจะเป็นตอนที่แฮปปี้เอ็นดิ่ง เป็นตอนที่พระเอกชนะ

จบปุ๊บ เราก็ร้องเพลงนี้

มีสถานอันงดงามเลิศนักหนา ถ้าเราเชื่อ

จึงจะเห็นได้แก่ตา

พระบิดาประทับคอยทุกเวลา

และเดี๋ยวนี้ยังเตรียมที่ไว้คอยท่า

ในเวลา ไม่ช้านาน จะได้ไปถึงที่พักอันสำราญ X2

ลมหายใจสุดท้าย ออกจากตัว น่าจะเป็นอย่างนั้น

ทุกคนควรจะร้องเพลงนี้ได้ ไม่ใช่ลมหายใจสุดท้าย ก็คือ

ปิดม่านด้วยความเศร้าใจ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว

แสดงว่าไม่ค่อยมาโบสถ์ วันอาทิตย์ไปเที่ยวหรือเปล่า?

ฉะนั้นอย่าไปเที่ยวเยอะ ฟังบ้าง ถึงไม่ได้ไปเที่ยว ก็ไปเปิดในยูทูป

ไปเปิดใน Facebook ที่เขาถ่ายทอดสดฟังบ่อยๆ บ้าง ลมหายใจสุดท้าย

มันจะได้จบลงที่ว่าในสวรรค์

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบโลกนี้คือละคร เวอร์ชั่น

สำหรับคริสเตียน ก็จะเป็นเพลงแบบนั้น

และเพลงจบสุดท้ายจะไม่ใช่เพลงแบบโลกคือละคร

แต่มีอีกเพลงหนึ่ง ซึ่งสมควรมากที่เราจะต้องจำไว้ บรรยายจบ

จะร้องเพลงนั้นให้ฟัง

กลับมาที่เรื่องราวของพระคัมภีร์

เรากำลังเรียนรู้ชีวิตของดาเนียล

ซึ่งได้เป็นตัวอย่างของนักแสดงที่ดี

ที่เชื่อฟังและยอมทำตามผู้กำกับทุกอย่าง ดาเนียล บทที่ 2

เป็นช่วงที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ฝัน แล้วก็ให้พวกนักปราชญ์

และโหราจารย์ในวัง ถามว่าพระองค์ฝันอะไร?

แล้วค่อยทำนายฝันนั้น แต่ไม่มีใครทำได้

กษัตริย์จึงสั่งให้เอานักปราชญ์ทั้งหมด พวกเฉลียวฉลาดทั้งหมด

เอาไปฆ่าให้หมด เจ็บใจนัก เลี้ยงเสียข้าวสุก

ซึ่งรวมทั้งดาเนียลด้วย

กษัตริย์สั่งให้เขาบอกว่าตัวเองฝันอะไร?

ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของสติปัญญาหรือวิชาการ

ที่จะสามารถทำอย่างนี้ได้ มาเรียนรู้ว่าคนนี้ฝันว่าอะไร?

ถ้าใช้วิชาการ หรือความรู้แบบมนุษย์

อาจจะสามารถบอกความฝันมา แล้วฉันจะไปทายดู ถ้าฝันว่างู

มันเกี่ยวกับคู่รัก อย่างนี้ พอที่จะใช้สติปัญญามนุษย์ได้ แต่บอกว่า

“เมื่อวานฉันฝันอะไร?”

“ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร?”

เขาเรียกว่าเป็นเรื่องล้ำลึก ที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น

ที่สามารถล่วงรู้หรือทำได้นั่นเอง ดาเนียลรู้เรื่องนี้ดี

จึงได้ไปทูลขอให้พระเจ้าเมตตาช่วยสำแดงเรื่องนี้

ให้รู้ทีว่าเรื่องล้ำลึกตรงนี้ หมายความว่าอะไร? กษัตริย์ฝันว่าอะไร?

แล้วพระเจ้าทรงสำแดงความล้ำลึกให้แก่ดาเนียล ในนิมิต

ครั้งที่แล้วเราเน้นกันตรงนี้ว่าสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยสติปัญญา

ใช้คำว่าการเรียนรู้ แต่สำหรับเรื่องที่ล้ำลึกอย่างนี้

เกินกว่าสติปัญญามนุษย์จะเข้าใจได้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า

“การสำแดง” “การเปิดเผย” “การเปิดตาฝ่ายวิญญาณ” “การเปิดตา”

พระคัมภีร์จะใช้คำเหล่านี้ ตลอดเสมอมา ทั้งพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

การเปิดเผย การสำแดงโดยพระเจ้า

ที่ลึกซึ้งเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ได้

จนกว่าพระเจ้าจะเปิดตาฝ่ายวิญญาณ

สำแดงให้เขาได้เห็นว่ามันคืออะไร? ซึ่งคราวที่แล้ว

เราได้ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบให้เห็น

อย่างเช่นเรื่องของข่าวประเสริฐ เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์

ก็คืออันเดียวกันนั่นเอง

การที่รู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ไถ่ ต่อให้เรียนอย่างไร

ก็ไม่มีวันเข้าใจ เราไปสอนอย่างไร ก็ไม่เข้าใจ

แต่ไม่ใช่ไม่ให้สอนนะ สอน

แต่อย่าไปนึกว่าสอนแล้วเขาจะเข้าใจ เขาแค่รับรู้

แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ถูกชักจูง เขาแค่ เหรอๆ

รอจนกว่าสิ่งที่เราสอนไป

จะได้รับการสำแดงเปิดเผยความจริงจากพระเจ้า

ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาจะ …

“อ๋อ! เข้าใจแล้ว”

