วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1407

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มีนาคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 5 “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาต่อซีรี่ย์ชุด “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มันอัศจรรย์มาตลอดเลยนะ ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที คือมันไม่มีเวลา สวรรค์รออยู่แล้ว พระเจ้ารออยู่แล้ว รอเพียงแต่มนุษย์เปิดใจ วางใจเท่านั้นเอง เกิดขึ้นทันทีเลย และวันนี้ตอนที่ 5 ยิ่งอัศจรรย์ เข้าไปลึกๆ อยู่เรื่อยๆ ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำพาเราทั้งหลาย พบความจริงเหล่านี้ ซึ่งมันเกิดขึ้น  และทุกวันนี้มันยังเกิดขึ้นอย่างนี้อยู่ ยังคงทำงานอยู่ วันนี้ตอนที่ 5 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้”

            “ฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้”

            เมื่อเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว มันไม่มีเวลา  สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ทบทวนนะครับ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ …

            ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว

            ตอนที่ 2 ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ตอนที่ 3 ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว

            ตอนที่ 4 พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย

            สิ่งเหล่านี้เป็นอัศจรรย์หมด

            และวันนี้ตอนที่ 5 ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้

            อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือฉันได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้ เอเมน ตอนที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ จากสภาวะพระเจ้า มาจุติ เกิดในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่ เพื่อจะนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าสวรรค์ได้  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเราได้เรียนรู้เยอะแยะมากมาย  เกี่ยวกับเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์

            พอถึงเวลากำหนด พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ธรรมดาแบบมนุษย์ 30 ปี แล้วถึงเริ่มภารกิจ ที่พระองค์ตั้งใจมาทำ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ได้ รอดพ้นจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างของพระองค์ได้  พระองค์เริ่มต้นด้วยการประกาศ  พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ได้มาเกิด แล้วมาสอนให้เราประพฤติดี ไม่เหมือนศาสดาของศาสนาอื่นๆ หรือศาสดาของผู้เชื่ออื่นๆ ก่อนหน้านั้น ก่อน 2,000 ปีที่พระองค์มาเกิด พระองค์ไม่ได้มาทำแบบนั้นเลย พระองค์ทำสิ่งที่ไม่มีใครทำกันเลย  ก็คือพระองค์มาประกาศว่าสวรรค์กำลังจะมาแล้ว สวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ กำลังพูดถึงเรื่องที่พระองค์จะทรงกระทำภายในอีก 3 ปีข้างหน้า คือการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือการนำเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  แล้วก็เชิญมนุษย์ทุกคนมาเข้าสวรรค์กัน นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ

            เราเข้าใจผิดกัน เพราะเรามัวแต่ไปมองในสิ่งที่ตามองเห็น สัมผัสได้ คือเรามอง แค่ 3 มิติ และ 4 มิติเท่านั้น  มิติที่ 4 เรายังไม่ค่อยเข้าใจเลย เรื่องเวลา แต่เรามองใน 3 มิติเท่านั้น คือตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแตะต้องได้ เรามองแค่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ โลกนี้ มีอยู่ 4 มิติ กว้าง ยาว สูงและเวลา แต่พระองค์กำลังมาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ โน้น มิติที่ 5 ไม่มีใครเข้าใจเลย ก็คือนอกเหนือจากกาลเวลา ก็คือโลกของวิญญาณ โลกของพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น ที่ลงมาจากสวรรค์ ก็คือลงมาจากโลกวิญญาณ มิติที่ 5 จึงสามารถที่จะมาอธิบายให้กับเรา ประกาศสวรรค์ได้  เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์จึงมา เพื่อประกาศ ในหนังสือมัทธิว 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพออายุครบ 30 ปีในการดำเนินชีวิต เป็นแบบมนุษย์ บนโลกใบนี้แล้ว  พระองค์เริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร? มัทธิว 4:17 …

        มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์ มาใกล้แล้ว”

            “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นประกาศ” ไม่ใช่เริ่มต้นสอน เวลาที่พระองค์บอกว่าใครที่ประพฤติตามคำของเรา “คำของเรา” คือคำประกาศ ไม่ใช่คำสอน คำประกาศ ภาษาเดิมใช้คำนี้เลยว่าประกาศ แจ้งให้ทราบ ไม่ใช่มาสอน

            พระองค์มาประกาศว่าอย่างไร? ว่าจงกลับใจใหม่ เห็นไหม? เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว โลกฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ ที่มนุษย์อยากจะไปเหลือเกิน แต่พยายามวาดฝันไว้ว่าสวรรค์เป็นอย่างโน้นอย่างนี้  อย่างนั้น  และพยายามไปสวรรค์ด้วยสิ่งที่ตามองเห็น และจับต้องได้ใน 4 มิตินั้น แต่สวรรค์เป็นมิติที่ 5 คือโลกฝ่ายวิญญาณ

            อาณาจักรสวรรค์เป็นอาณาจักรทางโลกฝ่ายวิญญาณ และมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรจากการเรียนรู้นี้  พระเยซูพูดชัดเจนว่าจงกลับใจใหม่ เพื่อมาวางใจในพระองค์  พูดง่ายๆ ว่าพระองค์กำลังบอกว่าเรียนรู้จักสวรรค์นี้  เมื่อเป็นโลกวิญญาณ มนุษย์ไม่สามารถก้าวเข้าไปถึงโลกฝ่ายวิญญาณได้ จึงไม่สามารถใช้ความเข้าใจแบบมนุษย์ ไม่สามารถใช้ความคิดวิเคราะห์แบบมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เรียกว่าวิชาวิทยาศาสตร์  พยายามค้นหาโลกวิญญาณ  พยายามค้นหาพระเจ้าให้เจอ  โดยหลักการของ 3, 4 มิติที่พูดถึง คือทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันได้เจอหรอก พระเยซูกำลังบอก ต้องกลับใจใหม่จากสิ่งเหล่านั้น ไปหาจากตามองเห็น จับต้องได้เหล่านั้น 3 มิติ 4 มิติเหล่านั้น ไม่มีทางเจอหรอก ท่านต้องมาหาทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือมิติที่ 5 วิธีการหา ก็คือมาวางใจในเราก่อน แล้วถึงจะเรียนรู้จักเรื่องโลกวิญญาณทีหลัง ถ้าท่านไปหาจากโลกวิญญาณ โดยใช้สติปัญญาของท่านเอง ท่านถูกหลอก ท่านไม่มีวันได้เจอหรอก ท่านต้องเชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน  ถึงจะเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องพระเจ้าทีหลัง

