คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018 เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2018

เรื่อง “ข่าวดีของพระเยซู”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ส่งข้าราชการออกมาประกาศข่าวดีให้คนไทย และคนที่เป็นทาสเขา ประกาศว่า …

“มีข่าวดีมาบอก ใครที่เป็นทาส เป็นอิสระแล้ว ประกาศแล้ว เป็นอิสรภาพแล้ว”

หลายคนก็เชื่อ ออกมาเป็นอิสรภาพ หลายคนก็ไม่เชื่อ ก็ยังเป็นทาสเขาอยู่ คนที่เป็นเจ้านาย ก็ทำเป็นหูทวนลม ไม่จริงหรอกๆ ไม่กล้าออกไป จริงๆ คือมันคือจริงๆ

เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วก็เหมือนกัน พระเยซูก็ประกาศ …

“มีข่าวดีมาบอก”

ข่าวดีของพระเยซูคืออะไร? สิ่งที่มนุษย์ต้องการ คืออยากไปสวรรค์

“ใครอยากไปสวรรค์บ้างยกมือขึ้น   เดี๋ยวนี้ไปสวรรค์ได้ทุกคนแล้ว  ไม่ต้องทำเองแล้ว  ทำเองก็ไปไม่รอด ทำเองก็ไปไม่ได้ วิธีง่ายนิดเดียว มาเชื่อเราเลย”

นี่คือข่าวดี สมัยพระเยซู

“ใครอยากไปสวรรค์บ้าง ยกมือขึ้น”

เพราะมนุษย์ทุกคนอยากไปสวรรค์ทั้งนั้น มีใครบ้าง เกิดมาบอก …

“ฉันอยากไปนรก”

พระเยซูบอก … “ง่ายนิดเดียว ทำด้วยตัวเอง ทำไม่ได้หรอก เหนื่อยเปล่าๆ แค่โกรธคน ก็ตกนรกแล้ว  โกรธครั้งเดียวตกนรกแล้ว”

มานั่งคิด ตกนรกแน่ เราโกรธคนแค่นี้ ก็ตกนรกแล้วใช่ไหม? แค่ว่าคนว่าโง่ ก็ตกนรกแล้ว ไม่ได้ไปสวรรค์แล้ว มานั่งคิดอีกที ตลอดชีวิตเราจะไม่โกรธใครสักคนจะได้ไหม? และยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะมากมาย ไม่เอาดีกว่า มาเชื่อพระเยซูดีกว่า ก็เลยได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอกทางพระเยซูเป็นทางใหม่  ทางเก่าๆ ที่มนุษย์หามาตลอด มันไม่มีทางไปหรอก เพราะต้องทำด้วยตัวเอง  ทำด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ไม่มีทางไป  ทำด้วยตัวเองไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ เราให้ฟรีๆ เลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อในสิ่งที่เราทำเท่านั้นเอง นายไม่ต้องทำ เชื่อแค่สิ่งที่เราทำให้ จบ โอเคไหม? สมัยปัจจุบัน ที่เป็นวัยรุ่น ก็ต้องบอกว่า …

“นายไม่ต้องทำอีกต่อไปแล้ว นายเชื่อในสิ่งที่เราทำ โอเคไหม?”

ถ้าโอเค ก็จบ นี่ไปสวรรค์ง่ายๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่โลกวิญญาณทั้งสิ้น  มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาดได้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนพยายามตั้งใจทำอยู่แล้ว ก่อนพระเยซูมาเกิด มนุษย์ก็ตั้งใจ รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป จะรู้แบบจริงๆ หรือไม่รู้จริงๆ แต่ข้างในสำนึกในวิญญาณ เขาบอกตัวเองว่าเขาเป็นคนบาป เขาอยากบริสุทธิ์ เขาอยากจะสะอาด และเขาก็พยายามทำด้วย ทำทุกวิถีทางเลย มันก็ได้ระดับหนึ่ง ประมาณหนึ่ง แต่น้อยมากเลย พอพระเยซูมาประกาศทำแค่นั้น เราต้องทำอีกเยอะ ไม่ไหวหรอก เหนื่อยเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ถ้าทำไม่ได้ ก็มาพึ่งเราสิ ดีกว่า เราทำให้ฟรีเลย พระเจ้าให้มาฟรีๆ เลย ไปสวรรค์ฟรีๆ แล้วเธอจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน พยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่อยากไปอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าสวรรค์เป็นของพระเจ้า เพราะว่าใครก็ตามที่อยู่ในสวรรค์ได้ คนนั้นต้องเป็นเหมือนพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ว่าใครคำหนึ่งว่าไอ้โง่ก็ไม่ได้ คิดสกปรกลามกก็ไม่ได้ แค่คิดก็ไม่ได้แล้ว คิดเกลียดใครก็ไม่ได้แล้ว

นี่คือลักษณะของพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก ใครทำได้บ้าง สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ มีใครทำได้? ไม่มีเลย ใช่ไหม? พระเยซูบอกเนี้ย กฎง่ายนิดเดียว ใครอยากไปอยู่ในสวรรค์ ก็ต้องทำเหมือนกับเจ้าของบ้าน  … เจ้าของบ้าน คือพระเจ้า เป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ท่านจงบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า แล้วจึงไปสวรรค์ได้ และใครทำได้? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ ทำอย่างไรล่ะ พึ่งในพระเยซูดีกว่า แค่นี้เอง พึ่งในพระเยซู

พอพึ่งในพระเยซู ในโลกวิญญาณ เราก็ถูกย้ายมา ถูกชำระด้วยฤทธิ์อำนาจของพระโลหิตพระเยซูที่ได้ไถ่บาปแทนเรา เป็นแพะผู้รับบาป เอาบาปของเราไปแล้ว เราก็ถูกฟอกจนสะอาดหมดจด ก็ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ที่พระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้าเลย เหมือนหรือยัง? เหมือนแล้ว ในพระเยซูเราสะอาด ขาวหมดจด ไม่มีมัวๆ ไม่ใช่มาอยู่ในพระคริสต์ แล้วยังเป็นเทาๆ ไม่มีเทา มีแต่ขาว … ขาวเหมือนใคร? ไม่กล้าพูดเลย ขาวเหมือนพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราบริสุทธิ์ดีพร้อมในพระเยซู ทำให้เราบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตายแทนเราที่ไม้กางเขน รับเชื่อแค่นี้ เราก็ดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ในครอบครัวของพระเจ้าได้แล้ว แค่นี้ เรียกว่าข่าวดี … ข่าวดีมีแค่นี้

มองให้ชัดๆ เวลามอง มองตรงนี้ให้ชัดๆ ในโลกวิญญาณ ในโลกนี้มี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด  ซึ่งไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่ได้เรียกว่าสวรรค์ เรียกว่าอาณาจักรของความมืด  อีกอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของพระเจ้า เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรที่บริสุทธิ์ เรียกว่าสวรรค์ อยากอยู่ที่ใดล่ะ? ถ้าอยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์ สะอาด สีขาวนี้ เป็นสีแห่งตัวแทนของความบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีจดดำด่างพร้อย แม้แต่จุดเดียว ก็ไม่มี ทำได้ไหม?  ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งพระเยซู ทำไม่ได้ ก็มาพึ่งซะ  ถ้าเราทำด้วยตัวเอง อย่างไรมันก็ด่างพร้อยอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็มีดำๆ อยู่นั้นแหละ ซึ่งอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเยซูบอกต้องดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า  คล้ายๆ พระเจ้าก็ไม่ได้ ใกล้เคียงพระเจ้าก็ไม่ได้ ต้องเหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์ขนาดไหน? ที่เราร้องเพลง เราต้องบริสุทธิ้อย่างนั้น แล้วเราทำได้ไหม?  ไม่ได้ เพราะฉะนั้น พึ่งในพระเยซู นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน 2,000 ปีมาแล้ว และจะพูดต่อไป จนกระทั่งสิ้นโลกนี้ เอเมน

 

*********************

 

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018 เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2018

เรื่อง “ความชอบธรรม โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            พระเยซูบอกไว้ในหนังสือมัทธิวบทที่ 11 ข้อ 28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

ผมยกข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ มาอ่านให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศท่านหนึ่งบอกว่ามี คริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนัง Harry Potter ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า    ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น   ….  มีอีกเยอะแยะ ที่ทั้งห้ามทำ และอีกเยอะแยะที่ต้องทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก

เมื่อเราตอบเรื่องทางโลกวิญญาณหรือทางวัตถุ ถ้าทางวัตถุ มันทำไม? มันเหนื่อยอยู่แล้ว  มีใครไม่เหนื่อยบนโลกใบนี้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้ว ถ้อยคำพระเจ้าจริง ถ้าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริงทั้งหมด  การเป็นอยู่บนโลกใบนี้ เหนื่อย แสนยาก แสนทุกข์ มันเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นเดียวกัน  ถูกหรือเปล่า? ถ้าตรงนี้เป็นเรื่องจริง ทางวิญญาณพระเยซูบอกว่าใครมาเชื่อพระเยซู ทางวิญญาณเขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ก็เป็นจริงด้วย เอเมน

เพราะฉะนั้น เวลาถามสวัสดีปีใหม่ ทำตามธรรมชาติ ทางโลกวัตถุ

“สวัสดีปีใหม่ครับ เป็นอย่างไร? เมื่อปีที่แล้วเหนื่อยไหม?”

ต้องตอบว่า … “เหนื่อย” มันจริง

ชีวิตอะไรบนโลกใบนี้ อะไรบ้างที่ไม่เหนื่อย  ปัญหามันยุ่งยาก เอาแค่ทานอาหารอย่างเดียว ก็ยุ่งแล้ว  ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด วุ่นวายไปหมด เรื่องโน้นเรื่องนี้ มันยุ่งไปหมดเลย  มันต้องเหนื่อยอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ปีที่แล้วเป็นอย่างไร? เรียนหนังสือเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ดูแลลูกเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ทำมาหากินเป็นอย่างไร เหนื่อยไหม? เหนื่อย ตอบไปเถอะ เหนื่อย

บางคนเขาไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว จะพยายามสอนคริสเตียนบอกว่า “ไม่เหนื่อย”  … “ดีมาก” … “ยอดเยี่ยม” มันไปฝืนความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้สอนเราให้ฝืนความเป็นจริง พระเยซูบอก อะไรจริง ก็บอกว่าจริง อะไรใช่ ก็บอกว่าใช่ เหนื่อยไหม? เหนื่อยสิ แต่วิญญาณไม่เหนื่อยครับ ตอบเป็นจริงหมดใช่ไหม? ไม่ใช่คริสเตียนเป็นคนที่ขวางโลก

ทำไมวันนี้ผมจึงยกข้อพระคัมภีร์นี้ขึ้นมา ที่พระเยซูบอกมัทธิว 11:28 ว่า …

มัทธิว 11:28 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะทำให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

 

มันจริงๆ ทางโลกวิญญาณนะเนี้ย ที่ยกข้อนี้มาให้ฟังเช้านี้ เพราะได้ฟังจากนักประกาศคนหนึ่ง มีคริสเตียนเขียนไปถามอย่างนี้ว่า …

“ชีวิตคริสเตียน  คือชีวิตที่ต้องทำตามข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ มากมาย ที่สอนไว้ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่ห้ามพูดโกหก  ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ห้ามดูหนังผี ห้ามดูหนังไสยศาสตร์ ห้ามดู Harry Potter ห้ามดูทีวี ห้ามเล่นเกมส์  ห้ามกินเหล้า ห้ามไปเกี่ยวข้องกับความเชื่ออื่นหรือศาสนาอื่น มีอีกเยอะแยะ ที่ถูกถามว่าต้องทำ หรือต้องไม่ทำ ซึ่งใครที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎข้อบังคับเหล่านี้ พระเยซูก็จะพูดว่าไม่รู้จักท่าน  และท่านจะต้องถูกส่งไปยังบึงไฟนรก”

อย่างนี้ใช่ไหมครับที่เรียกว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยสันติสุขและหายเหนื่อย

อย่างนี้หายเหนื่อยไหม? ท่านลองฟังอย่างนี้ มันจริงไหม? หายเหนื่อยไหมถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตแบบนี้หรือที่เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุข คริสเตียนคนนี้เขาถามนักประกาศ

ผมเลยอยากจะถามท่านในใจ ขณะนี้ว่าท่านเป็นคริสเตียนหรือยัง? และท่านเคยถามปัญหาข้อนี้ไหม? แบบนี้ไหม? เคยไหม? ในใจท่านคิดแบบนี้ไหม? เพียงแต่ไม่มาถามผม เพราะไม่กล้า แต่ถ้าเจอจริงๆ คงกล้าถาม …

“ไหนอาจารย์บอกเป็นสุข ไม่เห็นเลย อันนั้นก็ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้ ทำไมมันยุ่งไปหมดเลย ไม่เห็นแตกต่างอะไรกับก่อนที่จะมาเชื่อพระเยซูเลยนะ ตอนที่อยู่ในความเชื่ออื่นๆ แต่ก่อนนี้ เขาก็บังคับมาตลอด แต่พอมาหาพระเยซู ก็บังคับ ไม่ใช่บังคับธรรมดา เพิ่มขึ้นอีก เพราะสมัยก่อนวันอาทิตย์ยังไปดูหนังได้ เดี๋ยวนี้วันอาทิตย์ถูกบังคับให้มาโบสถ์อีกต่างหาก หนักขึ้นไปอีก นี่เฉพาะข้อเดียวนะ แต่ก่อนวันอาทิตย์ไม่ไปสถานที่เรามีความเชื่อกัน ก็ไม่เห็นมีใครเขามาว่าอะไร? เดี๋ยวนี้เรามาเป็นคริสเตียน มีความสุขมากเลย พอวันอาทิตย์มีธุระหรือไม่ค่อยอยากจะมา มีคนบอกว่าขาดโบสถ์พระเจ้าไม่ชอบนะ ตายแล้ว ทำอย่างไร?”