เพราะฉะนั้น การที่เราจะไปประกาศข่าวประเสริฐให้กับใคร

ให้ใจเย็นๆ อย่าใช้ความรู้สึก

“ควรจะเชื่อแล้วๆ”

ไม่ควรมีคำว่า “ควร” ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า

เน้นไปที่การสำแดง เหมือนดาเนียล อธิษฐาน ขอพระเจ้า

“พระเจ้าเมตตาคนนี้ที เมตตาคนนั้นที

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาได้รู้ถึงเรื่องพระเยซูคริสต์ที่ลูกเล่าให้เข

าฟังแล้ว ขอเมตตา ทรงดลใจ

เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เขาเชื่อในสิ่งที่ลูกได้พูดเรื่องข่าวดีของพระ

เยซูคริสต์ เปิดเผยความจริงนี้ ให้เขาได้รู้ สำแดงเรื่องนี้กับเขาได้รู้”

อย่างนี้เขาเรียกว่าอธิษฐาน ถูกต้องเลย เอเมน

ภารกิจที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ มอบหมายให้ทำ

เป็นสิ่งที่ล้ำลึก เกินกว่ามนุษย์คนไหนที่จะสามารถหยั่งรู้ได้

ไม่มีตำรา ไม่มีศาสตร์ใด ไม่มีการสอน ไม่มีการทำนายฝันแบบนี้

และพระเจ้าก็ได้สำแดงสิ่งนี้ให้กับดาเนียล

ครั้งที่แล้วเราได้ ทิ้งท้ายไว้ที่ดาเนียล 2:23

ดาเนียล 2:23 “ข้าแต่พระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพระองค์

ข้าพระองค์ขอบพระคุณ และสรรเสริญพระองค์

พระองค์ประทานสติปัญญา และฤทธิ์อำนาจแก่ข้าพระองค์

พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ ทราบสิ่งที่ทูลขอจากพระองค์

ทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทราบความฝันของกษัตริย์”

พระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับดาเนียล

ตอนอยู่ในสำนักราชวัง เขาเรียนเก่งกว่าคนอื่น 10 เท่า

แต่ขณะที่มีสติปัญญาอย่างนั้น ก็ไม่สามารถที่จะทายฝันอย่างนี้ได้

ในนี้จึงบอกว่าพระองค์ประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ

ตรงนี้แหละ เขาเรียกฤทธิ์อำนาจ

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวของดาเนียล

ตั้งแต่ตอนที่ถูกกวาดต้อนจากเยรูซาเล็ม มาเป็นเชลยที่บาบิโลน

ดาเนียลต้องเผชิญกับการทดสอบมากมาย

ต้องไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ตรงกันข้ามกับเรื่องทางพระเจ้า

บาบิโลนกับเยรูซาเล็มคนละเรื่องเลย แต่ดาเนียลก็ยังยืนหยัด

และมั่นคงในความเชื่อ ยังมั่นใจในความรัก

ความเมตตาของพระเจ้าในชีวิตของเขา

แต่สังเกตให้ดี คำว่า “ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ”

ของดาเนียลตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าดาเนียลจะต้องยืนกราน

ทำตามสติปัญญา หรือความคิดของตัวเองเสมอไป

อย่างตอนที่ดาเนียลถูกคัดเลือก

ให้ไปเรียนรู้วิชาอาคมหรือไสยศาสตร์ จากชาวบาบิโลน

คนละเรื่องกับทางพระเจ้า ถ้าคิดตามหลักมนุษย์

เป็นเราก็จะต้องบอกว่า …

“จะไปเรียนได้อย่างไร? ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ทางของพระเจ้า

หัวเด็ด ตีนขาด ก็ไม่ไปเรียน”

ต้องไม่ยอม ตายเป็นตาย อย่างนี้ ใช่ไหมที่เราสอนๆ กันมา

ถ้าดาเนียลทำแบบนั้น จะเกิดอะไรขึ้น

หัวถูกเด็ดแน่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งฆ่าคนสบายๆ ง่ายๆ

ก็คงเอาไปตัดคอเลย ได้เด็ดหัวจริงๆ

แล้วมันเป็นไปตามน้ำพระทัยไหม? ไม่ได้เป็น แต่สิ่งที่ดาเนียลทำ

คือทุกครั้ง ไม่ว่าต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม สถานการณ์ใดก็ตาม

ดาเนียลจะทำตัวเป็นนักแสดงที่ดีของโลกนี้

เขาจะเข้าไปถามผู้กำกับก่อนว่า …

“พระเจ้า … องก์นี้ จะให้เล่นบทอะไร? แสดงอย่างไร?”

ภาษาละครเขาเรียก “องก์” ก็คือในแต่ละฉาก

หรือแต่ละตอนของละคร เขาจะใช้คำว่า “องก์” จะทำอย่างไรดี?

จะเล่นแบบไหนดี?

พอกษัตริย์สั่งว่าให้ไปเรียนวิชาวิทยาคมกับชาวบาบิโลน

ดาเนียลก็ไปถามผู้กำกับว่าองก์นี้ จะให้แสดงแบบไหน?

ผู้กำกับบอกว่าให้ไปเรียนได้ ดาเนียลก็ไปเรียน

ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือตามคำสั่งของผู้กำกับเอก ซึ่งเขารู้จักดี

ก็คือพระเจ้า เชื่อแล้ว ทำเลย

มาถึงองก์ที่กษัตริย์บังคับให้ทานอาหารที่ถูกส่งมาจากในวัง

ดาเนียลก็หันไปถามผู้กำกับ คือพระเจ้าว่าจะให้ทานไหม?

