วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1412

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  เมษายน  2023

เรื่อง “พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ต้องดังหน่อย ทั่วโลกประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เอเมน

            พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ลงมา เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พระเยซูเป็นบุตรของมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ ทำทุกสิ่งในนามของมนุษย์ พระเยซูทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทุกคนได้กระทำด้วย เพราะฉะนั้น พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็ประกาศเรื่องนี้ให้ดังที่สุดเลยนะครับ อ่านหัวข้อคำบรรยายในวันนี้ “พระเยซูตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นด้วย” 1 โครินธ์ 15:3-7 วันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ …

        1 โครินธ์ 15:3-7 “3 เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุด ที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่าน คือพระคริสต์วายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สาม พระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 5 พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองคน 6 ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏ ต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคน ในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว 7 ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด

            ข้อความนี้ คือ “ข้าพเจ้า” หมายถึงอัครทูตเปาโล  ซึ่งเป็นอัครทูตคนเดียว คนแรกที่นำข่าวประเสริฐ เรื่องความยิ่งใหญ่แห่งวันอีสเตอร์ มาประกาศแก่มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ มวลมนุษย์เลย และเปาโลบอกว่าอย่างไร?

            “ข้าพเจ้าได้รับมอบเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”

            ข่าวดีนี้ สำคัญที่สุด ที่ได้รับมา รับมาจากพระเยซูคริสต์เป็นผู้แต่งตั้ง อัครทูตเปาโลให้ออกมาประกาศ ข่าวดีนี้ให้กับมนุษย์ทั้งปวง หมดเลย บนโลกใบนี้ ข่าวดีที่สุดนี้ คือพระคริสต์วายพระชนม์ หมายถึงตาย  เพราะบาปของเรา

            คำว่า “เรา” หมายถึงมวลมนุษยชาติทั้งปวงเลย  ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์  และทรงถูกฝังไว้ และในวันที่สาม พระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตาย  ก็คือวันอีสเตอร์แรกของโลก การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            “และพระองค์ทรงปรากฏแก่เคฟาส (หมายถึงเปโตร) และต่ออัครทูต 12 คน ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องอีก 500 คนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้”

            พระคัมภีร์นี้หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย สัก 30-40 ปี ประมาณนั้น บางคนยังมีชีวิตอยู่ ที่ได้เดิน ได้คุยกับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตายแล้ว

            “ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ  แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด”

            เปาโลกำลังพูดให้เห็นถึงคำพยานว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆๆๆๆๆ นี่แค่เขียนนิดเดียว แต่นึกถึงภาพของสมัยโบราณ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เหมือนปัจจุบัน คนไม่เยอะ หมายถึงขณะนั้น ไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ ปรากฏครั้งเดียว มีคน 500 คนเห็นกับตา อยู่กับคน 500 คน เยอะมาก สมัยนั้น นี่ยังใช้เทียมเกวียนวัว ควายลากอยู่เลย เพื่อยืนยันถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            และในนี้บอกว่าพระองค์ทรงถูกส่งมา  โดยพระเจ้า เพื่อมนุษย์ทุกคน สมัยก่อน เขานึกว่าพระเยซูถูกส่งมา โดยพระเจ้า เพื่อชาวยิว แต่อัครทูตเปาโล ได้มาบอกข่าวดีกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ทั่วโลกไปหมดเลยว่าพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวยิวเท่านั้น  แต่เป็นตัวแทนของชาวยิวและชาวไม่ใช่ยิว ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้  พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็คือเป็นพระเจ้านั่นเอง มาเกิดเป็นมนุษย์ คือการอยู่ใต้บทบัญญัติ  คือกฎหมายที่พระเจ้าวางไว้ว่ามนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้นะ

            มนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ คือมนุษย์ มีกฎของมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ก็คือเขามีร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมา เรียกว่าเลือด เนื้อ หนัง ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกใบนี้  คือดิน น้ำ ลม ไฟ และสิ่งสำคัญที่สุด คือมนุษย์ไม่ได้หยุดอยู่แค่ธาตุทั้ง 4 แต่ที่สำคัญที่สุด คือเขามีวิญญาณที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นชีวิตที่มาจากพระเจ้า

            พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์  จากวิญญาณพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ หมายถึงอย่างนี้ มาเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ทำทุกสิ่งทุกอย่างในนามของมนุษย์ พระองค์เดินไปเดินมาบนโลกใบนี้ พระองค์พูดเสมอว่า “บุตรมนุษย์” พูดแทนตัวเอง เรียกตัวเองว่าบุตรมนุษย์ เพื่อจะบอกมนุษย์ทั้งปวงว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้านะ ตอนนั้น พระองค์เป็นพระเจ้า แต่มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์บอกตำแหน่งตัวเองอยู่เรื่อยๆ ให้บรรดาผู้คนบนโลกใบนี้ได้รับทราบว่าพระองค์เป็นบุตรของมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ก็คือวิญญาณของพระองค์เป็นวิญญาณที่มีชีวิต  ไม่ได้ตายอยู่ในบาป เหมือนตัวแทนของมนุษย์เดิม

