วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1408

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์นี้ก็คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 6 “พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์” ทบทวน

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            ตั้งชื่ออย่างนี้ บางคนฟังปุ๊บ อาจจะคิดว่า …

            “อะไรนะ  ฉันนี่หรือที่จะนั่งกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถาน”

            จะนั่งนะ แต่ในนี้พระคัมภีร์บอกว่าเราได้นั่งแล้ว แต่บางคนอาจจะคิด ฟังแล้ว โอ้โห! อะไรนะ ตายไปแล้ว จะได้อยู่ในสวรรค์ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว แต่นี่กำลังบอกว่าฉันได้อยู่ในสวรรค์ และได้อยู่ในตำแหน่งนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรคสถานเลย ก็จะมีคน 2 พวกที่คิดอย่างนี้

            พวกแรกคริสเตียนที่ได้ยินตรงนี้ แล้วบอกว่า … “โอ้โห! จริงหรือ! ขอบคุณพระเจ้า”

            พวกที่สอง ก็จะบอกว่า … “มันเป็นไปได้หรือ! ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่อย่างนี้ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เลย ยังประพฤติตัวไม่ดีเลย อธิษฐานก็ไม่ได้เยอะเหมือนเขา มาโบสถ์ก็ไม่ได้มาเป็นประจำเหมือนเขา แล้วอย่างนี้ แค่อยู่ในสวรรค์ ฉันก็พอแล้ว  อะไรจะไปนั่งอยู่กับพระคริสต์ในตำแหน่งนั้นเลยเหรอ แค่ตำแหน่งศิษยาภิบาล ก็ไม่มีทางที่จะไปนั่งอยู่กับเขาแล้ว เพราะว่าเขาดูรู้สึกว่าโฮลี่มากกว่าชีวิตฉันเยอะเลยนะ  ไม่ไหวหรอก”

            แล้วท่านเป็นประเภทไหน? ฟังถ้อยคำนี้แล้วคิดอย่างไร? คิดแบบหนึ่งหรือแบบสอง?  แบบที่ … “โอ้โห! เป็นไปได้หรือ!” หรือว่า … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            วันนี้ตอนที่ 6 พระเจ้าได้ทรงให้ฉันนั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์

            ตอบ … “โอ้โห! อัศจรรย์ ขอบคุณพระเจ้า”

            ฟังดู แล้วก็ต้องคิดเอาเอง รู้แล้ว โอ้โห! มันอัศจรรย์ไหมล่ะ  อัศจรรย์ ก็พูดตามความรู้สึกว่า …

            “โอ้โห! เป็นไปได้หรือเนี้ย? ขอบคุณพระเจ้า” … มันต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม?

            “ฉันเนี้ยนะ”

            “ก็เธอนะสิ”

            ใครพูด? พระเยซูบอก พระเจ้าบอก

            “ลูกเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            “ลูกที่ทำผิดมากมายเนี้ยนะหรือ?”

            “เออ! เธอนั่นแหละ”

            “นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์นะหรือ?”

            “เออ! ใช่”

            มันเหลือเชื่อจริงๆ นะ มันจึงเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเลย ไม่ใช่ คริสเตียนเลย ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จึงบอกว่ามัน Impossible มันเป็นไปไม่ได้เลย  แค่บอกไปอยู่ในสวรรค์เขาก็ไม่เชื่อแล้ว  แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่สวรรค์ธรรมดานะ ไปนั่งอยู่กับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้าเลยนะ เขาเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ซีรี่ย์นี้ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ทั้งหมด 6 ตอนนี้เป็นความอัศจรรย์ เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว มันจึงเป็นข่าวดี แก่คนที่เชื่อไง  และมันเป็นความหวังกับคนที่เชื่อแล้ว ให้มั่นคงยิ่งขึ้น  เรารู้ข่าวดีนี้แล้ว  เราเชื่อแล้ว  อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว  เราขอบคุณพระเจ้าแล้ว  และเรามาฟังอีก ไม่ใช่ข่าวดีแล้วตอนนี้ เรามาเริ่มต้นรับรู้ความจริงในเรื่องข่าวดีนี้ เราเป็นอย่างไร? เพื่อความหวัง เราจะได้มีความมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งมันสำคัญกว่าโลกวัตถุ สิ่งของที่ตามองเห็น จับต้องได้บนโลกใบนี้มากนัก เราจะได้พักสงบและหายเหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            6 ตอนนี้ เป็นความจริง สำหรับผู้ที่เชื่อ และจะเกิดอัศจรรย์ขึ้นอย่างนี้กับเขา  แต่ถ้าเขาไม่เชื่อความจริงนี้ อัศจรรย์เหล่านี้ ก็เท่ากับไม่มีจริง  ไม่ได้เกิดขึ้นนั่นเอง ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่าเราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา”

            อย่างที่บอกว่าเรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นความจริงที่เรามองไม่เห็น  แต่เป็นอยู่จริงๆ พระเจ้าสอนเราและบอกเรา  ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ท่านลองนึกภาพ ใครๆ ก็รู้จักว่าพระเจ้า คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด รู้จัก หมายถึงได้รับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ อะไรก็อ้างว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ … โอ้โห! พระเจ้า … โอ้! ขอบคุณพระเจ้า … พระเจ้าทั้งหมดแหละ แต่ใครจะรู้ความจริงลึกๆ เข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณว่าพระองค์ทรงเป็นใคร?

            พระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ เรารู้ ที่เรียกว่าธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง  และพระองค์ทรงดูแลสิ่งเหล่านี้ เป็นเสมือนผู้พิพากษาของมหาจักรวาล  ดูแลสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น นี่เรียกว่าธรรมชาติ ตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และเป็นผู้ดูแลกฎเหล่านั้น ด้วยความยุติธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง  เราจะเห็นได้จากสรรพสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งทำตามกฎที่พระองค์ทรงวางไว้

            ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ไม่เคยขึ้นทางทิศตะวันตกเลย ขึ้นทางทิศตะวันออกตลอด  แต่ในขณะเดียวกัน ทรงเป็นพ่อ พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของมวลมนุษย์ด้วย ซึ่งเต็มไปด้วยความรักอ่อนโยนต่อมนุษย์ ดังแก้วตาดวงใจ  นี่เราทราบความจริงเหล่านี้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่  แล้วเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ  ถ้อยคำของพระองค์พูดอย่างนี้ในโลกวิญญาณเป็นจริง

            พระเยซูจึงกล่าวเมื่อสักครู่ ที่เราอ่านว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต  เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อไม่มาเชื่อในพระเยซู เราก็จะไม่รู้จักความจริง  ความจริงที่แปลว่าอะไรที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณที่เราไม่รู้ แต่เราจะรู้ได้ เมื่อเรามารู้จักความจริง โดยรู้จักพระเยซูคริสต์ เจ้าของความจริงนั่นเอง

            พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นทางเดียว ท่านลองคิดดูนะ พระองค์เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วมิติฝ่ายวิญญาณที่เรากำลังเรียนรู้นี้ ก็คือสวรรค์ของพระบิดานั่นเอง ไม่มีทางอื่นใดที่จะเข้าสวรรค์ได้เลยนอกจากผ่านทางพระองค์เท่านั้น พระเยซูตรัสดังนี้ ด้วยความกล้าหาญ มั่นคง มั่นใจมาก  มีใครกล้าพูดอย่างนี้บ้าง พระองค์พูดมาแล้ว 2,000 ปี ใน 2,000 ปีมีคนเชื่ออย่างนี้เยอะแยะไปหมดเลย มาถึงปัจจุบัน  ถ้าไม่จริงจะมีคนมาเชื่อเยอะขนาดนี้หรือ?  และถ้าไม่จริง ใครเล่ากล้าที่จะพูดอย่างนี้ว่า …

            “นอกจากฉันแล้ว ไม่มีใครไปหาพระเจ้าได้เลย  ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบนไม้กางเขน ก็คือประตูทางเข้าสู่มิติวิญญาณ  ที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า พระบิดานั่นเอง จากคำพูดของพระองค์เมื่อสักครู่นี้ ก็คือฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ นำพามนุษย์เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง  พระองค์ ก็คือฤทธิ์อำนาจนั่นเอง ไม้กางเขน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่จะนำพาผู้คนทะลุทะลวงจากมิติที่ 4 ไปสู่มิติที่ 5 โลกฝ่ายวิญญาณ ทะลุออกจากโลกวัตถุ  ที่ตาจับต้องมองเห็นได้ ทะลุเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้านั่นเอง

            อาจารย์เปาโลจึงได้พูดอย่างนี้ ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 อาจารย์เปาโลผู้ซึ่งได้เคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เข้าไปเห็นกับตามาแล้วว่าในมิติที่ 5 โลกวิญญาณ  ในสวรรค์ของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไร?  แล้วออกมา แล้วก็พูดอย่างนี้  หนึ่งในจำนวนนั้น ใน 1 โครินธ์ 1:17-21 บอกว่าพระคริสต์เป็นอย่างไร? …

        1 โครินธ์ 1:17-21  “17 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ 18 คนที่กำลังจะพินาศ ก็เห็นว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  19 เพราะมีคำเขียนไว้ว่าเราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา เราจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดไร้ผล  20 ไหนล่ะปราชญ์ ไหนล่ะผู้รู้ นักปรัชญาของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไป ไม่ใช่หรือ 21 โดยพระปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน  ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อ ให้รอด โดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ”

            พระเยซูส่งอาจารย์เปาโลมา เพื่อประกาศข่าวดี  ก็คือประกาศฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนว่ามันเป็นจริง ไม่ใช่มาพูดเรื่องสติปัญญาของมนุษย์ที่ตามองเห็น จับต้องได้ แบบโลกใบนี้ ในนี้บอกว่าเรื่องราวของไม้กางเขนเป็นเรื่องโง่ๆ โง่ สำหรับอะไร?  สำหรับคนที่ใช้สติปัญญา แบบมนุษย์ แบบโลกใบนี้ ฟังและคิดตามความสามารถของตนเอง แต่พวกเราที่กำลังจะรอด เห็นว่าเป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

            ในข้อที่ 21 บอกว่า … “โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน”

            พระเจ้ารู้แล้วว่ามนุษย์ถ้าใช้สติปัญญาของตนเอง ไม่มีวันที่จะรู้จักพระเจ้าได้หรอก ไม่มีทางที่จะเข้าใจข่าวประเสริฐที่พระเยซูประกาศ และเปาโลกำลังบอกอยู่นี้ได้ และไม่ใช่เปาโลเท่านั้น จากวันนั้นมา จนถึงวันนี้  ก็มีผู้ประกาศข่าวดีนี้ มาตลอดเวลา  และผม และพวกเราทั้งหลายที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ก็กำลังประกาศข่าวดี ฤทธิ์เดชอำนาจนี้อยู่ใช่ไหม? ถ้าใช่ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า  เรากำลังประกาศข่าวดีเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจ  ไม่ใช่มาอธิษฐาน สอน ปัญญาแบบมนุษย์  ไม่มาชี้แจงให้มนุษย์เข้าใจว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้นะ เข้าใจไหม?  เรากำลังมาประกาศ บอกถึงเรื่องฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขน คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นได้อย่างไร?