ซึ่งมันก็เรียกว่าทำลายสนธิสัญญากับพระเจ้า ทานอาหารมีมลทิน

จะทานไหม? คราวนี้ผู้กำกับพระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ต้องทาน”

เห็นไหม? ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้ ให้เรียนวิทยาคมได้

แต่ทำไมทานไม่ได้ มนุษย์ไม่เข้าใจ ถ้าให้ไปเรียนได้

มันก็ทานอะไรก็ได้สิ เราต้องคิดอย่างนั้น แต่นี่ผู้กำกับบอกองก์นี้

เล่นตัวหน่อย ไม่ต้องทำตามเขา ดาเนียลก็ทำตาม ยืนยันว่าไม่เอา

จะขอทานผักกับน้ำอย่างเดียว

ถามว่าดาเนียลรู้ล่วงหน้าไหมว่าถ้าปฏิเสธอย่างนี้

เดี๋ยวพระเจ้าจะดลใจเอง ให้ทหารที่คุมอยู่ ใจอ่อน เขาจะชอบพอ

แล้วเขาจะยอม ไม่รู้ เขาทำเลย เสร็จแล้วพระเจ้าจึงทำตาม

พอเขาทำอย่างนั้น แผนการพระเจ้าจึงให้ผู้คุมนั้นใจอ่อน ยอม

แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตของตัวเขาเอง หมายถึงตัวทหารที่คุมเองก็ตาม

มาถึงองก์ต่อไป ฉากต่อไป อยากให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง

เพื่อเอามาใช้ในชีวิตของเราได้ด้วย อีกฉากหนึ่ง

คือกำลังจะถูกจับไปประหาร

เพราะไม่มีนักปราชญ์คนไหนสามารถทำนายฝันของกษัตริย์ได้

ตอนที่ดาเนียลขอเวลาทหารว่าจะอาสาไปทำนายฝันให้

ตอนนั้นดาเนียลก็ไม่ทราบว่าพระเจ้าจะประทานคำตอบให้

เพียงแค่ขอเวลาไปถามผู้กำกับก่อนเท่านั้นเอง เขาไม่มั่นใจ

รู้ได้อย่างไรว่าไม่มั่นใจ ก็เขายังบอกเพื่อนเขา 3

คนช่วยกันอธิษฐานหน่อย

ท่านพอจะเห็นไหมครับ?

ที่พยายามจะโยงความคิดของดาเนียลกับคำว่าโลกนี้

คือละคร เพราะต้องย้ำประเด็นที่สำคัญว่าละครแต่ละเรื่อง

ผู้กำกับไม่ได้ให้บทที่เหมือนกันกับนักแสดงทุกคน

ในละครทุกเรื่อง มีแต่คนดีทั้งหมด ไม่มีคนร้ายเลย

ทุกคนหล่อหมดเลย ไม่มี ทุกคนสวยหมด ไม่มีนางเอก

ฉันใดก็ฉันนั้น นักแสดงทุกคนบนเวทีโลกนี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน

ผู้กำกับใหญ่ คือพระเจ้า ก็ไม่ได้ให้บทบาทที่เหมือนกันแก่ทุกคน

เช่นเดียวกัน อันนี้ส่งไปถึงคนที่ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว

แต่ส่งไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ จงรู้เถิดว่าพระเจ้าควบคุม

เป็นผู้กำกับอยู่ แล้วพระองค์ทรงให้บททุกคน ไม่เหมือนกัน

เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องดาเนียล

เพื่อที่จะบอกว่าทุกคนต้องกินผัก หรือทำทุกอย่างเหมือนดาเนียล

แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำเหมือนดาเนียล

คือให้หันไปถามผู้กำกับก่อนในทุกๆ เรื่อง

ให้พระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา

ให้พระเจ้าเป็นผู้กำหนดชีวิตเรามากที่สุด

แสวงหาพระองค์มากที่สุด ในทุกๆ สถานการณ์ ในทุกๆ เรื่อง

งานยิ่งใหญ่เท่าไร

ยิ่งต้องพึ่งในการทรงนำของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น

อย่าแสดงละครตามความคิด ความเข้าใจ

หรือตามเหตุผลของตัวเอง อย่าทำอย่างนั้นเด็ดขาด

ทุกคนบนโลกใบนี้ ชอบทำอย่างนี้แหละ

พ่อและแม่บอกให้เราเรียนอย่างนี้

อาจารย์บอกเราควรจะเป็นอย่างนี้ สังคมบอกเราควรเป็นอย่างนี้

เราไม่เคยดูตัวเราเองว่าเราควรเป็นใคร? โทษทีนะ

ร้องเพลงเพี้ยนจะมากๆ แต่พยายามจะเป็นนักร้อง สมมตินะ

อันนี้มันเห็นชัด อยากจะเป็นนางเอกมาก จนไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้า

เพื่อจะได้สวยๆ และเป็นนางเอก แล้วมันไปรอดไหม? คลอดลูกมา

ไม่รู้ลูกใคร ทำไมหน้าไม่เหมือนเรา ลืมไปว่าเราไปทำหน้ามา

อันนี้อธิบายให้ฟัง จะอธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าให้แสดงบทอะไร

นี่ไม่ได้หมายถึงให้เราไปทำหน้าทำตาไม่ได้ ทำได้

แต่พยายามอย่าเป็นนางเอกเท่านั้นเอง

เป็นนางเอกในบ้านคนเดียวพอแล้ว

ท่านจะทำอะไรมาถามศิษยาภิบาล เพื่อหาคำปรึกษา

ได้รับข้อมูลไป แล้วเอาไปไตร่ตรอง

ผู้สุดท้ายที่จะบอกว่าเราควรทำหรือไม่? คือพระเจ้า ใจเย็นๆ

คอยมองให้ดีๆ แสวงหาพระเจ้า คือแสวงหาให้บ่อยๆ

พระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่ แปลว่าแสวงหาเสมอ ต่อๆ ไปเรื่อยๆ