อย่างนี้เรียกว่าชีวิตที่หายเหนื่อยและเป็นสุขหรือ? ท่านก็อาจจะคิดอย่างนี้เหมือนกัน

ถามว่าพระคัมภีร์มีคำสอนเรื่องเกี่ยวกับข้อห้ามและกฎต่างๆ ที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมดนั้น กฎบังคับต่างๆ ถามว่าในข้อพระคัมภีร์ได้สอนเป็นข้อห้ามจริงหรือไม่?  คิดให้ดีๆ ก่อนตอบ ข้อบังคับที่ตะกี้นี้บอก วันอาทิตย์ต้องมา วันสะบาโตต้องมาโบสถ์ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับลัทธิอื่นๆ ห้ามโกหก มีหรือไม่มี นึกในใจ ผมจะตอบให้ท่าน ท่านจะตกใจเลย  มีจริงๆ และไม่ใช่มีธรรมดา จะยกตัวอย่างให้ มีอย่างที่พระเยซูสอนเลย พระเยซูบอกเลยว่าต้องทำอย่างนี้ เอาล่ะสิ

มัทธิว บทที่ 5 ใครๆ ก็รู้ดี เขาเรียกว่าคำสอนบนภูเขา ที่พระเยซูสอนเองว่าถ้าอยากจะเป็นคริสเตียน อยากจะเป็นลูกพระเจ้า จะติดตามพระองค์ ต้องทำนี้ ในข้อ 21-47 ผมเอามารวมๆ กัน ยกตัวอย่าง เพื่อจะได้สั้นๆ ยกตัวอย่าง พระเยซูสอนเองเลย เช่น

–  ห้ามฆ่าคน   พระเยซูสอนคนตอนนั้นว่าห้ามฆ่าคน    ไม่ใช่สอนแค่นั้น  พระเยซูบอกไม่ใช่ห้ามฆ่าคนอย่างเดียวนะ เพราะรู้ในนั้น มีพวกชาวยิวมากมาย ที่เชื่อพระเจ้าแล้วสมัยนั้น เขาไม่ฆ่าคนอยู่แล้ว แต่พระเยซูบอกถ้าจะให้บริสุทธิ์จริงๆ ตามกฎของพระเจ้าจริงๆ คือห้ามฆ่าคนไม่พอ ยังห้ามโกรธพี่น้องอีก

–  อย่าโกรธเคืองพี่น้อง โกรธก็ไม่ได้ โกรธ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว อย่าพูดดูหมิ่นพี่น้อง  ดูหมิ่นก็ไม่ได้ ก็เท่ากับฆ่าคนแล้ว

–  ห้ามแม้กระทั่งว่าด่าเขาว่าไอ้โง่ เราก็ตกนรกแล้ว

ฟาริสีตกใจ … “ฉันว่าฉันไม่ฆ่าคน ฉันก็ดีแล้ว รักษาดี นี่ว่าเขาก็ไม่ได้เหรอ”

–  จงปรองดองกับศัตรู  รักศัตรูเหมือนเพื่อนบ้าน  ใครตบแก้มขวา  ยื่นแก้มซ้ายให้ตบด้วย เจ็บแสบเข้าไปในทรวง

“ฉันว่าฉันทำตั้งเยอะได้แล้วนะ ฉันก็อภัยให้เขาได้นะ แต่จะให้ฉันยื่นหน้าอีกทีให้เขาตบนั้น มันทารุณจิตใจนะ มันจะทำได้ไหม?”

พระเยซูบอกต้องทำอย่างนี้ ถ้าอยากเป็นลูกของพระเจ้า ต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ต้องทำอย่างนี้

–  อย่าล่วงประเวณี เพราะพระเยซูรู้ พวกนี้ไม่ล่วงประเวณีอยู่แล้ว เพราะรักษาตามกฎระเบียบพระเจ้าอยู่แล้ว ได้แค่นั้นก็เท่ห์แล้ว พระเยซูบอกแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าอยากเป็นลูกพระเจ้า อยากอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ล่วงประเวณีแค่นั้นไม่พอ เพราะว่าแค่มองหญิงด้วยใจกำหนัดก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว  พวกนั้นสะดุ้งตกใจเลย  เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ! นี่พระเยซูพูดเอง แค่มอง ก็คิด ก็เท่ากับล่วงประเวณีไปแล้ว

“อย่างนี้ที่ฉันเท่ห์ๆ มา ฉันนึกว่าฉันเท่ห์ รักษากฎระเบียบเหล่านี้ได้ รักษาศีลเหล่านี้ได้ มันก็ไม่ได้เรื่องเลยสิ”

เขาคิดในใจ บางคนก็โกรธพระเยซูนะ เหมือนพูดแทงใจดำ บางคนได้ยินพระเยซูไม่โกรธ แถมทุบอกตีหัวตัวเอง

“พระเยซูช่วยฉันด้วย  ฉันทำไม่ได้จริงๆ ช่วยฉันด้วย อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ”

คือยอมรับเลยว่าทำไมไม่ได้ อีกพวกหนึ่งโกรธ เห็นไหม พระเยซูสอนเอง

พวกฟาริสีรักษากฎระเบียบ รักษาศีลเขาบอกว่า …

–  ห้ามหย่าร้างภรรยา ยกเว้นมีเหตุผล ค่อยหย่าได้  เขาเขียนกฎของเขาไว้อย่างนั้น  ซึ่งจริงไหม? จริง แต่เขาบอกว่าท่านมีเหตุผลพอ ก็หย่าได้ ยกตัวอย่างเช่น ภรรยาไปมีคนอื่น เราก็ไปแต่งงานกับคนอื่นได้ พระเยซูแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เพอร์เฟค สมบูรณ์ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า แต่งงานแล้วต้องไม่มีหย่า หย่าไม่ได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นอะไร ต้องรับตลอด เพราะว่าพระเยซูบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก อดทนนาน  ยอมหมดทุกอย่าง อภัยให้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น หย่าก็ไม่ได้

พวกนั้นบอก แล้วจะทำได้อย่างไร? เห็นไหม? พระเยซูสอนหมดว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำ

–  อย่าสาบาน

–  จงให้แก่ผู้ที่ขอ  เขาขอเสื้อ ให้อะไรกับเขาด้วย เขาขอเสื้อตัวหนึ่ง ให้เสื้อไม่พอ เอาเสื้อคลุมไปให้ด้วย  เขาบอกช่วยยกของให้ 1 กิโลฯ เขาบอกยกให้ 10 กิโลฯ เขาบอกช่วยเดินไปตรงนั้นกับเขา 1 กิโลฯ เราเดินไปกับเขา 20 กิโลฯ อะไรประมาณนั้น

นี่คือสิ่งที่เป็นกฎข้อบังคับที่พระเจ้าต้องการจากมนุษย์ นี่เห็นไหม? มนุษย์คิดว่าเขาเองทำได้ พระเยซูเลยบอกเขาว่านี่ทำได้ไหม? อย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ มีข้อ มีกฎระเบียบจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ แล้วพระเยซูก็จบคำสอนเหล่านี้ด้วย แสบไปถึงทรวง มัทธิว 5:48 บอกว่า

มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น พวกท่านจงดีพร้อม เหมือนพระบิดา คือพระเจ้าของท่านในสวรรค์ ทรงดีพร้อม”

 

“เหมือน” นะ ท่านต้องดีเหมือนพระเจ้าเลย บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า คำว่า “ดีพร้อม” มาจากภาษาอังกฤษว่า “เพอร์เฟค” แปลว่าสมบูรณ์แบบ ท่านต้องสมบูรณ์แบบ แบบพระเจ้าเลย ท่านถึงจะไปอยู่ในสวรรค์ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น  เห็นไหม? สอนไหม? สอน บังคับไหม? บังคับ คือถ้าท่านต้องการไปสวรรค์ ท่านก็ต้องทำให้เพอร์เฟค ดีพร้อม  เหมือนพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ คือต้องไม่มีบาปเลย

เหล่านี้  คือบทบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วางไว้ตั้งแต่ตอนโน้นเลย ตั้งแต่สมัยมนุษย์ตกลงไปในความบาปใหม่ๆ วางมาตลอด ซึ่งเราก็รู้ว่าทำไมได้ไหมมนุษย์? ทำไม่ได้ แล้วในพระคัมภีร์ใหม่ ถามว่าในพระคัมภีร์เมื่อพระเยซูมา พระเยซูมายกเลิกข้อบังคับเหล่านี้หรือ?  จึงทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข ยกเลิกไหม? คิดให้ดีๆ พระเยซูมายกเลิกไหม? ฟังต่อไปว่าพระเยซูมายกเลิกไหม?

พระเยซูมายกเลิกหรือ? จึงได้บอกว่ามาหาพระเยซู แล้วหายเหนื่อย ไม่ได้อยู่ใต้กฎข้อบังคับเหล่านี้แล้ว แสดงว่าพระเยซูมายกเลิกหรือ?

ตอบว่า … “เปล่าเลย”

พระองค์ไม่ได้มายกเลิกกฎเหล่านี้ กฎทั้งหมดเหล่านี้ยังคงอยู่ และทุกวันนี้ยังคงอยู่ และยังคงอยู่ตลอดไป พระองค์อธิบายให้เราฟังในพระคัมภีร์ บันทึกไว้อย่างนี้  พระเยซูพูดเองนะ มัทธิว 5:17-20 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

มัทธิว 5:17-20 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติหรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน  18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน  ไม่มากกว่าของพวกฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์แล้ว   ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”

 

ครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จครบถ้วนคืออะไร?  ก็คือดีพร้อม คือเพอร์เฟคเหมือนพระเจ้า

ในนี้บอกว่าหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ จะไม่มีสูญหายเลย ก่อนหน้านั้น แม้คำว่าด่าเพื่อนๆ ว่าไอ้โง่ แค่นี้ก็ยังอยู่ เราเคยด่าเพื่อนว่าไอ้โง่ไหม? มีใครเคยด่า ยกมือขึ้น ตกนรกหมด  ตามพระคัมภีร์บอก พระเยซูบอกไม่สูญหายไปไหน? จากหนังสือเลย ผู้ใดฝ่าฝืน แม้กระทั่ง ข้อเล็กน้อยที่สุด เล็กน้อยไหมด่าเพื่อนว่าไอ้ไง่เอ่ย เล็กน้อยไหม?  เล็กน้อย อยู่ในนรกไหม? อยู่ ก็บอกแล้วพระเยซูพูดเอง แล้วยังไปสอนคนอื่นอีกบอกว่าด่าไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้ตั้งใจด่าเขาจริงๆ โดนไหม? โดน คราวนี้ยุ่งแล้ว จบตอนนี้ไม่ได้ ทุกคนกลับไปงง นอนไม่หลับ ไปอยู่ในสวรรค์หรืออยู่ในนรก ก็ไม่รู้

แล้วในนี้บอกว่าเพราะเราบอกความจริงว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของฟาริสีและเหล่าธรรมาจารย์ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้ เพราะเหล่าฟาริสีและธรรมาจารย์ เขาพึ่งในการกระทำของเขา เขาบอกเขาไม่ฆ่าคนแค่นี้ เขารักษาศีล ไม่ฆ่าคน เขาก็ได้ความดีงาม เขานึกว่าเขาไปสวรรค์แล้ว แต่พระเยซูบอกยังไม่พอ ความชอบธรรมที่เราจะไปอยู่ในสวรรค์ในนี้บอกว่าต้องมากกว่าการไม่ฆ่าคนอีก …

“ตายแล้ว ฉันจะเอาแก้มขวาให้เขาตบยังไม่ไหวเลย ฉันจะทำได้หรือ?”

ลองฟังต่อไป พระเยซูสอนอย่างนี้  กฎทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ถูกไหม? อย่างที่บอก ไม่มีวันสูญสิ้นไปเลย  ตราบจนโลกนี้สูญสิ้น มันถึงจบไป จบเลยบริบูรณ์อยู่ตลอดเวลา

แต่พระเจ้าก็ทรงทราบดีว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านี้ได้หรอก พระเยซูก็ทราบ พระเจ้าก็ทราบ จึงแทงใจดำไปเลยว่าทำไม่ได้หรอก พวกท่านทำไม่ได้ พระองค์จึงส่งพระเยซู คือพระบุตรของพระองค์มาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ทุกคน ทำแทนมนุษย์ทุกคน ฟังให้ดีๆ นะ บทบัญญัติทั้งหมดยังอยู่ครบถ้วน ใครที่ต้องการไปสวรรค์จะต้องมีชีวิตที่เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า คือไม่มีบาปเลยนะ ถ้าทำได้ตามบทบัญญัติที่บอกไว้ทั้งหมด หลายพันข้อที่บันทึกไว้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ใครตบหน้า เอาไปอีกข้างหนึ่ง ตบอีกข้างหนึ่ง เอาไปอีกข้างหนึ่ง ใครขออะไร? ให้ไปหมดเลยทุกอย่าง ไม่เคยคิดสกปรกเลย ไม่เคยคิดดูว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วเกิดการกำหนัดเลย ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดเลย เป็นคนตายด้านอะไรอย่างนี้ ไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยด่าใคร ไม่เคยหงุดหงิดใคร ไม่เคยเลยนะ คนเหล่านั้น ได้ไปสวรรค์ พระเยซูบอก ถ้ารักษาได้ครบ คำว่าเพอร์เฟค สมบูรณ์ ครบ จุดหนึ่งก็ไม่ได้ ขีดเล็กๆ น้อยๆ ขีดหนึ่งก็ไม่ได้

คราวนี้พระเยซู ในพระคัมภีร์บอกว่าแต่มีอีกทางหนึ่งนะ เขาเรียกกันในพระคัมภีร์ว่าทางใหม่ เคยได้ยินไหม? ทางใหม่ มีอีกทางที่จะไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ มีอีกทางหนึ่ง ทางใหม่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่าทางใหม่  หรือพันธสัญญาใหม่ คุ้นไหม? หรือทางนั้น หรือทางพระเยซู คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้มนุษย์แล้วที่ไม้กางเขน ได้ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกันกับการรักษาบทบัญญัตินั้นให้ได้ครบถ้วน คือทำให้เราเป็นคนดีพร้อม เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลย และสามารถไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นั่นเอง นี่มีอีกทางหนึ่งมาให้เลือก ไม่บังคับ อยากไปทางไหน?

สรุป ก็คือมนุษย์มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ในการดำเนินชีวิตให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนบาป มีอยู่ 2 ทางพระเยซูให้เลือก …

(1) รักษาบทบัญญัติที่ตะกี้นี้บอกไว้นะ ที่ตะกี้อธิบายให้ฟังนะ ตบแก้มซ้าย เอาแก้มขวาให้เขาตบ มองเห็นความกำหนัด ก็ตกนรก ว่าเพื่อนว่าไอ้โง่ ตกนรกนะ … รักษาบทบัญญัติหลายพันกว่าข้อ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

(2) เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน    ชำระเราให้บริสุทธิ์ สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์

จะเอาอย่างไหน? อย่างหนึ่งทำด้วยตัวเอง ด้วยกำลังของตัวเอง ทำได้ไหม? ไม่ด่าเพื่อนได้ไหม? ไม่หงุดหงิดไหวไหม? ถ้าคิดว่าไหว ก็ทำไป ถ้าไม่ไหว พระเจ้าบอกมีทางเลือกที่ 2 ให้

และเมื่อใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว ก็แปลว่าเขาได้เลือกทางที่ 2 แล้ว ตอนใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ยกมือขึ้น ผมก็เลือกทางที่ 2 เพราะผมรู้ว่าผมทำไม่ไหว ผมให้เขาตบอีกแก้มหนึ่งไม่ไหวจริงๆ เอาแค่ตบแก้มหนึ่ง ผมก็จะมองหน้าแล้วนะ ถ้าตบผมจะสู้แล้วนะ แต่วิญญาณผมให้อภัยแล้วไง แต่เนื้อหนัง มันทนไม่ไหว มันพยายามอยู่ แต่มันได้แค่นี้ สมัยก่อนไม่ด่าตอบ เดี๋ยวนี้ ทนไม่ไหว จริงๆ ก็ด่าตอบ พยายามไม่ด่าตอบ บางทีมันแรงมาก ต้องด่าตอบ หงุดหงิด สมัยก่อนหงุดหงิดไป 1 อาทิตย์ เดี๋ยวนี้ดีขึ้น หงุดหงิดไปแค่ 2-3 วันเอง แต่ก็หงุดหงิด อย่าว่าแต่ด่าเขาว่าไม่โง่เลย ด่ามากกว่านี้อีก ถ้าจะตกนรก ต้องหลุมไหนก็ไม่รู้ ผมมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูดีกว่า มันหายเหนื่อยดี ก็คือใครที่เป็นคริสเตียน ก็คือมาเชื่อ เลือกเอาข้อ 2 คือเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เราแล้ว และเราก็ได้รับผลจากความเชื่อนั้น คือขณะนี้ ผมและท่านที่ได้รับเชื่อในพระเยซู เลือกทางที่ 2 แล้ว มีชีวิตที่เพอร์เฟค ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า และมั่นใจในตัวเองเลยว่าขณะนี้ ผมอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว แล้วจะอยู่ในพระเยซูตลอดไปเลย เอเมน

เพราะฉะนั้น โลกนี้ทั้งโลก เมื่อใครรู้อย่างนี้ และใครเลือกทางที่ 2 แล้ว ทุกปีเขาจึงฉลอง และร้องเพลงนี้ว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายชื่นใจยินดี   มีพระราชาประสูติ

คือพระเยซู เสด็จลง ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ ให้เราร้องเพลงสรรเสริญ

ให้เรา ให้เรา ร้องเพลงสรรเสริญ”

ใช่หรือเปล่า? แล้วถ้าเราเลือกทางที่ 1 เราก็คงร้องว่า …

“ชาวโลกทั้งหลายทุกข์ทรมานกันดีกว่า”

มันทรมาน ที่ถามมันเรื่องจริง อยู่บนโลกนี้มันทรมาน พระเยซูจึงบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านจะได้พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่จงยินดีเถิด  เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว เพราะพระเยซูชนะโลกแล้ว เราเชื่อพระเยซู เราจึงชนะไปด้วย ท่านเลือกเอาแล้วกัน ผมตั้งใจจริงและอธิษฐานให้ท่านมาตลอด และใครก็ตามบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เลือก ให้เลือกทางที่ 2 คือเลือกพระเยซู เอเมน

 

*********************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  14  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 9 “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เตรียมพร้อมที่จะรับของขวัญปีใหม่จากพระเจ้าหรือยังครับ? เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็บอกล่วงหน้าว่านี่เป็นของขวัญปีใหม่ ตั้งใจฟังให้ดีๆ รวมกับคำบรรยาย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกับวันนี้ ถือว่าเป็นของขวัญ เป็นพระพรปีใหม่ที่พระเจ้ามาให้กับเราจริงๆ มีค่ามากมาย มากจริงๆ มากกว่าถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 มากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งโลกเลย อันนี้มากที่สุดเลย และสามารถที่จะถ่ายทอด เป็นมรดกให้กับลูกหลานด้วย

“ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “ความจริงแห่งกฎทางโลกวัตถุ” ซึ่งเราจะมาต่อกันกับซีรี่ย์ชุดเดิม โลกวัตถุ คือโลกที่มองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย

ในครั้งที่แล้ว เราได้เน้นกันถึงเรื่องความจริงแห่งกฎทางโลกวิญญาณ … โลกวิญญาณ คือตรงกันข้ามกับโลกวัตถุ โลกวิญญาณ คือไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สัมผัสได้ด้วยวิญญาณเท่านั้น

พระคัมภีร์บอกไว้ ในโรม 8: 1 ว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสรภาพ จากกฎของความบาปและความตาย กฎของความบาปความตาย คือการตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่ได้พระพรจากพระเจ้า ติดต่อกับพระเจ้า คุยกับพระเจ้าไม่ได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ ใครก็ตาม ที่อยู่ในความบาปในความตาย ต้องโทษนี้อยู่ แต่พระเยซูคริสต์สามารถทำให้คนนั้น เป็นอิสระ จากความบาปและความตายได้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น เนื่องจากกฎของโลกวิญญาณมันมองไม่เห็น สัมผัสแตะต้องไม่ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เราจึงต้องเตือนตัวเองด้วยถ้อยคำพระเจ้า ให้ตัวเองได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ว่านี่คือกฎของวิญญาณนะ นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้นะ ใครทำ ก็ได้พระพร กฎนี้ บอกไว้ว่าอย่างนี้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู

ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ         แก่ฉันผู้อาศัยในพระเยซู”

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ      แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้เรา พ้นจากบาปและความตาย”

เพราะว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต คือวิญญาณฉันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยกับพระเยซู ทำให้ฉันเป็นอิสรภาพ พ้นจากกฎของความบาปและความตาย พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า พ้นจากการเป็นกบฏต่อพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม กลับมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิมได้ ติดต่อกับพระเจ้าได้ เอเมน

เมื่อสักครู่ที่เราร้องเพลงกันนั้น นั่นคือกฎในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้ ซึ่งใครผู้ใดที่เชื่อในกฎความจริงในโลกวิญญาณอันนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เขาแล้ว คือเป็นแพะรับบาป ให้กับเขา เพราะฉะนั้น เขาก็พ้นจากบาป ไม่มีบาปอีกต่อไป คือได้รับอิสรภาพ เป็นไทไม่ต้องเป็นหนี้สินใคร ไม่ต้องใช้หนี้ ที่เราเรียกกันว่าหนี้บาปเวรกรรมกับใครอีกแล้ว เพราะพระเยซูใช้ทดแทนให้กับฉันเรียบร้อยไป หมดแล้ว เอเมน

ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น ก็ไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร จากกฎนี้ ไม่ได้ผลของกฎนี้ ก็คือไม่ได้อิสรภาพ ไม่ได้เป็นไท ยังคงมีหนี้บาป เวรกรรมติดตัว ที่ต้องชดใช้ต่อไป ไม่รู้จักจบ จักสิ้นนั่นเอง ไม่มีใครสามารถช่วยได้ มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้ากฎนี้มีอยู่จริง มันก็ต้องเป็นไปตามนี้

และอย่างที่ผมเกริ่นไว้ครั้งที่แล้วว่าถึงแม้ว่าใครคนใด คนหนึ่ง หรือเราจะรับเชื่อแล้ว ทางวิญญาณว่าเชื่อในกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้รับความรอดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตเรา เมื่อได้รับความรอดทางกฎของโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เราจะได้รับอิสรภาพต่อไปบนโลกใบนี้เลย จะทำอะไรก็ได้ ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่ได้รับผลอะไรทั้งสิ้นเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมันมีอีกกฎหนึ่ง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วย

กลับมาที่เก้าอี้ 2 ตัวเหมือนเดิม โลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะนี้ คนที่เชื่อในสิทธิในโลกฝ่ายวิญญาณ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษยชาติ เป็นแพะรับบาป คนที่เชื่ออย่างนี้ เขากำลังเชื่อว่าพระเจ้าพูดความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์มองไม่เห็น วิญญาณมองไม่เห็น แต่เราเชื่อ เพราะพระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเอาบาปของเราไป เอาหนี้ เอาสิน ที่เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม เอาออกไปแล้ว พอเราเชื่อ เราใช้สิทธิของเรา  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ไม่เป็นคนบาป เมื่อไม่เป็นคนบาป เราจึงสามารถกลับมาอยู่กับพระเจ้า มาคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้าได้

นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ที่ตาเราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้ท่านได้เห็นภาพ เล็งถึงว่าทางฝั่งสีขาว นี่คือโลกทางวิญญาณ ส่วนสีดำข้างๆ นี้คือโลกทางวัตถุ ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ และขณะเดียวกัน มีโลกทางวิญญาณปกคลุมอยู่เหนือตรงนี้ด้วย คือขณะที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ … มนุษย์เป็นวิญญาณ แต่ร่างกายเป็นโลกวัตถุ ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็คือวัตถุที่สร้างโลกใบนี้ ที่เราเรียกกันว่าดิน

“ดิน” ตัวนี้ ภาษาเดิมแปลว่าดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ได้ถูกสร้างเป็นขึ้น แต่วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น มนุษย์มีส่วนประกอบของการเป็นวิญญาณ และอยู่ในร่างกาย เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งเดียวในมหาจักรวาล หรือในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้างเพียงสิ่งเดียว ที่มีลักษณะเป็นเช่นนี้ คือเป็นวิญญาณ และเป็นสสาร วัตถุ สิ่งของ รวมกันอยู่ในชีวิตเขา ชีวิตเดียว นอกจากมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกใบนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้เลย ถามว่ารู้ได้อย่างไร?  เพราะว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ว่ามนุษย์เท่านั้นที่เป็นวิญญาณ สัตว์ไม่เป็น ต้นไม้ไม่เป็น หินไม่เป็น

ขณะที่มนุษย์เป็นวิญญาณบนโลกใบนี้ มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีส่วนประกอบ 2 สิ่ง ก็คือสัมผัสทางโลกวิญญาณ ด้วยวิญญาณของเขา สัมผัสโลกวัตถุด้วยร่างกายของเขา สัมผัสร้อนเย็น มองเห็นวัตถุสิ่งของด้วยร่างกายของเขา แต่สัมผัสทางวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้าทางวิญญาณ ที่มาจากพระเจ้า ซึ่งอยู่นิรันดร์ตลอดไป  ส่วนจะอยู่ที่ไหนเท่านั้นเอง เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ต้องเป็นศัตรูกับพระเจ้านิรันดร์ ก็คืออยู่นิรันดร์ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านิรันดร์ ในพระคัมภีร์จึงบันทึกว่ามันมีทั้งสองกฎเลย  กฎที่มองเห็นกับกฎทางวิญญาณ ซึ่งกฎของวิญญาณ มันจบตรงที่พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ

แม้ว่าเราจะได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของเราแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับเราแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ร่างกายของเรายังเป็นร่างกายที่เป็นทาสของบาป ตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว วิญญาณเราไม่ได้อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป วิญญาณเราไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป แต่เนื้อหนังร่างกายยังไม่ตาย ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และยังตกอยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม

นี่คือปัญหาที่เราจะต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสรภาพมากขึ้นในทางโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ ได้พระพรมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร?  ไม่อย่างนั้น เราไม่รู้เรื่องเดินสะเปะสะปะ พอมาเชื่อพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เนื้อหนังก็เป็นลูกพระเจ้าด้วยมั้ง เพราะฉะนั้นจะกินอะไร? จะทำอะไร? ก็ไม่ต้องสนใจเลย เพราะเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าคุ้มครองหมด ไม่ใช่เลย มันยังแยกกันอยู่ ร่างกายก็ยังต้องดำเนินตามกฎของร่างกาย ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้ว สาปแช่ง คือไม่ได้พร ไม่ดี ร่างกายมันสูญเสีย มันเสียหายไปแล้ว มันไม่ได้เหมือนกับตอนที่พระเจ้าสร้างเรามาใหม่ๆ แต่สิ่งที่ได้รับการสร้างใหม่ คือวิญญาณเราต่างหาก ที่มันใหม่เอี่ยม ตาม 2 โครินธ์ 5:17 วิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว เป็นนิวครีเอชั่น เป็นความใหม่เอี่ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมา เกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เอเมน นี่ตามองไม่เห็น

แต่สิ่งที่ตามองเห็น คือร่างกายเราดูในกระจก ตัวเราเหมือนเดิมหมดเลย เราเชื่อพระเจ้ามา 30 ปีก็เหมือนเดิม แก่ลงด้วย  เพราะว่ามันอยู่ในคำสาปแช่ง คือคำที่ไม่ดี อยู่ในการถูกลงโทษอยู่ มันยังรับโทษของมันอยู่ พร้อมๆ กับโลกใบนี้ทั้งใบ ที่มันเป็นโลกวัตถุยังไม่ได้ถูกไถ่ออกมา แต่โลกวิญญาณได้ถูกไถ่แล้ว เอเมน วิญญาณเราเป็นอิสรภาพแล้ว อย่างไรเราก็ไปสวรรค์ ตอนนี้เราก็อยู่ในสวรรค์แล้ว นี่ใช้ความเชื่อเอา ตามพระคัมภีร์บอก

ส่วนทางเนื้อหนังร่างกายเรา ยังเป็นปกติเหมือนเดิม ยังถูกสาปแช่งเหมือนเดิม รอการฟื้นฟูใหม่ รอการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ บนโลกใบนี้แล้ว คือร่างกายเราหมดลมหายใจ พระเจ้าไม่ใช้ร่างกายเราแล้ว จบงานของเราแล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง นั่นแหละ จบสิ้น พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ให้กับเราแล้ว นั่นคือการเป็นอิสรภาพ รอดทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายของเรา แต่ถ้าเรายังไม่ตาย พระเยซูมาก่อน ก็จบสิ้นเหมือนกัน  เราก็จะทิ้งร่างเดิมนี้ แล้วไปรับร่างใหม่ จากพระเยซู จากพระเจ้า ในสวรรค์ เหมือนกัน เอเมน

นี่คือพื้นฐาน เพื่อท่านจะเห็นภาพชัดเจน คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ซึ่งใครก็ตามที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เรากำลังอยู่ในกฎของโลกวิญญาณ คือได้รับความรอด จบไปแล้ว แต่เนื้อหนัง ร่างกายของเขา ยังต้องดำเนินอยู่ในกฎของโลกวัตถุ ซึ่งมันถูกสาปแช่งไปแล้วอยู่ อย่าเอามาผสมกันมั่ว ท่านจะงงไปหมดเลย นี่ก็อยากได้  ทำไมพระเจ้าไม่ให้ ไหนบอกจะให้ บางคนไม่เข้าใจ นึกว่าพอเราได้รับความรอด ในพระเยซูคริสต์ ทางโลกวิญญาณแล้ว พอเรารับเชื่อ ทางโลกวัตถุ เราจะดีไปหมดเลย ทุกอย่าง เข้าใจผิด ไม่ใช่เลย เราก็ยังไม่ทิ้งตรงนี้อยู่ เพียงแต่ว่าเราได้ภาษีดีกว่า ผู้นำเรา ที่อยู่ในวิญญาณ พลังที่อยู่ในวิญญาณเรา คือพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยงเรา จะช่วยเรา โดยบอกเราว่าตรงนี้เป็นอย่างนั้น ตรงนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ว่าจะดีที่สุดหรือไม่ดีที่สุด ก็ตาม เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนัง ร่างกายที่ถูกสาปแช่งอยู่ดี

คราวนี้มาถึงกฎของโลกวัตถุ ที่สัมผัสแตะต้องด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราเรียกกันว่ากฎแห่งการหว่าน กฎธรรมชาติ ซึ่งพระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าหว่านออกไป ท่านปาอะไรออกไป มันจะกระเด้งกลับมา ยังไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่าถ้าเราหว่านอะไรออกไป เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราให้สิ่งดีๆ หรือทำแต่สิ่งที่ดีๆ ออกไป มันก็จะสะท้อนถึงสิ่งที่ดีๆ กลับมา

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรมันคือดี เพราะบางครั้งดีของเรา กับดีของพระเจ้า มันไม่เหมือนกัน เรานึกว่าของเราอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ เลวมากกว่าที่คนอื่นที่เขาเห็นอีก เพราะเราอาจจะเย่อหยิ่งอยู่ในขณะนั้น เราไม่รู้ตัว และขณะนั้น เรากำลังโลภอยู่ เรานึกว่าเราทำดีอยู่ ไม่ใช่เลย พระเจ้าบอกขยะแขยง พระเจ้าบอกอย่างนี้ก็ได้  ขณะที่คิดว่าเราเท่ห์มากเลย เราอดอาหารสัปดาห์ละ 3 วัน  เราถวายสิบลด เป็นประจำ สม่ำเสมอไม่เคยขาด เราบริจาคไม่มีการหยุดหย่อนเลย เรามาช่วยงานที่โบสถ์เกือบทุกวันเลย แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่าทั้งหมดที่เราทำ มันไม่ได้จริงใจเลยสักอย่าง แม้กระทั่ง เราหลอกตัวเราเอง ตัวเราเองยังไม่รู้เลย ทำไปนั้น เพื่ออะไร?

ยกตัวอย่าง พระเจ้าบอกจงให้ออกไป โดยที่มือซ้าย อย่าให้มือขวารู้ อย่าไปบอกใครเลย เงียบๆ ไว้ สอนอะไร? สอนเรื่องความบริสุทธิ์ข้างในใจ ที่เราทำออกไปทั้งหมด ที่ความดีทั้งหมดนั้น  เราหวังว่าจะได้สิ่งโน้นสิ่งนี้กลับมา มันเป็นการเย่อหยิ่ง เราต้องการเกียรติ เราต้องการมากขึ้น  เราต้องการความโลภมากขึ้น เราจึงให้ออกไป เราคิดว่าให้ออกไป เราจะได้ 100 เท่ากลับมา นี่เห็นไหม?  เราไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังทำอะไร? เรานึกว่าเรากำลังให้ออกไป แต่จริงๆ ข้างในใจลึกๆ ของเรา คือเราให้ออกไป เพื่อหวังว่าจะได้พร พระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้นไม่ใช่เหรอ จริงๆ ไม่ได้สัญญาอย่างนั้นหรอก เราคิดเอง ให้ออกไป แล้วได้ 100 เท่ากลับคืน ถ้าพระเจ้าสัญญาอย่างนี้ ป่านนี้คริสเตียนรวยที่สุดในโลกแล้วนะ 100 เท่ากลับคืน ที่นั่งอยู่ที่นี่ ป่านนี้เรานั่งเรียนอยู่ในอวกาศแล้ว เพราะว่าเรามีเงินเยอะมาก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม? แต่บางคนเขาคิดอย่างนั้น พอเขาคิด เขาให้ออกไป ดูท่าทาง ดูเหมือนดี แต่มันไม่ดีสำหรับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น คำว่า “หว่าน” หรือ “ให้ออกไป” หรือ “มอบออกไป” หรือทำอะไรออกไป ที่คิดว่าเราดี จะได้สิ่งดีกลับมา หมายถึงดีในทางพระเจ้า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ดีนั่นในทางพระเจ้าหรือไม่? หรือดี ในทางตัวเราคิดเอง เรารู้ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ เพราะพระคัมภีร์เป็นพิมพ์เขียวที่พระเจ้าเขียนเอาไว้เลยว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างทั้งหมด พระองค์ทรงทราบดีทุกอย่าง และพระองค์ต้องการให้ลูกของพระองค์ มนุษย์ทุกคนได้สิ่งที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราควรจะเชื่อตรงนี้  ถ้าเราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าสอนในพระคัมภีร์ เราก็ได้สิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเรา เราก็จะได้สิ่งที่พระเจ้าบอกว่าจะได้

ยกตัวอย่างที่เราพูดถึงเรื่องการให้ออกไป ถ้าเราให้ออกไปตามใจจริงเลย ไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทนเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ พระเจ้าบอกเราได้เต็มที่เลย ได้สันติสุขในใจ เอเมน ถ้าเราไปหวังทรัพย์สิ่งของมากมาย บ้ากันไปใหญ่ โลภไม่มีวันจบสิ้น เราจะไม่ได้สันติสุข

เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แบบปลอดภัยที่สุด ก็คือดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพิมพ์เขียวของพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่ได้เขียนบอกเรา สอนเราในพระคัมภีร์ทั้งเล่มนี้ ซึ่งเกี่ยวกับโลกวัตถุ บอกหมดเลย ทุกอย่างที่จำเป็นต่อเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำพระเจ้าที่สอนเรา แนะนำเราในพระคัมภีร์นี้  ถ้าเราเชื่อตรงส่วนไหน? เราก็จะได้รับพระพรในส่วนนั้น ส่วนที่ยังไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับพระพร หรืออาจจะได้รับคำสาปแช่ง อาจจะได้รับสิ่งที่ไม่ดี มากหรือน้อยไม่รู้ อะไรที่บอกว่าตามพระคัมภีร์ แล้วเราจะได้สิ่งที่ดี เราก็จะได้สิ่งนั้นเหมือนกัน

สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ อย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง 6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้า ให้ราบเรียบ 7  อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว”

 

นี่คือข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ ผมชอบตรงนี้ที่สุดเลย

“อย่าคิดว่าตนฉลาด”

มันใช่เลย วันแรกที่ผมอ่านข้อนี้ มันแทงเข้าไปในหัวใจจี๊ดเลย  อย่าคิดว่าตนเองฉลาด แสดงว่าพระเจ้ารู้ว่าเราชอบคิดว่าตัวเองฉลาด และจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? เราเถียงพระเจ้าอยู่เรื่อยเลย ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีจริงๆ เราบอกว่าไร้สาระ มองก็ไม่เห็น เชื่อพระเจ้าทำไม? หัวเราะเยาะเขาอีกต่างหาก ก่อนที่เราจะเชื่อ จริงหรือไม่จริง? มนุษย์ก็อย่างนี้ อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด เขาบอกว่า …

“พระเยซูเป็นแพะรับบาปให้กับเธอแล้ว ไถ่บาปเธอเรียบร้อยแล้ว”

“บาป ก็เป็นของฉัน ฉันควรจะชดใช้ด้วยตัวของฉันเองสิ”

อย่างนี้ เขาเรียกว่าตนเองฉลาด แต่พระคัมภีร์บอกอย่าคิดว่าตัวเองฉลาด จงยำเกรงในพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระเยซูเอาบาปของเธอออกไปแล้ว ไถ่บาปให้เธอแล้ว จงเชื่อตามนี้ นี่ยำเกรงในพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ด้วย

“จงยำเกรงในพระเจ้า และหลีกหนีจากความชั่ว” ก็คือจงเชื่อฟังถ้อยคำพระเจ้า และหนีจากความชั่ว บางคนนึกว่าความชั่ว หมายถึงผิดศีลธรรมแค่นั้น ไม่ใช่ ความชั่วตรงนี้หมายถึงสิ่งที่ไม่ตรงตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือความบาปนั่นเอง คืออะไรที่ต่อต้าน ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้าที่แนะนำเราไว้

ยกตัวอย่างเช่น เราไม่ยำเกรงพระเจ้า ตรงที่เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ รวมทั้งตัวเราด้วย เราไม่เชื่อ นี่แหละ ในพระคัมภีร์บอกเรากำลังทำตรงกันข้ามกับพระเจ้า เรากำลังทำบาป บาปตัวนี้ แปลว่าต่อต้านกับพระเจ้า

วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างว่าพิมพ์เขียวที่พระเจ้าได้วางไว้ให้กับเรา พอจะมีอะไรบ้างที่เราจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับพระพรทางด้านวัตถุ เพื่อเราจะได้รับพระพร และได้รับความสงบสุข … สุขทางใจ สุขทางกายขึ้นด้วยในระหว่างการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ แม้ว่าวิญญาณจะจบสิ้นไปแล้ว เป็นอิสระแล้ว เป็นลูกพระเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีการต่อสู้กันอยู่ในร่างกายนี้ การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วย

ในพระคัมภีร์มีหลายแห่งที่พระเจ้าสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความพอเพียง ความรัก การให้อภัย แม้กระทั่งเรื่องอาหาร และการดูแลสุขภาพ

ตัวอย่างเรื่องอาหาร การดูแลสุขภาพ สำคัญมาก การดำเนินชีวิต ไม่ใช่เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ เสร็จแล้วในที่สุด เราก็ได้รับผลของการกระทำนั้น สุขภาพก็เสื่อมโทรม ทุกข์ทรมาน ไม่ได้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่าที่ควร จะได้ หรือจะเป็น

เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ พระเจ้าก็ทรงออกแบบพิมพ์เขียวของร่างกายมนุษย์ไว้หมดแล้ว แล้วก็สอนด้วยว่ามนุษย์ควรจะทำอย่างไร? เพื่อให้มีสุขภาพดี ควรกินอาหารอย่างไร? ควรใช้ชีวิตอย่างไร? ควรมีอารมณ์ มีความคิดอย่างไร?  อยู่ในพระคัมภีร์นี้ทั้งหมดเลย  ถามว่าทำไมพระเจ้าต้องเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ถ้าเผื่ออาดัมและเอวาบรรพบุรุษเราไม่ตกลงไปในความบาป และนำพาพวกเราไปอยู่ในการสาปแช่งในโทษของความบาปนั้น พระเจ้าไม่ต้องเขียนอะไรเลย แต่นี่พระเจ้าต้องเขียนบอกมนุษย์ เพราะมนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ตกลงไปในความบาปแล้ว พระเจ้าเขียนไว้ เพื่อมนุษย์บนโลกใบนี้ ได้มีโอกาสอยู่แบบทุกข์น้อยหน่อย ไม่ใช่หมดทุกข์ เพราะมันยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ ถ้าเราตั้งใจและดูแลในเรื่องสุขภาพ หว่านในด้านสุขภาพ ตามพระเจ้าบอกไว้ หว่านการเลือกอาหารที่ดีๆ ที่มีประโยชน์ หว่านการออกกำลังกาย ที่พระเจ้าบอกว่ามันมีประโยชน์ และวางไว้เป็นกฎ ให้เหงื่อมันออก จะได้เก็บเกี่ยวความเจริญรุ่งเรืองทางสุขภาพร่างกายได้บ้าง? แต่ยังต้องตายอยู่ดี แต่มันไม่ทุกข์ทรมานมากนัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็ได้บอกเรา เตือนเราในเรื่องนี้  ไม่ใช่ว่าพอมาเป็นคริสเตียน ก็ไม่สนใจ ไม่ดูแลสุขภาพ กินอะไรก็ได้ ฝากไว้ที่พระเจ้า

แต่ก่อนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง จะกินกาแฟวันละหลายแก้ว

“ทำไมกินได้?”

“ไม่เป็นไรหรอก เราวางมือในนามพระเยซู เอาพิษออกไป แล้วกินเลย”

แล้วเป็นไง? ไม่รู้ อย่าไปทำแล้วกัน มันไม่ใช่วิธีนั้น เราชอบคิดของเราเอง เป็นอย่างนี้

ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านสุขภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เจ็บป่วยอีกเลย ฟังให้ดีๆ ตราบใดที่พระคัมภีร์เป็นจริง ตราบนั้น มนุษย์ทุกคนต้องป่วยแน่นอน ถ้าไม่ป่วย และมันจะแก่ได้อย่างไร? ถ้าไม่แก่ แล้วมันจะตายได้อย่างไร? นี่เฉพาะกรณีพิเศษว่าตายก่อนแก่ อุบัติเหตุ เรื่องไม่ธรรมดา การแก่ ก็คือการป่วยนั่นแหละ ท่านเข้าใจไหม?

“ฉันไม่ได้เจ็บป่วยอะไร?”

แก่ลง ก็คือเจ็บป่วยแล้วล่ะ วันนี้กับเมื่อปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนบอกไม่ต่าง กับ 10 ปีที่แล้ว ต่างกันไหม? บางคนไม่ต่าง กับ 20 ปีที่แล้วล่ะ แล้ววันนี้กับ 20 ปีอนาคต ต่างกันไหม? ต่างกันแน่นอน ความแก่คือความป่วย เพราะคำสาปแช่ง น่าจะดีใจ แสดงว่าถ้อยคำของพระเจ้าเป็นจริงอีกแล้ว

“แม้ฉันจะเชื่อพระเจ้า อธิษฐานตั้งเยอะ พยายามทำตามที่พระเจ้าบอกตั้งเยอะ แต่ฉันยังป่วยอยู่ ฉันจงดีใจว่าถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง”

มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง ไม่มีใครชนะตรงนี้ได้เลย ไม่มีใครทำยาอายุวัฒนะ ทำอะไรก็ตาม ที่ชนะตรงนี้ได้เลย  เพราะว่ามันเป็นคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ถ้าคำสาปแช่งนี้เป็นจริง พระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มาไถ่บาปฉันทางวิญญาณนั้น ก็เป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน เพราะผู้บอก ผู้สอน ก็คือผู้เดียวกัน คือพระเจ้านั่นเอง

ในหนังสือปฐมกาลมีบันทึกไว้ว่าพืช ผัก ผลไม้ และสมุนไพร คืออาหารที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์  มนุษย์ก็เปลี่ยนไป คำสาปแช่งเข้ามา หลังจากเกิดน้ำท่วมโลก ที่น้ำท่วมโลก เพราะมนุษย์ทำชั่ว วุ่นวายไปหมดเลย พระเจ้าเศร้าใจมาก ล้างโลก ด้วยน้ำท่วมโลก

หลังจากน้ำท่วมโลก พระเจ้าก็เริ่มอนุญาตให้มนุษย์สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แต่กำหนดไว้ว่าสัตว์อะไรกินได้ อะไรไม่ควรกิน อะไรที่เป็นโทษต่อร่างกาย ก็อย่าไปกินมัน อะไรที่เป็นโทษน้อยหน่อย ก็กินมัน เพราะจริงๆ เธอไม่ควรกินอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเธอตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันวุ่นวายไปหมด อนุญาตให้กินได้ เอาแค่นี้พอ

สิ่งที่พระคัมภีร์สอนว่าอย่ากินมีอะไรบ้าง? ว่ามันจะเป็นโทษ? ตัวอย่างเช่น ปลาที่ไม่มีครีบ ปลาที่ไม่มีเกล็ด เช่นปลาไหล หรือปลาที่มีหนวด เช่นปลาดุก รวมทั้งหอย ปู กุ้ง เป็นต้น เหล่านี้ พระคัมภีร์บอกอย่ากิน … กินแล้วมันจะเป็นโทษนะ เพราะสัตว์เหล่านี้ กินแต่ของเสีย กินแต่ของสกปรก เป็นเทศบาลที่พระเจ้าให้ไว้บนโลกใบนี้ เพื่อกำจัดของเสีย ท่านลองนึกภาพแล้วกัน เท่ากับท่านกำลังกินขยะเข้าไปทุกวันๆ เดี๋ยวเที่ยงนี้กินขยะไหม? ไปชายทะเลกินอะไร? กินหอย ปู กุ้ง กินขยะ นี่หมายถึงตามพระเจ้านะ ไม่เกี่ยวอะไรกับผม นี่ผมอ่านพระคัมภีร์ให้ท่านฟัง

