วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1411

คำบรรยายวันศุกร์ประเสริฐที่  7  เมษายน  2023

เรื่อง “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ผมใช้หัวข้อเรื่องว่า “ทำไมพระเยซูต้องตายบนไม้กางเขน”  ท่านเคยคิดไหมว่าทำไมพระเยซูต้องตายที่ไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วตายได้อย่างไร? เคยคิดไหม? ถ้อยคำความจริงวันนี้จะเปลี่ยนความคิดของเราไปโดยสิ้นเชิงเลย  แม้ว่าเราจะรู้จักการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่วันนี้ถ้อยคำพระเจ้า จะบอกลึกซึ้งกว่านั้นว่าทำไมพระองค์ต้องตาย และทำไมพระองค์ตายได้ ในเมื่อพระองค์เป็นพระเจ้า

            เราย้อนไปวันนี้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ว่ากันตามจริงแล้ว ในโลกวิญญาณไม่มีเวลานะ ย้อนไปเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วกับเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มันคือเวลาเดียวกัน ในโลกวิญญาณ เพราะว่าหลุดออกจากวงจรของโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่มีวันเวลาแล้ว มิติฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าอยู่นั้น นอกเหนือเวลา พระองค์เป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ นั่นหมายถึงไม่มีเวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้ที่โบสถ์เราระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เรากำลังพูดถึง ณ บนโลกใบนี้ ซึ่งมีเวลา วงจรของโลกที่หมุน รอบมา 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว

            2,000 ปีที่แล้ว เราย้อนกลับไปตามเวลาของมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นในวันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูเมื่อเช้ามืด ถูกเฆี่ยน ถูกตีปางตาย ต้องใช้คำนี้เลยนะ ปางตาย คือจริงๆ แล้วต้องการให้ตายนั่นแหละ เพราะการลงโทษชนิดที่ถูกเฆี่ยน โดยชาวโรมัน เป็นการลงโทษ ที่ต้องการให้นักโทษถูกเฆี่ยนจนตาย และส่วนใหญ่ตาย ไม่ได้ถูกตรึงนะ ไม่ทันไปตรึง ตายซะก่อน แต่พระเยซูถูกเฆี่ยนจนครบ ไม่ตาย ก็ต้องรับโทษต่อไป ก็คือถูกตรึงบนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ถูกนำตัวไปตรึงที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันนี้ วันศุกร์ นึกถึงภาพว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เมื่อเช้านี้ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะมาอ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันว่าถูกตรึง คือตั้งแต่ 9 โมงเช้า – บ่าย 3 โมงนั้น สุดท้าย เกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงตายอย่างไร? หลังจากถูกเฆี่ยน ถูกตี ด้วยความเจ็บปวดปางตาย ยอห์น 19:28-30 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ยอห์น 19:28-30 “หลังจาก​นั้น​ พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ ​ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ”  มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้ ​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ ก็​คอพับ​ และ​สิ้นใจ​ตาย”

            อย่างเมื่อสักครู่นี้ ต้องการให้เราได้เห็นภาพเป็นจริงว่ากำลังเกิดขึ้นวันนี้ เมื่อเช้านี้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างนี้

            อยากให้ท่านเห็นคำสุดท้าย ที่เขียนบอกว่า “พระองค์จึงร้องเสียงดังว่า “สำเร็จแล้ว”

            อะไรนะสำเร็จ  ก็คือการตายของพระองค์ได้ตายจริงๆ และสำเร็จแล้ว แสดงว่าพระเจ้าเตรียมให้พระองค์มาตาย และพระองค์ก็ตายสำเร็จแล้ว แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นเหตุเนื่องจากการตายของพระองค์นี่แหละ สำคัญกว่าการถูกโบยตีเมื่อสักครู่นี้ ปางตายอีก การตายสำคัญมาก และข้อสำคัญต่อมา

            บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” จากนั้น พระองค์ทรงคอพับ และสิ้นใจตาย”

            นี่คือคำแปลของเวอร์ชั่นหนึ่ง  แต่ถ้อยคำนี้ ภาษาเดิมพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ แปลว่าอย่างนี้

            “ยกเลิกวิญญาณ” แปลว่ายกเลิกชีวิต ก็คือยอมตาย

            ไม่มีใครเอาชีวิตพระองค์ได้นะ นี่แหละพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ตรงนี้ต้องบอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วพระองค์ก็ยอมตาย ยอมสละชีวิต ถ้าบอกว่าพระองค์สิ้นใจตาย บางทียังนึกว่าเพราะว่าถูกคนทรมานจนตาย ไม่ใช่ พระองค์ไม่ตายก็ได้ พระองค์เป็นพระเจ้า

            ผมชอบเพลงๆ หนึ่ง เป็นเพลงชีวิตคริสเตียนเก่าแก่เป็นร้อยปี พูดถึงตรงนี้ชัดเจน อยู่ในเพลงนั่นแหละ ซึ่งเราคุ้นเคยกันดี เพลง “ที่กางเขน” เดี๋ยวเราร้องกันนิดหน่อย สักท่อน