บางทีเราแปลกันมาสั้นๆ ว่าจงแสวงหาพระเจ้า แต่จริงๆ

มันหมายถึงจงแสวงหาพระเจ้า อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

แล้วพระองค์จะตอบ

แสวงหา ไม่ใช่ในห้องอธิษฐาน แล้วก็จบแค่นั้น ขอโทษทีนะ

ท่านเคยแสวงหาความร่ำรวยไหม? ทุกคนเป็นหมด ตั้งแต่หนุ่มๆ

พอหาเงินได้ ก็อยากจะรวย แล้วท่านทำอย่างไร? เฉพาะที่ทำงาน

คิดแค่นั้นเหรอ คนที่คิดแสวงหาความร่ำรวย ทั้งวันทั้งคืน

เขาคิดแต่ว่าจะหารายได้อย่างไร? เหมือนกัน

แสวงหาพระเจ้าทั้งวันทั้งคืน

คือไม่ใช่เข้าไปอธิษฐานมาโบสถ์แค่วันอาทิตย์

วันธรรมดาอธิษฐาน จบ ออกจากห้องอธิษฐานเขาคิด

ไม่ใช่หมายถึงไม่ทำอะไรนะ ครุ่นคิดแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา

“พระเจ้าเรื่องนี้ที่อธิษฐานฝากไว้ที่พระองค์

ตกลงเราจะทำอย่างไร?”

ทำอะไรไป ก็คิดแต่เรื่องนี้ทั้งหมด

เดี๋ยวพระเจ้าจะประทานนิมิตผ่านทางอะไรบางอย่าง

ขึ้นรถเมล์เห็นตรงนี้ อ๋อ! พระเจ้าเริ่มตอบ เข้าใจแล้ว

จะรู้เรื่องมากขึ้นไปเรื่อยๆ รู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร?

ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าจะบอกเดี๋ยวนี้เลย

สมมติจะให้ไปต่างประเทศ บอกอธิษฐาน ออกมาถึง บอกแล้วเนี้ย

ไม่ใช่อย่างนั้น ใจเย็นๆ ค่อยๆ มองไปเรื่อยๆ จะซื้อรถดีไม่ดี

จะซื้อคันละ 5 แสน หรือ 2 แสน

เยอะแยะไปหมดที่จะสามารถเข้าไปปรึกษาพระเจ้าได้ ค่อยๆ มอง

ใจเย็นๆ อัศจรรย์ที่พระเจ้าอาจจะทำให้เกิดขึ้นกับใครคนหนึ่ง

ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เกิดอย่างนั้นกับทุกคน

ไม่ใช่ว่ากินแต่ผักกับน้ำ แล้วพระเจ้าทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง

สวย หล่อ ฉลาดกว่าคนอื่น 10 เท่า แล้วคนอื่น ก็กินผักกับน้ำ

พระเจ้าก็จะทำให้เขาแข็งแรงด้วย ไม่ใช่ ลองทำตาม

อาจจะตายเลย จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น

เหมือนที่ผมเคยย้ำอยู่บ่อยๆ ว่ามีคริสเตียน 2

คนป่วยเหมือนกัน อาการเท่าๆ กัน เป็นโรคเดียวกัน

แม้จะอธิษฐานทูลขอพระเจ้าในสิ่งเดียวกัน

แล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน

พระเจ้าก็อาจตอบคำอธิษฐานไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอาจจะหายป่วย

ส่วนอีกคนหนึ่ง พระเจ้าอาจจะให้ป่วยต่อไป เพื่ออะไรบางอย่าง

เราไม่รู้ แต่เรารู้แค่ว่าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์

ที่จะให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ซึ่งมันจะดีต่อทุกสิ่ง

ไม่ใช่กับเราคนเดียว แต่ดีต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้

ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาหมด ตามน้ำพระทัย

ตามแผนการของพระองค์ และมันจะดีสำหรับเราที่พระองค์ทรงใช้

แน่นอน

พระคัมภีร์สัญญาไว้ แล้วบอกด้วยว่าทั้งหมดที่ดีนั้น

เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

หมายถึงเพื่อความรักและความดีงามของพระเจ้า

จะได้สำแดงออกมา ทั่วโลกว่านี่พระเจ้าผู้นี้

เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความดีงาม

พระเจ้าแห่งความยิ่งใหญ่สูงสุด มันแปลว่าอย่างนี้

แล้วใครได้สิ่งเหล่านี้ไป

คนนั้นจะได้เป็นไปตามทางที่พระเจ้าวางไว้ คือสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเขา

ไปจนถึงนิรันดร์

ประเด็นสำคัญ คือถ้าเราถามผู้กำกับแล้ว

คืออธิษฐานแล้ว ได้รับคำตอบอย่างไร

ก็ให้ทำหน้าที่ของการเป็นนักแสดงที่ดีอย่างนั้น

คือเชื่อฟังและทำตามอย่างนั้นเลย ไม่ต้องเข้าใจ ก็ทำตาม

และมั่นใจได้เลยว่าจะเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเองอย่างแ

น่นอน แล้วมันจะเป็นผลดีต่อคนอื่น รอบข้างหมด

และจะเป็นผลดีต่อต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ทั้งหลายที่เรารัก

โลกใบนี้ทั้งใบ เป็นไปตามแผนการของพระองค์ และเป็นผลดี

ไม่ใช่แค่ที่ตามองเห็น เราตายไปแล้ว สิ่งที่เราทำนั้น

มันยังดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่คนเดียว ทุกคน มันจะมีผลไปเรื่อยๆ

อยู่ในแผนการใหญ่ของพระเจ้านั่นเอง

เรามาอ่านต่อเรื่องราวของดาเนียล

ในพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้กับดาเนียลในนิ

มิต ให้สามารถหยั่งรู้ความฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แล้ว

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป

ดาเนียล 2:24-30 “ 24 แล้วดาเนียลไปพบอารีโอค

ซึ่งกษัตริย์ทรงใช้ให้ไปประหารชีวิตเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลน

ดาเนียลกล่าวกับเขาว่าอย่าประหารเหล่านักปราชญ์ของบาบิโลนเ

ลย โปรดนำข้าพเจ้าไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทำนายฝันถวาย 25

อารีโอคจึงพาดาเนียลไปเข้าเฝ้าทันที

และทูลว่าข้าพระบาทพบชายผู้หนึ่ง ในหมู่เชลย ที่มาจากยูดาห์

ซึ่งสามารถกราบทูลว่าความฝันนั้นหมายความว่าอะไร” 26

กษัตริย์ตรัสถามดาเนียล (หรือที่เรียกกันว่าเบลเทชัสซาร์)

‘ว่าเจ้าสามารถเล่าสิ่งที่เราฝัน และแก้ฝันให้ได้หรือ’ 27

ดาเนียลทูลตอบว่า ‘ไม่มีปราชญ์ นักเวทมนตร์ นักเล่นคาถา

อาคมและโหรคนใดสามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้ 28

แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึก

และได้ทรงสำแดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความฝันและนิมิต

ซึ่งผ่านเข้ามาในพระดำริ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่บนพระแท่น

มีดังนี้ 29 ข้าแต่กษัตริย์ ขณะฝ่าพระบาทบรรทมอยู่

และทรงดำริถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

พระเจ้าผู้ทรงเปิดเผยความล้ำลึก

ก็ทรงแสดงให้ฝ่าพระบาททราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น 30

ที่พระเจ้าทรงโปรด ให้ความล้ำลึกนี้ ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท

ไม่ใช่เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นพระดำริ”

“พระดำริ” หมายถึงความนึกคิด … คิดตลอดเวลา ฝันได้เรื่อยๆ

ตลอด ดาเนียลทูลขอการสำแดงจากพระเจ้า

ที่จะสามารถทายฝันของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้

แล้วพระเจ้าก็ทรงประทานให้ แล้วดาเนียลก็เข้ามาเฝ้ากษัตริย์

เพื่อทำนายฝัน ตื่นเต้น … ตื่นเต้นไหม? และความฝันนี้

มันรวมไปถึงตั้งแต่วันที่พูด 600 ปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด

จนมาถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปี แล้วเกี่ยวข้องจากนี้ ต่อไป

ที่เราอาจจะตาย พรุ่งนี้ มะรืนนี้ แล้วก็ไปอีก ความฝันนี้

บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันพิสูจน์มาแล้ว 2,600 ปี

มันตรงเป๊ะหมดเลย เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ไป มันก็ต้องตรงแน่ๆ

เลย

สังเกตคำตอบของดาเนียล มีอยู่ 2 ประเด็นที่สำคัญ

1. ที่บอกว่า “ไม่มีปราชญ์ นักเวทย์มนต์ นักเล่นคาถาอาคม

และโหรคนไหน สามารถทูลความล้ำลึก

ที่ฝ่าพระบาทตรัสถามนั้นได้”

คิดดูสิ กษัตริย์กำลังโมโหมากเลย มีเด็กคนหนึ่งบอกว่า …

“ผมทำได้ ขอเวลาหน่อย”

พอมาถึงกลับตอบว่า “ไม่มีใครทำได้หรอก”

ตอบคำแรก สมควรฆ่าตาย

ขึ้นต้นมาอย่างนี้เลย ทำไมเขากล้าพูดอย่างนี้

เพราะเขารู้แล้วว่ามันคืออะไร?

สิ่งที่พระเจ้าบอกเขาเกี่ยวกับความฝัน เขามั่นใจ 100%

ว่าพระเจ้ามีชีวิตอยู่ เพราะพระเจ้าบอกมาเป็นฉากๆ เลย

จะเกิดอะไรขึ้น นิมิตเป็นอย่างนี้ พระองค์ฝันว่าอย่างนี้ ถ้าพูดไปปุ๊บ

กษัตริย์ต้องคุกเข่าแน่ เพราะมันอัศจรรย์มากเลย รู้ได้อย่างไร?

ในข้อนี้ที่บอกว่า “ไม่มีนักปราชญ์ เวทมนต์ใดๆ คาถาคนใด

โหรคนใด สามารถทูลความล้ำลึกของฝ่าพระบาท

ตามคำถามนี้ได้”

หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเอาไปตัดหัว

“แต่ว่าอย่าเพิ่งโกรธ มีพระเจ้าองค์หนึ่ง ในฟ้าสวรรค์

ผู้ทรงเปิดเผยสิ่งล้ำลึกนี้

และได้ทรงแสดงให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ให้เห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ในอนาคต”

คราวนี้ตื่นเต้น

คือดาเนียลกำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้านั่นเองว่าพระองค์ทรงยิ่งใ

หญ่สูงสุด

“พระเจ้าของฉัน ที่ฉันกำลังจะพูดถึงยิ่งใหญ่มาก

เรื่องที่กำลังจะบอกเป็นเรื่องลี้ลับ ที่ถามมานั้น

ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้เรื่องหรอก”

กล้าพูดอย่างนี้

“ไม่มีวิชาการใดที่จะสามารถล่วงรู้ได้หรอก

มีเพียงพระเจ้าของฉันองค์เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำได้”

และอันที่สองที่น่าสังเกต คือที่บอกว่า …

“ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ความล้ำลึกนี้

ประจักษ์แจ้งแก่ข้าพระบาท (ดาเนียล) ไม่ใช่

เพราะข้าพระบาทมีสติปัญญามากกว่าคนอื่นๆ

แต่เพื่อฝ่าพระบาทจะทรงทราบความหมายและเข้าใจสิ่งที่เข้ามาใ

นความคิดในความฝัน”

พูดง่ายๆ จะได้เข้าใจว่าความฝันนั้นคืออะไร?

