วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1435

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กันยายน  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 30

โดย  วราพร  คงล้วน

            วันนี้เราก็ยังอยู่ในหนังสือเอเฟซัส เราก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  เพื่อว่าเราจะได้หยั่งรากลึกลงไปในถ้อยคำของพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าเราได้รับอะไรแล้วบ้าง? จากการที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนี้ก็มาถึงบทที่ 5 เริ่มต้นจากข้อ 1 …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            สั้นๆ  คำว่า “เพราะฉะนั้น” มันต้องมีที่มาที่ไป อยู่ดีๆ เราจะมาใช้คำว่า “เพราะฉะนั้น” ก็คงไม่ใช่ มันต้องมีเหตุเกิด ก่อนที่จะมีคำนี้เกิดขึ้นว่ามันคืออะไร? จากเพราะฉะนั้นตรงนี้ หมายความว่าอาจารย์เปาโลได้พูดตั้งแต่เอเฟซัส บทที่ 1, บทที่ 2, บทที่ 3, บทที่ 4 แล้วว่าพระเจ้าได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง? แผนการอันล้ำลึกของพระเจ้า แล้วก็แผนการที่ลี้ลับของพระองค์ ที่ทรงปิดซ่อนไว้ ไม่ให้ใครรับรู้ความจริงเรื่องนี้เลย จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้เดินไปที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์ ได้ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย และแผนการนี้ ก็ได้ถูกเปิดเผยผ่านทางคริสตจักร ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมแผนการนี้ไว้ ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ตั้งแต่วันที่มนุษย์คนแรกเลย ล้มลงในความบาป  คืออาดัมกับเอวา  เพราะไม่เชื่อฟัง  ฟังแค่นี้นะ ล้มลงในความบาป เพราะไม่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น คำว่า “ไม่เชื่อฟัง” เราฟังแล้วเหมือนง่ายๆ อ้าว! ไม่เชื่อฟังแค่นี้ ทำไมต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า พระเจ้าตั้งกฎไว้แล้วว่าวันใดที่มนุษย์ดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อตามที่พระเจ้าบอก มนุษย์จะต้องเจออะไร? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า  พระเจ้าไม่ได้คิดจะลงโทษมนุษย์ โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนกับพ่อแม่จะลงโทษลูก จะต้องมีบอกล่วงหน้าว่า …

            “ลูกอย่าทำอย่างนี้ ถ้าลูกทำ ลูกจะเจออย่างนี้ ลูกจะต้องถูกลงโทษ ถูกตัดค่าขนมนะ”

            อะไรก็แล้วแต่ ตามกฎของแต่ละบ้านที่มีไว้

            ฉะนั้น  พระเจ้าก็มีกฎของพระองค์ ที่ให้กับมนุษย์คู่แรก พระเจ้าบอกว่าให้เชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าบอก ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรว่าทำไมพระเจ้าถึงห้ามเรา มันอะไรล่ะ เราอยากจะรู้ พระเจ้าบอกไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะว่าพระเจ้าได้เตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ให้กับมนุษย์คู่แรก เรียบร้อยไปแล้ว  จากที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา ให้เป็นเหมือนพระฉายของพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเจ้าเลยนะ ให้ชีวิตนิรันดร์ ลมหายใจของพระเจ้าระบายลงไป แล้วทำให้เกิดชีวิตนิรันดร์ เป็นคุณภาพชีวิต แบบพระเจ้าเลย ซึ่งอาดัมกับเอวามีหน้าที่อย่างเดียว คือเดินกับพระเจ้า ติดตามพระเจ้า ติดสนิท คือเป็นธรรมชาติ แบบเหมือนพ่อกับลูกที่พระเจ้าบอก …

            “เธออยู่อย่างนี้ ดีแล้ว พ่อเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ลูกก็อยู่ให้มีความสุข เรียกว่าเสวยสุขกับทุกสิ่งที่พ่อสร้างไว้ให้”

            ก็คือมนุษย์คู่แรกไม่ต้องทำอะไรเลย  เดินไปเดินมา โฉบไปโฉบมา ในสวนเอเดน อยากกินอะไรก็ได้กิน  เพราะพระเจ้าบอกว่า …

            “ผลไม้ทุกต้นในสวนนี้ เจ้ากินได้หมดเลย เจ้าเห็นแล้วอยากกินอะไร เจ้าก็หยิบกินไปเลย แต่มีข้อแม้แค่ว่าต้นนี้ที่อยู่กลางสวน อย่ากิน พระเจ้าเตือนไว้แล้วนะ  ถ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า แล้วถ้ามนุษย์คู่แรกเชื่อฟังตามที่พระเจ้าบอก ไม่ถูกหลอกให้ไปทำเรียกว่าไม่เชื่อฟังพระองค์ จริงๆ วิญญาณของมนุษย์ พระเจ้าสร้างมา เป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย คือไม่มีความรู้สึกอยากจะกบฏกับพระเจ้าเลยข้างใน แต่ว่ามนุษย์ถูกหลอกให้กบฏกับพระเจ้า ถูกหลอกให้ไม่เชื่อฟังพระองค์ สงสัยในพระเจ้าว่า …

            “ทำไมพระองค์มาห้ามด้วย ไหนลองกินดูว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกมันเป็นจริงไหม?”

            ตอนนั้น เราไม่รู้นะ นี่ดิฉันคิดเอาเอง คิดว่าเขาต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ เลย อาดัมกับเอวา …

            “มาห้ามทำไม ไหนลองกินสิว่าสิ่งที่พระเจ้าบอก มันจะเป็นจริงไหม?”

            ผีมารซาตานก็มาหลอกนั่นแหละ … “พระเจ้าบอกเธอกินแล้วตาย ไม่จริงหรอก เธอกิน แล้วเธอจะฉลาดเหมือนพระเจ้า”

            ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าบอกมนุษย์ เป็นพระฉาย เหมือนพระเจ้า พระเจ้าฉลาดแบบไหน? มนุษย์ก็จะฉลาดแบบนั้น ฉลาดเหมือนกันเลย คือไม่มีผิดเพี้ยน พอมนุษย์ไปหลงกลมาร การล่อลวงมันเกิดขึ้น มนุษย์ก็เริ่มคิดว่าเขาสามารถที่จะดีด้วยกำลังของตัวเองได้  ซึ่งพระเจ้าบอกว่า …

            “เธอดีอยู่แล้ว  ฉันสร้างเธอสุดยอดแห่งความดี อภิมหาอัครดีเลย เธอไม่ต้องพยายามที่จะทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้”

            จะมีอะไรที่จะดีกว่าการเป็นเหมือนพระเจ้า มันไม่มีอยู่แล้ว  เพราะพระเจ้าดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์ก็พลาด พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล้มลงในความบาป” ทันทีที่มนุษย์ตัดสินใจ ที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเข้ามาสวมทันที มนุษย์ตัดสินใจปุ๊บ เอาความบาป เข้ามาทันที

            คำว่า “บาป” หมายถึงการผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าตั้งเป้าไว้ให้มนุษย์อยู่สบาย อยู่กับพระเจ้า แล้วก็เสวยสุขกับทุกอย่างที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้  แต่มนุษย์ผิดเป้า พอผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ก็คือบาป บาปเกิดขึ้นจากการไม่เชื่อฟัง พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ นำเอาความบาปเข้ามา กฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันเกิดขึ้นทันที  คือถูกตัดขาดจากพระเจ้าทันที มันเกิดผลทันทีเลย ก็คือวิญญาณของมนุษย์กับวิญญาณของพระเจ้าแยกจากกันทันทีเลย พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็ออกจากมนุษย์  เดิมที มนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า

            เรารู้ได้อย่างไรว่ามนุษย์สวมพระสิริของพระเจ้า  เพราะว่ามนุษย์คู่แรกไม่ต้องใส่เสื้อผ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เปลือยกายอยู่” แต่เขาไม่อายกัน ถ้าเป็นปัจจุบัน เปลือยกายน่าอายนะ ไม่มีมนุษย์คนไหน แก้ผ้า แล้วก็ออกไปเดินหน้าบ้าน  เดินถนน อย่างนั้น คือคนเขาบ้า เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่ได้รู้สึกว่าอาย เดินแก้ผ้าตามถนน แต่มันไม่ใช่ ความเป็นจริงของมนุษย์ปกติ ก็คือก่อนออกจากบ้าน อย่างไรเราก็ต้องใส่เสื้อผ้า  ไม่ว่าเราจะมีเสื้อผ้าแบบไหน? อาจจะมีเสื้อผ้าอยู่แค่ตัวเดียว ออกจากบ้าน ฉันก็ใส่ตัวนี้แหละ คนเดินออกไป …

            “ยัยคนนี้ทำไมใส่เสื้อผ้าอยู่ตัวเดียว”

            “ก็ฉันมีตัวเดียว ฉันใส่แล้วซัก ใส่แล้วซัก แล้วฉันก็เดินออกไป แม้มีตัวเดียว ฉันก็ยังพยายามทำให้ได้ เมื่อเวลาออกจากบ้าน ฉันต้องใส่เสื้อผ้า” … นี่คือปกติของมนุษย์

            ฉะนั้น เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระสิริ ซึ่งเป็นเสื้อผ้าของมนุษย์คู่แรก ที่พระเจ้าปกคลุมมันหลุดหายไป พอหลุดหายไปปุ๊บ เขาก็เลยมองเห็นตัวเองว่าฉันโป๊อยู่ สองคนอายกัน  เริ่มรู้จักคำว่า “อาย” แล้วก็ไปซ่อน หลบซ่อนจากพระพักตร์ของพระเจ้า ไปแอบ แล้วสิ่งที่พระเจ้าทำครั้งแรกเลย ที่ทำให้มนุษย์คู่แรก ก็คือพระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วก็เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกายให้กับอาดัมและเอวา ตอนที่อาดัมเอวาไปซ่อนตัว พระเจ้าถามเขาว่า …

            “เจ้าอยู่ไหน?”

            เราคุยกันหลายรอบแล้วนะ คำว่า “เจ้าอยู่ไหน?” ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รู้ว่าอาดัมกับเอวาแอบอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เอวากับอาดัมอยู่ตรงไหน? แต่พระเจ้ากำลังถามอาดัมเอวาว่ารู้ไหมว่าตอนนี้สถานะของเขาอยู่ตรงไหน? จากการที่เป็นลูกของพระเจ้า พอล้มลงในความบาปปุ๊บ สถานะเขาเปลี่ยนไป คือเขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว เขาหลุดจากการอยู่ในพระเจ้า ไปอยู่ในบาป ซึ่งพอมนุษย์ต่อๆ มา เราก็ใช้คำว่า “อยู่ในอาดัม” เพราะอาดัมเป็นบรรพบุรุษของเราไง  เป็นคนแรกที่ล้มลงในความบาป เอาความบาปเข้ามาในโลกใบนี้ ขายสิทธิของตัวเอง ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “เธอเป็นลูกที่น่ารัก ฉันสร้างเธอมาดีพร้อม สุดยอด เธอมีหน้าที่แค่มาเสวยสุขเท่านั้นเอง” นั่นแหละ คือที่มา

            ฉะนั้น พอมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าก็เตรียมแผนการตั้งแต่สมัยเริ่มต้น มาจนวันที่พระเยซูคริสต์ มาเกิดบนโลกนี้ แผนการนี้พระเจ้าเตรียมไว้นานมาก เป็นหลายพันปี แล้วในพระคัมภีร์ ถ้าพี่น้องอ่านถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เดิม สมัยก่อน คือเราอ่านพระคัมภีร์เดิม อ่านเสร็จ เราก็เอามาเป็นของเรา นึกออกไหม? มันเพราะนะพระคัมภีร์เดิมดีๆ ยิ่งหนังสือสดุดี ดีๆ เราก็เอามาเป็นของเรา ซึ่งพระคัมภีร์เดิม เป็นการเผยพระวจนะ  ที่พระเจ้าได้บอกกับผู้คนบนโลกใบนี้ หรือ ณ เวลานั้น บอกกับคนอิสราเอลแหละว่าพระเจ้าจะทำอะไร? เมื่อไร? เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าจะส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดบนโลกใบนี้

            แล้วคำเผยพระวจนะนี้ ก็ได้ถูกประกาศตั้งแต่สมัยอดีตเลย เราอ่านหนังสือปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ โยชูวา เราก็อ่านมาเรื่อยๆ เราก็อ่านแล้วเพลิน แต่สิ่งเหล่านั้น คือพระเจ้ากำลังบ่งบอกว่า ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่มา  คนอิสราเอล ถูกเลือกสรรให้มาเป็นกลุ่มคนพิเศษ  แล้วพระเจ้าก็ทำพันธสัญญากับคนอิสราเอลด้วยเลือดของสัตว์ ก็คือเลือดแกะที่คนอิสราเอลทุกปี เขาจะเอาแกะไปถวายเป็นเครื่องบูชา แล้วพระเจ้าก็เลือกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เขาเรียกว่ากลุ่มเลวี ก็คือมาทำหน้าที่ในวิหารของพระเจ้า โดยเฉพาะ พระเจ้าก็เลือกอาโรนมาเป็นปุโรหิตคนแรกของมนุษยชาติ  เพื่อที่จะถวายเครื่องบูชาแทนมนุษยชาติ  ณ เวลานั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้เลย เข้าใกล้พระเจ้าเมื่อไร มนุษย์ตาย  เพราะว่ามนุษย์กลายเป็นคนบาป พระเจ้าบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์กับความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าอยู่เฉยๆ พอมนุษย์วิ่งเข้ามาใกล้พระเจ้าปุ๊บ เด้งกลับไป ตายทันที นึกภาพออกนะ

            เหมือนที่อาจารย์นครชอบยกตัวอย่างกระแสไฟฟ้าแรงสูง เขาไม่ต้องทำอะไร? เราวิ่งเข้าไปจับ โดยไม่มีเครื่องป้องกัน ไฟฟ้ามันจะวิ่งเข้ามาสู่มนุษย์คนนั้น แล้วถูกไฟช๊อตตายเลย เราเคยเห็นคนถูกไฟช๊อตตายไหม? คือไฟฟ้าไม่ได้ทำอะไร แต่โดยธรรมชาติของไฟฟ้ามันแรง ถ้ามนุษย์ไม่มีเครื่องป้องกัน เขาก็จะถูกไฟช๊อตตาย

            พระเจ้าเหมือนกัน กฎของพระเจ้าตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ ตอนนี้มีแต่ความบาปเลย เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้  พระเจ้าก็จะหาวิธีที่จะให้มนุษย์ อย่างน้อยมาเข้าใกล้พระเจ้าได้บ้าง ณ เวลานั้น ก็คือให้ปุโรหิตมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ปุโรหิตซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ยังเป็นมนุษย์บาปอยู่ แต่ถูกเลือก เหมือนคัดออกมา เพื่อที่จะทำหน้าที่นี้ ในพระคัมภีร์บอกว่าก่อนที่มหาปุโรหิต จะเข้าไปถวายเครื่องบูชา เอาเลือดของคนที่เอามาถวาย เข้าไปถวาย ในห้องอภิสุทธิสถาน ปุโรหิตต้องชำระตัวเองก่อน ต้องถวายแกะ เพื่อลบล้างความผิดบาปของตัวเองก่อน ให้สะอาด ถึงจะสามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานได้ ซึ่งมันเป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ แล้วถ้าปุโรหิตคนไหน ลืมที่จะชำระตัวเองให้สะอาด เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ ปุโรหิตคนนั้นตายทันที  เพราะว่าเขาไม่สะอาด

            พระเจ้าต้องกำหนดชุดปุโรหิตว่าจะต้องตัดอย่างไร? จะต้องมีแบบไหน? ปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องทำอย่างไร? เสื้อผ้าของปุโรหิต ใส่กระดิ่งไว้เต็ม รอบตัวเลย หมายความว่ามหาปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ต้องรีบๆ ทำงานของตัวเอง เดินไปเดินมา เราจะได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ตลอดเวลา หมายความว่าปุโรหิตคนนั้น เตรียมตัวดี ได้ถวายเครื่องบูชาสำหรับตัวเองเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเข้าไปถวายเครื่องบูชาให้กับคนอิสราเอล แล้วเมื่อเสร็จจากการถวายเครื่องบูชา ก็ต้องรีบๆ ออกมา แต่ถ้าปุโรหิตคนไหนไม่ได้ถวายเครื่องบูชา สำหรับตัวเองก่อน เข้าไปปุ๊บ ตาย เพราะว่าความสะอาดของพระเจ้ากับความบาปของมนุษย์อยู่ด้วยกันไม่ได้ ตายทันที คนข้างนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าปุโรหิตตาย ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แล้วปุโรหิตเข้าไปในอภิสุทธิสถาน ก็คือแค่ปีละ 1 ครั้งไปถวายเครื่องบูชา

            ฉะนั้น คนข้างนอกจะไม่มีสิทธิ์ที่จะแง้มเข้าไปดูว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม? เขาสังเกตจากในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าให้โมเสสทำเชือกผูกขาของอาโรนไว้ เริ่มแรกเลยนะ คนแรก ผูกเอาไว้ แล้วระหว่างที่เข้าไปถวายเครื่องบูชา จะต้องมีเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งๆ ต่อๆ มา เมื่อมหาปุโรหิตส่งต่อทอดมา ถ้าคนไหนเข้าไปในอภิสุทธิสถาน แล้วกระดิ่งไม่ดัง แปลว่าคนนั้นตายเรียบร้อย คนข้างนอกทำอย่างไร? ก็ลากเชือกออกมา  เพราะเชือกผูกขามหาปุโรหิตไว้ ลากออกมา  เพราะเข้าไปเอาศพไม่ได้ เสร็จ ก็ต้องส่งคนใหม่เข้าไป

            สมัยก่อน มนุษย์ต้องใช้วิธีแบบนี้ ก็คือต้องถวายเครื่องบูชาตลอด เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้น ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วคนที่ไม่ได้เป็นอิสราเอล คนต่างชาติ เหมือนกับพวกเรา  ไม่มีสิทธิ์เลย หมดสิทธิ์ ที่จะไปถวายเครื่องบูชา แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะมีพิธีกรรมอะไรพวกนี้ แต่พอถึงกำหนด ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษเลยว่าวันหนึ่งข้างหน้า  พระเจ้าจะส่งพระมาซีฮาห์มา แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเครื่องถวายบูชา เป็นแกะที่จะบูชา ถวายแด่พระเจ้า แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทำครั้งเดียวจบ หมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ซึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่มีบาป พระองค์จึงสามารถที่จะมาชำระบาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมด เมื่อพระองค์ตัดสินใจที่จะเดินไปที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด ตอนนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียว คือมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ ตั้งแต่บาปในอดีต ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า บาปในปัจจุบัน หลังจากเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วบาปในอนาคต ก็คือเชื่อแล้ว โอกาสที่จะทำบาป มีอีก เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้น พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทำครั้งเดียว จบ แล้วทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าสำเร็จแล้ว ทันทีที่บอกว่าสำเร็จแล้ว พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจสูงสุดให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือให้พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า สำเร็จราชการแทนพระเจ้าเลย  ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใต้พื้นแผ่นดินโลก และในสวรรค์ พระเจ้ามอบให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว

            พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่อัศจรรย์ที่สุดในข้อ 1 ในคำว่า “เพราะฉะนั้น” นี่แค่เพราะฉะนั้นนะ พี่น้องนึกดูว่าอัศจรรย์ขนาดไหน? ทันทีที่มนุษย์คนหนึ่งคนใด ไม่จำเป็นจะต้องยิวแล้วนะ ตอนนี้ ก็คือใครก็ได้ บนโลกใบนี้ ที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูมาทำอะไร เพื่อเขา แล้วเขาตัดสินใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ทันทีที่เขาตัดสินใจ บอกพระเจ้าว่า …

            “ลูกต้องการ ลูกอยากได้ความช่วยเหลือจากพระองค์”

            พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทันทีเลย มาผ่าตัดวิญญาณเรา มาบัพติศมาวิญญาณเรา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ให้เราตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระเยซู ตรงนี้เขาเรียกว่า “บังเกิดใหม่” พอคนหนึ่งคนใดที่บังเกิดใหม่ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นอีก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย แยกกันไม่ออก เหมือนที่เราร้องเพลง เพลงนี้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ประโยคเดียววนอยู่ในหัว

                        “พระคริสต์อยู่ด้วย โลกคล้ายสวรรค์”

            มันวนอยู่ตรงนี้  พระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกับเรา อยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาอยู่ในเรา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  โลกนี้ก็เหมือนสวรรค์แล้ว ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ยังไง มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้างในวิญญาณเราที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี มันเป็นความชื่นชมยินดีที่บอกไม่ถูกว่าทำไมเราถึงสามารถปิติยินดีได้  ทำไมเราถึงสามารถที่จะมีความสุขได้ ท่ามกลางปัญหา ท่ามกลางอุปสรรคอะไรเยอะแยะมากมาย ท่ามกลางที่เราต้องเจ็บป่วย ต้องสู้กับโรคภัยไข้เจ็บของตัวเรา หรือสู้กับปัญหาเศรษฐกิจเยอะแยะมากมาย แต่ข้างในลึกๆ เราสามารถมีสันติสุขได้ ตรงนี้แหละ คือเป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุด ถ้าเรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา ใครล่ะบนโลกใบนี้จะสามารถที่จะต่อต้านเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งหมด ก็ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้เลย เพราะพระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด

            รักเราขนาดที่ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วพระเจ้าก็ยังสัญญากับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระพรนานัปการได้ให้กับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระพรนี้มาถึงพวกเราด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูมีอะไร? เรามีด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย อันนี้แหละ อัศจรรย์ พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นบุตรด้วย พระเยซูเป็นทายาทของพระเจ้า เราก็เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานเวลานี้ เราก็นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย ซึ่งไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ สามารถแยกเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้เลย ก็คือรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ที่เราคุยกันเป็นแล้วเป็นเลย  เกิดแล้วเกิดเลย เมื่อเราเกิด เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราจะกลับกลายเป็นลูกของความบาป มันไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้

            ฉะนั้น ตอนนี้ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เราเป็นวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เราเป็นวิญญาณที่พระเจ้าใส่ให้ใหม่เลย เป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง ผู้เชื่อทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าหลายครั้ง พฤติกรรมของเรา ที่สำแดงออก มันไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไร? แต่พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าวิญญาณของเราทุกคน เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง วิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ แล้วถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เยอะเข้าๆ มากเข้าๆ สถาปนาเข้าไปในวิญญาณของเราปุ๊บ ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถหลอกเรา ให้หลุดไปจากทางของพระเจ้าได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว เรายืนกราน ยืนหยัดอยู่ในความจริงนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของเราได้เลย

            ฉะนั้น ตรงนี้บอกว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก” เราเป็นบุตรที่รักแล้วใช่ไหม?  หลังจากนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพระเจ้า พ่อของเรา แค่นั้นเอง ง่ายๆ ก็คือพ่อเราเป็นอย่างไร? เราก็มองพ่อเรา พ่อเราทำอะไร? เป็นแบบไหน? เราก็ทำตามพ่อเรา แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อเรามีวิญญาณใหม่แล้ว พระเจ้าก็จะสอนเรา

            ตอนนี้การสอนของพระเจ้าจะไม่บังคับ แต่ในพระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ต้อง” ซึ่งจริงๆ มันไม่ต้องหรอก “ต้อง” คือบังคับไง แต่ว่าความเป็นจริง คือพระเจ้าหนุนใจ  หรือพระเจ้าโน้มนำเรา บอกเราว่า …

            “ลูกเอ๋ย ตอนนี้เป็นทายาทของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้วนะ เป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แล้วนะ  ลูกก็ทำตัวเองให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า”

            สมอย่างไร? ก็ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย คำว่า “แต่งตัว” ก็คือเหมือนกับเวลาเราออกไปข้างนอก  เราก็สวมเสื้อให้มันดูดีหน่อย ไม่ใช่ออกไปข้างนอก หาผ้าขาดๆ มา แล้วก็เดินออกไป มันไม่ใช่ มันไม่สวย มันไม่งาม มันไม่เหมาะกับการที่เราเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง ฉะนั้น พอเราเชื่อพระเจ้าหลังจากนั้น  เราก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า พ่อของเราเป็นอย่างไร? เราก็ฝึกฝนตามพ่อของเรา

            คำว่า “ฝึกฝน” เหมือนเด็กเล็กๆ เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็ไม่ใช่โต แล้วก็สามารถทำได้ทั้งหมด ไม่ใช่ เราก็ยังเป็นเด็กเล็กๆ ที่ตาเราคอยจ้องที่พ่อแม่เราอยู่ แล้วก็คอยดูว่าคุณพ่อคุณแม่เราทำอะไร?  แล้วเราก็เลียนแบบท่าน ทำตามพ่อแม่ของเรา เห็นไหมพ่อแม่พูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวลูกเราก็พูดจาไม่เพราะ คือลูกเรามอง ฟัง ในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เราเป็นทุกวันๆ  ฉะนั้น เราเลียนแบบพระเจ้า  เราเข้ามาเรียนรู้ว่าพระลักษณะของพระเจ้า เป็นอย่างไร? ก็ค่อยๆ มาเรียนรู้ เรียนไปเรื่อยๆ พอเราเรียนได้มากเท่าไร? บุคลิกของเราก็จะเปลี่ยนแปลง ตามความจริงของวิญญาณข้างใน …

            “ตอนนี้ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันเป็นราชบุตรราชธิดาของพระเจ้าแล้วนะ ตอนนี้ฉันควรจะประพฤติตัวแบบไหน ให้มันสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า”

            มีพี่น้องคนหนึ่งเขาสงสัยกับคำๆ หนึ่งที่เราพูดกันบ่อยๆ ว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เคยได้ยินไหม? เราทำอะไรก็ได้ เราจะไม่หลุดไปจากทางของพระเจ้าเลย อย่างไรวิญญาณเราก็รอด

            ฉะนั้น คำว่า “เราทำอะไรก็ได้” ก็เกิดความเข้าใจผิดว่าอย่างนี้คริสเตียน ก็ไปทำบาปได้สิ คริสเตียนก็ไปทำอะไรเละเทะได้สิ”

            คำว่า “ทำอะไรก็ได้?” มันมีวงเล็บไง เมื่อวิญญาณเราเปลี่ยนใหม่แล้ว พระเจ้าให้อิสรภาพกับผู้เชื่อในการตัดสินใจ ที่จะทำอะไร? ไม่ทำอะไร? ในชีวิตประจำวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะโน้มนำเรา แล้วพระองค์ก็จะคอยเตือนเรา คอยบอกเราว่า …

            “ลูก ตรงนี้มันไม่โอเคนะ  ตรงนี้โอเค ทำได้”

            ฉะนั้น คำว่า “ทำอะไรก็ได้” หมายความว่าพระเจ้าให้อิสรภาพเราในการที่จะทำ  ในการที่จะตัดสินใจ

            ทีนี้ย้อนกลับ ถามว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เทียบกับสมัยก่อน ที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้าว่าเราทำอะไรก็ได้ ตามใจเรา เราไม่คิด เราอยากทำอะไร เราก็ทำ ใครจะเดือดร้อน เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา นึกออกไหม? มันเป็นอย่างนั้น  แต่หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว คำว่า “ทำอะไรก็ได้” มันจะมีขีดจำกัดในวิญญาณของเราเอง ที่เราจะรับรู้ว่าถ้าเราทำตรงนี้ แล้วมันจะส่งผลอะไรกับคนรอบข้างไหม?  ทำแล้วมันมีประโยชน์กับคนรอบข้างไหม?  ถ้าไม่มีประโยชน์ เราก็ไม่อยากทำ นี่คือคำว่า “ทำอะไรก็ได้” พระเจ้าให้อิสระไง

            แต่อาจารย์เปาโลบอกว่าพี่น้องสามารถทำอะไรก็ได้  แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ท่านทำจะมีประโยชน์ ถ้ามันไม่มีประโยชน์ ทำแล้วมันไม่เหมือนพ่อเรา ออกไปข้างนอก เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความดีงาม เป็นความรัก แต่เราไปทำตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่เราเป็นแล้ว ก็คือเราไม่มีความรัก เราไปทะเลาะกับเขา เราก็ไม่อยากทำ จริงหรือไม่จริง? คือเราจะเปลี่ยนเองโดยอัตโนมัติ พี่น้องสังเกตตัวเองนะ ดิฉันก็อธิบายไม่ถูกว่ามันจะเปลี่ยนอย่างไร? แต่ดิฉันรู้ว่าตัวดิฉันเองก็เปลี่ยน คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปลี่ยนเราเอง เปลี่ยนจากการที่ถ้าเมื่อก่อนเราเป็นคนเห็นแก่ตัว พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารับรู้ความจริงมากๆ การเห็นแก่ตัวของเราจะลดน้อยลง  เราจะเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะให้ ให้คนอื่น

            คำว่า “ให้” หลายคนก็ไปคิด สรุปเอาเองว่าให้ ต้องให้เงินทอง  ไม่ใช่ คำว่า “ให้” มีเยอะแยะมากมายที่เราจะสามารถให้ได้  เราสามารถให้เวลากับคนอื่นได้  เราสามารถให้คำหนุนใจกับคนอื่นได้ เราสามารถที่จะให้ความรัก ให้อะไรก็ได้ที่คนรอบข้างเราต้องการ บางครั้งเราไปหนุนใจใคร เราอาจจะพูดไม่เป็น บางคนพูดไม่เป็น ก็สู้อย่าพูดดีกว่า  พูดแล้วไปกระทบกระเทือนใจคนอื่น ซึ่งถ้าเราพูดไม่เป็น เราก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้ามีพี่น้องในโบสถ์ เขากำลังเสียใจ  กำลังเศร้าโศก  เราพูดอะไรไม่ได้   เราก็ไปนั่งข้างๆ เขา จับมือเขาไว้  ทำแค่นี้พอ  คือทำแค่นี้ เขาจะสัมผัสได้ถึงความรัก จากข้างในตัวเรา ส่งไปถึงเขา หรือไม่ เราเดินเข้าไปกอดเขา  แค่นั้นเอง มันจะสัมผัสได้ พี่น้องนึกออกไหม?

            ฉะนั้น การให้มันมีหลายรูปแบบมาก ซึ่งเมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น เราก็จะเรียนรู้จักการที่จะให้คนอื่นมากขึ้น  ฉะนั้น ตรงนี้ให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

        เอเฟซัส 5:2 “และจงดำเนินชีวิตในความรัก   เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            เห็นไหม? “ดำเนินชีวิตในความรัก” ถ้าข้างในเราไม่มีความรัก เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตในความรักได้เลย  แต่ว่าเพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้นี้เข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เมื่อเราเป็นความรักแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรักนั่นแหละ สำแดงออกไป ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราอาจจะสำแดงได้นิดหนึ่ง บางคนอาจจะยังไม่สามารถสำแดงได้เลย เหมือนทารกแรกเกิด ยังทำอะไรไม่ได้เลย พอโตขึ้นอีกหน่อย ก็เรียนรู้ที่จะทำได้ เด็กพอโตขึ้น ก็เรียนรู้ที่จะจับขวดนมเองได้ เรียนรู้ที่จะพลิกตัวเองได้  เรียนรู้ที่จะทำโน่นทำนี่ด้วยตัวเองได้

            เหมือนกัน วิญญาณของผู้เชื่อ เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น  เราก็เรียนรู้ที่จะเลียนแบบเหมือนพระเจ้า  พระเจ้าของเราเป็นความรัก ความรักอยู่ข้างใน เราก็เรียนรู้ที่จะสำแดงความรักออกไป เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  และประทานพระองค์เอง เพื่อเรา เป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ให้เราสำแดงความรัก เหมือนกับที่พระเจ้าได้ทรงรักเราแล้ว อะไรมาก่อน พระเจ้าทรงรักเราก่อน  เราไม่สามารถรักคนอื่นได้หรอก ถ้าเราไม่ได้รับความรักจากพระเจ้าก่อน ก็คือพระเจ้ารักเราก่อน  หลังจากนั้น เราก็สำแดงความรักออกไป

            แล้วในนี้บอกว่าเพื่อเรา จะเป็นเหมือนของถวาย แด่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ถวายเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์  แด่พระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  คือแยกเราออกมา  เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว  แล้วก็ถวายเราเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า จำตรงนี้ไว้ พวกเราผู้เชื่อทุกคนที่บังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า เป็นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องพยายามไปทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นกลิ่นหอมของพระเจ้า  ไม่ต้อง พระเยซูทำให้เราเรียบร้อยแล้ว

            ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร? หรือใครจะมาว่าเราแบบไหน?  เราไม่ต้องสนใจ คำว่า “ไม่ต้องสนใจ” ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราทำตัวไม่ดีไม่เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระเจ้า แล้วคนมาเตือน เราไม่สนใจ  ฉันจะทำของฉัน มันไม่ใช่แบบนั้นนะ คนละแบบ “ไม่สนใจ” หมายความว่าถ้าใครมาบอกอะไรที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ที่พระเจ้าบอกเราแล้ว  เราไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าพฤติกรรมของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้ดำเนินชีวิต ให้สมฐานะการเป็นลูกของพระเจ้า ยังดำเนินชีวิตแบบเกเร ถ้ามีคนมาเตือน เราต้องสนใจนะพี่น้อง แล้วก็แก้ไข ขอกำลังจากพระเจ้า

            “พระเจ้า ขอกำลังลูกด้วย ลูกพยายามแล้ว ลูกพยายามจะไม่โกรธ พระองค์เจ้าข้า แต่มันโกรธไปแล้ว”

            อะไรประมาณนั้น ก็คือมันแยกให้ชัดเจนนะพี่น้อง บางคนไม่แยกชัดเจน  แล้วก็มาโมเม เอาทุกอย่างรวมไปหมด  มันไม่ได้ แยกให้ชัดเจนว่า ณ เวลานี้ วิญญาณเราเป็นแบบไหน?  แล้วพระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตแบบไหนให้สามารถที่จะส่งผลของความรักที่มันเป็นอยู่แล้ว ในจิตวิญญาณของเราออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง แล้วเขาจะสามารถสัมผัสความรักจากพระเจ้า ผ่านชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา เอเมนไหมค่ะ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คนป่วย … ต้องการ “หมอ”

            คนบาป … ต้องการ  “พระเยซูคริสต์”

            มัทธิว 5:3 “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายวิญญาณ เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            พระเยซูมาประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์กับคนยิวในขณะนั้น ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในสวรรค์เลย เพราะพระเยซูบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ เร็วๆ นี้ เมื่ออาณาจักรสวรรค์มาตั้งสำเร็จเมื่อไหร่ คนที่มีลักษณะท่าทีในใจอย่างนี้ คือผู้ที่สำนึกว่าตนเองขัดสนฝ่ายวิญญาณ สำนึกว่าตนเองป่วยทางวิญญาณ คือเป็นคนบาปต้องการความช่วยเหลือ

            พระเยซูบอกว่า “คนป่วยต้องการหมอ คนที่คิดว่าแข็งแรงดี ก็ไม่ต้องการ คนที่รู้ว่าตัวเองป่วยทางวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            ซึ่งในมัทธิว 5:3-12 พระเยซูกำลังบอกถึงลักษณะท่าทีในใจของผู้คนในยุคนั้นว่าถ้าเขามีท่าทีแบบนี้ เมื่อพระเยซูทำภาระกิจของพระองค์สำเร็จ คนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะกลับใจใหม่ และได้รับการบังเกิดใหม่ทันที และก็จะเข้าอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณทันที แล้วก็จะพบการข่มเหงต่อต้านจากโลก ซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืด ความบาปทันทีเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราก็ได้รับพระพรนานาประการฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนเรียบร้อยแล้วในวิญญาณของเรา เราจึงไม่ขัดสนบกพร่องในวิญญาณของเราอีกต่อไป แต่เต็มล้นไปด้วยสง่าราศีบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูเลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1434

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กันยายน  2023

เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 2 เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้ว แล้วว่าพระเยซูคริสต์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว ที่ผมยกตัวอย่างรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาส ตั้งแต่ พ.ศ.2448 ถึงปัจจุบัน 118 ปีแล้ว ลักษณะเดียวกัน 

            เพราะฉะนั้น ใครที่อยากใช้สิทธิ์ ง่ายนิดเดียว ก็แค่เชื่อในข่าวดี เชื่อในคำพูดถึงความจริงนี้เท่านั้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มสักนิดหนึ่ง  ใครที่เป็นทาสอยู่ตั้งแต่สมัยโน้น ปี 2448  ในราชอาณาจักรไทย ได้ยินข่าวดีนี้  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลยสักนิด เขาสามารถเดินออกจากบ้านหลังนั้น ก็ได้ ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้วทันที  เพราะว่ากฎหมายได้ออกมาแล้ว และรัชกาลที่ 5 ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  ประกาศใช้แล้ว ในทางวิญญาณก็เหมือนกัน พระเยซูประกาศใช้มา 2,000 ปีแล้ว มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด จากการเป็นทาส ในวิญญาณ เขาจะได้รับสิ่งนี้แหละ ตามหัวข้อเรื่องนี้ทันที เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  เขาจะได้รับที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา แปลว่าเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพทันที  โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย

            บัพติศมา แปลว่าใส่ลงไป เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

            ใครดื่มกาแฟตอนเช้าบ้าง? ใครดื่มกาแฟ 3 อิน 1 บ้าง? 3 ใน 1 มีกาแฟ ครีม น้ำตาล  เสร็จแล้วมีใครดื่มกาแฟ แล้วใส่น้ำมันมะพร้าวบ้าง? ที่เขากำลังฮิต อันนั้นแหละ ทุกเช้า บัพติศมาทุกวัน บัพติศมาน้ำมันมะพร้าว กาแฟ 3 อิน 1 แล้วลงไปเห็นน้ำมันมะพร้าวที่ใส่ลงไปไหม? คนๆ มันก็หายไปแล้ว เหมือนกัน วิญญาณเรา เป็นทาส แต่เราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงบัพติศมาเอาเราใส่ลงไปใน 3 อิน 1 เหมือนกัน  เป็นตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าได้นำวิญญาณของเราใส่เข้าไปในนี้ กลืนกันเป็นหนึ่งเดียวกันเลย  ขอบคุณพระเจ้า  พยายามยกตัวอย่างให้เห็นภาพ

            ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง เราได้เรียนรู้ไปเมื่อตอนที่แล้ว แล้วนะ  เราก็จะเข้าไปอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ และตรีเอกานุภาพ  พระเจ้า 3 พระภาค ก็ได้เข้ามาอยู่ในเรา ผสมกัน รวมกัน บัพติศมากัน เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            วันนี้ จะขยายให้นิดหนึ่งว่าแล้วลักษณะมันเป็นเช่นไร? ในร่างกายของเรา ในขณะนี้ ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเรานี้ เรียบร้อยแล้ว ขณะที่เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะชีวิตของเรา ร่างกายของเรานี้เป็นอย่างไร? อยากรู้ไหมครับ? เราก็ต้องอยากรู้ เพราะว่า มันมองไม่เห็นในโลกวิญญาณ  แต่ถ้อยคำพระเจ้าได้ระบุเอาไว้ ซึ่งผมจะพยายามอธิบายให้เข้าใจและชัดที่สุด เท่าที่ทำได้  หนังสือโรม 8:10 …

        โรม 8:10 “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย แต่วิญญาณภายในของท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

            ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณ สำหรับคนที่ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้บัพติศมาในวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว ลักษณะเป็นเช่นไร?