                        “พระโลหิตของพระเยซูไหล         พระองค์ทนทุกข์อับอาย

                        จนในที่สุด พระองค์ต้องตาย          ก็เพื่อล้างบาปของข้า

                        ** ที่กางเขน ที่กางเขน ข้าแลเห็นความสว่าง

                             และความหนักใจอันใหญ่ยิ่งได้หลุดหาย

                             เพราะข้าดูกางเขน จึงแลเห็นกระจ่าง

                             เดี๋ยวนี้ ข้าจึงมีความสุขสบาย **

            เราทั้งหลาย มวลมนุษยชาติมีความสุขสบาย ก็เพราะการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ต้องตาย คำนี้คำเดียว มีความหมายมาก ลึกซึ้งมาก คราวนี้ท่านมองที่กางเขน ท่านเห็นอะไร? อดีตท่านอาจจะรับเชื่อมานานแล้ว ท่านมองกางเขน ท่านอาจจะเห็นความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่ถ้ามองทะลุลึกไปกว่านั้น ท่านจะเห็นการตายของพระเจ้าด้วยความรัก พระเยซูต้องการให้เราเห็นลึกกว่านั้น ไม่ใช่เห็นความรักของพระองค์เท่านั้น เห็นการตายของพระองค์เท่านั้น แต่เห็นว่าพระองค์ตาย เพื่ออะไรเกิดขึ้นกับเรา ตรงนี้ต่างหาก ซึ่งวันนี้ผมจะพาท่านไปดูว่าพระเยซูต้องการให้เราเห็นอะไร? รู้อะไร? เกี่ยวกับการตายของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น โรม 5:8 บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 5:8 “แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป​ (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ ตอนนี้พระเจ้า​ยอมรับ​เรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว ​เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์”

            พระองค์รักเรา ถึงได้ยอมส่งพระคริสต์ พระบิดา ยอมก่อน นึกภาพนะ และพระคริสต์ก็ต้องยอมด้วย จำได้ไหม? พระบิดาวางแผนไว้ให้พระบุตร มาตายที่ไม้กางเขน แล้วพระบุตรก็ต้องยอมด้วย และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

            เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็เพราะว่าเมื่อคืนวานนี้ วันพฤหัส ช่วงหัวค่ำ ก่อนที่จะถูกจับไปตรึงไว้ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์รู้แล้วว่ารุ่งขึ้น มันถึงวันที่กำหนดแล้ว  พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปีแล้ว เหตุการณ์จะเกิดขึ้น ในวันพรุ่งนี้แหละ คืนนี้เขาจะมาจับไปแล้ว รุ่งเช้ามืด ก็จะถูกเฆี่ยน ปางตาย แล้วก็จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน  และต้องตาย ตายตามน้ำพระทัย พระองค์ทรงทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงทำ ในคืนวันนั้น คืออธิษฐาน ไม่ไปได้ไหม? …

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เป็นไปได้ไหมที่ลูกไม่ต้องตาย”

            อธิษฐานครั้งแรก … พระเจ้า คือพูดง่ายๆ ก็ตอบโดยเงียบ ก็คือไม่ได้ ต้องตามแผน ต้องตาย กลับไปอธิฐาน ขอกำลังจากพระเจ้าใหม่ อธิษฐานอีก

            พระเยซูบอก … “พระเจ้าครั้งที่ 2 ไม่เข้าไปให้เขาจับตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม? ลูกไม่ไหว”

            พระเจ้าก็ตอบเหมือนเดิม คำเดิมว่า “ไม่ได้” ต้องเป็นไปตามน้ำพระทัย ตามแผนการ

            จนครั้งที่ 3 ทรุดเข่าลงไป เหงื่อออกเป็นเลือด กลัวมาก เครียดมาก พระเจ้านี่ครั้งที่ 3 แล้ว เป็นไปได้ไหม? นี่ขนาดพระเยซูนะ และในที่สุด คำตอบ ก็คือเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ต้องตาย ในที่สุด พระองค์ก็ต้องตัดสินใจ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย

            เราจึงได้รู้สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนี้ มันยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นะ ยังถึงขนาดนี้เลย แสดงว่ามันต้องสำคัญมาก และลึกไปกว่านั้น ก็แสดงว่าต้องมีแผนการอะไรดีๆ ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติแน่นอนเลย เปลี่ยนไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำจนสุด คือพระบุตรต้องตาย

            ตะกี้ที่เราอ่านในโรม 5:8 บอกว่า … “โดยยอมส่งพระคริสต์มาตาย เพื่อเรา

            ถามว่าคำว่า “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใคร? หลายคนบอกว่าหมายถึงเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ใช่

            พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก รักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอด ใช่ไหม? ตรงนี้หมายถึงการตาย เพื่อมนุษยชาติ  ไม่ใช่ตายเพื่อคริสเตียนเท่านั้น ตายเพื่อมวลมนุษย์

            มี 2 อันที่เห็นชัดเจน ในข้อความที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ ก็คือ …

            1. หลั่งพระโลหิตของพระองค์ อภัยความบาปผิดของมวลมนุษยชาติทั้งหมด โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มต้น ถูกเฆี่ยน ถูกตีนั่นแหละ  ปางตายนั่นแหละ เลือดหลั่งไหลออกมา จนกระทั่งถึงไม้กางเขนนั้น เลือดทั้งหมดนั้น คือการชำระความบาปให้กับมวลมนุษยชาติ แทนที่เราจะถูกเฆี่ยนตี พระองค์ยอมถูกเฆี่ยนตีแทนเรา แค่นั้นไม่พอ ซึ่งจริงๆ ก็พอแล้วนะ  อภัยในความบาปผิดของเราแล้ว แต่วิญญาณเราก็ยังเป็นคนบาปอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เป็นคนบาปที่ได้รับการอภัย ท่านนึกภาพออกไหม?