เป็นการถ่อมตัวอย่างมากของดาเนียล

ที่กำลังบอกว่าที่พระเจ้าบอกความล้ำลึกนี้ให้

ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองดี หรือเก่งกว่าคนอื่น

แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง

ที่จะให้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์รู้เรื่องนี้

กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ก็เป็นตัวแสดงตัวหนึ่ง

ที่อยู่ในบทบาทหนึ่ง ในแผนการนี้ ซึ่งเกี่ยวถึงเรื่องพระเยซูด้วย

เกี่ยวถึงเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ดาเนียลได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

โดยบอกว่าเขาเป็นส่วนประกอบเล็กๆ

คนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

ในเรื่องของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้กำกับโรงละครนี้อยู่

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเลียนแบบเขา ก็คือต้องถ่อมใจ

ไม่ว่าเราจะเก่งอะไรก็ตาม เราต้องถ่อมใจ

ไม่มีอะไรที่เราเก่งสักอย่างเลย

พระองค์อยากให้ทำอะไร พระองค์ก็ใส่สิ่งนั้นมา เราก็ทำได้

บางคนบอกว่า …

“ฉันร้องเพลงเก่ง”

“ฉันเล่นดนตรีเก่ง”

บางคนบอก “ฉันเรียนหนังสือเก่ง”

“ฉันเป็นอะไรเก่งๆ”

อันตรายมากเลย

เอาอันนี้ออกไปจากริมฝีปากของเราว่าเราเก่ง

เขาจึงสอนให้เราทำอะไรก็ตาม จงถวายเกียรติแด่พระเจ้า

จงมอบให้พระเยซูคริสต์ ถามว่าพระเยซูอยากได้เกียรติเหรอ

ไม่ใช่ ป้องกันเรา ไม่ให้เราเย่อหยิ่ง

เพราะความเย่อหยิ่งจะทำให้เราถูกดึงลงมา

ความเย่อหยิ่งจะทำให้เราพินาศ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ความเย่อหยิ่งทำให้เราไปในทางที่แย่ ความเย่อหยิ่ง

คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่เป็นไปตามผู้กำกับ ก็เสร็จสิ

เดี๋ยวก็โดน ยินยอมตามผู้กำกับ ก็คือถ่อมใจ

“ไม่ใช่ฉันเลย เขาสั่งมา”

สมมติตอนนี้ผู้กำกับเขาเขียนบทให้เรา เป็นผู้มั่งมี ร่ำรวย

อย่าซ่าส์ๆ หรือตอนนี้เขาเขียนบทให้เราเป็นคนจน

มันก็แค่การแสดงบทหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าไปยึดว่ามันจริง

มันใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เป็นบทป่วย ก็ป่วย บทแข็งแรง

ก็ไม่ต้องซ่าส์ว่าแข็งแรง บางคนคิด ถ้าหายโรคอย่างอัศจรรย์

เรียกว่าพระพร ไม่ใช่

ผมไม่ได้หมายถึงใช่หรือไม่ใช่? คำว่า “ไม่ใช่”

อย่าไปกำหนดว่าอย่างนั้น มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เข้าใจใช่ไหม?

อย่าไปยึดตรงนั้น มันเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว

ถ้าท่านไม่ยึดตรงนั้น วันที่ท่านป่วย ท่านจะทรมานใจมากเลย

ถ้าท่านบอกว่าท่านแข็งแรงได้รับพระพร ถ้าท่านป่วย

เขาเรียกว่าอะไรล่ะ ตรงกันข้ามกัน

ท่านคงไม่ว่าตอนนี้ถูกพระเจ้าสาปแช่ง ไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ …

พระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม พระเจ้าทรงรักเราอย่างมากมาย

ถึงขนาดประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์

คือพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเรา

ขณะที่เราเป็นคนบาป เรายังรักลูกของเรา มากกว่านั้นสักเท่าไร

พระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สะอาด รักเรามากกว่านั้นอีกตั้งเยอะเลย

แต่เราไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร? ไม่ต้องเข้าใจ แค่รู้ว่าดีก็แล้วกัน

ต้องฝึกไว้ตรงนี้ว่าจงถ่อมใจตลอดเวลา อะไรเข้ามา

จงขอบคุณพระเจ้า การขอบคุณพระเจ้า

คือการถ่อมใจนั่นเอง ยอมเป็นไปตามการกำกับของพระเจ้า

สรุป

ก็คือดาเนียลกำลังตอบกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าผู้กำกับใหญ่

ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ก็คือพระเจ้า

ตั้งแต่ดลใจให้กษัตริย์ฝัน สั่งให้นักปราชญ์มาทำนายฝัน

โดยไม่บอกว่าฝันอะไร? พอทำไม่ได้ ก็สั่งให้เอาไปฆ่า

แล้วก็ประทานนิมิตให้กับดาเนียล เพื่อมาทำนายฝัน

ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของพระเจ้าทั้งสิ้น

แล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องก็เป็นเพียงแค่นักแสดงที่ได้รับบทมา

ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ทั้งสิ้น เฉพาะเรื่องนี้ พระเจ้ากำลังทำองก์นี้