สัตว์ใหญ่ เช่น แกะ แพะ รับประทานได้ แต่สัตว์ที่เท้าไม่มีกีบ และไม่เคี้ยวเอื้อง อย่ากิน เท้าไม่มีกีบ ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง อย่างเช่นอูฐ เป็นสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง แต่เท้ามันไม่มีกีบ เหมือนเท้าช้าง หรืออย่างหมู เป็นตัวที่แยกกีบ คือมีกีบ แต่มันไม่ได้เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นสัตว์ที่มีมลทิน กินไม่ได้ ฟังอีกที หมูกินไม่ได้ หมูไม่ควรกิน นี่ผมไม่ได้พูดนะ พระคัมภีร์บอก แล้วที่พระคัมภีร์บอกไม่ให้กินหมูเพราะปัจจุบันเรารู้แล้วว่าหมู นิสัยมันสกปรก มันเป็นสัตว์สกปรก

พูดง่ายๆ ให้ท่านได้เห็นภาพว่าพระเจ้าบอกไว้ทั้งหมด นี่เป็นกฎนะ คือใคร ก็ได้ ไม่เชื่อพระเจ้าทำ ก็ได้ เพราะว่ามันเป็นกฎระเบียบอยู่ ในหนังสือเลวีนิติ มีข้อห้ามว่าห้ามกินเลือดสัตว์ และห้ามกินไขมันสัตว์ เราลองอ่านดู

เลวีนิติ 7:22-27 “22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า 23 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘อย่ากินไขมัน ไม่ว่าไขมันจากวัว แกะ หรือแพะ 24 ไขมันจากสัตว์ที่พบเมื่อตายแล้ว หรือถูกสัตว์ป่าทำร้าย อาจจะใช้ทำอย่างอื่นได้ แต่อย่ากิน 25 ผู้ใดกินไขมันจากสัตว์ ซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยไฟ จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา 26 และไม่ว่าเจ้าอาศัยที่ไหนก็ตาม  ห้ามกินเลือด ไม่ว่าเลือดนก หรือเลือดสัตว์ใดๆ 27 ถ้าผู้ใดกินเลือด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดออกจาก หมู่ประชากรของเขา’”

 

พระเจ้าบอกห้ามกินไขมันสัตว์ ไขมันนั้นให้ถวายพระเจ้า ถามว่าพระเจ้าอยากได้ไขมันไปทำอะไร? ไม่ใช่เลย ต้องการช่วยเรามากกว่า ไม่ให้เรากิน เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่ากินไขมันมากๆ มันเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา ร่างกายของเราไม่เหมือนเดิมแล้ว มันวุ่นวายไปหมดแล้ว พยายามบอกลูกๆ ว่านี่คือพิมพ์เขียวที่บอกให้ว่าจะได้สิ่งที่ดีๆ จากสิ่งเหล่านี้ มนุษย์เพิ่งจะมารู้จักไขมันเมื่อไม่นานมานี่เองนะว่าไขมันอะไรดี อะไรไม่ดี และไขมันมากๆ มันไม่ดีอยู่แล้ว แต่พระเจ้าสั่งมนุษย์ไว้ตั้งนานว่าอย่ากิน

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม สิ่งเหล่านี้เป็นข้อห้าม เป็นกฎบังคับ แต่พอพระคัมภีร์ใหม่ เราก็มีอิสรภาพในการกินอาหาร พระเยซูยกเลิกกฎต่างๆ หมดแล้ว แต่มีกฎหลายอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ยกเลิกจริงๆ เพราะโลกวิญญาณเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ไปแล้ว แต่กฎทางวัตถุ มันยังคงอยู่

คำว่า “คงอยู่” ก็คือกฎอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัยโมเสส แต่มันมีผลเกี่ยวกับทางโลกวัตถุ มันยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าร่างกายวัตถุเรายังไม่ได้ถูกไถ่ถอนออกมา มันยังอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่ เพราะฉะนั้น พระเจ้าแนะนำอะไร มันยังเป็นประโยชน์อยู่ อย่ามาเหมารวมกันว่าพระเยซูยกเลิกกฎ เพราะฉะนั้น หมูกินได้ เอ๊า! กินไปสิ  เพราะฉะนั้น อะไรที่พระเจ้าบอกกินไม่ได้ กิน ปลาดุกกินได้ ก็กินไปสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้สึก ในปัจจุบัน ก็พิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสัตว์ต่างๆ เหล่านี้มันสกปรกจริงๆ

นี่คือสติปัญญาจากพระเจ้าล้วนๆ ผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ว่าแปลนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา อะไรมันถูกกับเรา อะไรมันผิดกับเรา จากร่างกายที่เป็นอัจฉริยะเหมือนพระเจ้า ตอนนี้เป็นร่างกายที่ถูกบาปครอบหงำ ถูกคำสาปแช่งอยู่ มันสมควรจะดูแลร่างกายอย่างไร?  พระเจ้ารู้หมด แล้วก็แนะนำเรา อะไรที่เหมาะ อะไรที่ไม่เหมาะ อะไรที่ควร อะไรที่ไม่ควร บอกหมดเลย เราก็น่าจะตามพระเจ้าดีที่สุด เพื่อจะเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับสุขภาพร่างกายของเรา ไม่ใช่ว่าพอพระเจ้าบอกไม่ เราก็จะกิน แล้วบอกว่าเราใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ ถ้าเชื่อพระเจ้า ต้องเชื่อจริงๆ เชื่อทั้ง 2 กฎ ไม่ใช่เชื่อกฎเดียว คือกฎในโลกวิญญาณ ก็ว่าได้รับความรอด กฎทางวัตถุ ก็เชื่อว่าอย่ากิน มันต้องเป็นโทษกับเรา เราก็ไม่กิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าถ้ากิน แล้วเราจะตกนรก ไม่ใช่ เรากิน เราก็เพียงทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้มากกว่าธรรมดาเท่านั้นเอง มันก็ไม่ควรใช่ไหม? เพราะเวลาทุกข์จริงๆ แล้วเราก็ปวดใจ ปวดตัว ปวดกายจริงๆ เราก็เดือดร้อนคนอื่นจริงๆ แล้วถึงเวลานั้นเราก็ครางมาจริงๆ ว่า …

“ช่วยทีๆ รู้อย่างนี้ ไม่กิน ก็ดี รู้อย่างนี้ ออกกำลังกาย ก็ดีแล้ว”

รู้อย่างนี้ๆๆๆๆ ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้น ก่อนจะรู้อย่างนี้ ก่อนมันจะเกิดเหตุ เราอดทนเชื่อ แล้วก็วางใจในพระเจ้า แล้วก็พยายามทำตามพระเจ้า ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดีไหม? มันดีกว่า ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย  แล้วก็ไม่ใช่ว่าเคร่งมากเลย กินไม่ได้ อย่ากินเลือดนะ พระเจ้าห้าม ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น หมายถึงแนะนำเราว่ามันมีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ถ้าเราไม่เชื่อ ก็เก็บเกี่ยวความทุกข์ลำบากร่างกายไปบ้าง? แค่นั่นเอง มันไม่ได้หมายถึงการตกนรก

ทุกวันนี้ รู้ไหมว่าอาหารประเภทไหนดี? มีประโยชน์ต่อร่างกาย? อาหารประเภทไหนไม่ดี? มีโทษต่อร่างกาย? รู้ไหมว่าของหวานๆ มากๆ ของทอด ปิ้ง ย่างเกรียมๆ ดำๆ น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวเยอะแยะไปหมด ทานเยอะๆ เข้าไป มีโทษต่อร่างกาย รู้ … รู้ว่าไม่ดี แล้วยังทาน เพราะมันอร่อย … อร่อย แปลว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะว่าร่างกายมันอยากกิน เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วไง มันอยากจะเอาโทษใส่ร่างกาย มันอยากจะเอาสิ่งที่ไม่ดีใส่ร่างกายตลอดเวลาเลย มันบังคับไม่อยู่ เพราะว่ามันเป็นทาสของความบาป และคำสาปแช่งอยู่ วิญญาณเราสะอาดหมดจด รับใช้พระเจ้าอยู่ แต่เนื้อหนังร่างกายรับใช้ความบาป

เปาโลพูดเองในหนังสือโรม บทที่ 7 “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า วิญญาณข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ รับใช้พระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้าหมด ยอมพระเจ้า เอเมนกับพระเจ้าตลอด แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่อยู่นี้ มันเอเมนกับกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อะไรที่แย่ๆ ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มันเอาหมด นี่คือสงครามที่อยู่ในตัวเราทุกวันนี้ เราจึงพูดกับกระจกอยู่บ่อยๆ ไงว่าหมูกินน้อยๆ หน่อย ต้องพยายามสู้กับมัน

พระเจ้ารู้หมดว่าวิสัยบาป ที่อยู่ในร่างกายของเราเป็นอย่างไร? พระเจ้าจึงบอกไว้ในสุภาษิต 23:2 ว่า …

สุภาษิต 23:2 “ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า”

 

ท่านรู้ไหมคำว่า “จ่อมีดไว้ที่คอ” เป็นสำนวนโบราณ ภาษาฮีบรู มีความหมายว่า “จงบังคับตัวเองไว้” ในที่นี้ต้องบอกว่าจงบังคับปากของตัวเองไว้ บางครั้งก็เป็นตัวเอง ให้นึกถึงภาพเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เรา ที่ชอบกินไม่หยุด นึกถึงภาพใครที่เราเตือนแล้วไม่เชื่อ แล้วก็หันไปหาเขานิดหนึ่ง แล้วก็บอก เพราะว่าถ้าไม่บังคับ เคยได้ยินใช่ไหม? ปากพาไปสู่ความจน ปากพาจน อันนี้ปากพาสู่โรค ทุกข์ลำบากมากขึ้น ทำให้ถูกต้องตามพระเจ้า ก็ทุกข์อยู่แล้ว นี่อยู่ๆ ไปเพิ่มทุกข์มากขึ้น

เห็นไหมครับว่ามนุษย์ต้องใช้เวลาศึกษาค้นคว้า เสียเงิน เสียเวลากับงานวิจัยมากมายมหาศาล กว่าจะค้นพบว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่เป็นโทษ แต่ข้อมูลเหล่านี้แทบจะไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เลย เพราะมนุษย์สู้กับกิเลสตัณหา รู้ แต่ทำไม่ได้ พระเจ้าบันทึกมาเป็นพันๆ ปีแล้ว เรารู้จากพระเจ้า และเรามีกำลังจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเราอธิษฐานขอพระเจ้า เราก็จะมีโอกาสทำได้มากกว่าคนอื่นๆ เขา เพราะมีผู้ช่วย พระคัมภีร์จึงบอกผู้ช่วยเรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยช่วยเรา ช่วยให้เราทำสงครามทางกิเลสตัณหา ให้เราชนะมันบ้าง ก็ยังดี แทนที่จะแพ้มันตลอด แทนที่จะกินมันตลอด ทุกทีกิน 2 ห่อ ตอนนี้กินมันเหลือครึ่งห่อพอ ตั้งใจจะกินให้เหลือครึ่งของครึ่งอีกที วันสุดท้ายจะชนะมัน และไม่กินอีกต่อไปแล้ว แล้วก็ชนะจริงๆ

นอกจากเรื่องอาหารที่เราชอบกันแล้ว สิ่งที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้ ก็คือการใช้ชีวิต เรื่องอารมณ์ ถ้อยคำพระเจ้าก็สอนเราอีกแหละ เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร? จัดการกับอารมณ์ความคิดเราอย่างไร? ซึ่งเป็นศัตรู เป็นมะเร็งอีกอันหนึ่งที่ทำร้ายร่างกายของเรา  เรื่องอารมณ์ทุกตำราแพทย์ก็บอกว่าถ้าเรามีอารมณ์ขุ่นมัว มีแต่เครียด ก็มีโอกาสสูง ที่จะเจ็บป่วย เป็นโรค ยกตัวอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคกระเพาะอาหาร โรคความดัน เพราะสภาวะทางอารมณ์มีผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว ในปัจจุบัน ทางวิทยาศาสตร์รู้กันหมดแล้ว แต่พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งเหล่าอย่าทำ สิ่งเหล่านี้เป็นโทษกับเราหลายพันปีแล้ว … แล้วเราเชื่อไหม? เราไม่เชื่อหรอก

พระคัมภีร์บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก รู้จักให้อภัย  เพราะถ้าโกรธใคร? แค้นใคร? จิตใจเราก็ไม่สงบ มีแต่ความเครียด พิมพ์เขียวของพระเจ้าจึงบอกว่าอย่าโกรธข้ามวันข้ามคืน อย่าให้ตะวันตกดิน แล้วยังโกรธเขาอยู่ เพราะมันจะทำให้อารมณ์ไม่ดี ทำให้เครียด หลับไม่สนิท เครียดหนักๆ เข้าก็ป่วย คนที่เราโกรธ เขาไม่เป็นไร? แต่เราโกรธเขา เราก็เครียด เราก็ป่วย  เพราะเราไม่สงบ และสงบไม่ได้ เพราะว่าเรามีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เราต้องรู้ก่อนว่าศัตรูเราคือใคร? มันพยายามเร้าเราอย่างนี้  เราต้องเข้ามาหาพระเจ้า แล้วสู้กับมัน พระเจ้าจะบอกเราว่าวิธีที่จะทำให้ไม่โกรธคืออะไร? คือให้อภัย เห็นไหม? พอเรารู้อย่างนี้ปุ๊บ เราให้อภัยไม่ได้ เราก็รีบไปเปิดถ้อยคำพระเจ้าฟังเอา เราก็รีบเปิดอ่านถ้อยคำพระเจ้า แล้วก็อธิษฐาน …

“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ให้อภัยเขา”