            “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน” ก็คือถ้าท่านเปิดใจต้อนรับ และท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กายภายนอก ก็คือกายที่เรามองเห็นนี้ กายที่ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่ากายที่มาจากเรือนดิน … เรือนดิน ก็คือถูกสร้างมาจากดิน เนื้อดินของโลกใบนี้  วัตถุ ธาตุที่เป็นของโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างมา ซึ่งโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว ต้องสูญสิ้น เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน ตามกฎ เขาเรียกว่ากฎของความบาปและความตาย กฎนี้ยังอยู่ เพราะฉะนั้น ร่างกายนี้ อย่างไรก็ต้องตาย แม้ว่าเราจะได้เข้าไปอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ทางฝ่ายวิญญาณแล้วก็ตาม ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ กำลังเสื่อมโทรมลงไปทุกวัน แก่ลงไปทุกวัน เจ็บป่วยไปเรื่อยๆ วิ่งไปสู่ความตายกันทุกคน ตามที่กฎของคำสาปแช่ง กฎของความตายได้ระบุเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น

            แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์  ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ที่เราเห็นในร่างกายนี้ มันต้องตาย  แต่วิญญาณของเรา ที่เราไม่เห็น แต่เรารู้ระแคะระคายมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตของเราแล้ว  เราแสวงหาสวรรค์ เราแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรากระทำหลายอย่าง พิธีกรรมเยอะแยะมากมาย ที่จะแสวงหาอะไรบางอย่าง ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระเจ้า (S) ต้องใส่ S เข้าไป คือเรื่องของพระเจ้าเยอะแยะไปหมด อ้างว่าเป็นพระเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เราก็ทำพิธี มีมนุษย์เท่านั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงพันธุ์เดียวเท่านั้น ที่กระทำสิ่งเหล่านี้ ก็คือกระทำพิธีทางศาสนา พิธีกรรมทางวิญญาณ หาไปเรื่อยๆ หาอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือพิสูจน์ว่าเรามีวิญญาณ

            และในนี้บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณภายในของเรา เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูแล้ว เพราะเราได้บัพติศมา เราได้ตายพร้อมพระเยซู แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู ได้บังเกิดใหม่แล้ว  เป็นชีวิตที่เหมือนพระเยซูเลย ก็คือทางฝ่ายวิญญาณ ตรงนี้แหละ เหมือนพระเยซูเลย ข้อ 11 ต่อไป

        โรม 8:11 “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            “เพราะถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย” พูดง่ายๆ ว่าถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็คือ 1 ในตรีเอกานุภาพ  ถูกไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ตอนที่พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระเจ้าเป็นผู้ประทานการเป็นขึ้นจากความตายให้พระเยซู โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำการงาน

            ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ อยู่ในท่านทั้งหลาย สถิตอยู่ภายในท่าน ก็คือหนึ่งในตรีเอกานุภาพ ที่สถิตอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซู วิญญาณเราเหมือนพระเยซูไปหรือยัง? เหมือนแล้ว ตะกี้นี้ ข้อ 10 บอก

            ในข้อ 11 บอกว่าพระวิญญาณเดียวกันนี้ ที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะให้ชีวิตนิรันดร์กับเรา ที่เหมือนพระเยซู ให้กับเราตรงไหน? วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูไปแล้ว ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซู ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

            อ้าว! ตะกี้ข้อ 10 บอกว่าร่างกายของเราที่เห็นอยู่นี้  เป็นเรือนดิน แล้วมันต้องถูกสาปแช่ง มันต้องตายไปตามกฎของความบาปและคำสาปแช่ง แต่ในนี้บอกว่านั่นแหละ ร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังแก่นั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะประทานชีวิตนิรันดร์ ที่เหมือนพระเยซูให้ด้วย

            ชีวิตนิรันดร์ ก็คือสง่าราศี  พระสิริของพระเจ้า  พระสิริของพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา  พูดง่ายๆ ก็คือพระสิริของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ ปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเรา ที่ต้องตายนี้  ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา  พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเกิดพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในใครแล้วก็ตาม ทุกอณู ทุกเซลในร่างกายของเรา  ไม่ว่าจะเป็นตับ ไต ไส้ พุง  ที่มองไม่เห็น หรือที่มองเห็นข้างนอก ดวงตา เซลทุกเซล จะถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ที่สถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา เห็นความสำคัญในร่างกายของเราไหม?

            พระคัมภีร์ถึงบอกว่าเมื่อท่านใช้สิทธิ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับที่สกปรก  สำหรับพระเจ้าแล้ว ชำระจนสะอาดหมดจด  แม้ว่าร่างกายนี้ต้องตาย เพราะคำสาปแช่ง แต่ได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว โดยพระเจ้า สะอาดหมดจดแล้ว ตอนที่บัพติศมาท่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์

            เพราะฉะนั้น ท่านที่ใช้สิทธิ์ไปแล้ว ตามพระคัมภีร์ต้องบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด  เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น แต่ท่านจงมองให้เห็นตามถ้อยคำพระเจ้านี่เถิดว่าท่านก็จะเป็นเหมือนดวงสว่างที่เปล่งประกาย รัศมี เจิดจ้า ด้วยพระสิริ และสง่าราศีของพระเจ้า บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ซึ่งแต่ก่อนท่านอยู่นั่นเอง เห็นภาพหรือยังว่าท่านมีค่าอย่างไร?  และท่านเป็นอะไรอยู่ตอนนี้

            กาลาเทีย 3:26-27 เสริมให้เห็นชัดขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ ชีวิตของเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บัพติศมาในตรีเอกานุภาพแล้ว มันเป็นลักษณะใด ที่เราเดินอยู่ทุกวันนี้  ที่บางครั้งเราบอกเราเบื่อ ดูหน้าตัวเองเบื่อ กำลังแก่ กำลังไม่สบาย กำลังอันโน้นอันนี้ หลายสิ่งหลายอย่าง ทำอันนั้นก็ไม่ดี ทำอันนี้ก็ไม่ดี ประพฤติก็ไม่พร้อมแต่สำหรับพระเจ้า ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ทำอะไรให้กับท่านไปเรียบร้อยแล้ว  เสร็จแล้ว ที่พูดทั้งหมดนี้ เสร็จแล้ว สำเร็จแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            “ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว” เป็นบุตรพระเจ้าหรือยัง?  รอให้ตายก่อน  แล้วค่อยเป็นหรือเปล่า? ขณะที่มีลมหายใจอยู่ตอนนี้ นั่งฟังอยู่ตอนนี้ ที่บ้านหรือที่นี่ก็ตาม ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้วหรือยัง? ทุกคนก็รู้ว่าเป็นแล้ว  เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ได้รับการบัพติศมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้วนั้น

            “เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์” กายตัวนี้ ก็คือกายภายนอก ที่ต้องตาย เมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดถึงในโรม 8:11 กายภายนอกที่ต้องตาย ถูกปกคลุมด้วยพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  พูดง่ายๆ ว่าเดินไปไหนก็ตาม ท่านกำลังใส่เสื้อคลุมกายของท่านด้วยพระสิริ สง่าราศีของพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปที่ไหนก็ตาม ตรีเอกานุภาพนี้ ปกคลุมเป็นเหมือนเสื้อคลุม ที่คลุมกายของท่าน หมดเลย ทุกเซลหมดเลย แม้ว่าเซลนั้น กำลังเสื่อมไป กำลังแก่ก็ตาม แต่มีพระสิริ สง่าราศี ปกคลุมอยู่เหนือตลอดเวลา พระสิริและสง่าราศีของพระเจ้า ปกคลุมท่าน ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 30 หรือเชื่อพระเจ้าแล้ว อายุ 80 ก็ตาม พระสิริปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของท่านตลอดเวลา

            เห็นไหมครับชัดเจนแล้วว่าท่านสง่าและสมฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างไร? พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นกับท่านแล้ว พระเยซูได้ทำให้แล้ว  สำเร็จแล้ว และพระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรกโน้น 2,000 ปีที่แล้ว แค่เชื่อในพระคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกเลยจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เพราะมันเสร็จแล้ว ท่านไม่จำเป็นจะต้อทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะให้มีสง่าราศีมากขึ้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะมีพระวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นในชีวิตของท่าน ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อจะสนิทกับพระเยซูคริสต์มากขึ้น ไม่ต้องทำอะไรก็ตาม เพื่อให้พระเจ้าอยู่กับท่านมากขึ้น พระเจ้าอยู่กับท่าน ทั้ง 3 พระภาค เต็มเปี่ยม บริบูรณ์แล้ว เอเมน

            ก่อนหน้านี้ มนุษย์อยู่ในความตาย ก่อนหน้าที่พระเยซูจะกระทำให้สำเร็จ คือก่อนหน้า เมื่อ 2,000 ปี มนุษย์อยู่ในความตาย วิญญาณและร่างกายได้รับผลกระทบ จากการขาดชีวิตินิรันดร์ของพระเจ้านั่นเอง ไม่มีสิ่งที่ตะกี้เราพูดเลย ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ภายใน  พระวิญญาณนี้ ก็คือพระวิญญาณผู้ทรงประทานชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศี  และพระสิริของพระเจ้า  ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะกระทำให้สำเร็จ มนุษย์อยู่ในความตาย ไม่มีตรงนี้อยู่ ไม่มีพระคริสต์คลุมกายอยู่ ก็คือพระสิริของพระเจ้า  ที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ตั้งแต่แรกๆ นั้นหลุดหายไปจากมนุษย์  หลุดหายไปจากชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ วิญญาณของมนุษย์เปลือยกายอยู่  พระคัมภีร์ใช้คำนี้จริงๆ  ก็คือไม่มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือร่างกายของเขา ชีวิตของเขา ทั้งภายในและภายนอก เรียกว่าเปลือยกายอยู่ เสื้อผ้าที่มองไม่เห็นเรียกว่าพระสิริ สง่าราศี การทรงสถิตของพระเจ้า หลุดออกไปจากเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ แล้วพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็เป็นผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาเพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากสภาวะนี้แหละ ซึ่งเรียกกันว่าสภาวะทาส กลับคืนสู่พระสิริอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คือมนุษย์ได้กลับคืนสู่สภาพเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว ได้กลับมาสวมพระสิริ สง่าราศีของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และประกาศใช้กฎหมาย ทางวิญญาณนี้ ประกาศไปแล้ว 2,000 ปี

            เหมือนอย่างที่ผมยกตัวอย่างครั้งที่แล้ว รัชกาลที่ 5ได้ประกาศสิทธิอำนาจนี้ 118 ปีมาแล้ว ได้ประกาศไว้ด้วยสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย มันต้องเป็นไปตามนั้นทุกประการ ไม่มีคำว่าแต่ ถูกไหม? เพราะว่าในหลวง รัชกาลที่ 5 มีสิทธิอำนาจเด็ดขาด เหนือราชอาณาจักรไทย  ไม่มีคำว่าแต่ ต้องเป็นไปตามนี้ สมมติเช่น มีคนอ้าง …

            “อ้าว! ถ้าคนนี้มีความประพฤติไม่สมควรที่จะได้รับอิสรภาพ จากการเป็นทาส”

            อ้างอย่างนี้ได้ไหม? ไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเขาเลย มันเกี่ยวกับกฎหมายที่ออกมา บอกว่าเขาเป็นทาสในเรือนเบี้ย ต่อไปนี้ เขาเป็นอิสระแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี  เขาก็เป็นอิสระจากกฎหมายที่ได้ถูกประกาศออกมา ไม่มีคำว่าแต่ ทุกคนเป็นทาส ก็ได้รับสิทธินี้ทางกฎหมายทันที เท่าเทียมกัน ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของคนไหนหรือคนนั้นเลย แม้แต่นิดเดียวใช่หรือไม่? ถูกไหม? ทาสคนนี้จะเป็นคนดื้อ ขี้เกียจ ทาสคนนี้เป็นหัวขโมย  ขี้ขโมย กฎหมายนี้ไม่ได้สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าถ้าเขาเป็นทาส เขามีสิทธิ ใช้สิทธิ์นี้

            เช่นเดียวกัน การประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ก็เหมือนกัน แต่ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว  และมองไม่เห็นเท่านั้นเอง ทางโลกวิญญาณ ก็มีกฎทางโลกวิญญาณที่พระเจ้าประกาศออกมาว่าทาสทางฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นอิสระเช่นเดียวกัน

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าการจะได้รับความรอด จากการเป็นทาสทางฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับโทษ คือความพินาศในฝ่ายวิญญาณ จนถึงนิรันดร์หลังความตายนั้น จะได้ความรอดนี้  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติเลย กฎหมายทางฝ่ายวิญญาณนี้ ถูกประกาศใช้มาแล้ว ถ้ารู้แล้ว เชื่อไหม? แม้ว่าดูแล้วคนนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ประพฤติเลวหรืออย่างไร? ชั่วช้าขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย เกี่ยวแค่ว่าเขารู้ความจริงไหม? แล้วเขาใช้สิทธิของเขาหรือไม่?  เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการประกาศกฎหมายใหม่นี่ต่างหาก ถูกไหม? ทั้ง 2 สมัยเลย ทั้งสมัยพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศข่าวดี ก็คือประกาศกฎหมายใหม่ทางวิญญาณ ทั้งรัชกาลที่ 5 ก็เหมือนกัน ประกาศกฎหมายเลิกทาสทางฝ่ายโลกนี้ ที่ประเทศไทย มันสำคัญตรงที่ กฎหมายใหม่ ต้องถูกประกาศให้ไปถึงหูของคนที่เป็นทาส เขาจะได้ใช้สิทธิของเขา ใช่หรือไม่? ไม่ใช่มาสอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ความประพฤติ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาจะมาใช้ชีวิตใหม่ อะไรต่างๆ เลย แต่เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องกฎหมายใหม่ว่ามันออกมาแล้วอย่างไร? แล้วเขาต้องใช้สิทธิของเขา ต้องเชื่อในข่าวดีนี้

            สอนเรื่องกฎหมายใหม่ว่ากฎหมายใหม่ระบุไว้เช่นไร? มีฤทธิ์อำนาจบังคับให้เป็นไปตามนั้นได้อย่างไร? และประกาศเชื้อเชิญให้ทุกคนมาใช้สิทธิของเขา ถูกไหม? เลิกทาส สมัย ร.5 พยายามประกาศให้ทั่วราชอาณาจักรไทย  ไปถึงสุดราชอาณาจักรไทยเลย ประกาศเลิกทาสทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เขาบอกให้ประกาศไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก เป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นไท โดยพระคุณพระเจ้าประทานให้  เป็นอิสระใช้สิทธิเท่านั้น

            คราวนี้ส่วนการกระทำของมนุษย์ ทั้งก่อนหรือหลังการใช้สิทธิ์นี้ เมื่อใช้สิทธิของเขาแล้ว การกระทำก่อนหน้า หรือหลังการใช้สิทธินี้  ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิทธิที่เขาได้ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ แม้แต่นิดเดียว ถูกหรือไม่ถูก? คนเป็นทาส ใช้สิทธิของเขา เป็นอิสระออกจากการเป็นทาสมา แล้วเขาขี้เกียจ ไปเป็นหัวขโมย  ไปปล้นเขา ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เขาเป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว ถูกหรือไม่? ไม่สามารถทำให้เขากลับไปเป็นทาสอีกได้ แต่เขาต้องได้รับผลของการกระทำของเขา ที่เขาไปฆ่าคนตาย ไปขโมยของเขา

            ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศอิสรภาพในการเป็นทาส ใครก็ตามที่ใช้สิทธิของเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพแล้ว การกระทำก่อนหน้านั้นไม่ได้มีผลกระทบกับเขาเลย การกระทำภายหลังนั้น ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับการเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาที่บังเกิดใหม่เลย ใช่หรือไม่? ชัดไหม? เพราะอะไร? เราเห็นเหตุผลง่ายๆ เลย เพราะตอนที่เขาเป็นทาส  ภาษาไทยเขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย คือเขาเกิดมา เขาก็เป็นทาส ก็คือพ่อแม่เป็นทาสอยู่ แล้วก็มีลูก ลูกออกมาตกเป็นทาส คือเป็นสมบัติของเจ้านายของพ่อและแม่เขา เขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย  เด็กคนนั้นเกิดมาเป็นทาสเลย ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำผิดหรือเปล่า? ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นทาส เพราะบรรพบุรุษทำหนี้ทำสินเอาไว้  ติดหนี้ติดสิน เราเลยเป็นทาสไปด้วย  เพราะฉะนั้น ตอนเป็นอิสระ เขาก็ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน บรรพบุรุษทำให้เช่นเดียวกัน

            มนุษย์ตกเป็นทาสของความบาปและความตาย  พินาศทางวิญญาณ ตามที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสักครูนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระคัมภีร์บอกว่าตกทอดมาจากบรรพบุรุษ อาดัมและเอวานำความบาปมาสู่มวลมนุษย์ เผ่าพันธุ์ของตนเอง สู่ความตาย มนุษย์เกิดมาบาป  เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นบรรพบุรุษอีกสายพันธุ์หนึ่ง  ที่มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ทั้งปวง ให้กลับคืนสู่สภาพดีไม่ได้เป็นทาส กลับมาเป็นไท โดยไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน  เอเมนไหม? ทีอย่างนี้เราไม่ค่อยจะเอเมนเท่าไร? พอบอกมนุษย์เกิดมาต้องใช้เวร ใช้กรรม อยู่ในความบาป

            “ใช่ ฉันเกิดมา ก็ใช้เวร ใช้กรรม เมื่อไรจะหมดสักที”

            แต่พอไปประกาศใหม่ บอกว่า … “พระเยซูคริสต์มาปลอดปล่อยให้เธอเป็นอิสรภาพแล้ว เธอไม่ต้องเป็นทาสแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรเช่นเดียวกัน”

            “มันเป็นไปได้อย่างไร?  คนเราจะต้องทำดี เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดี  คนเราจะต้องทำดี เพื่อไปสวรรค์สิ ไม่ทำดี แล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ใช่ไหม? นี่คือโลกนี้หลอกเราใช่ไหม? แต่พอเรามาวิเคราะห์ตามถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่เป็นความจริงนี้ เราเห็นชัดเลย ตอนที่เราตกลงไปในความบาป เราก็ไม่ได้ทำอะไร? เรายังยอมรับเลยว่าใช่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องทำอะไร เราก็ต้อง เอเมนสิ

            ผู้ที่วางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอดแล้ว ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับความรอด  รอดโดยไม่ใช่ความประพฤติ โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า  ตามกฎหมายฝ่ายวิญญาณที่เคร่งครัด ชัดเจนมากยิ่งขึ้นที่สุดเลย เหมือนกับตอนที่ลงโทษมนุษย์ตกลงไปสู่การเป็นทาส ก็เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ อันเดียวกันนั่นแหละ ซึ่งเราก็ยอมรับกัน ทั่วมหาจักรวาลแล้ว  เพราะฉะนั้น ในทางของพระเยซู มันก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน ส่วนการกระทำของมนุษย์นั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ใช้สิทธิ์ เชื่อในข่าวดีนี้  ก็ได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำสิ่งใดๆ หรือพิธีกรรมใดๆ ของโลกนี้ก็ตาม เอเมน

            และการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทำอย่างไร? เมื่อเราเป็นอิสระแล้ว พระเจ้าตรีเอกานุภาพที่สถิตอยู่กับเรา  ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงเรา ที่พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเจ้ากับร่างกายที่ต้องตาย ที่กำลังเสื่อมนี้กับเรา จะเป็นผู้นำเรา เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เดินไปกับเรา จูงมือเรา ค่อยๆ มีประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ แบบใหม่  แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เรากระทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเราทั้งสิ้น แม้ว่าหลายครั้ง  เราอาจจะไม่เชื่อพระวิญญาณ  แต่ขณะที่เราไม่เชื่อฟังนั้น  พระวิญญาณนำเราอยู่ไหม? ตัวนี้สำคัญ  บางคนบอกว่าพอเราดื้อ พระวิญญาณไม่นำ  พระวิญญาณไม่นำได้อย่างไร? พระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว น้ำมันมะพร้าวลงไปในกาแฟ 3 อิน 1 แล้ว เอาไม่ออกแล้ว  อย่างไรก็ไม่ออก มันก็อยู่ในนั้นแล้ว  ถ้าพระวิญญาณสถิตอยู่กับท่าน พระวิญญาณก็นำท่านอยู่ แต่ท่านไม่เชื่อเอง แต่นำอยู่ไหม? นำอยู่

            เพราะฉะนั้น ก็ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณ  และพระวิญญาณก็จะให้สติปัญญา  อะไรที่เราคิดเองได้ อย่างเช่น อะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ทำ อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็อย่าทำ  เป้าหมายมีอยู่แค่นี้เอง คิดเอาเอง แต่ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ? ก็ไม่มีผลอันใดเลย เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ หรือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่นิดเดียว  และไม่เกี่ยวกับความรอดนิรันดร์หลังความตายด้วย  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกแล้ว

            บางคนกลัวว่าตายไปแล้ว เข้าสู่พิพากษาแล้วจะไม่รอด ถ้าท่านรอดตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่ขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ หลังความตาย ท่านก็รอดเหมือนเดิม  ถ้าท่านไม่ได้รับความรอดวันนี้ ไม่ได้เชื่อพระเจ้าในวันนี้ ตายไป ท่านก็ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดเช่นเดียวกัน  เพราะว่าความรอดนิรันดร์นี้ ที่พระเจ้าประทานให้แล้ว ให้ตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐนั้น ข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ สรุปแค่นี้  เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับทันที

            ดังนั้น พิธีกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่างๆ ที่เราได้พูดกันไปเมื่อตอนที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำมหาสนิท การบัพติศมาในน้ำ ที่เรากำลังจะทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ล้วนเป็นภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ  เกี่ยวกับความรอดในพระคริสต์เท่านั้น เป็นภาพเฉยๆ ก็คือเป็นภาพของการตาย ร่วมกับพระคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอภานุภาพ ในวิญญาณของเรา ที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้เมื่อสักครู่นี้  เกี่ยวกับการบัพติศมาในวิญญาณ  การได้ถูกใส่เข้าไปในตรีเอกานุภาพ  เป็นหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณของผู้เชื่อทั้งหมดด้วย ซึ่งเรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า

            การกระทำทั้งหมด พิธีกรรมอะไรต่างๆ ทั้งหมด ถ้าทำแล้วเป็นประโยชน์ก็ทำ ไม่ทำได้ไหม? ได้ ไม่ทำ เราก็รอดเหมือนเดิม แต่ทำได้ไหม? ท่านคิดดู มันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ทำ จะทำหรือไม่ทำ ในโลกวิญญาณ ท่านก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้วทั้งสิ้น คือความจริงในโลกวิญญาณ ก็คือมนุษย์ได้รับการชำระบาปทั้งสิ้น เรียบร้อยแล้ว โดยพระวิญญาณพระเจ้าได้กระทำการขจัดวิญญาณเก่าของเราให้ตายไป วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปนั้น ให้มันตายไป และบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเยซูเลยทันที  เมื่อเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เพื่อจะได้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมดีพร้อมแล้ว จึงสามารถเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทางวิญญาณกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้ ซึ่งจะได้รับผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูเท่านั้น  และเชื่อแล้ว ก็ใช้สิทธิของตน ทันทีที่ใช้สิทธิของตนนั้น  ก็จะได้สวมใส่พระสิริ สง่าราศีของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทันที ตั้งแต่ขณะนี้ บนโลกใบนี้เลย เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็ปกคลุมไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระคริสต์ คือตรีเอกานุภาพทันที โรม 1:15-16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ความสำคัญของข่าวประเสริฐนี้ …

        โรม 1:15-16 “15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            พูดง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ พระเยซูคริสต์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง  ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย พระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ผู้เชื่อแล้ว ข้าพเจ้า หมายถึงเปาโล ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย พระองค์กระตือรือร้นอย่างยิ่งเลย ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรม ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ พระเยซูไม่ละอายในข่าวประเสริฐเลย เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ไม่ใช่ให้ทุกคนที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ เอาใจพระเจ้า ทำพิธีกรรมต่างๆ ดี ไม่ใช่  เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ในข่าวดีนี้

            ข่าวดีนี้ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ ได้รับความรอด คนยิวก่อน และคนต่างชาติด้วย พูดง่ายๆ ว่าทั้งโลกเลย คนยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือคนทั้งโลกนี้ ได้รับความรอด ด้วยความเชื่อ เชื่อในข่าวประเสริฐ  … ข่าวประเสริฐ คือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังอยู่ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ ที่จะทำให้เขาได้บัพติศมาลงไปในพระคริสต์ ตรีเอกานุภาพ  ให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอด โดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ในการประกาศข่าวดี  และทุกคนที่พระองค์ทรงใช้ มาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว นอกจากเปาโลแล้ว มาถึงพวกเราทุกคน ที่เชื่อในพระองค์แล้ว ก็อยากที่จะประกาศข่าวดีนี้ กระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวดีนี้ คือมนุษย์สามารถที่จะรับฤทธิ์เดชอำนาจนี้  เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า รอดพ้นจากการพิพากษาให้พินาศ นิรันดร์ได้  โดยความเชื่อในข่าวดีนี้เท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำใดๆ ของตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม  หรือกระทำสิ่งใดๆ ก็ตามเพิ่มเติมอีกเลย ไม่มีเกี่ยวข้องเลย ต่อให้ท่านไม่ทำมหาสนิท ท่านก็ได้รับความรอดนี้ไปแล้ว ด้วยการเชื่อในข่าวดี ความรอด คือการเชื่อในข่าวดี จะลงน้ำบัพติศมาหรือไม่ลงน้ำบัพติศมาก็ไม่เกี่ยว จะถวายทรัพย์หรือไม่ถวายทรัพย์ก็ไม่เกี่ยว  จะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ก็ไม่เกี่ยว จะอะไรก็แล้วแต่ ทำทุกอย่างไม่เกี่ยวเลย

            แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วอีกไม่กี่วันเราจะลงน้ำบัพติศมา เราจะลงไปทำไม?” ถามในใจใช่ไหม? รู้

            นี่พูดให้เห็นความจริงเสียก่อน แล้วจะมาบอกถึงประโยชน์ จำได้ไหมที่ตะกี้บอกว่าพระวิญญาณก็จะนำเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้ความคิดใหม่กับเราว่าอะไรที่มันเป็นประโยชน์  แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวกับความรอดในทางวิญญาณ  ก็ตาม แต่ถ้ามันมีประโยชน์ ก็ทำ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องไปทำ เสียเวลาเปล่าๆ แล้วเป็นประโยชน์ไหมล่ะ? ผมก็พยายามที่จะคิดว่ามันมีประโยชน์อย่างไร? เรามาปรึกษากันดูสิ มีอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ไหม?

            ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น จากการบัพติศมาในน้ำ  ที่เราจะกระทำกันในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  เท่าที่คิดออกนะ คือ …

            –  เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว”

            –  ทำให้เกิดความมั่นใจ ในการจะติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่หมายถึงเราติดตาม อย่างที่หลายคนเข้าใจว่าต้องมาโบสถ์ ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่ติดตามอย่างนั้น ติดตาม หมายถึง “ฉันไปไหน? พระคริสต์ไปด้วย  ต่อให้ฉันบอกว่าพระองค์ไม่ต้องไป?” พระองค์อยู่ไหม? อยู่ คำว่า “ติดตาม” หมายถึงอย่างนี้ คือเมื่อรู้ความจริงแล้ว บัพติศมาในน้ำ จะเห็นชัดว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู” คือคำว่าตามพระเยซู หมายถึงว่าในวิญญาณติดกับพระเยซูไปแล้ว ฉันตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจครั้งเดียวเลย ตัดสินใจ ก่อนลงน้ำบัพติศมาอีก พระเยซูอยู่กับฉันแล้ว นี่ทำให้เกิดความมั่นใจ

            –  เป็นการหนุนใจพี่น้องคริสเตียนคนอื่นๆ ได้หนุนใจตัวเองด้วย  คือพี่น้องคนอื่นๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีด้วย เขาจะชื่นใจ ชื่นชมยินดีด้วย เพราะว่าในวิญญาณข้างในเกิดความปิติยินดี ที่มีคนๆ หนึ่งได้เกิดใหม่แล้ว  ไม่ใช่เกิดใหม่ ตอนพิธีลงน้ำบัพติศมานะ ได้เกิดใหม่แล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์ปิติยินดี  พระบิดาปิติยินดี  พระเยซูปิติยินดี  ทั้ง 3 พระภาคนี้สถิตอยู่กับคริสเตียนทุกคน คริสเตียนทุกคนก็เลยปิติยินดีไปด้วย ดีใจจังข่าวประเสริฐไปถึงคนๆ นี้แล้ว มันหนุนใจเขา  และหนุนใจตัวเอง ทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าเราได้เป็นหนึ่งในครอบครัวนี้

            –  ร่วมฉลองยินดีในวิญญาณ ฉลองร่วมกันในครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพเหมือนกัน เหมือนกับสังสรรค์กันในครอบครัว คนนี้ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวแล้ว จริงๆ เขาอยู่ในครอบครัวอยู่แล้ว เขาหลงหายไปเท่านั้นเอง ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าดีใจมากเลย  โอบกอดเขาเลย ไม่ฟังว่าเขาจะสารภาพบาป  จะขออภัยอย่างไร? ไม่ฟังแล้ว รักเต็มที่ ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่บ้านเต็มที่ พี่ๆ หลายๆ คน ก็แสดงความยินดี มันก็เกิดอะไรขึ้นบางอย่างในจิตวิญญาณ เกิดความชื่นชมยินดี ฉลองร่วมกัน

            –  และเป็นการสำแดง   การบังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ที่เป็นความรัก  แบบพระเจ้า ที่ปราศจากความกลัว ความรักนี้ ปราศจากความกลัว  คือตอนที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ยังไม่ทันลงน้ำบัพติศมาเลย เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น ทั้งวิญญาณและจิตใจ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นความรัก เราก็เป็นความรัก

            ในพระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นความรักแล้ว ข้างในวิญญาณของเรามันขจัดความกลัวออกไปหมดสิ้นเลย ไม่มีความกลัวอยู่ข้างใน แต่เนื่องจากเราเคยชินอยู่กับการดำเนินชีวิต แบบโปรแกรมความคิดเดิมยังอยู่ มันก็อาจจะเกิดความกลัว กลัวในโลกนี้  เพราะโลกเป็นศัตรูกับความจริงของพระเจ้า กลัวเขาจะรู้ กลัวเขาจะข่มเหง กลัวเขาจะหัวเราะเยาะ กลัวเขาหาว่าบ้า กลัวเขาหาว่าคนนี้งมงาย

            เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมาที่เห็นๆ ชัดๆ คือทำให้เราตัดสินใจชัดเจน ทะลุวิญญาณข้างในออกมา ก็คือความรัก  เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ธรรมชาติของความรักที่อยู่ภายใน ก็ออกมา ชนะ ทำลายความกลัวที่อยู่ในความคิดออกไป มันก็เป็นการสำแดงความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเรา ที่เป็นความรักนั้น ออกมา เป็นการเบรกทรู คือการหักแอกของความกลัว เดินหน้าทันที จากนี้ต่อไป ก็เป็นอิสระในความคิด ไม่อายใคร? กล้าที่จะอธิษฐาน กล้าที่จะเริ่ม กล้าที่จะมีคนถามบอกว่า …

            “เธอเป็นคริสเตียนเหรอ”

            “ใช่ครับ”

            ใหม่ๆ ก็บอกแบบเบาๆ แต่พอรับบัพติศมาในน้ำปุ๊บ กล้าพูดเสียงดังฟังชัดเลย  มันเป็นอย่างนี้ คือหักแอก แห่งความกลัว  เพราะโลกนี้พยายามต่อต้านเรา

            –  เป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ น้อยคนนะ ที่จะมีคนจัด Happy birthday ให้ “ไม่ต้องจัดหรอกๆ” น้อยคนที่จะพูดอย่างนี้ คนส่วนใหญ่จะบอกว่า “ไม่เห็นจัดให้ฉันบ้างเลย เมื่อไรจะถึงวันเกิดฉันสักที” ตั้งแต่เด็กๆ … เด็กๆ ทุกคนก็บอก รู้จักวันนี้ไหม? วันอะไร? เราก็ลืม  ก็วันเกิดหนูไง?  ให้ฉลอง

            มันเป็นการฉลองวันเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ประกาศว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน กับครอบครัวของพระเจ้า เรียกว่าพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว ทุกคนชื่นชมยินดี Happy Birthday มีความสุข กินข้าวกัน กินอาหารกัน นี่มันเป็นอย่างนั้น

            –  เป็นการประกาศว่าเราเป็นพี่น้องกันในทางวิญญาณ     อาศัยอยู่ในพระคริสต์เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา  และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั่นเอง คือเราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            คิดอย่างนี้ให้เห็นชัดเจนว่าเราจะมาฉลองอย่างนี้ ก่อนจะลงให้คิดอย่างนี้เลยว่า เราได้เป็นอย่างนี้แล้ว ที่เรากำลังจะลงน้ำบัพติศมา เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเฉยๆ ว่าขณะที่เราเตรียมตัว เราคิดว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ตามที่เรียนมาทั้งหมด  เสร็จแล้ว พอลงน้ำ เราเห็นภาพ เราเองว่าเราได้ตายกับพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกจุ่มลงไปในวิญญาณของพระคริสต์ นึกภาพ พอเราจุ่มลงไปปุ๊บ  เราได้ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์ตาย สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ตายด้วย เพราะฉะนั้น เราลงไปในน้ำ เราก็ตายด้วย  และเราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ขณะที่อยู่ในน้ำสักครู่หนึ่งนั้น ไม่ต้องนาน หายใจไม่ออก ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และอยู่ใต้น้ำ ก็คือเราอยู่ในอุโมงค์ ถูกฝังไว้ด้วย  เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เสร็จแล้ว หายใจไม่ออกแล้ว  เราก็ขึ้นจากน้ำ คือการเป็นขึ้น จากความตายของพระเยซูคริสต์ แล้วไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  เราก็อยู่ในพระคริสต์  ก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระคริสต์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เอเมน แค่นี้เอง

            คิดแค่นี้ ถ้าเรียนรู้เรื่องนี้ไป ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่านี่คือสัญลักษณ์ ขอบคุณพระเจ้า และผลดีอีกหลายๆ อย่างจะเกิดขึ้นมากมาย จากการทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้  เราคิดให้มันถูกต้อง  จะเกิดประโยชน์มากมาย เกิดกำลังใจ  และหลายๆ คนก็เกิดความรู้สึกดีๆ กับการกระทำพิธีลงน้ำบัพติศมานี้ ทำให้เกิดพี่น้องคนอื่นๆ ต่อๆ ไป เขาจะมาลงน้ำบัพติศมา คริสเตียนคนต่อไป  เราก็จะมาร่วมยินดี แสดงความยินดีกับเขาด้วย

            เพราะฉะนั้น ก็แสดงความยินดีกับพี่น้องที่จะบัพติศมาในน้ำ ในวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคมนี้  และใครที่ยังไม่ตัดสินใจ ก็ตัดสินใจซะ หรือใครที่เพิ่งมารู้ว่ามันมีประโยชน์อย่างนี้เอง จะลงใหม่ ก็ได้  หรือใครที่เพิ่งรู้ความจริงว่าลงน้ำบัพติศมา เพื่ออะไร?  สัญลักษณ์เท่านั้น  มีประโยชน์อย่างไร?  ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน  และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ลงน้ำบัพติศมาได้ทุกคน  มีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิของเขาในการเกิดใหม่ทางวิญญาณ  มาเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เพียงแค่ใช้ความเชื่อ ใช้สิทธิของท่านที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วมา 2,000 ปี บนไม้กางเขนทางฝ่ายวิญญาณ  ใช้สิทธิของท่านเท่านั้น  ทุกสิ่งก็เป็นของท่านอยู่แล้ว พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซู … “ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าถึงจะเข้าสวรรค์ได้”

            สาวก … “ใครจะไปทำได้ล่ะ?”

            พระเยซู … “ต้องตายแล้วเกิดใหม่งัย!”

            สาวก … “งงงงงงงง……..”

            มัทธิว 7:28-29 … “28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจ (งง) ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ (ในโลกวิญญาณ) ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”

            พระองค์ไม่ได้สอนเรื่องเกี่ยวกับการกินการอยู่ สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ได้มาสอนเรื่องศีลธรรม ทำดี ละชั่ว  เพราะพระองค์ มองดูในใจมนุษย์ที่ฟังอยู่นั้น พระเยซูกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณให้เขารู้ว่าวิญญาณข้างในของเขา ยังตายอยู่ในบาปชั่ว เขาไม่สามารถรับรู้เรื่องของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ได้เลย  แม้แต่นิดเดียว เขาต้องการฤทธิ์อำนาจ อัศจรรย์ ทำให้เขาบังเกิดใหม่

            เหมือนคนกำลังตายอยู่  เพราะหัวใจวายแล้ว  เราเอาหนังสือเกี่ยวกับการกินอาหาร   ที่ทำให้มีสุขภาพดี สำหรับหัวใจ เอาไปอ่านให้เขาฟัง แทนที่จะเอาเครื่องปั๊มหัวใจ ไปปั๊มให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน

            ไม่เหมือนพวกฟาริสี ที่สอนให้ประพฤติ ปฏิบัติตามตามองเห็น ตามกฎบัญญัติ  แต่พระเยซูกำลังบอกความจริงนิรันดร์ในโลกวิญญาณ   ให้พวกเขาได้รู้ ได้เห็น  แล้วพระวิญญาณจะเสด็จเข้ามา  ยืนยันให้กับพวกเขาในภายหลัง

            พระเยซูตรัสว่า … “จงวางใจในเรา แล้วท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศหลังความตาย”

            ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย จนกว่าท่านจะวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์  แล้วท่านก็จะตาย   แล้วได้บังเกิดใหม่เท่านั้น

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1433

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กันยายน  2023

เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาเรียนเรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ท่านเชื่อหรือไม่? เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเชื่อนะ  แต่เราลองคิดดูสิ มนุษย์เราเชื่อไหมว่านี่เรื่องจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “แล้ว” ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย แคลงใจ แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อะไรนะ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ก็หมายถึงมนุษยชาติตอนนี้ทั้งหมด ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพของพระเจ้าแล้ว ถึงถามว่าท่านรู้หรือไม่? เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว  เขาถึงใช้คำนี้ …

            “ท่านรู้หรือไม่?”

