วารสาร Holy News ฉบับที่ 1374

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นไว้ว่าผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ มีความอดทนน้อยลงในการรับรู้ หรือจดจำอะไรใหม่ๆ เข้าข่ายสมาธิสั้นกันหมดแล้ว ฟังได้ไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนเรื่องแล้ว แล้วก็ลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้น พยายามจะสื่ออะไรก็ตาม ต้องให้สั้นและกระชับ ทำซ้ำๆ บ่อยๆ เพื่อให้จำได้ เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างแบบคลิปติ๊กต่อก ถ้าดูบ่อยๆ ก็จะจำได้

ครั้งที่แล้วเลยเป็นบรรยายติ๊กต่อก Episode หรือ EP.1 เคล็ดลับสำหรับคริสเตียน การอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความชื่นชมยินดี  และมีสันติสุขที่แท้จริง ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ด้วยเคล็ดลับสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” เคล็ดลับสั้นๆ จากถ้อยคำพระเจ้า ที่สามารถทำให้เรามีสันติสุข ในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ เผชิญกับความกลัว ความวิตกกังวล  ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ด้วยหนทางแห่งความมืดมน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร? นั่นแหละ เคล็ดลับสั้นๆ ช่วยเราได้

จากที่เราได้เรียนกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว  พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เคล็ดลับตรงนี้เป็นแผนการอันลี้ลับของพระเจ้า ที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ตามพระประสงค์ของพระเจ้า  ที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น จากความบาปและความตาย  ก็คือความพินาศในนรกนั่นเอง คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งนานแล้ว  แล้วปิดซ่อนเอาไว้ มาเปิดเผยอีกทีตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ ถูกเปิดเผยแล้ว

ความหมายคืออะไร? พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ ผมย่อให้ท่านสั้นๆ เพื่อท่านจะได้จำได้ อย่างที่บอก เหมือนกับติ๊กต่อก “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” เกียรติสิริ ก็คือการที่เราจะได้รับเกียรติและสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความหวังของเรา ก็คือเกียรติสิริ คือวิญญาณออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตายเลย เต็มไปด้วยเกียรติสิริ หรือจะบอกว่าเต็มไปด้วยพระเกียรติ พระสิริของพระเยซูคริสต์  ที่ทรงมอบให้กับเราทั้งหลาย ตอนเราบังเกิดใหม่นั่นแหละ และร่างกายใหม่ ก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เต็มด้วยเกียรติ พออยู่ในร่างกายสวรรค์ปุ๊บ ตาฝ่ายสวรรค์ก็เปิดออกชัดขึ้น ก็เห็นพระเจ้าตามความเป็นจริง คือเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า และเห็นตัวเราเอง เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริของพระเยซูคริสต์ตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน  และจากนั้น กอดพระเยซูคริสต์ทีหนึ่งก่อน กอดร่างกายใหม่  กอด แล้วก็บอกพระเยซูว่าขอบคุณ และพระเยซูก็บอกว่าเรามาร่วมครอบครองมรดกที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเรา ก็คือการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใหม่นะ สิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์และเราแล้ว  มันหมายถึงอย่างนั้น แล้วเราก็จะอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ สรรพสิ่งใหม่เอี่ยมทุกอย่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความลำบาก ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความยากจน ไม่มีความบาป มาล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ชั่วร้ายอีก ไม่มีความชั่วใดๆ ไม่มีความกลัว ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีน้ำตา ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะมาเช็ดน้ำตาทุกหยด และเราจะอยู่ในสวรรค์ด้วยความสุขนิรันดร์อย่างนั้นตลอดไปกับพระเจ้านิรันดร์กาล