            ใครที่อยากจะรู้จักพระเจ้า แล้วก็บอกว่ามาเรียนรู้จักพระเจ้าด้วยความคิด หาเหตุผล พระเจ้าว่าพระเยซูว่าอย่างโน้นอย่างนี้  เพื่อจะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่มีวันเชื่อหรอก ต้องเชื่อพระเจ้าก่อน วางใจพระเยซูคริสต์ก่อน แล้วพอเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณก็จะมาบอกเรา  ตาฝ่ายวิญญาณเราจะเปิดออก มันต้องเป็นอย่างนั้น พระองค์จึงต้องมาประกาศสิ่งนี้แหละ ไม่ใช่มาสอน กลับใจเสียใหม่ นี่ไม่ใช่การสอนนะ กลับใจเสียใหม่ คือเลิกจากทางเก่าซะ ไม่ได้สอนให้ทำโน่นทำนี่ มาชี้แจงบอกเงื่อนไขว่า …

            “ไม่มีทางเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ เรื่องสวรรค์แท้จริงได้หรอก  เราจะบอกให้นะ เลิกจากทางเก่าซะ กลับใจใหม่จากทางเก่า จากวัตถุสิ่งของตามองเห็น จากหลักวิทยาศาสตร์ จากความคิดของตนเอง เลิกจากการพึ่งพาการกระทำของตนเองซะ หันมาวางใจพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ ซึ่งแปลว่าผู้นั้น ที่พระเจ้าเจิมไว้  ที่พระเจ้ากำหนดไว้  เพื่อส่งมา ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากการตกนรกอยู่ในความบาป ในความพินาศ ท่านต้องวางใจและเชื่อในผู้นี้เท่านั้น เชื่อในใคร? คนที่พูดอยู่ คือเรา คือพระเยซูคริสต์ ท่านต้องมาเชื่อว่าเรา คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป และสามารถมาอาศัยอยู่กับพระเจ้าได้ สามารถมาเข้าสวรรค์ อย่างที่ท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคน โหยหาอยู่ในจิตวิญญาณ โดยที่ไม่รู้ตัว โหยหา พยายามจะเข้าสวรรค์ หาทางเข้าไปหาพระเจ้า  แต่เนื่องจากความบาป คือตายจากวิญญาณของพระเจ้า ตายจากพระเจ้า ตาบอดทางวิญญาณ จึงไม่สามารถเห็นได้  และท่านก็พยายาม โดยวิธีพึ่งพาตนเอง ในหลักการ ในความคิดแบบมนุษย์ ในหลักการ คือตามองเห็น หูได้ยิน ก็คือหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันไม่มีวันเจอหรอก ท่านต้องมาวางใจในเราเสียก่อน

            ในลูกา 17:20-21 พระเยซูได้ทรงอธิบายให้กับคนที่สงสัยตรงนี้ นึกถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าถึงขนาดนี้ นึกถึงเวลาพระเยซูพูดตรงนี้ เขาคิดถึงอะไร? พอพระองค์บอกว่าอาณาจักรสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว กำลังจะมาตั้งอยู่แล้วนะ เตรียมพร้อม กลับใจใหม่ซะ อย่าไปพึ่งพาความคิด วิธีเก่าที่เคยแสวงหา  จะเข้าสู่สวรรค์ มาแสวงหาวิธีใหม่ จะบอกให้ฟังนะ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้แล้วนะ คิดถึงคนที่ฟังอยู่ เขาจะคิดอย่างไร? ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวยิว ลูกา 17:20-21 พระเยซูอธิบายให้เขาฟังไว้ว่าอย่างไร? …

        ลูกา 17:20-21 “คราวหนึ่ง พวกฟาริสีมาทูลถามว่าอาณาจักรของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อใด พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ทั้งผู้คน จะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้น อยู่ที่นี่หรืออยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่านล้อมรอบท่าน”

            ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง พระเยซูก็บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ก็คือที่ท่านคิด ที่จับต้องมองเห็นได้ ตามความคิดของมนุษย์

            “ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่าอาณาจักรนั้นอยู่ที่โน่นหรืออยู่ที่นี่” ก็หมายถึงว่าไม่ได้อยู่ในวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคนั้น คิดเองและคาดเอง ซึ่งพระเจ้าก็อนุญาตให้ทำอย่างนั้นด้วย เพราะว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจในโลกวิญญาณได้ จึงได้ทำสัญลักษณ์ให้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่นะ  สวรรค์อยู่ที่นี่ และมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ และรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ เป็นสัญลักษณ์นั้นคืออะไร?  เราลองคิดดูสิ ก็คือวิหารไง ก็คือวัดไง  ก็คือบ้านฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียกว่าบ้านที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีพระเจ้าอยู่

            สำหรับอิสราเอล อย่างที่บอกว่าพระเยซูกำลังพูดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอิสราเอล พระองค์กำลังบอกว่าอาณาจักรสวรรค์นั้น ไม่ได้อยู่ที่โน่นที่นี่ อย่างที่ท่านคิด อาณาจักรสวรรค์ที่จะลงมาตั้งอยู่ อยู่ในท่าน อยู่ล้อมรอบท่าน อาณาจักรสวรรค์ที่ลงมาตั้งอยู่ ไม่เหมือนกับอาณาจักรสวรรค์ก่อนหน้านี้ คือในอดีต ที่พระเจ้าใช้สัญลักษณ์ คือหีบพันธสัญญาในวิหารของอิสราเอลนั่นแหละ

            หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ที่เล็งถึงการสถิตของพระเจ้า คือบ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ในอดีตนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร เป็นแค่สัญลักษณ์ที่พระเจ้าตั้งขึ้นว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่นะ เพื่อมนุษย์จะได้ไม่ลืมว่ามีพระเจ้าจริงๆ เพื่อนำมาถึงซึ่งพระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภายหลัง เพราะฉะนั้น หีบพันธสัญญาในวิหาร ก็เป็นแค่สัญลักษณ์ การทรงสถิตของพระเจ้า ในสมัยนั้น  แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่เดี๋ยวนี้ วันที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์จะนำเอาสวรรค์ของจริง ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ สวรรค์ไม่ได้อยู่ในวิหารของพวกท่าน ของชาวยิวอีกต่อไปแล้ว

            สวรรค์ไม่ได้มาตั้งอยู่ตรงโน้นตรงนี้ หมายถึงกำลังบอกชาวอิสราเอลว่าสวรรค์ ที่สถิตของพระเจ้า ไม่ได้ตั้งอยู่ในวิหารของยูดาห์ คืออิสราเอลตอนใต้ คือในช่วงที่พูดนั้น อิสราเอลถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ คือชาวยิวใต้ เรียกว่ายูดาห์ ชาวยิวเหนือ เรียกว่าอิสราเอล ทั้ง 2 ชาติ อิสราเอล ยิว มีวิหารที่บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่เหมือนกัน

            พระเยซูกำลังบอกว่านั่นแหละ ไม่ว่าจะวิหารไหนก็ตาม เป็นแค่สัญลักษณ์ พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่โน่น ที่นี่ ตามที่ท่านคิด แต่มาอยู่ในใจ ก็คือในวิญญาณของท่าน พระองค์จึงบอกไงว่าเมื่อถึงเวลานั้น คือเวลานี้ เวลาที่พระองค์ทรงมาเดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด ก็คือมนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น หลักวิทยาศาสตร์ ความคิดของตนเอง หรือสัญลักษณ์อะไรต่างๆ จากวัตถุต่างๆ อีกแล้ว แต่ต้องติดต่อกับพระองค์ในทางวิญญาณและความจริง ความจริง ก็คือความจริงที่พระองค์ทรงมาประกาศว่าพระองค์คือใครในโลกวิญญาณนั่นเอง

            ฉะนั้น สวรรค์ที่กำลังจะมา พระเยซูกำลังบอกว่าจะมาตั้งอยู่นั้น จะมาตั้งอยู่ในโลกวิญญาณ คือในวิญญาณของท่าน และพระองค์นำเอาสวรรค์นั้นเข้ามา ซึ่งเราเรียนรู้ตั้งแต่แรกๆ แล้วว่าพระองค์ ก็คือพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น สวรรค์ที่จะมา ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง ก็คือพระเจ้าจะทำให้วิญญาณท่านเกิดใหม่ เพื่อร่างกายของท่านจะได้เป็นวิหาร  เป็นอภิสุทธิสถานของจริง แทนสัญลักษณ์ในอดีต  คือวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ วิหารสมัยโมเสส วิหารสมัยโซโลมอน ก็คือวัดที่สร้างขึ้นมา แล้วก็บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ ร่างกายของท่าน จะเป็นวิหาร เป็นอภิสุทธิสถาน เป็นสวรรค์ที่พระเจ้าจะมาประทับอยู่ นี่พระองค์มาประกาศความจริงอย่างนี้

            และเมื่อท่านจะไปที่ไหนก็ตามสวรรค์ก็จะอยู่ในตัวท่าน ไม่ได้มาอยู่ที่โน่น อยู่ที่นี่ อยู่ที่จังหวัดโน้น อยู่ที่ประเทศนี้  ไม่ใช่ อยู่ในตัวท่าน มนุษย์ทุกคน แต่ละคนมีวิญญาณอยู่ แล้ววิญญาณนั้นจะเป็นที่ประทับของพระเจ้า พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในตัวท่าน สวรรค์ที่ท่านมา จะเป็นลักษณะอย่างนี้ พระองค์บอกให้เราฟัง สวรรค์จะอยู่ในตัวท่าน จะปกคลุมอยู่เหนือร่างกายความคิด จิตใจและวิญญาณของท่านตลอดเวลาเลย สวรรค์จะอยู่ในใจท่าน และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน หมายถึงอย่างนี้  เพียงแต่ท่านต้องใช้วิญญาณของท่าน  ท่านไม่สามารถใช้ความรู้สึกนึกคิดแบบมิติ ทั้ง 4 คือมิติที่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ท่านต้องใช้วิญญาณของท่านติดต่อเท่านั้น ถึงจะรู้ได้  เพราะว่าท่านยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ นึกออกใช่ไหม?

            เมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดของท่าน  ยังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความมืด ความบอดจากโลกวิญญาณ วิชาความรู้ในโลกวิญญาณ ไม่มีทางเข้าใจได้เลย ด้วย 4 มิตินั้น เป็นไปไม่ได้เลย ท่านต้องไปสู่มิติที่ 5 เลย เรื่องกาลเวลาไป โลกฝ่ายวิญญาณ อินฟีนิตี้ โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าสถิตอยู่ โลกที่ท่านคิดไม่ถึง โลกที่เกินกว่า 4 มิตินี้ ท่านจะมาพิสูจน์พระเจ้าด้วย 4 มิตินี้ ไม่มีวันเจอพระเจ้า ท่านจึงหลุดออกจากมิติที่ 4 คือกาลเวลาไป ท่านจึงจะเจอพระเจ้าได้

            พระองค์กำลังบอกอะไรกับเรา ผ่านทางคำประกาศนี้ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่ามีสถานที่หนึ่งในร่างกายของท่าน หรือร่างกายของมนุษย์ทุกคน   ที่จะเป็นอภิสุทธิสถาน สถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ ศักดิ์สิทธิ์มาก และที่นั่นก็คือที่วิญญาณของเรา วิญญาณของท่านมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง

            “วิญญาณของเราจะเป็นอภิสุทธิสถาน เป็นบ้านของพระเจ้า ที่พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าสวรรค์”

            1 โครินธ์ 3:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 3:16  “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            นี่หมายถึงผู้ที่วางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ตามที่พระองค์ได้ทรงประกาศ ให้เรากลับใจใหม่  นี่กลับใจใหม่แล้ว พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังบอกว่าท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ก็คือบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วไง พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าอย่างไร? พวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน

            อาณาจักรสวรรค์อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 ตามองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางความคิด เพราะฉะนั้น วิญญาณของเราอยู่ที่ไหน? วิญญาณของเราก็อยู่ในมิติที่ 5 เหมือนกัน พระเจ้าอยู่ในมิติที่ 5 นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็พยายามจะค้นคว้า หาหลักฐานให้เจอว่ามิติที่ 5 เริ่มต้นอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? พยายามค้นให้เจอ ตอนนี้เจอแล้วว่ามิติที่ 4 คือเวลา มีจริงๆ แต่เป็นมิติที่อยู่บนโลกใบนี้อยู่ แต่มิติที่ 5 ยังหาไม่เจอ พยายามหาใหญ่เลย แล้วก็หาไม่มากเท่าไร?  ก็พบกับความจริงในข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเต็มไปหมดเลยว่าพระองค์บอกแล้วว่าพระองค์เป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น ก่อนกาลเวลา พระองค์ทรงมีชีวิต พระองค์ทรงดำรงอยู่แล้ว  แค่นี้เอง นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหากันวุ่นวายไปหมด พระองค์บอก พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น พระองค์เป็นแสงสว่าง  แสงสว่าง คือชีวิต นี่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์พยายามหากันอยู่ แล้วเริ่มเจอหลักฐานอะไรบางอย่างว่าแสงสว่าง คือชีวิตจริงๆ ถ้าไม่มีแสงสว่าง จะไม่มีชีวิต

            ดังนั้น พระเยซูบอกสวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว กำลังมาตั้งอยู่ และตอนนี้ตั้งอยู่หรือยัง? ตั้งอยู่แล้ว เพราะว่าตอนที่พระองค์ทรงประกาศนั้น พระองค์ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งคือความสำเร็จชิ้นสุดท้ายที่พระองค์จะมาทำบนโลกใบนี้  คือเอาสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ อันสุดท้าย ก็คือเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            สวรรค์ได้มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และใครก็ตามที่เชื่อและวางใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้วทันที สวรรค์อยู่ในใจ และอยู่ล้อมรอบตัวท่าน มันหมายถึงอย่างนี้นั่นเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ เมื่อท่านวางใจและเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะไปหาว่าสวรรค์เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เข้ามาอยู่ในฉันได้อย่างไร? อย่างโน้นอย่างนี้  ไม่มีวันได้เจอของจริงแน่นอน  อาจจะเจออะไรบางอย่างลางๆ นิดๆ หน่อยๆ  แต่ท่านจะถูกความเท็จ ถูกโกหก ถูกหลอกลวงไปในทิศทางที่ผิด แต่ถ้าท่านวางใจในพระเยซูผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ผู้เป็นความสว่าง ผู้เป็นชีวิต หลังจากนั้น ท่านจึงจะเรียนรู้ได้ว่าที่พระองค์ทรงพูดเรื่องเกี่ยวกับมิติที่ 5 เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนั้นคืออะไร? พระเจ้าที่สถิตอยู่ ณ โลกฝ่ายวิญญาณ สวรรค์ที่ตั้งอยู่บนโลกฝ่ายวิญญาณนั้นคืออะไร?  อะไรคือคำว่าชีวิตนิรันดร์? อะไรคือคำว่านิรันดร ยอห์น 14:23 …

        ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            คำว่า “มาหาเขา” และ “อยู่กับเขา” ก็คือเรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน จะมาสร้างบ้านของเราในเขา จะสร้างบ้านของเราอยู่กับเขา “เขา” ตรงนี้ คือมนุษย์คนใดที่เชื่อฟังคำประกาศของพระเยซู พระองค์จะเข้าไปทำบ้านของพระองค์ ในวิญญาณของคนนั้นนั่นเอง  อย่างที่เมื่อตะกี้นี้บอกว่า …

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำประกาศของเรา”

            ไม่ใช่ “ผู้ใดที่รักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            มันไม่ใช่ มันต้องแปลว่าคำประกาศ  เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา ที่เราประกาศให้เขาฟัง ให้เขากลับใจใหม่ เขาก็ทำตาม คือกลับใจใหม่ แล้วให้มาวางใจในเราว่าเรา คือพระเมสิยาห์ เราคือพระคริสต์ คือผู้นั้นที่พระเจ้าจัดตั้งไว้ตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นโน้น หลายพันปีว่าพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ ลูกชายของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยมนุษย์ให้รอด  และกลับคืนสู่สวรรค์กับพระองค์ได้ และถ้าคนใดที่เชื่อว่าเราคือผู้นั้น  ก็คือพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ มาช่วยมนุษย์ให้รอด คนนั้นจะได้กลับคืนสู่สวรรค์ สู่พระบิดา โดยที่เรากับพระบิดาจะมาอยู่กับเขา มาทำบ้านของเราอยู่ในวิญญาณของเขา

            ทำบ้านของเรา คือสถานที่สถิตของเรา คือวิหาร ก็คือทำวิญญาณของคนๆ นั้น ที่มันตายอยู่ มันไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ไม่บริสุทธิ์สะอาด ทำให้วิญญาณของเขาได้เกิดใหม่ วิญญาณเขาจะได้สะอาดหมดจด มาเป็นบ้านของเรา  และเราจะได้เข้าไปอยู่กับเขา สวรรค์เลยอยู่ในใจของเขา อยู่ในวิญญาณของเขา เอเมน

            บ้าน ก็คือที่อยู่อาศัย บ้านของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ ที่ประทับของพระเจ้า  มนุษย์ทุกคนรู้ ทุกภาษารู้เลย  พอบอกว่าสวรรค์ ก็นึกถึงพระเจ้า พอบอกว่าพระเจ้า ก็นึกถึงประทับอยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย เมื่อมนุษย์คนใดตัดสินใจเลือก ที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับคำประกาศของพระเยซู คือวางใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  ก็คือคนๆ นั้น ทันทีทันใดในพระคัมภีร์บอกว่า ก็เหมือนกับได้ถูกย้าย จากบ้านเดิม จากในความมืด  วิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ พูดง่ายๆ เป็นบ้านผี บ้านที่ตายอยู่ บ้านที่พระเจ้าอยู่ไม่ได้ เขาเรียกว่าบ้านที่พินาศอยู่ เมื่อคนใดเชื่อคำประกาศของพระเยซู กลับใจใหม่ มาต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือได้ถูกย้ายมาอาศัยอยู่บ้านใหม่