            และนี่คือภารกิจหลักของพระเยซูคริสต์คือการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ  ให้พร้อมเข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  แล้วทำไมเป็นภารกิจของพระเยซูคริสต์ที่ต้องกระทำบนโลกนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์กำลังอยู่ในที่ๆ ไม่ใช่ตรงนี้  คือไม่ได้เข้ากันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ไม่ได้เข้าอยู่ เรียกว่าตายจากพระเจ้าไป เริ่มต้นมนุษย์อยู่กับพระเจ้า  แต่ตอนนี้ มนุษย์ได้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า  เรียกว่าพินาศ  ตายในวิญญาณ  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขานั่นเอง  จึงเป็นภาระของพระเจ้าพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ แล้วความพินาศนี้ ส่งผลอย่างไร? ก็คือความตายในฝ่ายวิญญาณ  และถ้าไม่มีใครมาช่วย เกิดอะไรขึ้น ความตายฝ่ายวิญญาณนี้ ร่างกายสิ้นสุดลง ที่ร่างกายตาย  วิญญาณก็ไม่มีพระเจ้าอยู่ ก็ไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่มีร่างกายเรียกว่าวิญญาณพเนจร ไม่มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า และอยู่ถึงเมื่อไร? วิญญาณไม่มีการสูญสิ้น ก็อยู่ตลอดไป อยู่โดยไม่มีพระเจ้า และไม่มีร่างกาย ร่างกายลงไปสู่ดิน สูญสิ้นไปแล้ว วิญญาณเร่ร่อน พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์คือพระเมสิยาห์  หรือแปลว่าพระคริสต์ ภาษากรีก หรือแปลภาษาไทยว่าพระผู้ช่วยให้รอด

            รอดจากความพินาศที่ตะกี้นี้ผมบอก มันสำคัญมาก  มันอันตรายมาก มันน่าหวาดเสียว น่ากลัวมากๆ เลย สำหรับถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงวิญญาณ เกี่ยวกับความพินาศของมนุษย์ ถ้าไม่มีใครมาช่วย เป็นอย่างไร?  เรานึกว่าตายแล้ว สูญสิ้นกัน มันไม่ใช่  ถ้าตายแล้วสูญสิ้นกัน ไม่ยาก มนุษย์ต้องพยายามแสวงหาสวรรค์ เพราะมนุษย์รู้ลึกๆ ข้างในใจของตัวเองว่าตายแล้ว มันไม่สูญสิ้น  ตายแล้วมันต้องไปที่ไหนสักแห่ง  แล้วรู้ว่าไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะไปหาพระองค์ได้  พระเยซูจึงเป็นผู้ที่พระเจ้า ทรงกำหนดแต่งตั้งไว้ การแต่งตั้ง ถึงเรียกว่าพระคริสต์

            พระคริสต์ หมายถึงพระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลนี้ไว้  พระเมสิยาห์ แปลว่าพระคริสต์ พระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเอาไว้แต่งตั้ง กำหนดภารกิจหน้าที่นี้ไว้  เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ตามสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของมนุษย์ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่สมัยอดีต หลายยุคหลายสมัย หลายพันปีมาแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ประทานเด็กคนหนึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้นจากความพินาศ จากการถูกลงโทษ จากความบาป ความตายนี้แหละ คือเนื่องจากความพินาศนิรันดร์ให้มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เรากับพระเจ้า ตามหัวข้อเรื่องบอกไว้วันนี้ พระเยซูจึงมารับภาระตรงนี้ สำคัญมากอย่างเดียวเลย

            ในหนังสือโคโลสี 1:25-27 ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแผนการอันลึกลับ อันล้ำลึก ที่พระเจ้าวางไว้หลายๆ พันปี ตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง  ถูกหลอกให้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้าไป  ตกอยู่ในความพินาศ โคโลสี 1:25-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:25-27 “25 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร (ธรรมมิกชนผู้เชื่อ) ตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำในหมู่พวกท่าน (ชนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว) คือการให้พระวจนะของพระเจ้า (ข่าวดีของพระเยซูคริสต์) ประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ (จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์) ตลอดหลายยุค หลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมมิกชนของพระองค์แล้ว 27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่านเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)

            “ข้าพเจ้า” หมายถึงอัครทูตเปาโลที่เป็นคนยิว  ที่เคร่งศาสนายิว รู้จักบัญญัติยิวดี ศึกษา เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าที่สัญญาไว้  รู้เรื่องพระเมสิยาห์ดี  “ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร” คริสตจักร หมายถึงธรรมิกชน ผู้เชื่อทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำ ในหมู่พวกท่าน … “หมู่พวกท่าน” คืออาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตของพระเจ้า ที่พระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ใช้มาประกาศข่าวดีเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์ ให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งโลกเลย รวมถึงเราด้วย คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งโลกเลย คือการให้พระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าตรงนี้หมายถึงถ้อยคำของพระเจ้า ที่พูดถึงเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้ พระองค์คือพระมาซีฮาห์  มาบนโลกใบนี้อย่างไร? นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาให้กับมนุษย์ว่าเราจะส่งบุตรของเรามาช่วย เราจะส่งเด็กของเราคนหนึ่งมาเกิดในท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอด นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำ

            พระวจนะนี้ ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์อันนี้  เป็นข้อล้ำลึก เป็นเรื่องลี้ลับ มีแต่คนรู้ระแคะระคายว่าพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ๆ  แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร? จะมาเมื่อไร?  เป็นเด็กคนนี้ใช่หรือเปล่า? รอตั้งแต่เด็กคนแรกของโลก ตั้งแต่อาดัมกับเอวามีลูกคนแรก คือคาอินกับอาแบล แล้วก็รอ น่าจะใช่คนนี้ รอลูกชายที่จะเกิดมา แล้วก็รอกันมาตลอด ใช่ คนนี้แน่เลย  พอโมเสสเกิด สงสัยคนนี้แน่ ไม่ใช่ ตายแล้ว ก็ตายเลย ไม่เห็นเกิดใหม่ตามที่พระคัมภีร์สัญญาไว้ในสมัยโบราณ ที่เขาบอกกันมาว่าเด็กคนนี้จะมาช่วย  ก็ตายเหมือนกับเราทั้งหลาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? กษัตริย์ดาวิดมา มีความยิ่งใหญ่ สร้างอาณาจักรบนโลกใบนี้ สงสัยคนนี้แน่เลย ก็ไม่ใช่ ตายแล้วก็ตายเลย ไม่ได้บังเกิดใหม่ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด พระเมสิยาห์มาเกิด บางคนก็บอกใช่แน่ๆ ใช่จริงๆ บางคนก็บอกก็เหมือนกับที่แล้วๆ มา คนโน้นคนนี้มาเกิด แล้วก็ตาย แล้วอ้างว่าเป็นพระเมสิยาห์  ไม่ใช่หรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น พระวจนะ คือข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตมา อย่างที่บอก สงสัยจะคนนี้มั้ง โธ่เอ๋ย พระคัมภีร์บอกว่าแม้ทูตสวรรค์ยังไม่รู้เลยว่าเป็นคนไหน? เป็นอย่างไร? ยกเว้นว่าพระเจ้าจะบอกใบ้ให้ แค่นั้นเอง  เพราะเป็นความลับที่พระองค์ทรง เก็บซ่อนเอาไว้ ตลอดหลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่ธรรมิกชนของพระองค์แล้ว

            “บัดนี้” คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สำแดงแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่สัญญาไว้ว่าจะมาเกิด มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้มนุษย์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว พอเกิดจริงๆ แล้ว สำแดงออกมาแล้ว โดยตัวของพระองค์เองเลย คือโดยพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี และ 3 ปีหลังประกาศสิ่งนี้เลยว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ที่มวลมนุษยชาติได้รอคอย  มาแล้วจริงๆ  และได้สำแดงอัศจรรย์อีกหลายๆ อย่าง แล้วก็สอนเยอะแยะ หลายๆ อย่าง พระองค์เองมาเป็นผู้ประกาศตรงนี้แหละ สำแดงแก่ธรรมิกชน 2,000 ปีมาแล้ว

            พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ แห่งเกียรติสิริและความล้ำลึกของแผนการนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้น คืออะไร? พระเจ้าประสงค์ ก็คือพระเจ้าต้องการให้พวกเขา … พวกเขา คือชาวยิว ที่รู้ลึกซึ้งเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว เขาติดตามเรื่องนี้มาตลอด  ไม่เหมือนเราที่ไม่ใช่ชาวยิว  เราไม่รู้เรื่องเลย บรรพบุรุษของเรา  ที่เป็นชาวอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้เรื่องพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งเด็กมา  อาจจะได้ยินระแคะระคายแว่วๆ มา แต่ไม่ละเอียด เหมือนกับชาวยิวเขา พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ชาวยิวได้รู้ว่าอย่าคิดเองว่าฉันเลือก แต่เฉพาะชาวยิวเท่านั้น  ชาวยิวเขาไม่รู้เรื่อง อย่างที่บอก เป็นความล้ำลึก เป็นแผนการของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ว่าจะช่วยคนทั้งโลกเลย ไม่ใช่ช่วยเฉพาะชาวยิวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิด  สำแดงให้เลยว่าช่วยคนทั้งโลก คือชาวที่ไม่ใช่ยิวด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้

            เลือกมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ ก็คือความล้ำลึกในหมู่คนต่างชาติ  ก็คือแผนการอันล้ำลึกที่ถูกซ่อนไว้ในพระเจ้า ที่ไม่มีใครรู้เลย แผนการนี้ คือสำหรับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าคนต่างชาติ นั่นคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ท่านจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพูดถึงพระเจ้าพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศี บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราเข้าไปมีส่วนร่วมในพระสิริ ในพระเกียรติ ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

            นี่คือความหวังอันเลิศประเสริฐศรีของมนุษยชาติ ทั้งโลกเลย เมื่อใครก็ตามได้เข้ามาอยู่ในพรคริสต์ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเขาคนนั้นทันที เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่เขาจะได้รับเกียรติสิรินี้  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ เขาเชื่อในข่าวดีนี้ ทันทีทันใด  เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็มาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เริ่มต้นทันที  แล้วเขาก็จะเริ่มต้นชีวิตด้วยพระสิรินี้ไปกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ ไปจนกระทั่งถึงโลกหน้า หลังความตาย วิญญาณเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเขาจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายที่ต้องตาย  และสูญสิ้นไปนั้น  เขาจะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าสัญญาไว้  เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เต็มด้วยสง่าราศี สิริเหมือนพระเยซูคริสต์ และจะร่วมครอบครองอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นแทนที่โลกเดิมที่จะสูญสิ้นไป ชั่วนิรันดร์กับพระองค์ เอเมน

            พระเยซูคริสต์ ก็คือพระเมสิยาห์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมวลมนุษย์ที่เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานนั้น ได้พบได้เห็น  และพระองค์ได้เสด็จมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนี้  เรารู้แล้ว  และข้อสำคัญ ก็คือ 2,000 ปีก่อนนี้ ที่พระองค์เสด็จมา พระองค์ได้ทำการงานของพระบิดา ที่กำหนดไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น ก็คือการไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านรู้หรือไม่?  นี่คือถามมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ เรารู้แล้ว เราขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้จริงๆ เลย  เราจึงตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้

            ข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้  ได้ถูกเปิดเผยมา 2,000 ปีแล้ว  แผนการลับของพระเจ้า  ที่จะช่วยเหลือทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีบนโลกใบนี้เลย ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ได้นั้น  มันได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่วันแรกที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วแล้ว

            มนุษย์ทั้งปวง คนใดคนหนึ่ง ที่ได้ยินข่าวดีนี้ ตัดสินใจใช้สิทธิของตน เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จเข้ามา ทำขบวนการการบังเกิดใหม่ ในร่างกายในวิญญาณของเขา ทำให้เขาบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม แล้วพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค ก็จะเสด็จเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนั้นทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตาย แล้วค่อยพิสูจน์ ทันที เดี๋ยวนี้เลย ท่านก็จะเดินกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้า 3 พระภาค ไปด้วยกันบนโลกใบนี้ทันที และไม่ใช่โลกนี้อย่างเดียว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไปถึงโลกหน้านิรันดร์เลย เอเมน

            ดูตอนพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เป้าหมายของพระองค์ ก็คืออันนี้แหละ ที่พระองค์ทรงถูกพระเจ้าส่งมาทำ ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำให้สำเร็จนั้น ไม่กี่ชั่วโมง พระองค์อธิษฐานตรงนี้ ยอห์น 17:20 …

        ยอห์น 17:20  “แต่​ลูก​ไม่​ได้​อธิษฐาน​ให้​คน​พวกนี้​ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูก​ยัง​อธิษฐาน​ให้คน​ที่​จะ​เชื่อ​ใน​ตัว​ลูก ​โดย​ผ่าน​ทาง​คำประกาศของ​พวกเขา​ด้วย”

            “ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้”  คนพวกนี้ คือสาวก 12 คนที่เดินติดตามพระองค์ อัครสาวก 12 คน ตอนก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน “ลูกไม่ได้แค่อธิษฐานให้ 12 คนนี้เท่านั้น แต่ลูกยังอธิษฐานให้กับคนที่จะเชื่อในตัวลูก” ลูก คือพระเยซูคริสต์ คนที่จะเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ว่าใครจะเข้าสวรรค์ได้  ใครจะผ่านไปหาพระบิดาได้  มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องเชื่อและผ่านทางเราเท่านั้น  ไม่ใช่ความประพฤติ ไม่ใช่การกระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ไม่ใช่ วางใจในเราเท่านั้น  โดยผ่านทางคำประกาศ คำสอนของพวกเขา ก็คือข่าวดีที่ประกาศกันต่อๆ มานั่นเอง

            พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์คนใดก็ได้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  ประกาศกันมา 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกำลังบอก มนุษย์คนใด ก็ได้ที่เชื่อในข่าวดี ที่ได้ยิน เหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ในที่นี้ ก็ได้ยินข่าวดีนี้ แล้วก็เชื่อในข่าวดีนี้ เปิดใจต้อนรับสิทธิในข่าวดีนี้  เราก็ได้รับสิ่งนี้ สิ่งนี้ คือยอห์น 17:21 ข้อต่อมา …

        ยอห์น 17:21  “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด” เขาทั้งหมด คือพวกชาวยิว และพวกที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของชาวยิวมาถึง 2,000 ปีแล้ว คริสเตียนทั้งหลาย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว ขอให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็คือให้เขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระคริสต์ วิญญาณของเขา สะอาด บริสุทธิ์ อยู่ในพระคริสต์เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ยิว ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนจีน คนอเมริกัน หรือเอสกิโมอยู่ทางขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เมื่อเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์แล้ว รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเขาจะไปครอบครองอยู่ในสวรรค์ร่วมกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าร่วมกัน เป็นพี่น้องกันนั่นเอง

            “เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก” พระเจ้าพระบิดา อยู่ในพระเยซูคริสต์ และลูกอยู่ในพระองค์ ลูกก็อยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว  เห็นไหม? เราทั้งหลายผู้เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันกับพระเจ้ากับพระบุตร พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขา ขอให้ผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย

            พวกเรา ก็หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อย่างที่เราคุ้นหูกัน ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว พวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพ หมายถึงการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทันที บนโลกใบนี้เลย แล้วจะเป็นอย่างนี้ ไปจนถึงนิรันดร์ จึงใช้หัวข้อเรื่องนี้แหละ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ก็คือเวลาพระองค์จะพูด จะสอน จะประกาศ เป้าหมายเดียวของพระองค์ ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับตรีเอกานุภาพ ท่านจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา … “เรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์ นี่คือหัวกะทิสำคัญของข่าวดี ประกาศตั้งแต่พระเยซูประกาศเอง 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็ให้สาวกประกาศกันต่อๆ มา จนถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว

            เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่าพระองค์ประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยกคำอุปมา ตัวอย่าง ชี้ให้เห็นโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรับรู้และเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น ยังทำการงานนี้ไม่สำเร็จ ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มนุษย์ตกอยู่ในความตาย  ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว จึงไม่สามารถเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณได้ พระองค์จึงพยายามยกอุปมา ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ  เพื่อชี้ให้เห็นเป้าหมายเดียว คือการที่จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง  การเข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง  เหมือนคนอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้

            ไม่ว่าจะเป็นพิธีมหาสนิท ที่พระองค์ทรงกระทำก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่วันนี้เราจะทำร่วมกัน มหาสนิทก็เหมือนกัน ทำเพื่อให้เล็งเห็นถึงการเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในทางด้านวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบัพติศมาในนามของพระองค์ หรือเรื่องที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง เรื่องท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา

            ยกตัวอย่างว่าพระองค์เป็นลำต้นของเถาองุ่น ท่านเป็นกิ่งก้านที่อยู่ในต้นไม้อื่น ท่านจำเป็นต้องให้พระเจ้าถอนท่านจากต้นไม้อื่น มาเสียมเข้า มาต่อเข้ากับเถาองุ่นของพระองค์ ก็คือต้นองุ่นของพระองค์ แล้วท่านถึงจะเกิดผล เป็นความรอดนิรันดร์ จากความพินาศ  ถ้าท่านยังอยู่ในต้นเก่า คือต้นอาดัม ต้นแห่งความพินาศอยู่นั้น กิ่งก้านนั้น จะถูกตัดเอาไปเผาไฟ อย่างนี้เป็นต้น

            แล้วก็พูดถึงเรื่องอะไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเข้ามาอาศัยอยู่ เข้ามาต่อติดอยู่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เข้ามาต่อกับลำต้นของพระองค์ ก็คือวิญญาณของเราเล็กๆ เข้ามาต่อกับวิญญาณใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็คือลำต้น

            หรือแม้กระทั่งพระองค์ทรงยกตัวอย่าง  เรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อและดื่มเลือดของพระองค์  พระองค์พูดอย่างนี้ …

            “ท่านทั้งหลายต้องกินเนื้อของเรา และดื่มเลือดของเรา ท่านถึงจะมีส่วนเข้าสวรรค์”

            เข้าใจได้อย่างไร? ก็เหมือนมหาสนิทเลย กินขนมปัง ซึ่งเป็นร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น ซึ่งเล็งถึงโลหิตของเรา ให้เราดื่มเลือดของพระองค์ กินเนื้อของพระองค์ จะได้มีส่วนในสวรรค์ ก็หมายถึงการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือมนุษย์เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นภาพอุปมาของคำอธิษฐานในยอห์น บทที่ 17 ที่ตะกี้เราอ่าน  เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันเป็นไปตามที่พระองค์ทรงอธิบาย ยกอุปมาไว้นั่นแหละ  และทั้งหมดนี้ พระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน มา 2,000 ปีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

            “สำเร็จแล้ว” คำนี้สำคัญมากๆ  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ได้ประกาศที่ไม้กางเขน ลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ว่าภารกิจที่พระองค์ถูกกำหนดให้มาทำบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั้น ที่รอคอยกันมาเป็นเวลาพันๆ ปี ตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น บัดนี้ในอีก 1 นาทีข้างหน้านี้  ไม่ถึงเสี้ยววินาทีข้างหน้านี้  ทำสำเร็จแล้ว และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นั่นแหละ คือการกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

            ข่าวดี ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  ตรีเอกานุภาพนั้น ก็สำเร็จแล้วด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            “การได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพสำเร็จแล้ว”

            สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิวทั้งหลาย พระองค์จึงสั่งสาวกให้ออกไปประกาศข่าวดีนี้ว่ามันสำเร็จแล้ว ข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคน ให้มนุษย์ทุกคนได้รับทราบข่าวดี แล้วก็ตัดสินใจเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว ตัดสินใจเข้ามาเลย เป็นสิทธิ์ของคุณ ยอห์น 12:32 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”

            นี่คือพระเยซูประกาศตอนยังกระทำไม่สำเร็จ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี กำลังจะไปทำให้สำเร็จ อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน คือถูกตรึงบนกางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” ก็คือเราเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พันธุ์ใหม่ ที่จะตายบนไม้กางเขน  และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย  เราจะนำพามวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เข้ามาหาเรา  เข้ามาเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับเรา ก่อนจะเป็นขึ้นจากความตาย เข้ามาอยู่กับเรา เมื่อเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วตาย สิ้นพระชนม์ ท่านก็จะได้ตายไปกับเรา เราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ท่านก็จะได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับเรา  เมื่อเราถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ท่านก็จะได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้าเหมือนกับเรา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ หมายถึงเกิดขึ้นแล้วกับมนุษย์ทั้งโลก มนุษย์ทั้งโลกได้ถูกยกขึ้น ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยตัวแทน คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทั้งหลายได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว แล้วมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไปเรียบร้อย 2,000 ปีแล้ว “แล้ว” จึงสำคัญมาก มันสำเร็จแล้ว

            ฉะนั้น มนุษย์ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐ ถามว่าเขาได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง? ตอบ แล้ว  ถูกไหมครับ?

            ถ้าท่านไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างนี้ ให้เห็นชัดเลย การประกาศเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราช ประกาศที่กรุงเทพ ประกาศยกเลิกกฎหมายทาส ทั่วราชอาณาจักรไทย คนที่เป็นทาสทั่วราชอาณาจักรไทย ทันทีทันใด เมื่อประกาศ ปั๊บ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นไทหรือยัง?  เป็นอิสระแล้วหรือยัง? เห็นไหมครับ? แต่เขาใช้สิทธิของเขาหรือยัง?  อาจจะยังไม่ใช้ เพราะเขาไม่ได้ยินข่าวดีนี้ จากกรุงเทพยังไปไม่ถึง หรือเขาได้ยินข่าวดีนี้แล้ว แต่เขาไม่เอา เขาอยู่เป็นทาสต่อไปดีกว่า หรือไม่รู้สิทธิว่าเป็นไท แล้วมันดีอย่างไร? หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่เชื่อนั่นเอง เขาก็ไม่ใช้สิทธิของเขานั่นเอง

            เพราะฉะนั้น สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้วทันที เมื่อใช้สิทธิของเขา ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อก็ได้รับ ท่านไม่เชื่อ ท่านก็อยู่ที่เดิมของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านได้ถูกทำให้เป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว

            วันนี้เราก็จะมาทำสิ่งนี้แหละ ซึ่งพระเยซูบอกว่าพิธีมหาสนิทนี้ ให้เราทำอยู่เสมอๆ บ่อยๆ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมากระทำ ภารกิจของพระองค์ ที่ตะกี้เราเรียนรู้กันทั้งหมด ภารกิจของพระองค์ ก็คือมาทำให้มนุษย์พร้อมที่จะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือเข้าไปอยู่กับพระองค์ และพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา  และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ก็เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือเป้าหมาย เป็นภาพที่พระองค์ให้เราทำ  เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน

            เพราะฉะนั้น การทำพิธีมหาสนิท จึงเป็นการฉลองด้วยความยินดี รำลึกถึงการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่สำเร็จแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว  และเล็งถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  คือวิญญาณของมวลมนุษยชาติ  ได้สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้แล้ว เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นภาพที่เล็งให้เห็นถึงการเข้าส่วนร่วมในทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำนี้ ไม่ได้ทำเพื่อจะให้มันเกิดอะไรขึ้น แต่มาทำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว

            “เราไม่ได้ทำ เพื่อจะมีสิ่งอะไรเกิดขึ้น แต่เราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เอเมน”

            สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราในโลกวิญญาณ  แล้วมันเกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า นี่เป็นการเล็งให้เห็นถึงภาพ แปลว่าอย่างนี้ พูดง่ายๆ เหมือนกับการมาฉลองการเกิดใหม่

            ขนมปังที่เรากำลังจะกินอยู่นี้ เล็งถึงพระกายของพระองค์ นึกถึงพระกาย ก็คือร่างกายของพระเยซู และเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพระเยซู เพราะขนมปังที่เรากำลังถืออยู่ในมือนี้ เป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในก้อนใหญ่ๆ นึกภาพออกใช่ไหม? เราถือกันคนละชิ้นเล็กๆ ชิ้นเล็กๆ เหล่านี้มาจากก้อนใหญ่ๆ คือร่างกายของพระเยซู มันเล็งถึงตรงนั้น ก็หมายถึงว่าวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา ที่เราใช้สิทธิของเรา ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้วตอนนี้ วิญญาณของเราเข้าไปต่อติดอยู่กับวิญญาณใหญ่ๆ เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นชิ้นหนึ่งเล็กๆ ที่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แต่ชิ้นเล็กๆ จะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันกับก้อนใหญ่ ถึงจะเข้าอยู่กันได้ ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยแล้ว โดยการชำระ โดยการไถ่บาป  โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา เมื่อระลึกถึงอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ลืม ให้เรากินขนมปังพร้อมกัน

            น้ำองุ่นนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำองุ่นเล็งถึงเลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกว่าเลือดนี้ชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย ทำให้เราทั้งหลายสะอาด บริสุทธิ์ หนังสือฮีบรูบอกว่าเราได้ถูกชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งครั้งเดียว ก็ชำระเราพ้นจากบาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้น ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตนิรันดร์เลย เล็งให้เห็น หมายถึงว่าเลือดของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วนั้น นี่เป็นการเล็งให้เห็น ให้เราดื่มน้ำองุ่นนี้ ก็เล็งให้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป แม้กระทั่งบาปในอนาคตเรายังถูกลบล้างหมดสิ้นเลย ด้วยน้ำองุ่นนี้ ด้วยเลือดของพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์เลย ให้เราดื่มน้ำองุ่นพร้อมกัน

            พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็คือการตายและเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือการนำบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ในพระองค์ ดึงมนุษย์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่มนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินความจริงนี้ เรียกว่าข่าวดีนี้ เรื่องราวนี้ เรื่องของพระเยซูคริสต์นี้ที่กำลังกระทำบนไม้กางเขน  แล้วก็ยอมรับ เปิดใจ ใช้สิทธิของตนเอง ที่พระเยซูทรงกระทำให้ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ที่จะได้รับสิทธินี้ เพราะสิทธินี้ เป็นของท่านแล้ว 2,000 ปีแล้ว ท่านมาใช้สิทธิ์ ก็ใช้สิทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับตะกี้นี้ที่ผมบอกว่ารัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสแล้ว ท่านเลิกทาสเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสแล้ว ท่านไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม ท่านไม่ต้องไปจ่ายค่าสินไหมเพิ่มให้กับใครก็ตามที่จะมาเรียกร้องกับท่าน ท่านไม่ต้องจ่ายอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องไปถูบ้าน เช็ดบ้านให้กับเขาอีก ก่อนที่จะเป็นอิสระ อีก 5 วันถึงจะเลิกได้ ถึงจะเป็นอิสระได้ ท่านสามารถเดินออกจากบ้านเขาได้ทันทีเลย ตามกฎหมายที่ได้ประกาศแล้วใช่หรือไม่?

            เช่นเดียวกัน ในทางวิญญาณที่พระเยซูปลดปล่อยให้เราเป็นอิสรภาพแล้ว เช่นเดียวกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ท่านควรทำ คือเดินออกจากการเป็นทาสออกมา แล้วก็ไชโยโห่ฮิ้ว แล้วขอบคุณพระปิยะมหาราช กฎหมายใหม่นั้น ขอบคุณในกฎหมายเลิกทาส แล้วก็ฮาเลลูยา แล้วก็เอ็นจอย ชีวิต ชื่นชมยินดีกับชีวิตใหม่ เรียกว่าชีวิตที่เป็นอิสรภาพแล้ว ไม่ต้องไปมองข้างหลังแล้วว่า …

            “ฉันต้องทำอันโน้นอันนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตื่นมาต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ทำตามสั่ง มีเจ้านายรออยู่ ไม่ใช่ ฉันเป็นอิสระแล้ว”

            แล้วก็เรียนรู้ว่าอิสรภาพนั้น เขาอยู่กันอย่างไร? เพราะเราไม่เคยอยู่มาก่อน เราเป็นทาสเขามาตลอด อยู่ในที่มืดตลอด อยู่ที่กักขังมาตลอด อยู่ในบ้านมืดๆ ทำงานเช้าเย็น เป็นหนูถีบจักรมาตลอดเลย ทำดี ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันทำดีได้มากกว่าเดิมอีก ทำอย่างไร? เรียนรู้จากการทำ โดยมีพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ในตัวฉัน เป็นผู้นำพาฉันเดินทางไปทุกวัน ทุกคืน ทุกแห่ง ทุกหน ไม่ใช่เป็นอิสระอย่างเดียว แต่เป็นอิสระ โดยมีพระเจ้านำทางอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสิ่งที่เราควรรำลึกถึง ในขณะที่เราทำมหาสนิท

            เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มานั่งนึกถึงว่าเราทำอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี นึกถึงอดีตกันหมด  ไม่ว่าเราทำอะไรในอดีต ทั้งหมดเลย เมื่อสักครู่นี้  หรือจะไปคิดถึงอนาคตว่าเราอาจจะทำ มันได้ถูกยกเลิกหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยขนมปังที่เรากินนั้น และน้ำองุ่นที่เราดื่มนั้น  เราจะได้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้เรา จะได้ไม่เสียเปล่า พระเยซูคริสต์กำชับเราเรื่องนี้ ให้เรารำลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่ระลึกถึงตัวเองว่าเราไปทำอะไรมา  และชีวิตมอบให้พระเยซูซะเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในอดีต เขาทำกันตามบ้าน เขาไม่ได้ทำตามคริสตจักรอย่างนี้ ในอดีต ตอนสมัยเริ่มต้น 2,000 ปีที่แล้ว คริสตจักรจัดกันตามบ้าน การทำมหาสนิท คืออาหารมื้อหนึ่งจริงๆ เลี้ยง

เหมือนเราจะไปกินข้าวเที่ยงร่วมกัน คล้ายๆ อย่างนั้น เขาทำเพื่ออะไร? เพื่อฉลอง เหมือนมีงานปาร์ตี้ ปาร์ตี้อะไร? ปาร์ตี้ได้เกิดใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ไชโยโห่ฮิ้ว จบด้วยเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู สรรเสริญพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน ท่านรู้หรือไม่ว่า … “ท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริงอยู่แล้ว

ท่านไม่ต้องแสวงหาแล้ว ท่านพบแล้ว”

            ยอห์น 4:23-24 … “พระเยซูพูดกับคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนยังไม่ได้บังเกิดใหม่ว่า … 23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว  และบัดนี้ก็ถึงแล้ว  คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง  จะนมัสการพระบิดา  ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้น  นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ  และผู้ที่นมัสการพระองค์  ต้องนมัสการด้วยวิญญาณ  และความจริง”

            คำว่า “นมัสการ”  หมายถึงยอมจำนน  ถ่อมใจ  มอบชีวิต  เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข  เหมือนดังทาส   อาการที่แสดงออก คือเห็นด้วยกันกับความจริงคือถ้อยคำพระเจ้า  ที่ได้บอกเรา  คือเราพูดตามถ้อยคำพระเจ้า  หรือเมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า  เราเห็นด้วย  และกล่าวว่าเอเมนอย่างไม่มีเงื่อนไข   ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม  เช่น…

– จงวางใจในพระบุตร แล้วจะได้รับชีวิตนิรันดร์บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์บอกว่า …

“เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  เป็นลูกของพระองค์  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว”

            ในวิญญาณเราก็บอกว่าเอเมน  คือเห็นด้วย ใช่  จริง  แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ  จับต้องมองไม่เห็นก็ตาม   และเราก็แสดงออกในการเห็นด้วยนี้  ด้วยการพูดตามถ้อยคำของพระเจ้า  ที่เป็นความจริงนี้คิดตามถ้อยคำนี้ 

– ร้องเพลงนมัสการขอบคุณตามถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงนี้ 

– อธิฐานในวิญญาณขอบคุณ  พูด ให้คนอื่นฟังถึงอัศจรรย์  ที่เราได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงประทานให้นี้ 

– ปฏิบัติตัวด้วยความประพฤติ  ที่เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำนี้ คือประพฤติตัว  สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

            มนุษย์เราไม่สามารถเป็นข้า (ทาส) สองเจ้า  บ่าวสองนายได้  ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง …

1. บูชานมัสการตัวเอง  ตามระบบของโลก  ที่มองเห็นจับต้องได้ (ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง)

2. บูชานมัสการพระเจ้า  ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์  ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น (ต้องพึ่งการกระทำของพระเยซูเท่านั้น)

            ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อวางใจและพึ่งพาพระองค์เท่านั้น เช่น …

– พระเจ้าบอกว่า  “เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าได้ย้ายเรา  จากวิญญาณเก่าที่อยู่ภายใต้ความบาป  และความตาย  มาสู่วิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”

แล้วในวิญญาณเราก็จะบอกว่าอาเมน แม้ความคิดและความรู้สึกจะไม่เข้าใจ

– พระเจ้าย้ายเรา  จากความมืด  มาสู่ความสว่างแห่งพระบุตรของพระเจ้าแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเราจากคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเรา  จากการเป็นทาสของมาร  มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเรา  จากความตาย  มาสู่ชีวิตแล้วอาเมน

– พระเจ้าบอกว่า  “ในขณะนี้  ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  ในโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เราสะอาด  บริสุทธิ์หมดจดแล้ว  เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราเป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว  อาเมน”

            พระเจ้าพูดอย่างไร  เราก็อาเมนตามนั้น  แม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม  แต่เราสามารถเชื่อตามที่พระเจ้าบอกด้วยความเต็มใจ  โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะวิญญาณของเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า เป็นธรรมชาติใหม่ในวิญญาณของเรา

            นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้า  ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ … ไม่มีใคร หรือมนุษย์ผู้ใดสามารถนมัสการพระเจ้าได้อย่างนี้ เพราะว่าเป็นคนบาป วิญญาณตายจากพระเจ้า นอกจากการได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ผ่านทางความจริง คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1432

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กันยายน  2023

เรื่อง “การบัพติศมาในน้ำกับการบัพติศมาในวิญญาณ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            ใครบ้างที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น?

            ใครที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา ยกมือขึ้น?

            ใครที่ได้รับบัพติศมาในวิญญาณบ้าง ยกมือขึ้น?

            นี่คือสาเหตุที่จะมาพูดในวันนี้  คนที่ไม่ได้ยกมือตะกี้นี้ ที่บอกว่าใครบ้างที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา ยกมือขึ้น? นั่นแหละ คือหัวข้อเรื่องบรรยายในวันนี้แหละ เดี๋ยวก็จะรู้ทำไมถึงถามอย่างนี้  หัวข้อเรื่อง ก็คือ “การบัพติศมาในน้ำกับการบัพติศมาในวิญญาณ” ซึ่งไม่เหมือนกัน

            เห็นไหม เราคุ้นๆ กัน พอพูดถึงบัพติศมาปุ๊บ ทุกคนคิดถึงน้ำหรือวิญญาณ? น้ำ ไม่มีใครคิดถึงวิญญาณเลย  แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์มีความหมาย 2 อัน คำว่า “บัพติศมา” นี้  มีทั้งในน้ำ และในวิญญาณ  และอะไรสำคัญกว่า และวันนี้จะรู้

            ถ้าถามผู้เชื่อ คริสเตียนทั่วๆ ไปว่า … “ท่านเคยได้รับบัพติศมาในน้ำหรือยัง?”

            คำตอบที่คุ้นๆ กัน ก็คือ … “อ๋อ! ฉันลงน้ำแล้ว”

            ถูกไหม?  “บัพติศมาหรือยัง? หรือว่าลงน้ำหรือยัง?” ส่วนใหญ่ก็จะตอบอย่างมั่นใจว่า “รับแล้ว” “ลงแล้ว” แต่ถามว่า “ท่านเคยรับบัพติศมาในพระวิญญาณหรือยัง?” คนที่เป็นคริสเตียนมา 10 ปี 20 ปี บางทีไม่กล้ายกมือ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสเตียนที่มาเชื่อใหม่ เชื่อไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว หรือเพิ่งเชื่อเมื่อ 3 วันที่แล้ว  ไม่กล้ายกมือว่าบัพติศมาในวิญญาณแล้ว  ไม่มั่นใจนั่นเอง ไม่รู้ความจริง ถูกไหม? แม้กระทั่งถามเดี๋ยวนี้ว่าท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว มั่นใจว่าตัวเองเป็น คริสเตียนแล้ว ลงน้ำแล้ว อยากถามว่าท่านบัพติศมาในพระวิญญาณแล้วหรือยัง?  ท่านก็งงๆ นิดๆ  ไม่กล้าตอบ ถูกไหมครับ?

            ถ้าถามตอนนี้ล่ะ  … “ท่านบัพติศมาในพระวิญญาณแล้วหรือยัง? ใครบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น?”

            เห็นไหม? ยกมือหมดเลย  เพราะมั่นใจแล้วว่าแน่นอนเลย วันนี้แหละ จะพาไปตระเวนดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ชัดๆ อีกทีหนึ่ง

            เรื่องการบัพติศมา คริสเตียนบางคนยังมีความเข้าใจกันอยู่ คือไปเข้าใจว่าการบัพติศมานี้ หมายถึงการบัพติศมาลงน้ำ คือการเปิดใจต้อนรับพระเยซู การรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือการลงน้ำ บัพติศมา เราจะมาเรียนรู้ความหมายที่ถูกต้อง คำตอบที่ถูกต้องจากพระคัมภีร์  เพราะว่าในพระคัมภีร์ พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน  อย่างที่เคยบอกถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย จะเล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น  จะเป็นภาพของโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าพยายามที่จะอธิบายให้เราพอเข้าใจได้ในเรื่องโลกวิญญาณ  เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน  ก็คือเรื่องบัพติศมาในน้ำ  ก็ต้องเล็งถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            อย่างแรกเลย เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า … “จริงๆ แล้วการบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้คนใดคนหนึ่งรอดจากบาปเลย”  เพราะหลายท่านเคยได้ยินมา เคยเชื่อมา เคยรับรู้มาว่าเป็นการช่วยให้เรารอด  ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เราจะไปขุดคุ้ยความจริงกัน การบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยคนใดคนหนึ่งรอดเลย การบัพติศมาในวิญญาณเท่านั้น ที่ช่วยให้รอด

            บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป  แค่นั้นเอง  พอใช้คำว่า “บัพติศมา” เราไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง เราก็รู้สึกฟังดูแล้ว มันศักดิ์สิทธิ์  บัพติศมา ต้องทำเป็นพิธีกรรมทางศาสนา  เราก็เลยให้ความสำคัญชัดเจนกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า ที่เรากำลังจะเรียนรู้

            ดังนั้น บัพติศมา ก็คือการใส่ลงไป  การจุ่มลงไป เท่านั้นเอง  ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามองเห็น วัตถุบนโลกใบนี้  ซึ่งจะเล็งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั่นเอง

            พูดง่ายๆ ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป  ก็เหมือนกับเราจุ่มหรือใส่กระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู เพื่อทำกระเทียมดอง  เพราะฉะนั้น ใครจะทำกระเทียมดอง ต้องบัพติศมากระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู ท่านจะเริ่มเข้าใจขึ้นแล้ว  เริ่มรู้สึกคุ้นเคย  และรู้สึกธรรมดาแล้วว่าบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คิด ชัดเจนเลย

            แล้วคราวนี้ถามว่า … “ถ้าเผื่อมันไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้น  มาช่วยเราให้รอด  แล้วเราจะบัพติศมาในน้ำไปทำไม?”