นั่นคือความหมายสั้นๆ ของคำว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ” มันแปลว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จำได้แล้วนะ  พอเราจำได้ว่าพระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ แปลว่าอะไรปุ๊บ ออกมาเป็นพรวนเลยเยอะแยะ แล้วท่านวิเคราะห์ต่อไปเรื่อยๆ คือใคร่ครวญเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ จำได้เรื่อยๆ ทุกวันๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเพิ่มเติมความรู้ เขาเรียกว่าสำแดงความรู้เพิ่มเติมในวิญญาณมากขึ้นว่าคำว่า “ความหวังแห่งเกียรติและสิริ” หรือ “ความหวังแห่งพระเกียรติและพระสิริ” ที่เราร่วมกับพระเยซูคริสต์คืออะไร? จะบอกท่านมากขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านอยากรู้ ท่านก็ต้องใคร่ครวญ EP.1 ตรงนี้ Episode 0ne ตรงนี้ คือเคล็ดลับตรงนี้ ข้อความ วลี ที่ผมทำมาให้สั้นๆ ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ”

“พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ไปรับเกียรติและสิริ เพราะระหว่างที่ฉันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในกายนี้อยู่นั้น ฉันไม่รู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นไร? ฉันต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน นำพาฉันผ่านชีวิตที่สั้นๆ ชีวิตที่อยู่บนโลกนี้ ที่อยู่อีกแป๊บเดียว แต่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ และนำพาฉันไปรับอะไร? ไปร่วมรับสง่าราศี พระเกียรติ พระสิริของพระองค์ เมื่อวันที่จากโลกนี้ไปแล้ว ฉันจึงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย  ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจได้อยู่เสมอ เพราะฉันมีพระคริสต์สถิตอยู่ในฉันตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้งฉัน และไม่เคยจากไปไหนเลย ฉันจึงร้องเพลงอยู่เสมอว่า …

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน  ในใจของฉัน ในใจของฉัน

ฉันมีความสุข สุข สุข สุขในใจของฉัน”

แล้วท่านจะมีความสุขอย่างนี้ได้ ท่านต้องจำเคล็ดลับตรงนี้ให้ได้ วลีสั้นๆ ว่า “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

แต่ว่าความเป็นจริงนั้น วันนี้มาเพิ่มเติมให้ ก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน อยู่ในเราได้ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง คือฉันต้องอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือฉันต้องอยู่ในพระคริสต์ก่อน และเมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ได้แล้ว พระคริสต์จึงจะสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ นี่คือเงื่อนไข

เพราะฉะนั้น ติ๊กต่อก Episode 2 วันนี้ จึงขอนำเสนอวลีสั้นๆ แต่มีกำลังมหาศาล เพื่อจะผนวกกับ Episode 1 กับวลีสั้นๆ อันก่อนนี้ คืออันที่ 1 อันนี้อันที่ 2 มีพลังมหาศาลเช่นกัน ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์”

คือก่อนที่พระคริสต์จะสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ ฉันต้องทำให้ตัวฉันเอง คือวิญญาณของฉันสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมก่อน จึงจะสามารถย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ แล้วจากนั้น พระคริสต์จึงสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้ด้วยเช่นเดียวกัน ฉันต้องทำตรงนี้ก่อน ซึ่งการทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมในวิญญาณนั้น ทำได้ไหม? ไม่มีใครสามารถทำได้เลย มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเลย แม้แต่นิดเดียว เมื่อมนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องทำอะไร? ถ้าภาษาไทย เขาบอกว่าทำไม่ได้ ให้ไปทำอะไร? ไปตาย เจ็บมากเลย บอกทำไม่ได้ให้ไปทำอะไร? เขาบอกให้ไปตาย อันนั้นมันเป็นทางลบ พูดไม่รักกัน ถ้ารักกันบอกอย่างไร? ถ้าทำไม่ได้ ให้ทำอย่างไร? ไปเกิดใหม่ซะ ที่เราพูดกันเล่นๆ มันเป็นจริงนะ

เพราะฉะนั้น ต้องเกิดใหม่เท่านั้น ซึ่งเกิดใหม่ ก็โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกแล้วว่าผ่านทางพระองค์ จึงสามารถเกิดใหม่ได้ พระเยซูบอกอย่างนั้น เชื่อไหมล่ะ ฟังไหม? อยากจะเกิดใหม่ไหม? ถ้าอยากเกิดใหม่ไปหาพระเยซู ผ่านพระองค์ได้เกิดใหม่ ตามนั้น

ในโคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกเอาไว้ถึงเรื่องราวนี้ว่าเกิดใหม่อย่างไร? เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? จะเข้าไปอยู่ในเคล็ดลับอันที่ 2 สั้นๆ นี้ได้อย่างไรว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” จะอยู่ในนั้นได้อย่างไร? ฉันจะได้กลายเป็นชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร? โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

“ในพระบุตร” ก็คือ “ในพระคริสต์” นั่นเอง

“การบังเกิดใหม่” คือการย้ายจากที่อยู่เดิม ในอาณาจักรแห่งความมืด มาอยู่บ้านใหม่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออาณาจักรแห่งพระบุตร อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์ที่พระเจ้าสถาปนาแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย

พระเจ้าย้ายวิญญาณเราโดยวิธีใด? การผ่าตัดทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือย้ายวิญญาณของผู้ที่ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่ยอมให้พระเยซูคริสต์เข้ามาทำการผ่าตัดนั่นเอง

การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือการเปิดใจ บอกพระเจ้าว่า … “โอเค จะย้ายแล้ว” พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดเราในวิญญาณเราออกจากที่เดิม คืออยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ออกจากความตาย มาอยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ออกจากการเป็นทาสบาป มาเป็นลูกของพระเจ้า มันมีการย้ายที่อยู่จริงๆ ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น  แต่มันเป็นอยู่อย่างนี้จริงๆ พระเจ้าบอกเรา นั่นคือข้อ 13

ในข้อ 14 บอกว่าในพระคริสต์ หรือในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เราได้รับการไถ่บาป เมื่อเราย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอย้ายวิญญาณเรามาอยู่ในพระคริสต์ปุ๊บ เราได้รับการไถ่บาป คือได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ตะกี้นี้ จำได้ใช่ไหม? ถ้าเราจะให้พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา เราต้องทำตัวเองให้สะอาด นี่แหละ วิญญาณเราสะอาด โดยที่พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณเรา ย้ายเรามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ และในพระเยซูคริสต์เราจึงสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เสร็จแล้ว ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ วิญญาณเราสะอาดหมดจด และได้อีกอันหนึ่ง ก็คือและได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ  มี 2 อัน ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ …

อันที่ 1 ก็คือเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า

อันที่ 2 ก็คือไม่ว่าบาปอะไรที่เราทำจากในอดีต หรือปัจจุบัน หรือแม้ในอนาคต ก็ตาม มันถูกยกโทษ หมดสิ้นไปแล้ว ครั้งเดียวพอ ย้ายเรามาครั้งเดียว บาปถูกยกโทษหมดเลย

การได้รับการไถ่ ก็คือหมดเวร หมดกรรม ตอบตามข้อพระคัมภีร์นี้ ก็คือเพราะว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น โดยที่เราได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ไม่ใช่เราได้รับการอภัยโทษ จากความประพฤติดีของเรา หรือจากการวิงวอน ขอสารภาพบาปต่อพระเจ้าเลย

เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้รับการยกโทษบาปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องสารภาพบาปอะไรก็ถูกยกไปแล้ว พอเข้าใจนะ

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เรามองดูข้างนอก มนุษย์เรามองดูตามสายตา เหมือนกับเป็นคนที่มีชีวิต เหมือนๆ กัน แต่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณที่เรามองไม่เห็นข้างใน ตัวตนจริงๆ มนุษย์ทั้งโลกเลย ถ้าเผื่อพระองค์ไม่ทรงช่วย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทั้งโลก ในวิญญาณ ตายอยู่ วิญญาณที่เรามองไม่เห็นตายอยู่ แต่ตามตาที่เรามองเห็น ก็มีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ พอลืมตา กินข้าว กินปลาได้ พูดคุยได้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่พระเจ้าบอกว่านั่นแหละ ตายอยู่ เพียงแต่รอเวลาปรากฏผลความตายนั่นเอง

ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ผมเคยปลูกต้นราชพฤกษ์ สวยงาม ต้นใหญ่มาก ไปล้อมมา เขาบอกว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ออกดอกแล้ว เขาว่านะ ก็เอามาปลูก มองทุกวัน เมื่อไรมันจะออกดอก เพราะว่าใบมันเขียวชอุ่มเลย ปรากฏว่ารอไป 5-6 เดือน มันไม่ออกดอกสักที พอเดือนที่ 7 มันเริ่มเฉาๆ คือยังเขียวอยู่นะ มันชักเริ่มเหี่ยว พอมาอีกสักอาทิตย์หนึ่ง ใบเริ่มเหลือง มันเกิดอะไรขึ้น ตกใจ ในที่สุด มาอีกเดือนหนึ่ง เกือบครบปี ร่วงหมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่เห็นดอกเลย แล้วเขียวๆ มันหลอกเราหรืออย่างไร? ไปให้หมอต้นไม้มาดู หมอต้นไม้จริงๆ นะ มาตรวจ ปรากฏว่าที่เราเห็น มันงาม สวยสด กำลังจะออกดอกแล้ว ต้นใหญ่มาก ราคาแพงเลย แต่รากมันเน่า มันเน่ามาตั้งนานแล้ว แล้วมันเพิ่งจะส่งผล ถ้าเผื่อรู้ตั้งแต่แรกว่ารากเน่า ก็เพียงแต่ไปตัดกิ่งที่มันสดอยู่ ที่อนาคตมันจะเหลือง ก่อนมันจะเหลือง มันยังเขียวอยู่ ไปตัดกิ่ง เอาไปเสียบกับต้นราชพฤกษ์อื่นๆ ที่แข็งแรงๆ กิ่งนั้น มันก็เป็นขึ้นมาได้ แล้วมันให้ดอกด้วย นี่เขาอธิบายให้ฟังนะ

คราวนี้เรากลับมานึกเรื่องโลกวิญญาณ  พระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร? ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ ก็คือวิญญาณข้างใน ร่างกายข้างนอก ไม่ช้าไม่เร็ว ก็ต้องมีวันที่จะเสื่อมสลาย เน่าลงไปแน่นอน  แต่ตัววิญญาณอยู่ข้างใน มันมองไม่เห็น วิญญาณข้างในเหมือนกับตัวตนแท้จริงของเรา ร่างกายข้างนอกเหมือนเสื้อผ้าของเรา เสื้อผ้าไม่ใช่ตัวเราถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิญญาณ คือตัวตนแท้จริงของเรา ข้างนอกที่เรามองเห็น เป็นแค่เสื้อผ้า

สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ให้พระเจ้าย้ายเขาเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้รับการผ่าตัดทางวิญญาณ ก็ยังมีชีวิตอยู่ในต้นไม้เดิม ที่ในพระคัมภีร์ใช้ชื่อว่าต้นไม้อาดัม

มนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้อาดัม เป็นกิ่งก้านหนึ่งของต้นอาดัม ที่บนต้นอาจดูเขียวอยู่ ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตรงรากที่มันเน่า มองไม่เห็น ก็คือวิญญาณข้างในมันเน่าอยู่ กิ่งไม้ทั้งหลายบนต้นอาดัม ถึงแม้ยังเขียวอยู่  ดูยังมีชีวิตอยู่ แต่มันแค่รอวันทยอยเขียวน้อยลง ค่อยๆ เหี่ยว เหมือนที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังว่าในที่สุดมันก็เหลือง แล้วร่วง แล้วก็เอาไปเผาไฟ เฉาตาย เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นเรียกว่าวิญญาณ คือรากที่เรามองไม่เห็น มันเน่า ทางวิญญาณ ก็คือบาป  พินาศนั่นเอง เพราะฉะนั้นวิธีเดียวที่จะช่วยกิ่งไม้เหล่านี้ ให้กลับมีชีวิตอยู่ได้ ช่วยได้ไหม? ได้ อย่างที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้ แต่ต้องรีบ ก่อนที่มันจะเหี่ยวเฉา ตัดเอาไปเผาไฟ เป็นฟืน ก่อนมันจะเหี่ยวมันยังพอจะเขียวๆ อยู่ รีบตัดแล้วก็ย้ายมาต่อเข้ากับต้นไม้ต้นใหม่ ถูกไหม? เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นกลับมามีชีวิตต่อไปไม่ตาย ก็คือต้องตัดออกจากต้นไม้อาดัม แล้วย้ายไปต่อกิ่ง และติดเข้าไปอาศัยอยู่ในต้นไม้แห่งพระเยซูคริสต์ หรือต้นแห่งพระคริสต์ ย้ายจากต้นอาดัมมาเสียบเข้าต้นพระคริสต์ ต้นพระคริสต์ คุ้นแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงยกตัวอย่าง พระเยซูพูดอุปมาเรื่องเถาองุ่น บอกว่าพระองค์เป็นลำต้น

“ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ท่านต้องมาอาศัยอยู่ในเรา ต้องมาต่อติดอยู่กับเรา สนิทอยู่กับเรา เชื่อมกันไปเลย ท่านจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่งั้นเขาจะเอาท่านไปเผาไฟ ไปทิ้งซะ ถ้าท่านไม่ย้ายมา”

เพราะฉะนั้น ถามมนุษย์ทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำในวันนี้  พระเจ้าถามท่านว่าในโลกวิญญาณขณะนี้ ท่านอยู่ในต้นไม้ไหน? ต้นอาดัมหรือต้นพระคริสต์ ท่านบอก …

“ไม่เชื่อหรอก ฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน ฉันไม่ได้อยู่ในต้นอะไรทั้งสิ้น” … ได้ไหม?

พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงรู้ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร? พระองค์บอกแล้วว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านไม่เชื่อว่ามีแรงดึงดูดของโลก แรงดึงดูดของโลก มันก็มีอยู่จริงๆ ท่านขึ้นไปข้างบน โดยไม่มีเซฟตี้ มันก็ตกลงมาตาย ท่านว่ายน้ำอยู่ โดยไม่มีเครื่องพยุง ในที่สุด ท่านก็หมดแรง ถูกดูดลงไป จมน้ำตาย ท่านจะปฏิเสธอย่างไร กฎมันก็ยังมีอยู่ มันก็ยังทำงานตามกฎของมันอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม มันมีอยู่ และมันทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นกฎของธรรมชาติ ก็คือกฎของพระเจ้าที่วางไว้ มันเป็นเช่นนั้น

และสิ่งที่พูดทั้งหมดนี้ พระเจ้าบอกว่าทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน? ในอาดัมหรือในพระคริสต์ ท่านถูกย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์เป็นชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว ในขณะนี้ เราได้รับสิ่งนี้เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งก็เท่ากับว่าเราเชิญ เรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ คือยอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา คือผ่าตัดวิญญาณ จุ่มเราเข้าไปอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

เราก็จะได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ตามที่เราตั้งใจ เคล็ดลับที่ 2 ก็คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร” เป็นการเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ในการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ พร้อมพระองค์ เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว  เกิดขึ้นทันทีเดี๋ยวนี้ และก็ยังอยู่ที่นั่น คืออยู่ที่สวรรค์สถาน ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  คือเมื่อย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นึกถึงภาพต้นองุ่นกับกิ่งองุ่นเมื่อสักครู่นี้นะ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้นพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? มีอะไร? เราก็ร่วมเป็นอย่างนั้น และมีอย่างนั้นเหมือนกับพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าต้นองุ่นจะได้รับน้ำ รับปุ๋ย หรืออะไรต่างๆ ดีอย่างไร? เราเป็นกิ่ง เราก็ได้รับไปด้วยทั้งหมด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่าเราได้เข้าไปเชื่อมต่อ ได้เข้าไปอาศัยอยู่ ได้เข้าไปบัพติศมาอยู่ ได้เข้าไปร่วมอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เพราะว่าฉันได้อยู่ในพระคริสต์

ตอนนี้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านจะรู้แล้ว รวบรวมเป็นเคล็ดลับสั้นