วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1410

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  เมษายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 23

โดย วราพร  คงล้วน

            ในพระธรรมเอเฟซัส 3:13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:13 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอท่านอย่าท้อใจ เนื่องด้วยความทุกข์ยากของข้าพเจ้า เพื่อพวกท่าน ซึ่งเป็นสง่าราศีของท่าน”

            อาจารย์เปาโลได้พูดคุยกับชาวเอเฟซัส ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิว ฉะนั้น กลัวๆ กล้าๆ  เขามีความรู้สึกว่าได้หรือ? เราไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้า เราสามารถเข้ามารับพระพร ร่วมกับคนยิวได้ จริงๆ หรือ? อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นไปได้จริงๆ  นี่คือแผนการของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป  หรือเผลอๆ ก่อนที่มนุษย์จะล้มลงในความบาป ด้วยซ้ำไป พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ายังไง มนุษย์ก็ล้มลงในความบาป  พระองค์ก็เตรียมการ เตรียมพระเยซูคริสต์ มาเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติ พระเจ้าก็ทรงเตรียมชาวยิวก่อน ซึ่งชาวยิวก็จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ หยิ่งทะนงในความเป็นประชากรของพระองค์ เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ  ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้า พอตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ได้ถูกประกาศออกไป ให้คนต่างชาติด้วย

            สาวกของพระเยซูมี 12 คน แล้วสาวก 12 คนให้ไปประกาศกับคนยิว  ส่วนสาวกพิเศษอีกคนหนึ่งที่มากลับใจใหม่ หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกคนนี้ ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่พระเยซูประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ให้กลับใจใหม่ แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว สาวกคนนี้ก็ต่อต้านพระเจ้ามากๆ เลย สาวกคนนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลเป็นหนึ่งในพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ที่รู้กฎระเบียบของโมเสสแบบชัดเจนมาก แล้วก็เคร่งครัด ในกฎระเบียบด้วย เขามีความรู้สึกว่ามีเพียงทำตามกฎระเบียบอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น ที่จะสามารถไปถึงพระเจ้าได้ ได้รับความรอด จากพระเจ้าได้ เขาลืมไปว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญากับคนยิวไว้ ตั้งแต่โน้น อดีตเลย ที่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมที่บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำอย่างนี้ ทำให้ผู้คนของพระองค์ มีอิสรภาพ เปลี่ยนใจใหม่ให้กับผู้คนเหล่านั้น

            สิ่งที่พระคัมภีร์เดิม  พูดคำว่า “จะ” หมายถึงว่าอนาคตข้างหน้า จะทำ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงกระทำแผนการของพระองค์ สำเร็จบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว คำว่า “จะ” ในพระคัมภีร์เดิม ไม่มีอีกแล้ว  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาได้เลย ได้ในสิ่งที่พระเจ้าบอก สัญญาไว้ในพระคัมภีร์เดิม พอถึงพระคัมภีร์ใหม่ คำว่า “จะ” จะไม่มีแล้ว แต่ถ้าพี่น้อง จะยกพระคัมภีร์เก่ามา หมายถึงกำลังย้อนให้ฟังว่าเมื่อก่อนนะ พระเจ้าสัญญาว่าอย่างนี้ แต่บัดนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือคำว่า “จะ” จะไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้พี่น้องทุกคนสามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้เลย  ตามที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป แล้วใครก็ตามที่เชื่อตามนั้น เขาก็จะได้รับตามพระสัญญา คือเขาจะได้รับความรอด เขาจะได้รับบัพติศมาในวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า วิญญาณเก่าที่เป็นบาป  ที่อยู่ใน DNA บาปของอาดัม ได้ถูกฆ่าให้ตาย  พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้ถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แล้ววิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้ คือวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เราสัมผัสจับต้องไม่ได้ เราต้องใช้ความเชื่อ เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เชื่อตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่ามันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราขอบคุณพระเจ้า พอเราวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรายอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เราได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าใส่ของประทานแห่งความเชื่อลงมา พร้อมกับสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรม ความดีงาม  ความรักที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกใส่เข้ามาในผู้เชื่อทุกคน เรียบร้อยไปแล้ว ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า

            ตรงนี้แหละ สมัยก่อนเราไม่เข้าใจ  แล้วเราหาเหตุผลไม่ได้ ดังนั้น เรื่องของพระเจ้า เราไม่สามารถใช้เหตุผลของมนุษย์ หรือความคิดของมนุษย์ที่จะมาสรุปว่าตกลงที่พระเจ้าบอกตรงนี้ มันยังไง มันต้องมีเหตุ มีผลอะไร ไม่มี ต้องใช้ความเชื่อเอา ฉะนั้น พระเยซูต้องการที่จะให้ผู้เชื่อทุกคน เชื่อตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเราไว้ว่าพระองค์ได้ทำอะไรให้เราสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน

            สมัยก่อน พอศุกร์ประเสริฐเราจะใส่สีดำ เหมือนกับเรามางานไว้อาลัย ทุกคนก็จะใส่สีดำ มันกลายเป็นประเพณีที่บล็อกเราไว้ว่าต้องสีดำ  แต่ความเป็นจริง วันศุกร์ประเสริฐไม่ได้เป็นวันเศร้าสร้อยเนอะ เป็นวันที่เรามาเฉลิมฉลองผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เหมือนกับผู้เชื่อคนหนึ่งจากโลกนี้ไป จริงๆ แล้วมีใครสามารถพลิกธรรมเนียมเก่าๆ ที่เราเคยชินว่าพอไปงานศพ งานไว้อาลัย เราต้องใส่สีดำ พลิกเป็นใส่สีอื่นได้ไหม? จริงๆ เราเป็นคริสเตียนได้เนอะ เราไม่ได้มาเศร้าเสียใจกับพี่น้องของเราที่จากโลกนี้ไป  เพราะเรารู้ว่าเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาไปในที่ๆ ดี งานที่พระเจ้าให้เขาทำบนโลกใบนี้ เขาทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่า …

            “เสร็จงานแล้ว ไปกลับบ้านลูก”

            ก็ไปอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเจ้า เหมือนกับที่ทุกวันนี้ ในโลกวิญญาณ เราก็นั่งอยู่กับพระเจ้าแล้วที่สวรรคสถาน เพียงแต่เรา จับต้องมองไม่เห็น เราต้องใช้ความเชื่อ แต่ถ้าวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ แต่ได้เห็นพระเจ้าชัดเจน ด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องใช้ความเชื่อ แล้วพอพี่น้องที่จากเราไปก่อน ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ปุ๊บ เขาก็คอยเชียร์พวกเราอยู่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าอยู่ ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร คริสเตียนสามารถพูดแบบนี้ได้หมดเลย อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร

            คำว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์” คืออยู่ให้รับรู้ความจริงว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา แล้วพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา ขับเคลื่อนอยู่ในชีวิตของเรา ดำเนินชีวิตทุกวันตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าจะเป็นผู้นำเรา เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว เพราะวิญญาณเก่าของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตัวตนของเราที่เป็นบาป มันตายไปแล้ว แต่ชีวิตปัจจุบันที่เรายังเดินเหินอยู่ เป็นชีวิตที่มีพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา เพราะว่าพระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่กับเรา ให้ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า ให้กับเรา ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่บรรพบุรุษของเราได้ทำให้สูญหายไปแล้ว ไม่ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้า อยากจะพึ่งพาตัวเอง

            พอเรากลับมาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูเป็นคนกลางที่ทำให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับมาที่เดิม มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นแบบชีวิตของพระเจ้า เหมือนเดิม ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้น  แล้วเราก็เชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าบอก อย่างที่เราคุยกันว่าให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง นมัสการ คือเอเมน ใช่ ยอมรับ ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าว่าขณะนี้เราเป็นอย่างไร  แม้ว่าตาของเราจะมองเห็นว่ามันไม่เห็นเหมือนเลย มันไม่ใช่ บอกว่าเราเป็นคนดีพร้อม มันดีพร้อมตรงไหน? เรายังแย้งตัวเราเองอยู่เลยว่ามันใช่หรือ? เราดีพร้อมจริงหรือ? ตอนนี้ นิสัยเรายังไม่ค่อยดีเท่าไรเลย? เราจะดีพร้อมได้อย่างไร? ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เหมือนพระเจ้าเลย  แล้วเราทำอะไร? เราทำได้อย่างเดียว คือเอเมน ตามนั้น ไม่ว่าตาเราจะมองเห็นอะไร สภาพแวดล้อมเราจะเป็นแบบไหน? เราไม่สนใจ เราสนใจว่าพระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เกิดผลสำเร็จในชีวิตของผู้เชื่อ แบบไหน? อย่างไร?  แล้วเราก็เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระองค์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราก็สารภาพกับพระเจ้าว่า …

            “ใช่ ถูกต้อง เอเมน เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            แม้ว่าข้างๆ จะมากรอกหูเรา … “ชอบธรรมตรงไหน?”

            “ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเอเมนตามนั้น”

            นี่คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราต้องยืนหยัด ไม่ยอมให้ระบบของโลกนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบของระบบโลกนี้  พยายามส่งเข้ามาหลอกเรา ทำให้เราไม่สามารถเชื่อ วางใจในสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา สำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วทำให้เราไขว้เขว

            อย่างที่บอก ต่อให้มารซาตานสามารถทำให้เราไขว้เขวได้ หลอกลวงเราได้ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มารทำไม่ได้ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตรงนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เชื่อแล้วเชื่อเลย เป็นแล้วเป็นเลย ก็คือเราได้อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราดำเนินชีวิตแบบไม่สมกับที่ควรจะเป็น ไม่สมกับที่เราบังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของเรา แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบนั้น เราก็ไม่สามารถที่จะมีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น  ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็เก็บเกี่ยวผล หรือเราไม่สามารถที่จะประกาศพระสิริของพระเจ้าได้เต็มที่ เต็มขนาด

            ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้  อย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกว่าขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอความทุกข์ยากแน่นอน อย่าคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้า เราจะสุขสบายตลอดเวลา ไม่มีทาง เราจะเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน แต่ท่ามกลางความทุกข์ยากนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา มันจะต่างกันกับคนที่ไม่มีพระเจ้า คนที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ยอมต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อย่างนั้น เขาทุกข์คนเดียวนะ เขาต้องแบกคนเดียว เขาต้องฟันฝ่าคนเดียว แต่ผู้เชื่อ เจอความทุกข์เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อเลย แต่เรามีภาษีเหนือกว่าตรงที่พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค แล้วพระเจ้าจูงมือเราเดิน พระองค์จะทรงแนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้กำลังเราที่เราจะสามารถผ่านวิกฤตเหล่านี้ได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า