            วันนี้เดี๋ยวจะได้รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร?

            บัพติศมา เรารู้แล้วใช่ไหมว่าแปลว่าจุ่มลงให้มิด ใส่ลงไป  เหมือนทำกระเทียมดอง  ท่านจะได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้ พอบัพติศมาปุ๊บ สบายใจ  แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป ตามตามองเห็น แต่พระคัมภีร์ถ้าทำอย่างนี้ เล็งถึงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณจริงๆ เราเริ่มต้นด้วยหนังสือ 1 โครินธ์ 1:13  ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ การลงน้ำ การใส่เข้าไปในน้ำ เราจะเรียนรู้ก่อนว่าทัศนคติ หรือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนี้ มันหมายถึงอะไร?  มันสำคัญแค่ไหน? การบัพติศมาในน้ำของผู้เชื่อ ซึ่งผู้ที่จะอธิบายได้ดี ก็คืออัครทูตเปาโล ที่ถูกเรียกมา เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวต่างชาติต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับการบัพติศมาลงน้ำมาก่อน แล้วเข้าใจผิด เหมือนเราทั้งหลายที่ตอนนี้ บางท่านเข้าใจผิดว่าบัพติศมานั้น ช่วยให้เขารอดจากการเป็นคนบาป  ดูสิว่าอาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร? …

        1 โครินธ์ 1:13 “พระคริสต์ถูกแบ่งแยกแล้วหรือ? เปาโลถูกตรึงตายบนไม้กางเขน เพื่อพวกท่านหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาเข้าในนามเปาโลหรือ?”

            ข้อความนี้เปาโลกำลังพูดกับคริสเตียนที่เชื่อ โดยผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐของเปาโล เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร? รู้สึกว่าเปาโลมีความรู้สึกหงุดหงิดกับชาวโครินธ์ ผู้เชื่อใหม่ ที่ไม่เข้าใจเรื่องบัพติศมาในน้ำ ที่ทะเลาะกัน อวดกัน ถึงเรื่องเกี่ยวกับการรับบัพติศมาในน้ำ  โดยผ่านทางใคร? ซึ่งทำอย่างนั้น เป็นการพูดง่ายๆ ว่ายกย่องตามตาที่มองเห็นว่า …

            “ใครเป็นคนทำพิธีลงน้ำให้ฉัน? นี่ ฉันลงน้ำ โดยคนนี้ๆ”

            ยกย่องมนุษย์คนที่ทำพิธีลงน้ำให้เรามากกว่ายกย่องพระเยซูคริสต์ …

        1 โครินธ์ 1:14-16  “14 ขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาเข้าในนามของข้าพเจ้า 16 (ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีก)”

            เราจะเห็นชัดเจนเลยว่ามนุษย์ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็นข้างนอกมาก  ไม่คำนึงถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกมนุษย์ตัดสินกันที่ภายนอก  เพราะมันเห็น แต่พระองค์ทรงตัดสินที่ภายใน ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเท่านั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น เปาโลพูดอย่างไร? …

            “ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน ให้บัพติศมา ก็คือทำพิธีบัพติศมาในน้ำให้กับใครเลย ยกเว้นคริสปัทกับกายอัส ยกเว้น 2 คนเอง”

            ข้อ 15 ชัดเจนมาก  … จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาในนามของข้าพเจ้า คือที่ข้าพเจ้าไม่ทำ ก็เพราะรู้เลยว่าจะเอาไปอวดอ้างกันใช่ไหม? ก็เลยไม่ทำบัพติศมาในน้ำให้ใครเลย นอกจาก 2 คนนี้  แล้วก็พูดไปบ่นไป … พวกท่านคิดอย่างนี้ เคยสอนแล้วนะ โลกวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร? ท่านเชื่อและรอดด้วยวิธีใด บัพติศมาในพระวิญญาณแปลว่าอะไร?  แต่ท่านมานั่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นโลกวัตถุ แอบอ้างกัน จนทะเลาะ วิวาทกัน แบ่งเป็นกลุ่มเป็นก้อนว่า …

            “ฉันได้รับบัพติศมา โดยเปโตรนะครับ สายตรง จากอิสราเอลเลย”

            “ฉันได้รับบัพติศมาจากอปอลโล สายไม่ตรงนะ  ไม่ใช่อัครทูตแรกๆ”

            “หรือฉันไม่ได้รับบัพติศมา โดยผ่านทางเปาโลเป็นคนทำ”

            เปาโลเลยบอก นึกขึ้นมาได้อีกคนหนึ่ง คือคนในครอบครัวสเทฟานัส มีอีกคนหนึ่ง เป็น 3 คน

            เรื่องราวอาจจะเกิดขึ้นจากคริสปัสกับกายอัส หรือสเทฟานัส 3 คนนี้อาจจะไปอวด อาจจะนะ ไม่ได้พูดถึง สมมติ หรือไม่ก็อาจจะมีคนพูดก็ได้ …

            “3 คนนี้ยอดเยี่ยมเลย เป็นคริสเตียนชั้นพิเศษ เพราะได้รับบัพติศมา จากอัครทูตเปาโล โดยตรงเลย คนนี้ ได้จากติตัส  ได้จากทีมงานของเปาโลเท่านั้น”

            “นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีกเลย”

            ไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีกเลย? แล้วพระเจ้าเรียกเปาโลมาทำอะไร? ฟังในข้อ 17 จะรู้ชัดเจนเลยว่า ที่ผมบอกว่าบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้ช่วยคนให้รอด แต่บัพติศมาในพระวิญญาณช่วยให้รอด ทางโลกวิญญาณช่วยให้รอด …

        1 โครินธ์ 1:17   “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคายตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา” พูดง่ายๆ ว่าในน้ำ  ในบริบทกำลังพูดถึงบัพติศมาในน้ำ  ที่คนเอาไปโอ้อวดกันว่าใครให้ใคร ใครใหญ่กว่าใคร บัพติศมาในน้ำของเปโตร หรือเปาโล ตรงนี้ที่กำลังพูดถึง

            เปาโลบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งข้าพเจ้าให้มาบัพติศมาในน้ำ  แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ คือไม่ใช่ด้วยสติปัญญา ความรู้แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ  ไม้กางเขนของพระคริสต์ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ที่ช่วยคนให้รอดนั้น เปาโลพูดไว้ในหนังสือโรม บทที่ 1 ว่าข่าวประเสริฐ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจทางฝ่ายวิญญาณที่ช่วยคนให้รอด ผู้เชื่อแล้วได้รับความรอด มันหมายถึงอย่างนั้น

            พระเจ้าส่งให้ข้าพเจ้ามาประกาศข่าวประเสริฐ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เขาจะได้รับความรอด  ไม่ใช่รอดโดยการลงน้ำ  นี่พระคริสต์ส่งข้าพเจ้ามาทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ รอดด้วยความเชื่อ ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือเชื่อ ในการถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ชัดเจนเลยนะ

            มาดูอัครทูตเปโตรก็พูดเรื่องนี้ชัดเจนเหมือนกัน 1 เปโตร 3:21 …

        1 เปโตร 3:21 “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอด โดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            “และบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ” เห็นชัดแล้วนะ บัพติศมาในน้ำ พอนึกภาพออกนะ  เราลงไปในน้ำ แล้วขึ้นมา  นั่นแหละ บัพติศมาในน้ำ  เล็งให้เห็นภาพ ในโลกวิญญาณ  ก็คือการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณของเรา คราวนี้เรามาเห็นความจริง เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไปว่าภาพนี้ ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร?

            ซึ่งการลงน้ำ บัพติศมานี้ เป็นเพียงแค่ขจัดความสกปรกทางฝ่ายร่างกายภายนอก คือยกตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นการชำระ แค่ภายนอก แต่มันเป็นภาพของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ  ได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อของท่าน เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ  หัวใจของข่าวประเสริฐ  ของข่าวดีของพระเยซู ก็คือการตาย การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

            การบัพติศมาในน้ำ ในภาพของวิญญาณ ก็คือการตาย การถูกฝัง และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้เรารอด จากการเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น ท่านรอด ไม่ใช่ด้วยการประพฤติภายนอก แต่เป็นความเชื่อภายใน ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่นั่นเอง ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้

            ซึ่งวัตถุประสงค์ในการลงน้ำ  คือรูปแบบการแสดงว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เชื่อว่า … วางใจว่า … พระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราวางใจในพระองค์ เราเข้าร่วมขบวนการ การตาย การถูกฝัง  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ได้รับการบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เราจึงไปบัพติศมาในน้ำ  เพื่อประกาศว่าเรานั้น เชื่อในโลกวิญญาณ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก่อนลงน้ำ

            จะพูดช้าๆ ให้ชัดๆ ก็คือการประกาศความเชื่อ  ที่ได้ทำไปแล้ว ก็คือได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ จากการวางใจในข่าวดี แล้วมีความยินดี  แล้วคนรอบข้างที่เป็นคริสเตียนเหมือนกัน ที่ได้เชื่อก่อนหน้านี้ เขาดีใจกับเราไหม?  เขาก็ดีใจกับเราด้วย ยินดีกับเราด้วย ที่เราได้รับเชื่อแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เขาก็เลย มาร่วมกับเรา ฉลองความยินดี การบังเกิดใหม่ การได้รับความรอดนั้น นี่คือวัตถุประสงค์ของการลงน้ำ  หรือการบัพติศมาในน้ำ  และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการขอบคุณพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกได้รับเรียบร้อยแล้ว ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  ลูกได้รับการบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว

            แสดงว่าอะไรมาก่อน บัพติศมาในพระวิญญาณก่อนแล้ว เกิดใหม่แล้ว นี่มาฉลองวันเกิด วัตถุประสงค์ คือมาฉลองวันเกิด

            เวลาเราฉลองวันเกิด เราเกิดแล้วหรือยัง? Happy Birthday To You แปลว่าเกิดแล้ว  เห็นหรือยัง? นั่นแหละ ถ้าพูดอย่างนี้จะชัดเจน นี่คือวัตถุประสงค์ของการลงน้ำ บัพติศมา คือฉลองวันเกิดในฝ่ายวิญญาณว่าเราได้บังเกิดแล้ว  เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ทั้ง 3 พระภาคแล้ว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เอเมน นี่คือเหตุผล

            ดูข้อพระคัมภีร์นี้อีกข้อหนึ่ง ที่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเขาทำกันตั้งแต่สมัย 2,000 ปีก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาก็รู้กันอย่างนี้ว่าการบัพติศมา ในพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำให้เราบังเกิดใหม่นั้น มันต้องมาก่อน  มันต้องเกิดก่อน ถึงจะช่วยให้เขารอด การบัพติศมาในน้ำ เป็นแค่การแสดงการยินดี ขอบคุณแบบมนุษย์เท่านั้นเอง

            กิจการ 10:44-48 ตอนที่อัครทูตเปโตรออกไปประกาศข่าวดี ที่พระวิญญาณทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ตอนแรกๆ เลย ตอนเริ่มต้น เขาจึงเรียกกิจการของอัครทูต ก็คือกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่กระทำผ่านทางอัครทูต ตอนเริ่มต้นประกาศข่าวดีใหม่ๆ ในยุคแรกเลย …

        กิจการ 10:44-48 “44 ขณะเปโตรยังกล่าวถ้อยคำเหล่านี้อยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งปวงที่ได้ยินเรื่องราวนี้ 45 เหล่าผู้เชื่อที่เข้าสุหนัตแล้ว ซึ่งมากับเปโตรพากันประหลาดใจที่พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา เป็นของประทานแก่คนต่างชาติด้วย 46 เพราะพวกเขาได้ยินคนเหล่านั้น พูดภาษาแปลกๆ และสรรเสริญพระเจ้า แล้วเปโตรกล่าวว่า 47 “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ไม่ให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ? พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราแล้ว” 48 ดังนั้น เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านั้น รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ จากนั้นพวกเขาเชิญเปโตรให้พักอยู่ด้วยสองสามวัน”

            “ขณะที่เปโตรยังกล่าวถ้อยคำพระเจ้าอยู่นี้” คือประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ  ซึ่งก่อนหน้านี้พระเจ้าทำการอัศจรรย์  พระวิญญาณทำการอัศจรรย์อย่างมาก  ให้ชาวต่างชาติได้เชื่อในข่าวดีนี้ ก่อนแล้วว่าพระองค์ทำการอัศจรรย์นี้ รวมทั้งเปโตร ก็ได้รับการอัศจรรย์ ท่านไปอ่านดูนะในกิจการ บทที่ 10 นี้ ยาวเลย อัศจรรย์ใหญ่มาก ก่อนหน้านี้ ก่อนที่เปโตรจะมาประกาศข่าวดีนี้ อัศจรรย์เหล่านั้น เตรียมให้คนฟังและคนประกาศ เต็มไปด้วยความเชื่อ เปโตรประกาศด้วยความเชื่อ คนรับ ก็รับข่าวดีนี้ด้วยความเชื่อ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ก็ได้รับการอัศจรรย์จากพระเจ้า เตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น พอคนทั้งปวงได้ยินเรื่องเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งปวงที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา พอเขาเต็มไปด้วยความเชื่อ เต็มไปด้วยความวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาเปิดใจเต็มที่ พอเปิดใจเต็มที่ใครเข้ามา พระเยซูคริสต์บอกเราเคาะที่ประตูแล้ว พอเขาเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้าไปในวิญญาณของเขา เรียกว่าบัพติศมาเขาในพระวิญญาณของพระคริสต์ พระวิญญาณของพระเจ้านั่นเอง

            เหล่าผู้เชื่อที่เข้าสุหนัต ก็คือพวกชาวยิวที่มาเป็นทีมงานของเปโตร … เปโตรประกาศ ทีมงานเป็นชาวยิวไปด้วย เห็นพระวิญญาณบัพติศมาพวกเขา เหมือนกับที่บัพติศมาชาวยิว กลุ่มแรกเลย กลุ่มแรกตอนที่พระเยซูให้ไปรอที่ห้องชั้นบน 120 คน ลักษณะเดียวกันเลย ก็คือบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เขาทั้งหลาย พอได้รับบัพติศมาปุ๊บ พระวิญญาณนำให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับทุกๆ คน ไม่จำเป็นเลยนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในขณะนั้น  ต้องการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคแรก ในเริ่มต้น เป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของเรา

            เรื่องของเราได้ทุกคน  ก็คือใครก็ได้เปิดใจต้อนรับความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้ามาทำสิ่งนี้เลย  คือเข้ามาบัพติศมาเขาในพระวิญญาณ เข้าไปในพระเยซูคริสต์เลย แล้วอะไรเกิดขึ้น? พอพระวิญญาณเข้าไปทำการอัศจรรย์ เขาเหล่านั้น พูด ในนี้บอกว่าเหล่าผู้ที่เชื่อ เข้าสุหนัตแล้ว ซึ่งมากับเปโตร พากันประหลาดใจที่พระเจ้าเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา เป็นของประทานแก่คนต่างชาติด้วย

            คนต่างชาติ ในสายตาของยิว ก็คือคนที่มีมลทิน คนชั้น 2 คนที่พระเจ้าไม่เอาแล้ว เขาแปลกใจมาก เพราะแปลกใจกว่านั้น ก็คือเป็นการอัศจรรย์ เพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ให้กับพวกเขาชาวยิวว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า นี่คือของจริง ก็คือเพราะพวกเขาได้ยินคนเหล่านั้น พูดภาษาอื่นๆ ก็คือภาษาของคนต่างชาติอื่นๆ ภาษาต่างประเทศอื่นๆ นั่นเอง

            ถ้าเป็นปัจจุบัน เขาได้ยินพวกนั้น สรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาอื่นๆ ที่เขาไม่รู้จัก ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นคนไทย ที่เราไม่รู้จัก เขาสรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาโรมัน ด้วยภาษาลาติน ด้วยภาษาเอธิโอเปีย เราไม่รู้เรื่องเลย ถูกไหมครับ? แต่ปรากฏว่าอันนี้เขาพูดภาษาไทยด้วย  เราเป็นคนไทย เราฟังออก เขาพูดภาษายิว  เขาเป็นชาวต่างประเทศ ไม่รู้จักภาษายิว แต่เขาพูดภาษายิว คนยิวตกใจ อ้าว! ทำไมพูดภาษายิวได้ นึกออกใช่ไหม? คนยิวเหล่านี้ ก็เป็นพยานยืนยันให้เขาได้เห็นชัดว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นวิธีการของพระเจ้า โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำ เป็นพิเศษในขณะนั้น ในสิ่งที่เราเรียนรู้ในวันนี้ ก็คือข้อสุดท้าย ที่บอกในข้อ 47 เปโตรก็บอกว่า …

            “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ ไม่ให้บัพติศมาในน้ำได้”

            ข้อห้ามของการลงน้ำ บัพติศมาในน้ำ ก่อนที่จะมีข่าวประเสริฐ ก็คือไม่ใช่ของชาวยิว  เป็นของชาวต่างชาติ กว่าจะลงได้ที ต้องคัดมากมายเลยว่าคนจะมาเข้ารีตหรือไม่ ถึงจะลงน้ำได้

            นี่พูดถึงก่อนที่จะมีข่าวประเสริฐ แต่พอมีข่าวประเสริฐแล้ว ไม่ใช่แล้ว การลงน้ำ บัพติศมา คือการเล็งถึงการบังเกิดใหม่  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

            “ใครจะห้ามคนเหล่านี้  ไม่ให้รับบัพติศมาในน้ำ  พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นเดียวกันกับเราแล้ว  ดังนั้น เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านี้รับบัพติศมาในนามของพระเยซูคริสต์”

            ก็คือจากนั้นแล้ว เปโตรก็บอกว่าโอเค เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ บัพติศมาในน้ำได้  พอนึกภาพออกไหมครับ

            แต่จริงๆ แล้วตรงนี้ ตั้งใจจะเน้นให้แค่นี้ว่าเขาบัพติศมาในพระวิญญาณก่อน แล้วลงน้ำทีหลัง  เพราะฉะนั้น อะไรที่ช่วยให้เขารอด  คือบัพติศมาในพระวิญญาณ

            คราวนี้เรามาดูบัพติศมาในโลกของวิญญาณบ้าง?  ตะกี้นี้เรื่องของโลกวัตถุ ลงน้ำ ในโลกฝ่ายวิญญาณ การบัพติศมาในวิญญาณ เกี่ยวข้องกับการที่ตะกี้นี้บอก ก็คือการตาย  การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย  การบังเกิดใหม่ทางวิญญาณนั่นเอง

            ถามว่า … “เกิดใหม่ได้อย่างไร ทางวิญญาณ?”

            ก็ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการตาย การฝังไว้ในอุโมงค์  และการเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระเยซูคริสต์ บัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อตะกี้เราอ่าน เราชัดเจนเลยนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำสิ่งนี้  ง่ายๆ ชัดๆ นำเราเข้าสู่เตียงผ่าตัด เพื่อจะนำวิญญาณของเรา เข้าไปสู่ความตาย  เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            เราจะอ่านที่โรม บทที่ 6 ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ใหม่ที่ชัดเจนมากในเรื่องเกี่ยวกับการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เทียบกันกับการบัพติศมาในน้ำที่เราเพิ่งจะเรียนรู้กันมาเมื่อสักครู่นี้ว่าการบัพติศมาในน้ำ เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร? ในโรม บทที่ 6 นี้ ชัดเจนเลย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เรา ผู้เป็นคริสเตียนใหม่ๆ ไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ที่ตอนแรกๆ ที่ผมถาม “ใครรับบัพติศมาแล้วให้ยกมือขึ้น” อะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่เรายังไม่เข้าใจเรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณ เราคงชัดเจน เข้าใจแค่บัพติศมาในน้ำเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือโลกวิญญาณที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ เปาโลต้องการให้เรารับรู้ และอธิบายอย่างชัดเจนมากๆ ให้กับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนผู้เชื่อใหม่ ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านควรจะรู้มากๆ เลย โดยเริ่มต้นด้วยคำว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือ?”

            “ท่าน” ในที่นี้ คือใคร?  ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียนที่รับเชื่อแล้ว ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ไหม? ก็ต้องจำเป็นแล้วล่ะ  ถ้าขึ้นคำนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่า?” ท่านมัวแต่ไปเถียงกัน ไปให้ความสำคัญ ไปโอ้อวดกัน ไปฝากชีวิตไว้กับการบัพติศมาในน้ำว่าพิธีนั้นต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ต้องทำอย่างไร? ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น  ไม่อย่างนั้น ท่านจะไม่ได้รับความรอดนะ ท่านมัวแต่ไปเถียงกันเรื่องวัตถุสิ่งของที่มองเห็นได้ ซึ่งมันเป็นภาพ เล็งให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณมากกว่า ท่านควรจะมาดู ฟัง เข้าใจถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าตรงนั้น มันทำ แค่เป็นลักษณะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อท่านได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ  ท่านเป็นใครในพระคริสต์ ท่านเกิดอะไรขึ้น

            คำว่า “ตาย” คำว่า “ถูกฝัง” คำว่า “ลงไปในน้ำ แล้วเป็นขึ้นจากความตายขึ้นมาเหนือน้ำนั้น” มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของท่านบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของท่าน  นี่คือความจริง

            เราเริ่มทีละข้อเลยนะ โรม 6:3-6 …

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็คือคริสเตียน ก็ได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น”

            นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ในขณะที่คนใดคนหนึ่งเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ทันทีทันใดนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  เหมือนกิจการ บทที่ 10 ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์รออยู่แล้ว พระเยซูรออยู่แล้ว พระวิญญาณของพระคริสต์รออยู่แล้ว  เคาะประตูอยู่แล้ว  ท่านเปิดใจเชื่อในข่าวดีนี้  ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปสถิตทันที ผ่าตัดวิญญาณท่าน อันดับแรก คือนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขนทันที ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นอย่างนี้ …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            บัพติศมาที่กำลังพูดนี้ คือบัพติศมาในวิญญาณ ตอนแรกเราพูดกันไปแล้ว เรื่องลงน้ำ ทะเลาะกันเรียบร้อยแล้ว เปาโลไปเคลียร์กันเรื่องทะเลาะกัน ในเรื่องลงน้ำ บัพติศมา ตอนนี้กำลังพูดถึงบัพติศมาในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตายในฝ่ายวิญญาณนั้น เพื่อเราเองจะได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิรของพระบิดา”

            ก็คือเมื่อผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปสู่พระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในลักษณะอย่างไร?  ได้รับอะไร เราก็ได้รับอย่างนั้นด้วย

            อันดับแรก พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไม้กางเขน เราก็อยู่ที่ไม้กางเขนด้วย  พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เราก็ตายด้วย พระเยซูถูกนำไปฝังไว้ที่อุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  วันที่ 3 ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์ กลับคืนสู่พระองค์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง  โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้าไปชุบพระเยซู ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามหาศาลมาก ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ประทานสิทธิอำนาจที่เรียกว่าเกียรติและสิริของพระองค์อันยิ่งใหญ่มหาศาลมากมาย เป็นผู้สำเร็จราชการ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  ในวันที่ 3 นั้น พระเจ้าได้กระทำสิ่งนี้ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่  ที่อยู่เหนือทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ที่ได้รับจากพระเจ้า  พระองค์ก็แบ่งปันให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อและได้อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระองค์ด้วย ที่ได้ตายไปพร้อมกับพระองค์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย ในสวรรคสถาน ในวิญญาณ ก็คือภาพของโลกวัตถุที่มองเห็นได้ คือการบัพติศมาในน้ำ เมื่อเราลงไปในน้ำเมื่อไร?  ก็คือเราได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มเราลงไป ผ่าตัดเราลงไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณ หรือวิญญาณของพระคริสต์ ลงไปในน้ำ ก็คือลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เมื่อลงไปในน้ำ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ปุ๊บ ตาย ถูกฝัง และพระคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ก็คือเราขึ้นจากน้ำมาเมื่อไร? เราก็ประกาศชัยชนะว่าเราเป็นขึ้นจากความตายแล้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถานแล้ว เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราขอบคุณพระเจ้า เอเมน  แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าเราได้รับตอนนั้นนะ เราได้รับตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว …

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            อันนี้ชัดเจนเลย … “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย” มีส่วนร่วมด้วยวิธีการบัพติศมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีส่วนร่วม จำได้ไหมที่ตะกี้ ผมพูดในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับเรื่องบัพติศมาในวิญญาณ เหมือนกระเทียม เมื่อลงไปในน้ำส้มสายชู มันก็กลายเป็นกระเทียมดอง เราคนบาป ลงไปในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เหมือนกัน

            แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากความตายด้วย ตายพร้อมพระองค์ และก็เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ การเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าการบังเกิดใหม่  ขึ้นจากน้ำมา ก็เล็งให้เห็นภาพการเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  ที่เราได้รับก่อนหน้านี้แล้ว …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น ตัวเก่าของเรา ที่บัพติศมาอยู่ในอาดัม ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป อยู่ในอาณาจักรของความมืด  ความตายนั้น  มันได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว  เราถึงได้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  อยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า เห็นชัดเจนเลยนะ

            ตัวเก่าตาย โดยการถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วที่ไม้กางเขน  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัด จะได้ตายไปซะ ตัวเก่าของเราตายไปแล้วนะ เพื่อเราจะไม่ได้เป็นทาสบาปอีกต่อไป  เพื่อเราจะไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  เราได้ตาย และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว นี่เรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ท่านตายแล้วหรือยัง? คริสเตียนตายแล้วหรือยัง? ตายแล้ว แต่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ในโคโลสี 2:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

            ท่านถูกฝังไว้กับพระเยซูคริสต์ ในพิธีบัพติศมาในวิญญาณ เพราะให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน เห็นไหมครับ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ  วางใจในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า  เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมพระเยซูคริสต์นั่นเอง ชัดเจนเลย  พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง ไม่ใช่ลงน้ำ

            คือมันเป็นอย่างนี้ เราสามารถเป็นขึ้นจากความตายได้ด้วยวิธีการเปิดใจ เปิดใจด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีอธิษฐาน … อธิษฐานด้วยวิธีใด? ด้วยวิธียอมรับในความจริง ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศข่าวดีให้กับเรา ผ่านทางใครก็ไม่รู้ ข่าวดีมาถึงเราเรื่องพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เปิดใจยอมรับเท่านั้นเอง พอยอมรับแล้ว อะไรเกิดขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทำการผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่  การได้รับชีวิตใหม่ในพระองค์นั่นเอง เข้ามาสู่ขบวนการการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ายเราจากที่อยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์ก็อยู่ในตรีเอกานุภาพ เราก็ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา  และเราก็อยู่กับ 3 พระภาคนี้  เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือความหมายของการบัพติศมาในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น อีกไม่กี่วันนี้ เราจะมีพิธีรับบัพติศมาในน้ำ ท่านพอจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แล้วนะ เราจะมาฉลองกัน ร่วมกันแสดงความยินดีกับพี่น้องของเราที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ที่ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถานแล้ว ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว  เขาลงน้ำไปด้วยวิญญาณทั้ง 4 วิญญาณเลย  แต่ร่างกายเดียว ร่างกายท่านลงไปในน้ำจริง  แต่ลงไปด้วย 4 วิญญาณ คือวิญญาณของตัวท่านเอง 1 แล้ววิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ 4 วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน  ท่านลงไป ท่านจงรู้เถิดว่าท่านกำลังจะฉลองสิ่งนี้  พระเยซูคริสต์บอกใครที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ เชื่อในข่าวดีของพระองค์ พระองค์จะเข้าไปอยู่ในเขา  และเขาจะมาอยู่ในพระองค์ และพระองค์อยู่ในตรีเอกานุภาพ  ก็คือพูดง่ายๆ ว่าตรีเอกานุภาพก็อยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นเมื่อไร?  เมื่อตอนเปิดใจต้อนรับ เมื่อยอมรับข่าวประเสริฐ เมื่อตอนเรียกว่าอธิษฐาน …

            “พระเจ้าลูกต้องการความช่วยเหลือแล้ว ลูกได้ยินข่าวประเสริฐมาตั้งนานแล้ว  ลูกเปิดใจ ช่วยลูกด้วยเถิด ย้ายลูกมาอยู่ในพระคริสต์ (คล้ายๆ อย่างนั้น) ลูกไม่เอาแล้ว ลูกไม่อยากอยู่ในอาดัมแล้ว  จุ่มลูกลงไปในพระคริสต์ จุ่มลูกลงไปตายพร้อมกับพระคริสต์ เพื่อจะได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระคริสต์ เพื่อว่าวิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ จะได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุดเลย  เพราะพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ด้วยทั้ง 3 พระภาค พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ผู้นั้นได้สะอาด  หมดจด บริสุทธิ์ ชำระตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ได้เกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะเป็นที่อยู่อาศัย เป็นบ้านของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระบุตร และพระวิญญาณ  เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั่นแหละ และวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ เราก็ต้องดีใจ ดีใจมากๆ เลย  และไม่ใช่ท่านดีใจอย่างเดียว  อย่างที่บอก พวกเราทั้งหลาย ก็ดีใจ ทั้งคริสตจักรของพระเจ้า โบสถ์ของพระเจ้า พี่น้องที่อยู่ข้างๆ  ก็ดีใจด้วย  ก็เลยจัดงานฉลองกัน ก็เลยเกิดพิธีมหาสนิท เป็นการระลึกถึงพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว

            แต่เข้ามาฉลองในพิธีบัพติศมาในน้ำ แต่เราก็อย่าไปติดยึดจนกระทั่งบัพติศมาในน้ำเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการบัพติศในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวนี้จะทำให้ข่าวประเสริฐไขว้เขวไป กาลาเทีย 3:26-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกด้วยว่า …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่าน ด้วยพระคริสต์”

            พูดง่ายๆ ว่าเราจึงดีใจ จึงมาฉลองกัน  ทำบัพติศมาในน้ำ  เพราะว่าท่านได้เข้ามาเป็นหนึ่งในพวกเรา เป็นครอบครัวร่วมกันในโลกฝ่ายวิญญาณ  เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ในวิญญาณเราเป็นพี่น้องกัน และเป็นพี่น้องกันไปตลอดชาติหน้าด้วย ตลอดนิรันดร์เลย

            “ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าในวิญญาณนั่นเอง โดยความเชื่อในพระคริสต์ เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            ได้คลุมกาย ก็คือพระเจ้าที่บอกว่าได้อยู่ในพระคริสต์ 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน ก็คือคลุมทั้งกาย ทั้งวิญญาณของท่าน  ท่านไปที่ไหน 4 วิญญาณอยู่กับท่าน และ 4 วิญญาณนี้ ครอบคลุมร่างกายที่เรามองเห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเดิมนี้  แต่เป็นสิริและเกียรติของพระเยซูคริสต์ หรือพระคริสต์ พระเจ้า 3 พระภาคคลุมอยู่ตลอดเวลา

            “ผู้ใดรับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์” ก็คือผู้ที่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องในน้ำ  ในน้ำ เป็นการฉลอง บัพติศมาในทางวิญญาณ ก็คือท่านได้ถูกใส่ลงไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เป็นกระเทียมดอง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว เมื่อเป็นกระเทียมดองแล้ว  สามารถทำให้มันกลับไปเป็นกระเทียมสด ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้ นั่นแหละ ภาพในวิญญาณของท่านได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ กับตรีเอกานุภาพแล้ว  ไม่มีใครสามารถทำให้ท่านเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ นอกจากอยู่ใน 3 พระภาคนั้น  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดไป ถ้าพูดภาษาตลกๆ ก็คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า  ที่พระเจ้าทำให้ท่านเป็นอย่างนี้ตลอดไป ยินดีเลยครับ  ท่านบริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด สมควรอยู่ในสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์อย่างนี้ ตลอดไป  ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว …

        1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน  ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก  เป็นทาสหรือเป็นไท  และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            เพราะเราทั้งหมด ก็ได้รับบัพติศมาฝ่ายวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันนั่นเอง เรารู้แล้วว่าคำว่า “บัพติศมา” นี้ ตรงไหนต้องใส่อะไร? ตอนแรกๆ ตอนที่เปาโลพูดใน 1 โครินธ์ บัพติศมานั้น ในน้ำ แต่ตอนนี้ พวกเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาในวิญญาณ โดยพระวิญญาณเดียวกัน  เข้าเป็นกายเดียวกัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลประกาศ และอัครทูตประกาศมาจนถึงทุกวันนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับท่านในโลกฝ่ายวิญญาณ  แทนที่ท่านจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความเสียหายของโลกใบนี้  ความสาปแช่งบนโลกใบนี้  เหตุอะไรที่เกิดขึ้น ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตายแล้วจะไปไหน?  ตายแล้วจะต้องถูกการพิพากษา สู่ความพินาศนิรันดร์ ท่านไม่มีความหวังอะไรเลย  แม้อยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีความหวัง ไม่แน่นอน หลังความตาย ก็ไม่มีความหวัง ไม่แน่นอนเหมือนกัน ทำไมท่านจะปล่อยให้ชีวิตอยู่อย่างนั้น ในเมื่อพระเยซูเคาะอยู่ที่หัวใจท่านตลอดเวลา เปิดใจแค่นั้นเอง แล้วเราจะเข้าไป ทำอะไร? เราจะเข้าไปผ่าตัดวิญญาณของท่าน  นำท่านมาบังเกิดใหม่ ร่วมกับเรา  มานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  และเราทั้ง 3 พระภาค คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ จะเข้าไปอยู่กับท่าน จนถึงนิรันดร์ ช่วยท่านตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ นำพาท่าน ช่วยท่านทุกอย่าง จนกระทั่งหลังจากความตายแล้ว ยังเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับท่าน  และนำท่านต่อไป สู่สวรรคสถานของพระเจ้านิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            จงวางใจในเรา แล้วท่านจะได้อยู่ในสวรรค์ อย่าพึ่งการกระทำตามกฎบัญญัติ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์

            มัทธิว 5:17-18 …  “17 อย่า​คิด​ว่า​เรา​มา​เพื่อ​ล้มล้าง​กฎ​บัญญัติ​ หรือ​คำ​สั่งสอน​ของ​ผู้เผย​เผยพระวจนะ  (คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า) เรา​มิได้​มา​เพื่อ​ล้มล้าง​สิ่ง​เหล่า​นั้น แต่​เพื่อ​เป็น​ไป​ตามที่​บันทึก​ไว้​ใน​พระ​คัมภีร์  18 เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่าตราบ​ที่​สวรรค์​และ​โลก​คง​อยู่ แม้แต่​ตัว​หนังสือ​เล็ก​สุด​หรือ​จุดๆ หนึ่ง​ จะ​ไม่​ถูก​ตัด​ออก​ไป​จาก​กฎ​บัญญัติ จนกว่า​ทุก​สิ่ง​ที่​บันทึก​ไว้​จะ​สัมฤทธิผล”

            พระเยซูคริสต์ประกาศความจริงในโลกวิญญาณ ว่าอย่าคิดว่าเรามา เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ หรือให้ความสำคัญกับบทบัญญัติน้อยลง แต่เรามาเพื่อย้ำยืนยัน ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ และให้ความสำคัญที่สุดกับบทบัญญัติ คือท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติให้มากที่สุด เท่าที่พยายามทำได้นั้น ก็เพียงพอแล้ว เป็นการทำให้พระเจ้าพึงพอใจแล้ว ที่จะนับท่านเป็นผู้ชอบธรรม

            แต่เราบอกความจริงว่าถ้าท่านพึ่งพากำลังของตนเอง ในการประพฤติตามกฎบัญญัติ เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น ท่านต้องรักษาบทบัญญัติประพฤติตามทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ท่านคิดเองว่าเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ต้องรักษาให้ได้ครบถ้วน 100% ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัตินั้น ถึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า และรับท่านเป็นผู้ชอบธรรมได้ ซึ่งโดยความเป็นจริงนั้น  ไม่มีมนุษย์คนใด ที่จะสามารถทำได้เลย ไม่มีมนุษย์ผู้ใด ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่มีมนุษย์ผู้ใด ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว

            พระเจ้าส่งเรามา เพื่อช่วย และชี้ให้ท่านเห็นถึงความจริงนี้ เพื่อท่านจะได้ถ่อมใจลง ไม่พึ่งพาความชอบธรรมที่มาจากการประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติต่างๆ ของตน แต่กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาเรา วางใจในเราว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน เพื่อพระเจ้าจะพอใจรับและนับท่านเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในเรา นี่แหละเรียกว่าโดยพระคุณ

            กาลาเทีย 3:10-11 … “10 ด้วย​ว่า​ทุก​คน​ที่​พึ่ง​การ​ประพฤติ​ตาม​กฎ​บัญญัติ​ก็​ถูก​แช่ง​สาป เพราะ​มี​บันทึก​ไว้​ว่า  “ทุก​คน​ที่​ไม่​ทำ​ตาม​ทุก​ข้อ​ที่​เขียน​ไว้​ ใน​หมวด​กฎ​บัญญัติ​ต่อ​ไป​เรื่อยๆ ก็​ถูก​แช่งสาป” 11 เป็น​ที่​เห็น​ชัด​แล้ว​ว่าต่อ​หน้า​พระ​เจ้า​แล้ว​ ไม่​มี​ใคร​พ้น​จาก​ความ​ผิด​ได้​โดย​กฎ​บัญญัติ เพราะ​ว่า “ผู้​ชอบธรรม​จะ​มี​ชีวิต​ได้​โดย​ความ​เชื่อ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1431

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คริสเตียน! ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพอยู่ภายในร่างกายของท่านแล้ว”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            ใครเป็นคริสเตียนแล้วยกมือขึ้น?  ทั้งหมดเป็นคริสเตียนแล้ว คริสเตียนมีอีกชื่อหนึ่ง ชื่อว่าผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “ผู้เชื่อ” มากกว่าคำว่า “คริสเตียน” หาคำคริสเตียนไม่เจอเลยนะ  แต่ผู้เชื่อ เต็มไปหมด เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่าผู้เชื่อ ให้นึกถึงปัจจุบัน เรียกคริสเตียน … คริสเตียน ก็คือผู้เชื่อ เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ นี่คือความหมายสั้นๆ ของคำว่าคริสเตียน

