วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1413

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  เมษายน  2023

เรื่อง “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันสงกรานต์อีกครั้งหนึ่ง สวัสดีครับพี่น้อง ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันสงกรานต์ เพราะวันสงกรานต์เป็นวันแห่งครอบครัวด้วย  และทำไมถึงขอบคุณพระเจ้าวันแห่งครอบครัว เพราะ พระองค์ให้เกียรติ ให้ความสำคัญกับสถานะ หรือสถาบันที่เรียกว่าครอบครัวอย่างมากเลย  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดครอบครัวนั่นเอง พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพ่อ ผู้เป็นต้นแบบของพ่อทั้งปวง

            “พ่อ” นี่หมายถึงใคร? พ่อ ก็หมายถึงหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง  เพราะฉะนั้น วันนี้ผมจึงใช้หัวข้อเรื่องว่า “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า” พระเจ้ามีครอบครัวนะ  พระเจ้าเป็นครอบครัว พูดคำนี้ ยิ้มอยู่ในใจเลยนะว่าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราเลย ไม่ได้แปลกกว่าที่เราคิดว่าพระเจ้าเข้าใจยากเหลือเกิน พระเจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง เรียกว่าครอบครัวพระเจ้า เรียกว่าครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

            หัวข้อในวันนี้ ที่ผมใช้ชื่อว่า “การกลับคืนดีของครอบครัวพระเจ้า” ก็แสดงว่ามันมีการแตกแยกเกิดขึ้นนะสิก่อนหน้านั้น

            ครอบครัวพระเจ้า ประกอบด้วยอะไร? ท่านลองนึกภาพ ที่เรารู้ๆ อยู่ แน่ๆ ครอบครัวของพระเจ้า ก็มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นอยู่ ทรงอยู่ตั้งแต่โน้น ก่อนกาลเวลา  เรารู้แค่นี้เอง  แต่รู้ต่อมา เมื่อพระเจ้าสำแดงให้เราเห็นว่ามีอีกบุคคลหนึ่ง มีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาเป็นครอบครัวของพระองค์ นั่นก็คือมนุษย์ มนุษย์ เป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า พระเจ้าถือเราเป็นครอบครัวของพระองค์

            เพราะฉะนั้น ครอบครัวของพระเจ้าประกอบไปด้วย พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมนุษย์ ที่เป็นลูกของพระเจ้า มนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า แต่มนุษย์เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับพระเจ้า  อยู่ในสถานะที่พระเจ้าให้เป็นลูก อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเราไม่ใช่เป็นพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ก่อนเวลา เราถูกสร้างขึ้นมา  แต่พระเจ้าทรงเป็นอยู่ ไม่มีใครสร้างพระองค์ อันนี้ต่างกันนะ

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระคัมภีร์บอกว่ากลับคืนดีกับครอบครัวพระเจ้า  กลับคืนดีกับพระเจ้า แสดงว่าก่อนหน้านั้น มีการแตกแยกกัน ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ครอบครัวแตกแยกนั่นเอง มีการเข้าใจกันผิด

            ความจริงไม่ใช่เข้าใจกันผิดหรอก  มันผิดข้างเดียว  พระเจ้าไม่ผิดอยู่แล้ว แต่สำหรับมนุษย์ เราบอกครอบครัวแตกแยก เราพูดตามภาษามนุษย์ เข้าใจว่าเข้าใจกันผิดระหว่างพ่อ แม่ ลูก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาปไง ไม่บริสุทธิ์ดีพร้อมสักคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น พอเกิดครอบครัวแตกแยกขึ้นมา ไม่เข้าใจกัน เขาเรียกว่าไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน มันผิดทั้งคู่ แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม เมื่อเกิดความแตกแยก ความผิดจึงอยู่ที่ใคร? มนุษย์เพียงผู้เดียว มนุษย์เท่านั้นที่แตกแยก มนุษย์ทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ครอบครัวของพระเจ้า ที่มีมนุษย์อยู่ แตกแยก อยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าเลยวางแผนให้ทำอะไรบางอย่างให้กลับคืนดีกัน ให้อยู่ด้วยกันได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่าไปนึกถึงแค่เฉพาะความสัมพันธ์ว่ากลับคืนดีกันนะ  ไม่เข้าใจกันนะ ไม่ใช่แค่นั้น แต่คำว่า “อยู่ด้วยกันไม่ได้” ตรงกันข้ามกับกลับคืนดีนั้น หมายถึงสภาพ สภาวะความเป็นจริงของตัวตนแท้ๆ ด้วย มันเปลี่ยนสภาพไปเลย คือตายไปเลย

            ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นๆ ชัดๆ ก็คือน้ำกับน้ำมัน มันเข้ากันไม่ได้ น้ำกับน้ำมัน ไม่ใช่คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่  แต่น้ำกับน้ำมัน มีสภาวะคนละอย่างกัน เข้ากันไม่ได้  น้ำก็เข้ากับน้ำ น้ำมันก็เข้ากับน้ำมัน น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้  พระเจ้ากับมนุษย์เกิดความแตกแยก เข้ากันไม่ได้ เพราะมนุษย์บาปแล้วคราวนี้  เกิดอะไรขึ้น  เพราะอะไร มนุษย์ถึงทำผิดถึงขนาดนั้น ก็เพราะในพระคัมภีร์บันทึกไว้  เพราะ ถูกมือที่ 3 ถูกมิจฉาชีพ ถูกคนชั่ว คนพาล เข้ามาหลอกล่อ หลอกลวงให้ลูกกบฏต่อพ่อ  ไม่เชื่อฟังพ่อ พ่อสั่งแล้วว่าอย่าทำนะ ไปฟังคนนอกบ้าน ไปฟังมิจฉาชีพมาหลอกล่อหลอกลวง แล้วมิจฉาชีพทางวิญญาณนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ ก็คือมารมาล่อลวง

            คำว่า “ล่อลวง” แปลว่าพูดไม่จริง โกหก การชักจูงให้ทำอะไรบางอย่าง ถูกวางแผนให้เชื่อฟัง โดยคนๆ นั้น ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกล่อลวง นึกว่าเป็นสิ่งที่ดีนั่นเอง

            ยกตัวอย่าง เหมือนมิจฉาชีพทุกวันนี้ โทรศัพท์มาล่อลวงเรา บอกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ล่อลวงอะไรต่างๆ ให้เราหลงเชื่อ แล้วเราก็หลงเชื่อ ทำตามนั่นเอง ลักษณะเดียวกัน

            ในปฐมกาล 2:17 ได้บันทึกไว้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เกิดความแตกแยกได้อย่างไร? ในครอบครัวของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสร้างมาอย่างดีแล้วนั่นเอง …

        ปฐมกาล 2:17 “เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้น อย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันแห่งความแตกแยกของครอบครัวพระเจ้า  เมื่อมนุษย์ถูกล่อลวง พระเจ้าสั่งมนุษย์ว่า …

            “ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วนั้น ผลของต้นไม้นั้น อย่ากิน เพราะวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่

            เคยคิดไหมว่าทำไมพระเจ้าต้องทำต้นไม้ต้นนี้มาด้วย ในเมื่อไม่ให้กิน  ก็อย่าทำขึ้นมาสิ  เราก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม? ผมคิดว่าเรื่องต้นไม้แห่งความสำนึกดี สำนึกชั่ว อะไรต่างๆ พระเจ้าพยายามที่จะเปรียบเทียบ ให้มนุษย์พอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต้นไม้นี้คืออะไร? ต้นไม้ ก็คือพระลักษณะของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวงด้วยความรัก

            ความรัก คือการให้อิสระ เสรีภาพกับสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งที่มีชีวิต โดยเฉพาะลูกของเรา ผมดีใจนะที่พระเจ้าสร้างต้นไม้ต้นนี้ขึ้นมา รู้ทั้งรู้ว่าเราจะทำบาป อย่าสร้างขึ้นมาสิ ผมขอบคุณพระเจ้า ท่านจะขอบคุณพระเจ้าไหม?  พระเจ้าสร้างต้นไม้นี้ขึ้นมา

            “วันใดเจ้าขืนกิน” แปลว่าเจ้ามีอิสระในการที่จะเลือกกินหรือไม่กินก็ได้ แสดงว่าพระเจ้าดูแลเรา เป็นครอบครัวของพระองค์จริงๆ เป็นลูกจริงๆ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ พอจะนึกออกไหมครับ? ถ้าท่านจะมีลูกคนหนึ่ง แล้วหมอบอกว่าลูกคนนี้จะแข็งแรงมากเลย ถ้าใส่ชิปนี้เข้าไป ฝังชิปนี้เข้าไป คุณกดอะไร ต่อไปนี้เขาจะเชื่อฟังหมดเลย ต่อไปนี้คุณสบายแล้ว คุณไม่ต้องห่วงว่าเขาจะดื้อเลย เขาจะไม่มีทางดื้ออีกต่อไป เขาจะทดแทนพระคุณของคุณด้วย เมื่ออายุ 20 คุณกดชิปปุ๊บ เขาอุ้มคุณเข้าห้องน้ำได้เลยทันที เอาไหม? ตอบสิ ไม่เอา เพราะนั่นไม่ใช่ลูก นั่นมันหุ่นยนต์ มนุษย์ก็ยังรู้เลย ไม่เอา แต่อยากจะมี ทั้งๆ ที่รู้ว่าในอนาคตเขาจะดื้อแน่นอน ดื้อไหม? ดื้อแน่นอน ดื้อก็ยังรักใช่ไหม? และยังมั่นใจในตัวเองว่า …

            “ดื้ออย่างไร ฉันก็ยังรัก และความรักของฉัน ก็คือฉันสามารถที่จะรองรับความดื้อของเขาได้ ฉันจะช่วยเขา ฉันจะประคับประคองชีวิตของเขา” ถูกหรือไม่?