            ปัญหามันไม่ได้หมดไปแน่นอน ปัญหามันไม่มีทางหมดไป จากชีวิตของเรา หมดไปได้วิธีเดียว คือเราตาย ตายเมื่อไรปัญหาหมด ลมหายใจหมดเมื่อไร? วิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? ทิ้งปัญหาทั้งหมดไว้ที่นี่เลย แล้วรวมทั้งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถูกทิ้งไว้ที่นี่เลย  สิ่งที่ตามเราไปบนสวรรค์ มีอยู่แค่ 2 สิ่ง ก็คือวิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงใหม่ให้กับเราตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้  เรามีวิญญาณใหม่เหมือนพระเจ้าเลยนะ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าเลยกับความคิดจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า 2 สิ่งนี้จะตามเราไปที่สวรรค์ เพื่อรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว รอไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ตอนที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราที่จากโลกนี้ไป เราก็ไปรับร่างกายใหม่อย่างเดียวไม่พอ ไปเจอกับโลกใหม่ด้วย

            พระเยซูบอกไว้ชัดเจน ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงทุกวันนี้ แล้วพระองค์ก็จะบอกต่อไปจนกว่าโลกนี้จะสูญสลายไป บอกว่าโลกนี้ยังไงก็ต้องสูญสลายไป  มันถูกทำร้าย จนเสียหายไปหมดแล้ว  ก็คือตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อาดัมกับเอวาตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพระเจ้า อยากพึ่งพาตัวเอง  โลกนี้ก็เสียหายไปแล้ว ฉะนั้น โลกนี้เมื่อเสียหายแล้ว มันจะทำให้ดีกลับเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเสียไปเรื่อยๆ เน่าไปเรื่อยๆ จนกว่าวันที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้ว่าวันนั้นจะมาถึง คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมารับผู้เชื่ออีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนรอคอยอยู่ แล้วในพระคัมภีร์ก็บอกชัดเจนว่าพระเยซูก็ไม่รู้ว่าวันไหน? มีแต่พระเจ้าพระบิดาผู้เดียวเท่านั้น ที่กำหนดเวลา ที่พระเยซูคริสต์กลับมารับผู้เชื่อไปอยู่กับพระองค์

            มันมี 2 ทาง ก็คือถ้าพระเยซูยังไม่มา พวกเราจากโลกนี้ไปก่อน พระเยซูก็มารับเราส่วนตัว แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ก่อนชาวบ้าน ก็คือไป เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ได้สัมผัสสวรรค์ด้วยตัวตนของเราเอง แต่ตอนนี้เราสัมผัสสวรรค์ด้วยความเชื่อในโลกวิญญาณ ฉะนั้น ผู้เชื่อต้องยอมรับความจริงตรงนี้ แล้วก็รับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้เราหวาดผวาตลอดเวลา เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว บางครั้งเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็หวาดผวาว่า …

            “ตกลง หลังความตาย ฉันจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าหรือไม่?”

            ทุกคนบอกว่าอยู่ไหม? … “อยู่แน่นอน”

            ทำไมเรารู้ว่าอยู่แน่นอน เพราะว่าตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็อยู่ที่สวรรค์กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง

            ดังนั้น ความเชื่อตรงนี้แหละ จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างเป็นอิสรภาพ มีหลายคนบอกว่าถ้าพูดอย่างนี้ หรือสอนอย่างนี้ คริสเตียนก็สบายสิ  ทำบาปได้สบายเลย ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ทำอย่างไร ก็ได้รับความรอดอยู่ดี พี่น้องว่าจริงไหม? มันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ด้วย ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเชื่อ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ของเรา ไม่มีใคร มีธรรมชาติที่จะทำบาปเลย ดังนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันจะแพ้ พอเราทำบาปปุ๊บ ข้างในเราจะไม่สบายใจ ข้างในมันจะทุรนทุราย

            เหมือนที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่าง เหมือนกับปลา ปลาต้องอยู่ในน้ำ ถ้าฝนตก ปลาตัวไหนซนหน่อย กระโดดออกมานอกน้ำ แล้วก็มาอยู่บนบก ตอนที่ฝนตกน้ำท่วม บนบกยังมีน้ำอยู่ใช่ไหม? เขาก็พอชิวๆ อยู่ได้ แต่พอน้ำลดปุ๊บ ปลาดิ้นผลั๊กๆ อยู่ไม่ได้แล้ว แล้วเขาต้องทำอย่างไร? พยายามหา ดิ้นรนสุดกำลังเลย ถ้าเขาอยู่ใกล้น้ำ เขาจะดิ้น ทำให้ตัวเองลงไปที่น้ำเหมือนเดิม เพื่อเอาชีวิตรอด

            ลักษณะผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความดีงาม เป็นความรัก เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราจะไม่มีความรู้สึกอยากจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราเลย แม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเราเผลอ ทำไมเราเผลอได้ เพราะว่าร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ไง พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน เรายังต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่เรามีภาษีเหนือกว่าคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่ามีพระเจ้าอยู่ข้างในเราทั้ง 3 พระภาค คอยให้กำลังเรา แล้วพระเจ้าก็ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจด้วย อันนี้พิเศษหน่อย

            อยากให้พระเจ้าไม่ให้สิทธิ์เราเลย พระเจ้าควบคุมทุกอย่างไว้เลย เราจะได้ไม่ต้องไปทำบาป นึกออกไหม? ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา ถ้าพระเจ้าควบคุมเราได้ แต่ไม่ใช่ธรรมชาติของพระองค์ ความเป็นพระองค์ พระองค์ให้อิสรภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก คืออาดัมกับเอวา พระเจ้าให้อิสรภาพในการตัดสินใจ จนถึงทุกวันนี้ แม้พระเจ้าพระบิดาซื้อชีวิตของพวกเรา ด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว  พระองค์ก็ยังคงให้อิสรภาพกับผู้เชื่อเหมือนเดิม ก็คือให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะยอมมอบถวายความคิด มอบถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองของเรา ให้พระเจ้าใช้ไหม? ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ หรือเราจะไม่ยอม เราทำได้ เราไม่ยอม เราก็จะกบฏกับพระเจ้า วันนี้ไม่อยากทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ การหลอกลวงมันมาแรงมากเลย เราขอกระโดดออกไป ทำตามที่โลกนี้นำเสนอมา เราก็ทำ

            พอทำปุ๊บ เรารู้สึกเสียใจ เป็นคริสเตียน ไม่ได้ทำไป มีความสุขไป เราเป็นผู้เชื่อ ธรรมชาติใหม่ เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว  เราไม่ใช่ทำไม่ดี ไปด่าเขา แล้วมีความสุข ลอยหน้าลอยตามันไม่มีทางอยู่แล้ว เผลอไปปุ๊บ รู้สึกไม่ดีเลย  เสียใจ ขอโทษพระเจ้า ให้กำลังลูก ที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระองค์ แล้วเราก็ทำอย่างนี้ สู้ไปเรื่อยๆ แล้วรับรู้ความจริงของพระเจ้าว่า ณ เวลานี้ เราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทำอะไรสำเร็จแล้วในชีวิตของพวกเรา เรามีภาษีเหนือกว่าเยอะ เมื่อเราฮึดสู้ ต่อต้าน ขัดขืนไม่ยอมมัน

            “มัน” คือระบบของโลกนี้ ที่พยายามส่งข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า มาให้กับสมองของเรา เพื่อเราจะได้สั่งร่างกายทำตามมัน เราก็ไม่ยอม เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า แล้วตลอดชีวิตที่เรายังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราก็จะสู้กันอย่างนี้แหละ ทุกวัน ทุกเวลา ทุกวินาที  แพ้บ้าง ชนะบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะก็ตาม เราก็ยังคงอยู่ในพระคุณของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังคงเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรัก ดังแก้วตาดวงใจเหมือนเดิม ความรอดเราไม่สามารถหลุดไป โดยที่เราประพฤติไม่ดีปุ๊บ ตกลงความรอดเรายังอยู่ไหม? หายไปแล้วหรือยัง? มันไม่มีทางเลย พระเจ้าบอกว่ารอดแล้ว รอดเลย ยังไงก็ไม่มีใครสามารถที่จะพรากเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            ฉะนั้น พอเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ ข้างในวิญญาณ เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มันคือธรรมชาติใหม่ของเราเลย เราปรารถนาที่จะทำตามที่พระเจ้าบอก แค่ว่าขณะที่เดินทาง เราก็ออกข้างนอกบ้าง อะไรบ้าง  แต่ไม่เป็นไร ออกข้างนอก เราก็กลับเข้าลู่เหมือนเดิมได้ เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับความดีงามนี้ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 3:14-15 “14 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงต่อหน้าพระบิดา 15 ผู้ทรงเป็นที่มาของนามแห่งตระกูลทั้งมวลของพระองค์ในสวรรค์และในแผ่นดินโลก”

            ที่อาจารย์เปาโลบอกให้ผู้เชื่อในเอเฟซัส อย่าท้อใจ เพราะว่าความทุกข์ยากที่อาจารย์เปาโลต้องรับอยู่ เพราะว่าอาจารย์เปาโลประกาศความรอด ประกาศแผ่นดินสวรรค์ ประกาศพระเยซูคริสต์ ทำให้คนในยุคนั้น คนยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เขาเคืองมากเลย เขาก็ไล่ล่าอาจารย์เปาโล บางทีก็จับอาจารย์เปาโลไปติดคุกบ้าง บางทีจับไปโบยตีบ้าง อะไรบ้าง จิปาถะ แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้รู้สึกว่าพอเจอปัญหาอย่างนี้ ไม่เอาดีกว่า เลิกประกาศพระเยซูคริสต์ดีกว่า ไม่มี อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนหยัดที่จะประกาศ พระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะรู้ว่านี่คือความจริง นี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ ที่ใครก็ตามได้ยินได้ฟังแล้วเชื่อตามนั้น เขาจะได้อิสรภาพ เขาจะได้รับการปลดปล่อย เขาจะได้เข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ใส่ใจในความทุกข์ยากลำบากของตัวเองเลย ติดคุกอยู่ ก็ยังสามารถเขียนจดหมายมาหนุนใจคนข้างนอกได้ มีใครทำอย่างนี้ได้ ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในเขา เหมือนกันพวกเราในปัจจุบัน เชื่อว่าพี่น้องหลายคนเจอความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108 1009 มันทุกข์ ทุกข์จริงๆ ด้วย ไม่ได้ทุกข์เล่นๆ ไม่ใช่เป็นที่เรามาเล่าสู่กันฟัง แบบสนุกๆ ไม่ใช่ ทุกข์จริงๆ บางคนทุกข์แบบสาหัสสากัน แต่ว่าเขาสามารถอยู่ได้ ผ่านไปได้ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเขา พระองค์ไม่เคยทิ้งเขา พระองค์คอยประคับประคอง พระองค์คอยประทานกำลังให้กับเขา เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่ามีหนามในเนื้อ ขอ 3 ครั้ง ขอให้พระเจ้าเอาหนามออกไป พระเยซูบอกว่า …