            ในนี้ข้อสุดท้ายจึงบอกว่า “ดังนั้น พระเจ้าจึงพอพระทัย”

            พอพระทัยใคร? พอพระทัยในบรรดาผู้คนที่เชื่อเอาไง  เชื่อในความจริงที่พระองค์ทรงประกาศให้เราได้ยิน  ไม่ใช่หาเหตุผลว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?  แต่ใช้ความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ฤทธิ์เดชอำนาจของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น  คือฤทธิ์เดชอำนาจนั้นเอง

            เมื่อเราเชื่อและเปิดใจต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ฤทธิ์เดช ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทันที เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของตัวเราเอง และเกินกว่าความคิด ความเข้าใจของมนุษย์รอบข้างเราเลยล่ะ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์เหล่านั้น  เกิดขึ้นในชีวิตของเราแล้ว  เราไปพูดกับใครที่เขายังไม่รู้จัก ยังไม่เชื่อนี้ แนวโน้มไปในทิศทางที่หาว่าเราโง่ทั้งนั้น หาว่าเราอะไร? เป็นไปได้หรือ? เพราะฉะนั้น จงดีใจ ที่เวลาใครเขาบอกเราโง่  เวลาเขาบอกว่ามาเชื่ออะไรแบบโง่ๆ  เราควรจะดีใจว่ามาถูกทางแล้ว เอเมนไหมครับ? เพิ่งมีคนเห็นด้วย เอเมนว่ามีคนว่าโง่ ยอมรับนะ  ปกติ ออกไปข้างนอก ไม่เห็นยอมรับเลย เขาแซวหน่อย …

            “ทำไมเธอโง่อย่างนี้”

            “อะไรว่าฉันโง่เหรอ” ทีอย่างนี้ยอมรับว่าโง่

            ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเราว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจที่พูดถึงตรงนี้ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที  6 ตอนมาแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้ามาทำการงานในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของเรา  เราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของฝ่ายวิญญาณ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด บนโลกนี้ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ อีกแห่งหนึ่ง  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่างในพระเยซูคริสต์

            ในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรคสถานเบื้องบน ตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้า เป็นสวรรค์ที่เป็นที่ประทับของพระเจ้า  เป็นสวรรค์ของจริง จริงๆ ต้องพูดย้ำบ่อยๆ เพราะว่ามนุษย์เรา เอะอะอะไรก็สวรรค์ทั้งนั้น คิดอะไร ก็บอกว่าทำอย่างนี้เราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่นี่เรากำลังพูดถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นของจริง สวรรค์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทับอยู่จริงๆ เป็นสวรรค์ของจริง แห่งเดียวเท่านั้น ไม่มีแห่งอื่นแล้ว และเรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด ในสวรรค์แล้ว เราทุกคนที่เชื่อ ได้รับตำแหน่งนี้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ที่นั่งอยู่บนโลกใบนี้  เราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ในข่าวดีนี้  อยู่ในสวรรค์ นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครเป็นรองใครเลย เอเมนไหม?

            “ฉันไม่เป็นรองใครเลย  ฉันนั่งกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์แล้ว นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ไม่เป็นรองใครเลย   นั่งเท่าๆ กันทุกๆ คน    และพระเจ้าพระบิดาทรงรักเราทั้งหลาย      ที่นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์แล้ว รักพวกเราทั้งหลายเท่าๆ กับรักพระเยซูคริสต์ และรักพวกเราทั้งหลายทุกคนเท่าๆ กันครับ

            “รู้ไหม?  พระเจ้ารักฉันเท่าๆ กันกับรักพระเยซู และเท่าๆ กันกับรักเปาโล และรักเท่าๆ กันกับศิษยาภิบาล กับอาจารย์ต่างๆ กับผู้เชื่อใหม่ เมื่อวานนี้ รักเท่าๆ กันเลย เอเมน”

            และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือสถานะหรือตำแหน่งนี้  และพระเจ้ารักเราอย่างนี้ ตราบชั่วนิรันดร์กาล เพราะว่าในสวรรค์ไม่มีวัน ไม่มีเวลา สวรรค์เป็นสวรรค์นิรันดร์ สวรรค์ไม่มีพันปี หมื่นปี ร้อยปี ล้านปีไม่มี ในสวรรค์มันหลุดออกไปจากโลกวัตถุ โลกใบนี้เท่านั้นถึงจะมีเวลา ในสวรรค์ไม่มีเวลา  ในสวรรค์เป็นนิรันดร์ เขาถึงเรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร์  ชีวิตอยู่กับพระเจ้านิรันดร์

            “ชีวิตนิรันดร์ ฉันจะอยู่ที่นี่ ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์ เอเฟซัส 2:6 บันทึกอย่างนี้  นี่คือความจริงที่บันทึกเอาไว้ว่าขณะนี้ ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

            มันน่าจะลุกขึ้นมาตะโกน โลดเต้นตลอดเวลา จะได้จำได้  พระเจ้าไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้นนะ หลายท่านมาเป็นคริสเตียน รู้จักข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว …

            “ขอบคุณพระเจ้าที่ยกโทษ อภัยความบาปผิดของลูก”

            มันก็โอเค มันถูกนะ แต่มันยังไม่ถึงครึ่งเลย เต็มใบ สมบูรณ์แบบของข่าวประเสริฐ คือไม่ใช่แค่ยกโทษบาปเท่านั้น แต่วิญญาณของเราได้เป็นขึ้นมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  ไม่ต้องรอให้ตายก่อน แล้วถึงจะมารับ ไม่รู้ว่าได้หรือเปล่าเลย ก็ไม่แน่ใจสิ แต่พระเยซูบอก ไม่มีการมารอพิสูจน์ตอนตายแล้วถึงจะรู้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ ทันทีเลย เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นทันที หนึ่งในจำนวนนั้น คือท่านได้บังเกิดใหม่  มานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้วทันที เอเมน ความจริงในพระคัมภีร์ บอกเราว่าในมิติฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้เข้าไปนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ส่วนในมิติฝ่ายโลกวัตถุล่ะ ก็คือร่างกายเดิมเรา ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังด้อยและหยาบเกินกว่าที่จะเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ในขณะนี้ได้ พระเจ้าจึงได้สัญญากับเราอย่างมั่นคง และเราก็มีความเชื่อ มีความหวังใจ อย่างมั่นใจ เหมือนจับต้องมองเห็นได้เลยว่าเราจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เพื่อจะได้มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถเข้ามิติฝ่ายวิญญาณ คือสวรรค์ของพระเจ้าได้  เราจะสวมร่างกายใหม่นี้ทันที หลังจากที่เราตายจากร่างเดิมนี้  และเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ  และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์ตามความเป็นจริงด้วยเช่นเดียวกัน  เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความจริงทั้งหมด

            ทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ โดยพระคุณ เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นอกจากเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจนี้  ต้อนรับสิทธิของเราในฤทธิ์อำนาจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ทั้งหมดนี้จึงเป็นของขวัญ โดยพระคุณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรของเราเลย แม้แต่นิดเดียว ดังนั้น มนุษย์ทุกคนที่วางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนี้ ก็จะได้รับของขวัญนี้เท่าๆ กันทุกคน ไม่มีใครดีกว่าใคร หรืออยู่ในสวรรค์ชั้นสูงกว่าคนอื่นๆ ทุกคนที่เชื่อ ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานเท่าๆ กันนั่นเอง เอเมน

            เหตุผลชัดเจนเลย  ทำไมถึงเท่าๆ กัน ก็เราไม่ได้ทำอะไรเลย ได้มาฟรีๆ จะได้ดีกว่าคนอื่นได้อย่างไร? เอเมนไหม? บางคนบอก …

            “ฉันทำเยอะกว่า”

            ใครทำ?  พระเจ้าทำ

            “อ้าว! ตอนรับเชื่อ ฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ฉันถวายเวลาให้กับพระเจ้ามากขึ้น”

            แล้วใครสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ที่อ่อนแอนั้น ใครที่ดำเนินชีวิตอยู่ในตัวท่าน ก็คือพระเจ้า

            “ฉันทำดีเยอะแยะ ฉันทำโน่นทำนี่”

            ใครเป็นคนทำ  พระเจ้าที่สถิตอยู่ในท่านต่างหากที่เป็นผู้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เอเมนไหม? นี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะโอ้อวดอะไรเลย พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่าโอ้อวดในสิ่งที่ตนเองกระทำ เปาโลบอกว่าถ้าเราจะโอ้อวด เราจะอวดใคร? อวดพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ที่เป็นผู้กระทำการทุกสิ่งทุกอย่าง ภายในเรา  อย่าไปถูกใครหลอกว่ามีสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ ชั้น 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ชั้นอะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด อย่าให้ใครหลอกว่าถ้าทำดีมากๆ จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงๆ  ได้รับทรัพย์สมบัติในสวรรค์เยอะๆ สะสมไว้มากๆ จะได้บ้านใหญ่ๆ ในสวรรค์ มีเครื่องแต่งกายในสวรรค์ที่สวยงามกว่าคนอื่น นี่ใครถูกหลอก ก็แย่มากเลยนะ เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะขนาดอยู่ในโลกใบนี้ โลภก็แย่อยู่แล้ว ยังกะจะไปโลภต่อในสวรรค์อีกหรือ! เข้าใจใช่ไหม?

            ความจริงในสวรรค์มีแห่งเดียวเท่านั้น  เหมือนกันหมด  ก็คือสวรรค์ของพระบิดา  ที่พระเยซูคริสต์ประกาศ บอกว่าไม่มีใครเข้าไปสู่สวรรค์ของจริง คือพระบิดาในสวรรค์ได้หรอก นอกจากมาทางพระองค์เท่านั้น นอกนั้นของปลอม ถูกหลอกทั้งสิ้น ความจริง คือในสวรรค์นี้ มีแห่งเดียว เหมือนกันหมด  คือไม่ใช่ขึ้นไปอยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างกัน คือจะได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ แค่นั้นเอง มี 2 อัน 2 ทางเลือก  ถ้าเลือกประตู คือพระเยซูคริสต์ เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ทางเดียวเท่านั้น ก็ได้รับความรอด เข้าสู่สวรรค์ ถ้าไม่ได้มาทางประตูนี้  ไปผิดประตู ก็ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่ เท่านั้น ไม่มีตรงกลางๆ  แล้วก็ไม่ได้มีตรงได้อยู่ แล้วมีตำแหน่งต่างๆ ไม่มี ทุกอย่างเหมือนกันหมด ก็คือได้เข้าสู่สวรรค์ ก็เหมือนกันหมดทุกคน ได้เข้าเท่ากัน ถ้าไม่ได้เข้าสู่สวรรค์ ก็สู่ความพินาศ เท่าๆ กัน  เหมือนกันหมด  ทุกคนเท่ากัน

            แล้วอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรพระคริสต์ที่เรากำลังนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในขณะนี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  และตำแหน่งของเราที่ในสวรรค์ที่บอกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน มันสูงส่งขนาดไหน? อยากรู้ไหม?  ถ้าอยากรู้ต้องฟังอาจารย์เปาโล เพราะว่าเป็นผู้ที่เคยเข้าไปสู่สวรรค์นี้แล้ว ได้เห็นด้วยตาจริงๆ มีประสบการณ์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตัวเป็นๆ มาแล้ว

            อาจารย์เปาโลต้องการให้เราทั้งหลายรับรู้เรื่องความจริงตรงนี้ อย่างมากเลย เพราะว่าท่านได้ไปเห็นมากับตาแล้ว  ท่านได้รู้แล้ว ท่านรู้ว่าถ้าใครไปเห็นกับตาและรับรู้ความจริงตรงนี้  เขาจะสบายใจ เขาจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างผู้มีชัยชนะ  อาจารย์เปาโลจึงอยากให้ทุกคนรับรู้อย่างนี้ว่าท่านเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ขนาดไหน? ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านแล้วขณะนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ของพระเจ้า ยืนยัน โดยข้าพเจ้า ซึ่งเล่าให้ท่านฟัง บอกให้ท่านฟัง เพราะข้าพเจ้าไปเห็นมากับตาแล้ว พระเยซูคริสต์พาข้าพเจ้าไปเห็นมากับตา  เพื่อจะลงมา เพื่อจะยืนยันให้กับท่านว่าเบื้องบน ในสวรรคสถานของพระเจ้านั้น เป็นเช่นไร?  และตำแหน่งของท่านเป็นอย่างไร?  และมันสูงส่งขนาดไหน?  อยากรู้แล้วใช่ไหมครับ?

            เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่ต่างๆ ที่เริ่มต้น รู้เรื่องสวรรค์แล้ว ก็คือเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พูดง่ายๆ ว่าเป็นคริสเตียนแล้ว อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยน้ำตา ด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความร้อนรนในใจ ต้องการให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเหล่านี้ ให้กับผู้เชื่อใหม่เหล่านั้นด้วย ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไร? อธิษฐานให้เขาร่ำรวยไหม? อธิษฐานให้เขาผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไหม? อธิษฐานขอให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บไหม?  อธิษฐานขอให้เขาประสบความสำเร็จในการกระทำการงานในโลกใบนี้ไหม?  อธิษฐานให้เขาปลอดภัยจากโลกใบนี้ไหม? ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้  อธิษฐานได้ แต่กำลังมีคำอธิษฐานที่สำคัญกว่า ที่ครอบคลุมถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเลย ก็คือคำอธิษฐานของเปาโลตรงนี้  ดูสิอาจารย์เปาโลอธิษฐานอย่างไรให้กับผู้เชื่อใหม่ ซึ่งเราสามารถที่จะเรียนรู้ได้แสดงว่าคำอธิษฐานนี้สำคัญมากเลย สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย ทุกๆ คน รวมทั้งเราทั้งหลายด้วย และในขณะเดียวกัน อย่างที่บอกว่ามันจะเป็นความรู้ให้กับเรา มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต ในสวรรคสถาน บนโลกใบนี้  คืออยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แต่ขณะเดียวกัน มันจะเป็นข่าวดีให้กับบรรดาผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เมื่อไร? อัศจรรย์เหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านเช่นเดียวกัน สามารถฟังได้ทั้ง 2 พวกเลยนะ ทั้งพวกที่เชื่อแล้วกับพวกที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เอเฟซัส 1:18 อาจารย์เปาโลจึงพูดอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์)”

            “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ ก็คือตัวจริงๆ ของท่านนั่นเอง  ภายใน  ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว สว่างขึ้น ให้แสงสว่างเข้าไป  เพื่อจะได้สำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่านอยู่แล้ว เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามาแล้วนั้น

            เห็นไหม? เหมือนตอนที่เราเริ่มต้นซีรี่ย์นี้มาไหม? จะได้รับรู้ถึงเรื่องสวรรค์ของพระเจ้าทรงเรียกท่านเข้ามานั้น และรับรู้ถึงเรื่องมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี มรดกนี้ คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้กับเราตอนเราจากโลกนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วยังมีโลกใบใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้าง ซึ่งเราจะเรียนกันทีหลัง ให้เรารับรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมรดกที่เต็มด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองและมีค่าที่สุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว  ท่าน คือผู้เชื่อ ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เห็นไหม? พูดกับมนุษย์ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บอกว่าท่านเป็นพลเมือง เป็นประชากรของสวรรค์ ผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม

            “ฉันบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้ว”

            ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ตอนนี้จะประพฤติอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของฉัน ในนี้บอกแล้วว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของเธอ ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของศาสนา ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมของโลกใบนี้  แต่เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้านำฉันเป็นผู้ชอบธรรม  โดยความเชื่อ ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน”

            ใครจะรับได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเช่นนั้น เรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ จะรู้ว่ามันใช่จริงๆ เอเฟซัส 1:19 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:19 “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            “ฉันจะได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัดและหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า”

            ต้องเรียนรู้จักฤทธิ์อำนาจ ก็แสดงว่ามันมีอยู่แล้ว ถูกไหม? ให้เราไปเรียบรู้ รับรู้ว่ามันคืออะไร?  ซึ่งเป็นฤทธิ์อำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา  และเพื่อเรา

            “ที่กระทำการงานอยู่ภายในฉัน และเพื่อฉัน ผู้ซึ่งเชื่อแล้ว  เชื่อไหมว่าในตัวท่าน  มีฤทธิ์เดชอำนาจ  ยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่มีขีดจำกัดหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ กระทำการงานอยู่ และฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาลนี้  ไม่ใช่มีไว้เพื่อต่อต้านท่าน มาดุด่าว่ากล่าวท่าน มาลงโทษท่าน แต่มีไว้เพื่อท่าน

            “เพื่อฉัน”

            เพื่อฉัน แปลว่าสนับสนุนฉันทุกอย่าง ทุกประการ ทุกเรื่อง ทุกราว แล้วไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน? ไม่ต้องไปที่โน่นที่นี่ ที่นั่น ไปหานักเทศน์คนโน้นคนนี้  คนนี้เชื่อสูง คนนั้นเชื่อเยอะ คนนี้เชื่อน้อย  ไม่ใช่ไปหาตรงนั้น แต่มันอยู่ในตัวฉันนี้เองแหละ จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉัน

            “จงรับรู้ไว้เถิด มันอยู่ในตัวฉันนี่เอง”

            อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระเจ้าไหม?  อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเยซูคริสต์ไหม? อยากได้ อยากได้ฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยากได้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน?  หาที่เรียนรู้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ที่กระทำการงานอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน ไม่ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้ หรือว่าได้สัมผัสบนโลกใบนี้  ถ้ามันไม่ใช่เพื่อฉัน ไม่ได้เพื่อสนับสนุนฉัน  อย่าไปยุ่งเกี่ยว มันไม่ใช่ มันโกหก หลอกลวงทั้งสิ้น ต้องเพื่อฉัน และอยู่ในฉัน  ไม่ใช่พาฉันออกไปข้างนอกโน้น  ไปหานอกกาย แล้วมาตำหนิว่าทำอันโน้นไม่ดี ต้องได้รับโทษอย่างนี้  ทำอันนั้น ได้รับสาปแช่งอย่างนี้ ไม่มี เพราะฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดอยู่ในตัวฉัน และเพื่อฉัน สนับสนุนฉันตลอด เอเฟซัส 1:20 ต่อมา …

        เอเฟซัส 1:20  “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้า ได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศต่างๆ ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

            อย่าลืมนะว่าเราได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในการบังเกิดใหม่  ในการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ไปแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว

            ในนี้บอกว่าในฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันที่เราพูดเมื่อสักครู่นี้  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล อันเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศ  ในสวรรค์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  แล้วเราอยู่ที่ไหน?  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็มีตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้จึงอยู่ในเราตลอดเวลา และสูงสุด ในนี้บอกว่าสูงสุด

            “สูงสุด ในโลกวิญญาณ”

        เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ  เหนือพลังอำนาจ  การครอบครอง  ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น  สิทธิอำนาจ  และฤทธิ์เดช  ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย”

            “ในตำแหน่งนี้” คือที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และเราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในตำแหน่งนี้ … ในตำแหน่งนี้พระเยซูมีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด

            “ในตำแหน่งนี้ ฉันก็มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดเช่นเดียวกัน” ถูกหรือไม่?

             เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อำนาจสูงสุด อยู่เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ  หรือผ่านทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อทั้งสิ้นที่ตั้งขึ้น โดยมนุษย์ เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชสูงสุดของพระเยซูนี้จะคงอยู่ตลอดไป

            “อำนาจและฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้  เป็นอำนาจ ฤทธิ์เดช ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของฉันด้วย และจะคงอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่แต่ในยุคนี้เท่านั้น คือบนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน”

            แสดงว่าเราอยู่ในตำแหน่งฤทธิ์เดชอำนาจสูงสุด ที่อยู่ในเรานั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ไม่ต้องกลัว จากโลกนี้ไป เราก็ยังอยู่ในตำแหน่งนี้แหละ อยู่กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            คราวนี้มาดูว่า “เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้” หมายถึงอะไร? คือในโลกฝ่ายวิญญาณ พอทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวิญญาณอื่นๆ อย่างเช่น ซาตานและเหล่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า 1 ใน 3 เรียกว่าทูตสวรรค์ที่กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ก็คือวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกพิพากษาลงโทษ ตกสวรรค์มาแล้ว รวมทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ดี ที่ยังกระทำการงาน รับใช้พระเจ้าอยู่อีก 2 ใน 3 พูดให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้รับทราบว่ามีเยอะกว่าตั้งเยอะ  แต่นั่นไม่ได้สำคัญ สำคัญตรงที่เราผู้เชื่อ มีอำนาจอยู่เหนือเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว

            ไม่ว่าจะสิทธิอำนาจหรือความสามารถอะไรต่างๆ ของเหล่าวิญญาณเหล่านี้ก็ตาม เรามีอำนาจอยู่เหนือสุดๆ เลย คือไม่ว่าจะเป็นสิทธิอำนาจ  หรือการครอบครองบนโลกใบนี้ ผ่านทางวิญญาณของทูตสวรรค์เอง  หรือผ่านทางมนุษย์ ก็คือวิญญาณเหล่านี้ ทำการงานในฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้ คอยหลอกลวง หลอกล่อมนุษย์ให้กลัวในสิทธิอำนาจของเขา โดยอ้างชื่อต่างๆ คือแต่งตั้งให้คนนั้น มีสิทธิอำนาจอย่างโน้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ในโลกที่มองไม่เห็น

            ในโลกที่มองไม่เห็น ก็คือยกตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าวิญญาณ ที่มีชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย อะไรอย่างนี้  ก็คือวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง วิญญาณตกกระป๋องตัวหนึ่ง  ที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมา ชื่อว่าเจ้าแห่งเปอร์เซีย หรือเอาตัวง่ายๆ ตัวหนึ่ง เจ้าแม่อาธามิส ที่อยู่ในกรีก อยู่ในเอเฟซัส เจ้าแม่อาธามิส ภาษากรีก ภาษาอังกฤษ แปลว่าเจ้าแม่ไดอาน่า ก็คือเหล่าวิญญาณชั่วที่ตกกระป๋อง อุปโลกน์ แต่งตั้ง หลอกให้คนมากราบไหว้  และเชื่อในสิทธิอำนาจของเจ้าแม่อาธามิส ใช้ชื่อว่าอาธามิสหรือไดอาน่า อะไรประมาณนั้น นี่คือทูตสวรรค์ อุปโลกน์ตั้งชื่อขึ้นมา  และเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง คือโดยตัวทูตสวรรค์เอง  ที่ตกกระป๋อง ที่มาต่อต้านพระเจ้า แล้วนอกจากนั้น ก็ยังหลอกลวง ปกครอง ผู้คน ใช้สิทธิอำนาจผ่านทางมนุษย์ แต่งตั้งมนุษย์ขึ้นมาแล้ว หลอกลวงมนุษย์ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว ก็มี รู้ตัวก็มี ให้มีอำนาจครอบครอง เพื่อจะต่อต้านพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร ซีซ่าร์เนโร  เป็นต้น ก็มาต่อต้านคริสเตียน เบื้องหลัง คือการเคลื่อนไหวของซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ตกกระป๋อง สมุนของมันนั่นเอง ยกตัวอย่างให้ฟัง พอมองเห็นภาพ นี่คือมนุษย์ได้รับการแต่งตั้ง ได้รับการอุปโลกน์ขึ้นมาโดยมารซาตาน

            หรืออย่างที่เห็นชัดในตอนที่เขียนจดหมายนี้ ก็คือเหมือนอย่างสภาเซ็นเฮดริน สภาศาสนายิว ที่ต่อต้านพระเยซู ที่ถึงกับจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน  เหล่านี้ ก็คืออยู่ในการควบคุมของมารซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋องเช่นเดียวกัน หมายถึงอย่างนั้น  จะได้เห็นภาพชัดเจน  หรือไม่บางครั้ง ก็แต่งตั้งหลอกลวงมนุษย์ผ่านทางดวงดาว ผ่านทางวัตถุสิ่งของต่างๆ บนโลกใบนี้ว่าดาวนั้นมีอำนาจมาก เรียกว่าดาววีนัสบ้าง ดาวอะไรต่างๆ ในสมัยอดีต เขาถือเป็นดาวเจ้าแม่ เจ้าพ่ออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด แล้วก็กราบไหว้สิ่งเหล่านี้ เบื้องหลัง คือวิญญาณชั่วเหล่านี้นั่นเอง  แต่ไม่ต้องกลัว

            ในนี้บอกว่าสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ที่ในพระเยซูคริสต์นี้ ทำให้เราอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดในพระเยซูคริสต์ที่เรามีอยู่นั้น เหนือเหล่าวิญญาณที่เราอธิบายมาตะกี้นี้ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ในยุคนี้เท่านั้น ในยุคหน้าที่จะมาถึงด้วย ถ้ามี ซึ่งมันไม่มีแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเรายิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่ต้องไปกลัวผีมารซาตาน บนโลกใบนี้เลย  ไม่ต้องกลัวเหล่าวิญญาณเหล่านี้เลย  และไม่ต้องกลัวมนุษย์ผู้ใด ที่มาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ผ่านทางการถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ถูกชักจูงของมารซาตานในโลกวิญญาณเลย ไม่ต้องไปห่วง  เรามีชัยชนะเหนือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เอเมน เอเฟซัส 1:22-23 ต่อมา

        เอเฟซัส 1:22-23  “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณอยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วน ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

            สิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่เรามีในพระเยซูคริสต์นี้ สูงสุดถึงขนาดไหน? ถึงขนาดวันหนึ่งข้างหน้า ในอนาคตทูตสวรรค์ทั้งปวง อยู่ต่อหน้าเรา และเราเป็นผู้ตัดสินเขาร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฤทธิ์อำนาจนี้สูงสุด ไม่ใช่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ไปถึงอนาคตด้วย นี่คือความยิ่งใหญ่สูงสุดของตำแหน่งของเราที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน

            ทั้งหมดนี้ คือฐานะและตำแหน่งของเราในวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ ก็คืออยู่ใต้เท้าของฉันด้วย

            “พระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของฉัน ด้วยเช่นเดียวกัน”

            ท่านมองเห็นภาพสิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเราอยู่สูงขนาดไหน?  เราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ร่างกายเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? อาจารย์เปาโลได้ไปเห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณมันป็นจริงว่าทั้งหมดนี้ คือตำแหน่ง คือฐานะของเราจริงๆ ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว ดังนั้น จะทำอะไร ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้  และมีสติ รับรู้ว่านี่คือความจริงตลอดเวลาเสมอว่า …

            “ฉันอยู่เบื้องบน ที่สูงสุดในสวรรคสถานแล้วในขณะนี้  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าตาจะมองเห็นอะไร? หูจะได้ยินอะไร? ใครจะมาหลอกลวงอะไร ไม่ว่าจะหลอกลวงผ่านทางวิญญาณ โดยตรง ส่งข้อมูลเข้ามา ผ่านทางความคิดของฉัน หรือว่าจะผ่านทางปฏิเสธ ต่อต้านจากมนุษย์ ผู้ที่ไม่รู้ความจริง มากล่าวหาฉันอะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            ไม่ต้องไปห่วงอะไรต่างๆ เหล่านั้นเลย เราอยู่ในความจริงเหล่านี้ เราอยู่สูงสุดแล้ว เราอยู่เหนือสิ่งสารพัดทุกสิ่งบนโลกใบนี้แล้ว รับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้เย่อหยิ่งจองหอง  …

            “ฉันอยู่เหนือสิ่งสารพัดเหล่านี้ สิ่งสารพัดบนโลกอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ฉันสั่งอะไรต้องเป็นไปตามฉัน ฉันอยากรวย ฉันรวย ฉันอยากแข็งแรง ฉันแข็งแรง  ฉันอยากจะประสบความสำเร็จ ฉันอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้นหรือ?” อย่างนั้นไหม?  ไม่ใช่แน่นอน

            เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่ออะไร? ฟังเปาโลพูด  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหา บนโลกใบนี้  เพื่อเราจะได้เผชิญ  แปลว่าความทุกข์  ไม่มีใครเผชิญความสุข มีแต่พบกับความสุข  เพื่อเราจะได้สามารถใช้ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เหยียบทุกอย่างอยู่ใต้เท้าเรา เพื่อการเห็นแก่ตัวหรือ? ไม่ใช่ นึกถึงภาพนะ  เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญหรือ? ก็ไม่ใช่  เพราะเราเหยียบลาภ ยศ สรรเสริญอยู่ใต้เท้าเราแล้ว  เพื่อเราจะได้สามารถเผชิญกับทุกปัญหาบนโลกใบนี้  ที่มันสับสนวุ่นวาย เสียหายไปแล้ว ด้วยความมั่นอกมั่นใจ  และความหวังใจเต็มเปี่ยม

            หวังอะไรที่เต็มเปี่ยมในใจ ก็หวังใจในฐานะ ตำแหน่ง ฤทธิ์เดชอำนาจในพระเยซูคริสต์ที่เรารับรู้ความจริงตรงนี้  ที่เปาโลรับรู้นี้  ต้องการให้เราเรียนรู้ว่าฤทธิ์อำนาจ ตำแหน่งนี้  มันอยู่ภายในจิตใจเรา  และพระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา นำพาเราผ่านทางปัญหาเหล่านี้ได้นั่นเอง ฤทธิ์อำนาจที่ทำงานในเรานี้ เพื่อเราจะสามารถเผชิญกับทุกๆ ปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา โลกนี้เสียหายไปแล้ว  โลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว …

            “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า”

            โลกนี้อยู่ชั่วคราว ไม่มีพระเจ้าชั่วคราว เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้น โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่มีความดีงาม  ไม่มีความบริสุทธิ์  มีแต่ความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลายตลอดเวลา  นี่คือสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งเรามีอำนาจอยู่เหนือมัน  เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราทั้งหลายจะได้สนองตอบต่อการดำเนินตามโลกใบนี้ คือตะกี้นี้ที่บอก ความชั่วร้าย ความไม่ดีงาม ความสกปรก ความขโมย ฆ่าและทำลาย  ไม่ได้มีไว้ เพื่อเราจะสนองตอบต่อการขโมย ฆ่าและทำลาย  ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้  ไม่ได้สนองตอบต่อกิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์บอก ฤทธิ์อำนาจที่กระทำการงานในพระเยซูคริสต์  ที่อยู่ในเราทั้งหลายในขณะนี้ ไม่ได้มีไว้ เพื่อสนองตอบต่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง

            กิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ก็คือการหลอกลวงของมารซาตาน มารซาตานพยายามจะหลอกลวงให้ผู้เชื่อทั้งหลาย ใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้สนองตอบต่อความต้องการของมัน ก็คือความสับสน ความวุ่นวาย  อยากจะชนะโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง  ด้วยวิธีการของตนเอง ก็ถูกหลอกอีก  เพราะพระเจ้าบอกแล้วว่าตัวเราอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเข้มแข็ง พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง ให้เราดำเนินตามฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานั่นเอง  ไม่ใช่เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของเรา บนโลกใบนี้ ให้สถานการณ์บนโลกใบนี้เป็นนายเรา ไม่ใช่อย่างนั้น พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความต้องการของเรา  พยายามที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจที่อยู่ในตัวเรานี้ ที่บอกว่าสูงสุดนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ ให้เป็นไปตามความต้องการของเรา ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เราใช้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าต่างหาก

            ตัวอย่างเช่น ประสบการณ์ของเปาโล เห็นชัดเลย เปาโลผู้อธิบายเรื่องนี้ แล้วก็ต้องการให้เรารับรู้ฤทธิ์อำนาจนี้ แล้วก็บอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในตัวเรา  และจะอยู่ตลอดไป และเปาโลเรียกฤทธิ์เดชอำนาจนี้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระคุณ พระคุณเพียงพอเสมอ ในความอ่อนแอของเรา หมายถึงอาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าในยามที่เจอปัญหาอะไรต่างๆ อาจารย์เปาโลยอมให้พระเจ้าเป็นผู้นำ แล้วพระเจ้าก็บอกอาจารย์เปาโลว่าในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น เมื่อเจอความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ตามความต้องการของเรา ให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น  แต่ในขณะที่เราอ่อนแอ ประสบปัญหาอยู่นั้น ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา จะทวีคูณมากขึ้น เพิ่มพูนขึ้นในความอ่อนแอของเรา มันจะสำแดงออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจนั้นจริงๆ ผ่านทางความอ่อนแอ

            ความอ่อนแอ คือความทุกข์ยากลำบาก ถ้าไม่ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็จะปรากฏออกมาในชีวิตของเราไม่มาก พระเจ้าบอกว่า …

            “ฤทธิ์เดชอำนาจเราจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด จะสำแดงออกมาเต็มที่เลย ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า เมื่อเจ้าอ่อนแอ พึ่งในฤทธิ์อำนาจ ฤทธิ์อำนาจก็จะสำแดงออกมามากขึ้น”

            อีกตัวอย่างหนึ่ง พระเยซูคริสต์ก่อนที่จะเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน อธิษฐาน 3 ครั้ง และพระเจ้าตอบว่าอย่างไร? พระเจ้าเงียบ  แล้วพระเยซูคริสต์ก็เลยบอกว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

            พอบอกขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ปุ๊บ คือยอมที่จะเข้าไปรับความทุกข์ยากลำบาก ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงไว้ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตายนั้น  ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพอพระองค์บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ทวีคูณเต็มขนาดในพระเยซูคริสต์ ให้มีกำลังที่จะสามารถเดินเข้าไปสู่แดนประหาร  เดินเข้าไปสู่ความทุกข์ยากลำบาก ด้วยความชื่นชมยินดี และด้วยความมั่นใจ  ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านี้

            นี่ต่างหากที่เป็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจ ที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคนได้รับรู้และสำแดงความยิ่งใหญ่ของตนเอง ในฐานะตำแหน่งเบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์นี้ ด้วยลักษณะเช่นนี้ต่างหาก

            ฤทธิ์เดชอำนาจที่เรียกว่าพระคุณ เพียงพอเสมอในความอ่อนแอของเรา และจะทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ในยามที่เราทุกข์ยากลำบาก  เพื่อปลอบโยนจิตใจของเรา  ให้กำลังกับเราสามารถที่จะรับได้กับสถานการณ์นั้นๆ  และมีความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา  เหมือนดังที่เปาโลบอกว่าจงชื่นชมยินดีในพระองค์เถิด จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า  จงชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์เถิด ตลอดเวลา เสมอๆ เถิด  ตอนที่เขียนนี้ ตอนที่พูดอยู่นี้ พูดจากการติดคุกอยู่ ทุกข์ทรมานอยู่ แต่พูดอย่างนี้ ทำได้อย่างไร? ก็เพราะฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นี้  ได้กระทำการงานอยู่ในตัวเปาโล ผู้เชื่อศรัทธานั่นเอง  และตัวนี้สามารถทำให้เขากระทำสิ่งเหล่านี้ได้  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง

            ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ ที่เราได้รับกำลังจากพระเจ้า  โดยผ่านทางความจริงของพระเจ้าว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้มีไว้ เพื่อพระองค์ แด่พระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่เพียงผู้เดียว  สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า  ในนามพระเยซู เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น! ความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นของท่านทันทีนิรันดร์

            พระเจ้าได้จัดเตรียมกระบวนการเข้าสวรรค์ ให้กับมนุษย์ทุกคน  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระเยซูคริสต์แล้ว  มนุษย์เพียงแค่ย้ายวิญญาณของตนเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง

            โคโลสี 1:21-23 …  “21 ครั้งหนึ่งพวกท่าน เคยแยกขาดจากพระเจ้า และเป็นศัตรูกับพระองค์อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่ว 22 แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหาต่อหน้าพระองค์ 23 และพระเจ้าได้กระทำสิ่งนี้  คือได้จัดเตรียมทุกอย่าง ให้ท่านสามารถดำรงอยู่ได้  อย่างต่อเนื่อง ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์”

            2 เปโตร 1:3 …  “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นในการมีชีวิตที่ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า  ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์  ผู้ทรงได้เรียกเรา  ด้วยพระสิริ  และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ  และความดีงามของพระองค์”

            เอเฟซัส 1:3 … “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์  แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ฟีลิปปี 1:6 … “ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว (ให้ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระองค์ในพระเยซูคริสต์แล้ว) จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ (วันที่พระเยซูคริสต์มารับเรา  เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้)”

            พระเจ้าอวยพรครับ