ดูในกระจก ให้อภัยเขาๆ มันก็เริ่มสู้กัน แล้วเราตั้งใจบ่อยๆ เราก็เริ่มชนะ แล้วก็ทำได้ มากหรือน้อยไม่เป็นไร? มันเป็นประโยชน์กับเรา ทำน้อย ก็ได้ประโยชน์ แต่อาจจะได้น้อยหน่อย  ก็ทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ตลอด ไม่มีการไม่ได้ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษากฎเหล่านี้อยู่ ให้เป็นไปตามกฎ ไม่มีทางว่าท่านไม่ได้ ถ้าท่านทำแล้ว ได้แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นวันสะบาโต วันที่เรามาโบสถ์ วันอาทิตย์ พระเจ้าจึงบอกว่าต้องมีวันสะบาโต คืออาทิตย์หนึ่ง ให้หยุด 1 วัน  เพราะพระเจ้ารู้แล้วมนุษย์ตกลงไปในความบาป แล้วมันเสียหายแล้ว เขาต้องพักผ่อน แต่ก่อนพักผ่อนตลอดทุกวันเลย ตั้งแต่ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งลงมา มนุษย์ต้องตรากตรำทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ หน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้า นี่คำสาปแช่งมันเป็นอย่างนั้น  พืชพันธุ์ธัญญาหารที่จะกินได้ มันจะขึ้นลำบากหมดเลย แม้กระทั่งทุเรียน มันจะหนามแหลม มันอร่อยมาก ในนั้นบอกไว้ แต่ไม่ได้บอกทุเรียนนะ สิ่งที่เจ้ากินได้ มันจะขึ้นหนามแหลม ลำบาก เกิดความทุกข์ทรมาน บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องทำงานหนัก แต่อย่าให้หนักเกินไป วางใจในพระเจ้า ให้ 7 วัน พักสักวันหนึ่ง แล้วเราพักไหม? เราก็ไม่พัก เราไม่พักไม่พอ แถมวันธรรมดา มี overtime อีก ไปเรื่อย มันก็เกิดความเครียดในร่างกาย เกิดการทำงานหนักจนเกินไป เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย รับคำสาปแช่งเข้ามามากขึ้น คือสุขภาพเสื่อมโทรมเยอะขึ้น

นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนไว้ มนุษย์ไม่เชื่อ พยายามต่อต้าน เพราะกลัว กลัวจะไม่มีกิน แต่พระเยซูบอกอย่ากลัวเลย นกในอากาศ พระเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่ แล้วเจ้าเป็นใคร เราจะไม่เลี้ยงดูเหรอ นี่หมายถึงคนที่เชื่อในกฎของวิญญาณ ในเรื่องพระเยซู หมายถึงเป็นคริสเตียนแล้ว

พระคัมภีร์สอนเราเยอะแยะมากมาย ให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับการเงินการทอง ให้เรารู้จักความพอเพียง พอดี เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายทำงานหามรุ่งหามค่ำ พักผ่อนไม่พอ นอนน้อย ไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ส่วนใหญ่ก็มาจากสาเหตุการไม่รู้จักพอ พูดง่ายๆ โลภ ต้องการมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น มีเท่าไรก็ไม่พอ เพราะข้างในมันกลัว เน้นว่านี่ส่วนใหญ่นะ มีส่วนน้อยที่ทำงานหนัก เพราะมันจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ทำงาน เพราะกลัว กลัวไม่มีกิน จนไม่ดูอะไรที่สำคัญกว่า ร่างกายสำคัญกว่า ก็ไม่สนใจ จะเอาเงินอย่างเดียว หนักๆ เข้า กลายเป็นคนรักเงิน เมื่อมนุษย์เริ่มรักเงินมากๆ มนุษย์ก็ยิ่งทำความเสียหายให้กับตัวเอง ชีวิต ผู้คนรอบข้างมากมาย ตกอยู่ในความน่าอัปยศ แล้วก็ตกอยู่ในอันตรายนานัปการ ตามที่พระคัมภีร์บอก เช่น สุขภาพเสื่อมโทรม จากการโหมทำงานหนัก อันตรายจากการไปสิ่งชั่วร้าย เช่น ไปโกงเขา ก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้น หว่านไปแล้ว เสียชื่อเสียง ติดคุกบ้าง พระคัมภีร์จึงเตือนอยู่เสมอว่าให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขณะที่ทำงานหนัก ทำงานเต็มที่นะ จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ขี้เกียจก็อย่าให้เขากิน อย่าไปติดกับดักของโลกใบนี้  ที่จะทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ โดยการแสวงหาทรัพย์มากๆ โดยไม่นึกถึงการพักผ่อน ไม่นึกถึงร่างกายนี้เลย  แต่ให้วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเลี้ยงดูเราได้ ใน 1 ทิโมธี 6:6-10 บันทึกไว้อย่างนี้

1 ทิโมธี 6:6-10 “6 แต่ทางพระเจ้าพร้อมด้วยความพอใจในสิ่งที่ตนมี ย่อมเป็นกำไรงาม 7 เพราะเราเข้ามาในโลกตัวเปล่า เมื่อออกจากโลก ก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 คนที่อยากรวย ก็ตกหล่มเย้ายวนให้ทำบาป ติดกับ  และตกในความปรารถนาต่างๆ อันโง่เขลาและอันตราย ซึ่งดึงมนุษย์ดิ่งลงในห้วงแห่งความพินาศย่อยยับ 10 เพราะการรักเงิน เป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละ บางคนจึงเตลิดจากความเชื่อ และทำให้ตัวเองต้องปวดร้าว ด้วยความทุกข์โศกนานา”

 

มีคำกล่าวว่าถ้าต้องการจะมองหาแต่คนที่มีแต่ความทุกข์ ให้ไปมองหาในหมู่คนร่ำรวย รับรองเจอเยอะเลย แต่บางทีเรามองไม่เห็น คนที่มีเงินทองมากมายมักจะเป็นทุกข์ เพราะว่ายิ่งมีเยอะ ยิ่งอยากได้เยอะ เกิดความความอยากได้ไม่มีสิ้นสุด ไม่รู้จักพอ และเมื่อไม่พอ แทนที่จะรวย ก็เลยกลายเป็นคนจน น่าสมเพชมาก ก็เลยเป็นทุกข์ อนิจังสามานย์ยิ่งนัก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ปัญญาจารย์ 5:10, 12 “10 คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย 12 การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมี ก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ”

 

เหล่านี้เป็นพิมพ์เขียว ที่พระเจ้าสอนเราเรื่องความจริงในโลกวัตถุ มันเป็นจริงตามนี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ ว่าพระเยซูมาไถ่บาปเราแล้ว เหมือนกันเลย

ตัวอย่างที่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระเจ้าวางไว้ให้แล้ว และเป็นกฎทางธรรมชาติ ที่กำหนดไว้แล้วว่าถ้าเราทำตาม เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพร และถ้าเราไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าแนะนำ เราก็ได้รับ คำสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี ก็เกิดขึ้นในชีวิตเรา ตัวเราเป็นคนเลือกเอง

นี่เป็นกฎความจริงของโลกวัตถุ ที่เราได้เรียนรู้กันในโลกใบนี้ มีอยู่จริงๆ ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย ถ้าท่านไม่ทำตามที่พระเจ้าบอก และท่านอยากได้สิ่งที่ดีๆ เข้ามา มันไม่ได้เลย  นี่เป็นกฎแห่งความจริงของโลกวัตถุ ซึ่งเป็นความจริง 100% เหมือนๆ กับกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว ในพระเยซูที่บอกไว้ว่า …

“ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วิญญาณไม่มีการลงโทษอีกแล้ว วิญญาณเป็นอิสรภาพ ไม่มีหนี้บาปเวรกรรมอีกต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรในโลกวัตถุก็ตาม ไม่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณอีกต่อไป วิญญาณเขาเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป ตลอดกาลเลย แม้กระทั่งขณะนี้ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ขณะเดียวกัน ร่างกายที่ยังอยู่นี้ มันยังต้องดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้อยู่ ต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็จะได้พระพรครบถ้วนบริบูรณ์ วางใจในพระเจ้า แล้วก็ทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรพระเจ้า ก็จะได้สิ่งที่ดีตามที่พระเจ้าบอกไว้ นี่คือพร นี่คือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับเราทั้งหลายในวันปีใหม่นี้ เอเมน  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************

 

 

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2018 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 8 “กฎแห่งความจริง” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2018

 เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”

ตอน 8 “กฎแห่งความจริง”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็เป็นการบรรยายครั้งแรกของปี 2018 สำหรับผม วันนี้เราจะกลับมาคุยกันต่อในซีรี่ย์ ชุดเดิมของเรา ที่ผมเริ่มเรื่องไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซูคริสต์ เอามาใช้ได้ตลอดกาล ใช้ได้ในทุกพื้นที่ชีวิตของเราทั้งหลาย เมื่อไรก็ใช้ได้

วันนี้เป็นตอนที่ 8 มีชื่อตอนว่า “กฎแห่งความจริง” ตลอด 7 ตอนที่ผ่านมา เราก็วนเวียนกันอยู่ในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่ทุกครั้งจะเห็นผมนั่งสลับไปสลับมา เก้าอี้ขาว เก้าอี้ดำ เก้าอี้ดำ เขียนว่า “อาดัม” เก้าอี้ขาวเขียนว่า “พระเยซูคริสต์”

เราก็จะย้ำอยู่แค่นี้ เพื่อจะได้ให้เห็นภาพว่าโลกวิญญาณที่ตาเรามองไม่เห็น พระคัมภีร์บอกมีอยู่จริงๆ ลักษณะเป็นอย่างไร? พอจะเล็งออกง่ายขึ้น ซึ่งผมย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องทั้งหมด ที่บอกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เล่ากันในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ สิ่งที่สำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่องโลกวิญญาณ ต้องจำไว้ เพราะมองไม่เห็น เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ไม่สนใจ เดี๋ยวก็นึกว่ามันจริงไหม? จะคิดอย่างนี้อยู่เรื่อย มนุษย์มักกบฏ ไม่ชอบฟังพระเจ้า ไม่ชอบจริงๆ นะ ไม่อยากจะรู้ ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ

“ใช่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ฉันเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงมองไม่เห็นก็เชื่อ”

ให้พูดความจริงของพระเจ้าที่หน้ากระจก แล้วพูดให้ตัวเองฟังชัดๆ จำไว้ๆ เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกแล้ว ตัวตน ชีวิตของมนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ เกิดจากวิญญาณ และวิญญาณนี้ต้องอยู่นิรันดร์ ทำไมถึงต้องใส่คำว่า “ต้อง” ถึงไม่อยากอยู่นิรันดร์ ก็เป็นอยู่นิรันดร์ เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นนิรันดร์

คำว่า “นิรันดร์” ไม่ได้หมายถึงคุณภาพว่าจะดีหรือไม่ดี? แต่หมายถึงระยะทาง ความสามารถในการอยู่ได้ คือตลอดไป ไม่มีการสูญสิ้นนั่นเอง มันแปลว่าอย่างนี้ก่อน ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือ 2 โครินธ์ว่าเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ สำคัญอย่างไร? ถึงจะต้องมานั่งพูดซ้ำๆ ซากๆ เพราะว่า 2 โครินธ์ 4:16-18 ได้บันทึกว่านี่แหละคือประโยชน์ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สำหรับเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าสอนเรา บอกเราว่าให้สนใจเรื่องโลกวิญญาณไว้ให้ดีๆ มากกว่าอะไรทั้งปวง

2 โครินธ์ 4:16-18  “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น ถาวรนิรันดร์”

 

ใครที่ตื่นนอนขึ้นมา รู้สึกท้อใจ รู้สึกเหนื่อย หรือบางครั้งไม่ได้ตื่นนอนตอนเช้า บางครั้งตื่นแล้ว ก็พอได้อยู่ พอเผชิญปัญหาในตอนกลางวัน ในตอนสาย ไปทำมาหากิน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เจอปัญหา เหนื่อย หมดแรง ท้อใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย มันเซ็งเหลือเกินโลกใบนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้  ก็เพราะว่าเขาไม่ได้พูดกับตัวเอง ไม่ได้ย้ำกับตัวเองว่าเราไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น มันไม่จีรัง ยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์

“วิญญาณของฉันและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่ฉันมองไม่เห็น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ และฉันเชื่อในพระเยซูแล้ว มันดีแน่นอน ส่วนตอนนี้ฉันเผชิญปัญหาอะไรที่ตามองเห็น ฉันจับต้องมองเห็นได้ ฉันปวดหัว ตัวร้อนเป็นไข้ เห็นชัดๆ เลย มันอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันต้องสิ้นสุดไป มันต้องหมดไป จะหมดไปด้วยการหายโรค หรือตัวฉันหมดไป ก็คือฉันตาย มันหมดอยู่ดี วิญญาณฉันไปอยู่ในที่ที่ดี เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว”

มันก็บรรเทาความทุกข์ยากลำบากลงมา นี่คือตัวอย่างที่ยกนิดหนึ่ง ให้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้มันแปลว่าอะไร? ทุกวันเราต้องจดจ้องอย่างนี้ ทุกวันเราต้องมองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่คือสิ่งที่คริสเตียน หรือมนุษย์ทุกคนควรจะทำ

คำว่า “จิตใจภายใน” ของเรา คือวิญญาณข้างในของเรา เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน มีพลัง เป็นลูกของพระเจ้า ตรงนี้สำคัญ สิ่งที่มองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เราจะต้องจับ ยึด เกาะติดแน่นไว้ตลอดเวลา ทุกเสี้ยววินาที ทั้งๆ ที่มันเป็นความจริง ก็เพราะว่าเรามองไม่เห็น ถามว่าทำไมเรามองไม่เห็น เพราะเราตกลงไปในความบาป เราอยู่ในเชื้อของความบาป เราเป็นคนที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น นี่คือตัวเหตุผลที่ทำให้เราเชื่อ พระคัมภีร์บอกเราบาป มันจริงๆ พอบาปปุ๊บ ตาฝ่ายวิญญาณมันบอด พอบอด มันก็ไม่เห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่ามันมีอยู่จริง แต่ตาเราบอดไง ถามว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงไหม? มีอยู่จริง แต่ที่เราไม่เห็น เพราะว่าตาเราบอด

เหมือนร่างกายทุกวันนี้ ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก เราเห็นต้นไม้อยู่ อีกคนหนึ่งตาบอด เขาบอกว่าไม่เห็นต้นไม้ แล้วถามว่าต้นไม้มีอยู่จริงไหม? มีอยู่ แต่ทำไมไม่มีสำหรับเขา เพราะว่าเขาตาบอด ในโลกวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่มองเห็น ที่ไม่จีรังยั่งยืน ตามพระคัมภีร์บันทึกเมื่อกี้นี้ ถามว่าคืออะไร? ก็คือวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่มันสามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา สัมผัสด้วยกาย หรือสัมผัสด้วยกลิ่นก็ตาม สิ่งเหล่านี้เรียกว่าสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน มันอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ที่เป็นถาวรนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ และตาวิญญาณก็ไม่เห็น เพราะเราเป็นคนบาป และมันบอดไปแล้ว มันไม่เห็น ก็คือดวงวิญญาณของมนุษย์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เช่น ทูตสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมารซาตาน  สมุนของมันอีก และทูตสวรรค์ของพวกเราเยอะแยะมากมาย แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นเหล่านี้ มันมีอยู่จริง สวรรค์สถานที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย มีอยู่จริง ที่ไม่ใช่สวรรค์สถาน ที่เรียกว่าที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ ที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตลอดไป มีอยู่จริง