            2. พระเจ้าบอกไม่ได้ แค่นั้นไม่พอ ต้องตาย “ตาย” คืออะไร? สิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายไปด้วยกันกับพระองค์  และเมื่อตายไปกับพระองค์ จะได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พร้อมพระองค์ด้วย เอเมน

            นี่คือแผนการอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าวางไว้ว่าพระเยซูต้องตาย ก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตายเพื่อตัวเอง  ไม่ใช่ตาย เพราะว่าจำเป็นกับคนอื่น ต้องฆ่าให้ตาย บังคับให้ตาย ไม่ใช่ แต่ยอมตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวง จะได้มีโอกาสมาตายพร้อมพระองค์ และได้บังเกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ พ้นจากบาป (จริงๆ เลย) เป็นคนใหม่ คนเก่าตายไปแล้ว  ไม่ใช่เป็นคนบาปเหมือนเดิม แล้วได้รับการอภัยด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            ท่านเห็นภาพไหมว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? หลายคนดูไม้กางเขน นึกถึงการตายของพระเยซู นึกถึงแค่ …

            “พระโลหิตของพระเยซูชำระบาปให้กับลูก แค่นี้ก็ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ ลูกพ้นจากความบาปผิดเรียบร้อยแล้ว”

            ลืมคิดไปว่าวิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่ ใส บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย เป็นลูกของพระเจ้าเลย ตรงนั้นต่างหาก ที่ได้รับมา โดยผ่านทางไม่ใช่โลหิตแล้ว ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เพื่อคริสเตียนเท่านั้น เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระองค์ ฟังให้ดีๆ นะ  ถ้าพระองค์ยอมตายเพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายด้วย  ก็แสดงว่าเราทั้งหลายต้องเข้าไปอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  แสดงว่าก่อนหน้านี้  เราต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ที่เราเป็นคนบาป ในโลกวิญญาณ

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อที่จะได้ย้ายให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในพระองค์ ตอนตายได้  และคำๆ นี้เป็นคำที่ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่มเลย  ก็คือการย้ายเข้าไปอยู่ในพระองค์ การตายพร้อมพระองค์นั้นใช้คำว่า “บัพติศมา” แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป แปลว่าเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเยซูบัพติศมากันใหม่  ซึ่งเราเรียกกันว่าบัพติศมาในพระคริสต์ ก็คือบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งแต่เดิมนั้น เราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง พระองค์จึงย้ายเราออก พระคัมภีร์บอกเราเป็นคนบาป เรามนุษย์ทั้งปวง เกิดมา ก็บัพติศมาแล้ว แต่เป็นการบัพติศมาอยู่ในบรรพบุรุษของมนุษย์ที่เรียกว่าอาดัม DNA ในวิญญาณ เราอยู่ในนั้น เราถูกจุ่มอยู่ เราเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาดัม พอจะมองภาพเห็นไหมครับว่านี่คือแผนการของพระเจ้า

            คืนวันพฤหัส พระองค์อธิษฐาน ตัดสินใจแล้วว่ายอมตาย พระองค์รู้แล้วว่าพระองค์จะมาทำอะไร? พอตัดสินใจได้ปุ๊บ ฮึดขึ้นมา ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจ ยังไม่กลัว ตอนกลัว คือกำลังจะถูกจับ ในไม่ช้า ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ก่อนหน้านี้ พระองค์ไม่เคยกลัวเลย  ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงอายุ 33 จนกระทั่งถึงวันพฤหัสตอนเย็นๆ ก็ยังไม่กลัวเลย แต่มากลัวเอาตอนหัวค่ำ ก่อนที่เขาจะมาจับพระองค์ เพราะมันใกล้วันนั้นจริงๆ แล้ว พระองค์รู้ด้วยพระองค์มาทำอะไร? แล้วพระองค์กระทำสิ่งหนึ่งร่วมกับเหล่าสาวก เพื่อยืนยันสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ คือการบัพติศมา การตายของพระองค์ เพื่อให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในการตายของพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ พระองค์กระทำสิ่งหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คือรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย ก่อนตาย ซึ่งเราเรียกกันว่าพิธีมหาสนิท ซึ่งวันนี้ เดี๋ยวเราจะทำกัน แต่เราจะย้อนไป ภาพเป็นจริง เหมือนกับเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ ก็คือเมื่อวานนี้วันพฤหัส ช่วงเย็นๆ เราจะทำมหาสนิทกัน แล้วจำลองภาพให้เห็นว่าพระองค์ทำอะไร? และทำเพื่ออะไร?  และเป็นที่มาของมหาสนิท ที่เราทำกันทุกวันนี้  ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม? ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร? การทำมหาสนิทหมายถึงอะไร? ที่เราทำอยู่บ่อยๆ นี้ เราจะมาดูกันถึงครั้งแรกของมหาสนิทที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งพิธีตั้งโดยพระเยซูคริสต์เอง

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงตั้งพิธีมหาสนิทนี้ เพื่อเป็นการทดแทนพิธีปัสกาของชาวยิว  เพราะเป็นเทศกาลปัสกาของชาวยิว ที่มีการรับประทานขนมปังไร้เชื้อ และแกะย่างทั้งตัว โดยไม่ต้องหักกระดูก เพื่อเป็นการระลึกถึงเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงใช้โมเสส นำพาชาวยิวอพยพออกมาจากอียิปต์ ซึ่งเรื่องเทศกาลนี้ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม อพยพ บทที่ 12 ถึงบทที่ 13 ท่านไปเปิดอ่านดูนะ ซึ่งเหตุการณ์นั้น ในพระคัมภีร์เดิม สมัยโมเสส เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ที่กำลังจะมาเป็นแกะปัสกาในวันพรุ่งนี้ นึกภาพออกนะ

            เพราะว่าในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด พูดถึงพระเยซูทั้งสิ้น ทุกอย่างเล็งมาที่พระเยซูคริสต์ที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่จะต้องตายที่ไม้กางเขนทั้งสิ้น พระเจ้ายืนยันพันธสัญญาไว้ว่าจะทำอย่างนี้ ให้กับมนุษย์ เหมือนกับบอกล่วงหน้าไว้เลยว่าเราจะทำอย่างนี้ๆ เป็นเวลาหลายพันปีเลย โดยพระเมสิยาห์ ที่หมายถึงพระเยซูคริสต์ที่จะเป็นปัสกานี้ ลักษณะแบบเดียวกับวันปัสกาในสมัยโมเสส ซึ่งเป็นวันที่ปลดปล่อยประชากรของพระเจ้า ให้หลุดออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ พระเยซูก็มาปลดปล่อยเราให้หลุดจากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณของความบาปและความตาย

            เรามาดูว่าในเย็นวันนั้น อาหารมื้อสุดท้าย แทนที่จะเป็นปัสกา แล้วพระเยซูเปลี่ยนการกินปัสกานั้น มาเป็นสิ่งนี้แทนว่าของจริงมาแล้ว ปัสกาที่เคยทำในอดีตนั้น เป็นของสมมติ เล็งให้เห็นถึงวันที่พระเยซูคริสต์จะมา และตอนนี้ พระองค์มาแล้ว ของจริงมาแล้ว 

            เรานึกถึงภาพวันนั้นนะ หัวค่ำคืนวันพฤหัส ที่เราเรียกว่า Last Supper หรืออาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ลูกา 22:14-20 …

        ลูกา 22:14-20 “เมื่อถึงเวลา พระเยซูกับเหล่าอัครทูตก็นั่งลงรับประทานที่โต๊ะ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะรับประทานปัสกานี้ร่วมกับพวกท่าน ก่อนที่เราจะทนทุกข์ เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่รับประทาน ปัสกานี้อีก จนกว่าปัสกานี้ สำเร็จครบถ้วน ในอาณาจักรของพระเจ้า”  พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วตรัสว่าจงรับถ้วยนี้ แบ่งกันดื่ม เพราะเราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง” และพระองค์ ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขา และตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านจงทำเช่นนี้ เป็นการระลึกถึงเรา” หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วย และกระทำอย่างเดียวกัน แล้วตรัสว่า “ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออก เพื่อท่าน”

            ให้เรานึกถึงอย่างที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้น ไม่ใช่อดีต 2,000 ปี มันเกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ย้อนมาเมื่อวานนี้เอง นึกถึงภาพเรานั่งอยู่ที่โต๊ะกับพระองค์ด้วย พระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อเรา เรา คือผู้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น และพระองค์กระทำอย่างนี้ เราจะทำพิธีมหาสนิทด้วยกัน  ปกติแล้ว เป็นมื้ออาหารจริงๆ นะ แต่มาหลังๆ เนื่องจากคริสตจักร มีเยอะขึ้น แล้วคนก็มากขึ้น เขาเลยทำสะดวกๆ พิธีนี้เพื่อระลึกถึง ขนมปังก็ก้อนเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเล็กถึงทุกวันนี้ กระจิ๋วเดียว น้ำองุ่นแทนที่จะเป็นแก้วใหญ่ๆ กินเป็นอาหารกันจริงๆ อาหารทางอิสราเอล ทางตะวันออกกลาง เขาไม่ได้ดื่มน้ำเปล่า เขาดื่มไวน์ ดื่มน้ำองุ่น

            จะอ่าน 1 โครินธ์ 10:16-17 อ่านให้ท่านฟังก่อนนะ …

        1 โครินธ์ 10:16-17 “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            ขนมปังหมายถึงอะไร? ขนมปังที่เราหัก คือการเข้าร่วมกันในพระกายของพระคริสต์ สมมติว่านี่คือร่างกายของพระเยซู (ขนมปัง) นึกออกไหมครับ? เรากินเข้าไป ก็เท่ากับเรามีส่วนในร่างกาย  ในเนื้อ เนื้อกับเนื้อร่วมกัน  และพอเราดื่มน้ำองุ่น คือเลือด เลือดเรากับเลือดพระเยซู เลือดต่อเลือดเข้ากัน เคยได้ยินคำนี้ คุ้นๆ ไหม? ที่เขาเรียกว่า …