            ตัวแทนของมนุษย์เดิม คือใคร? พระคัมภีร์บ่งไว้ชัด ตัวแทนของมนุษย์เดิม คือบรรพบุรุษของเรา คนแรก คืออาดัม … อาดัม ถูกเรียกชื่อว่าอาดัม เพราะว่าอาดัมนั้น ถูกสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกนี้  ถูกสร้างมาจากโลก ก็คือวัตถุสิ่งของที่เป็นของโลกนี้  ก็คือธาตุทั้ง 4  คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน เรียกว่ามนุษย์ เพราะฉะนั้น อาดัมก็มีวิญญาณเหมือนกัน แต่วิญญาณอาดัมเป็นวิญญาณที่ไม่มีชีวิตของพระเจ้าอยู่ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าตายอยู่ เพราะฉะนั้น อาดัมก็เลยเป็นตัวแทนของมนุษย์คนแรก ที่เรียกว่าอาดัมที่ 1 ส่วนพระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่ตาย มีชีวิตอยู่ เป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ เรียกว่าอาดัมที่ 2 พระคัมภีร์เรียกพระเยซูว่าอาดัมที่ 2 อาดัมคนต่อมา อาดัมคนแรกตาย  อาดัมที่ 2 มีชีวิต  ทั้งสองเป็นตัวแทนของมนุษย์บนโลกใบนี้ทั้งสิ้น  มนุษย์ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของสองตัวแทนนี้ จะอยู่ในอาดัมหนึ่งหรืออาดัมสองเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น พระเยซูมาเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ทำสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทำในนามของบุตรมนุษย์  เพราะฉะนั้น พระเยซูกระทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทำด้วย เหมือนอาดัมทำอะไร เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย อาดัมทำบาป เอาคำสาปแช่งเข้ามา เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย เอาคำสาปแช่งเข้ามาสู่ตัวด้วยเช่นเดียวกัน นี่คือความจริง

            –  พระเยซูได้รับพรอะไรจากพระเจ้า มวลมนุษย์ก็ได้รับด้วย

            –  พระเยซูเป็นอะไร มวลมนุษย์ก็เป็นด้วย

            –  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตายด้วย

             เช่นเดียวกัน

            ท่านมองเห็นภาพแล้วนะว่ามันเป็นตรรกะที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ถ้าเผื่อเราค่อยๆ เรียบเรียงออกมา จากความจริงของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

            ดังนั้น มนุษย์คนใดเชื่อในความจริงของข่าวดีนี้ ที่กำลังพูดอยู่นี้ ก็จะสามารถพูดความจริงเหล่านี้ ด้วยความมั่นใจ ออกจากปากได้เลย เหมือนที่เราทั้งหลายมั่นใจ และเปิดใจต้อนรับพระเยซู เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว เราสามารถพูดด้วยปาก ด้วยความมั่นใจเลยว่า …

            “พระเยซูตายบนกางเขน ฉันก็เลยตายด้วย” นี่แหละ

            “พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ฉันก็ถูกฝังด้วย”

            “พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย”

            “พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว ฉันก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน”

            “พระเยซูได้รับมรดกเป็นรางวัลจากพระเจ้า ฉันก็ได้รับมรดกนั้นด้วย”

            เพียงแต่จะรู้ไหม? รู้ว่ามีมรดก มีอะไร? ไปเปิดดูพินัยกรรมสิว่ามีอะไรบ้าง? แต่ได้รับหรือยัง? ใครได้รับก่อน? เพราะว่าตัวแทนฉันได้รับก่อน  คือพระเยซูคริสต์ได้รับแล้ว

            “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันก็เป็นอย่างนั้นด้วย” เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ง่ายมากเลยนะ

            เพราะอะไรถึงได้? “ก็เพราะฉันรับเอาความจริงนี้ไว้ ฉันได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฉันถึงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเยซูคริสต์ ฉันอยู่ในพระเยซู และพระเยซูก็อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระเยซูบอกว่าเป็นเลือดเนื้อเดียวกันเลย”

            เลือดในเลือด เนื้อในเนื้อ เหมือนเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่ของเรา แต่ตรงนี้หมายถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งทางวิญญาณและทางร่างกายในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน

            “พระวิญญาณของพระคริสต์ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ห่อหุ้ม ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายฉันแล้ว ตอนนี้ จากข่าวดีนี้ พอเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ได้ห่อหุ้ม ปกคลุมอยู่เหนือร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปกคลุมอยู่เหนือชีวิตของฉันที่เดินอยู่ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ ด้วยพระสิริของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าตลอดเวลาเลย”

            “เพราะฉะนั้น เมื่อฉันต้อนรับข่าวดีนี้ และเชื่อในข่าวดีนี้ ฉันจึงมีความมั่นใจ และสามารถที่จะพูดตามความจริงเหล่านี้ได้ว่าพระเยซูคริสต์ได้อะไร ฉันก็ได้ด้วย”

            เราจึงสามารถร้องเพลงเมื่อสักครู่นี้ได้ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            ร้องมั่นใจไหม? ถ้าเราไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่เปิดใจต้อนรับความจริงนี้ ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับเราปฏิเสธที่จะให้พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของเรา  เรายังคงยืนยันอยู่ในตัวแทนเดิม อยู่ในอาดัม เราร้องเพลงนี้ไม่ออกหรอก  เราก็ได้ร้องแค่ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว”

            จบ พระองค์ก็เป็นของพระองค์ไป ส่วนเราก็ …

                        “ฉันก็ตายแล้ว ฉันตายแล้ว  ฉันก็ตายอยู่ในอาดัม”

            ต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเรามั่นใจ เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้แทนของเรา เป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์เป็นอะไร? ฉันก็เป็นด้วย ฉันก็สามารถร้องว่า …

                   “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                   เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            ยิ่งเข้าใจความจริงนี้เท่าไร? ท่านจะร้องด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยความชื่นใจ ด้วยความสดชื่น ด้วยความเต็มอิ่มในจิตใจเลย เสียงดัง ไม่ดัง ไม่สำคัญ จริงๆ ความดังนั้นมันอยู่ข้างใน  แม้จะไม่ร้องเลย นึกในใจตามไป สมมติว่าอายุมากแล้ว 100 ปีแล้ว  ไม่มีเสียงแล้ว ร้องในใจ มันก็ดังอยู่ในใจว่า …

            “ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์ ฉันเป็นขึ้นจากความตาย”

            เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา ที่ทำให้เราสามารถร้องบทเพลงนี้ได้ ด้วยใจที่มั่นคง และเข้มแข็ง