            วันนี้หัวข้อเรื่อง ผมตั้งชื่อว่า “คริสเตียน ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพอยู่ภายในร่างกายของท่านแล้ว”

            จากซีรี่ย์ที่เพิ่งจบไป  คือ “คำอธิษฐานมัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” นี่คือซีรี่ย์ครั้งที่แล้ว 7 ตอนที่ผ่านมา เราได้รับคำตอบชัดเจนแล้วว่าพระเยซูไม่ได้กำลังสอนให้เราทำตาม แต่กำลังชี้ให้เห็นทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามนุษย์ไม่มีทางที่จะทำได้ ตามคำอธิษฐานนี้หรอก เพราะฉะนั้น มีเพียงหนทางเดียว ที่จะนำพามนุษย์ทั้งหลายไปสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ก็คือต้องพึ่งและวางใจในพระองค์ คือพระเมซิยาห์ คือพระคริสต์เท่านั้น

            ครั้งที่แล้วตอนจบ เราได้เรียนรู้คำอธิษฐานที่แท้จริงของพระเยซูในยอห์น บทที่ 17 ซึ่งพระองค์ได้ทูลขอต่อพระบิดา ให้คุ้มครองบรรดาผู้เชื่อในพระองค์ ให้ได้รับการบังเกิดใหม่ ให้ได้รับการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ให้บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระองค์ ไปอยู่กับพระองค์ พระองค์อธิษฐานก่อนที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

            เรามาทบทวนนิดหนึ่ง ยอห์น 17:21 หัวข้อเรื่องที่สำคัญ ความหมายสำคัญ รวบรวมสรุปจากการบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว …

        ยอห์น 17:21 “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดา อยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย

            “พวกเขา” ก็คือบรรดาผู้เชื่อ คริสเตียน “พวกเรา” ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งรวมเรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดา ในยอห์น บทที่ 17 นี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะทำภารกิจในการไถ่มนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น จากความบาปและความตาย จากความพินาศในความบาป โดยการหลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 และพระเยซูได้ทำภารกิจตามเป้าหมายนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว  และก็มีมนุษย์จำนวนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาสู่ความจริงนี้ คือเข้ามาอาศัยอยู่ในพวกเรา  ก็คืออาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้จริงๆ 2,000 ปีมาแล้ว เยอะแยะไปหมดเลย

            คำว่า “พวกเขาอยู่ในพวกเรา” สำเร็จและเพิ่มพูนจำนวนขึ้นเรื่อยๆ มา 2,000 ปีแล้ว พวกเรา ก็คือที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่บอกเป็นคริสเตียนแล้ว  เป็นผู้เชื่อแล้ว  ก็คือเราได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้แล้ว เอเมน  ตามที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศ และได้อธิษฐานในยอห์น บทที่ 17 นี้ ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้ มาถึงเดี๋ยวนี้  ที่กำลังพูดอยู่นี้ เกือบ 2,000 ปีแล้วนะ  แล้วมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่มนุษย์คนหนึ่ง  ที่เรียกว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อนั้น จะเข้าไปอาศัยอยู่ในพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าเฉยๆ แต่พระเจ้า ตรีเอกานุภาพเลย ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้มีพระนามว่าพระเจ้าองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด คือไม่มีชื่อเลย  เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นผู้ตั้งชื่ออะไรต่างๆ  แล้วจะไปตั้งชื่อผู้สร้างตัวเขาเองได้อย่างไร? ไม่มีทาง พระองค์มีอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง  แต่ก่อน แต่ไรแล้ว  เพราะฉะนั้น เรื่องนี้มันน่าคิดนะว่าถ้าไม่เป็นจริง แล้วจะลากความจริงนี้ มาถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร 2,000 ปีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ก็เลยอยากจะถามพี่น้องที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อว่าท่านคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ลองไตร่ตรองเรื่องนี้ดูดีไหม ที่พูดนี้ด้วยความรักและห่วงใยนะ ลองคิดดูไหมว่า คริสเตียน หรือผู้เชื่อ ทำไมรักษาความเชื่อ รักษาการเป็นคริสเตียนนี้ มาต่อเนื่อง ถึงทุกวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว มากขึ้นทุกวันๆ ทั่วโลก เป็นไปตามคำอธิษฐานของพระเยซูเลย ลองคิดดู ฝากไว้ด้วยนะครับ ซึ่งทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำภารกิจนี้ รวมเรียกว่าข่าวดี ที่พระองค์มาประกาศ คือมาประกาศข่าวดี … ข่าวดี คือไม่ใช่ข่าวร้าย ข่าวดี ก็คือมนุษย์สามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ง่ายๆ อย่างนี้เอง ถึงเรียกว่าข่าวดี

            ข่าวดี พระองค์ทรงประกาศมาแล้ว 2,000 ปี ถ้าเผื่อข่าวดีนี้ไม่จริง แล้วมันจะส่งต่อมาถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร? ลองคิดดู ข่าวดี มีเงื่อนไข เพียงอย่างเดียวที่มนุษย์ต้องทำ ที่จะได้รับสิทธิทั้งหมดที่พระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน สิ่งเดียว นั่นคือมนุษย์คนใดก็ตามเมื่อได้ยินข่าวดีนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำ ก็คือ เชื่อและวางใจในถ้อยคำ การประกาศข่าวดีที่มาถึงท่าน มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ง่ายนิดเดียว อย่างนี้จริงๆ นี่คือข่าวดี ถ้ายากเย็นเข็ญใจ กว่าจะเข้าสวรรค์ได้ มาเชื่อพระเยซูต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้  มันไม่ใช่ข่าวดีแล้ว  มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา รู้ว่าจะไปสวรรค์ทีหนึ่ง ต้องทำอันนั้นอันนี้ ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ตายไปแล้ว ก็กลับมาทำใหม่อีก ต้องเกิดใหม่อีกไม่รู้กี่ชาติ นี่คือธรรมดาของความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่ข่าวแปลก แต่ข่าวดี คือไม่ต้องทำอะไรเลย จริงหรือ? ก็จริงนะสิ นี่คือข่าวดี

            พระเยซูประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทุกคนมา 2,000 ปีแล้วว่าทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ อันยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ง่ายๆ อย่างนี้ คือเพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในการทำงานของพระองค์ บนไม้กางเขนที่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์  และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แค่นี้เอง เชื่อและวางใจในพระองค์ แค่นี้เอง ก็ได้รับแล้ว พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว มันง่ายจนเกินไป สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไปที่คิดตามประสาคนที่อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  กฎของการกระทำ ซึ่งปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ ทำให้ถูกอิทธิพลของกฎของการกระทำ คือคิดไม่ออกว่าได้มาฟรีๆ ได้มาอย่างไร? ต้องทำดี ถึงจะได้ดีสิ นี่แค่เชื่อ แล้วได้ดีได้อย่างไร? พระเยซูจึงบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของความคิดของมนุษย์ทั่วไป  พระองค์จึงบอกว่าทางของพระองค์ จึงเป็นทางแคบ ทางง่ายๆ มันแคบ เพราะมันง่ายเกิน  เพราะมนุษย์ตกอยู่ในความยุ่งยาก ลำบากในการค้นหาทางที่จะไปสวรรค์ ยากเย็นเข็ญใจ พอข่าวดีมาถึงว่าง่ายๆ อย่างนี้ ไม่เชื่อหรอก เพราะว่ามันง่ายไป ใช่ไหม? พระเยซูพูดไว้ก่อนล่วงหน้า เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าข่าวดีนี้ประกาศไป มันจะเป็นอย่างนี้  มันจะเป็นทางแคบ  เพราะว่ามันง่ายเกิน

            เพราะฉะนั้น ท่านจะอาศัยอยู่ในโลกนี้  อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  อยู่ในความมืด วิญญาณของท่านโดดเดี่ยว ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย บนโลกใบนี้  การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ตัวคนเดียว วิญญาณเดียว โดดเดี่ยวอยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศ  และจะต้องอยู่ไปตลอดนิรันดร์  เพราะวิญญาณไม่มีการสิ้นสุด  หรือจะอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทั้ง 3 พระภาค ตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวท่านเอง มนุษย์ทุกคน ซึ่งการตัดสินใจนี้ ท่านต้องตัดสินใจขณะที่ยังมีชีวิตดำเนินบนโลกใบนี้  คือยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น คือการตัดสินใจ แค่เชื่อในนามของพระเยซู ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ บนไม้กางเขน เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว เท่านั้นจริงๆ  เพราะพระเยซูพูดคำนี้บ่อยๆ ตอนที่พระองค์มาประกาศบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง 3 ปีก่อนที่จะทำภารกิจนี้ พระองค์พูดคำนี้บ่อยๆ เลย …

            “เราขอบอกความจริงกับท่าน เราบอกท่านจริงๆ  ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เราคือความจริง เราคือพระเยซูคริสต์ เราคือความจริง”

            ใครก็ได้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  และใช้สิทธิของเขา ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้ทั้งหมดนี้

            วันนี้ เราจะมาเรียนรู้คำอธิษฐานของเปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูได้ใช้มา ครั้งที่แล้ว เราฟังคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะทำภารกิจ บนไม้กางเขนให้สำเร็จ วันนี้เรามาเรียนรู้คำอธิษฐานของอาจารย์เปาโล อัครทูต ซึ่งอธิษฐานหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ไม่กี่ปี เราจะเรียนรู้กันว่าคำอธิษฐานนั้น เป็นเช่นไร?  เป็นข่าวดีไหม? เหมือนกันไหม?

            อัครทูตเปาโล คือชาวยิวที่กลับใจและวางใจเชื่อในข่าวดี มาเป็นคริสเตียน แล้วพระเจ้าได้ใช้เขาให้เป็นอัครทูต เพื่อนำข่าวประเสริฐ มาประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ  คนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เป็นกลุ่มที่ 2 ที่พระเจ้าวางเอาไว้ว่าจะได้รับความรอด จะได้รับข่าวดี … ข่าวดีนี้ เริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน และมาถึงชาวต่างชาติ มาเป็นกลุ่มที่ 2 มนุษย์มีแค่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง คือชาวยิว กลุ่มที่สอง คือไม่ใช่ชาวยิว

            ในยอห์น บทที่ 17 พระเยซูอธิษฐานให้กับผู้ที่เชื่อในข่าวดี ซึ่งข่าวดีนั้น ยังกระทำไม่สำเร็จ  ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อ นึกออกไหม? ก็แสดงว่าพระเยซูกำลังอธิษฐานให้กับมนุษย์ ที่จะเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำบนไม้กางเขน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะได้รับอย่างนี้ แต่ว่าคราวนี้ ตอนนี้ ที่เรากำลังจะมาเรียนรู้นี้ อัครทูตเปาโลอธิษฐานให้ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูทรงกระทำสำเร็จไปแล้ว กี่ปีแล้วก็ตาม  ผู้ที่ได้เชื่อแล้ว โดยการประกาศของเปาโลเอง  เปาโลอธิษฐานให้กับคนที่มาเป็นคริสเตียน ที่มารับเชื่อใหม่ๆ อย่างไร? เรามาเปรียบเทียบดูสิว่าเหมือนที่พระเยซูอธิษฐานก่อนหน้านั้นไหม? ที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในเอเฟซัส บทที่ 1 เริ่มต้นจากข้อ 17 …

        เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์เป็นการส่วนตัว   และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริงเรื่องพระองค์”

            “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เราได้เรียนรู้อะไรในประโยคนี้  ก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพียรทูลขออยู่เสมอ ก็คือขออยู่ตลอดเวลา ให้กับคริสเตียน ผู้ที่ได้เชื่อในข่าวดีนี้ ที่ได้เกิดใหม่แล้ว เอาละสิ เราอยากจะรู้ไหม? อยากสิ ก็คืออธิษฐานให้เรา เราที่นั่งอยู่ขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญแน่ๆ ที่ผู้เชื่อควรได้รับรู้ อย่างลึกซึ้ง คือรู้จักอย่างลึกซึ้ง สนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งกับการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ให้ได้รู้ลึกซึ้งว่าขณะนี้ที่เราเชื่อและเป็นคริสเตียนแล้ว เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน และฉันอยู่ในพระคริสต์ ตามที่พระเยซูได้อธิษฐาน ในยอห์น บทที่ 17 นั่นแหละ ให้รู้ลึกซึ้งว่ามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? มันสำคัญมาก เราจะได้เรียนรู้ความจริงว่าในโลกวิญญาณนั้น เมื่อเราเชื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างไร? เราสนิทสนมกับพระองค์มากเท่าไร?  ที่พระองค์ทรงเรียกเราว่าเป็นเหมือนสามีภรรยา สนิทกันถึงขนาดนั้น  เราได้แต่งงานกับพระเยซูแล้ว เราเป็นเจ้าสาวของพระเยซู มันเป็นเช่นไรนะ อยากรู้ไหม? ใครช่วยเราได้? คำอธิษฐานนี้ไง

            ในเมื่อเปาโลยังอธิษฐานให้กับเราอย่างนั้นเลย แล้วเราไม่ควรจะอธิษฐานให้กับตัวเองอย่างนั้นหรือ? แล้วเราไม่ควรจะอธิษฐานให้กับพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์เดี๋ยวนี้ อย่างนั้นหรือ? แสดงว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก เอเฟซัส 1:18 ต่อไป …

        เอเฟซัส 1:18  “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทาง-เชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            “ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว” คือท่าน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ เป็นเดอะเซ้นต์ ไปที่ไหน? เหมือนในหนัง ที่เขามีแสงสว่างกลมๆ อยู่ข้างบน ท่านไปที่ไหน? ในวิญญาณท่านเป็นอย่างนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว ในนี้บอกว่า …

            “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาวิญญาณของท่าน” ตาวิญญาณ คือมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นวิญญาณ วิญญาณมีการรับรู้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่าเอาเป็นตาแล้วกัน เพราะว่าร่างกายมนุษย์ เราจะมองเห็นอะไร? รับรู้อะไรลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ใช่คลำเอา  คลำเอาพอรู้บ้างว่าเป็นอย่างนี้  แต่พอเปิดตาออกมา เห็นชัดขึ้น คล้ายๆ อย่างนั้น ให้ตาฝ่ายวิญญาณ ที่รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งโลกวิญญาณนี้ เป็นจริงๆ สำคัญกว่า เป็นสิ่งที่แน่นอน  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนโลกวัตถุ แต่มีอยู่จริงๆ เลย เพียงแต่ตามองไม่เห็น

            ให้ตาฝ่ายวิญญาณมองเห็น รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่ามันเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง ตาฝ่ายวิญญาณได้เปิดออกกว้างขึ้น สว่างมากขึ้น เห็นชัดขึ้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา

            “เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า” เห็นไหมครับ? “ที่พระองค์ได้เลือกท่านเข้ามานั้น” เรียกเราเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ อันรุ่งเรือง  และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  มีค่ามากมาย ในพระคัมภีร์ ในหนังสือ 2 โครินธ์บอกว่าเรามีทรัพย์อันมีค่าล้ำมหาศาล สุดจะพรรณนาได้ ในภาชนะดิน ก็คือในร่างกายอันต่ำต้อย อันธรรมดาของเรา ที่โดนอันนั้นทีก็เจ็บ โดนอันนี้ทีก็เจ็บ  ที่จะต้องแก่ไปทุกวันๆ  แต่ข้างในวิญญาณเรา มีของอันล้ำค่า คือตรงนี้แหละ

            มรดก คือการได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ที่เรานั่งอยู่ ขณะนี้ คริสเตียนท่านใดก็ตาม รับรู้ความจริงนี้เถิด วิญญาณของท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว

            และที่เรียกกันว่าได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ที่เป็นอมตะ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และคำว่าสง่าราศีนี้ เราเรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก เป็นลูกของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาลนี้ เราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เราเป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เป็นฤทธิ์เดช เหมือนพระเจ้าของเรา  เหมือนพระเยซูของเราเลย เอเมน

            ไม่ใช่ว่าเราจะได้รับเมื่อตอนที่เราจากโลกนี้ไป แต่ในขณะที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระองค์ปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันที ในวิญญาณของเรา ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย รับตั้งแต่บัดนี้เลย

            มรดกนี้เริ่มต้นรับเมื่อไร? เราเรียนรู้ไปแล้วนะ ใครก็ตามบนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้  อัศจรรย์เข้าไปทันทีเลย ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้เลย แล้วก็จะค่อยๆ เจริญเติบโต รับมากขึ้น ไปเรื่อยๆ ในมรดกนี้ จนกระทั่งครบถ้วนบริบูรณ์  จนถึงนิรันดร์เลย  คือหลังจากที่ทิ้งร่างเดิม อันต่ำต้อยนี้ เรือนดินนี้ แล้วก็สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซู ตะกี้บอกวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูไปแล้ว  แต่เมื่อเราทิ้งร่างกายเก่านี้ เรือนดินนี้ คราวนี้ วิญญาณที่บอกเป็นเหมือนพระเยซูนี้  ก็จะไปสวมร่างใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูด้วย เอเมน และด้วยร่างกายใหม่นั้น  เราก็จะสามารถเห็นได้จริงๆ เลย เห็นจากตาวิญญาณ และตาจากร่างกายใหม่นั้น เห็นสง่าราศีของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความจริง  เป็นแสงสว่าง เห็นชัดเจน เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มไปด้วยความรัก เป็นจริงๆ เลย และไม่ใช่แค่นั้น เราจะเห็นตัวเราเองด้วย  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่อยู่ในร่างกายใหม่ ร่างกายสวรค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น วันนั้นจะเหมือนเราดูตัวเราเองในกระจกเงา เต็มไปด้วยสง่าราศี ท่านเห็นตัวท่านเองไหม? ไม่เห็น แต่วันนั้น ท่านจะเห็นตัวท่านเอง เหมือนดูในกระจกเงา

            ทุกวันนี้ ท่านเห็นในกระจกเงาไหม?  เห็นอะไร? เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยความแก่ ค่อยๆ เหี่ยว ค่อยๆ เสื่อมโทรมไป เห็นร่างกายเดิมของท่าน แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อท่านสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ซึ่งเป็นมรดก ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านจะเห็นสง่าราศีของพระเจ้า ตามความเป็นจริง เห็นสง่าราศีของพระเยซูตามความเป็นจริง และเห็นสง่าราศีของตนเอง ตามความเป็นจริง เหมือนที่ทุกวันนี้ ท่านมองดูในกระจกเงานั่นแหละ ขอบคุณพระเจ้า

            พระคัมภีร์บอกว่า “เราจะเจริญเติบโตทางวิญญาณนี้ เข้าสู่สง่าราศี จากพระสิริหนึ่งสู่พระสิริหนึ่ง ค่อยๆ กระเถิบขึ้นไป ทีละนิดทีละหน่อย เจริญเติบโตด้วยการรับรู้ความจริงที่พระวิญญาณของพระเจ้านำเราไป สอนเราไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน บนโลกใบนี้นั่นเอง เอเมน

        เอเฟซัส 1:19  “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            อธิษฐานให้กับผู้เชื่อว่า “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด” เรียนรู้ทางวิญญาณ พระวิญญาณจะเป็นผู้สอนเรา บอกเรา ว่าเราเป็นใครแล้วตอนนี้ ในวิญญาณของเรา เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า จะเปรียบอะไรล่ะ? ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อาศัยอยู่ในวิญญาณของเรา  จะเอาอะไรเปรียบ ใหญ่สูงสุดแล้ว คิดออกไหม? คิดไม่ออก พระวิญญาณจะเป็นผู้สอน นำพาเรา ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งฤทธิ์อำนาจนี้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา ก็คือผู้เชื่อศรัทธา  และเพื่อเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อ  ก็คือผู้ที่ได้ใช้สิทธิของเรา ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน  เราใช้สิทธินี้แล้ว  เราต้อนรับสิทธิในข่าวดีนี้แล้ว ถ้าเราไม่ต้อนรับล่ะ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ใช้สิทธิ์ของเรา แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น  มันก็ไม่เกิด ทั้งๆ ที่มันเป็นของเราแล้ว

            พูดง่ายๆ ก็คือพระวิญญาณจะสอนเรา เรียนรู้จากโลกวิญญาณนี้ว่าวิญญาณนี้ ตอนนี้ จากฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ภายในเราแล้ว ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น รู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่ตรงกับถ้อยคำนี้  ความรู้สึกนั้น ก็ไม่เกี่ยว ความคิดนั้น ก็ไม่เกี่ยว เกี่ยวอย่างเดียว คือความเชื่อเท่านั้นเองว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้

            ยกตัวอย่างว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า “เราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา” ท่านรู้สึกไหมว่าพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่รู้สึก แต่บางครั้งรู้สึกนะ ใช่หรือเปล่า โดยเฉพาะเวลาฟังคำเทศนาอย่างนี้ ฟังถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้ ท่านรู้สึกไหมว่าพระคริสต์อยู่ในเรา รู้สึกนิดๆ ท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่เป็นไร แต่ท่านต้องเชื่อว่าถ้อยคำนี้เป็นจริง เพราะว่าบันทึกไว้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในใจของท่าน จะเป็นผู้ยืนยันกับท่าน เสียงเล็กๆ ที่อยู่ในใจท่าน ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเอเมน

            เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  และพระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในเราแล้ว เอเมน ไม่ว่าวันนี้ กำลังฟังอยู่นี้ เชื่อตามนี้ รู้สึกตามนี้ว่ารู้สึกฉันยิ่งใหญ่เหลือเกิน  พระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระเจ้า ฉันอยู่ในตรีเอกานุภาพ พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในฉันขณะนี้ ที่ฟังอยู่นี้  เต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้เลย พองตัวเลย ขนลุกขนชันขณะนี้  แบบอินมากเลย เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งเที่ยง บรรยายเสร็จ ออกไปข้างนอก รถท่านถูกเฉี่ยว แดดก็ร้อนด้วย ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เพราะบรรยายนานไป หิวอีกต่างหาก แถมไปคริสตจักรเด็ก ไปรับลูกมา ลูกร้องไห้งอแงงอีก ขึ้นรถไป ความรู้สึกยังอยู่ไหม? พระเจ้ายังอยู่กับเราไหม? พระเจ้าเป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นสันติสุข พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในฉันแล้ว  ยังอยู่ไหม? พูดเลย ไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ในความรู้สึกแล้ว  แต่ยังคงอยู่ในวิญญาณของฉัน ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่าผู้ชอบธรรม คริสเตียนจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา  ไม่ใช่ตามองเห็น  ไม่ใช่รู้สึก รู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่รู้แหละ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ฉันวางใจในพระเจ้า  เอเมนไหม? ในเอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

            “ผู้ได้ให้พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ สวรรค์” เห็นไหมครับ คำที่ควรจำได้ คือได้ให้พรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการ ก็คือพระพรฝ่ายวิญญาณทั้งหมดเลย ไม่ว่าเราจำเป็นต้องทำ ต้องใช้อะไรในเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวข้องหมด พระเจ้าได้ให้หรือยัง? ได้ให้แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรที่อยากจะได้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำแล้ว  เพราะพระเจ้าให้แล้ว

            ยกตัวอย่างเช่น ท่านไม่ต้องทำให้วิญญาณท่านบริสุทธิ์กว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าวิญญาณท่านบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทำความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เพราะท่านได้เป็นผู้ชอบธรรมในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว  เพียงแต่การปฏิบัติ ความประพฤติของท่าน ท่านทำให้ดีที่สุด  เพื่อที่จะถวายเกียรติต่อพระเจ้า ในร่างกายของท่าน  เพื่อให้สมกับที่วิญญาณของท่านเป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั่นเอง  ทำให้สม ไม่ได้ทำให้เป็น เพราะมันเป็นไปแล้ว ด้วยความเชื่อและด้วยฤทธิ์อำนาจของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  ไม่ใช่เพราะท่านประพฤติดี ถึงเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ใช่ ท่านเป็นผู้ชอบธรรม เพราพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วท่านเชื่อ เอเมน …

        เอเฟซัส 1:20  “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้า ได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

            โอ้โห! ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลย ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจที่กระทำการงานอยู่ในพวกเราผู้เชื่อ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังงานอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่จริงมันมากกว่านี้อีก ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาไทยได้อย่างไรแล้ว ภาษาเดิมเยอะกว่านี้อีกนะ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล อภิ ไม่รู้ว่าจะบอกว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มันเหลือที่มนุษย์จะนำอะไรมาพูดถึง นึกถึงระเบิดปรมาณู ยิ่งใหญ่ นึกถึงบิ๊กแบงที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบบอกว่าบิ๊กแบงเป็นจุดกำเนิดของโลก การกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งหลายของโลกนี้ และในมหาจักรวาล เกิดจากการระเบิดเพียงครั้งเดียว  คือตูม  เกิดหมดทุกอย่าง ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หรือฤทธิ์อำนาจแห่งแสงสว่างที่เราเห็นทุกวันนี้ หรือสิ่งที่มีชีวิต สวยงามทุกวันนี้  พลังงานที่ทำให้เกิดขึ้น มีสัตว์แปลกๆ มีม้าน้ำ มีตัวอะไรแปลกๆ มีผีเสื้อ มีเสือ มีสัตว์ในทะเลอะไรต่างๆ เหล่านั้น เหล่านั้น คือรวมเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทั้งสิ้น ฤทธิ์อำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในตัวพวกเราผู้เชื่อ และดูว่าในนี้เขียนว่าอะไร?

            “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  คือไม่มีใครในโลกนี้เลยที่เป็นมนุษย์ และตาย แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ ได้รับร่างกายใหม่ ได้รับสง่าราศี ไม่มีเลย  มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ก็คือพระเยซูคริสต์ และแถมปรากฏพระองค์เองให้เห็นเลย หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย ให้สาวกหรือมนุษย์พิสูจน์พระองค์เองว่าเป็นขึ้นจากความตายจริงไหม? อีก 40 วัน พิสูจน์เลย ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ ก็คือฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของตรีเอกานุภาพ พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ รับโทษบาป อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถตายต่อบาปของตัวเองได้ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของตรีเอกานุภาพนั่นเอง

            เพราะ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน ฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้ ลงไปที่พระเยซูคริสต์ ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือประทานชีวิตนิรันดร์ให้พระเยซูกลับคืนมา มีสง่าราศีเหมือนเดิม ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นแบบสวรรค์ เป็นต้นแบบของร่างกายของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะได้รับในอนาคต หลังจากสิ้นลมแล้ว หลังจากทิ้งร่างเก่านี้แล้วนั่นเอง ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่อันนี้ กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา ทุกวันนี้อยู่ในตัวเรา เดินไปไหนฤทธิ์อำนาจนี้กระทำการงานอยู่ในตัวเรา ผู้เชื่อศรัทธา ท่านลองคิดดูสิว่ามันยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน? และไม่ใช่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายแค่นั้น แต่ฤทธิ์อำนาจนี้ได้กระทำการ ก็คือได้แต่งตั้ง หรือกระทำการงานด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ ให้พระเยซู มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เรียกว่านั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าพระบิดา ในสวรรคสถาน  ก็หมายถึงผู้สำเร็จราชการที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดที่เรียกว่าพระเจ้าพระบิดา หัวหน้าตรีเอกานุภาพ  เป็นผู้สำเร็จราชการ ผู้ที่ใช้สิทธิอำนาจทั้งหมดของพระองค์ที่เบื้องขวา

            และฤทธิ์อำนาจนี้อยู่ในตัวเราทั้งหลายผู้เชื่อ เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาเช่นเดียวกัน เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ตามที่บอกไว้เมื่อตะกี้นี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ได้ทำให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็คือเราเข้ามาอยู่ในพระองค์และพระองค์ก็มาอยู่ในเรา เห็นหรือยัง? ฤทธิ์อำนาจนี้ ทำการงานในพระองค์ คือกระทำการงานในเราด้วยเช่นเดียวกัน  พระองค์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้น  พระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ เราก็ถูกตรึงด้วย พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย พระองค์เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระบิดา ในสวรรคสถาน เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวานั่นด้วย เอเมน ซึ่งเราเรียกกันว่าบัพติศมา ก็คือเราได้รับบัพติศมา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูได้รับอะไร? เราก็ได้รับด้วย

            พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นเสมือนหนึ่งอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกาย ท่านเดินไปที่ไหน? ตาท่านไปด้วยไหม? ไปด้วย ไม่ใช่เท้าท่านไปอย่างเดียว มือไปด้วยไหม? ไปด้วย เพราะมือก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของท่าน เราก็เช่นเดียวกัน เราเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ในร่างกายของพระคริสต์ พระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวา เราก็นั่งอยู่ในนั้นด้วย เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา ก่อนหน้าที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ที่ไหนครับ? เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความมืด  เราดำเนินชีวิตอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าความมืด เรียกว่าอยู่ในอาณาจักรของอาดัม อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  อยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ในทางวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกเรา แต่พอเรามาเชื่อข่าวดีปุ๊บ  พระคัมภีร์บอกว่าเราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระเจ้าได้ย้ายวิญญาณเรา ออกมาจากอาดัม อยู่ในความมืด อยู่ในความบาป ย้ายออกมาอาศัย บัพติศมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พี่น้องที่ยังไม่ได้ย้ายทางวิญญาณ ย้ายซะนะครับ ก็คือย้ายมาเป็นคริสเตียน ย้ายมาเป็นผู้เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ แล้วจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ แทนที่จะอยู่ในอาณาจักรของความมืด ด้วยความห่วงใย …

        เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

            “ในตำแหน่งนี้” คือเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ผู้สำเร็จราชการของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ตรงนี้ไม่ค่อยจะแปลกใจ สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไปนัก เมื่อได้รู้ความจริงว่าพระเยซู มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  แต่ว่าเราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้หลายข้อ ก่อนหน้านี้แล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์ไปไหน เราไปด้วย พระคริสต์ได้อะไร เราได้ด้วย พระคริสต์อยู่ในตำแหน่งไหน? เราอยู่ในตำแหน่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ตรงนี้ เราสามารถบอกว่าและในตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราผู้เชื่อ เราผู้ได้ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้เป็น คริสเตียน เรามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ  เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม ไม่กล้าพูดเลยนะ แต่มันเป็นจริงหรือเปล่า? เป็นจริง

            เพราะฉะนั้น ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร? ความจริงนี้ ก็จะปรากฏในชีวิตของเรา เราจะเข้าใจ และเราจะดำเนินชีวิตแบบนั้นมากขึ้น ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ความจริงนี้มากขึ้นเท่าไร? เหมือนที่เปาโลพยายามที่จะอธิษฐานบ่อยๆ เสมอๆ ให้เราได้รู้จักตรงนี้มากขึ้น เพื่อว่าเราจะไปใช้สอยได้ มันเป็นของเราก็จริง แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้นแหละ  เรามีทรัพย์สมบัติมหาศาลอยู่ในธนาคาร เราไม่รู้เรื่อง เราไม่เคยเบิกมาใช้เลย ทั้งๆ ที่เรามีบัตร ATM ทางฝ่ายวิญญาณเยอะแยะไปหมด  เราไม่เคยกดอะไรออกมาใช้เลย เพราะว่าเราไม่รู้ความจริง  เรารู้เพียงแต่ว่าเราได้รับเบิ้ยเลี้ยง วันละ 100 บาท เราก็ใช้ 100 บาทไป  เราไม่รู้ว่านอกจากเบี้ยเลี้ยงนั้น นอกจากความรอดนิรันดร์แล้ว พระองค์ยังทรงให้ ATM อยู่ในตัวเรา ATM ฝ่ายวิญญาณ เรามีพลังอำนาจสูงสุด  ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือพลังอำนาจการครอบครอง เหนือวิญญาณอะไร ไม่ว่าจะมารซาตาน หรือวิญญาณชั่วอะไรต่างๆ วิญญาณดีด้วย  เรามีอำนาจอยู่เหนือทั้งหมดเหล่านั้นเลย  ห่างไกลจากเรามากเลย  พระเยซูคริสต์อยู่สูงเท่าไร? เราก็สูงเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น วิญญาณเหล่านี้ทำอะไรเราไม่ได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องกลัวเลย  ไม่ต้องกลัวผีเข้า กลัวผีหลอก … ผีหลอก โอเคใช่ เพราะมันหลอกเราตลอด มันทำอะไรไม่ได้ มันถึงหลอกเราเรื่อย แต่ถ้าเรารู้ มันหลอกได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าเรารู้กลโกงของที่ตอนนี้ชอบโทรมาบอกว่ามาจากกรมตำรวจบ้าง? กรมสรรพากรบ้าง? พวกคอลเซ็นเตอร์ แบบหลอกลวง โทรมา แต่เรารู้ความจริง มีข่าวมาบอกเราแล้วว่าระวังคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ เราเรียนรู้แล้ว พอโทรมา เราจะทำตามมันไหม? อาจจะทำ ถ้าเผื่อเราฟังข่าวนั้นไม่เยอะ แต่ถ้าเราฟังข่าวนั้นเยอะๆ เรารู้ว่าอันนั้นเป็นของปลอม พอโทรมา เราบอกกรุณาไปไกลๆ เราไม่เชื่อหรอก เพราะเขาไม่มีสิทธิอำนาจนั้น ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เขาหลอกเราได้ มารก็หลอกเราอย่างนี้ แล้วเรายังมีสิทธิอำนาจอยู่เหนือพลังอำนาจที่ครอบครองโลกนี้อยู่ ก็คืออะไรรู้ไหม? อย่าไปนึกถึงมารซาตาน

            มารซาตานไม่มีพลังอำนาจใดๆ เลยที่จะครอบครองโลกใบนี้  ไม่มีทางเลยนะ  ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันไม่มีพลังอำนาจครอบครองมนุษย์เลย  ถ้ามนุษย์คนนั้นไม่ยอม แต่มันใช้พลังอำนาจ อิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย มันมีพลังอยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์เป็นคนเอาเข้ามาเอง ก็คืออาดัมเอาเข้ามาเอง ทำให้มนุษย์ต้องทำตามกฎของความบาปและความตาย  คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรมนี่แหละ และมารมันก็ใช้กฎนี้ เป็นตัวยึดเรา ฟ้องเรา ให้เรารับโทษ …

            “แกทำ แกเป็นคนบาป แกถูกสาปแช่ง”

            แต่พระเยซูย้ายเราออกมาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในพระองค์แล้ว  เราจึงมีอำนาจ หลุดพ้นจากกฎเหล่านี้ กฎเก่า กฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ว่ากฎของความบาปและความตายนี้ มารจะใช้ผ่านทางอะไรก็ตาม ผ่านทางความรู้ ผ่านทางผู้คน ผ่านทางศาสนา ผ่านทางกฎระเบียบอะไรต่างๆ ก็ตาม ผ่านทางความคิดของเราเองก็ตาม หรือผ่านทางนาม ในนี้บอกว่าเรามีอำนาจสูงสุด ในพระคริสต์นี้ อยู่เหนือทุกนาม ที่เอ่ยชื่อขึ้นมา ตั้งขึ้นมา  และเหนือสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้านี้ เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะตั้งชื่ออะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นชื่อของวัตถุเคารพ ชื่อของผู้คน ชื่อของระบบ ชื่อของหลักการความเชื่อ ชื่อของศาสนา ชื่อของอะไรก็ตาม ทั้งหมด ที่จะมาบังคับเรา  เรามีอำนาจในพระคริสต์ อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว  และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อยู่ในเราทั้งหลายผู้เชื่อนั้น จะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อไปในอนาคต ในสวรรค์นิรันดร์ด้วย  ก็คือไม่ใช่มีสิทธิอำนาจ เฉพาะอยู่ในสวรรค์กันอย่างเดียว  แต่ขณะอยู่บนโลกใบนี้ เราก็มีสิทธิอำนาจอยู่เหนือเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า …

        เอเฟซัส 1:22  “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ-และใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้)”

            “อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร” ก็คือเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิของเรา ในการที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา  ก็คือคริสเตียนนั่นเอง  คริสตจักร ก็คือคริสเตียน คริสตจักร ก็คือผู้เชื่อ คริสตจักร ก็คือผู้ที่ได้เลือก ที่จะเชื่อในพระเยซู และได้ถูกย้ายมาบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง  และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ไม่ใช่สิ่งเดียว สิ่งสารพัด หมายถึงทุกสิ่ง  แล้วพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ คือการมีสิทธิอำนาจสูงสุดเลย พระเจ้าได้ให้เราเยอะแยะเลย  ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ ให้ทั้งหมดเหล่านี้ อยู่ใต้เท้าของพระคริสต์ และอยู่ใต้เท้าของเราด้วย

            “พระเจ้าแต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร” ก็คือเป็นหัวหน้าพวกเราทั้งหลาย  ผู้เชื่อศรัทธานี้  พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย  พระเยซูได้อะไร? เราได้ด้วย  พระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เรายิ่งใหญ่ด้วย เราเป็นผู้ร่วมขบวนการกับพระเยซูนั่นเอง พระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทุกสิ่งแล้ว ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว

            ดูใน 2 เปโตร 1:3-4 ว่าเปโตรก็พูดอย่างนี้เหมือนกันว่าฤทธิ์อำนาจนี้ได้ให้อะไรกับเราบ้าง เยอะแยะมากมาย …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์)  ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เองให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทราม (ความพินาศในวิญญาณ) ในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปในวิญญาณ)”

            “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว” เรา ก็คือคริสเตียน ผู้เชื่อ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งในโลกวิญญาณ ให้กับเราเรียบร้อย สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ที่ชอบธรรม ดีงาม เหมือนพระเจ้า เห็นไหมครับ? ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ที่เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูแล้ว โดยได้รับแล้ว ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ คือในพระคริสต์

            ผ่านการรับรู้ เราเริ่มรับรู้เมื่อไร? เราเริ่มรับรู้ตั้งแต่ก่อนเชื่ออีก เราเริ่มรับรู้ เมื่อเขาประกาศข่าวดีให้กับเรา เริ่มรับรู้แล้ว เรารับ เราเอา แต่บางคนรับรู้ แล้วไม่เอาก็มี หมายถึงเริ่มต้นรับรู้ พอเราเริ่มต้นรับรู้แล้ว เราเอา เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับข่าวดี อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที และจากนั้น เราก็เริ่มเรียน รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ในการเป็นผู้ชอบธรรม ดีงาม เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในพระคริสต์

            “ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติ พระสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ให้เราเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระสิริ ความยิ่งใหญ่ ความดีงามของพระคริสต์ ของตรีเอกานุภาพ เราเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระองค์เรียกเรา เลือกเราเข้าไปอยู่ในนั้น  … และเราก็ตอบรับพระองค์ว่า “เอาครับ”

            พระองค์เชิญเราเข้าไปนั่งกินบนโต๊ะของพระองค์ … เราบอก “เอาครับ”

            พระองค์เชิญเราเข้าพระราชวังของพระองค์ในสวรรค์ … เราบอก “โอเคเลย เราก็เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว เอเมน”

            ในข้อ 4 บอกว่า “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา  เพื่อว่าโดยทางสัญญานี้  พวกท่านจึงมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”  เห็นหรือยัง?