หรือฉากนี้ หรือตอนนี้ สร้างให้ดาเนียลเป็นฮีโร่ ที่บอกไว้ไง

สถานการณ์สร้างฮีโร่ และใครเป็นผู้สร้างสถานการณ์ พระเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างฮีโร่ ถ้าเมื่อไรท่านเป็นฮีโร่

อย่านึกว่าท่านเก่งเป็นฮีโร่ พระเจ้าสร้างมา ถ่อมใจไว้

ในหนังสือฮีบรู บทที่ 11 จึงบอกว่าผู้ที่จะมาเชื่อพระเจ้า

ต้องมีความเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ฮีบรู 11:1-3, 6

ฮีบรู 11:1-3, 6 “ 1 ความเชื่อ คือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้

และมั่นใจในสิ่งที่เรามองไม่เห็น 2 เพราะความเชื่อนี้เอง

ที่คนในสมัยก่อน ได้รับการทรงชมเชย 3 โดยความเชื่อ

เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น

สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา 6

ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย

เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่

และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น

ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง” เอเมน

เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาหาพระเจ้า

ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ถูกกำหนดโดยอะไรบางอย่าง

ที่อยู่ในโลก ที่มองไม่เห็น หลายครั้งที่เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น

ซึ่งเราไม่สามารถคิดได้ว่ามันจะดีได้อย่างไร? คิดตามภาษามนุษย์

พูดง่ายๆ นะ เหมือนพระเจ้าไม่ยุติธรรม อันนี้เป็นเรื่องปกติ

เมื่อไรก็ตามที่เราคิดนอกกรอบที่พระเจ้าสอนเรา

คิดตามภาษามนุษย์ เรามักจะพูดอย่างนี้เสมอว่าพระเจ้าโหดร้าย

พระเจ้าไม่ยุติธรรม

ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าไม่เคยมีเขียนไว้ตรงไหนเลย

ไม่ว่าพระคัมภีร์ใหม่หรือเก่า มีแต่บอกพระเจ้าดีงาม พระเจ้าดีที่สุด

พระเจ้าแสนดี พระเจ้าเป็นความยุติธรรม พระเจ้าเป็นความรัก

ไม่เคยเกลียดใคร

“พระเจ้าเกลียดฉันคนเดียว”

มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเราเข้าในหนทางที่ผิด

เพราะมันเกินกว่าความคิดของเรา ที่จะเข้าใจ

เพราะพระคัมภีร์บอกพระเจ้ายุติธรรม

แต่เราคิดของเราเองว่าที่เห็นๆ เกิดขึ้น มันยุติธรรมที่ไหน?

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความคิดของเรากับพระเจ้ามันห่างไกลมาก

ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? ความคิดของเรากับพระเจ้า

ก็ต่างกันเท่านั้น ทางของเรากับทางของพระเจ้า ก็ต่างกันเท่านั้น

เราไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเหตุการณ์นั้น ที่เกิดขึ้น

ทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น เราไม่มีทางเข้าใจหรอก

ทำไมคนชั่วได้ดี หรือคนทำดีแล้ว ไม่ได้ดี อะไรประมาณนี้

อันนี้ชัดเลย

บางครั้งเราพูดอย่างนี้บ่อยๆ ตอนที่เราไม่รู้จักพระเจ้า

ยังไม่รับเชื่อ แต่หลายครั้งที่เรามาเชื่อแล้ว เราก็ยังอดคิดไม่ได้

เหมือนความคิดเก่าๆ เผลอๆ พูดออกมาด้วย

“พระเจ้าไม่ยุติธรรม”

เรากำลังบอกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม

แต่พระเจ้าบอกเสมอในพระคัมภีร์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้ายุติธรรม

พระองค์ทรงทำงานทุกสิ่งตามแผนการของพระองค์

เพื่อพระสิริของพระองค์ และสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่รักพระองค์

และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงสร้าง

แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทำให้เรารู้สึกสบาย

มีความสุขบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสิ่งต่างๆ

เหล่านี้ที่เกิดขึ้นทางวิญญาณนั้น มันจะเกิดผลเป็นสิ่งที่ดี

สำหรับชีวิตของเราอย่างแน่นอน เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เอเมน

ดาเนียลกับเพื่อนที่ถูกต้อนไปเป็นเชลย เขาก็ไม่รู้สึกท้อแท้

ตามที่เขียนนะ แต่แน่นอนผมมั่นใจว่าที่เขาไม่ได้เขียนไว้

หลายครั้งเขาคงท้อแท้แหละ ที่เขาไม่ท้อแท้ เพราะเขาเชื่อ

ในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามีพระเจ้าผู้ควบคุมอยู่จริงๆ

พระเจ้าสูงสุดอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะดาเนียลรู้

ว่าพระเจ้าคอยควบคุมทุกอย่าง เป็นผู้ทรงนำพาให้เขาและเพื่อนๆ

และชาวยิวมาเป็นเชลย เขาจึงเขียนคำแรก

ในหนังสือบทนี้เลยว่าพระเจ้ามอบอิสราเอลมาเป็นเชลยให้กับกษัต

ริย์เนบูคัดเนสซาร์ เขาเขียนคำนี้เลย ให้มาเป็นเชลย

พระองค์ทรงทำทุกอย่างได้ แม้แต่สิ่งนี้ ดูตามสายตาแล้ว

พระองค์ทรงโหดร้ายกับลูกของพระองค์นัก อิสราเอลหรือยิว

คือลูกรักของพระเจ้าที่ทรงหวงแหนมาก

ดูแลประคบประหงมตลอดเวลา เป็นประชากรของพระเจ้า

แล้วพระองค์ทรงทำอย่างนี้กับประชากรของพระเจ้าเหรอ

ก็เปรียบเทียบเหมือนพระเจ้าทำอย่างนี้กับลูกของพระองค์เหรอ

พระเจ้าทำอย่างนี้กับ คริสเตียนเหรอ แต่สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น