            ขอบคุณพระเจ้าที่มีต้นไม้ต้นนี้ ก็แสดงว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักอย่างแท้จริง ให้อิสระเสรีภาพกับบรรดาสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ไม่ใช่ให้มนุษย์อย่างเดียวนะ มนุษย์ให้อิสระเสรีภาพอย่างมากมาย เพราะยิ่งรักมาก ยิ่งให้อิสระมาก สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมด พระองค์ก็ทรงทำอย่างนี้ทั้งสิ้น พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยการให้อิสรภาพทั้งสิ้น อย่างเช่น ทูตสวรรค์ พระองค์ก็ให้เสรีภาพกับเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ เขาจะดื้อ เขาจะกบฏก็ได้ และก็มีบางตนกบฏจริงๆ เช่น ลูซีเฟอร์และสมุนของมัน 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด ก็กบฏ เห็นไหม? อ้าว! พระเจ้ารู้ก่อนไหมว่าเขาจะกบฏ? รู้ แล้วทำไมอนุญาตให้เขากบฏ ก็เพราะพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งด้วยความรักทั้งสิ้น เห็นอะไรบางอย่างไหม? แม้แต่สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ พระองค์ยังทรงสร้างด้วยความรักของพระองค์เลย เป็นความรักชนิดที่เป็นผู้สร้าง ให้ความรัก อย่างเช่น ต้นไม้ ใบหญ้า ดวงอาทิตย์ ดวงดาวต่างๆ เหล่านี้  พระองค์ทรงสร้างให้สิ่งเหล่านี้เชื่อฟัง

            พระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ก็เชื่อฟังพระเจ้า ดวงอาทิตย์เชื่อพระเจ้าอย่างไร? ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวันๆ ไม่หนีไปไหนเลย อย่างนี้เป็นต้น วันนี้เราจะได้เห็นความรักอันแท้จริงของพระเจ้า ที่เรียกว่าความรักที่เป็นพ่อ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่สร้างสรรพสิ่ง โดยให้อิสระเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง

            ในนี้เตือนมนุษย์บอกว่าอย่านะ อย่าทำอย่างนี้นะ  อย่างนี้มันไม่ดี ก็คือให้เชื่อฟัง …

            “อย่ากิน ถ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            และมนุษย์ก็ถูกล่อลวงตามที่เรารู้อยู่แล้ว มนุษย์ก็ตายทันที แต่ทำไมอยู่มาตั้งเกือบพันปี อาดัม เอวา คำว่า “ตายทันที” หมายถึงทางวิญญาณ กินปุ๊บ วิญญาณตายทันที

            “วันใดเจ้าไม่เชื่อ” ก็คือวันใดเจ้าไม่วางใจในเรา คำพูดของเรา พ่อของเจ้า ผู้ให้กำเนิดเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว

            “เธอเป็นลูกฉัน เธอสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว เชื่อฉันนะ เธอสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว”

            มารมันก็มาล่อลวง พูดโกหกว่า … “เธอยังไม่ดีพร้อม เธอยังดีได้กว่านี้อีก เธอดีเทียบพระเจ้าก็ยังได้เลย”

            ถูกความเย่อหยิ่ง ความจองหองของมารเอามาใส่ให้มนุษย์ มนุษย์ฝืนพ่อ ไม่เชื่อฟังพ่อ เพราะว่าตั้งใจจะทำชั่วใช่ไหม? ไม่ใช่ ถูกล่อลวง นึกว่าจะทำดีให้มากขึ้น จะเซอร์ไพร์สพ่อ ฉันจะทำดีให้ดีเยี่ยมเลย ก็พ่อบอกว่าดีเยี่ยมแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มแล้ว ไม่ได้ ฉันจะทำเพิ่ม ก็กลายเป็นฝืนกฎของพระเจ้า เพราะพ่อบอกแล้วว่า …

            “ขืนกิน เจ้าจะต้องตายและตาย”

            ก็คือมนุษย์ถูกสร้างด้วยร่างกายที่เป็นกายภาพและวิญญาณ ทั้งสองอย่างจะต้องตาย คือร่างกายสูญสิ้น หมดสภาพไปในวันหนึ่ง กลายเป็นดิน แล้ววิญญาณตาย คำว่าตาย ตรงนี้ หมายถึงวิญญาณตายจากชีวิตนิรันดร์ จากมีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า กลายเป็นตาย ตลอดไป ซึ่งมันเป็นกฎการทรงสร้างของพระเจ้าในสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎ เป็นระเบียบ พระเจ้าเป็นผู้ปกครอง สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความยุติธรรม ทุกอย่างต้องเชื่อฟังพระองค์ทั้งสิ้น  แต่พระองค์ทรงปกครองด้วยความรัก ความชอบธรรม ความยุติธรรม ความบริสุทธิ์

            ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะได้ผลตามกฎ ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ หรือพิโรธอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่มันเป็นกฎ อย่างเช่นลูซีเฟอร์กบฏต่อพระเจ้า  ก็จะต้องถูกขับออกจากสวรรค์ มันเป็นไปตามกฎ เพราะฉะนั้น ผลก็คือมนุษย์ทุกคนเกิดมาจากอาดัม จากบรรพบุรุษ สิ่งที่อาดัมถูกล่อลวง แล้วก็ขืนกิน ไม่เชื่อฟังที่พระเจ้าพูดไว้  จะมาทำดีด้วยตนเองนั้น ทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์ใช้คำเดียวเท่านั้น คือคำว่า “บาป”

            ที่เรียกว่าบาป คือวิญญาณตายจากชีวิตของพระเจ้า ตายจากพระลักษณะของพระเจ้า ตายจากพระสิริของพระเจ้า นี่คือผลที่เกิดจากความบาป ที่บรรพบุรุษของมนุษย์ อาดัมเป็นผู้เริ่มต้น

            พระลักษณะของพระเจ้าเป็นความสว่าง ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ เป็นดีพร้อม เป็นความจริง เป็นความรัก ที่อยู่ในตัวมนุษย์ อยู่ในชีวิตนิรันดร์นี้ เมื่อมนุษย์ตายจากชีวิตของพระเจ้า มนุษย์ก็เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะนี้ทั้งหมด เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้าอีกต่อไป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ตรงนี้หมายถึงอย่างนี้แหละ คำว่า “ศัตรูกับพระเจ้า” คือเข้ากันไม่ได้แล้ว เป็นน้ำมันแล้ว แต่ก่อนนี้เป็นน้ำกับน้ำ เข้ากันได้ แต่ตอนนี้เป็นน้ำกับน้ำมัน แต่ก่อนนี้เป็นความสว่างกับความสว่าง เข้ากันได้ ครอบครัวเดียวกัน แต่ตอนนี้ออกจากครอบครัวของความสว่าง ไปอยู่ครอบครัวของความมืด ไปเป็นความมืดแล้ว เข้ากันกับพระเจ้าไม่ได้  มนุษย์ทั้งมวล โดยตัวแทน คืออาดัม บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์

            อาดัม คือตัวแทน อาดัมตัดสินใจ  ที่จะมาพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่าบาป การตัดสินใจนั้น  ก็เท่ากับมวลมนุษยชาติได้ตัดสินใจที่จะพึ่งพาตนเอง ในการดำรงชีวิตด้วยตัวเอง เขาเรียกว่าพึ่งพาตนเอง นี่คือคำว่าบาปนั่นเอง บาป คือการพึ่งพาตนเอง เมื่อตัดสินใจพึ่งพาตนเองในการดำเนินชีวิต ซึ่งไม่ใช่พระประสงค์ ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่แผนการของพระเจ้า ที่ตั้งใจให้กำเนิดมนุษย์ในครอบครัว ให้พึ่งในพระองค์เท่านั้น  แต่อย่างที่บอกแล้ว พระองค์ให้เราอยู่ในครอบครัว โดยให้เรามีสิทธิเป็นลูก สามารถตัดสินใจ รักพระองค์ ก็ตัดสินใจรักด้วยใจจริง ไม่ใช่รัก เพราะเป็นโรบอท ถูกสั่งมา เชื่อฟัง ก็เชื่อฟังจากใจจริง ด้วยความรัก ไม่ใช่เชื่อฟัง เพราะถูกใส่โปรแกรมมา

            ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ก็ต้องออกจากอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ก็คือครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง  เกิดความแตกแยกเกิดขึ้น  มาอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย  อยู่ในความมืด อยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าผู้อธรรม เมื่อมนุษย์เป็นคน เขาเรียกว่าคนอธรรม เมื่อไม่ใช่มนุษย์ เรียกว่าวิญญาณอธรรม ก็คือวิญญาณชั่ว มาอยู่ในอาณาจักรของความมืด เป็นคนอธรรม เป็นคนบาป เห็นหรือยัง? เป็นคนบาป สกปรก เป็นคนชั่ว เป็นคนโกหก หลอกลวง เป็นคนเกลียดชัง ขโมย ฆ่า และทำลาย ทั้งหมดนี้ อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้าทั้งสิ้น  และตรงข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า เป็นลักษณะของใคร? ก่อนหน้านี้ ก็คือมารนั่นเอง

            มารและวิญญาณชั่ว ก็คือมีลักษณะชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราก็เข้าไปในนี้เหมือนกัน  ก็คืออยู่ในกลุ่มเป็นศัตรูกับพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ ภายในวิญญาณที่ไม่มีชีวิต ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า  ไม่มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหมือนเดิม ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่สามารถอยู่ในบ้านนี้ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้าได้อีกต่อไป เก็บข้าวเก็บของออกจากบ้าน จะไปมีชีวิตอยู่ด้วยตนเอง จึงต้องอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรของคนตาย พินาศ เอาทรัพย์สิ่งของจากในบ้านของพระเจ้า แล้วบอก …

            “พ่อ ลูกไปก่อน ลูกจะไปทำมาหากินด้วยตนเอง จะไปดูแลตนเอง จะให้พ่อเซอร์ไพร์ส”

            และอยู่อย่างนั้น ถึงเมื่อไร? ถึงกำหนดวันสูญสิ้นของร่างกาย คือวันตายของร่างกาย วิญญาณก็ยังอยู่ในความพินาศ ในความมืดนี้ อยู่ในแดนผู้ตายนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีใครมาช่วยเหลืออะไรเลย มนุษย์ก็จะอยู่ในอาณาจักรความมืดอย่างนั้นตลอดไป เมื่อสูญสิ้นทุกอย่าง ตามที่พระเยซูได้ยกตัวอย่างลูกหนีออกจากบ้านไป ใช้หมดเลย ทุกอย่างเลย สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ให้ไว้ แล้วก็ขอออกมาจากบ้านปุ๊บ เอาไปใช้จนหมด จนไม่เหลืออะไร จนเหี่ยวแห้ง หัวโต กลับไปสู่ความพินาศ