            พระเจ้าเป็นอย่างไร? ตรีเอกานุภาพเป็นอย่างไร?  ฉันก็ได้เป็นอย่างนั้นด้วย เอเมนไหม? “พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” คือได้บังเกิดใหม่  เกิดใหม่มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ เกิดใหม่เป็นหน่อเชื้อ เขาเรียกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขจากพระเจ้า มีลักษณะเหมือนพระเจ้า พ้นจากอาณาจักรมืดเดิมที่ท่านอยู่ เรียกว่าพ้นจากความพินาศ ความเสื่อมทรามในโลก เห็นไหมครับ? ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่ ซึ่งเกิดจากท่านเป็นคนบาป  พ้นจากบาปแล้ว  ไม่ได้อยู่ในบาปอยู่แล้ว แต่อยู่ในพระคริสต์แทน ไม่ได้อยู่ในบาปอยู่แล้ว  แต่มาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าแทน  ไม่ได้อยู่ในอาดัม แต่มาอยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของความมืด  แต่มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างเรียบร้อยแล้ว เอเมน …

        เอเฟซัส 1:23 “ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

            เราทั้งหลายผู้เชื่อได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในพระบิดา พระบิดาอยู่ในพระเยซูคริสต์ รวมกันเป็นเราอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นไข่แดงอยู่ในนั้นเลย   เราเป็นไข่อยู่ในหิน  ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา วิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยความรัก  ดั่งแก้วตาดวงใจ จำที่พระเยซูอธิบายให้ฟังได้ไหม?  เรา ก็คือผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราก็เป็นกิ่งก้าน เถาองุ่น ลำต้นขององุ่น ก็คือลำต้นของพระเยซูคริสต์ เราเป็นกิ่งก้านที่ไปต่อติดกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นกิ่งก้านองุ่น ต้นก็คือพระเยซู เราเป็นศิลาก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ที่เข้าไปต่อติดอยู่กับพระเยซูคริสต์

            เคยเห็นศิลปะของตะวันออกกลาง ที่เขาทำรูปใหญ่ๆ จากกระดูกของอูฐ อูฐเยอะ เขาเอากระดูกอูฐแตกๆ เล็กๆ เอง เอามาปะๆ เป็นภาพ เหมือนภาพจิ๊กซอ ภาพใหญ่ๆ เป็นรูปอะไรต่างๆ ก็ว่าไป  เราก็เหมือนกับกระดูกเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ในภาพที่เรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ในภาพที่เรียกว่าพระเยซูคริสต์ ในภาพที่เรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ หรือเปรียบเทียบกับทางครอบครัวของพระเจ้า  เราก็เปรียบเหมือนเป็นพี่น้อง ไม่ได้เปรียบหรอก เป็นจริงๆ  พระเยซูบอก  ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทางวิญญาณกับพระเยซู ในครอบครัวของพระเจ้า  เราเป็นสายเลือดเดียวกันกับพระเยซู ในทางวิญญาณ ในครอบครัวของพระเจ้า ชื่อเราจดอยู่ในทะเบียนครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว  เราทั้งหลายก็เป็นน้องๆๆๆๆ และเราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ร่วมครอบครองกับพระองค์ในสวรรค์ ตั้งแต่บัดนี้ บนโลกใบนี้ จนถึงโลกหน้านิรันดร์ ได้รับร่างกายใหม่ ครอบครองร่วมกับพระองค์ ไปถึงนิรันดร์กาล พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน ท่านเชื่ออย่างนี้หรือไม่?

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น?

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย? เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระองค์เลย

            2 เปโตร 1:4 … “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

            ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป  ที่เสียไป  เนเจอร์ หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป  ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาป ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้  บัดนี้ พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู  วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หาย กลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์ ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ  ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที

            เมื่อเราเปิดใจยอมรับ พระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด จากโทษของหนี้บาปเวรกรรม  คือยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อที่จะตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่กำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย? เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆเหมือนพระองค์เลย เราเป็นชีวิตนิรันดร์  วิญญาณที่เกิดใหม่ของเรา เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณ และจิตใจของ​พระคริสต์”

            คริสเตียนท่านเชื่ออย่างนี้หรือไม่ครับ?  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1430

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 7

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้ … “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอนที่ 7 ซึ่งจะเป็นตอนจบของการบรรยายในชุดนี้

            เรามาเริ่มต้นทบทวนประเด็น สิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมา ในซีรี่ย์บรรยายชุดนี้ 6 ตอนที่ผ่านมาแล้ว สรุปสั้นๆ ก็คือเป็นบริบทที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับมวลมนุษยชาติ …

            1. โดยพระเยซูเริ่มประกาศข่าวดีนี้กับชาวยิวก่อน แล้วให้ชาวยิวไปประกาศให้กับชาวต่างชาติทั่วไป มวลมนุษยชาติ เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศให้กับชาวยิว ที่เราฟังมา 6 ตอนนั้น คือเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น  ยังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย จึงถามว่าชาวยิวกับเราคือใคร?

            ชาวยิว ก็คือมนุษย์ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้กลุ่มแรก คนที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็คือคนต่างชาติ  คือชาติอะไรก็ตาม นอกเหนือจากนั้น เป็นพวกมนุษย์กลุ่มที่ 2 ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ ทั้งสองพวกนี้ พระองค์ทรงเลือกไว้ ให้มาได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย มีสิทธิ์เท่ากัน เรารู้เรื่องนี้แล้วว่าพระองค์มาประกาศ

            2. พระองค์ไม่ได้มาสอนเรื่องบทบัญญัติ   บททางศีลธรรม   เพื่อให้ปฏิบัติตาม  แต่มาชี้ให้เห็นทางโลกวิญญาณว่าชาวยิวเอ๋ย   ท่านไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย

            3. มีเพียงหนทางเดียว    คือต้องวางใจในพระเยซูคริสต์  และพึ่งในการกระทำของพระองค์เท่านั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เห็น คือท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งขณะนั้น ชาวยิวที่ฟังอยู่ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณนั้น คืออะไร? เขาไม่เข้าใจกัน ท่านต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น  โดยการวางใจเชื่อในพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์  จึงจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้  และสามารถเข้าส่วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เหมือนกับพระเจ้าได้ เป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ

            นี่สรุป 6 ตอนนั้น พระเยซูมาประกาศอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างอุปมาอย่างโน้นอย่างนี้มา ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น และคำตอบที่เราได้รับมาจากหัวข้อเรื่องว่าเป็นคำอธิษฐานมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตามใช่หรือไม่?  ก็คือใช่  ไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม  แต่มาประกาศความจริงว่าพระองค์มา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้รับความรอดจากความบาป กลับมาสู่พระเจ้า โดยพระองค์จะเป็นผู้กระทำเอง เพียงผู้เดียว ชัดเจนเลยนะ

            พระองค์ไม่ได้มาตั้งกฎเกณฑ์อะไรต่างๆ เพื่อให้มนุษย์รักษาบทบัญญัตินั้น ให้ทำตาม ไม่ได้มาสอนอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวข้อเรื่องที่เราตั้งขึ้นว่าคำอธิษฐาน ในมัทธิว 6:9-15 ซึ่งเราเอามาใช้กันว่าพระเยซูอธิษฐาน คำอธิษฐานของพระเยซู เราก็เลยยิ่งเคารพใหญ่เลยว่าคำอธิษฐานของพระเยซู เพราะฉะนั้น เราต้องทำตาม พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานอย่างนี้  ซึ่งมันไม่ใช่เลย

            คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 นี้ พระเยซูไม่ได้มาอธิษฐาน แต่พระองค์ได้มาชี้ให้เราว่าถ้าเราไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระองค์ เรายังอยู่ในพระคัมภีร์เดิม แบบยิวในสมัยนั้น  เราต้อง (คือยิวนะ) ชาวยิวต้องอธิษฐานอย่างนี้ คืออย่างในมัทธิว 6:9-15 เห็นไหมครับ? แต่ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ แต่พระเยซูต้องการชี้ให้พวกเขาเห็น ว่าเขากำลังอยู่ในสถานะไหนในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนั้น เขาต้องพึ่งในการกระทำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เขาถึงสามารถได้รับการอภัยโทษจากความบาปผิดของเขาทั้งหมดได้ โดยพระเจ้าอภัยผ่านทางพระบุตรเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงชี้ให้เขาได้เห็น จากบริบทนี้ จากชื่อเรื่องซีรี่ย์นี้

            สิ่งเหล่านี้ เราได้เรียนรู้ 6 ตอน พระเยซูอธิษฐานกับพระเจ้าจริงๆ เมื่อไร? มีจริงๆ แต่เป็นตอนจบของบริบทนี้ทั้งหมด ครบ 3 ปีที่พระองค์มาเดินอยู่บนโลกใบนี้  เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนี้ ให้กับชาวยิวก่อน ปลายๆ ก่อน 3 ปีนี้ ที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ พระองค์อธิษฐานจริงๆ  พระองค์อธิษฐานกับพระเจ้า พระบิดาไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะไปทำภารกิจ ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา  ก็คือไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากความบาป ให้มนุษย์ทุกคนได้รอดพ้นจากความพินาศ รอดพ้นจากความบาป ความผิด  โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3

            พระองค์ตายจริงๆ ไม่ใช่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยตัวพระองค์เอง  แต่พระองค์ตายไปแล้วจริงๆ และพระเจ้าทรงชุบหรือทำฤทธิ์เดชให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ลงไปชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า นี่แหละ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรงนี้สำคัญมากๆ นะ

            พระเยซูได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมาย ที่พระองค์ได้ถูกใช้มา  และเป้าหมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 3 ปีที่ประกาศนั้น คือเป้าหมายนี้ ตลอด 3 ปีที่เราได้เรียนรู้มาว่าพระองค์มาสอนให้เรา ทำตามบทบัญญัตินี้ หรือทำตามกฎทางศีลธรรมหรือ? เปล่า

            พระองค์มาประกาศ บอกให้ว่าภารกิจของพระองค์มาเพื่ออะไร?  เพื่อเป็นตัวแทนให้กับเรา เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า มาเพื่อไถ่บาปให้กับเรา  มาบอกให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิวแล้ว  บอกชาวยิวให้วางใจในพระองค์ว่ามาแล้วจริงๆ  แล้วพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์เยอะแยะมากมายไปหมด  เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์  พระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ และสัญญาไว้ตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว ให้พวกท่านเชื่อและวางใจในพระองค์เท่านั้น และพระองค์จะกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือให้ท่านได้บังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม โดยฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่เป็นฤทธิ์เดชที่พระเจ้าชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย อันเดียวกันนี่แหละ เพื่อท่านจะได้บังเกิดใหม่  และสามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้าได้

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างเยอะแยะ พระองค์ทรงอธิษฐาน ตอนปลายๆ ของปีที่ 3 ก่อนที่จะถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์พูดในหนังสือยอห์น พูดถึงอะไร? เรื่องการเข้าไปมีส่วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือบังเกิดใหม่ พูดกับสาวกไว้อย่างชัดเจน เริ่มต้นพูดอุปมาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสาวก 12 คนที่พระองค์ทรงจัดตั้ง เตรียมไว้ สำหรับเป็นผู้เริ่มต้นการประกาศข่าวประเสริฐ  ข่าวดีของพระองค์ให้กับบรรดาประชาชาติทั้งปวง พอใกล้ๆ วันที่พระองค์จะทำภารกิจนี้ ถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขนนั้น

            พระองค์ทรงรีบร้อนอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้กับสาวก 12 คนชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ทำมหาสนิทร่วมกันกับสาวก 12 คน ว่าน้ำองุ่นคืออะไร? ขนมปังคืออะไร? ท่านอย่าลืมนะ เราทำให้ท่านอย่างนี้ เพื่อไถ่ท่านนะ ท่านต้องกินเลือด ท่านต้องกินขนมปัง คือเล็งถึงร่างกายของเราที่แตกหัก เพื่อท่าน ต้องดื่มเลือดของเราที่หลั่งออกมา ก็คืออันนี้แหละ คือการเข้าร่วมส่วน สนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์

            แล้วจากนั้นก็ยกตัวอย่างอีกว่าเราเป็นเถาองุ่นนะ ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา คือมาต่อติดกับเรา ถ้าท่านไม่ต่อติดกับเรา มันไม่เกิดผลหรอก การต่อติด ก็คือวิญญาณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วก็บอกว่าและถ้าท่านเชื่อและวางใจในเรา ตามที่เราได้ประกาศให้กับท่าน  เรากับพระบิดาจะมาสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวท่าน เราจะมาอาศัยอยู่ในท่าน และท่านจะมาอาศัยอยู่ในเรา เราจะเป็นหนึ่งเดียวกันนะ

            นี่คือสิ่งที่สรุปก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ  และเมื่อพระองค์ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ก็จะจากไป ในฐานะของมนุษย์ที่จับต้อง มองเห็นได้ ก็เข้าไปสู่ในโลกวิญญาณ พระองค์จึงต้องกำชับชาวยิว และเข้มข้นขึ้น ก็คือชาวยิวที่ถูกเลือกสรรไว้  ให้เข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น ก็คือชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด 12 คน ซึ่งมีคนหนึ่งพลาดไป ไม่คิด

            เราจึงเห็นภาพรวมว่า 3 ปีมานี้  ที่เราได้เรียนรู้กันมา เรื่องราว เรื่องนี้  6 ตอนแล้ว มันเป็นอย่างนี้เองหรือ? ใช่ มันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องการมาบอกว่าให้เตรียมตัวว่าพระองค์มาแล้ว และพระองค์จะทำอะไรที่ไม้กางเขน  พระองค์จะตายที่ไม้กางเขน  พระองค์จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์จะถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การเป็นขึ้นจากความตายนี้ จึงเป็นตัวสำคัญ  เป็นข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้า สำหรับมนุษย์ทุกคนเลย นี่คือภาพรวมทั้งหมด

            คราวนี้ เมื่อเรารู้ว่าคำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 ไม่ใช่คำอธิษฐานของพระเยซู ก็ไม่ใช่นะสิ แล้วคำอธิษฐานของพระเยซู คืออะไร?  ก็คือไม่กี่ชั่วโมง หลังจากอธิบาย ประกาศ ถ้อยคำ ชี้แจง ในโลกวิญญาณให้กับสาวก 12 คน อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง เรียบร้อยแล้ว  พระองค์กำลังเดินทางไปสู่ตะแลงแกง เป็นภารกิจสุดท้าย

            ภารกิจสุดท้ายของพระองค์ คือการตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นคือชัยชนะยิ่งใหญ่  ตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์  ยังไม่ได้เป็นชัยชนะ ยังต้องต่อสู้อีกเยอะ  แม้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าก็จริง แต่พระองค์ยอมถ่อมมาเกิดเป็นมนุษย์ ต่ำต้อยกว่าฐานะเป็นพระเจ้ามาก เป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นเนื้อหนังแบบเราๆ อย่างนี้

            เพราะฉะนั้น 33 ปีของพระองค์ เป็นการต่อสู้อย่างรุนแรงในตัวของพระองค์เองมาก เราก็รู้อยู่แล้วว่า 3 ปีสุดท้าย พระองค์ก็เริ่มประกาศ  ก่อนที่จะทำภารกิจบนไม้กางเขน ตอนประกาศ ท่านก็ทราบดีแล้ว ถูกขัดขวาง ถูกต่อต้าน อย่างรุนแรง อย่างมากมาย สาหัสสากัน ในฐานะเป็นมนุษย์ พระองค์ก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ แต่ก็ผ่านมาได้ ชนะมาได้ตลอด จนถึงวินาทีสุดท้ายที่สวนเกเสมเน อธิษฐานถึง 3 ครั้ง บอกพระเจ้าว่าเป็นไปได้ไหม?  ไม่ต้องไปตะแลงแกง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นไปได้ไหม? 3 ครั้ง คุกเข่าอธิษฐาน ทรุดลงอธิษฐาน ด้วยความกลัว  แต่ พระเจ้าทรงเงียบ ก็คือไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้เรียบร้อยแล้วนั้น

            เมื่อพระองค์มีกำลัง พระองค์ก็ตัดสินใจ  โอเค เพราะฉะนั้น ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้วกัน แล้วจากนั้น พระองค์ก็ลุกขึ้น  แล้วก็เดินไป แล้วก็สั่งสาวกเหล่านี้ บอกสาวกเหล่านี้ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าท่านต้องอยู่ในเรานะ  มันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้  เรากับท่านจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไปสร้างบ้านของเราอยู่ในตัวของท่าน ท่านจงรอคอยนะ ที่ๆ เราจะไป ท่านไปไม่ได้หรอกตอนนี้ แต่เราจะกลับมารับท่าน

            พูดสั่งเสียเสร็จเรียบร้อย ก็อธิษฐาน ก่อนที่จะไปทำให้สำเร็จ คราวนี้อธิษฐานของจริงเลย อธิษฐานตามภารกิจที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้มาทำบนโลกใบนี้ คืออธิษฐานเกี่ยวกับการไถ่มนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงอธิบายไว้ และพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจตรงตามเป้าหมายนี้เรียบร้อยแล้ว  สำเร็จเรียบร้อยมา 2,000 ปีแล้ว

            เราลองมาดูว่าคำอธิษฐานที่เป็นคำอธิษฐานจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่จะไปทำภารกิจให้สำเร็จนั้น พระองค์อธิษฐานอย่างไร? อยู่ในหนังสือยอห์น บทที่ 17 พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์แท้จริงเลย ทั้งหมดมี 26 ข้อ ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อที่ 26 เป็นคำอธิษฐานของพระเยซูหมดเลย  เราจะได้รู้ว่าพระองค์จะทำอะไรบนไม้กางเขน เป็นไปตามที่ตะกี้เราได้เรียนรู้กันเป๊ะ คือให้มนุษย์มาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พ้นจากความบาป เราจะข้ามข้อ 1 ถึงข้อ 13 ไป ท่านไปอ่านเองก็ได้

            พออธิบายกับสาวกจบ เสร็จปุ๊บ พระองค์ก็เริ่มอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้น และอธิษฐานมาถึงพวกเราทุกๆ คนบนโลกใบนี้ด้วย ชัดเจน อันนี้ ถือเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูจริง ที่ควรจะจดจำเอาไว้ ควรจะไม่ลืม ดังที่พระเยซูบอกว่า …

            “ท่านกระทำพิธีนี้ อย่าลืมสิ่งที่เราทำให้กับท่าน”

            ก็คือคำอธิษฐานเหล่านี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์กระทำสำเร็จ มา 2,000 ปีแล้ว แต่ที่เรากำลังจะอ่านนี้ เป็นคำอธิษฐานที่พระองค์ทรงเริ่มต้นก่อนที่จะไปทำภารกิจ  แต่ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าทำภารกิจนั้นสำเร็จเรียบร้อยตามคำอธิษฐานเป๊ะเลยทันที ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ข้อ 14 ถึงข้อ 26 เกี่ยวข้องกับเรามาก ข้อ 1 ถึงข้อ 13 ยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรามากนัก ยังอยู่ในการอธิษฐานให้กับสาวก 12 คนนั้นอยู่ นึกภาพนะ 12 คนอยู่ใกล้ชิดที่สุด ก่อนที่พระองค์จะเข้าไปสู่ภารกิจ สุดท้ายจริงๆ มีอยู่ 12 คน เราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว

            คำอธิษฐานของพระเยซู ในยอห์น 17:1-13 อธิษฐานให้สาวก 12 คน พอตั้งแต่ข้อ 14 มันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว เดี๋ยวเราลองติดตามดู มันตื่นเต้นดีว่านี่แหละ คือคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ที่แท้จริง  ที่เราควรจะติดตาม และจดจ่อ และจะไม่ลืม ท่องได้ ยิ่งดี จำได้เท่าไรยิ่งดีเท่านั้น พูดแล้วยิ่งดี เอเมนทุกข้อเลยว่าพระองค์ทำสำเร็จไปแล้ว สรรเสริญพระเจ้า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอเมน   เพราะเป็นคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ของแท้จริงๆ เอเมน

            อธิษฐานให้เขาได้ยินด้วย เขาจะได้จดเอาไว้  ใครจดเอาไว้? สาวก 12 คนนี้ จะได้จดเอาไว้ว่าพระองค์อธิษฐานอย่างนี้  เขายังไม่รู้เรื่องเลย  ไม่เข้าใจละเอียด  แต่พระองค์บอกเขาว่าตอนนี้ท่านยังไม่รู้ละเอียด แต่หลังจากนี้ไป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระวิญญาณจะนำท่านไปสู่ความจริงเหล่านี้ทั้งปวง ก็คือวันเพ็นเทคอสมา

            คราวนี้เราจะเริ่มคำอธิษฐานของพระเยซูที่แท้จริง ในหนังสือยอห์น 17:14-26 เราเริ่มต้นจากข้อ 14 ให้เห็นภาพสมมติว่าเราเป็นสาวก 12 คน แล้วพระเยซูสั่งเสียเสร็จปุ๊บ พระเยซูก็อธิษฐาน ในบทที่ 17 ข้อ 1 เลย บอกว่าพระองค์ทรงเงยหน้าขึ้น แล้วก็พูดว่า …

            “พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์”

            คุ้นๆ ไหม?  คุ้นๆ กับหัวข้อเรื่องไหม? คำอธิษฐานในมัทธิว 6:9-15 “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์” อันนั้นไม่ใช่ของจริง อันนี้ของจริง พระองค์อธิษฐานจริง

            “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ ลูก หมายถึงตัวพระองค์เอง อธิษฐานให้กับพวกสาวกเหล่านี้ ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้กับลูก …” 13 ข้อ สาวกก็นั่งฟังอยู่ พอข้อ 14 พระองค์ทรงอธิษฐานอย่างนี้ ยอห์น 17:14  เริ่มต้น …

        ยอห์น 17:14 “ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว  แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา  เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”

            “พวกเขา” ก็คือสาวก 12 คน แต่ว่าตอนท้ายของคำอธิษฐาน ที่บอกว่าพวกเขานี้ ไม่ใช่เฉพาะสาวก 12 คนเท่านั้น  แต่รวมไปถึงผู้เชื่อ ในการประกาศข่าวประเสริฐของ 12 คนนี้ด้วย  เหลือ 11 คน ก็คือผู้ที่ทรยศ ก็คือยูดาส แล้วก็มีคนมาแทน

            สาวก 12 คนหรือ 11 คนนี้ ไม่ใช่อธิษฐานให้กับเขาอย่างเดียว แต่อธิษฐานให้กับคนที่เขาเชื่อในการประกาศข่าวดีของกลุ่มนี้  เริ่มต้นจาก 12 คนหรือ 11 คนนี้  ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีนี้  เขาก็จะได้รับตามที่พระองค์ทรงกระทำให้ บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้

            “ลูกได้ให้คำสอนของพระองค์แก่พวกเขาแล้ว แต่โลกนี้เกลียดพวกเขา  เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกนี้ เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลกนี้”

            ไม่ได้เป็นของโลก ก็คือพวกเขาที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาเป็นของพระคริสต์ เป็นของพระเจ้าแล้ว เขาไม่ได้เป็นของโลก โลกนี้เป็นความบาป เขาไม่ได้เป็นความบาป เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว จากการเชื่อและวางใจในข่าวดี  คือวางใจในเรา ผู้เป็นพระเมสิยาห์  ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ข้อ 15-16

        ยอห์น 17:15-16 “15 ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองพวกเขา ให้พ้นจากมารร้ายตัวนั้น 16 พวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูก ไม่ได้เป็นของโลก”

            พวกเขา ก็คือสาวก 12 คนนี้ กับผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่เขาจะประกาศมาถึงนั้น ก็หมายถึงคริสเตียนทุกคนที่เชื่อ รวมทั้งเราด้วย ที่เชื่อและวางใจในพระเยซู

            พระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทั้งหลาย คริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวก็ตามหรือชาวต่างชาติที่ได้รับข่าวประเสริฐ ผ่านมาทางชาวยิวก่อน จำได้นะ ชาวยิวเป็นพวกแรก  พวกที่สอง คือชาวต่างชาติ ทั้งสองพวกเกิดจากการวางใจในพระเจ้าเหมือนกัน  เราก็คือคริสเตียนเหมือนกัน  มีค่าเท่ากัน ตรงนี้กำลังพูดถึงเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน  เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ที่เป็นต่างชาติ ฟังข่าวดีนี้ จากการประกาศของชาวยิว ในหนังสือ 2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า)  และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            “พ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว ก็คือเกิดจากความบาปที่อยู่ภายใน” ก็คือเมื่อเราวางใจและเชื่อในพระเยซู เราไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไป เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ตามพันธสัญญา ได้มีส่วนเข้าไปอยู่ในพระลักษณะของพระเจ้า  เข้าไปมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเหมือนกับพระเจ้า  เราไม่ใช่ของโลกอีกต่อไป

            นี่คือสถานะของคริสเตียน ที่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย  จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น  ใครเชื่อก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้แหละ  เขาจะได้บังเกิดใหม่ ตามพันธสัญญา พ้นจากการเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากความบาป ที่อยู่ในใจของเขา  เขาจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            ตะกี้เราอ่านข้อ 15-16 ไปแล้ว … “ลูกไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลกนี้”

            เห็นหรือยัง แม้ว่าเขาจะเกิดใหม่ เป็นของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ลูกไม่ได้ต้องการให้เขา ออกไปจากโลกนี้เลย ก็คือไม่ใช่พอเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเป็นคริสเตียนแล้ว ให้พระเจ้านำกลับไปเลย ก็คือไปอยู่ในสวรรค์เลย  ไม่ใช่ ให้เขายังคงอยู่บนโลกใบนี้ แต่ลูกขอให้พระองค์คุ้มครองป้องกันเขา ให้พ้นจากมารร้ายนั้น และพวกเขาไม่ได้เป็นของโลก เหมือนกับที่ลูกไม่ได้เป็นของโลก

            มารร้าย คือใคร? ก็คือมาร ก็คือซาตาน ที่ครอบครองโลกใบนี้อยู่ คุ้มครองเขาพ้นจากมารร้าย ก็คือขอพระองค์ทรงปกป้องเขา จากการชั่วร้ายบนโลกใบนี้ทั้งปวง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เราไม่ต้องห่วงอะไรเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า  พระเจ้าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยัน ประทับตราในจิตใจของเราว่าเราเป็นคนของพระเจ้า เราไม่ใช่ของโลกนี้ แม้ว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ก็ตาม  แต่เราอยู่ในสวรรค์ด้วย เราเป็นพลเมืองสวรรค์ เรารู้ได้อย่างไร? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ประทับตราอยู่ในจิตใจเรา ยืนยันอยู่ในใจเราตลอดเวลาว่าเราเป็นพลเมืองของพระเจ้า รอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป สวมร่างกายใหม่ เราเป็นเหมือนพลเมืองพระเจ้า ที่รอคอยองค์พระเยซูคริสต์ปรากฏ และเราก็จะปรากฏ พร้อมองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ด้วยร่างกายใหม่  เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ความมืด ความเกลียดชัง

            แต่เราชนะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด เราอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า ท่ามกลางความบาป ความมืด ความเกลียดชัง  เราเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู เราไม่เหมือนกับชาวโลกทั่วๆ ไป  เราเป็นความสว่างท่ามกลางความมืดบนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะเราทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่วางใจในข่าวประเสริฐของพระองค์ และวางใจในพระองค์ เราได้มีใจใหม่ วิญญาณใหม่ ความคิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว จากหน่อเชื้ออมตะ ที่เป็นของพระเจ้า นั่นหมายถึงอย่างนี้ว่าเราไม่ใช่ของโลกแล้ว พระเยซูกำลังบอกว่าเขาไม่ใช่ของโลกนี้ ยอห์น 17:17 ต่อไป …

          ยอห์น 17:17 “แยกพวกเขาจากโลกนี้  มาเป็นของส่วนพระองค์  ที่จะใช้สอย แต่เพียงผู้เดียว ด้วยความจริงของพระองค์  ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริงแท้”

            นี่คือคำอธิษฐานของพระเยซู และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จบนไม้กางเขน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั่นเอง

            “แยกพวกเขาออกจากโลก” พระเจ้าแยกพวกเขาออกจากโลกเลย ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เห็นหรือยังว่าบนโลกใบนี้ เหมือนมี 2 อาณาจักร อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของโลก เต็มไปด้วยความมืด อีกอาณาจักรหนึ่ง อาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรแห่งความสว่าง

            แยกพวกเขาออกมาจากโลก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ที่จะใช้สอยเพียงผู้เดียว  ด้วยความจริงของพระองค์ ก็คือด้วยถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐของพระองค์ ที่เป็นความจริงนั้น ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าแยกเขาออกมา เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ซึ่งเราเรียกกันว่าชำระ

            ชำระ ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องพยายามชำระตัวเองให้สะอาดดี มีความประพฤติที่ดี ไม่ได้หมายความอย่างนั้น “ชำระ” นี้ หมายถึงพระเจ้าทรงแยกเราออกมา วิธีการแยกของพระองค์ เดี๋ยวเราเรียนต่อไป จะเห็นชัดเจน แยกจากความมืดมาสู่ความสว่าง คุ้นๆ หูไหม? เหมือนโคโลสีที่ได้บันทึกไว้ว่าแยก ก็คือการย้ายเรา แสดงว่าก่อนจะย้าย เราอยู่ในที่มืด ขอพระเจ้าทรงย้ายเราจากที่อยู่ในที่มืด อยู่ในความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ โดยผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ถ้อยคำแห่งความจริง นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้  คือย้ายเราจากความมืด ความบาป มาสู่ความสว่าง ความบริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในข่าวดี ซึ่งเป็นถ้อยคำแห่งความจริง เราจะถูกแยก ถูกย้ายหรือไม่? ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า

            ฟังให้ดีๆ คำอธิษฐานนี้ ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  พระเจ้า พระบิดา ได้แยกเรา  ได้ย้ายเรา มนุษย์ทั้งปวง เรียบร้อยแล้ว จากความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายมนุษย์ทั้งปวง มาอยู่ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว  มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว จากความมืด ขึ้นอยู่ว่ามนุษย์คนนั้น เชื่อในความจริง ในข่าวดีนี่หรือไม่? ที่พระเยซูประกาศ เชื่อหรือไม่เชื่อ จะถูกย้ายหรือไม่ถูกย้าย ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้น ซึ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ ทำให้เรียบร้อยแล้ว  แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็เหมือนกับไม่ได้ทำให้ แต่ทำให้หรือยัง? ทำให้เรียบร้อยแล้ว และพระเยซูตรัสว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น  ที่ท่านทั้งหลายจะสามารถเข้าสวรรค์ เข้าหาพระบิดาในสวรรค์ได้  เข้ากับพระบิดาได้ มีทางเดียวเท่านั้น  คือท่านต้องย้ายออกมา จากอาณาจักรของความมืด มาสู่ความสว่าง ย้ายออกมาจากความบาป มาสู่ความชอบธรรม และพระเจ้าทำให้สำเร็จแล้ว  ท่านยอมย้ายหรือไม่ย้าย ยอมให้พระเจ้าแยกท่านออกมาหรือไม่แยก ตรงนี้มากกว่า นี่เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องทำ

            จำได้ไหมตะกี้บอกว่าแยกกับย้าย ภาษาหนึ่งที่มีความเข้าใจผิด  คือไปแปลว่าเป็นการชำระ เราต้องชำระตัวเราเองให้สะอาดหมดจด แล้วเราถึงจะไปอยู่กับพระเจ้าได้ ไม่ใช่ พระเจ้าชำระเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าย้ายเรา แยกเราออกมาแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเยซูอธิษฐาน …

        ยอห์น 17:18 “ลูกได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลก เหมือนกับที่พระองค์ส่งลูกเข้ามาในโลกนี้”

            “ลูกได้ส่งพวกเขา” พวกเขา ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ทั้งชาวยิวและชาวที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เป็นคริสเตียน พระเยซูส่งเขาเข้าไปในโลก เห็นไหม? ขณะที่เราเป็นคริสเตียน เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ เราอยู่ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้เราอยู่ พระเยซูทรงให้เราอยู่

            เป้าหมายของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือการเป็นทูต ตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เหมือนกับที่พระเยซูเป็นทูต เป็นตัวแทนของพระเจ้า ส่งมาบนโลกใบนี้ พระเยซูก็ส่งเราเข้ามาในโลกใบนี้ เหมือนกัน ทำอะไรเหมือนกับพระเยซู พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ทำการประกาศข่าวดี  เรื่องการไถ่บาป  เราไม่ต้องทำการไถ่บาป  เพราะว่าพระเยซูทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เรามีหน้าที่ประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทั้งปวง  เรามีหน้าที่ฉายแสง ความสว่าง ที่อยู่ในตัวเราเท่านั้นเอง …

        ยอห์น 17:19 “เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นของส่วนพระองค์ ที่จะใช้สอยแต่เพียงผู้เดียว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นของส่วนพระองค์ แต่เพียงผู้เดียวในความจริง”

            “เพื่อประโยชน์ของพวกเขา และเป็นตัวแทนของพวกเขา” ก็คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง บนโลกใบนี้ “ลูกได้แยกตัวเอง” เห็นไหมครับ? ถ้าเราแปลออกมาว่าลูกได้ชำระตัวเอง พระเยซูไม่ต้องชำระตัวเองอีกแล้ว พระองค์บริสุทธิ์ สะอาด มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่ได้ทำบาปเลย ไม่ต้องชำระตัวเองสักหน่อย  จึงไม่แปลว่าชำระ จึงแปลว่าแยก ย้าย

            “ลูกได้แยกตัวเอง ให้เป็นส่วนของพระองค์” ก็คือลูกยอมบังเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ และเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย  ไม่ได้เป็นของโลก ได้ถูกแยกออกจากโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป มนุษย์เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาป ที่เป็นแสงสว่าง เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ เป็นส่วนพระองค์ ที่พระองค์จะทรงใช้สอย  เป็นไปตามน้ำพระทัยนั่นเอง

            แยก เพื่อเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ที่จะถูกแยกพิเศษ เป็นของพระองค์ผู้เดียว ที่จะใช้สอย บริสุทธิ์ สะอาด  ไม่มีใครแตะต้องได้  นี่หมายถึงตัวพระองค์ทรงยอมแยกตัวเองมา ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง  เพื่อประโยชน์ของพวกเขา  พระองค์ทรงยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทน

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าพระองค์ได้ซื้อเรา ด้วยราคาแพง ตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ คือด้วยสถานะของพระเยซูที่เป็นพระเจ้า ด้วยพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งหลั่งที่ไม้กางเขน เราจึงสามารถเป็นผู้ที่ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าทรงเป็นชีวิตที่อยู่ในเรา และเป็นเจ้าของชีวิตเราทั้งหมดเลย เพราะว่าพระองค์เป็นผู้แยกเราออกมา ไม่ใช่เราแยกตัวเราเอง  เราเพียงแต่รับสิทธิของเราเท่านั้น สิทธิของเราในพระเยซูคริสต์ทรงกระทำให้เรา

            ถึงข้อที่ 20 แล้ว คราวนี้เราจะเห็นชัดแล้วว่าที่ตะกี้ผมพูดว่าเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ …

        ยอห์น 17:20 “แต่ลูกไม่ได้อธิษฐานให้คนพวกนี้ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูกยังอธิษฐานให้คนที่จะเชื่อในตัวลูก โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย”

            “ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้ คืออัครสาวก 12 คน” ไม่ได้อธิษฐานให้เขาเท่านั้น  เขาฟังอยู่ ลูกยังอธิษฐานให้คนที่เชื่อในตัวลูก ก็คือเชื่อในพระเยซู โดยผ่านทางคำประกาศของพวกเขาด้วย คำประกาศของใคร? ของสาวก 12 คนนี้ เริ่มต้นประกาศ ก็จากอัครสาวกเหล่านี้ ประกาศ เริ่มต้นที่ชาวยิว แล้วก็ประกาศออกไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก มาถึงคนไม่เชื่อทั้งหลาย ผ่านทางเปาโลเห็นหรือยัง สิ่งเหล่านี้ ทำเพื่อมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนใดก็ได้  ที่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง ที่เขาจะได้รับสิ่งที่ลูกกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว …

        ยอห์น 17:21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์  ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            มันก็คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพทั้ง 3 พระภาคนั่นเอง “ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย” พวกเขา คือชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย  พวกเรา คือตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  “เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา” เพื่อโลกทั้งหลายจะเห็นความยิ่งใหญ่ อย่างอัศจรรย์ของคริสเตียน คือผู้เชื่อทั้งหลายว่าดำเนินชีวิต โดยที่มีตรีเอกานุภาพอยู่ในตัวเขา

            ท่านรู้หรือไม่ว่าร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่  และพระเจ้าผู้นี้เป็นตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  ทั้ง 3 พระภาคได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ภายในร่างกายนี้ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ เหมือนเปาโลที่ได้บันทึกเอาไว้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ แห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์นี้ ยิ่งใหญ่เพียงใด มหาศาลเพียงใด อยากให้ท่านได้รู้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำแดงสิ่งเหล่านี้ให้ท่านรู้ และฤทธิ์เดชอำนาจตอนที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในท่านทั้งหลาย ผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าเราผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะไปไหน? ทำอะไรก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้าง เราอยู่ในพระองค์ผู้สร้าง อยู่ในทีมผู้สร้าง คือตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าที่เป็นตรีเอกานุภาพนี้ อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเรา พูดง่ายๆ ว่าเราจะไปที่ไหน มี 4 วิญญาณไปด้วย ตลอดเวลา  ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่รู้ ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราก็ตาม  พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในเรา …

        ยอห์น 17:22-23 “22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา(ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”

            เกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์  คือชีวิตของพระเยซู เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริ และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เกียรติสิริอันนี้ ความยิ่งใหญ่ คือฤทธิ์เดชอำนาจ ตอนที่พระเจ้าได้ประทานเกียรติสิริให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ขณะที่พระองค์ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย พระคัมภีร์บอกว่าเป็นการที่พระเจ้า ประทานเกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์กลับคืนให้กับพระเยซูคริสต์ กลับคืนสู่สภาพพระเจ้า  ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น

            ชีวิตนิรันดร์ มีลักษณะเป็นความรักนิรันดร์ เป็นความสว่างนิรันดร์ เป็นความบริสุทธิ์นิรันดร์ เป็นความดีนิรันดร์ เป็นความยินดี เป็นความสุขนิรันดร์ เป็นสถานะ เป็นสมาชิก เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านิรันดร์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจยิ่งใหญ่นิรันดร์ เป็นความรักที่เหมือนพระเจ้านิรันดร์ นี่คือชีวิตนิรันดร์ ที่เราได้รับจากพระเจ้า มันเยอะมาก จนไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ชีวิตนิรันดร์ คือพระลักษณะของพระเจ้านิรันดร์ที่อยู่ในเราทั้งหลาย