และในโลกวิญญาณมีกฎ มีความจริงอยู่ในนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นหนังสือกฎทั้งหมดเลย กฎหมายของพระเจ้า เป็นกฎต่างๆ ซึ่งใครทำตาม ก็ได้พร ใครไม่ทำตาม ก็ได้ในสิ่งที่กฎเขียนเอาไว้ เหมือนเราขับไปข้างนอก มันมีกฎหมายอยู่ คุณไม่เชื่อว่ามีกฎหมาย คุณซี้ซั้วขับไป  คุณก็ได้รับการสาปแช่ง ถูกใบสั่งบ้าง บาดเจ็บบ้างอะไรต่างๆ มีเรื่องราวปัญหา แต่ถ้าคุณออกไป คุณเชื่อว่ามันมีกฎจริงๆ แล้วคุณพยายามไปศึกษาว่ากฎเขาว่าอย่างไร? คุณก็พยายามทำตามกฎ คุณก็ปลอดภัย ไม่โดนจับด้วย

เพราะฉะนั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ ก็มีกฎของโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปมนุษย์ ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ ทำให้คนๆ นั้นเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือกฎที่เขียนไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ กฎเป็นอย่างนั้น ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือความเชื่อในความจริงของกฎโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ให้เรารู้ว่ามันมีกฎตรงนี้อยู่ ความจริงที่บอกว่าวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมีเชื้อบาปติดอยู่ ซึ่งจะต้องใช้หนี้บาปเวรกรรม ก็คือต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมานตลอด นิรันดร์ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว อย่างที่เราบอกว่าวิญญาณต้องอยู่นิรันดร์ แต่ต้องอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ทรมาน ในที่ที่มืด ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์

และวิธีการที่จะให้หลุดพ้นจากหนี้เวรกรรมตรงนี้ได้ ก็มีอยู่ทางเดียว ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้ ก็คือให้เชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ ผู้เดียว ที่มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาลบบาปออกไปจากดวงวิญญาณของมนุษย์ทุกคนแล้ว นี่คือความจริงที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ที่มีขึ้นมา ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างนี้  ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่

ผู้ใดที่เชื่อกฎนี้ ผู้นั้น ก็ได้รับสิทธิที่พระเยซูได้กระทำให้กับเขา หรือให้กับมนุษย์ทั้งปวง ก็คือได้รับอิสรภาพ ไม่ต้องเป็นหนี้ เป็นสิน ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรมอีกต่อไป คือเป็นไท พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม “ชอบธรรม” หมายถึงเป็นอิสระ จากการเป็นนักโทษ ชอบธรรมแปลว่าถูกต้อง ดีแล้ว นี่คือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริง ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ ส่วนผู้ใดที่ไม่เชื่อ กฎนี้ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับสิทธิ แค่นั่นเอง เรามาดูต่อไปว่าไม่เชื่อ ไม่ได้รับ มันคืออะไร?

คำว่า “ไม่ได้รับสิทธิดีๆ จากพระเจ้า” ภาษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เราเรียกกันว่าไม่ได้รับพระพรจากกฎ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณนี้ เพราะว่าไม่เชื่อในกฎนี้  ก็ไม่ได้รับอิสรภาพ จากกฎที่บอกว่าเป็นอิสรภาพแล้ว ก็เป็นหนี้บาป เวรกรรมติดตัวอยู่ ที่ยังคงต้องชดใช้ด้วยตัวเองต่อไป ซึ่งไม่มีทางใช้หมดเลย

ฉะนั้น คำพูดที่บอกว่าผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดี ก็คือได้รับคำสาปแช่ง ก็คือไม่ได้รับพระพร ผู้ใดที่ไม่เชื่อกฎวิญญาณที่พระเจ้าบอกนี้  ก็จะไม่ได้รับพระพร ก็คือไม่ได้รับสิ่งที่ดีๆ จากกฎนี้นั่นเอง พระคัมภีร์ก็ใช้คำว่าได้รับคำสาปแช่ง อะไรก็ตามที่มันไม่ดีแค่นั้นเอง ท่านอย่าไปคิดมากเลย คำสาปแช่ง ก็เหมือนกับขึ้นศาล ผู้พิพากษาตัดสินคดี แล้วบอกว่าท่านต้องถูกจำคุก การถูกจำคุก ก็เรียกว่าท่านถูกสาปแช่ง หรือสั่งว่าท่านต้องไปชดใช้หนี้เขาพันล้านบาท นี่คือคำสาปแช่ง แต่ถ้าศาลบอกว่าท่านเป็นอิสระ ท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย กลับบ้านได้ อย่างนี้เรียกว่าพระพร

พระพร คำสาปแช่ง จะเอาแบบไหน?  วันนี้ผมจะเอาวิถีทางที่ท่านจะได้พระพร และคำสาปแช่งมาวางไว้ตรงหน้า ให้ท่านเลือกเอา ท่านอยากได้พรหรืออยากได้คำสาปแช่ง ท่านมีสิทธิ์เลือกด้วยตนเอง พระเจ้าก็เลือกให้ท่านไม่ได้ แต่พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สามารถมองดู ถ้าท่านเลือกพระพร ท่านได้พรแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าดูอยู่ ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับท่านเลย แต่ถ้าเลือกคำสาปแช่ง พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยท่านได้ด้วยเหมือนกัน เพราะท่านเลือกเอง

แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สิ่งที่มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มันก็ยังเป็นอยู่วันยังค่ำ หลายคนบางครั้งพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …

“ถ้าเราไม่เชื่อ” ก็ปลอบใจตัวเองว่า  “มันคงไม่ได้เป็นไปตามนั้นหรอก”

พอเราไม่เชื่อ เราก็นึกว่ามันไม่ใช่ แต่อย่าลืมว่าถึงเราไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้คำสาปแช่งอยู่แล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าคนที่ไม่เชื่อ ก็ถูกปรับโทษอยู่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อปรับโทษ มาเพื่อสาปแช่งมนุษย์เลย แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ที่กำลังถูกสาปแช่งอยู่นั้น ลองอ่านดูยอห์น 3:16-18 ดูสภาพวิญญาณของมนุษย์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? พระเยซูคือใคร? มาทำอะไร? นี่คือกฎของโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสอนเรา ให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ เพื่อประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเอง พอรู้จักความจริง เราเลือกในสิ่งที่ดี สิ่งที่ดี ก็เข้ามาในชีวิตของเรา

ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เชื่อพระเยซู แต่เขาถูกสาปแช่งอยู่แล้ว พอเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูมาช่วยเขา เขาก็เลยอยู่ที่เดิม ไม่ได้หนักขึ้น อันเก่าก็หนักพอสมควรแล้ว

นักประกาศหลายท่าน รวมทั้งบิลลี่ แกรแฮม ได้บอกว่าถ้อยคำที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ เป็นเสมือนหัวใจของพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่รวมเอาแผนการของพระเจ้าทั้งหมด รวมเอาพระลักษณะของพระเจ้า รวมเอาเหตุและผลของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มาไว้ในข้อพระคัมภีร์ 3 ข้อนี้

แผนการของพระเจ้า คือต้องการช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป เวรกรรมทั้งหลาย ก็คือคำสาปแช่งที่ถูกสาปไป ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเรา คืออาดัม

พระลักษณะของพระเจ้าที่เราได้เห็นในข้อนี้ คือความรัก ความเมตตา ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ถึงขนาดยอมให้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาตายด้วยความทุกข์ทรมานที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษย์ เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษยชาติ คิดดูก็แล้วกัน นี่คือความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สำแดงออกแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน

เหตุและผลของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่ ต้องได้รับโทษของความบาป คือการสาปแช่ง และทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์ได้รับอิสรภาพ หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้นได้ ก็คือต้องเชื่อในข่าวดีนี้ว่าพระเยซูทรงเอาไปแล้ว เชื่อว่าพระเยซูมาเป็นแพะรับบาปแทนเราแล้ว

เพราะฉะนั้น ผลของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็จะไม่ถูกลงโทษ ไม่อยู่ในคำสาปแช่งอีกต่อไป เป็นอิสระไปเลย ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม ก็ถูกสาปแช่งเหมือนเดิม นี่คือความจริงของกฎของโลกวิญญาณ  ซึ่งมีอยู่จริงๆ พระเจ้ากำลังสำแดงให้กับเรา ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ มีกฎนี้อยู่จริงๆ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านจะรับสิทธิของท่านหรือไม่ก็ตาม แต่มันมีกฎนี้อยู่จริงๆ

ซึ่งกฎนี้ สรุปได้อย่างนี้ว่าก่อนที่พระเจ้าจะประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ให้นั้น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การถูกสาปแช่งอยู่แล้ว แต่ด้วยความรักเมตตา ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จึงทำให้เกิดข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีนี้ขึ้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้ามาตายที่ไม้กางเขน ตามแผนการของพระเจ้า เพื่อมาไถ่บาป เพื่อมารับโทษของความบาป แทนมนุษย์ทั้งปวง ทำให้มนุษย์ทั้งปวงสามารถเป็นอิสรภาพจากความพินาศนิรันดร์ ในนรกได้ โดยแค่เชื่อพระเยซู เชื่อในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น นี่คือสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ

มีนักเขียนอยู่คนหนึ่ง เป็นนักเขียนหนังสือที่โด่งดังมาก เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเขียนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ มีผลงาน ขายดีที่สุด หรือ The best seller ออกมาเยอะแยะ แล้ววันหนึ่งเขาก็เขียนหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เป็นหนังสือใหม่ของเขา  มีชื่อว่า “ทำอะไรจึงได้ไปสวรรค์” และ “ทำอะไรจึงต้องไปนรก” ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีมาก เพราะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ อยากจะแสวงหามาก เพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน รู้ว่าตัวเองอยากไปสวรรค์ เมื่อจากโลกนี้ไป ไม่อยากจะไปอยู่ในนรก คนก็ดีใจ

“ฉันอยากจะรู้ เพราะฉันอยากไปสวรรค์ มาสอนฉันว่าไปอย่างไร? สบาย”

และยังสอนด้วยว่าทำอย่างไรไปนรก ไม่มีคนอยากจะอ่าน แต่อ่านดูนิดหนึ่ง เผื่อเรากำลังทำ จะได้เลิกทำ

หนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือทำอะไรได้ไปสวรรค์ เรื่องที่สอง คือทำอะไรได้ไปนรก ทุกคนก็สนใจมาก ไปซื้อหนังสือเล่มนี้มา เล่มหนามาก พอเปิดหนังสือเล่มนี้ออกมา หน้าแรก เขียนหัวเรื่องใหญ่โตเลยว่าเพราะมนุษย์ทำอะไร จึงได้ไปสวรรค์ แล้วหน้าต่อๆ ไป ทั้งเล่มเลยนะครับ เปิดไป เป็นกระดาษเปล่าหมดเลย  ไม่ได้บันทึกอะไรเลย ประมาณเกือบครึ่งเล่ม แล้วก็มีตัวหนังสือโผล่มาที่กลางเล่ม เขียนตัวโตๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อ จบเรื่องแล้ว

แล้วทุกคนก็ต่อไป แล้วจะไปนรก ทำอย่างไร? ก็เปิดต่อ นี่คือครึ่งเล่มแล้วนะ เขียนหัวข้อตัวใหญ่เหมือนกันว่า “เพราะมนุษย์ทำอะไร จึงต้องไปนรก” ไม่อยากไปนรก จะได้ฝึกฝนทำตามที่เขาสอน  และก็เหมือนเดิม หน้าต่อไป ว่าง ว่าง ว่าง จนหมดเล่มเลย มาเจอคำตอบ หน้าสุดท้ายเขียนตัวใหญ่มากว่า “ไม่ต้องทำอะไรเลย” จบเล่ม

ไม่ต้องทำอะไรเลย  นี่คือความหมายของความจริง ของกฎของโลกวิญญาณ ที่บอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ไม่ถูกสาปแช่ง แต่ใครที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเราเชื่อความจริงตรงนี้ เราหรือใครก็ตาม ก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่าพระพร ตามที่พระเจ้าสอนไว้ บอกไว้ ในกฎ ในความจริงของพระองค์ ซึ่งพระพรตรงนี้ ก็มีเงื่อนไขของเวลา ตามที่พระคัมภีร์เขียนบันทึกไว้ว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือก่อนที่วิญญาณออกจากร่าง ตายจากโลกนี้ไป หรือไม่ก็พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่ ถ้าถึงตอนนั้น ก็หมดเวลาที่จะตัดสินใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? ไม่มีสิทธิ์ บางคนบอกว่าหลังความตายค่อยมาตัดสินใจว่าจะเลือกเชื่อพระเยซูหรือไม่? จะได้เห็นทันตาวิญญาณเลย พอตายไปปุ๊บ ก็เห็นเลย  เพราะทุกวันนี้ไม่เห็น เพราะร่างกายมันถูกสาปแช่ง อยู่ในร่างกายที่แย่มาก มันบอดทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งวิญญาณออกจากร่าง ก็จะเห็นแล้ว ค่อยมาเชื่อได้ไหม? ถ้าได้ผมก็ไม่ต้องมาประกาศสิ ถ้าได้พระเยซูก็ไม่ต้องมาประกาศ ถ้าได้พระเจ้าคงล้างโลกเลย มนุษย์ทุกคนก็รอดหมด เพราะทิ้งร่างกายนี้ไป ก็เจอพระเยซูหมด

ถามว่าทำไมไม่ได้? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ ต้องเกิดเป็นมนุษย์ เกิดจากหญิงพรหมจารี เป็นมนุษย์จริงๆ  เพื่อมาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ เริ่มครอบครัวใหม่ เริ่มเผ่าพันธุ์ใหม่ เริ่มสำมะโนครัวใหม่ของมนุษย์ เพื่อมนุษย์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น มนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายที่มีเนื้อและเลือด พระเยซูบอกเรามีเลือดและเนื้อ คือเราเป็นมนุษย์จริงๆ เราไม่ได้เป็นวิญญาณ ถ้าเป็นวิญญาณ ไม่มีร่างกายนี้ เราไม่ได้เรียกว่ามนุษย์ … มนุษย์ต้องมีร่างกายนี้อยู่

พระเยซูตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาป แทนมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  เพราะฉะนั้น มนุษย์เท่านั้น จึงมีสิทธิที่จะไปรับสิ่งที่พระเยซูทำได้ แต่เมื่อมนุษย์วิญญาณออกจากร่างแล้ว เขาไม่มีร่างกายแล้ว เขาไม่เป็นและไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป เขาถูกเรียกว่าเป็นวิญญาณ หรือภาษาไทยเดิมเรียกว่าเป็นผี ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะครับ ธรรมดา ผีก็คือวิญญาณ ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คนไม่เข้าใจ คิดว่าพระเยซูเป็นผี ใช้คำว่าผี … ผี ก็คือวิญญาณ … วิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นวิญญาณ ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เป็นตัวแทนรับโทษบาปให้กับวิญญาณ หมดสิทธิ์ไปเลย

นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมาก เราไม่รู้ว่าวันเวลาใดที่เราจะต้องจากโลกนี้ไป เราไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แล้วเราจะกลับมารับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่มนุษย์ พระเยซูเป็นตัวแทนมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลาย นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เรารู้ แล้วเรามาเรียนรู้ เพื่อเราจะได้พระพร ได้สิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ในการตัดสินใจนั่นเอง