            พระเจ้าให้กำเนิดโลกและมนุษย์ บ้านของมนุษย์ คือโลกใบนี้ ที่เป็นสวรรค์ของพระเจ้า  และมนุษย์ทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงรักอย่างมากมาย พระคัมภีร์บอกรักดั่งแก้วตาดวงใจ ห่วงใยมนุษย์มากเลย มนุษย์หลุดออกไปแล้ว ก็ตามหา หาทางช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น โดยการวางแผน ส่งหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า คือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร พระเยซูคริสต์ มาช่วยเหลือมนุษย์ ในสถานะของมนุษย์ที่อยู่ในความบาป อยู่ในความมืด พูดง่ายๆ พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าเตรียมไว้ ส่งลงมาในอาณาจักรของความมืดนี้ เพื่อช่วยเหลือ จะเรียกว่าพี่น้องก็ได้ พี่น้องมนุษย์ในครอบครัวของพระเจ้า ให้กลับคืนสู่บ้าน กลับคืนดีกับพระเจ้านั่นเอง

            พอมาถึง พระเยซูประกาศอะไร?  คำแรก พระเยซูประกาศอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาเจ้ากำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วทำไม? เชิญบรรดาผู้เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข  นี่แหละ เพราะมนุษย์ทั้งปวง รู้ว่าตัวเองบาป และพยายามจะกระทำดี และพึ่งพาตนเอง แล้วกระทำไม่ได้ แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าเรากำลังมาช่วย

            “เชิญบรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักในชีวิต จงมาหาเรา ผ่านทางเรา เจ้าจะได้กลับคืนสู่สวรรค์นี้ ผ่านทางพระองค์ ผู้เดียวเท่านั้น จงกลับมาสู่พระเจ้าเถิด น้องๆ เอ๋ย”

            นี่จริงๆ มันมีอยู่แค่นี้เอง เห็นครอบครัวแตกแยกไหม? แล้วเห็นพระเจ้าเป็นพ่อไหม? ส่งพี่ชายคนโต คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระบุตรมาช่วยเหลือน้องๆ

            พอพระเยซูคริสต์มาถึงปุ๊บ ก็บอกว่า … “น้อง (น้องคือมวลมนุษยชาติทั้งปวง) น้องเอ๋ย กลับบ้านเราเถิด พ่อรออยู่ แค่นี้เอง”

            วันสงกรานต์ นึกถึงครอบครัว เมื่อนำถ้อยคำพระเจ้ามาวิเคราะห์ มาบรรยายต้องพูดอย่างนี้ พูดอย่างง่ายๆ แค่นี้เอง พระเยซูมาบอก …

            “กลับบ้านเถอะ พ่ออภัยให้หมดแล้ว พ่อรออยู่นะ กลับบ้านเราเถอะ”

            สรุปคำประกาศของพระเยซูที่เชื้อเชิญมนุษย์ทั้งปวง แบบเป็นทางการ คือบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นบทสรุป คำประกาศ เชื้อเชิญ อยู่ในยอห์น 3:16-18 …

        ยอห์น 3:16  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            นี่พระเยซูคริสต์ประกาศเองนะ พูดด้วยตนเอง ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้

        ยอห์น 3:17-18  “17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยผ่านทางการวางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ พึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้า ยังคงยืนกรานอยู่ในการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์  พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูพูดอย่างนั้น ด้วยความรักในน้องๆ ทั้งหลาย

            สรุปที่พระเยซูพูด ก็คือพระเจ้าบอกว่า … “น้องๆ เอ๋ย วันใดที่เจ้าเชื่อและวางใจ ในพระบุตร ในเรานั้น เจ้าจะกลับคืนมีชีวิตนิรันดร์”

            พูดกับใคร? พูดกับมนุษย์ทุกคน  วันใดที่มนุษย์คนใด ผู้ใดเชื่อและวางใจในพระบุตร มนุษย์ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ คุ้นๆ ไหม? คุ้นๆ กับตอนเริ่มต้นไหม? เริ่มต้นที่ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในความสาปแช่ง

            พระเจ้าบอกว่า … “วันใดที่เจ้าขืนกิน ก็คือเจ้าไม่เชื่อฟัง เจ้าจะตายและตาย”

            แต่ตอนนี้ พระเยซูมาบอกว่า … “วันใดที่เจ้าเชื่อและวางใจในพระบุตร เจ้าจะมีชีวิต และมีชีวิตนิรันดร์”

            ก็คือมีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ทางวิญญาณ และจะได้รับร่างกายใหม่ เป็นร่างกายนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ตอนที่หลังจากร่างกายเดิมสิ้นสุดลง เอเมน มีแค่นี้เอง  2 ประโยคเท่านั้นเองที่สำคัญ วันที่แตกแยกกัน  อยู่ด้วยกันไม่ได้ มนุษย์ตกลงไปในความบาป คือวันที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ขืนกิน พระเจ้าบอกว่า …