            เพราะฉะนั้น ประเภทที่ 1 มนุษย์ผู้ใดที่รู้แล้ว และใช้สิทธิ รับพระพรแล้ว ก็จะได้รับพระพรมากขึ้น เมื่อรับรู้ความจริงของข่าวดีนี้เยอะขึ้น มากขึ้น วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้พระพรแล้ว แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราได้รับอะไรบ้าง เยอะแยะมากมาย ของขวัญห่อไว้เต็มที่เลย วางไว้ที่หน้าบ้าน เรายังไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง? ก็เริ่มไปเปิดดู มีอะไรบ้าง? เปิดดูพินัยกรรมว่ามี 1, 2, 3, 4 …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันอธิษฐานทูลขออะไรก็ได้ พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับฉันแล้ว ตอนที่ฉันจากโลกนี้ไป พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมดเลย ไปอ่านดูพินัยกรรมว่าฉันได้รับอะไรบ้าง?”

            สำหรับประเภทที่ 2 คือมนุษย์ผู้ใดที่ยังไม่รู้ความจริงนี้ หรือเคยได้ยินความจริงนี้ ข่าวดีนี้ ยังไม่ได้ตัดสินใจใช้สิทธิของเขา ยังไม่สนใจ หรือเริ่มสนใจ หน้าที่ของเขาไม่ใช่เปิดพินัยกรรม  หน้าที่ของเขาต้องรีบตัดสินใจ อย่าให้สายเกินไป เพราะมีกำหนดที่สิทธินี้จะหมดสิ้นลง ก็คือวันที่จากโลกนี้ไป วันที่หมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ถ้าภาษาไทยเรียกว่า “เป็นผี” ถ้าเป็นภาษาศัพท์ทางพระคัมภีร์เรียกว่า “วิญญาณ” วิญญาณออกจากร่างแล้ว เป็นวิญญาณแล้ว เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเป็นวิญญาณ  ไม่ใช่เป็นมนุษย์ ข่าวดีนี้มีไว้สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน  คราวนี้น่าเศร้าเลย

            เพราะฉะนั้น ข่าวดีนี้จะเกิดผล แก่มนุษย์ทุกคน เพราะพระเยซูคริสต์เกิดมาเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคน และทั้งหมดที่พระเจ้ากระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ พระเจ้าทำให้เป็นของขวัญฟรีๆ ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นฟรีทั้งหมด  โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พระองค์ประทานให้โดยพระคุณความรักที่มีต่อมวลมนุษย์ ที่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ  ผ่านทางการเสียสละของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งพระโลหิต และยอมตายบนกางเขน  เพื่อมวลมนุษย์ทุกคน

            คือยอมตายนะ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าพระองค์ไม่ยอมตาย ไม่มีใครจะเอาชีวิตจากพระองค์ไปได้ ตอนที่ถูกตรึง ก่อนถูกตรึง ปีลาตที่คิดว่าตัวเองมีสิทธิอำนาจสูงสุดในตอนนั้น ที่จะปล่อยพระเยซูไม่ให้ตายก็ได้ หรือจะพูดให้พระเยซูอยู่ต่อก็ได้  พระเยซูตอบว่า …

            “ท่านไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราเลย ชีวิตนี้เป็นของเรา ถ้าเราไม่ยอม ไม่มีใครมาเอาชีวิตออกไปจากตัวเราได้”

            พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือพระองค์ยอมสละชีวิตด้วยตัวของพระองค์เอง

            เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราทั้งหลาย มันยิ่งใหญ่มากมหาศาลเลย แลกด้วยอะไร? พระเจ้าต้องการอะไรจากมนุษย์ แลกแค่นิดเดียวเอง คือแค่เปิดใจรับสิทธิเท่านั้น …

            “รับเถอะลูก รับไปเถอะลูก”

            วิงวอนขออยู่ทุกวัน เคาะประตู ขออยู่ทุกวัน รับไปเถิดๆ  รับอะไร? รับของขวัญ รับข่าวดี รับสิทธิ รับมรดกที่พระเยซูจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากพระองค์ตายแล้วนั่นนะ …

            “รับไปเถอะลูกๆ”

            เฝ้าตลอดเวลา ในพระคัมภีร์เขียนอย่างนั้นจริงๆ นะ เดิน ง้อมนุษย์ตลอดเวลา ในโลกวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เดินง้อมนุษย์ตลอดเวลา …

            “กลับมาคืนดีกับพระเจ้านะๆ พร้อมแล้ว กลับมาบ้านเราเถิดๆ ทุกอย่างอภัยให้หมดแล้ว เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ใช้สิทธิของเจ้าเท่านั้นเอง แค่นั้นพอแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวเราทำหมด เพราะเราทำหมดไปเรียบร้อยแล้ว เอเมน”

            เพียงแค่นี้เอง เพียงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ส่วนที่เหลือนั้น ก็เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตระเตรียมไว้ คือขบวนการสู่ความรอด ที่พระเจ้าวางแผนไว้ และพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนกางเขน พระเจ้าเตรียมแผนการนี้มาหลายพันปี และพระเยซูก็มากระทำให้สำเร็จ บนกางเขน ซึ่งสำเร็จด้วยการยืนยัน ด้วยคำพูดของพระองค์เอง  ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมงของวันศุกร์นั้น พระองค์ร้องเสียงดังว่า …

            Tetelestai สำเร็จแล้ว จ่ายหมดแล้ว จ่ายหนี้บาปให้กับมนุษย์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดสำเร็จแล้ว มรดกเป็นของมนุษย์เรียบร้อยแล้ว เอเมน จากนี้ต่อไปใครมาอ่านพินัยกรรมใหม่ คือพันธสัญญาใหม่ว่าท่านได้รับอะไรจากการที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับท่านที่ไม้กางเขน  สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน”