            “ท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจากพ่อแม่”

            เลือดเนื้อเชื้อไข ก็คือเราเกิดมาจากเซลของพ่อแม่ของเรา เรามีเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากพ่อแม่ของเรา พอนึกออกใช่ไหม? แต่ตรงนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแบบวิญญาณ พระเยซูไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? พระเจ้าไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร? จึงยกตัวอย่างอย่างที่มนุษย์พอจะเข้าใจ พอมองเห็นได้ ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข  แต่จริงๆ แล้วเล็งไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายด้วยนะ เดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันต่อไป แต่ตอนนี้ให้ท่านรู้ว่าที่ท่านทำมหาสนิทอย่างนี้  ที่พระเยซูให้ท่านกินขนมปัง หมายถึงร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น เหมือนกับดื่มเลือดของเรา ท่านกำลังเข้ามามีเลือดเนื้อเชื้อไขร่วมกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจหรือยังครับ?

            จะกินน้ำองุ่นก่อนก็ได้ หรือจะกินขนมปังก่อนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะกินขนมปังก่อน แล้วค่อยกินน้ำตาม เพราะจะได้ลื่นคอหน่อย เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ? ถ้าเข้าใจ กินขนมปังและน้ำองุ่นพร้อมกันครับ ตอนกินไป ก็ระลึกถึง ที่ผมบอกตะกี้นี้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            แล้วระลึกถึงว่าที่เรากำลังทำอยู่นี้ เป็นแค่สมมติ เมื่อตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ ตอนนั้น ก็เป็นสมมติ แต่สมมติเขากินจริงๆ กินขนมปังไร้เชื้อ เป็นก้อนจริงๆ ดื่มน้ำองุ่น คือน้ำองุ่นจริงๆ แต่อันนี้เราสมมติเอา

            พระองค์กระทำเช่นนี้ เพื่ออะไร? แล้วบอกให้เราทำบ่อยๆ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในวันพรุ่งนี้ จำได้ไหมตะกี้เราพูดกัน พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ตอนวันพฤหัสตอนเย็น ก่อนจะถูกจับ พระองค์รู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทำอย่างนี้ๆ พรุ่งนี้ ท่านจะได้ระลึกถึงสิ่งที่เราทำนี้ และให้ทำบ่อยๆ  ทำครั้งใดให้ระลึกถึงเรา ระลึกถึงเลือด ระลึกถึงร่างกายที่ตาย เพื่อท่านทั้งหลาย เลือดที่หลั่งออกมาชำระบาปให้กับท่าน และทำให้ท่านกับเราได้บัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังทำสิ่งนี้ เป็นการประกาศข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ประกาศมา 3 ปี ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ที่ประกาศว่าให้กระทำสิ่งนี้

            นี่คือข่าวดีเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ที่พระองค์ประกาศเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะถูกจับไปเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกตรึง จนกระทั่งยอมสละชีวิตพระองค์เอง ยอมยกเลิกวิญญาณ ซึ่งขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ ที่เรากินเมื่อตะกี้นี้  ทิ่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน    น้ำองุ่นเล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกมา   เพื่อชำระล้างความผิดบาปให้กับเรา การรับประทานขนมปังและน้ำองุ่นเล็งให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน แบบสนิทกัน เลือดเนื้อเชื้อไข ทางฝ่ายวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ากับวิญญาณของผู้เชื่อของมนุษย์ทั้งหลาย  คือบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้าเดียวกันเลย

            และว่ากันตามจริงแล้ว เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แบบร่างกาย ความคิด จิตใจ และวิญญาณ 3 อย่างเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย อย่านึกว่าร่างกายเราสกปรกอีกต่อไป ไม่มีอีกแล้ว ถ้าท่านเชื่อในพระเยซู ท่านก็ต้องเชื่อในสิ่งเหล่านี้ ที่พระเยซูบอกเช่นเดียวกัน ก็คือพระองค์ทรงยอมตาย ก็เพื่อสิ่งนี้  ที่เราจะได้เข้าไปร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่างกายท่านก็ได้ถูกชำระ และได้เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ในวันหนึ่งข้างหน้า ที่จะได้รับร่างกายใหม่  แต่ร่างกายปัจจุบันที่ยังอยู่นั้น ท่านอาจจะบอกว่าเป็นร่างกายเดิม ฉันยังอยู่เหมือนเดิม ยังแก่เหมือนเดิม แต่มันได้รับการชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ปกคลุมอยู่เหนือท่านตลอดเวลา เป็นร่างกายใหม่แล้ว แต่ท่านมองดู มันยังเก่าอยู่ก็จริง แต่ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ สมบูรณ์ครบถ้วน เมื่อจากร่างกายนี้ไปแล้วนั่นเอง

            ใน 1 โครินธ์ 10:16-17 เมื่อสักครู่นี้จึงบอกว่า … “ถ้วยน้ำองุ่น ซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ คือการเข้าร่วมในโลหิตของพระคริสต์ ไม่ใช่หรือ?”