            “อย่าทำ วันใดที่เจ้าทำ เจ้าจะต้องตาย”

            แล้วพระองค์ก็ส่งพระเยซูมาช่วย รักษา กลับคืนมาอีกครั้ง ก็คือวันใดที่เจ้าเชื่อพระเยซู วางใจในพระเยซู เจ้าก็จะกลับมามีชีวิตนิรันดร์ เอเมน

            พระเจ้าประกาศ ขอร้องให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว นี่คือความจริง เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก รักเรามาก พระองค์ขอร้องนะ ผ่านทางพระเยซู ขอร้องใคร? ขอร้องมนุษย์ มนุษย์คือใคร?  ไม่รู้ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า …

            “ทูตสวรรค์ทั้งหลายและสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด ทั้งในมหาจักรวาลนี้ ได้กล่าวกันว่ามนุษย์เป็นผู้ใดหนอ ที่พระเจ้าทรงรักเขาถึงขนาดนี้”

        2 โครินธ์ 5:19-20 “19 พระเจ้า​เอง​ ทำ​ให้​คน​ใน​โลกนี้​กลับ​มา​คืนดี​กับ​พระองค์ โดย​ผ่าน​ทาง​พระคริสต์ และ​ยกโทษ​บาป​ให้​กับ​พวกเขา พระองค์ได้​มอบ​เรื่อง​การ​กลับ​คืนดี​นี้ให้​กับ​เรา ​เพื่อ​ไป​บอก​คน​อื่นๆ ​ต่อ 20 ดังนั้น เรา​จึง​ทำงาน​เป็น​ทูต​ของ​พระคริสต์ เพราะ​เชื่อมั่น​ว่าพระเจ้า​กำลังขอร้อง​พวกคุณ ​ผ่าน​ทาง​เรา เรา​ขอ​วิงวอน​คุณ ​แทน​พระคริสต์ว่า “กลับ​มา​คืนดี​กับ​พระเจ้า​เถิด”

            “พระเจ้าเอง” หมายถึงอะไร? พระเจ้าทำฝ่ายเดียว มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์เป็นฝ่ายเดียวที่ทำให้มนุษย์บนโลกใบนี้กลับคืนดีกับพระองค์ มนุษย์แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิของตนเองที่พระเจ้าทำให้เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว  เพราะทำอะไรก็ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว พระเจ้าจึงเข้ามาทำเองทุกอย่าง

            เพราะฉะนั้น สรุป คำประกาศของพระเยซู ก็คือพ่ออภัยให้หมดแล้ว เจ้าไม่ต้องเตรียมอะไรเลย กลับบ้านอย่างเดียว พ่อเตรียมมรดกในสวรรค์และทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว กำลังรอคอยการกลับมาของลูก แค่กลับไปเท่านั้นเอง น้องๆ เอ๋ย นี่คือความรักใช่หรือไม่?  แล้วพระเจ้าได้ทำให้เรามนุษย์ทั้งหลาย กลับคืนดีกับพระองค์ด้วยวิธีใด? ดูสิว่าพระองค์ต้องทำอย่างไร? ต้องจ่ายความเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน? ต้องจ่ายราคาขนาดไหน? ถึงจะทำให้เราสามารถกลับคืนดี เข้าไปอยู่ในบ้าน อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้  2 โครินธ์ 5:21 …

        2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            พระเจ้าทำอย่างไรถึงทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระองค์ได้  พระองค์ทรงทำเอง พระเจ้า 3 พระภาค นึกถึงภาพพระเจ้า-พระบิดา  พระเจ้า-พระเยซู  พระเจ้า-พระวิญญาณบริสุทธิ์นั่งประชุมกัน ทำอย่างไรน้องๆ ที่อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเหล่านี้จะกลับมาได้ โอเค วางแผนไว้ให้ อย่างนี้ๆ นะ พระเจ้า-พระบุตร คือพระเยซูต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์นะ ต้องมารับความบาปแทนมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์พันธุ์ใหม่ พระบุตรต้อง Say Yes อย่างเดียว ต้องยอม เพราะว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์

            เหมือนกัน พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระบุตร ต้องยอมกลายสภาพลงมาเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย เข้าส่วนร่วมลักษณะของมนุษย์จริงๆ แท้ๆ เลย เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของมนุษย์ในโลกนี้ นึกถึงภาพ การประชุม 3 พระภาคซึ่งประชุมกัน พระบิดาวางแผนไว้ให้กับทั้ง 3 พระภาคว่าพระเจ้า-พระบุตรต้องลงมาทำอย่างนี้  เพื่อมนุษย์จะได้กลายสภาพมาเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของเรา กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม

            เข้าส่วนร่วมพระลักษณะของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์ ที่เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรม หรือธรรมิกชนของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าได้ นี่เราแอบฟังแผนการที่พระเจ้า 3 พระภาควางแผนไว้ที่จะช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า กับครอบครัวพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อมาเป็นตัวแทนของเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อแบกรับโทษของความบาปของมวลมนุษย์ไว้ แบกไว้แล้วก็ยอมตายบนไม้กางเขน เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่นั้น เพราะว่ามนุษย์ยังเป็นคนบาป และจะต้องตายจากบาปนั้นด้วย  เพื่อมนุษย์ที่เป็นบาปอยู่นั้น นึกถึงภาพ มนุษย์ที่ติดเชื้อบาปอยู่นั้น ทุกผู้ ทุกนาม จะได้มีโอกาสตายจากบาป เพราะว่าพระองค์เป็นตัวแทนของเรา ถ้าพระองค์ตาย ก็เท่ากับเราตาย พระองค์แบกบาปของเราเอาไว้ที่ตัวพระองค์ แล้วพระองค์ก็ตาย พระองค์แบกบาปของเราไว้ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา พระองค์ตาย เราก็ตายร่วมกับพระองค์ไปด้วย ตายจากอะไร? ตายจากบาป ตัวเก่าของมวลมนุษย์ที่เป็นบาปอยู่ ก็ได้ตายจากบาปไปด้วย แล้วก็มาสู่ความชอบธรรม เกิดใหม่ในความบริสุทธิ์ ดีพร้อมของพระเจ้า โดยการที่พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ตายบนไม้กางเขน หรือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อว่าตัวเดิมของมวลมนุษย์ที่เป็นคนบาปอยู่นั้น จะได้ตายด้วย  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อมวลมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่  เป็นขึ้นจากความตายด้วย พร้อมพระองค์นั่นเอง พระองค์เข้ามาเป็นตัวแทน

            นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ ให้พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่ออย่างนี้  และเมื่อเราเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ เกิดอะไรขึ้น เราก็จะได้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ สามารถเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว เพราะบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว ที่ผมบอกไว้ ลักษณะของชีวิตเข้ากันได้แล้ว เป็น DNA มาจากพระเจ้าแล้ว เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ เรียกว่าการกลับคืนดีกับพระเจ้าได้แล้วนั่นเอง น้ำก็เข้ากับน้ำ แทนที่จะเป็นน้ำมัน ตอนนี้กลายเป็นน้ำกับน้ำ เป็นความสว่างกับความสว่างเข้าด้วยกัน เป็นความดีกับความดีเข้าด้วยกัน เป็นความรักกับความรักเข้าด้วยกันได้แล้วนั่นเอง เรียกว่ากลับคืนดี

            และเมื่อพระเยซูได้กระทำการงานนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น พระเจ้าก็เฝ้าแต่ประกาศอย่างเดียวเลย ไม่ทำอะไรแล้ว เพราะทุกอย่างกระทำสำเร็จแล้ว พระเยซูบอกว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นพระเจ้าก็ประกาศขอร้องให้มวลมนุษยชาติ กลับคืนดีกับพระองค์ มาใช้สิทธิของเขาในพระองค์ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เถิด โดยผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ประกาศ ขอร้องให้มนุษย์ กลับมาบ้าน กลับมาสวรรค์ กลับมาคืนดีกับพระองค์ กลับมาเข้าสวรรค์กับพระองค์เถิด พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว และเมื่อข่าวดีนี้ไปหาท่าน ท่านจะยอมคืนดีไหม? พระเจ้ากำลังบอกว่ากลับบ้านเราเถิด กลับบ้านเราในสวรรค์เบื้องบนเถิด มาเถอะลูก

            แล้วเรายังจะดื้อต่อไปไหม?ถ้าเราดื้ออยู่ต่อไป ก็แสดงว่าเราถูกหลอกต่อ เราถูกปิดบังความจริงต่อเนื่อง และตัวที่ปิดบังความจริงต่อเนื่อง ก็คือตัวเดียวกันกับตัวที่หลอกล่อหลอกลวงบรรพบุรุษของเรา อาดัมนั่นเอง ก็คือมาร ปิดบังตาเรานั่นเอง

            พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดใหม่ มาเป็นบุตรของพระเจ้า บันทึกไว้ในหนังสือโรม 5:9-11 ท่านจะได้เห็นชัดๆ ว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้เกิดไปเป็นบุตรของพระเจ้าได้ …

        โรม 5:9-11 “9 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้ว โดยพระโลหิตของพระองค์ (พระเยซู ) ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธ (การพิพากษาลงโทษ ) ของพระเจ้า โดยพระองค์ 10 เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”

            พระเยซูคริสต์จึงเป็นเหตุให้ครอบครัวของพระเจ้ากลับคืนดีกัน พระเยซูจึงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งมวลกับพระเจ้ากลับคืนดีกัน  ครอบครัวกลับคืนดีกัน โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยพระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอด โดยพระชนม์ชีพของพระองค์ หมายถึงเมื่อเรากลับคืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ มี DNA ที่บังเกิดใหม่ มี DNA ที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลจากวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์นั่นเอง เพราะฉะนั้น มันหมายถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วต่อจากนี้ไป

            นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุด ที่พระเยซูมาประกาศบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์แสวงหาทรัพย์ตรงนี้แหละ เป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ก็คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว คือการได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าทันทีที่เปิดใจใช้สิทธิ ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้เลย ได้รับทันทีเลยตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเปิดใจใช้สิทธิ์ เพราะว่าพระเจ้าเองทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น 2,000 ปีแล้ว รอให้มนุษย์เปิดใจใช้สิทธินี้เท่านั้น