            “เกียรติสิริ ชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์ทรงประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้กับเขา” พระองค์ พระเยซูได้รับมอบ ความเป็นขึ้นจากความตาย  ได้รับชีวิตนิรันดร์นี้  ได้รับเกียรติสิรินี้ จากพระเจ้า  และพระองค์ก็ทรงแบ่งให้กับพวกเราทุกคน  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ได้รับการแบ่งตรงนี้หมด พระองค์ก็ทรงให้กับมนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น รู้หรือไม่รู้? รู้แล้วรับหรือไม่รับ? จะเอาหรือไม่เอาเท่านั้น มันถึงง่ายอย่างนี้ไง ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คนที่เชื่อ ก็จะได้ เพื่อให้ชีวิตนิรันดร์กับเขา เพื่อว่าเขาจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับลูก ก็คือกับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายอยู่ในลูกแล้ว พวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ในเรา ก็คือในตรีเอกานุภาพ

            สมบูรณ์ คือเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในพระเจ้า  และพระเจ้าเป็น 3 พระภาค เราก็ได้เข้าไปอยู่ข้างใน เหมือนไข่แดง พระคัมภีร์บอกว่าชีวิตของเรา คริสเตียน ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า  ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเราทั้งหลายที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรามีชีวิตอยู่ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า

            “ฉันได้อยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

        ยอห์น 17:24 “พระบิดาในที่ที่ลูกอยู่นั้น ลูกอยากให้คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูกอยู่ที่นั่นกับลูกด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ให้กับลูก เพราะพระองค์รักลูก ก่อนที่พระองค์จะสร้างโลกนี้”

            “คนพวกนี้ ที่พระองค์ให้กับลูก” คนพวกนี้ คือผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียน เท่ากับพระเจ้าให้เราเป็นของขวัญ ให้พระเยซู เพราะฉะนั้น เท่ากับเราผู้เชื่อ หรือคริสเตียนนั้น เราเป็นของขวัญ ที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เราเป็นของขวัญนะ ที่พระเจ้าได้ให้กับพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูก็บอกว่าให้เราได้อยู่ที่นั่นกับลูกด้วย ก็คือนั่งอยู่กับพระองค์ด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เราก็ได้นั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน

            พระเจ้าตรีเอกานุภาพเห็นคุณค่า อันเลิศหรูในชีวิตของเราทั้งหลาย มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มากเลย มอบมนุษย์ทุกคนให้เป็นของขวัญอันล้ำค่าในพระคริสต์ มอบเรามนุษย์ทุกคน ขึ้นอยู่กับมนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินแล้ว ยอมไหม? ที่จะให้พระเจ้ามอบ ยอมไหมที่จะเป็นของขวัญของพระเจ้า  ที่มอบให้กับพระเยซู ขึ้นอยู่กับเรายอมไหม?  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพระเยซูจะเอาเราไหม?  พระองค์ทำไปเรียบร้อยแล้ว  ได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เพื่อเราจะได้เห็นและสัมผัสประสบการณ์แห่งพระสิริของพระองค์ ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย

            มอบชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา เป็นของขวัญของพระเยซู พระเยซูก็มอบพระลักษณะพระเจ้าให้มาอยู่กับเรา เกียรติสิริก็มาอยู่กับเรา และเราก็ดำเนินชีวิตโดยเกียรติสิริ คือชีวิตของพระเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์เลย เราจะค่อยๆ เรียนรู้ประสบการณ์การดำเนินชีวิตกับพระเยซูคริสต์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ …

        ยอห์น 17:25 “พระบิดา พระองค์สัตย์ซื่อ โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ลูกรู้จักพระองค์ และพวกศิษย์เหล่านี้ก็รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน คำว่ารู้จักนี้ ไม่ได้หมายถึงรู้จักกันเผินๆ แต่รู้จักกัน เหมือนอยู่ในครอบครัวกันเลย จริงๆ แล้วสนิทสนมกันมากถึงลักษณะเหมือนกับสามีภรรยากัน เรารู้จักพระเจ้า หมายถึงเราสนิทสนมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นเหมือนสามีภรรยา คุ้นเคยกันมาก มันหมายถึงอย่างนั้น …

        ยอห์น 17:26 “ลูกทำให้เขารู้จักพระองค์ และลูกก็จะทำอย่างนี้ต่อไป เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อลูกจะอยู่ในตัวพวกเขา และเพื่อว่าลูกก็จะอยู่ในตัวพวกเขาด้วย”

            “ลูกทำให้พวกเขาได้รู้จักพระองค์” ก็คือการตายของลูกที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตายของลูก ทำให้เขาได้สามารถเข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งกับพระองค์ เข้ามาสนิทสนม เหมือนสามีภรรยากับพระองค์ สนิทสนมกันได้ มันหมายถึงอย่างนั้น และความสนิทสนมกันนั้น ทำให้เกิดความดีงาม  ความรักของพระองค์ถ่ายทอดจากตัวของพระองค์มาสู่ลูก และไปสู่พวกเขาทุกคนผู้เชื่อในนามของเรา วางใจในเราว่าเราเป็นผู้นั้น ที่มาช่วยให้รอด

            เพื่อความรักของพระเจ้าจะได้ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ในมนุษย์ผู้ที่เชื่อ และพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา เป็นความรักของพระเจ้านั่นเอง มันหมายถึงอย่างนี้ มันจึงทำให้เขาเป็นความรักของพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเขา ลูกก็จะอยู่ในตัวเขาด้วย  ก็คือพระเยซูคริสต์จะอยู่ในตัวเขาด้วย  ก็คือความรักของพระเจ้า  ความรักของพระคริสต์ก็จะอยู่ในตัวของเรา ผู้เชื่อศรัทธาด้วย

            ข่าวดีที่สุด ก็คือทั้งหมดที่พระองค์ทรงอธิษฐาน  พระองค์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีแล้ว ข่าวดีกว่านั้น คือเงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ สำหรับมนุษย์ทุกคน ที่อยากจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำไปแล้ว ที่เราได้เรียนรู้กันมา จากคำอธิษฐานนี้  สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาต้องทำ เงื่อนไขเดียวที่เขาต้องทำ ก็คือเชื่อและวางใจในคำประกาศข่าวดีที่มาถึงท่าน เชื่อในถ้อยคำข่าวดีนี้เท่านั้น

            มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ได้ แค่วางใจ เชื่อเท่านั้น มันง่ายนิดเดียวจริงๆ แต่มันยาก เพราะว่ามันเป็นทางแคบ ตามที่พระเยซูบอก  เพราะว่ามันง่ายเกิน อะไรแค่วางใจแค่นี้ ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพเลย จริงๆ มันเรื่องจริง แค่วางใจ ก็สามารถเข้ามาอยู่ในตรีเอกานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุดได้แล้ว พระเยซูประกาศข่าวดีนี้ มา 2,000 ปีแล้วว่าทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้ได้ ก็คือในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ง่ายๆ แค่นี้เอง  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข่าวดี และวางใจการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ที่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์ และได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย เชื่อตรงนี้  แค่นี้เอง

            ท่านก็จะอาศัยอยู่ในโลกนี้  แต่ขณะเดียวกัน ตรีเอกานุภาพของพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด 3 พระภาคก็จะอยู่กับท่านตลอดไป ท่านจะอาศัยอยู่ในโลกนี้ อยู่ในความบาปหรือไม่? หรือจะอยู่ในความมืดต่อไป โดยมีวิญญาณที่โดดเดี่ยว ไม่มีพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวท่านเลย  อยู่ในความมืด อยู่ในความพินาศอย่างนั้น ต่อไปหรือไม่?  หรือจะมี 3 พระภาค พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวท่าน มีตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในตัวท่าน เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ขึ้นอยู่กับตัวท่านทั้งนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวท่านได้ยินแล้ว แค่เชื่อในนามพระเยซูคริสต์เท่านั้นจริงๆ พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์ เจ้าของสวรรค์ ประกาศเตือนมวลมนุษย์ที่รักยิ่งว่า … “ใครก็ตามที่พยายามเข้าสู่สวรรค์ มาอยู่กับพระองค์ โดยการพึ่งพาตนเอง ในการพยายามสั่งสม กระทำความดีตามกฎบัญญัติ ศีลธรรม เพื่อจะได้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม ปราศจากมลทิน ไร้ตำหนิใดๆ ตามมาตรฐานของพระองค์ โปรดฟังทางนี้!”

            กาลาเทีย 3:10-11 … “เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติ (ตามกฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ  ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ก็ถูกสาปแช่ง” เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยการรักษากฎธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ได้เลย  เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ” (จะเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ โดยการบังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น)”

            ยากอบ 2:10 … “เพราะว่าใครก็ตามที่พยายามถือรักษาธรรมบัญญัติ (กฎศีลธรรม) ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว  คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด”

            “โอ้โห! อย่างนี้ใครจะทำได้ล่ะ?” … มนุษย์ถามพระเจ้า

            พระเจ้าตอบ … “นั่นน่ะสิ! เจ้าถึงต้องตายแล้วบังเกิดใหม่งัย!”

            พระเยซูพูดเสริม … “สำหรับมนุษย์นั้นก็เหลือกำลัง แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้  พระเจ้าสามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ได้ โดยผ่านทางเรา”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1429

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  สิงหาคม  2023

เรื่อง “แม่ ในพระเยซูคริสต์”

โดย ธิดารัตน์ ร่มพระคุณ

            จริงๆ วันเกิดเราก็เป็นวันแม่ ความจริงแล้ว วันแม่ควรจะมีทุกวัน ก็เนื่องจากว่าการได้ตั้งปฏิทินไว้ ก็ดีอย่างหนึ่งว่าเราดำเนินชีวิตในโลกนี้ เราก็จะเหมือนกับละเลยการที่จะหันมาสนใจผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้าน  แล้วเรามัวแต่ทำมาหากิน จนกระทั่งเราไม่ได้หันกลับมาสนใจ หรือว่าหันมามองผู้ที่เป็นบุพการีของเรา  ที่มีอายุมากแล้ว  แล้วต้องการการพึ่งพิงจากเรา ซึ่งบางครั้ง บางครอบครัว ก็ …

            “ไม่จำเป็นหรอก คุณไม่ต้องมาทำอะไรให้ฉันหรอก ขอให้คุณมีชีวิตที่ดี ก็พอแล้ว” …        บางครอบครัวก็จะเป็นอย่างนั้น

            ในหนังสือ 2 โครินธ์ 3:2-3  เป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไปถึงเมืองโครินธ์  ที่ได้บอกว่าคนในโครินธ์ เป็นเหมือนตัวหนังสือ ที่ทำให้ได้เห็นถึงพระคุณ ความดีงามของพระเจ้า

        2 โครินธ์ 3:2-3 (TH1971) “2  ท่านเองเป็นหนังสือของเรา จารึกไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน 3 ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์”

            ในขณะที่ดิฉันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นความเป็นแม่ของหลายๆ ครอบครัว ในคริสตจักรของพระเจ้า  ทำให้เห็นถึงพระเจ้าในชีวิตของทุกคน  แน่นอนพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงพระองค์แล้ว  พระเจ้าได้อยู่ท่ามกลางเรา  และพระเจ้าทรงอยู่กับเรา  และพระเจ้าทรงอยู่ในเรา  ดิฉันถึงได้เห็นชีวิตของครอบครัวหลายๆ ครอบครัว ที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า

            สิ่งหนึ่งที่ดิฉันชอบมากๆ ก็คือการได้มองดูครอบครัวของพระเจ้า ในคริสตจักรแห่งนี้ ดิฉันจะมีความสุขมากๆ แล้วดิฉันก็เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง ที่งดงามมากๆ แน่นอนคำว่างดงามของดิฉัน ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นยอดเยี่ยม เพอร์เฟค ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นดี แต่บางครั้งครอบครัวทะเลาะกัน ตีกัน  แต่ยังเห็นความงดงามของพระเจ้า ในชีวิตของครอบครัวเหล่านั้น ดิฉันเห็นได้อย่างไร? เพราะว่าพระคริสต์ได้อยู่ในคนเหล่านั้น

            การที่เราจะมาอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า วันแม่ หลายๆ คริสตจักร หลายๆ ที่ หรือว่าตามสถานที่ต่างๆ ก็มักจะมาสอนว่าเราจะต้องเป็นแม่แบบไหน? เราจะต้องเป็นลูกแบบไหน? แต่ในพระเยซูคริสต์เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงอยู่ในเราทุกคน  และทุกคนมีความเป็นครอบครัวที่พระเจ้าทรงนำพา ให้มีรูปแบบการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน พระเจ้าจะอยู่ในท่าน และทรงนำท่านในการเลี้ยงดูบุตรหลานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

            เรามาดูแม่คนแรกของโลกใบนี้กัน พระเจ้าทรงสร้างโลกที่งดงาม ดียอดเยี่ยม แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้น คือผู้หญิงคนนั้นเอวาได้กบฏต่อพระเจ้า ก็คือตัดสินใจที่จะพึ่งพาในตัวเอง  ไม่พึ่งพาพระเจ้า โดยการกระทำการอย่างหนึ่ง ก็คือทำในสิ่งที่เรียกว่าไม่เชื่อฟัง …

        ปฐมกาล 3:13-20 “13 พระเจ้าตรัสถามหญิงว่า …  “เจ้าทำอะไรไป”  หญิงนั้นทูลว่า … “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” 14 พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า … “เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกสาปแช่ง มากกว่าสัตว์ใช้งาน และสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดิน จนตลอดชีวิต” 15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” 16 พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า … “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมาย ในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามี และเขาจะปกครองตัวเจ้า” 17 พระองค์จึงตรัสแก่อาดัมว่า … “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลไม้ที่เราห้าม แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะตัวเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดิน ด้วยความทุกข์ลำบากจนตลอดชีวิต 18 แผ่นดินจะให้ต้นไม้และพืชที่มีหนามแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชต่างๆ ของทุ่งนา เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับเป็นดินไป 19 เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” 20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่า … “ เอวา”  เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต”

            นี่คือต้นสายปลายเหตุ มนุษย์คู่แรก ก็คือบรรพบุรุษของเราได้ล้มลงในความบาป  และเมื่อล้มลงในความบาป สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเราต้องตาย ทางด้านร่างกาย และเราต้องตายฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริง

            มนุษย์หล่นลงในความบาปแล้ว มันหนักตรงนี้ คือว่าพระพรยังอยู่ เมื่อพระเจ้าทรงตรัสแล้ว ไม่คืนคำ เมื่อตรัสออกไป สิ่งนั้นจะต้องเกิด และยังดำรงอยู่ และไม่ถูกลบออก เพราะว่าในพระวจนะของพระเจ้า ตอนที่พระองค์ทรงสร้างโลก  และได้สร้างมนุษย์สำเร็จนั้น ในปฐมกาล 1:26-28 บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:26-28 “26 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” 27 พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง 28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน

            พระพรยังอยู่ ในขณะที่มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ต้นแบบของเรา ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้า  ได้กลายเป็นมนุษย์ที่ตายแล้ว ฝ่ายวิญญาณ  หมายความร่างกายเราจะดำรงไปสู่ดิน   และวิญญาณของเราตาย แต่ว่าพรข้อนี้ยังอยู่ …

            “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน”

            มันจะเกิดอะไรขึ้น ในโรม 5:12 บอกว่า …

        โรม 5:12 (TH1971) “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            นั่นหมายความว่ามนุษย์ที่เป็นมนุษย์บาปได้ทวี ดกขึ้นจนเต็มแผ่นดิน ถามว่าพระวจนะพูดถูกไหม? เราย้อนกลับไปดูโลกของเรา ไม่ว่าวิวัฒนาการจะดียอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม มนุษย์ก็ยังทำลายล้างโลกใบนี้ ค่อยๆ ทำลายล้าง เราเกิดมา สิ่งที่เราอยู่ เรากิน เรานอน เราก็ทำร้ายตัวเอง เราบอกว่าเราเกิดมา เราอยู่ในครอบครัว เราแต่งงานด้วยความรัก สุดท้าย เราก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน ความรักของเรา ก็ไม่สมบูรณ์  เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราเลี้ยงลูกเรา เรารักลูกเราปานจะกลืนกิน เรารักชนิดว่าตายแทนเขาได้ แต่ในพฤติกรรม การกระทำในแต่ละวันที่เรากระทำ บางครอบครัวใส่บาดแผลลงไปในจิตใจของลูกๆ ของตนเอง จนกลายเป็นมนุษย์ที่ผิดเพี้ยนมากขึ้นๆ ไปกว่าเดิม เราจะสังเกตว่ามนุษย์ก่อนหน้านี้ ที่เข้มงวดมากๆ จะเป็นรุ่นของผู้ใหญ่ที่เด็กรุ่นนี้เรียกว่าดึกดำบรรพ์ ก็จะเป็นพ่อแม่ที่เข้มงวดมากๆ พอรุ่นต่อมาก็เรียนรู้จากพ่อแม่ที่เข้มงวดนั้น ก็กลายเป็นครอบครัวที่ …

            “แต่ก่อนนี้ฉันไม่มีฐานะ  ฉันไม่มีอะไรมาก ตอนนี้ฉันมีฐานะแล้ว ฉันจะปรนเปรอลูกของฉัน ทุกอย่าง ที่สมัยก่อนฉันเคยขาด”

            ส่งลูกเรียนทุกอย่าง จนลูกไม่มีเวลาที่จะเล่นเลย  ทุกอย่างถูกป้อน เพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างที่เอาตัวรอดได้ ทุกคนพยายามต่อสู้กับความบาปของโลกนี้ พยายามต่อสู้กับความเสื่อมของโลกนี้ โดยการใส่ทุกอย่างลงไปในชีวิตของลูกตัวเอง แล้วผลพวงก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนเกิดอะไรขึ้น พระวจนะของพระเจ้าบอกว่าในยุคสุดท้ายนี้ ความรักจะเยือกเย็นลง ลูกหลานจะไม่ฟังเราแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่คิดว่าจะเจอ ตอนนี้เจอแล้ว  ออกมาพูดกันในโซเซียลถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ไม่ใช่บุญคุณ  แต่เป็นหน้าที่ แน่นอนเป็นหน้าที่ค่ะ  แต่ในหน้าที่นั้น แฝงด้วยความรัก แฝงด้วยความทุ่มเท ความอดทนนาน การเสียสละ อย่างใหญ่หลวงของพ่อแม่ ฉะนั้น บางคนอาจจะไม่เห็นสิ่งนี้ของพ่อแม่ ทำให้ไม่สามารถที่จะนึกถึงด้านของการกตัญญูกตเวที หรือไม่ได้มองเห็นถึงความรู้สึกว่าเป็นบุญคุณ

            การกตัญญูกตเวทีกับการมีบุญคุณ มันต่างกัน มีบุญคุณ หมายถึงเรายึดไว้ในใจด้วยตัวของเราเอง แล้วเราตอบแทนสิ่งนั้น กตัญญูกะตรรกเวที ต้องเกิดมาจากความเป็นมนุษย์ของเรา มนุษย์ที่เกิดมา ที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่มนุษย์ผิดเพี้ยน และไม่สามารถที่จะกตัญญูกตเวทีได้  อาจจะมีหลายๆ ปัจจัย เช่น ความยากลำบากในชีวิต ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ได้ เพราะว่าแค่ตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว  มีปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อคลอดลูกออกมา ก็เลี้ยงลูกไม่ไหว ลูกก็ลำบาก เกิดบาดแผล ความบาปก็แผ่กระจายไปเต็ม ลงไปในจิตใจ ในโรม 3:23 บอกว่า …

        โรม 3:25 (TH1971) “เพราะว่าทุกคนทำบาป  และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”

            แน่นอนเราอยู่ในโลกโซเซียล ในทุกวันนี้ เราอาจจะเห็นครอบครัวหลายๆ ครอบครัวที่พยายามจะสร้างครอบครัวตัวเองให้เป็นครอบครัวที่ดี ถามว่าได้ไหม? ได้ อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อไรก็ตามที่มนุษย์ได้เอาตัวเองเข้าไปสู่ภายใต้กฎแห่งระเบียบที่ตัวเองสร้างขึ้นมา โดยการที่วางระบบระเบียบเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ด้วยตัวเองได้ ครอบครัวนั้น ก็จะสามารถที่จะสร้างครอบครัวที่ดีให้กับตัวเองได้เช่นกัน  ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้าแล้วเขาจะทำไม่ได้ เขาทำได้  แต่อย่างที่บอก ต่อให้ทำได้ ครอบครัวเขารอดไหม? อันนั้นต่างออกไป

            ดังนั้น ในโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน เราก็สามารถที่จะทำให้ครอบครัวเราล้มเหลวได้เหมือนกัน เราสามารถที่จะทำให้ครอบครัวเรา ไปได้อย่างราบรื่น ดีงามได้เหมือนกัน มนุษย์ในโลกนี้มีความเท่าเทียมกัน ในการสร้างตนเอง สร้างครอบครัวที่ดีหรือไม่ดีได้ แต่ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะสามารถทำให้รอดได้ แม้แต่ครอบครัวคริสเตียนเอง  ไม่ใช่ว่าท่านกำเนิดลูกมาแล้ว ลูกของท่านจะเป็นคริสเตียนอัตโนมัติ อันนี้ต้องบอกก่อน ก็คือว่าลูกทุกคน ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องมีความสามารถตัดสินใจ ด้วยตัวเองว่าเขาจะวางใจในพระบุตรนี้หรือไม่?  เขามีสิทธิของความเป็นมนุษย์ ที่จะตัดสินใจว่าเขาจะวางชีวิตลง เลือกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่? ดังนั้น อย่าโมเมว่าเราอยู่ในครอบครัวคริสเตียน ลูกเราจะเป็นคริสเตียนตามไปด้วย โดยที่เราไม่ทำไรเลย

            หลายครั้งเวลาเราสอนอยู่บนเวทีนี้ เราก็จะบอกว่าเราได้ความรอด โดยไม่ทำอะไรเลย อันนั้น  พระเจ้าเป็นผู้ทำ แต่พระวจนะของพระเจ้าได้บอกไว้ว่าให้เรานำทางบุตรหลานของเรา ไปในวิถีอันชอบธรรม เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเราไปในวิถีอันชอบธรรมของพระเจ้า  เราจะต้องให้เขาได้เรียนรู้ในความเป็นตัวเอง โดยการพึ่งพาพระเจ้า  โดยการวางใจพระเจ้า  และนำพาเขามาสู่ความรอด ในพระเจ้า มนุษย์มีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ดังนั้น เมื่อเรามีสายสัมพันธ์ทางสายเลือด เมื่อเราเกิดมาในโลกนี้  ถ้าเราไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ เรายังเป็นกลุ่มก้อนที่ เป็นมนุษย์ที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ  ก็คือว่ามีสายพันธุ์ที่จะต้องตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณด้วย

            มนุษย์ตกลงไปในกฎของความบาปและความตาย จำเป็นจะต้องมีบทบัญญัติมาควบคุมมาชี้ให้เห็นการกระทำบาปของตัวเอง  ทำไมบทบัญญัติจึงจำเป็นสำหรับคนที่ไม่เชื่อ  เพราะมีไว้สำหรับควบคุมหรือให้เราดูว่านี่คือบาป อย่าทำ  นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ อย่าทำ ทำไปแล้วมันจะทุกข์ มันจะเป็นกรรม เราตีความเป็นกรรมในโลกหน้า  แต่จริงๆ แล้วกรรมของการกระทำมันเกิดขึ้นในโลกนี้ สิ่งใดดี เราทำ เราได้กินผลของความดี สิ่งใดที่ไม่ดี เรากระทำ เราก็กินผลของมัน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ดังนั้น บทบัญญัติจึงมีไว้ สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า จำเป็นต้องมี ไม่มีไม่ได้ สังคมวุ่นวายแน่ๆ

            ดังนั้น พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์เป็นแบบนี้ จึงเตรียมแผนการกอบกู้โลกให้รอด จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว ทันที เมื่อเกิดขึ้น ในปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

        ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

            นี่กำลังพูดถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมาเกิด ว่าไม่ใช่พงศ์พันธุ์ตามสายเลือดของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เราเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเอวา มนุษย์ที่เป็นคนบาป ที่มีความตายอยู่ในนั้น จำเป็นจะต้องอยู่ใต้บัญญัติ บัญญัติใดบัญญัติหนึ่ง บัญญัติ 5 ข้อ บัญญัติ 8 ข้อ บัญญัติ 600 กว่าข้อ เราต้องมีบัญญัติ หรืออยากเขียนบัญญัติเองก็ได้  แต่มนุษย์จำเป็นต้องมีบัญญัติ เพื่อจะให้ตัวเองไม่หล่นลงไปในการทำกรรมให้กับตัวเอง  แต่รอดไหม? อย่างไรก็ไม่รอด เพราะว่าจะดีไม่ดี ก็ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ นั่นก็คือมนุษย์ที่มาจากสายพันธุ์ของเอวา คือตายแล้ว ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สายพันธุ์นี้ ก็จะต้องตาย ดังนั้น ไม่ว่าใครที่เกิดออกมา ก็เป็นมนุษย์แห่งความบาป ตามสายพันธุ์ของพันธุกรรม ถ้าไม่เชื่อ ลองย้อนกลับชีวิตของตัวเอง ตอนเด็กๆ เราว่าแม่เรานิสัยอย่างนั้นอย่างนี้ พอโตแล้ว ท่านเห็นแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ท่านเคยเห็นพฤติกรรมของแม่ท่านในตัวท่านไหมค่ะ ดิฉันเห็นนะคะ บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวแม่ บางอย่างที่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเห็นว่านิสัยหลายอย่างของแม่ พฤติกรรมหลายอย่างของแม่อยู่ในตัวเรา นิสัยหรือพฤติกรรมหลายอย่างของพ่ออยู่ในตัวเรา เราเป็นเชื้อสายและพงศ์พันธุ์ที่สืบทอดพันธุกรรมแห่งความบาป

            ดังนั้น พระเจ้าจึงเตรียมผู้หนึ่งที่ต้องไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกันกับเรามาไถ่เรา การไถ่ถอนนั้น จะต้องเป็นการไถ่ถอนที่มีค่าสูงกว่า ถ้าเอามนุษย์กับมนุษย์มาไถ่กัน ไถ่ไม่ได้ ต้องเอามนุษย์มีค่าสูงกว่าเรา ถึงจะไถ่ได้ เวลาที่เราเป็นหนี้ เราเอาที่ดินเราจำนอง จำนำ  เราจำนำล้านหนึ่ง เราไม่สามารถเอาเงินล้านหนึ่งไปไถ่ แล้วเขาจะให้เราคืน  เขาไม่ให้เราคืนนะ เราจะต้องไถ่ด้วยราคาที่สูงกว่า อาจจะเป็นล้านห้า สองล้าน สามล้าน บางคนดอกเบี้ยโหดมาก จะเป็นห้าล้าน แต่ดอกเบี้ยชีวิตเราโหดจริงๆ ค่ะพี่น้อง สูงมาก จนต้องใช้ พระบุตรของพระเจ้ามาไถ่เรา ในมัทธิว 1:20-23 บอกว่า …

        มัทธิว 1:20-23 “20 แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21 เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า “เยซู” เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา 22 ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า 23 “ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล (แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา)”

            ในพระวจนะของพระเจ้าในยอห์น 3:16 บอกว่า …

        ยอห์น 3:16-18 (TH1971) “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก  มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลก ให้รอดโดยพระบุตรนั้น 18 ผู้ที่วางใจในพระบุตร ก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจ ก็ต้องถูกพิพากษา ลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจ ในพระนามพระบุตร องค์เดียวของพระเจ้า”

            ดังนั้น เป็นวิธีเดียว ก็คือว่ามนุษย์จะต้องย้ายสายพันธุ์ บ้านของเราเป็นบ้านของคริสเตียน เมื่อเราคลอดลูกออกมา เราจะต้องนำพาลูกของเราย้ายฝั่ง คลอดออกมาปุ๊บ อย่าลืมว่าร่างเรา ยังเป็นร่างที่อยู่บนโลกนี้อยู่ ดังนั้น เราจะต้องนำพาบุตรหลานของเรา มาวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยตัวของเขาเอง  เขาต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง โรม 6:3-4 เราต้องเข้าส่วนร่วมกับการตาย การฝัง และการเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ …

        โรม 6:3-4 “3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมา เข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้น เข้าในความตายของพระองค์” 4 เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมา เข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา จากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน”

            ในหนังสือโรม 5:18 บอกว่า …

        โรม 5:18 (TH1971) “ฉะนั้น การพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น”

            ดังนั้น การตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ก็นำการปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปและความตาย จากมนุษย์ที่ตายแล้ว กลายมาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตในพระเยซูคริสต์มนุษย์ที่ตายกลับมีชีวิตใหม่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการที่มนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแต่ลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวคริสเตียน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ จะต้องบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ ย้ายเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นพงศ์พันธุ์เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือการที่ตะกี้นี้เราได้เป็นสายพันธุ์ทางสายเลือดในพระเยซูคริสต์ สายใยของพันธุกรรม ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ให้เป็นแบบเดียวกันกับพระคริสต์ นั่นคือการบังเกิดใหม่ เป็นการบังเกิดใหม่ที่สำเร็จแล้ว เมื่อ 2,000 ปี ก่อนที่จะสำเร็จ พระเยซูคริสต์ได้คุยกับนิโคเดมัสถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ ถ้าใครอยากจะรู้ ก็ไปอ่านในหนังสือยอห์น บทที่ 3 ได้

            สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักและรู้จริงๆ ก็คือว่าในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของคริสเตียนหรือไม่ใช่ครอบครัวของคริสเตียนก็ตาม ไม่มีภาพชีวิตของมนุษย์คนใดหรือครอบครัวใด ที่จะสวยงาม 100% ต้องพูดว่าทั้งเป็นคริสเตียนและไม่เป็นคริสเตียน  ไม่มีครอบครัวไหนสวยงาม 100% ทุกๆ ครอบครัวมีปัญหาของเขาเอง  ทุกๆ ครอบครัวมีความยากลำบากแสนสาหัส ทุกๆ ครอบครัวมีความทุกข์ในแต่ละวาระของชีวิตไม่เหมือนกัน  แต่ในพระวจนะของพระเจ้าได้บอกว่าจงรักซึ่งกันและกัน แล้วให้เราพยุงกันและกัน ดูแลกันและกัน และไม่พิพากษาตัดสิน

            และสิ่งหนึ่งที่ผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรนี้หรือคริสตจักรอื่นๆ  ควรจะต้องทำอย่างยิ่ง คืออย่าเข้าไปล่วงล้ำสิทธิการปกครองดูแลของคนในครอบครัวใคร? สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักและรับรู้ ก็คือทุกคนมีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขาเหล่านั้น  ทุกคนมีพระเจ้าเป็นผู้ดูแล และเป็นผู้ให้คำปรึกษาเขาอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากเรา อย่าก้าวเท้าของเราเข้าไปล่วงล้ำ หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวคนอื่น และตัดสินวิธีการเลี้ยงแบบนั้นแบบนี้ของแต่ละครอบครัว เราไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่มีสิทธิ์ เหมือนกันกับที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์มาในโลกนี้ ไม่ได้มาพิพากษาโลก แต่มาช่วยกู้โลกให้รอด

            เราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินครอบครัวของคนอื่นว่าควรจะทำแบบนั้น หรือแบบนี้  เราทุกคนที่เป็นพี่น้องคริสเตียน อยู่ร่วมกัน สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าที่เปาโลมักจะพูดกับเรา พระเยซูพูด คือให้เรารักซึ่งกันและกัน พยุง ดูแล ช่วยเหลือ พร้อมในความยากลำบาก  เมื่อใดก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้นและอยากจะร้องไห้กับเรา ร้องไห้กับเขา เมื่อไรก็ตามที่เขายกหูโทรศัพท์ขึ้น เพื่อที่จะระบายความทุกข์ของเขา ให้เราฟัง จงฟัง เมื่อใดก็ตามที่เขาขอการช่วยเหลือ ให้เข้าไปช่วยเหลือในครอบครัว เราค่อยก้าวเข้าไป  โดยการพึ่งพาในพระเจ้า โดยการไว้วางใจในพระเจ้า  เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม  เราก็อาจจะพลาดพลั้งได้ถึงการพึ่งพาตัวเองกับพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เรามีลูก มีบุตรหลาน  เราเลี้ยงได้แต่ตัว  เราไม่สามารถควบคุมดูแลจิตใจและจิตวิญญาณของเขาได้  มีสิ่งเดียวที่เราจะสามารถทำได้ ก็คืออธิษฐาน พึ่งพา วางใจในพระเจ้า  สำหรับบุตรหลานของเรา  สำหรับสุขภาพของแม่เรา พ่อเรา สำหรับคนที่เรารัก และห่วงใย อธิษฐานๆ และอธิษฐาน

            ดิฉันเห็นหลายๆ ครอบครัว ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่เชื่อในพระเจ้า  แต่สิ่งหนึ่งที่มี ก็คือไม่ว่าเขาจะอายุขนาดไหนแล้ว  เขาก็เป็นเหมือนหลังคาบ้านให้กับลูกหลาน คืออธิษฐาน และพร้อมอยู่ ที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณกับลูกๆ เสมอ เป็นที่ปรึกษาและคอยแบ็คอยู่ข้างหลังเสมอ เราอาจจะให้เงินทองลูกไม่ได้แล้ว  ไม่มีกำลังในการเลี้ยงดูลูก  บุตรหลานของเรา  แต่เราสามารถที่จะให้คำปรึกษาทางด้านวิญญาณลูกหรือเปล่า? เราสามารถมีถ้อยคำแบบเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่จะให้ถ้อยคำนั้น เข้าไปอยู่ในชีวิตของลูกเราหรือไม่?

            ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าอย่าทุกข์ร้อน แน่นอนเราอยู่ในโลกนี้ มีแต่ความกลัว ความน่ากลัวว่าลูกเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร? พ่อแม่เราสุขภาพไม่ดีแล้ว เราจะเป็นอย่างไรบ้าง? พ่อแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง? ยิ่งตัวเราเอง โตแล้วเราจะเป็นอย่างไรบ้าง? ในพระวจนะของพระเจ้าในฟีลิปปี 4:6-7 บอกว่า …

        ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

            และในโรม 8:28 บอกว่า …

        โรม 8:28 (TH1971) “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

            ในอิสยาห์ 49:15 พระเจ้าตรัสกับพวกเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคนว่า …

        อิสยาห์ 49:15 “ผู้​หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง และจะไม่เมตตาบุตรชาย จากครรภ์ของนางได้​หรือ? แม้ว่าคนเหล่านี้ยังลืมได้ กระนั้นเราก็จะไม่ลืมเจ้า”

            จำไว้อย่างหนึ่งว่าในขณะที่เราเกิดในโลกนี้ ทุกวันนี้โลกใบนี้มันทำตัวให้ง่ายขึ้น เราจำคำที่อ่านพระคัมภีร์ตอนต้นๆ ได้ไหมบอกว่า …

            “เมื่อเจ้าคลอดลูก เจ้าจะเจ็บปวดมาก”

            เขาบอกว่ามีความเจ็บปวดที่ร้ายแรงที่สุด เท่าที่ดิฉันทราบ ก็คือการเจ็บปวดแบบคลอดลูก คืออันดับแรก อันดับต้นๆ เลย และการเจ็บปวดมะเร็ง  และการเจ็บปวดฟัน ปวดฟันนี้จี๊ดขึ้นสมอง แต่สำหรับดิฉันขอบวกเข้าไปอีกอันหนึ่ง ปวดชนิดที่อยากจะตายไปทีเดียว ก็คือปวดประจำเดือนของผู้หญิง สำหรับดิฉันแค่ประสบการณ์ปวดอันนั้น  ก็ปวดมากแล้วนะ แต่ในพระวจนะของพระเจ้าบอกว่าเขาจะเจ็บปวดมาก ในรุ่นของดิฉัน แม่คลอดแบบธรรมชาติ  ทุกวันนี้บางคนก็ยังเลือกที่จะคลอดแบบธรรมชาติ  แต่หลายคนเลือกที่จะผ่าคลอด ถามว่าผิดไหม? ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ก็จะไม่ได้ชิมรสชาตินั้น  แล้วหนักไปกว่านั้น ก็คือสมัยดิฉัน ดิฉันยังได้ดื่มนมจากอกแม่ ทุกวันนี้ เนื่องจากสุขภาพร่างกายของมนุษย์ก็ไม่ดีขึ้น  เมื่อคลอดลูก บางคนก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงลูกด้วยเลือดที่กลั่นออกมาเป็นนมให้ลูกได้ ก็เลี้ยงลูกด้วยนมวัว นมที่ผลิตจากโลกนี้  เราก็อาจจะไม่ต้องแปลกใจว่าพฤติกรรมของเด็กในอนาคตข้างหน้า จะเป็นอย่างไรต่อไป

            เลือดแม่มีประโยชน์มากๆ ให้ชีวิตเรา พ่ออาจจะเป็นผู้ที่เป็นต้นกำเนิดที่เข้ามาฝังตัวในรังไข่ของแม่ แต่ผู้ที่ให้การเจริญเติบโตเรา ฟูมฟักเรา ก็คือแม่ที่ฟูมฟักเราในครรภ์ของเธอ แม่กินอะไรเรากินด้วย แม่เจ็บป่วย เราเจ็บป่วยด้วย  แม่กินไม่ดี เรากินไม่ดีด้วย  แม่กินดี เรากินดีด้วย ในครรภ์และเจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ และคลอดออกมา แล้วยังเอาเลือดของเธอให้เราดื่มกิน จนกระทั่งคนที่ได้ดื่มนมของแม่ ส่วนใหญ่แล้วนายแพทย์จะบอกว่าเป็นผู้ที่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่าคนที่ดื่มนมที่แปรรูป

            ดังนั้น การที่จะมีชีวิตจริงๆ ของมนุษย์ ก็คือเลือดและเนื้อของพ่อของแม่ เช่นเดียวกัน การที่เรากำเนิด เกิดใหม่ขึ้นมาได้ ก็ต้องดื่มเลือดและเนื้อของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อผ่านมาตะกี้นี้ เราก็ทำมหาสนิทใช่ไหมค่ะ? นั่นคือสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น

            ดังนั้น เราที่อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า จึงเป็นเสมือนพี่น้องที่คลอดมาจากท้องเดียวกัน คือท้องพระเจ้า คือท้องฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า เราเป็นพี่น้องกันในองค์พระเยซูคริสต์ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือดูแล หนุนใจ ให้กำลังใจกัน สิ่งใดที่ผิดพลาดไป ล้มไป พยุงกันขึ้นมา ดูแลกัน เดินไปด้วยกัน และอย่าลืมสิ่งหนึ่ง ก็คือว่านำพาลูกหลานของท่าน ไปในวิถีทางอันชอบธรรมของพระเจ้า แล้วท่านจะไม่หนักหนาในการเลี้ยงดูบุตรหลานของท่าน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ให้มีมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?