            “ความอ่อนแอของเจ้ามีที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะเต็มบริบูรณ์ในชีวิตของเจ้า”

            หมายความว่าถ้าเราแข็งแรงเมื่อไร? ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานไม่เต็มที่ เพราะเราซ่าส์ไง พอเราแข็งแรง เราอยากทำเอง แต่พอเราไม่มีแรง เราทำเองไม่ไหว  แล้วพระเจ้าทำแทน นึกออกไหม? นี่คือความเป็นจริง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระคัมภีร์เลยบอกว่าอาจารย์เปาโลก็อวดความอ่อนแอของตัวเอง ภาคภูมิใจในความอ่อนแอของตัวเอง ที่ความอ่อนแอมีเมื่อไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ก็มีเต็มขนาดในชีวิตของอาจารย์เปาโล แล้วอาจารย์เปาโลเจอความทุกข์ยากลำบาก อาจารย์เปาโลก็ผ่านไปได้ด้วยพระคุณ ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า และอาจารย์เปาโลก็ยังรู้ว่าที่ท่านถูกเรียกมา เพื่อทำอะไร?

            ที่เรายกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องจะต้องไปทำตามอย่างอาจารย์เปาโล ไม่ใช่ แต่ละคนถูกเรียกมาต่างกัน  ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อพระเจ้าเรียกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ก็คือให้เรามาอยู่กับพระองค์ แค่นั้นเอง นี่คือเป้าหมายหลัก แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราอย่างไร? พระองค์จะเป็นผู้กระทำการงานในตัวเรา  แล้วพระองค์ก็จะนำเราออกไปทำงาน แล้วที่เราออกไปทำงาน รับใช้พระเจ้า ไม่ใช่ความดีงามของเราเลย หรือไม่ใช่ฝีมือเราเลย  แต่เป็นเพราะพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา  เป็นผู้ประกอบกิจ ทำให้เราสามารถทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แล้วพอเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า จบ มันไม่มีอะไรพิเศษเลย สำหรับผู้เชื่อ เพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้ที่กระทำอยู่ภายในชีวิตของเรา คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่อยู่ในเราเท่านั้นเอง

            อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนที่กำลังเจอปัญหาความทุกข์ยาก สมัยก่อน เขาเจอปัญหา เจอเยอะนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าปัจจุบันเราเจอเยอะกว่า เห็นไหมทุกวันนี้ เราเจอทั้งภูเขาไฟระเบิด เผาป่า เผาไปหลายวันยังดับไม่ได้เลย ควันพิษเอย ฝุ่น PM 2.5 เอย แถมมาเจอโควิดอีก อยู่ยากนะ อยู่ลำบาก เดินไปไหนมาไหน สมัยก่อนมีอิสรภาพมาก เราจะเดินไปไหน เราก็มีความสุข เดี๋ยวนี้ เดินออกข้างนอก ถ้าลืมใส่แมส เหมือนเราแต่งตัวไม่เรียบร้อย

            เหมือนวันนี้ลืมใส่เสื้อออกนอกบ้าน อะไรประมาณนั้น แล้วเราคิดว่าเราทุกข์ยากลำบาก แต่จริงๆ แล้วความทุกข์ยากลำบาก มันมีมาทุกยุคทุกสมัย แล้วคนสมัยก่อน เขามีความเชื่อวางใจในพระเจ้า เพราะว่าเขาได้รับข่าวประเสริฐ ที่เป็นข่าวแท้ๆ เทคโนโลยีมันไม่ได้เจริญเหมือนทุกวันนี้  ที่เราจิ้มเอาๆ ฟังโน่น ฟังนี่ แล้วเราได้รับข่าวประเสริฐที่ผสมมา