            เข้าร่วม แปลว่าเข้าเลือดเนื้อเชื้อไข เข้าเลือด และขนมปังซึ่งเราหักนั้น คือการเข้าร่วมไม่ใช่หรือ? คือเลือดก็เข้าด้วยกัน เนื้อก็เข้าด้วยกัน เหมือนกับเราเกิดจากพ่อแม่เราไม่มีผิด

            “เนื่องจาก มีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน”

            นี่หมายถึงพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย  ก็เข้าส่วนร่วมในพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวกันเท่านั้นเอง เราเลยร่วมกัน นี่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างให้เห็น มันไม่ได้เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ  เพื่อจะได้เห็นในโลกวิญญาณว่าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? คริสเตียนทุกคนที่เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา ก็คือเปรียบเสมือนพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ แล้วพวกเราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะต่างๆ ของร่างกายนี้ พอจะมองเห็นใช่ไหม? ทั้งหมด ก็ยังเป็นรูปร่างของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น การทำมหาสนิท ก็เพื่อระลึกถึงผลของการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ระบบของเครื่องบูชาต่างๆ สมัยปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมได้สิ้นสุดลง จบแล้ว ไม่ต้องทำอีกต่อไป  ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาใดๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะพระเยซูคริสต์ทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา แค่ครั้งเดียวเป็นพอ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ในฮีบรู 7:27 …

        ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วัน เหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของตนเอง จากนั้น จึงถวายเครื่องบูชา  สำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เอง เป็นเครื่องบูชา  สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย  เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            หลังจากที่พระเยซูกระทำมหาสนิทในค่ำวันพฤหัสแล้ว แล้วก็สั่งให้สาวกทำบ่อยๆ ให้ระลึกถึงบ่อยๆ จนพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เหล่าสาวกก็เชื่อฟัง และกระทำสิ่งนี้มาตลอด เป็นเรื่องสำคัญที่ทำกัน ไม่ใช่แค่ทำกันปีละครั้งหนึ่ง หรือเดือนละครั้ง ทำกันบ่อยๆ เลย เมื่อมีโอกาสทานข้าวด้วยกัน ก็จะระลึกถึงอย่างนี้ มีโอกาสพิเศษ ก็ระลึกอย่างนี้ มาอยู่ร่วมกันก็ระลึกถึงอย่างนี้ ทำไมระลึกถึง? เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ก่อนพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ ก่อนที่พระเยซูจะตาย พระองค์ทรงทิ้งคำนี้เอาไว้ให้ว่าให้กระทำอย่างนี้บ่อยๆ จงระลึกถึงเรา ที่เราทำให้ จงระลึกถึงเลือดของเรา ระลึกถึงร่างกายของเราที่จะตายเพื่อท่าน แสดงว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก และไม่อยากจะให้มนุษย์ลืม คิดดูสิ ขนาดสาวกเหล่านี้ทำต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ทั้งเปาโล ผู้ซึ่งมาเป็นอัครสาวกทีหลัง เขาเน้นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ พระเยซูสั่งให้เปาโลประกาศอย่างนี้ว่าให้ทำอย่างนี้บ่อยๆ ซึ่งเขาก็ทำกันมาบ่อยๆ ขนาดทำกันมาบ่อยๆ มาถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมา คิดดูสิ ยังลืมเลย ถามว่าลืมหมายถึงอะไร? ลืมความจริงไปว่าทำนี้เล็งถึงอะไร? พระโลหิตหมายถึงอะไร? ร่างกายพระองค์แตกหักเพื่ออะไร? พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่ออะไร? ความจริงเหล่านี้ถูกเลือนหายไปเยอะแยะเลย

            ซึ่งการกระทำเหล่านี้ พระเยซูบอกแล้วว่าวัตถุประสงค์ของพระเยซู ก็คือต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ที่ไม้กางเขน สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐ หัวใจก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย จะได้ร่วมตายกับพระองค์ด้วย หัวใจไม่ได้อยู่ที่การเป็นขึ้นจากความตายนะ นึกให้ดีๆ แล้วลองคิดดูว่าความจริงในเรื่องนี้ ที่พระเยซูให้เราย้ำยืนยัน กลัวเราลืม แล้วเราลืมขนาดไหน? เราฉลองวันอะไรมากกว่ากัน วันเกิดของพระเยซู วันคริสตมาสเราฉลองกันใหญ่โตเลย รองลงมา เราก็ฉลองวันเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐไม่มีคนพูดถึง ทั้งๆ ที่ความสำคัญที่สุด อยู่ที่วันศุกร์ประเสริฐ วันตาย

            พระองค์เกิดวันคริสตมาส แต่มาถึงวันศุกร์ พระองค์ไม่ยอมตายก็ได้ เห็นไหมครับ อะไรสำคัญกว่า พระองค์ตัดสินใจยอมตาย  ตายสำคัญกว่า ถูกไหมครับ?  พระองค์เกิด พระองค์ไม่ตายก็ได้  แล้ววันเป็นขึ้นจากความตายล่ะ? เป็นขึ้นจากความตายไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสเลย  เพราะถ้าไม่ตาย ก็ไม่มีทางเป็นขึ้นจากความตาย

            เพราะฉะนั้น ความสำคัญ หัวใจของข่าวประเสริฐ จึงอยู่ที่การตาย สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่ให้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่ออะไรที่พระองค์ทรงกระทำ เป็นข่าวดีนั้น ข่าวดีถูกทำให้สำเร็จครบถ้วนแล้ว บริบูรณ์แล้ว