มาเป็นผลดี อย่างที่ผมบอก

นี่คือหนึ่งในแผนการที่ทำให้อนาคตเกิดขึ้น เลยมา 600

ปี จึงมีพระเยซูคริสต์มาประสูติ และตายที่ไม้กางเขนได้

อันนี้พูดสั้นๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยต่อๆ กันไปเรื่อยๆ

พอเข้าใจไหมว่าพระเจ้าทำเพื่อแผนการใหญ่มาก แต่ถ้าเราดูเล็กๆ

เราก็จะว่า …

“พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเอาประชากรของพระองค์

ชาวยิวไปเป็นทาส บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกก็ต้องไปเป็นทาสเขา

ลูกสาวก็ต้องไปเป็นนางบำเรอเขา พ่อก็ถูกฆ่าตาย

บ้านแตกสาแหรกขาด”

พระเจ้าบอก 70 ปี คุณคิดว่าคนที่ไปเป็นเชลย

หลายคนคงจะไปอยู่อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว

เขาตายไปด้วยความทุกข์ใจว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ใช่ไหม?

นอกจากบางคนที่อยู่เลยกว่า 70 ปี อย่างดาเนียลถึงได้เห็น

ใช่จริงๆ หลายครั้งบางทีเราหรือคนข้างเคียงเรา

สิ้นชีวิตไปก่อนแล้ว ซึ่งสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้น แต่เราได้เห็นจริงๆ

เพราะปู่เรา เพราะทวดเรา เพราะซุปเปอร์ก๋งเรา ทำอย่างนี้ไว้ มิน่า

เราเห็นแค่นิดๆ บางอย่างเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เราไม่เห็น

เราก็บ่นไปเรื่อย อาก๋งเราอาจจะบ่นก็ได้ แต่ไม่ว่าจะบ่นหรือไม่บ่น

มันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะผู้กำกับสั่งไว้แล้ว

เพียงแต่คนที่ไม่มีความสุข คือคนๆ นั้น ที่บ่น เปลี่ยนอะไรก็ไม่ได้

บ่น เสียความสุขในชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ เสียดายเวลา

เพราะอย่างนี้ ดาเนียลและพวกเพื่อนๆ

เขาจึงสามารถอยู่บาบิโลนได้ ด้วยความอดทน

เพราะเขารู้ว่าพระเจ้ากำกับทุกอย่าง พระเจ้าเป็นผู้นำเขามา

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะพาเขาต่อไป ตายเป็นตาย

เขาจึงมุ่งมั่นขอความช่วยเหลือจากผู้เดียว คือพระเจ้า

ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรค ปัญหาใดๆ ก็ตาม

คอยเงี่ยหูฟังผู้กำกับว่าจะให้เล่นบทอะไร? บทนี้จะเล่นอย่างไรดี

ซึ่งถ้านักแสดงคนไหนสามารถทำได้แบบนี้ อย่างที่ผมบอกตอนต้น

มนุษย์คนใดบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เป็นคริสเตียน

ทำได้แบบนี้ ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยสันติสุข ไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก

ทำได้มาก ก็สันติสุขมาก เผลอๆ เป็นสุขมากขึ้น

สามารถแสดงตามบทบาทของตัวเองตามที่พระเจ้ากำกับมาให้

จนจบเรื่อง จบทุกฉาก จบทุกตอน แฮปปี้เอ็นดิ้ง เอเมน

แล้วที่สำคัญที่สุด ฉากจบสุดท้ายของนักแสดงทุกคน

ที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ ตอนปิดม่าน

ต้องเป็นฉากที่เรียกว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างแน่นอน

เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้ว

โดยผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเยซูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร?

เห็นไหม? ใครเชื่อพระเยซู คนนั้นก็สบาย

เพราะเป็นลูกของพระองค์แล้ว

เพราะฉะนั้น

ฉากจบของคนที่เป็นนักแสดงที่มีพระเจ้าพระเยซูเป็นผู้กำกับ

มันแฮปปี้เอ็นดิ้ง แฮปปี้จริงๆ เพราะฉะนั้น อย่างที่ผมบอกตอนต้น

เพราะฉะนั้น เพลงประกอบฉากสุดท้ายของเรื่องโลกนี้คือละคร

สำหรับคริสเตียนแล้ว หรือเรียกว่าลูกของพระเจ้า

ที่พระองค์ทรงเลือกมาผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

ควรจะเป็นเพลงนี้ …

(1) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

(2) สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย

คิดร้อนใจ ไปเปล่า

เกิดมาเป็นคน อดทนเถอะเรา อย่ามัวซมเซา

ทุกคน เรา ทนมัน

(3) โลกคือละคร อย่าอาวรณ์เลย สุขทุกข์อย่างเคย

รักแล้วเป็นเช่นกัน

ปล่อยไปตามพระ-เยซูบันดาล อย่ามัวโศกศัลย์

ยิ้มสู้มันเป็นไร

เชิญ สำราญร่วมเบิกบาน ดวงใจ ลืม ทุกข์ไป ทำให้ใจ

เริงรื่น

(4) สุขกันเถอะดี อย่ามัวรีรอ อย่าทำหน้างอ

ยิ้มนิดพอใจชื่น

ชีพจะดำรง อยู่ยงคงคืน ต่ออายุยืน

ยิ้มนิดเดียวให้ชื่นใจ

(5) โลกคือละคร ทุกคนต้องแสดง ทุกคนทนไป

อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไป จะได้สบาย

ขอพระเจ้าอวยพรครับ