และทุกครั้งที่เราคุยกันเรื่องนี้ ที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เชื่อพระเยซูอย่างเดียว เราก็ได้รับพระพร ได้รับอิสรภาพ ตามสิทธิที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา ที่ไม้กางเขนแล้ว เมื่อพูดแบบนี้ ก็มาดักกันอีกทางว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจว่าอย่างนี้ก็สบาย มาเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ พระเยซู พระเจ้าก็อภัยให้หมด จะทำผิดทำบาป ก็ได้ ได้รับการอภัยให้หมดเลย เดี๋ยวก่อน ฟังตรงนี้ต่อไป ได้หมดเลย ได้พระพรหมดเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะในพระคัมภีร์สอนถึงเรื่องกฎต่างๆ แม้ว่าเราจะบอกว่ากฎของโลกฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด ก็ตาม

ถ้าใครกำลังคิดว่าสบาย มาเชื่อพระเยซูแล้วจะทำอะไรก็ได้รับพระพรแน่ๆ อยากจะเตือนว่าอย่าลืมว่าชีวิตที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ มันก็มีกฎของโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเรียกว่ากฎฝ่ายวัตถุ คือฝ่ายที่ตามองเห็นอยู่เหมือนกัน ความรอดที่ได้รับมาแล้ว เป็นสิทธิในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นความรอดในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ใช่กฎทางโลก แต่มันมีกฎของโลกวัตถุด้วย สิ่งของที่จับต้องได้ มันมีกฎอยู่ แล้วพระเจ้าก็เขียนไว้ในนี้หมด เพียงแต่เราไม่เข้าใจ เราสะเปะสะปะ แต่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็ยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา

เช่นเดียวกัน เราก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับกฎของโลกวัตถุนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แม้ว่ามันจะสำคัญน้อยกว่าโลกฝ่ายวิญญาณก็ตาม ไม่ใช่ไม่มองมัน แล้วก็ไม่สนใจ แต่มิพระพรในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจแล้วว่าวิญญาณเราไปสวรรค์แน่นอน ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ 100% ตามพระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอย่างนั้น เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระคัมภีร์บอกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ เรายังไม่ทิ้งจากร่างนี้ไป เราอยู่ในร่างมนุษย์นี้นะ ในขณะเดียวกัน เรานั่งอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเช่นกัน  ตอนนี้ อยู่ในสวรรค์แล้ว เราเชื่ออย่างนี้ก็ตาม

แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องให้ความสนใจด้วยว่าแล้วกฎแห่งการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ที่ยังเป็นมนุษย์ แต่อยู่ในสวรรค์แล้ว มันเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่วิญญาณอยู่ในสวรรค์ แต่เป็นร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในสวรรค์ มันเป็นอย่างไร? และจะต้องทำอย่างไร? แม้พระคัมภีร์จะเตือนแล้วว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แม้วิญญาณจะอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแน่นอน เผชิญกับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ แต่เราก็ยังมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา เพื่อให้ทุกข์ยากลำบากน้อยที่สุด เท่าที่เราทำได้ เพราะพระเจ้ารักเรา อยากให้เรามีความสุขที่สุด แม้ว่าวิญญาณเราจะอยู่ในสวรรค์ก็ตาม

ความจริงของกฎ แห่งโลกวัตถุ พระคัมภีร์ก็เตือนเราว่าถ้าท่านหว่านสิ่งใดลงไป ท่านก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น กลับมา กฎแห่งโลกวัตถุนี้ ก็คือถ้าท่านหว่านสิ่งที่ดี หว่านสิ่งที่พระคัมภีร์สอน ท่านก็ได้รับสิ่งที่ดีๆ เรียกว่าพระพรกลับมา แต่ถ้าท่านหว่านสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้า ท่านก็จะได้รับสิ่งที่ไม่เป็นพระพร เรียกว่าคำสาปแช่งมาเหมือนกัน ไม่ว่าวิญญาณท่านจะอยู่กับพระเยซูแล้วหรือไม่ก็ตาม เอเมน

ทำในสิ่งที่ดี หมายถึงดี ตามพระคัมภีร์บอก ไม่ใช่ ดีตามที่ท่านบอก ดีตามที่ท่านคิดกับดีของพระเจ้า บางอย่างมันเหมือนกัน แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกัน

พระคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของกฎ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะว่าทั้งโลกแห่งวิญญาณและโลกวัตถุนี้  เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างพิมพ์เขียวขึ้นมาทั้งหมดเลย พระองค์เป็นผู้กำหนดว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ จะดำเนินไปทางไหน? อย่างไร? ต้องพบกับอะไร? นี่คือโลกวัตถุ แน่นอนว่าพิมพ์เขียวของพระเจ้าต้องเป็นพิมพ์เขียวที่ดีที่สุด ต้องเกิดผลดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะเป็นลูกของพระองค์ เขียนก่อนที่มนุษย์จะตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้วว่ามีกฎอยู่ตรงนี้ ให้มนุษย์ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด มีความสุขที่สุด ในบ้านหลังนี้ เรียกว่าโลกนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อในพิมพ์เขียวของพระเจ้า คือดำเนินชีวิตตามคำบอก คำสอน คำแนะนำของพระเจ้า เราก็ได้รับสิ่งที่เราหว่านลงไป คือสิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกไว้ คือได้รับพระพร ชีวิตก็ทุกข์น้อยๆ หน่อย แต่ถ้าเราไม่ยอมฟัง ดื้อดึง ซึ่งมันก็เป็นนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป พยายามที่จะดื้อ เดินห่างออกจากคำสอนของพระเจ้า ออกจากพิมพ์เขียวที่พระเจ้าบอกไว้ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โอกาสที่ชีวิตเราจะเดินบนโลกใบนี้ จะพบกับความผิดพลาด พบกับความล้มเหลว พบกับความทุกข์ ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะได้รับพระพรทางโลกวิญญาณแล้วหรือไม่ก็ตาม พูดง่ายๆ ว่าแม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนก็ตาม

เหมือนเวลาที่เราจะสร้างบ้าน ก่อนลงมือสร้างบ้าน เราก็ทำแปลน เราก็ดำเนินตามแปลนนั้น ทำซะอย่างดี พอเริ่มสร้าง ซีซั่วทำ มั่วซั่ว บ้านก็พังลงมา ก็เช่นเดียวกัน พิมพ์เขียวของพระเจ้ามีบอกไว้เยอะ เต็มไปหมด ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเล่มนี้ บอกทั้งหมดเลย เรียนไม่จบเลย มีพิมพ์เขียวบอกเสร็จสรรพเลยว่าท่านควรจะทำอะไร? และได้อะไร? ถ้าเราเชื่อตรงไหน? เราก็จะได้พรตรงนั้น ถ้าตรงไหนเราไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ มันแยกกันนะ ไม่ใช่ว่าได้ตรงนี้ แล้วได้หมด ไม่ใช่ โลกวิญญาณท่านได้ไปแล้ว แต่โลกวัตถุ ถ้าท่านทำสิ่งนี้ ท่านก็ได้สิ่งนี้ ถ้าท่านไม่ทำ ท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าวางเป็นกฎระเบียบว่าท่านทำสิ่งนี้ มันก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น ท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะได้อย่างนี้  ถ้าท่านหว่านอย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้อย่างนี้ อะไรต่างๆ

ยกตัวอย่าง ในพระคัมภีร์บันทึกมาเป็นหลายพันปี บอกว่าเนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านควรกิน? เนื้อสัตว์ชนิดไหนท่านไม่ควรกิน? ถ้าท่านกินสิ่งที่ไม่ควรกิน ที่เรียกว่าเป็นมลทิน สัตว์สกปรก ที่พระเจ้าบอกไว้ ท่านจะเป็นโรค เกิดความทุกข์ทรมานในร่างกายของท่าน เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอะไรต่างๆ แต่ไม่ได้พูดถึงอันนั้น หมายถึงว่าเกิดอะไรไม่ดีในร่างกายของท่าน

ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีอาจจะสัก 40 – 50 ปี ไม่เกินนี้ จนมาถึงปัจจุบัน พึ่งจะค้นพบทางวิทยาศาสตร์เห็นว่าสัตว์ที่พระเจ้าบอกว่าอย่ากิน มันสกปรกจริงๆ มันมีสารเคมีอะไรบางอย่างที่เป็นสารเคมีที่เขาใช้ชื่อตามวิทยาศาสตร์ ค้นพบแล้วว่าสารตัวนี้ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคน

ยกตัวอย่าง ปลาดุก ปลาที่มีหนวด ปลาที่ไม่มีเกล็ด ปัจจุบันเขาค้นพบแล้ว ปลาพวกนี้ มันมีไขมันที่เลวมาก มันสกปรกมาก มันกินขยะทั้งนั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะ ถามว่าเราเป็นคริสเตียน เราอยากจะกิน กินได้ไหม? ได้ ก็ในเมื่อโลกวิญญาณสำคัญกว่า อย่างไรเราก็อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้เราก็เจ็บป่วย

“พระเจ้า รักษาลูกให้หายโรคที”

จะรักษาอย่างไร? ในเมื่อกินอยู่อย่างนั้น พระเจ้าก็ต้องมาเริ่มต้นเบอร์หนึ่งใหม่ ฝึกฝนที่จะเรียนรู้ในการกิน อดทนหน่อยนะ เอามีดจ่อคอหอยหน่อยนะ สิ่งที่ไม่ดี ก็อยากกิน สิ่งดีๆ ก็ไม่อยากกิน เพราะถ้อยคำพระเจ้าเป็นจริง เพราะมนุษย์อยู่ในความบาป ร่างกายนี้ ยังอยู่ในอิทธิพลของความบาปอยู่ แม้ว่าวิญญาณเราจะรอด วิญญาณเราจะถูกสร้างใหม่เอี่ยม ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้เลย  วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า จะอยู่กับพระเจ้าตลอดชั่วนิจนิรันดร เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจดแล้วทั้งสิ้นเลย ก็ตาม แต่ร่างกายเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้  ที่พระเจ้าจะใช้เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น มันยังอยู่ในกฎของโลกวัตถุอยู่ กฎของโลกวัตถุบอกว่าอย่ากินอันนี้นะ กินแล้วมันจะเป็นโรค เราก็ไปกิน เราก็เก็บเกี่ยวความเป็นโรคเข้ามาในร่างกายของเรา ยังมีอย่างอื่นเยอะแยะมากมาย ใน 1 โครินธ์ 3:10-15

1 โครินธ์ 3:10-15 “10  โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น กระนั้น แต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร 11 เพราะใครจะมาวางฐานรากอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางก่อขึ้นบนฐานรากนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

จริงๆ แล้วตรงนี้ ไม่ค่อยตรงกับที่ผมพูดมาทั้งหมดหรอก มันเป็นการบอกกล่าวถึงคนที่มีหน้าที่เป็นนักประกาศ ไม่ใช่ผู้เชื่อธรรมดา ผู้ที่มีหน้าที่ออกไปสอน  ออกไปประกาศ บางทีสอนๆ ไป ก็ใช้เนื้อหนังเข้าไปด้วย ต้องการชื่อเสียง ต้องการอะไร? ซึ่งตัวเขาเอง เขาก็เชื่อพระเยซู เขาก็ได้รับความรอด แต่ได้รับแบบทุกข์ทรมาน เพราะว่าอย่างอื่นไปทำไม่ถูก

ยกตัวอย่าง ถ้าเราเป็นคริสเตียน แล้วเราไปโกงเขา การเป็นคริสเตียนของเรา ก็เป็นวิญญาณอยู่ ได้รับความรอดอยู่ แต่เราไปโกงเขา เราจะต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีกลับมา ซึ่งตอนนั้น เราอาจจะรู้สึกว่าดี พระเจ้าอวยพรๆ เดี๋ยวก็โดน เพราะว่าพระคัมภีร์พูดไว้เช่นไร มันก็เป็นเช่นนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ? บางคนเอาอันนี้มาอ้าง อธิษฐานในใจ แต่คำอธิษฐานนั้นเอาเปรียบชาวบ้านเขาหมดเลย พระเจ้าตอบคำอธิษฐานด้วย  ก็จะไม่ตอบได้อย่างไร? เราอยากได้อย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ใจเราอยากได้ เราก็พุ่งตรงไปทำสิ่งนั้น มันก็ได้สิ ก็คือเราหว่านสิ่งนั้น เราก็ได้ เอาเปรียบเขา ปกปิดเขา ไม่ให้เขารู้ พระเจ้าก็เตือนเราหลายครั้ง แต่เราไม่ได้ยินหรอก เพราะว่าเนื้อหนังเรามันเสียงดังกว่า

“พระเจ้าอวยพรแล้ว เอาเลย”

เราก็คว้าหมับ แล้วอย่างไร? ถ้ามันสำคัญจริงๆ ก็ติดคุก ติดคุกแล้วอย่างไร? ก็อธิษฐานกับพระเจ้า และถ้าออกมาแล้ว ยังไม่สำนึกอีก ติดอีกไหม? ก็แล้วแต่ว่าคุณจะทำอะไร? นึกออกใช่ไหม?

มันต้องมีเหตุจากเราทั้งสิ้น อย่าไปโทษพระเจ้าเลยว่าพระเจ้าให้เกิดขึ้น ไม่มี ถ้าทำได้ พระเจ้าไม่ให้เกิดอะไรที่ไม่ดีในชีวิตเรา พระองค์ทรงรักเรามาก อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่เนื่องจากเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 2 เหตุผล

เหตุผลแรก ก็คือเราไม่รู้จริงๆ เหมือนกับโลกกลมกับโลกแบน ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร? ไม่รู้จริงๆ ว่ากินอันนี้ เห็นเขาบอกกินได้ ก็กิน ไม่รู้จริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้ความจริงเฉยๆ แต่มีอีกฝั่งหนึ่ง คือทั้งๆ ที่รู้ความจริงด้วยว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่าโลภ แต่เราจะโลภ เราสู้เนื้อหนังไม่ได้

เห็นไหม มันมี 2 ลักษณะ เพราะฉะนั้น อย่านึก แต่ทั้งสิ้นทั้งหมด มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าพระเจ้าทำให้เราเป็นอะไร? เราเองเป็นผู้เลือก

วันนี้เอามาฝากท่านว่าให้ท่านเลือกเอา จะเอากฎไหน? กฎที่ได้พร หรือกฎที่ได้คำสาปแช่ง

สรุปว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นมาวันนี้ บอกแล้วว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล เพราะว่ากฎหมายของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโรม 8:1 บอกว่า …

โรม 8:1 “ไม่มีการลงโทษใดๆ คำสาปแช่งใดๆ กับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปที่อยู่ในอาดัมและความตาย คืออยู่ในอาณาจักรมืด”

 

นี่คือกฎหมายของพระเจ้าที่บันทึกไว้เรียบร้อยแล้วว่าตอนนี้ ท่านอยู่ในกฎไหน? เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่นี่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ กฎวิญญาณ ไม่ใช่กฎโลกวัตถุ กฎวิญญาณ ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันดีใจก่อนแล้วกัน

สัปดาห์หน้ามาเรียนรู้กันต่อครับ  ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*****************************