            ดังนั้น ข่าวประเสริฐที่แท้ๆ ที่พระเจ้าประกาศ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วพระเจ้าต้องการให้เรามาอยู่กับพระองค์ อยู่กับพระองค์จริงๆ  แล้วก็คอยเงี่ยหูฟังว่าพระองค์จะให้เราทำอะไร? ไม่ใช่เราอยากทำอะไร?  แต่ทุกวันนี้ คือเราอยากจะทำโน่น เราอยากจะทำนี่ แล้วเราก็พยายามโน้มน้าวให้คนอื่น ทำตาม อย่างที่เราอยากทำ ซึ่งมันก็เท่ากับเราพึ่งพาในกำลังของตัวเราเอง ซึ่งทุกอย่างที่เราพึ่งพากำลังของเราเอง  ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            การพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า หลายคนคิดว่าเราทำไม่ถูกต้อง  ทำบาป ถึงจะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เปล่าเลย การทำความดี สามารถเป็นศัตรูกับพระเจ้าได้  เพราะเราพยายามทำความดี ด้วยกำลังของเราเอง เท่ากับเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าได้ทำให้เราดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ครบถ้วน สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมให้เราดีขึ้น เอเมนไหมค่ะ ไม่ต้องไปทำอะไรให้เรารู้สึกว่าตัวเราเองดีขึ้น เพราะพระเจ้าบอกว่าท่านสะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ที่เราทำ เพราะข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเรา

            ถ้าสมมติว่าพระเจ้าบอกให้เราไปทำอะไรบางอย่าง มันออกมาจากใจข้างใน เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเราทำอย่างนี้ คริสเตียนขี้เกียจหมดทุกคนเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ขยันมาก แล้วพระเจ้าที่อยู่ในเราขยันซะขนาดนี้ จะทำให้เราขี้เกียจได้อย่างไร? พี่น้องนึกภาพออกไหม? เพียงแต่ว่าพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าเราอยู่บ้าน เป็นแม่บ้าน เราไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับพระเจ้าเลย เราไม่ได้รับใช้พระเจ้าเลย แต่พระเจ้าบอก เธอเป็นแม่บ้านดีแล้ว พระองค์ให้ทำ หน้าที่ของแม่บ้าน ดูแลความเรียบร้อยของบ้าน ดูแลลูก ดูแลสามีให้ดีที่สุด นั่นแหละ คืองานรับใช้  แต่ไม่มีใครคิดว่านี่คืองานรับใช้ เขามีความรู้สึกว่า …

            “ขึ้นสวรรค์ ฉันไม่น่าจะได้ที่นั่งที่ดี เพราะว่าคนอื่นมารับใช้พระเจ้าทุกวี่ทุกวัน มาโบสถ์ โน่นนี่นั่น วันๆ ฉันก็ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต แค่ดูแลลูก ฉันก็ไม่มีเวลาที่จะทำอะไรแล้ว สงสัยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราจะได้ไปอยู่ปลายแถวโน้น”

            นั่นเป็นความเข้าใจผิดของมนุษย์ และเป็นความคิดของเราเอง ที่เราคิดแทนพระเจ้า คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่พระเจ้าบอก …

            “ใครบอกพวกเธอล่ะ”

            พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าให้มรดกพวกเราทุกคนเท่ากัน ไม่มีใครใหญ่ ไม่มีใครเล็ก ทุกคนเมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ เราได้มรดกเท่ากัน  เราได้อยู่กับพระเจ้าเท่ากัน เราได้รางวัลจากพระเจ้าเท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่าใคร แม้แต่คนที่มาเชื่อพระเจ้าวันแรก สมมติว่าเขามาเชื่อพระเจ้าวันเดียว แล้วเขาจากโลกนี้ไป เขาก็ได้มรดกเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย ที่ทำงานตรากตรำทั้งชีวิต ทั้งโดนข่มเหง ทั้งประกาศ ทั้งอะไรเยอะแยะมากมาย  แต่เขาได้รางวัลเท่ากับอาจารย์เปาโลเลย นี่คือความจริง ในโลกวิญญาณ

            เราขอบคุณพระเจ้า  สำหรับความจริงเหล่านี้  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่บนโลกใบนี้ อย่างมีอิสรภาพ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าเราทำทุกอย่างได้หมดเลย แต่ให้เราใคร่ครวญ คิดทบทวนว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็อย่าทำ แค่นั้นเอง พระเจ้าไม่ได้ว่าพอไม่ทำดี มาลงโทษเรา ไม่มี พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำตัวให้สบาย เพราะว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไปแล้ว เราเป็นอิสระจากกฎที่บังคับเรามาตลอด

            เมื่อก่อนตอนเชื่อใหม่ๆ เราไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้ เราก็เหมือนถูกบล๊อกด้วยกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วพอเราไม่ทำอะไรบางอย่าง ที่เขาว่าดี เราก็ไม่สบายใจ เรารู้สึกแย่เลย เราแย่มาก แต่ว่าพอเรารู้ความจริง ก็คือเราอยู่แบบอิสรภาพ พี่น้องนึกภาพคำว่าอิสรภาพได้ไหม? คือเราสามารถที่จะอยู่อย่างมีความสุข

            อยากจะยกตัวอย่างอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่น้องเคยเห็นครอบครัวไหม? เอาครอบครัวพวกเราเองที่เห็นชัดๆ ลูกที่อยู่ในบ้าน เขามีอิสรภาพมากเลย เขาอยู่กับพ่อแม่ เขาไม่เคยมีความกลัว  แล้วเขาก็ไม่ต้องไปทำงกๆ ไม่ต้องไปทำอะไรดี เพื่อพ่อแม่จะยอมรับว่าเขาเป็นลูกเรา ไม่มี ลูกบางคนเดินเข้าบ้าน ก็นอนเอกเขนกเลย นอนตีพุงเลย แม่เรียกลุกขึ้นมากวาดบ้านหน่อย วันนี้ขี้เกียจ ไม่อยากกวาด เขารู้สึกผิดไหม? เขาไม่รู้สึกผิดเลยนะ เขาก็นอนเอกเขนก พอเขาอยากลุกขึ้นมาช่วย เขาก็ลุกขึ้นมาช่วย แล้วมีพ่อแม่คนไหนลุกขึ้นมาด่าลูก ทำไมนิสัยอย่างนี้ ไป ตัดออกจากกองมรดก  ไม่ต้องมาเรียกพ่อเรียกแม่ ไม่มีนะ พ่อแม่แค่ถอนหายใจ ส่ายหน้า แค่นั้น เอ้อ! ไม่อยากทำ ทำเองก็ได้ แค่นั้นเอง ภาพเป็นอย่างนั้นนะ

            เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้ามองเราอย่างนั้น เป็นลูกที่รัก เราไม่ต้องไปรู้สึกว่าเราต้องๆๆๆๆ ทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น ไม่ต้อง เรามีอิสระเสรี  เพียงแต่ว่าเราอยากให้พระเจ้ามีความสุข เอาเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำ จริงๆ พระเจ้าก็มีความสุขนะ แต่ในความคิดของมนุษย์ เราคิดว่าเราน่าจะทำอย่างนี้ ทำให้พระเจ้ามีความสุข ต่อให้เราทำหรือไม่ทำก็ตาม พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา จริงแล้ว เราทุกคน เราอยากทำตามธรรมชาติใหม่ของเราจริงๆ  ที่เป็นเหมือนพระเจ้าจริงๆ  ก็ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “คริสเตียนทำบาปยังคงได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            พระเยซูตรัสว่าคนที่จะเข้าอยู่ในสวรรค์ได้  ต้องบังเกิดใหม่  ถ้าไม่เกิดใหม่  ก็ไม่สามารถเข้าในอาณาจักรสวรรค์ได้ และใครจะเกิดใหม่ ก็ต้องเปิดใจรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับการบังเกิดใหม่จากพระองค์แล้ว จึงสามารถเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นพระมาสิฮาห์ เป็นพระคริสต์ได้ และได้สิทธิการเป็นบุตรของพระเจ้า  ได้รับการอภัยลบล้างบาปทั้งสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตด้วย ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ เข้าสู่สวรรค์ทันที ตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่คือวิธีที่จะเข้าสวรรค์  มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นเอง

            สรุป เข้าอยู่ในสวรรค์ได้ด้วยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ และด้วยของประทานแห่งความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติดี ไม่มีที่ติ

            ถามว่า … “เป็นคริสเตียนแล้วยังทำบาปอยู่  ได้เข้าอยู่ในสวรรค์ไหม?”

            ก็ต้องถามว่า … “คริสเตียนคนนี้  เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณหรือไม่?”

            ถ้าเขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว  เขาก็ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้วทันที ที่เขาร้องขอความช่วยเหลือ เปิดใจให้พระเจ้าช่วยให้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เป็นพระมาซิฮาห์ เป็นพระคริสต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ หรือไม่?  ถ้าบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ  ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว

            แล้วทำไมยังทำบาปอยู่?

            พระคัมภีร์บอกว่าแม้ว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  แต่ทุกคนยังทำบาปเหมือนเดิม  ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้เหมือนเดิม

            เคยเห็นไหมคริสเตียนยังโกรธ ยังเกลียด ยังโมโหฉุนเฉียว ยังดื้อไม่เชื่อฟังพ่อแม่อยู่เลย ในพระคัมภีร์ยากอบบอกว่าเราทั้งหลายต่างล้มลงในความบาป  คือทุกคน ไม่ว่ามากหรือน้อย  ทุกคนก็ทำบาปอยู่  แล้วเราจะไปบอกว่าคริสเตียนคนโน้นคนนี้ทำบาปมากกว่าเราก็ไม่ได้ เพราะเราก็ทำบาป  เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรบาปไปเยอะแยะมากมายบ้าง คิดผิดคิดถูก บางทีเราแค่ขุ่นเคืองในใจก็บาปแล้ว  อะไรที่ดีแล้วเราไม่ทำก็บาปแล้ว  เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ

            ถามว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  ตามความจริงในพระคัมภีร์นี้ กำลังส่งเสริมให้คริสเตียนทำบาปต่อไปหรือ?

            เปล่าเลย! อัครทูตเปาโลอธิบาย ในโรม บทที่ 6 ว่า …

            “เราไม่ได้ส่งเสริม เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว เมื่อวิญญาณเขาบังเกิดใหม่แล้ว เขาจะมีธรรมชาติใหม่ในวิญญาณ และความคิดจิตใจของเขาที่บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า เขาไม่อยากจะทำบาป เขาทำบาปไม่เป็น เขาจะมีความคิดของพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวของเขา  เป็นสิ่งที่ได้รับมาตอนที่เขาบังเกิดใหม่  ข้างในเขาอยากจะทำดี  เขาไม่อยากทำบาป”

            แต่ทำไมยังทำอยู่ ก็เพราะเขายังสู้กับอิทธิพลของกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง การหลอกลวงของระบบโลกภายนอก ที่เราเรียกว่ากิเลสตัณหาชั่วของโลก ซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า ที่คอยยุแหย่ กระตุ้นความคิดเดิมๆ ที่คุ้นเคย ที่เคยทำตอนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งข้อมูลความคิดเดิมนี้ ยังติดอยู่ในระบบของความทรงจำของระบบสมองของร่างกาย ซึ่งเคยชินกับการกระทำตามกิเลสตัณหาชั่วนี้

            แล้วต้องทำอย่างไร?