            บ้าน คือวิหารทางฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็คือร่างกายของเรา วิญญาณของเราได้ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์  ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้วทันที และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้แล้วทันทีด้วย เช่นเดียวกัน  เป็นครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน  ที่เรียกว่าสามัคคีธรรม มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร?  ไม่ใช่สามัคคีธรรมกันแบบ 4 มิติบนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ แต่สามัคคีธรรมกันแบบมิติที่ 5 คือโลกวิญญาณ ไม่เข้าใจคำว่าสามัคคีธรรมนี้ได้หรอก ถ้าเผื่อไม่เปิดตาฝ่ายวิญญาณออก ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซู และไม่วิเคราะห์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  พยายามหาทางจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ ลักษณะเหล่านี้ด้วยความคิดของมนุษย์ ด้วยตามองเห็น จับต้องได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่มีวันเจอหรอก สามัคคีธรรมในวิญญาณมันแปลว่าอย่างนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น  ผู้ที่วางใจและกลับใจใหม่  ตามที่พระเยซูคริสต์บอก  ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้น  คือเราได้อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสน อะไรอีกแล้วที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าให้มากขึ้น ผู้ที่เข้าไปสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณในมิติที่ 5 จะไม่มีใครกลับมานั่งคิดว่าจะหาทางเข้าไปสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะเขาจะรู้ และรู้อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในมิติที่ 5 แล้วว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว เหมือนกับผู้เชื่อและอัครสาวกในอดีต ตอนเริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น ตอนที่วิทยาศาสตร์ไม่เยอะแยะมากมายอย่างทุกวันนี้ ว่ากันตามจริงแล้ว หลักวิทยาศาสตร์เยอะแยะมากมาย ความเจริญรุ่งเรืองของวัตถุสิ่งของและการพยายามค้นหาอะไรต่างๆ เหล่านี้  มันจำเริญเติบโต แค่วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันทำให้มนุษย์ห่างจากความจริงของพระเจ้ามากขึ้นทุกวันๆ ก็เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้แหละ  นอกจากว่าคนๆ นั้นจะบังเกิดใหม่แล้ว  เข้าไปมิติที่ 5 แล้ว ย้อนกลับมาดูวิทยาศาสตร์จึงจะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เหล่านั้น มันตรงกับสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้าจะเอาหลักวิทยาศาสตร์จริงๆ  คือพามนุษย์ออกจากมิติที่ 5 ทั้งสิ้น ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

            เพราะฉะนั้น เมื่อใครก็ตามได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มิติที่ 5 กับพระเจ้าจริงๆ แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะเขาอยู่ในนั้นแล้ว พระคัมภีร์จึงบอกผู้เชื่อทั้งหลายว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพียงแค่รับรู้ความจริงตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเองว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ถ้าเผื่อเขายังไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาจะไปพยายามทำอะไรเยอะแยะเพิ่มขึ้นว่า …

            “ฉันจะได้อยู่ในสวรรค์ๆ”

            ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ? ก็แสดงว่าเขาไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว  เหมือนเราอยู่ในประเทศไทยแล้ว ถ้าเราไม่รู้ตัว เราก็พยายามเหลือเกิน อยากอยู่ในประเทศไทยเหลือเกิน ทำอย่างไรดีๆ ท่านอยู่ในประเทศไทยแล้ว  ตอนนี้นั่งอยู่ในประเทศไทย ตื่นขึ้นมาก็สงบๆ ว่า …

            “ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้ว”

            สิ่งเดียวที่ท่านต้องการรู้ คือไม่ใช่ทำพาสปอร์ตเพิ่ม ไม่ใช่ไปติดต่อราชการเพิ่มเติม หาเอกสารอยู่ในประเทศไทย  ไม่ใช่พยายามไปหา ซื้อตั๋วเครื่องบินจะไปประเทศไทย  แต่สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ ก็คือตื่นขึ้นมาปุ๊บ ท่านต้องรู้ว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ต้องไปดูหน้ากระจก แล้วบอกว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปหาคนข้างๆ ถามว่าฉันอยู่ในประเทศไทยหรือเปล่า? ใช่อยู่ในประเทศไทย ฉันอยู่ในประเทศไทยแล้วจริงๆ

            เช่นเดียวกันกับคนที่เข้าไปอยู่ในวิญญาณ  ในมิติที่ 5 เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์เหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที  ในโลกวิญญาณ มิติที่ 5 มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เขาต้องรู้ต่อไป ก็คือเขาแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้เรื่อยๆ ว่า …      “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            ไปที่ไหนก็ต้องรับรู้ว่า … “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

            เพราะว่าสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้  ก็คือมิติทั้ง 4 มิติที่บนโลกใบนี้ มันจะคอยแย้งว่า …

            “ฉันยังอยู่บนโลก ถูก ฉันยังอยู่บนโลกจริง แต่วิญญาณของฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน”

            ถ้าเราแค่รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ  แล้วฝึกฝนปฏิบัติตน ให้สอดคล้องกับสถานที่ที่เราอยู่อาศัย ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณของเรา ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ขณะนี้  ก็ประพฤติตนให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นลูกๆ ของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คือพระเจ้า รักดังแก้วตาดวงใจ และชื่นชมยินดีในตัวเรา พอใจมากแล้วในชีวิตของเรา อย่าให้โลกนี้มันหลอกเรา …

            “อะไร ยังนิสัยไม่ดีอยู่เลย”

            นิสัยมันก็อยู่ในมิติทั้ง 4 มิตินี้ นี่เกี่ยวกับวิญญาณ นึกออกใช่ไหม? …

            “อะไรเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อวานนี้ยังโกหกอยู่เลย อะไร ยังหงุดหงิดอยู่เลย ไหนบอกบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้วไง”

            “ไม่รู้ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  พระเจ้าบอกฉันอย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น”

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ คือความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น …

            “ผู้ชอบธรรม เขาจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น” พระเจ้าพูดอย่างนี้เสมอ

            “เรามองดูที่ใจ เราไม่ได้มองดูที่ภายนอก” นี่พระเจ้าจะตรัสอย่างนี้เสมอ

            “เราพอใจมากในความเชื่อศรัทธาของคนใดคนหนึ่ง ถ้าปราศจากความเชื่อศรัทธาแล้ว ไม่มีใครทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย” เอเมนไหม?

            พระองค์ต้องการให้เชื่อและวางใจอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง อย่าถูกหลอก เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือจดจ่อ เพ่งมองให้เห็น  เหมือนดังถ้อยคำพระเจ้าจะบอกเราเสมอทั้งเล่มเลย บอกว่า …

            “จงมองให้เห็นเถิด”

            ไม่เห็นหรืออย่างไร?  ทำไมต้องบอกอย่างนั้น ก็เพราะจงมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ มิติที่ 5 เถิด เพราะในโลกนี้ วัตถุสิ่งของ ไม่ต้องไปบอกท่านให้เห็นหรอก  เพราะมันเห็นอยู่แล้ว เห็นกับตาอยู่แล้ว แต่โลกฝ่ายวิญญาณ มันจะมองไม่เห็น โลกที่มองเห็น มันมีโอกาสหลอกเรา ล่อลวงเรา เพราะโลกที่มองเห็นนั้น เป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าจึงบอกให้เราเพ่งมอง จ้องไปที่โลกวิญญาณนี้ จงมองให้เห็นเถิด แม้เราจะดำเนินชีวิตในโลกใบนี้เหมือนเดิม ก่อนที่เราจะวางใจในพระเจ้าและเกิดใหม่ในวิญญาณ  พอเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็ยังอยู่บนโลกใบนี้เหมือนเดิม แต่ในโลกวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้วต่างหาก ต้องเห็นภาพตรงนี้  เดินไปที่ไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าแม้เราจะอยู่ในร่างกายนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ในมิติ 4 มิตินี้ คือกว้าง ยาว สูง และเวลาก็ตาม แต่ชีวิตฉันจริงๆ ไม่ใช่เป็นเปลือกนอกแค่นี้ ตัวตนฉันจริงๆ คือวิญญาณ และวิญญาณฉันขณะนี้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมาก บริสุทธิ์  สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นิรันดร์ เอเมนไหม?

            และรับรู้ตลอดเวลาว่าอดีตในโลกฝ่ายวิญญาณ ฉันเคยอาศัยอยู่ในความมืด ที่เรียกว่าในอาดัมนั้น ในบรรพบุรุษเดิม  ซึ่งเรียกว่าตายอยู่ พินาศอยู่ แต่ตอนนี้ ขณะนี้ หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว อัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว ฉันได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว และพระเจ้าก็ได้อาศัยอยู่ในฉันแล้ว  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด  พระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากสถานที่นี้ได้  ไม่มีใครเอาฉันออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีใครใหญ่กว่านี้อีกแล้ว เอเมน

            นี่คือหน้าที่ของเราที่พระเจ้าให้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ทั้งสิ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มิติที่ 5 ทั้งสิ้น โคโลสี 1:13 …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            ชัดเจนเลย เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เห็นไหม? หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์นี้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตอนที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เพราะตะกี้ที่เราอ่าน ก็คือพระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ได้ ก็คือทำไปแล้ว  และได้ทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร คือในพระเยซูคริสต์ ก็คือในสวรรค์ ผู้ที่พระองค์ทรงรักเรียบร้อยแล้ว

            “ได้แล้ว”

            พระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด หลังจากที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์บอกว่าสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา พระคัมภีร์ที่เขียนขึ้นมาทั้งหมดนั้น จะเป็น Past Tense เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทั้งหมด ก็คือได้แล้ว ทำแล้ว เสร็จแล้ว ทั้งสิ้น เพราะพระเยซูคริสต์ประกาศเริ่มต้น ตอนเสร็จสิ้นภารกิจบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว

            คำสำคัญอยู่ที่คำว่า “แล้ว” ได้ทำสำเร็จแล้ว  สวรรค์ได้มาตั้งที่นี่แล้ว ใครเปิดใจต้อนรับสวรรค์ กลับใจใหม่ หันจากการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อไปสวรรค์ กลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์แทน ทันทีทันใด เขาได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ท่านรู้ไหม? เดี๋ยวผมจะพาท่านไปดู วันนี้อาจจะดูไม่ได้ครบนะ

            แต่ก่อนพูดถึงเรื่องนี้ อยากจะอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเรารู้อย่างลึกซึ้ง เพราะไม่มีใครที่จะสอนเราได้ในเรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถสอนเราได้ วิทยาศาสตร์ ได้แต่ต๊อกๆ ตามความจริงของพระเจ้าไปทีละนิดๆ เหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์ ตามรอยไดโนเสาร์ วิทยาศาสตร์คือการตามรอยพระเจ้าว่าพระองค์เป็นใคร? และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งจะตามได้เท่าไร? ก็ได้แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสำแดงเรื่องนี้ให้กับเราได้เห็น

            อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้ อาจารย์เปาโล คือคนๆ หนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งที่ได้กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู และพระเยซูก็ได้พาเขาเข้าไปในโลกวิญญาณ ในมิติที่ 5 เขาเข้าไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเลย สิ่งที่เขาทำ เมื่อเขาไปเห็น และออกมาแล้ว อันดับแรก คือพระเยซูบอกไม่ให้พูดเรื่องเหล่านี้ ให้เก็บ เขาก็เก็บ คือพูดไป ก็ไม่มีคนเชื่อ ให้เก็บ และสิ่งที่เขาพูดคำแรก พอเขาไปเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ในโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นจริงอย่างไร? ถ้าเป็นมนุษย์ อธิบายเป็นภาษาที่เราเข้าใจ พูดง่ายๆ ว่าเขาเห็นจากตาเป็นๆ ของเขา ตาจริงๆ ของเขา  ไม่ใช่เห็นจากถ้อยคำพระเจ้า แล้วเรารับรู้จากวิญญาณข้างใน  แต่เขากำลังบอกว่าเขาก็อธิบายไม่ถูก เขาบอกว่าเขาได้ถูกรับเข้าไปสู่โลกวิญญาณ  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติที่ 5 นี้  เขาได้รับเข้าไปสู่มิติสวรรค์ เขาไปพบกับความยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เขาจึงอยากจะให้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ที่เรียกว่าผู้เชื่อใหม่แล้ว ได้รับรู้ ได้เห็น เหมือนสิ่งที่เขาได้เห็นอย่างนั้น เขาจึงได้ประกาศออกไป อธิบายออกไป แล้วเขาจึงพูดว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องอื่นอีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการค้นพบตรงโน้นตรงนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่อง 3, 4 มิติบนโลกใบนี้อีกแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากจะพูดถึงสติปัญญา ปรัชญาแบบโลกอีกแล้ว ไม่อยากจะพูดถึงเหล่านี้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากพูด ก็คือเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ มันเป็นฤทธิ์เดช เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจนี้มันใหญ่ยิ่งขนาดไหน? ที่ทำให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ แล้วพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? ซึ่งข้าพเจ้าได้ไปเห็นมาแล้ว ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้แหละ อย่างเดียว ไม่อยากพูดอย่างอื่นเลย  และรู้ด้วยว่าข้าพเจ้าพูดอย่างนี้ อย่างเดียว ผู้คนที่ฟังอยู่ และใช้หลักการวิทยาศาสตร์ ใช้หลักการความคิดของมนุษย์ ก็จะบอกว่าข้าพเจ้าไม่ได้เรื่องเลย พูดซ้ำไปซ้ำมา เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความโง่เขลา สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ

            โง่เขลา อะไร ไปอยู่ในสวรรค์ แค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตาย แค่นี้เองหรือ? ฤทธิ์เดชอำนาจ ทำแค่นี้เองหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นความโง่เขลาของคนที่ยังไม่เชื่อ   แล้วก็ใช้สติปัญญาตนเอง   แล้วก็จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโง่เขลา  แต่ข้าพเจ้ายอมโง่  เพราะมันเรื่องจริง  มันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุด ในมหาจักรวาล ยิ่งกว่าตอนบิ๊กแบงอีก รู้จักบิ๊กแบงใช่ไหม? ยิ่งกวาตอนที่พระเจ้าเนรมิตสร้างโลก ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตอนเริ่มต้น สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ โดยพระเยซู โดยถ้อยคำของพระองค์ ที่พระคัมภีร์ภาษาไทยเรียกว่า “เนรมิตสร้างโลกและสรรพสิ่งบนโลก” คำว่า “เนรมิต” นี้ หรือคำว่า “บิ๊กแบง” นี้ ที่นักวิทยาศาสตร์ตามไปค้นพบว่าเรียกว่าบิ๊กแบงนี้ มันคือการเนรมิต มันคืออำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สร้างทางโลก และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ตรงนี้ ตอนนี้ มันอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อศรัทธาแล้ว โดยการกระทำให้สำเร็จ  โดยพระเยซูคริสต์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย ที่ท่านบอกว่าเรื่องโง่เขลา เรื่องโง่เขลาเหล่านี้ ทำให้คนฉลาดของโลกใบนี้ต้องอับอายไป เปาโลได้พูดอย่างนี้

            เปาโลบอกว่าตัวเขาเองเคยถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3  ทำไมถึงเรียกสวรรค์ชั้นที่ 3  เพราะคำว่าสวรรค์ หมายถึงสิ่งที่เกินกว่า 4 มิติ อย่างที่ผมบอก เกินกว่าความกว้าง ความยาว ความสูง และเวลา  มนุษย์จับต้องมองเห็นไม่ได้ มีเวลา เลยไปกว่านั้น พูดง่ายๆ คือมิติที่ 5 ทำไมเรียกว่าชั้นที่ 3 เพราะในสมัยนั้น มนุษย์มองขึ้นไปในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ได้เห็นอะไร? ท่านลองคิดดูสิ มองจากโลกใบนี้เห็นหมด เห็นดิน เห็นต้นไม้ เห็นสัตว์ มองขึ้นไปเห็นนก เท่านั้นเอง พอนกไม่บินมา เห็นอะไร? เห็นเมฆ เห็นแค่นั้นเอง นี่แหละคือที่เรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 1 มันหมายถึงอย่างนั้น

            สวรรค์ชั้นที่ 2 คือมนุษย์ก็ยังพอเห็นอยู่ ก็คือเลยออกจากห้วงของชั้นบรรยากาศของโลกใบนี้ มองออกไป พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากแรงดึงดูดของโลก มองไปไม่เห็นนก นกบินไปไม่ถึงแล้ว  หลังจากเมฆไป เห็นดวงดาวบ้าง นั่นแหละ คือชั้นที่ 2 หลังจากดวงดาวไป ก็ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว  เปาโลจึงใช้คำว่าถูกรับไปอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ 3

            ซึ่งชั้นที่ 3 ในยุคปัจจุบัน ก็คือมิติที่ 5 นอกเหนือกาลเวลาที่เพิ่งค้นพบทางหลักวิทยาศาสตร์นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าเปาโลได้ถูกรับไปสู่มิติที่ 5  ก็คือเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ

            ในสวรรค์ชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 มีสิ่งมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่าทูตสวรรค์อยู่อาศัยด้วย  ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ที่เขาเรียกว่าตกกระป๋อง พูดง่ายๆ วิญญาณชั่ว ไม่อยากจะพูดคำนี้ ทุกคนฟังแล้ว จะหวาดกลัวว่าเป็นผี … ผี คือวิญญาณ  วิญญาณที่ตกกระป๋อง ถูกตัดสินคดีให้พินาศ อยู่ในบึงไฟนรก นิรันดร์กาล ก็คือมารและสมุนของมัน  อยู่สวรรค์ชั้นที่ 1 กับ 2 แต่ทะลุเข้าไปถึงมิติที่ 5 มีแต่พระเจ้าสถิตอยู่เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น บนโลกใบนี้ จึงเป็นความมืดไง นึกออกใช่ไหม? นึกไม่ออกหรอก ผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่พยายามไล่ตามถ้อยคำพระเจ้าไป บนโลกใบนี้เรียกว่าความมืด บนโลกใบนี้ ก็คือโลกวัตถุ ที่เราเห็นอยู่นี้ และโผล่เข้าไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่เปาโลบอกว่าชั้นที่ 1 ชั้นที่ 2 ทั้งหมดนี้อยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอกวันหนึ่งมันจะถูกพิพากษาให้จบสิ้น  จบสิ้น ก็คือโลกวัตถุนี้ และโลกวัตถุที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ  และโลกวัตถุที่อยู่นอกชั้นบรรยากาศ พวกดวงดาวต่างๆ พวกห้วงจักรวาลต่างๆ เหล่านั้น วันหนึ่งมันจะสูญสิ้นไปหมดเลย เพราะมันถูกพิพากษา โดยพระเจ้าตัดสินไปแล้วว่ามันจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้สูญสิ้นไป แล้วพระเจ้าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลย

            เปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสมัยนั้นเรียกว่าชั้นที่ 3 มันหมายถึงอย่างนี้ ก็คือสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่ และไปพบกับความจริงเหล่านี้  ที่ตะกี้นี้ที่ผมพยายามเอาข้อความพระคัมภีร์ที่พระเยซูอธิบายให้ฟัง มาให้ท่านเห็นว่าเปาโลได้ถูกรับเข้าไปอยู่ตรงนั้น และเปาโลก็เลยบอกว่า …

            “เกรงว่าข้าพเจ้าจะอวดตัวมากเกินไป”

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าจึงให้หนามในเนื้อ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร? มาคอยเตือนเปาโลว่าอย่าอวดตัวว่าได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้นแล้ว ให้ถ่อมใจ ไม่ต้องไปพูดถึงมากเรื่องนี้ แต่ที่พูดให้ท่านฟัง หมายถึงไม่ใช่ผมพูดนะ หมายถึงเปาโลบอก …

            “ที่อธิบายให้ท่านฟังนิดหน่อยนั้น  ก็เพื่อว่าท่านจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าก็ไม่ใช่อัครทูตจิ๊บจ้อยนะครับ”

            เพราะว่าท่านถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายว่าเป็นอัครทูตปลอม ไม่ใช่อัครทูตจริง  อัครทูตจริงต้องเดินกับพระเยซู ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้สิ ก็เหมือนอัครทูต 12 คน ที่เหมือนเปโตร เหมือนยอห์นเหล่านั้น แต่อาจารย์เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซูอย่างนั้น แถมยังฆ่าคริสเตียนตายอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น พอถูกเรียกมาเป็นอัครทูต ประกาศให้กับชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวแล้ว ก็ถูกคนใส่ร้าย  หาว่าไม่ใช่อัครทูตจริงหรอก อัครทูตจริงจะต้องเดินกับพระเยซูสิ พระเยซูก็เลยพาอาจารย์เปาโลไปเดินกับพระเยซู แต่คราวนี้เดินแบบไม่ใช่ร่างกายแบบมนุษย์เดินอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซูตอนเดินบนโลกใบนี้ แต่เป็นร่างกายของพระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  อยู่ในมิติที่ 5 แล้ว ก็เลยรับเปาโลไปอยู่ในมิติที่ 5 เข้าไปพูดคุยกัน ท่านพอเข้าใจไหม?  ก็เหมือนกับว่าพระเยซูได้คุยกับเปาโล เหมือนกับที่พระองค์ได้คุยกับอัครสาวก 12 คน เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้นั่นเอง

            เปาโลเลยบอกว่า … “ขอคุยนิดหนึ่งก็ได้ ท่านจะได้เข้าใจ จะได้ให้เกียรติฉันบ้าง ท่านจะได้เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด  ฉันถูกเรียกมา แต่งตั้งมา เพื่อให้ประกาศกับคนต่างชาติ ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วย  ฉันเป็นอัครทูตของแท้จากพระเยซูคริสต์เหมือนกัน”

            สัปดาห์หน้าเราจะมาต่อกันว่าอาณาจักรสวรรค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่ทำงานอยู่ในตัวของท่าน ผู้เชื่อ และผู้ที่วางใจในพระเยซู และท่านได้วางใจไปแล้ว  สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้วางใจยังฟังๆ อยู่ สัปดาห์หน้ามาฟังสิว่าถ้าท่านวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของท่านบ้าง อัศจรรย์ ที่ผมตั้งชื่อว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ อัศจรรย์นี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  สัปดาห์หน้ามาต่อกัน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำถาม : “ต้องทำดีเท่าไหร่กี่ครั้ง พระเจ้าถึงจะนับว่าเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่ในสวรรค์ได้?”

            คำตอบ : “ศูนย์ครั้ง”

            ไม่ต้องทำดีอะไรเลย  แค่พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เท่านั้นจริงๆ

            เอเฟซัส 2:4-9 … “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา  (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์ 7 เพื่อในคยุคต่อๆ ไป พระองค์จะได้ทรงสำแดงความอุดมแห่งพระคุณอันหาใดเปรียบ ซึ่งได้ทรงแสดงด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอดพ้น จากการเป็นคนบาป และการตายนิรันดร์ในวิญญาณ ทันทีที่ตัดสินใจเชื่อ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ โดยยังไม่ได้ทำดีอะไรเลยสักอย่าง ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ นอกจากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น

            อย่างนี้แหละเรียกว่าโอ้….! Amazing Grace พระคุณอัศจรรย์ ความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ มหึมา มโหฬารมากมาย กว้างขวาง ไม่มีขอบเขต เหลือคณานับ ดีมาก เลิศ ยอดเยี่ยมเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ 

            พระเจ้าอวยพรครับ