            พอพระองค์ทรงเกิดในรางหญ้า  และพระองค์ก็ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วพระองค์บอกว่า “สำเร็จแล้ว” ไม่ได้พูด ถูกไหม?  เป็นขึ้นจากความตาย ก็ไม่ได้พูดนะ  แต่ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “Tetelestai” ภาษากรีก ทรมานมากเลย อยู่บนไม้กางเขน ร้องเสียงดังว่า “Tetelestai” สำเร็จแล้ว ที่ทุกข์ทรมานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้า ไม่มา ในที่สุด ก็ทำสำเร็จแล้ว ยอมตายแล้ว จบแล้ว อะไรสำเร็จ? ก็คือข่าวประเสริฐนั่นเอง มวลมนุษยชาติได้รับการไถ่บาปจนหมดสิ้นแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้แล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้าแล้ว มนุษย์มีส่วนร่วมในชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์แล้ว มนุษย์สามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระองค์แล้ว มันเป็นแล้ว มันเกิดแล้ว มันได้แล้ว นี่คือข่าวดีให้ประกาศออกไปให้กับใคร? ให้กับคริสเตียนทุกคน  ไม่ใช่ ประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคนว่าเขาได้รับแล้ว

            พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อเขาแล้วหรือยัง? แล้ว สำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว  เพียงแต่เขารู้ข่าวดีหรือยัง? เมื่อรู้แล้ว เขาจะรับสิทธิเขาไหม? สำคัญที่สุด พระองค์ทรงบังคับใครไม่ได้  แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้แล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้มาโดยเป็นของขวัญ ของประทานจากพระบิดาและพระบุตรร่วมกัน เป็นพระคุณที่มนุษย์ทั้งหลายไม่ต้องทำอะไรเลย จึงจะได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญาเดิมที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง อยู่ใต้พันธสัญญาเดิม  ก็คือพันธสัญญาแห่งการกระทำด้วยตนเอง พึ่งพาตนเอง อยู่ในกฎระเบียบ ศีลธรรม ต้องทำความดีเยอะๆ ถึงจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  แต่นี่ให้ฟรีๆ  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับสิทธิของตนเอง มันง่ายมากเลย ก็เลยไม่เชื่อ เพราะมันง่ายไป ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ

            “สำเร็จแล้ว” คืออะไรอีก? อะไรที่สำคัญตรงนี้ ตะกี้นี้ผมบอกตอนต้น  สำเร็จแล้ว คือการบัพติศมาไง บัพติศมาสำเร็จแล้วหรือยัง? สำเร็จแล้ว

            ขบวนการรับบัพติศมาในพระวิญญาณ พร้อมแล้ว สำเร็จแล้วกับมนุษย์ทุกคนที่จะเปิดใจเข้าไปสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เรียกว่าบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระเจ้า ขบวนการนี้สำเร็จแล้ว ตั้งขึ้นมาหมดแล้ว ณ วันนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ตั้งเมื่อไร? เมื่อเช้านี้ ตอนที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ถ้าในโลกวัตถุ ผ่านมาแล้ว 2,000 ปี แต่ในโลกวิญญาณเมื่อเช้านี้ ตั้งอยู่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ก็คือขบวนการ การบัพติศมาในพระวิญญาณของพระเจ้า การบังเกิดใหม่ ได้เริ่มต้นแล้ว  สำหรับมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ว่าจะชาติใด ศาสนาใดก็ตาม สำหรับเขา เป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือแค่เปิดใจ ก็จะได้รับความรอด จากความพินาศ ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ในที่ที่เราเรียกกันว่านรก ย้ายออกจากนรก อาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับชีวิตที่เป็นของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ปราศจากบาป เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนดีจริงๆ  โดยกำเนิด เป็นคนดีเหมือนพระเจ้าเลยทางวิญญาณ และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยทันที

            พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร เราก็ได้รับไปด้วย  เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้อะไร เราได้ไปด้วย พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ด้วย และทั้งหมดนี้ เป็นชีวิตที่เกิดใหม่ทันที เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเกิดขึ้นทันที ไม่ต้องรอ

            พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้บัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระองค์ ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทันทีเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกของพระเจ้า หรือได้รับมรดกจากพระบิดา ที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู แล้วพระเยซูก็ให้กับพวกเราอีกที  เพราะว่าเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เหมือนที่ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเปิดใจต้อนรับ ทันทีทันใดปุ๊บ  เราก็ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ บัพติศมาในพระคริสต์ พระคริสต์ก็มาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนี้ต่อไป เราเดินไปที่ไหนก็ตาม เราก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้รับอะไร ฉันก็ได้รับด้วย พระเยซูคริสต์เป็นอะไร ฉันก็เป็นด้วย  พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ฉันก็นั่งด้วย พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ฉันก็สะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ด้วย”

            มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต้องเรียนรู้ความจริง ถ้อยคำของพระเจ้าในแต่ละวัน เรียนรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างไร? ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? พระเยซูคริสต์มีลักษณะเป็นอย่างไร?  ก็เรียนรู้ไป  แล้วก็เชื่อเท่านั้นเองว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เรามองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา ก็คือการจุ่ม ใส่เราเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เข้าส่วนร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ตอนนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ ท่านเห็นคำว่า “บัพติศมา” เมื่อไร? ท่านใส่คำนี้เข้าไปแทนที่เลย “เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน” ท่านทั้งหลายบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือท่านเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ บัพติศมา ก็คือการย้ายเราออกจากที่เดิมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะก่อนหน้านี้ เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความมืด

            เพราะฉะนั้น บัพติศมา พูดง่ายๆ ก็คือการผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามา ผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืดในอาดัม มาอยู่ในความสว่างในพระคริสต์ โดยให้เรามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ โดยบัพติศมาเข้าไปในพระคริสต์ ในหนังสือโรม บทที่ 6 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลยว่าพอเราบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ เราก็ตายพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขน  ตัวเก่าเราที่เป็นตัวบาป สกปรก โสโครกตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงตาย ก็เพื่อเราจะได้ตายด้วย และเมื่อเราตายด้วยปุ๊บ เราอยู่ในพระองค์แล้ว พระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  พอพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พระเจ้า พระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่สาม  เราก็เป็นร่วมกับพระองค์ด้วย  พระองค์ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ได้รับสิทธิอำนาจทั้งหมด ในโลก สวรรค์ก็ดี  3 โลกเลยก็ตาม อะไรแล้วแต่ เราก็ได้รับสิ่งเหล่านั้นไปด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

            แล้วมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง แค่เปิดใจเท่านั้นเอง แค่เปิดใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ มันเป็นจริง แล้วรับสิทธิของท่าน มันก็เกิดขึ้นทันทีในวิญญาณ ในชีวิตของท่านทันที ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วย ท่านจะรู้ รู้เพราะมันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจะรู้จากภายในของท่านว่ามันใช่จริงๆ ท่านไม่สามารถพิสูจน์ก่อนที่จะเข้าไปบัพติศมาได้  เพราะว่ามันไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ  ท่านต้องบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เสียก่อน แล้วท่านถึงจะรู้ว่ามันเป็นจริงๆ  ท่านกลับไปคิดดูแล้วกันสิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร? ต้องค่อยๆ คิดไปทีละนิด

            ที่กำลังพูดไปทั้งหมดนั้น เป็นมรดก เป็นพินัยกรรม ที่พระเยซูได้รับ และให้มนุษย์ทั้งปวง มนุษยชาติทั้งหมด มีสิทธิ์เข้าร่วมรับมรดกนี้ ร่วมกับพระองค์ และมรดกนี้ พินัยกรรมนี้ มีผลบังคับใช้เรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ตายแล้ว มรดกถึงเริ่มทำงาน เอเมน คนตายแล้ว พินัยกรรมถึงจะเริ่มทำงาน พระคัมภีร์บอกไว้ พระเจ้าตั้งมรดกนี้ ไว้ตั้งนานแล้ว รออย่างเดียว รอผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ตายเมื่อไร? มรดกมาถึงมวลมนุษยชาติทันที  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน?

            ต้นไม้แห่งอาดัม  หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์  ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี  หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

            การบังเกิดใหม่  คือการย้ายจากที่อยู่เดิม  ในอาณาจักรแห่งความมืด  มาอยู่บ้านใหม่  คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร  ก็คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระเยซูคริสต์

            ย้ายโดยการผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า  ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์  ออกจากที่เดิม คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์

                        ➢ ออกจากการอยู่ในความตาย  มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์

                        ➢ ออกจากการเป็นทาส   มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระเจ้าบอกความจริง ในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรา  มองดูข้างนอกเหมือนมีชีวิต   แต่วิญญาณข้างในตัวตนจริงๆ  ตายอยู่  แค่รอเวลา เหมือนต้นไม้เขียวชอุ่มที่มีรากเน่า ไม่ช้าไม่นานก็แห้งตาย

            ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณข้างใน ร่างกายภายนอกนี้  ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวัน ที่จะเสื่อมสลาย  เน่าเปื่อยลง

            สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่  ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ  ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้อาดัมในบาป  เป็นกิ่งหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้น  อาจยังดูเขียวอยู่   ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่รากที่อยู่ใต้ดิน ที่มองไม่เห็นนั้นเน่าหมดแล้ว กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นไม้อาดัม ก็เพียงแค่ รอวันที่จะทยอยเหี่ยวแห้ง  เฉาตายลง

            วิธีเดียวที่จะให้กิ่งไม้ กลับมามีชีวิต  ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม   แล้วย้ายไปทาบกิ่ง ต่อติด  อาศัยอยู่ ในต้นไม้แห่งพระคริสต์ ก่อนที่กิ่งนั้นจะตายลงเอาไปเผาไฟพินาศ

            ถามว่าในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไหน? ต้นไม้แห่งอาดัม หรือต้นไม้แห่งพระคริสต์!

            ทั้งหมดนี้  ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว  ในโลกวิญญาณ

            เพียงแค่เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้า เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายวิญญาณเรา เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ต่อกิ่งเข้ากับลำต้นพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่า ยินยอม รับการบัพติสมา  เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            เป็นการเข้าสู่กระบวนการ การบังเกิดใหม่ โดยการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์  และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ร่วมกับพระองค์ ในสวรรค์สถาน

            คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร   มีอะไร   เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น   และมีอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราอยู่ในพระคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