            พระคัมภีร์  โรม 12:2 บอกว่า … “ให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ด้วยถ้อยคำแห่งความเป็นจริงในโลกวิญญาณเกี่ยวกับตัวเขา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นว่าตัวจริงๆ ของเขาในโลกวิญญาณนั้น เป็นเช่นไรโดยพระคุณของพระเจ้า เขาเป็นใครในพระเยซูคริสต์  เมื่อเขารับรู้ความจริงว่าเขาเป็นใครมากๆ  รู้ว่าเขาเป็นลูกพระเจ้า  รู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  รู้ว่าพระเยซูมาตายเพื่อเขา  รู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่ว่าเขาจะทำบาปอีกกี่ครั้งก็ตาม   ให้เขารับรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นทาสของบาปอีกต่อไปแล้ว  อย่ายอมให้มันบงการ ยุแหย่หลอกลวงให้เรากระทำบาป”

            ความจริงนี้จะทำให้เขาเป็นอิสระ ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป แทนที่จะไปคอยตำหนิทับถมเขาว่า ให้เขาเลิกทำบาปเสียที  ให้ไปบอกใหม่ว่าพระเยซูรักเขาขนาดไหน  เธอเป็นลูกพระเจ้า  เธอสะอาดและบริสุทธิ์หมดจด  ต่อให้เธอทำบาปมากขนาดไหน  หรือไปฆ่าคนตาย  พระเจ้าก็ยังรักเธอ  ตอนนี้เธออยู่ในสวรรค์แล้ว  ตายไปเธอก็ยังอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม  ไม่มีใครเอาเธอออกไปจากความรักของพระเจ้าได้แล้ว  พระเจ้ารักเธอมาก  พระเจ้าไม่อยากให้เธอไปทำบาปอย่างนี้   เพราะถ้าเธอทำเธอจะทุกข์กายและใจ ยุ่งยากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มากขึ้น  พระเจ้าเป็นห่วงเธอนะ พระเจ้าต้องการให้เธอมีความสุข ทั้งกายและใจมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้บนโลกใบนี้ พระองค์อยู่เคียงข้างเธอ เข้าใจเธอตลอดเวลา อยู่ฝ่ายเธอตลอดไป อย่าให้ศัตรูมาหลอกให้เธอทำร้ายตัวเองโดยการประพฤติชั่วตามกิเลสตันหา มันต้องการทำลายชีวิตของเธอ

            นี่คือสิ่งที่เขาอยากได้มากกว่าแทนที่จะไปบอกเขาว่า  … “อย่าทำบาปนะ  ถ้าเธอทำ  พระเจ้าจะคายเธอทิ้ง  เธอจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ  เธอจะตกนรก  ทำอย่างนี้พระเจ้าเกลียด  พระเจ้าไม่ชอบ”

            ซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น และก็เท่ากับยิ่งผลักดันเขาออกไปห่างจากพระเจ้ามากขึ้น 

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึง การปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า)”

            พระเยซูจะสอนเราด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักดิ์ศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า

            โดยพระคุณของพระเจ้า  พระองค์จะสอนเรา  ฝึกฝนเรา  ให้ปฏิเสธการทดลอง ล่อลวงจากกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สอนเราให้รู้จักบอกปฏิเสธการทำบาป  ที่โปรแกรมเก่าๆ  ความคิดเก่าๆ  ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า  ระบบของโลกนี้มันหลอกเรา  ให้เราเรียนรู้ที่จะบอกว่า  “ไม่”

                        *  ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว

                        *  ฉันบริสุทธิ์สะอาดแล้ว

                        *  ฉันมีค่ามาก  พระเจ้ารักฉันมาก

                        *  ฉันไม่ได้เป็นทาสของแกอีกต่อไป

                        *  ตัวเก่าของฉัน  ที่เคยเป็นทาสของแก  มันตายแล้ว

                        *  ฉันเป็นคนใหม่แล้ว

                        *  ฉันไม่ทำตามแกอีกต่อไป

            แล้วถ้าทำผิดอีก ทำยังไง  ก็ขอบคุณพระเจ้า  สำหรับพระคุณของพระองค์ ลูกยังอยู่กับพระองค์  เป็นลูกของพระองค์  พระองค์จะเสริมกำลังให้ลูกทุกวันๆ  ที่ลูกจะปฏิเสธการทำบาปนี้  คิดอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

            โดยการนำถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกความจริงว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ เราเป็นใครในโลกวิญญาณ ใส่ข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในจิตใจของเรา  เข้ามาเยอะ เท่าไหร่  ก็จะเปลี่ยนแปลงความคิดเราได้มากเท่านั้น  ความคิดเราเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ความประพฤติเราก็จะเปลี่ยนไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ถ้าเราประพฤติตามเนื้อหนังนำ  เราก็จะทุกข์มากขึ้น  แต่ถ้าเราประพฤติตามพระวิญญาณนำ  เราก็จะทุกข์น้อยลง  แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีผลทางด้านวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  อย่างแน่นอน

            พระเจ้าอวยพรครับ