            ขบวนการ ความรอด ที่พระเจ้าเตรียมและพระเยซูทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วนี้ เริ่มต้นด้วยอะไร? เราจะมาเจาะดูสิว่าขบวนการนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้คร่าวๆ อย่างไรบ้าง? ที่มันเกิดขึ้นทางวิญญาณที่เรามองไม่เห็น

            ขบวนการความรอดนี้ เริ่มต้นด้วยการรับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู ขบวนการความรอดมาทันที  พอเราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จเข้าไปสู่ในวิญญาณของเรา เข้าไปทำอะไร? เข้าไปบัพติศมา … บัพติศมา แปลว่าจุ่ม ใส่ นำเราเข้าไป พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในวิญญาณของเรา ถึงใช้คำนี้ มันจะได้ง่ายดี  เหมือนกับการผ่าตัดในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณ พระวิญญาณเสด็จเข้ามาในวิญญาณของเรา และทำการผ่าตัดในวิญญาณ  คือเอาวิญญาณของเรา ชีวิตของเรา เข้าไปใส่ เข้าไปจุ่ม เข้าไปมุด เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราเปิดใจจริงๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราจะถูกผ่าตัด ถูกบัพติศมา ถูกย้ายออกจาก DNA ฝ่ายวิญญาณของอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกอยู่ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน

            นี่คือเริ่มต้นขบวนการของความรอด เมื่อคนใดคนหนึ่งเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เราจะมาอ่านดูข้อพระคัมภีร์ รายละเอียดว่าการผ่าตัดวิญญาณ จุ่มเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ  แล้วเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ในลักษณะไหน? ในพระคัมภีร์หลายๆ เล่ม หลายๆ หนังสือจดหมายฝากที่พูดถึงเรื่องนี้ แต่โรม 6:3-6 และข้ออื่นๆ จะพูดถึงลักษณะการได้รับการผ่าตัด ได้รับบัพติศมา การจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ค่อนข้างจะละเอียด และชัดเจนมาก

            “บัพติศมา หมายถึงจุ่ม ใส่ เข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกัน”

            บัพติศมาในพระเยซู ก็คือการจุ่ม ใส่เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น บัพติศมา ก็เลยเป็นคำๆ หนึ่ง อย่าถือว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งสิ้น ฉะนั้น ท่านสามารถทำกระเทียมดองได้ไม่ยาก เหมือนกับการนำเอากระเทียมไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู

            วิธีทำกระเทียมดอง คือท่านเอาน้ำส้มสายชูมาแต่งรสตามที่ท่านชอบ เรียบร้อยแล้ว ท่านก็เอากระเทียมมา จากนั้น ท่านก็บัพติศมากระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู ปิดฝาไว้ให้แน่น อย่าให้อากาศเข้า ทิ้งไว้สัก 3 เดือน ออกมา กระเทียมก็กลายเป็นกระเทียมดอง บัพติศมามันแปลว่าแค่นี้เอง ไม่ต้องตื่นเต้น

            พอบอกว่าบัพติศมา โอ้โห! ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน แปลว่าอะไรนะ ศักดิ์สิทธิ์มาก ก็คือคำๆ หนึ่งเท่านั้นเองว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป ให้มันเป็นหนึ่งเดียวกัน

            เพราะคำๆ นี้ คนเข้าใจผิด ไปนึกถึงพิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องลงน้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้องบัพติศมาในน้ำ บัพติศมาในน้ำ คือการจุ่มลงไปในน้ำ การจุ่มลงไปในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้คนนั้นได้รับความรอดเลย จุ่มลงไปในน้ำนั้น เป็นการประกาศความเชื่อ เล็งให้เห็นถึงว่าในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การจุ่มลงไปในน้ำ หรือเรียกว่าบัพติศมาในน้ำ ก็คือจุ่มคนนั้นลงไปในน้ำ ผลที่ออกมาให้เห็นๆ ก็คือการฉลองชัยว่าในโลกวิญญาณ เขาได้เกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว  เพราะฉะนั้น การลงไปในน้ำ ขึ้นมาจากน้ำ ถ้าไม่นับโลกวิญญาณ  ไม่นับการฉลองเล็งถึงโลกวิญญาณ ก็มีค่าเท่ากับลงไปในน้ำ ขึ้นมาก็เปียกน้ำ จบ เข้าใจใช่ไหม? ก็เปียกน้ำ เหมือนกับสงกรานต์ โรม 6:3-6 อ่านทีละข้อ จะได้อธิบายตามไปด้วย …

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เปิดใจต้อนรับ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            คำนี้มีความหมายชัดและสำคัญมาก แม้ว่าจะมาเป็นประโยคก็ตาม “ท่านไม่รู้หรือว่า” แสดงว่าท่านควรจะรู้ ตอนนี้ ก็แสดงว่าข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศออกไปมากพอสมควรแล้ว และท่านควรจะรู้สิ่งนี้ ใครควรจะรู้ มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ควรจะรู้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว บางคนก็ไม่รู้ เพิ่งจะเปิดใจ อย่างที่ผมบอก เพิ่งจะรับของขวัญจากพระเจ้าไป ยังไม่รู้เรื่องอะไร? เปาโลจึงอธิบายให้ฟัง

            “เราทั้งปวงที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา” เราทั้งปวง ก็คือใครก็ตาม? มนุษย์ผู้ใดก็ตาม?  ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า อย่างที่ผมอธิบาย ให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เขาเปิดใจปุ๊บ เขาก็จะเข้าสู่ขบวนการความรอด เริ่มต้นด้วยการผ่าตัดวิญญาณทันที  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะนำเขาในนี้บอกว่าถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น จะเห็นชัดนะ ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คนนั้นก็เริ่มต้น ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            เห็นหรือยังครับ นึกถึงภาพนะ วิญญาณจากที่อยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ในนี้บอกว่าคนนั้น พอเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ก็คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน  เราอยู่ในพระองค์ ก็เลยตายไปด้วย ตายไปพร้อมกับพระองค์ ในการบัพติศมานั้น ก็คือในการถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มวิญญาณเรา ย้ายวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในนั้น มันแปลว่าอย่างนี้

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมา เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น” นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้นะ ในข้อ 3 เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในความตาย อยู่ในที่มืด  ไม่มีพระเจ้า  เพราะว่าพระคริสต์ตายอยู่ เราก็ตายอยู่ ตายต่อตาย รวมกันเป็นหนึ่ง พอมองเห็นไหมครับ?

            พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมวลมนุษยชาติ ชำระบาป ชดใช้บาป แล้วพระองค์ก็ยอมตาย จากวิญญาณที่มีชีวิต  เป็นความสว่าง กลายเป็นยอมตาย ก็คือยอมมาเป็นความมืด  เพื่อเราที่อยู่ในอาดัม ที่เป็นความมืด ที่ตายอยู่ จะได้สามารถเข้าไปร่วมกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันได้

            ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ทรงตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้ตายไปพร้อมพระองค์  ตายไปด้วยกันเลย นึกถึงภาพตอนนี้ เป็นอย่างนั้นนะ

            ดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมา เข้าร่วมในการตาย ก็คือ ดังนั้น หลังจากตาย พิสูจน์การตายของพระองค์ ด้วยการฝังไว้ในอุโมงค์ ขณะที่ฝังไว้ในอุโมงค์ตายอยู่ มืดอยู่ และเราก็อยู่ในความมืดนั้น เหมือนกัน  เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ด้วยนะ

            “เพื่อว่าเราเองจะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจ พระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา” การที่ให้เราได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ โดยที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย ยอมเป็นความมืด ยอมลงมาหาเรานะ ให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็เพื่อว่าวันที่ 3 พระบิดาได้กำหนดแผนการนี้เรียบร้อยแล้วว่าในวันที่ 3 พระบิดาจะประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์กลับคืนมาใหม่ พระองค์เรียกว่าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 พระองค์วางแผนไว้แล้วว่าพระบิดาจะชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นก็หมายถึงว่าตอนที่ตายนั้น ถ้าเราไม่เข้าไปอยู่ในความตายของพระเยซู เวลาที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย  เราก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาด้วย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

            เพราะฉะนั้น การตาย เพื่อให้เราตายต่อบาป  เพื่อให้ตัวเก่าเราถูกขจัดออกไป เดี๋ยวจะมีบอก เพื่อตัวเก่าของเราจะได้ถูกขจัดออกไปก่อน เสร็จแล้ว พอพระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ เราก็ได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  เป็นใหม่จริงๆ เลย เพราะไม่มีตัวเก่าเหลืออยู่เลย ตัวเก่าได้ตายไปแล้ว ตัวบาปได้ตายไปแล้ว ตัวจริงๆ ของเรามันได้ตายไปแล้ว ไม่ได้หมายถึงมาชำระบาปให้เราเฉยๆ แล้วก็เป็นคนบาปเหมือนเดิม แต่ไม่ทำบาป ทำบาปก็ได้รับการชำระ ไม่ใช่แค่นั้น  แต่ให้เราตายแล้วเกิดใหม่ เพราะการเกิดใหม่ จึงสามารถที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้  โดยได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมนั่นเอง

            ตอนนี้เราอยู่ในอุโมงค์ ในความมืด ร่วมกับพระเยซู เราเป็นบาป พระเยซูก็เป็นบาป เพราะว่าแบกบาปของเราทั้งหลาย ทั้งมวล มนุษย์ทั้งโลกไว้เลย  พระองค์กลายเป็นบาป เพื่อเราที่เป็นคนบาป จะได้บังเกิดใหม่ พระองค์เป็นบาป เราก็เป็นบาป อยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในบาป อยู่ในอุโมงค์

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            “ฉะนั้น เมื่อเรายินยอม” นึกออกไหม? เมื่อเรายินยอมรับข่าวดีนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หมายถึงเรายอมที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือเข้าไปยอมตาย เวลาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ หมายถึงเรากำลังยอมให้พระเจ้าฆ่าเราให้ตายซะ เราเบื่อตัวเก่ามาก ไม่อยากอยู่ในตัวเก่า ในอาดัม ไม่อยากจะเป็นคนบาป  อยู่ในความมืดอีกต่อไปแล้ว

            พระเยซูจึงตรัสอย่างนี้ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ว่าใครที่อยากมีชีวิตนิรันดร์ ใครที่อยากมาหาพระองค์ ให้แบกกางเขนของตน แล้วตามเรามา หลายคนก็นึกตรงนี้ว่าแบกกางเขน คือให้รับภาระอยู่บนโลกใบนี้ ต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความรัก นึกถึงความประพฤติต่างๆ

            มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แบกกางเขนของตน หมายถึงแบกบาปของตัวเอง แล้วตามเรามา เพื่อมาตายกับเราก่อน แล้วหลังจากตายกับเรา ด้วยความเชื่อ วางใจในเราแล้ว พระบิดาจะชุบให้พวกเรา หมายถึงพระเยซู และมวลมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ แบกกางเขนตามเรามา ได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วางใจในเราเถิด มา ไปตายด้วยกัน ใครเชื่อวางใจในเรา แบกกางเขนมา เราแบกกางเขนของเรามา แล้วเราก็มาที่โกละโกธา แล้วเราก็มาตายพร้อมพระองค์ ตัวเก่าเราที่เป็นบาป ก็จะได้ตายไป