            พอเปิดใจใช้สิทธินี้แล้วเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่ด้วยกับเรา ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และจะนำพาเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย ชีวิตเราบนโลกใบนี้ และพระองค์ก็จะทรงนำพาเราต่อไป จนกระทั่งถึงเข้าสู่สวรรค์ใหม่ ได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซู และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์

            นี่ทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่มหาศาล แลกกับอะไรที่มนุษย์จะทำ ไม่ต้องทำอะไรเลย พระองค์ทรงทำเองทุกอย่าง สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วย  และทุกวันนี้ยังมาขอร้อง เชื้อเชิญเรา ขอร้อง ทุกวันนี้ยังเดินตามมนุษย์ต้อยๆ เคาะประตูอยู่ คนไหนยังไม่เปิดใจ ก็เคาะๆ พระเยซูบอก…

            “เราเดินตามหาเจ้า เราเคาะประตูใจเจ้าอยู่ตลอดเวลา เปิดใจสิ รับสิทธิไปเถิด เราทำให้กับเจ้าเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขนนั้น”

            มนุษย์แค่ทำอะไร? แค่ตัดสินใจ

            บรรพบุรุษของเราถูกล่อลวง ถูกหลอกลวงโดยมาร ตัดสินใจผิดไปแล้ว มาพึ่งพาตนเอง ตอนที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมากระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว มาพึ่งพาเรา คือพระบุตรของพระเจ้า เชื่อเราสิ มาพึ่งพาเรา ตัดสินใจ พอตัดสินใจปุ๊บ กลับมาคืนดีทันที เปิดใจต้อนรับสิทธิในพระเยซูนี้เท่านั้น ที่เราต้องทำ มนุษย์ทุกคน”  เอเฟซัส 2:19 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            เปิดใจ แล้วจะได้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ที่ผมบอกท่านตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือกลับมาเป็นลูกของพระองค์ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและให้อิสระเสรีภาพดั่งแก้วตาดวงใจ  แค่ตัดสินใจกลับมาเป็นลูก ไม่ใช่เป็นลูกแค่นั้น แต่ในนี้บอกว่าเป็นลูกและเป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะว่าเป็นทายาทแล้ว ทายาทก็ต้องมีมรดก ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ไม่ต้องรอตายก่อน ถึงจะรู้ว่าใช่

            ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเปิดใจตอนนี้ปุ๊บ ทันทีทันใดนั้น สิ่งเหล่านี้ เราจะรู้ทันทีว่ามันเกิดขึ้น มันเป็นจริง ก็เพราะพอเราเปิดใจปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะยืนยันอยู่ในจิตใจของเรา เราจะรู้จากข้างในของเราแล้วว่าทั้งหมดนี้มันเป็นจริงๆ ทรัพย์สมบัติอันมีค่าอยู่ในใจเรา เราได้รับแล้วจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อได้จริงๆ โรม 8:16-17 ได้บันทึกเป็นพยานยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย …

        โรม 8:16-17 “16 พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 17 บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย”

            “บัดนี้ ถ้าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว” รู้ได้อย่างไร? ก็พระวิญญาณยืนยันอยู่ในใจของเรา  “บัดนี้ เราเป็นบุตรขอพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้วนะ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้วหรือยัง? เป็นแล้ว รู้ได้อย่างไร? ตอบสิ ตามข้อนี้ ต่อไปนี้ใครถามท่าน …

            “ฉันเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้า”

            “เธอรู้ได้อย่างไรเป็นลูกของพระเจ้า”

            “เพราะว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ในใจฉัน เป็นผู้ยืนยันให้กับฉันว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า และไม่ใช่แค่นั้นนะเธอ ฉันเป็นลูก และเป็นทายาท … ทายาท ก็แสดงว่ามีมรดกอยู่ด้วยนะครับ ขอโทษที”

            “แล้วเธอรู้ได้อย่างไร?”

            ตอบเขาว่า … “พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในใจฉัน และฉันจึง … ฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

******************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณของฉันอยู่ในต้นไม้ไหน?

                        –  ชีวิต …  หรือ … ตาย

                        –  ดี …  หรือ … เลว

                        –  ชอบธรรม … หรือ … บาป

                        –  พระคริสต์ … หรือ … อาดัม

            2 โครินธ์ 5:10 … “เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่ว (เลว) ที่ทำมาตอนที่ (วิญญาณ) ยังอยู่ในร่างกายนี้”

            พระเยซูประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ชาวยิวที่เคร่งศาสนา ทะนงตน ในความชอบธรรมที่ตนเองถือปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้ ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ และจะได้ความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย

            พระเยซูประกาศว่า … มัทธิว 12:33-37 … “33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลว ติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว  เพราะว่าเราจะรู้จักและตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูผู้เป็นความดี  ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่วแล้ว จะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (โอ้ มนุษย์ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาปเป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตรยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ผู้เป็นความชอบธรรมความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดี ภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่ว ภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ทุกคำที่พูดนั้น (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)” … พระเจ้าอวยพรครับ