            1 ทิโมธี 6:17-19 … “17 จงกำชับบรรดาผู้ร่ำรวยในโลกปัจจุบันนี้ ไม่ให้หยิ่งทะนง หรือฝากความหวังไว้กับทรัพย์สมบัติ ซึ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่จงหวังใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อความเบิกบานใจของเรา”

            ความหมาย คืออย่าฝากความหวังไว้ที่ชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภ ยศ สรรเสริญที่ได้รับบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่จีรังยั่งยืนมันอยู่ชั่วคราว ไม่สามารถนำติดตัวไปสวรรค์หลังความตายได้ แต่จงเบิกบานใจยินดี พอใจในสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้กับเรา ผู้เชื่อทุกคนอย่างเพียงพอแล้ว ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยินดีในทรัพย์สินในโลกวิญญาณในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

            “18 จงกำชับเขาเหล่านั้นให้ทำดี ร่ำรวยในการทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เต็มใจแบ่งปัน”

            ความหมาย คือแต่จงนำเกียรติยศ ชื่อเสียง ลาภ ยศ  สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าประทานให้บนโลกใบนี้นั้น ใช้ให้เป็นประโยชน์บนโลกนี้ ด้วยการทำดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และแบ่งปันจากใจ ด้วยความรักความยินดี และเต็มใจ ไม่รู้สึกฝืนใจ

            “19 การทำเช่นนี้ จะเป็นการสะสมทรัพย์สมบัติไว้ให้ตนเอง เป็นรากฐานมั่นคงสำหรับยุคหน้า เพื่อเขาจะได้รับชีวิตอันเป็นชีวิตแท้”

            ความหมาย คือการกระทำเช่นนี้ มิได้เป็นการเพิ่มพูนรางวัล คือชีวิตนิรันดร์ และทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ในฐานะเป็นคริสเตียน เพราะคริสเตียนทุกคนไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ก็ได้รับรางวัลนี้เท่าๆ กัน เพราะทุกคนได้รับโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการประพฤติปฏิบัติดีของตนเองเลย

            แต่ … การกระทำเช่นนี้ เป็นการย้ำยืนยันให้กับตนเองในความหวัง ในความรอดนิรันดร์ คือเกียรติสิริ ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์สถาน ที่ประทานให้แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งเป็นมรดกที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว พร้อมกับชีวิตนิรันดร์หลังความตาย

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1428

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 6

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เรามาเรียน “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” วันนี้ตอนที่ 6 ก็ยังคงเน้นอยู่ตรงนี้อยู่ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราจับรากฐานตรงนี้ได้ หัวใจของข่าวประเสริฐทั้งหลาย เราจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น  และจะไม่ถูกหลอก

            พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือมัทธิว ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ รวมๆ หมด บอกไว้อย่างนี้ว่าการทำศาสนกิจ  คือการรักษาบทบัญญัติของชาวยิว หรือถ้าเผื่อไม่ใช่ชาวยิว ก็คือการรักษาศีลธรรม บทบัญญัติทางศาสนา อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็น  แล้วเราก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ที่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุข และมีความทุกข์น้อยที่สุด รวมกัน เป็นสิ่งที่ดี แต่มันดีไม่พอ  ที่จะสามารถทำให้ท่านได้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้  เราไม่สามรถทำสิ่งเหล่านั้นได้  นี่พูดกับชาวยิวนะ  แต่ท่านไม่ควรละเลยต่อความเมตตา ความรักที่อยู่ในใจ คือพูดง่ายๆ ว่าท่านไม่ควรละเลยสิ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่อยู่ในวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาป สกปรก เราต้องยอมรับความจริงเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดบ่อยๆ ในคำเทศนาบนภูเขา  ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี

            เพราะฉะนั้น เราอย่าเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูมาสอนให้ชาวยิว รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอนตรงนี้ แต่กำลังมาชี้ให้เขาเห็นว่าเขาจำเป็นที่จะต้องดูแล เรื่องวิญญาณที่อยู่ภายในของเขาที่สกปรก เป็นบาปอยู่  เพราะว่าการรักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนาของยิวนั้น ไม่สามารถที่จะช่วยให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ พระองค์ก็ไม่ได้สอนนะ เรียกว่าประกาศ

            ประกาศว่าพระองค์ เป็นพระเมสิยาห์  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ที่มาทำบนโลกใบนี้ คือจะมาช่วยเหลือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระองค์ คือพระบุตรของพระเจ้าที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่โบราณ พระองค์จึงประกาศว่าพระองค์ คือพระเมสิยาห์ หรือภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ คือภาษาฮีบรู แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือผู้ที่ถูกเจิมตั้ง ที่ถูกเลือกสรรเอาไว้ ตั้งแต่โบราณมาแล้วว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์  เรียกว่าพระคริสต์ เรียกว่าพระเมสิยาห์  ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ให้กับบรรพบุรุษของชาวยิว

            พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ มาช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากโทษของความบาป ซึ่งไม่มีทางที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ นอกจากจะพึ่งและวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น

            นี่คือประเด็นที่พระองค์มาประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เน้นไปที่ชาวยิวเท่านั้น ทั้งคำเผยพระวจนะ ที่ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับพระองค์นั้น  ที่พูดไว้ทั้งหลาย เป็นพันๆ ปีมาแล้ว พระองค์ก็ยกเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาพูดให้พวกเขาฟัง แล้วก็ทำอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย สิ่งเดียวที่พระองค์ต้องการ ก็คือบอกว่าที่ทำทั้งหมดนั้น เพื่อให้ท่านทั้งหลายเชื่อและวางใจว่าพระองค์เป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้าที่มาช่วยเหลือเขาทั้งหลาย  และบอกเขาทั้งหลายว่าสิ่งเดียวที่พระบิดาต้องการจากพวกท่าน (พระบิดาของชาวยิวนะ) ไม่ใช่รักษาบทบัญญัติทั้งหมดเหล่านั้น แต่ให้ท่านวางใจว่าเราเป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ เพราะนอกจากจะวางใจในเราแล้ว ไม่มีทางที่ท่านจะได้รับความรอดไปสวรรค์ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เป็นไปไม่ได้เลย

            พระองค์ คือพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว แล้วบริบทนี้  เราเรียนกันมา 6 ตอนแล้ว เรารู้ว่ากำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น  หลังจากไม้กางเขนแล้ว พระองค์ก็จะใช้ชาวยิวนี้ ที่วางใจในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ออกไปประกาศข่าวดีนี้ ให้กับคนต่างชาติอื่นๆ ทั่วโลกต่อไป ก็คือข่าวดีเดียวกันกับที่พระองค์ทรงประกาศให้กับชาวยิว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนกันเลย โดยที่พระองค์บอกว่าให้ประกาศ เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

            ข่าวดีนี้ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากบาป ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว บัดนี้ มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วมาช่วยให้รอด  จงวางใจในพระองค์ นี่คือข่าวดี ที่พระองค์ใช้ให้ชาวยยิวออกไปประกาศ  หลังจากที่พระองค์กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน

            ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่พระเยซูประกาศทั้งหมด ในบริบทที่เรากำลังเรียนรู้กันใน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้น  มันจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น วิญญาณมนุษย์จะได้บังเกิดใหม่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์พูดทั้งหมด  ใน 3 ปีนั้น  และมาประกาศทีหลังอีกนั้น ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของมนุษย์  เกี่ยวกับการอัศจรรย์ของมนุษย์ ซึ่งรวมสรุปเรียกว่าข่าวดี

            ข่าวดี คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของมนุษย์ ตามองไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริง มันเป็นจริง ซึ่งพระเยซูต้องการเน้นตรงนี้มากๆ คือเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ของวิญญาณของมนุษย์ที่สกปรกและเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์เดช จากพระเจ้าเท่านั้น  จึงจะกระทำได้  เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู เป็นฤทธิ์เดช  ทำให้เกิดการอัศจรรย์ การบังเกิดใหม่เลยทันที  มันไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำดี กระทำไม่ดี รักษาศีลหรือไม่รักษาศีล มันคนละเรื่องกัน อย่าเข้าใจตรงนี้ผิด แล้วจะมาบอกว่าพระเยซูไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการประพฤติบนโลกใบนี้เลย  มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกัน สนใจ สนใจมากด้วย  สนใจมากถึงขนาดล้วงลึกเข้าไปถึงวิญญาณของเรา มนุษย์ทุกคนเลยว่าเขาจะทำดี  ให้ครบถ้วนได้อย่างไร? ก็โดยการได้บังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุปมา ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง การใช้ข้อพระคัมภีร์เดิม เพื่อสนับสนุนสิ่งที่พระองค์ทรงพูดนั้น หรือคำเผยพระวจนะเดิมที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายพันปีมาแล้ว ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่  และเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย อ่านเมื่อไรก็ตาม จะตีความอะไรก็ตาม ก็ต้องให้ตีความไปในเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่าตีความตามโลกวัตถุ ตามความคิดสติปัญญาของมนุษย์ ตามเหตุผลความเข้าใจของเรา มันเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            อย่างเช่นตอนหนึ่งในนั้น พระเยซูยกตัวอย่าง เรื่องเกี่ยวกับเถาองุ่น  พระองค์เป็นต้นองุ่น  เราเป็นกิ่งก้าน ในหนังสือยอห์น 15:4-6 ลองดูนะ เวลาอ่าน ทำความเข้าใจ ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  อย่าอ่าน แล้วก็เข้าใจ เรื่องเกี่ยวกับวัตถุ ให้ทำอันโน้นอันนี้ ไม่ใช่ กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณว่ามันจะเกิดอย่างนี้ขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าว่าถ้าท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เมื่อไร? ในโลกวิญญาณพระเจ้าจะทำอย่างนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ลองอ่านดู …

        ยอห์น 15:4-6 “4 จงมาอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้าน จะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัย ต่อติดอยู่ในเรา ฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเรา อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

            นี่ผมเติมให้นิดๆ หน่อยๆ เพื่อจะให้ท่านเห็นถึงมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ ไม่ได้สอนให้ทำ แต่สอนให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นใคร? เชื่อในพระองค์ เราลองมาวิเคราะห์กันที่อ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 4 “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” เห็นไหมครับ? จงมาอาศัยอยู่ในเรา  อาศัยอยู่ในพระองค์อย่างไร?  ไม่เข้าใจ  แปลตรงตัวเลย  แบบภาษาเดิมเลย แปลว่าจงมาอาศัยอยู่ในเรา  คนไม่เข้าใจ ก็พยายามที่จะคิดแบบสติปัญญามนุษย์ ให้เข้าใจ ก็เลยไปแก้  แทนที่จะเป็นอาศัยอยู่ในเรา ก็เปลี่ยนเป็น “จงมาติดสนิทอยู่ในเรา” เห็นไหม?  เพราะติดสนิทมันยังทำได้ ก็คือไปวิหารบ่อยๆ  อธิษฐานบ่อยๆ พูดคุยกับพระองค์บ่อยๆ อย่างนี้เราทำได้ใช่ไหม?

            แต่บอกว่า “ให้ไปอาศัยอยู่ในพระองค์” ทำได้ไหมล่ะ  ทำไม่ได้แล้วนะ  เพราะฉะนั้น ไม่เอา เปลี่ยนเป็นถ้อยคำที่เราแปล แล้วเราสามารถทำได้ดีกว่า เพราะว่าเราอยากทำ ซึ่งมันหลงประเด็นทันทีเลย  “จงมาอาศัยอยู่ในเรา” อาศัยอยู่ในเรา แปลว่าจงเข้ามามีส่วนอยู่ในเราเลย นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย นี่โลกวิญญาณใหญ่เลย เข้าไปมีส่วนอยู่ในพระองค์อย่างไร? เหมือนที่พระองค์ทรงบอกว่า …

            “เจ้าจะไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อเรา ดื่มเลือดของเรา”

            คนรับไม่ได้ หนีพระองค์ไปเยอะเลย ในหนังสือมัทธิวเขียนไว้ เพราะเราพยายามที่จะเข้าใจแบบมนุษย์ แต่พระองค์กำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าพอเรารู้ถึงพื้นฐานของความเป็นจริงของสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศเหล่านี้ เราก็จะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นว่าเข้าใจแล้ว

            “จงมาอาศัยอยู่ในเรา เป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน” ก็คือวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณของพระองค์ ก็อยู่ในวิญญาณของเราทันที เป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            เราอ๋อ! ตามเลย เพราะมาจากพื้นฐานที่เรารู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณแน่นอนเลย ถึงแม้ว่าความคิด สติปัญญาของมนุษย์จะไม่สามารถที่จะล้วงลึกเข้าไปถึงว่ามัน คืออย่างไร? แต่อย่างน้อย ตามถ้อยคำพระเจ้า เราเอเมนได้ เพราะว่าเรารู้แล้วว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  พระองค์บอกอย่างนั้น แล้วเราก็เชื่อและวางใจตามนั้น และอีกอย่างหนึ่ง คือเรารู้ เพราะอยู่ในใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา บอกเรา

            “กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้” เห็นไหมครับ? เราก็คือกิ่งก้าน เราจะเห็นภาพเลย  กิ่งก้านเอามาเสียบไว้กับลำต้น ก็คือต่อกิ่งเข้าไป เป็นเนื้อเดียวกันเลย พระเยซูยกตัวอย่างอย่างนี้  ให้เราพอที่จะเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถามว่าพอเข้าใจ มันลึกซึ้งเหมือนจริงไหม? มันไม่เหมือนจริงหรอกกับโลกวิญญาณ แต่อย่างน้อยที่สุด ได้เห็นภาพว่าเหมือนเราเป็นกิ่ง จากต้นเดิม คือต้นอาดัม ตัดจากต้นอาดัมมาถึงปุ๊บ มาเสียบเข้าไปอยู่ในต้นของพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์เลย  และขณะที่อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน อ๋อ! เหมือนตะกี้ที่เราอ๋อ! กัน

            “เจ้าจะอาศัยติดอยู่ในเราฉันนั้น” เห็นไหมครับ?  พอเสียบเข้าไปปุ๊บ ก็ติดอยู่เลย ตอนนี้ติดอยู่ที่ไหน? วิญญาณเราก็ติดอยู่ในวิญญาณของพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ตรงนี้แหละ เรียกว่าบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 “เราเป็นเถาองุ่น” หมายถึงพระเยซูคริสต์ เราเป็นลำต้น ก็คือเป็นเถาองุ่น  “ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามมนุษย์คนไหนก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก” ก็คือเราเข้าไปอยู่ในต้นของพระคริสต์ เพราะฉะนั้น มันจะออกผล มันจะออกผลที่ลำต้นของมัน มันไม่ได้ออกผลที่กิ่ง ลำต้นดีปุ๊บ ผลมันก็ออกมาดี พระเจ้านำกิ่งเราไปต่อติดเข้าไปในพระเยซู เราทำหรือเปล่า? เราไม่ได้ทำ ทำไม่ได้ด้วย ทำอย่างไร? อาศัยอยู่ในพระเยซู ทำไม่ได้ เราได้แต่เชื่อและวางใจ ให้พระเจ้าเป็นผู้กระทำ และตรงนี้เรียกว่าอัศจรรย์นั่นเอง เรียกว่าการบังเกิดใหม่

            ข้อ 5 ตะกี้ คือเราเป็นเถาองุ่น  เป็นลำต้น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา  และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้น ก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา คือไม่ได้ต่อติดอยู่ในเรา ก็คืออยู่ในลำต้นเดิมนั่นเอง ลำต้นเดิม ก็คือลำต้นอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษที่เป็นบาปอยู่ หากแยกห่างจากเรา ไม่ได้ต่อติด อาศัยอยู่ในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลยในโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ

            จะรักษาบทบัญญัติของโมเสสให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ดีอย่างมากมาย ทำดีเยอะแยะมากมาย ท่านก็ไม่สามารถได้รับผลดีในโลกวิญญาณ หรือได้รับความรอดทางวิญญาณได้เลย ถ้าไม่ได้ต่อติดอาศัยอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ข้อ 6 “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ที่ลำต้นเดิม คือที่อาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป  เขาก็จะเป็นกิ่งก้านที่ตายไปด้วย  เพราะลำต้นมันตายอยู่ ก็จะถูกโยนทิ้งให้แห้ง รังแต่มีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง” ก็คือบึงไฟนรกนั่นเอง พอมองเห็นภาพไหม?

            จะเห็นได้อย่างไร? พื้นฐานต้องเข้าใจก่อนว่าที่พระเยซูกำลังพูด กระดุมเม็ดแรก คือเรื่อง เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำใดๆ เลย  ถ้าเราเข้าใจผิด เราก็จะเอา ข้อพระคัมภีร์ตรงนี้มาบอกว่าพระเยซูต้องการให้เราติดสนิทกับพระองค์เยอะๆ เราจะได้เกิดผล เพราะฉะนั้น เราต้องอธิษฐานเยอะๆ เราต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ เราต้องคุยกับพระเยซูบ่อยๆ

            ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่มันไม่ดีนะ มันดี แต่มันคนละประเด็นกัน ทำให้เกิดผลหรือไม่ ในโลกวิญญาณนั้น มันคนละเรื่องกัน สิ่งเหล่านั้น มันทำให้เกิดผล การอธิษฐานบ่อยๆ การมาโบสถ์บ่อยๆ  การอ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ ดีไหม? ดี เกิดเป็นผลอะไร? เกิดเป็นผล คือกระทำให้เรารับรู้ความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในความจริงมากขึ้น  เราเจริญเติบโตในการเป็นลูกพระเจ้า เข้าใจถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้น แต่มันไม่สามารถทำให้เราได้รับความรอดจากบึงไฟนรกได้เลย การรอดจากบึงไฟนรก ได้รับความรอดนิรันดร์นั้น ได้รับโดยผ่านทางการอาศัย ต่อติด เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ชัดสุด คืออย่าหลงประเด็น  อย่าเข้าใจผิดในคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์กำลังมาแนะนำให้เราทำอันโน่นทำอันนี่ ไม่มีเลย ยกตัวอย่างเช่น ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ แล้วเอาไปใช้ผิดๆ บ่อยๆ เช่น พระองค์ทรงสอนไว้ว่าถ้าทำบาป แล้วอยากทำให้บริสุทธิ์ ทำอย่างไร? ตัดมือทิ้ง ถ้าตาทำให้เกิดการทำบาป ให้ควักลูกตาทิ้ง ถ้าเป็นคนโลภ ไม่ติดสนิทกับพระเจ้าเพียงพอ ให้ขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างให้หมด แล้วให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับคนที่มาขอ โดยไม่ต้องถาม ให้เขาเลย ให้ผู้อื่นเอาเปรียบถึงที่สุด  เวลาอดอาหาร ก็อย่าให้ใครเห็นว่าเรากำลังอดอาหาร  หรือกำลังอธิษฐาน ก็ต้องแอบๆ อย่าให้คนเห็น หรือถวายทรัพย์ ก็ไม่ต้องประกาศนำหน้า อะไรอย่างนี้ ก่อนที่จะไปถวายสัตวบูชาที่วิหาร ให้ยอมคืนดีกับเพื่อนบ้านเสียก่อน  ก่อนที่จะมาถวาย  แล้วทำเสร็จเรียบร้อย ก็ไปรายงานตัวต่อสภาเซนเฮดริน สภาหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิว  อะไรอย่างนี้  สิ่งที่เราสามารถรู้ได้จากบริบทนี้ ก็คือกำลังพูดกับชาวยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราชาวต่างชาติเลย เราไม่รู้เรื่องเหล่านี้ เราไม่รู้จักเซนเฮดริน เราไม่รู้จักปุโรหิตอะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว

            พระองค์กำลังมาบอกอะไร? มาสอนให้ชาวยิวทำอย่างนี้เหรอ? ไม่ได้มาสอนให้ชาวยิวตั้งใจทำอย่างนี้ให้มันดีๆ  แต่พระองค์กำลังมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่มันไม่สามารถช่วยเหลือให้ชาวยิวได้รับความรอด ในโลกฝ่ายวิญญาณได้เลย มันคนละเรื่องกัน ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นเรื่องของชาวยิวทั้งสิ้น อยู่บนพื้นฐานประเพณี วัฒนธรรมทางศาสนาของยิว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวเลยแม้แต่นิดเดียว  นี่เป็นตัวย้ำยืนยัน

            เพราะฉะนั้นเราจะสังเกต ในหนังสือพันธสัญญาใหม่ทั้งเล่มเลย หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้ว  ที่ไม้กางเขน จดหมายฝากทุกฉบับของอัครทูตต่างๆ ไม่มีคนไหนเขียน แนะนำให้ผู้เชื่อใหม่กระทำตามอย่างนี้เช่นเดียวกัน ไม่มีคนไหนเลยมาเขียนบอกว่าถ้าทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ให้ควักลูกตาออก ไม่มีเลย ถ้าอดอาหาร อย่าให้ใครเห็น  ไม่มีเลย มีแต่บอกว่าให้ทำตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ให้ทำทุกสิ่งจากใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ให้ทำให้สมกับที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร?  เพื่อว่าจะได้เห็นภาพที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวดีอยู่นี้ว่ามันคืออะไร? ผมพยายามย้ำยืนยัน แล้วก็พูดซ้ำบ่อยๆ เลย 6 ตอน หรือตอนอื่น เรื่องอื่น ก็จะซ้ำอยู่เรื่องนี้  อธิบายให้เข้าใจ เพราะเราหลงทางมาเยอะแล้ว  เพราะฉะนั้น ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ชัดเจน จะเห็นภาพว่าพระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐว่าคืออะไร? อะไรที่มาบอกว่าไม่ได้มาสอนเรื่องการกระทำ มันคืออะไร? พระเยซูบรรยายบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ก็คือตะกี้ที่กำลังพูด บัญญัติของชาวยิวเหล่านั้น เป็นบัญญัติของชาวยิว ซึ่งพวกชาวยิวไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง เขาตั้งใจทำดีที่สุด แต่ทำไม่ได้ดี พระเยซูจึงยกตัวอย่างให้มันชัดๆ ให้มันสุดโด่งเลยว่าทำไม่ได้ ถ้าท่านจะทำได้ท่านต้องตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก ท่านละความโลภไม่ได้หรอก ถ้าท่านอยากจะละความโลภ ท่านต้องขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดเลย ถ้าท่านรักผู้อื่น  คิดเมตตาต่อผู้อื่น ท่านต้องเมตตาถึงขนาด ท่านต้องให้หมดเลย ไม่มีการบอกไม่ ใครมาขออะไรให้หมด อะไรประมาณนั้น

            ซึ่งกำลังพูดถึงว่าเขาทำไม่ได้หรอก การจะรักษาความบริสุทธิ์ของตนเอง ด้วยการประพฤติ ทำไม่ได้ การจะเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั้น ทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น ก็คือเพื่อจะย้ำยืนยันให้เขาได้รู้ว่าเขาจำเป็นต้องวางใจในพระเมสิยาห์ พระองค์ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่าเขาทั้งหลายเป็นคนบาปที่ป่วยหนัก เพื่อเขาจะได้กลับใจใหม่ หันมาหาความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น เลิกพึ่งพาความพยายามจะกระทำความดี เพื่อที่จะไปอยู่ในสวรรค์หลังความตาย เลิกซะ หันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ และนี่คือความจริงของบริบทคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ คือเป็นการประกาศข่าวดี และสาระสำคัญของข่าวดี ก็คือการบังเกิดใหม่  รวมทั้งหมด 3 ปีที่พูดไป

            ประเด็น ก็คือข่าวดี เรื่องการบังเกิดใหม่ และเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว พระคริสต์ ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายยุค หลายสมัยมาแล้ว  พระเยซูประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

            ตรงนี้ต้องเป็นพื้นฐานของเราตลอดเวลา ที่เราจะอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ ไม่อยากบอกว่าพระคัมภีร์ใหม่เลย เพราะตอนนั้น คือ 3 ปีที่พระเยซูตระเวนประกาศ ในมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น มันไม่ใช่พระคัมภีร์ใหม่ มันยังไม่ใหม่เลย เพราะพระเยซูยังไม่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ช่วงประกาศนั้น  เราต้องรู้ว่าพื้นฐาน ก็คือพระองค์ประกาศข่าวดี เกี่ยวกับฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ที่ทำให้คนได้เกิดใหม่  และเกิดใหม่มาเป็นอะไร?  เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  โดยแค่วางใจ เชื่อมั่นในการเป็นพระเมสิยาห์ของพระองค์เท่านั้นจริงๆ มีแค่นี้เอง พูดยกตัวอย่าง อุปมานี้ ทำอัศจรรย์ตรงนั้น ทั้งหมด รวมความแล้วต้องการเพียงสื่อให้ชาวยิวได้เห็นตรงนี้ แค่นี้เอง

            การบังเกิดใหม่ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์เรียกว่าอะไร? ตอนนี้เรารู้แล้ว กระดุมเม็ดแรกเราถูกแล้ว การบังเกิดใหม่เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เรียกว่าบัพติศมาไง เราจะเห็นชัดแล้ว เรียกว่าบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในสง่าราศี พระสิริของพระองค์ และนี่ก็คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง การบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และร่างกายได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซู และรอการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรากฏ เราทั้งหลาย  ก็จะปรากฏด้วย ในวันหนึ่งข้างหน้า นี่คือข่าวดีที่พระเยซูมาประกาศ ก่อนที่จะทำภารกิจสำเร็จบนไม้กางเขน  และหลังจากภารกิจเสร็จแล้ว ก็ยังคงประกาศเหมือนเดิม ลักษณะเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการจะให้เรามาทำอะไรเลย

            พระเยซูเรียกเราทั้งหลาย ที่วางใจในพระองค์ และบังเกิดใหม่ว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากตาย คือมีส่วนร่วมเข้าไปบัพติศมาในพระองค์ปุ๊บ ก็มีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์จึงเรียกเราว่าเป็นลูกแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ต้องการชี้ให้มนุษย์ได้เห็นว่ามนุษย์สามารถหมดเวรหมดกรรม ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมของตนเองด้วยวิธีใด? ก็ด้วยการเชื่อและวางใจในพระองค์ ก็โดยวิธีต้องตายจากตัวเดิมเสียก่อน แล้วมาเกิดใหม่ (มาเกิดใหม่จริงๆ) ไม่ใช่อุปมา เกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณ ให้พระเจ้ากำจัดตัวเก่าที่เป็นตัวบาป และทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้าสวรรค์ได้ นี่คือสาระที่พระองค์ทรงมาประกาศ

            พระเยซูไม่ได้มาสอนเราทำดี เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ได้ แต่มาบอกข่าวดีให้กับท่าน เรื่องความเป็นจริงของกฎของโลกวิญญาณว่าท่านต้องตายจากตัวเก่า ซึ่งเป็นบาปนี้ ต้องตายไปก่อน ต้องตายๆ และจะได้เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระเจ้าสามารถทำได้ แล้วพระเยซูก็ทิ้งท้ายว่าท่านเชื่อไหมว่านี่เป็นอัศจรรย์ พระองค์ต้องการให้เราเชื่อ ท่านเชื่อไหม?

            ไม่อย่างนั้นพระองค์จะยกตัวอย่างว่าถ้าท่านอาศัยอยู่ในเรา หมายถึงว่ามันขึ้นอยู่กับท่านนะ ท่านจะเชื่อไหม? ถ้าท่านเชื่อเรา วางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เพราะฉะนั้น พระเยซูประกาศ เน้นเรื่องบังเกิดใหม่  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระองค์ รับบัพติศมาในพระคริสต์ เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้น เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมา พระองค์ประกาศก่อนที่จะกระทำจนสำเร็จ หลังสำเร็จแล้ว ก็ประกาศอย่างนี้เหมือนเดิม เช่นเดียวกัน

            นี่คือหัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทำให้คนได้บังเกิดใหม่ เข้าส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า  และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับผู้นั้น ให้กับใครก็ได้ ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนยิว หรือคนต่างชาติก็ตาม สิทธินี้เกิดขึ้นทันที นี่คือข่าวดีที่พระองค์นำมาประกาศให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ชาวต่างชาติทีหลัง

            และหลังจากที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว  ก็สั่งสาวกให้ไปกระทำการประกาศข่าวดีนี้ในลักษณะเหมือนกันเลย  เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ท่านสังเกตเห็น ประกาศให้เชื่อและวางใจในตัวพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ ไม่ได้มาประกาศให้กระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะ ผมพยายามเน้นตรงนี้เรื่อยๆ หลายคนชอบบอกว่าเราไม่เห็นความสำคัญของการกระทำตามบทบัญญัติ ตามศีลธรรม มันคนละเรื่องกัน นี่เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ความรอดทางโลกวิญญาณ  ลองสังเกตดู กิจการของอัครทูต 2:38 ดูสิว่าสาวกเขาทำการประกาศลักษณะเดียวกันไหม?  สอนให้คนทำ หรือมาประกาศให้คนเชื่อและวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเมสิยาห์ …

        กิจการ 2:38 “เปโตรตอบว่า “พวกท่านทุกคนจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการทรงอภัยโทษบาปของท่าน และพวกท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน”

            เห็นไหม? นี่เป็นการประกาศครั้งแรกเลยของเปโตร อัครทูต เมื่อเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน ออกไปประกาศ  ก็ประกาศเหมือนกันอย่างนี้ …

            “พวกท่านจงกลับใจใหม่ และรับบัพติศมา ก็คือบังเกิดใหม่ ในนามของพระคริสต์ คือเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เพื่อได้รับการอภัยโทษจากบาปของท่าน แล้วท่านจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นของประทาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณของพระคริสต์ก็จะเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน”

            เห็นไหมเป็นการประกาศเกี่ยวกับเรื่องฤทธิ์เดช การบังเกิดใหม่  ไม่ได้มาประกาศให้ทำอะไรสักอย่างเลย แทนที่สมมติว่า …

            “พวกท่านทั้งหลายจงเลิกกระทำความชั่ว  เลิกขโมย  เลิกฆ่าคนตาย  รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ”

            ไม่ได้มาประกาศอย่างนั้น นี่กำลังชี้ให้เห็น พระเยซูประกาศให้กับชาวยิวก่อน ภายใต้พื้นฐานของขบนธรรมเนียมประเพณีและศาสนายิว  ที่รักษาบัญญัติของโมเสส และพระเยซูก็ประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติภายหลัง บนรากฐานของธรรมเนียมประเพณีและศาสนาของแต่ละชาติ แต่ลักษณะการประกาศเหมือนกัน ศาสนาไม่ใช่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่เพียงพอ เพราะไม่มีฤทธิ์อำนาจในการช่วยให้รอด  แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ช่วยให้ทุกคนที่เป็นคนบาป ได้รับความรอด โดยการบังเกิดใหม่ คือรอดจากบาป โดยผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเมสิยาห์ พระคริสต์เท่านั้น ซึ่งเป็นพระคุณให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ทั้ง 2 พวก ไม่ว่าจะเป็นพวกยิวหรือชาวต่างชาติก็ตาม ให้ฟรีๆ  โดยไม่ได้พึ่งพาความประพฤติของเขาเลย เห็นไหม? นี่คือข่าวดี  ไม่เกี่ยวกับการประพฤติเลย

            ผลของข่าวดี เมื่อใครก็ตามที่เชื่อก็จะได้ผลเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ได้เป็นยิว ก็ได้รับผลเหมือนกัน ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณของพระเจ้า คือท่านอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในท่าน  นี่คือข่าวดี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ

            สรุปเรื่องราวสั้นๆ ที่เราผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ได้มาบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนควรรับรู้เรื่องย่อๆ คือแต่เดิมนั้น พระเจ้าให้อิสราเอล ซึ่งเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ถือรักษาบทบัญญัติไว้ แต่อิสราเอลไม่สามารถทำได้ พวกเขาไม่ซื่อตรง เพราะว่ามีวิญญาณที่เป็นคนบาป  มีใจมักกบฏ ไม่เชื่อฟัง และละเมิดบัญญัติอยู่ตลอด พระเจ้าก็เลยส่งพระบุตรมาเป็นตัวกลาง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  เพื่อให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ใจที่เชื่อฟัง จารึกไว้ในใจของมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้สามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ จากวิญญาณข้างในได้ บัญญัติอันเดิมเป็นบทบัญญัติสมัยโมเสส จารึกไว้ในแผ่นหิน ให้รักษาเอาไว้  ซึ่งรักษาไม่ได้ เพราะธรรมชาติ ใจ วิญญาณมันเป็นบาปอยู่ มันต้องแก้ไขวิญญาณในใจนั้น  และพระเจ้าก็สัญญาไว้ว่าวันหนึ่งจะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้ จะเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่ ในฮีบรู 8:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 8:10-11 “10 นี่คือพันธสัญญา (ใหม่) ที่เราจะทำกับพงค์พันธุ์อิสราเอล (มวลมนุษย์) หลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา จารึกบนหัวใจของพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา 11 ผู้คนจะไม่สอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า “จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา (ภายในวิญญาณของเขา) ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

            นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับบรรพบุรุษของอิสราเอล แล้วพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าก็เข้ามาทำให้สัญญานี้สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 แล้วพระเจ้าก็เริ่มบทบัญญัติใหม่นี้ ในพันธสัญญาใหม่กับมวลมนุษยชาติทันที ก็คือได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ถ้าเขาเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ 1 ยอห์น 3:23 …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            นี่คือพันธสัญญาใหม่ คือเมื่อท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  ท่านก็จะได้รับวิญญาณใหม่  และใจใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยใจใหม่และวิญญาณใหม่ตรงนี้แหละ ยอห์น 13:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            นี่คือสภาพของคนที่ได้บังเกิดใหม่  อยู่ในพระคริสต์ เข้าบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ พระเยซูได้แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว พอเราบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ที่มอบให้กับเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงมีวิญญาณที่เป็นลักษณะเหมือนพระเจ้า  คือเป็นความรัก ที่เป็นเหมือนพระเจ้า อยู่ภายใน เราจึงมีลักษณะเป็นความรัก เหมือนพระเยซู แล้วเราก็สามารถแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ให้แก่คนอื่นๆ ได้ อย่างเป็นธรรมชาติ จากวิญญาณและใจใหม่ที่ได้รับนั้น เห็นไหมครับ? ออกมาเป็นธรรมชาติเลย ก็ไม่เกี่ยวกับการต้องพยายามทำอะไรดี มันเป็นธรรมชาติ จากใจใหม่ 1 ยอห์น 5:3 …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรักต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติ (ใหม่) ของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ”

            นี่เป็นเหตุที่อาจารย์เปาโลเขียน บอกอยู่เสมอๆ เมื่อชาวต่างชาติหรือแม้กระทั่งชาวยิวก็ตาม ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ที่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว โลกวิญญาณได้เปลี่ยนไป วิญญาณเขาได้เป็นวิญญาณใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลจึงใช้คำนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่าความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติ ที่อยู่ในวิญญาณในใจของท่านอยู่แล้ว  และท่านก็ได้บังเกิดใหม่ ท่านเพียงแค่ฝึกฝน ยอมปล่อยให้ธรรมชาติของความรักนี้ ฉายแสงออกมาเป็นความประพฤติเท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้กับผู้อื่น เหมือนกับที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว”

            เห็นไหม? นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราทำ ทำอะไร? ฝึกฝนในการเอาความรักที่เป็นแสงสว่าง ที่อยู่ในวิญญาณของเรา ให้มันฉายแสงออกไป ฉายแสงไปที่ความมืดบนโลกใบนี้  ท่านอยู่บนโลก ท่านไม่ใช่ของโลก ท่านเป็นความสว่าง ไปที่ไหนก็เอาความสว่างนี้ไปด้วย พูดง่ายๆ เป็นภาระไหม? ไม่เป็นภาระ

            ความรักเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจของเรา คริสเตียน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิวก็ตามที่ได้เกิดใหม่ เราแค่รับรู้ความจริงนี้ แล้วฝึกฝน ตามธรรมชาติความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ ให้ฉายแสงออกมาเท่านั้น ยกตัวอย่าง ไปถึงไหน หงุดหงิด  คอยตำหนิว่าคนอื่น ฝึกทำไม? …

            “ไม่ใช่ ฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นแสงสว่างแล้ว ฉันเป็นความรักแล้ว มีหงุดหงิดได้อย่างไร?”

            แล้วก็ให้ความรักที่อยู่ในใจนั้น สำแดงออกมาซะ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ มันก็จะสงบขึ้นไปเรื่อยๆ นี่มันเป็นอย่างนั้น  ซึ่งสามารถทำได้ โดยเป็นธรรมชาติ ภายใน ไม่เป็นภาระเลย เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติ ที่เราคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นอยู่จริงๆ ในวิญญาณของเรา

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาทำให้ และนำมาประกาศให้ เป็นธรรมชาติ เหมือนเป็นปลา ก็ว่ายน้ำตามธรรมชาติ  เป็นนก ก็บินตามธรรมชาติ  เป็นงู ก็เลื้อยตามธรรมชาติ  เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ก็เป็นความรักตามธรรมชาติ ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ  ไม่ได้เดือดร้อน จับนกไปว่ายน้ำ ไม่เป็นธรรมชาติแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราเป็นความรัก ก็ให้ฉายแสงความรักนี้ออกมาเท่านั้น  พระเจ้าอวยพรครับ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ยามลูกทุกข์ยากลำบาก?

            เราอาจถามพ่อแห่งฟ้าสวรรค์แบบกันเองได้ … “พระเจ้าอยู่ที่ไหน  ลูกกำลังประสบกับความทุกข์ลำบากมากเหลือเกิน ในขณะนี้ …?”

            แล้วพระเจ้าก็ตอบว่า … อิสยาห์ 41:10 … “อย่ากลัวเลย เพราะพ่ออยู่กับลูก อย่าท้อแท้ เพราะพ่อเป็นพระเจ้าของลูก พ่อจะทำให้ลูกเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยลูก พ่อจะชูเจ้าไว้  ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของพ่อ  (คือพระเยซูคริสต์)”

            และ …  ฮีบรู 13:5 … “จงพอใจในสิ่งที่ลูกมี ลูกเป็นอยู่  ในขณะนี้ พ่อสัญญากับลูกว่า   “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งลูกเหมือนเด็กกำพร้า  พ่อจะไม่มีวันละทิ้งลูก  ให้อยู่ตามลำพัง”

            และเมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นแล้ว   เราที่เป็นลูกก็จะสามารถตอบ ได้อย่างมั่นใจได้ว่า … ฮีบรู 13:6 … “องค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อของลูก ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือลูก ลูกจะไม่กลัว ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้น ใครจะทำอะไรฉันได้เล่า?”

            พระเจ้าอวยพรครับ