            มิฉะนั้น ถ้าพระเยซูไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราก็จะแบกกางเขนของเรา คือความบาปของเรา แล้วก็แบกไปเรื่อยๆ  แล้วก็พยายามหากำลังใจ จากสิ่งรอบข้าง จากปัญญาของมนุษย์ จากสิ่งต่างๆ ที่เราทำ ให้มีกำลังที่จะแบกต่อไป แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองอีก ผู้คนรอบข้างให้กำลังใจเรา ให้ศาสนาต่างๆ ให้เป็นกำลังใจเรา ให้กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่บอกว่าดี ให้กำลังใจเรา ให้ศีลธรรม วัฒนธรรมอะไรต่างๆ มนุษยธรรมต่างๆ  ความดีงามต่างๆ ให้เป็นกำลังใจเรา  แล้วก็พยายามแบกต่อไป อย่างไม่มีเป้าหมาย ไม่มีจุดหมาย ไม่มีความหวัง แบกไปถึงเมื่อไร? ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆ ว่าต้องแบกต่อไป จนถึงความตาย และหลังความตาย ก็อยากจะแบกกันต่อ มาสะสมกันต่อ  ก็แบกกางเขนต่อไป  ไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนหนูถีบจักร  ถีบไปเรื่อย ไม่มีทางถึงเป้าหมาย ไม่มีทางถึงจุดหมายสักทีหนึ่ง มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหน?  ยังอยู่ที่ในอุโมงค์อยู่เลยนะ  แต่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป ในอาดัม อย่างที่ตะกี้นี้อธิบายให้ฟัง ได้ถูกตรึงไว้ที่กางเขนกับพระองค์แล้ว ตรึงไว้ ตายเพื่ออะไร?  เพื่อตัวบาปเก่าที่อยู่ในอาดัม ตัวบาป ที่เราเกิดมาปุ๊บ ก็ได้รับมาเลย ก็คือเป็นพันธุกรรมทางฝ่ายวิญญาณ จากอาดัมที่เป็นตัวแทนของเรา มวลมนุษยชาติ  คนแรกที่เอาบาปเข้ามา และเชื้อบาปนี้ ก็มาถึงเราด้วย  ตัวนี้ ตัวที่เกิดมาบาป  มันจะได้ตายไป สิ้นสุดไป

            ถูกขจัดไป ก็หมายถึงตายไป สิ้นสุดไป จบไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสอยู่ใต้ความบาปนั้นอีกต่อไปนั่นเอง เพราะฉะนั้น มันหมายถึงถ้าเราอยากเป็นอิสระจากการเป็นคนบาปนี้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเราต้องตายจากคนเดิม  ไม่มีทางที่จะทำความประพฤติอะไร หรือขัดสีฉวีวรรณ ตัวเก่าให้ใหม่เอี่ยมได้เลย ต้องไปเกิดใหม่เท่านั้น เหมือนที่เราพูดกันเล่นๆ

            “โอ้! อยากจะเป็นนักร้องเหลือเกิน แต่มีพรสวรรค์ได้แค่นี้เอง”

            เราก็บอกว่า “เธออยากเป็นนักร้องเหรอ อย่างเธอต้องไปเกิดใหม่”

            มันคล้ายๆ กันนะ พระเจ้าบอกว่าถ้าเธอต้องการที่จะหลุดออกจากบาป  เป็นทาสมันอยู่ มนุษย์ทุกคนอยากหลุดออกจากบาปอยู่แล้ว รับรองได้  เพราะทุกคนตั้งใจจะทำความดี ตั้งใจจะสั่งสมความดี ตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ดี ที่จะหลุดจากบาปให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ใช่ไหม? เพราะทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่สามารถทำได้ พระเจ้าบอกทำได้ทางเดียว ก็คือต้องตายซะ แล้วใครจะฆ่าตัวเองตายได้ ใครจะสามารถตรึงตัวเองบนไม้กางเขนได้ ดูพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ให้เราเห็นชัดเจน ต้องตายที่ไม้กางเขน เพราะว่ากางเขน เป็นการตายอย่างเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้

            กิโยติน เครื่องมือฆ่า ก็ยังทำเองได้นะ  ในหนังสือพิมพ์ยังลงเลย จัดเตรียมอะไรต่างๆ แล้วกิโยตินตัวเอง ฆ่าตัวเองตายได้  แต่ไม่มีใครสามารถที่จะตรึงตัวเอง ให้ตายบนไม้กางเขน ตรึงได้ไหมเนี้ย เอามือตรึงฝั่งนี้ แล้วย้ายไปฝั่งโน้น มันไม่ได้

            เพราะฉะนั้น ตัวบาปเก่าที่จะต้องตายนั้น ต้องมีใคร เป็นผู้จัดการให้กับเรา  และผู้นั้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการต้อนรับพระเยซู เป็นการยินยอม เซ็นชื่อยอมด้วยตัวเองว่า …

            “พระเจ้าลูกยอมตายแล้ว เอาเลยพระเจ้า ฆ่าลูกให้ตายไปพร้อมพระเยซู เพื่อลูกจะได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 พร้อมพระเยซูคริสต์นั่นเอง”

            เมื่อตัดสินใจ เราจะได้รับทุกสิ่งเหมือนกับที่พระเยซูได้รับ จะได้เป็นขึ้นจากความตาย จะได้รับมรดก ได้รับชีวิตนิรันดร์  ได้รับสิ่งต่างๆ อีกมากมายจากพระเจ้า มนุษย์ทำเพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน เท่านั้น คือเริ่มต้นขบวนการผ่าตัดวิญญาณ บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์  วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ สกปรก โสโครก เป็นมลทินในอาดัม ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุด  ทันทีเลย

            พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมา จุ่ม ใส่ ผ่าตัดวิญญาณของเรา  ใคร? ผู้ที่ยอมเท่านั้น  ผู้ที่มีใจ เปิดใจ ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพื่อว่าผู้นั้นจะได้สะอาดหมดจด บริสุทธิ์  โดยพระวิญญาณจะเข้ามาทำการผ่าตัดนี้ เป็นการชำระตั้งแต่ร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณของคนๆ นั้น ให้ได้เกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ทันที เพื่อพร้อมทันทีที่จะเป็นบ้าน เป็นที่อยู่อาศัย เป็นวิหารของพระเจ้าที่จะเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจยอมรับการบัพติศมา หรือเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจยอมรับสิทธิในพระเยซูคริสต์นี้ ก็เท่ากับเรากำลังต้อนรับฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทำอะไรบางอย่าง ในวิญญาณของเรา  เป็นขบวนการความรอดยิ่งใหญ่เลย ทำให้เราบังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ทันที ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนๆ นั้นทันที ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะอธิบายให้ฟังว่ามันคืออะไร? นี่ได้ที่สุด แค่นี้เอง พระคัมภีร์ก็อธิบายแค่นี้  ที่เหลือต้องให้ท่านชิมเอง มีประสบการณ์เอง เปิดใจเอง และพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปทำการงานเอง ท่านก็จะเกิดความรู้อยู่ในใจว่ามันใช่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นจริงตามนั้น  เหมือนที่ท่านร้องเพลงเมื่อสักครู่นี้ …

                        “ข้ารู้….” สุดเสียงเลย

            มันรู้อยู่ในใจลึกๆ เพราะทั้งหมดนี้ … “เกิดขึ้นในใจ” ก็คือท่านรู้ว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืดในอาดัม บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถานเบื้องบน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นสวรรค์ที่ประทับของพระเจ้าจริงๆ  เพราะพระเจ้าประทับอยู่ในใจของฉันแล้ว ฉันก็อยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ เอเมน

            ข้ารู้มันอยู่ในใจ เพราะได้ชิม และมันเกิดขึ้นจริงๆ รู้ว่ามันเป็นสวรรค์จริงๆ เป็นที่แห่งเดียว เป็นสวรรค์แห่งเดียวจริงๆ ที่ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตำแหน่งสูงสุด ไม่มีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ อีกแล้ว คือที่อยู่ในสวรรค์ และอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่รองจากอัครสาวก ไม่ใช่  เราทุกคนนั่งอยู่ที่เดียวกัน มีตำแหน่งเดียวกันในสวรรคสถาน คือที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน สูงสุดแล้ว เท่ากัน เหมือนกันหมดทุกคนเลย มันเหลือเชื่อเลยนะ แต่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ เอเฟซัส 2:6 บันทึกไว้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            “และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้ฉัน นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”

            มวลมนุษย์เข้าใจไหม? มวลมนุษย์มาใช้สิทธิเร็วๆ  พระเจ้าได้ให้ท่านนั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว รีบมารับสิทธิเร็วๆ ไวๆ อย่างนี้เป็นอภิมหาข่าวดีถึงมวลมนุษย์ทุกคนใช่หรือไม่? นี่แหละเป็นข่าวดีที่เขาประกาศมา 2,000 ปี แล้วเมื่อประกาศที่สุด เมื่อคนรู้แล้ว พระวิญญาณก็จะนำมาประกาศอย่างนี้แหละ

            และอย่างที่ผมบอก ทุกวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงกระทำการงานอยู่ในโลกวิญญาณอยู่ ทำอะไร? เคาะประตูหัวใจวิญญาณของท่านทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระวิญญาณถามว่า …

            “แล้วท่าน แล้วเธอ ใช้สิทธิ์ในข่าวดีนี้ แล้วหรือยัง?”

            ใช่ไหม? ถ้าเราตั้งใจฟังเสียงของพระวิญญาณจริงๆ ทุกวันนี้ ข่าวดีนี้ ประกาศไปเรื่อยๆ ข่าวดีนี้ พระวิญญาณกำลังบอกว่า …

            “แล้วเธอล่ะ แล้วท่านล่ะ ใช้สิทธิในข่าวดีนี้แล้วหรือยัง? ข่าวดีนี้เป็นของเธอ เธอแค่เปิดใจยอมรับ ต้อนรับข่าวดีนี้เท่านั้นว่าพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ  พระเยซูเป็นบุตรของมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ ทุกสิ่งทำในนามของมนุษย์  เพราะฉะนั้นพระเยซูทรงกระทำอะไร ก็เท่ากับมนุษย์ทุกคนทำด้วย  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย เป็นขึ้นจากความตายแล้ว มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตาย และได้มีโอกาสเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือความตาย ไม่ต้องกลัวตายอีกต่อไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด กลัวความตาย  แต่เราไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนเรา ชนะความตาย และเอาชัยชนะนั้นมาให้เรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว 1 โครินธ์ 15:55-57 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ อย่างชัดเจนเลย สำหรับผู้ที่รู้ความจริงว่า …

        1 โครินธ์ 15:55-57 “55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า? ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            มนุษย์ทุกผู้ทุกนามกลัวความตาย  เพราะรู้ลึกๆ อยู่ในใจ ฟ้องอยู่ในใจเลยว่าตายแล้ว ก็ต้องพินาศ ตายแล้ว ก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ตายแล้ว ก็ตกอยู่ในความมืด ตกอยู่ในการพิพากษา เพราะฉะนั้น กลัวความตายทั้งสิ้น ตรงนี้จึงบอกว่าผู้ใดที่รู้เรื่องนี้แล้ว ใช้สิทธิของเขาแล้ว จึงสามารถประกาศด้วยความเชื่อ จากใจ จากเสียงดังอันฟังชัดมั่นคงว่า …

            “โอ้! ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของเจ้าอยู่ที่ไหน? ไหนฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้คนกลัว อยู่ที่ไหน?”

            ท่านสามารถพูดคำนี้ได้ไหม? … “โอ้! ความตายเอ๋ย”

            นึกถึงภาพว่าในอดีตเรากล้าพูดอย่างนี้หรือ?

            “โอ้! ความตายเอ๋ย ฉันไม่กลัวแล้วความตาย ขอบคุณพระเจ้า ฉันได้รอดนิรันดร์กาลแล้ว ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว เดี๋ยวนี้ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว”

            เหล็กในของความตาย คือความบาป  ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจที่ทำให้เรากลัวตาย เพราะความบาปนี้ บาปที่อยู่ในใจ อยู่ในวิญญาณของเรา บาปตัวนี้ คือเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถกระทำความดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ โดยไม่ทำผิดบาปเลยแม้แต่นิดเดียว

            และอนุภาพของความบาป คือบทบัญญัติ  ก็แสดงว่าอานุภาพของบาป ก็คือการงาน อาวุธที่ทำให้เราต้องกลัวความบาป แล้วก็ตัดสินเราด้วยอาวุธนี้ อะไรตัดสินเรา บทบัญญัติ

            บทบัญญัติ หมายถึงกฎหมายทางศีลธรรม กฎแห่งการกระทำดี กระทำชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงได้ดีบริบูรณ์ ทำชั่วแค่ครั้งเดียว เท่ากับเป็นคนบาป

            ตัวนี้แหละ เป็นตัวบอกเราว่าเราเป็นคนบาป ฟ้องเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรากลัวตายไง เพราะเรารู้ว่าตายไปแล้ว เราเป็นคนบาป เราต้องได้รับโทษ มันหนีไม่พ้น

            ข้อ 57 บอกไว้แล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์ของเรา เอเมน

            ชนะเหนือความบาปและความตาย มันหมายถึงอย่างนี้ ก็อยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างพลังอำนาจของความบาปและความตายที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาส แห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง  พึ่งพากฎแห่งกรรม พึ่งพากฎแห่งการกระทำ พระเยซูคริสต์ลบล้างสิ่งเหล่านี้ จนหมดสิ้น ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ด้วยกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ก็คือด้วยขบวนการความรอดที่ผ่าตัดทางวิญญาณ ที่พระเจ้าประทานให้ฟรีๆ นั่นเอง ที่พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตความตาย พระเยซูคริสต์เป็นผู้พิชิต เอาชนะความบาปและความตาย โดยพระองค์ยอมเสียสละ ยอมเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แบกรับเอาความบาป ความทุกข์ทรมานของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากบาป เอาไว้ที่ตัวของพระองค์เอง  โดยการยอมตายบนไม้กางเขน พระองค์จึงเป็นผู้มีชัยชนะ แต่เรามวลมนุษยชาติที่พระองค์ทรงกระทำให้บนไม้กางเขน เราแค่เปิดใจเท่านั้นเอง แล้วก็รับสิทธิของเรา พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าพวกเราทั้งหลาย มวลมนุษย์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ได้ฟรีๆ พระเยซูได้อะไร ฉันได้ด้วย โดยไม่ต้องทำอะไร อย่างนี้ไม่ใช่เป็นผู้พิชิตแล้ว อย่างนี้เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูทำอะไร เราทำด้วย พระเยซูทำจนเหนื่อย จนเสียชีวิต ทุกข์ทรมาน แสนสาหัส  สู้แหลกเลย เราเฉยๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราได้รับไปด้วย เรานี่แหละ ยิ่งกว่าผู้พิชิต

            นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมเราเรียกวันอีสเตอร์ว่าเป็นวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ได้ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์บนโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พระเยซูคริสต์ไม่ใช่ศาสดาของศาสนา พระองค์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป โดยมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย  พระองค์ทำให้เสร็จทุกอย่าง มนุษยชาติก็ได้ก้าวสู่ยุคใหม่ ยุคพันธสัญญาใหม่ ยุคแห่งตัวแทนใหม่ ยุคแห่งมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่ายุคพระคุณ หรือเรียกว่ายุคนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย โดยการตายและเกิดใหม่  ยุคแห่งการอพยพกลับบ้านสู่สวรรค์ อ้อมกอดของพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเยซูเรียกยุคนี้ว่ายุคแห่งการพักผ่อน  หายเหนื่อยและเป็นสุข ยุคที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสวรรค์ได้ ย้ำอีกทียุคที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าสวรรค์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง แค่เชื่อและวางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของตนเท่านั้น  เรียกว่ารับสิทธิในพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เต็มบริบูรณ์ เหมือนพระคริสต์

            โคโลสี 2:10 … “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวหาเรา)   เหนือพวกผู้ครอบครอง คนที่มีสิทธิอำนาจ (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตีกล่าวหาเรา) และเหนือพวกทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล”

            ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน คือบริสุทธิ์  ชอบธรรม  ดีพร้อม  ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และเกียรติ  เหมือนพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณที่เกิดใหม่

            เอเฟซัส 2:4-6 … “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเรา ได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา  (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

            สิ่งเหล่านี้  เกิดขึ้นแล้วในวิญญาณของท่าน และเป็นอยู่ตลอดไปในโลกวิญญาณในพระคริสต์

            โคโลสี 3:1-4 … “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ  เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

            เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ที่พระเจ้าได้ย้ายมาบังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วนั้น ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ ท่านก็อยู่ในสวรรค์เช่นกัน

            ดังนั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์ ก็จงดำเนินชีวิตด้วยการรับรู้ว่าเราอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์แล้ว  และสวรรค์ คือพระคริสต์ก็อยู่ในเราแล้ว

            เราอยู่ในพระคริสต์ บังเกิดใหม่  จากเชื้อที่เป็นอมตะนิรันดร์  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และพระคริสต์ อยู่ในเราแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเรา ไม่ละเราให้อยู่ลำพัง เรากำลัง เดินทางไปรับร่างกายใหม่   ร่างกายแบบสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สมบูรณ์แบบ   เหมือนพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าอวยพรครับ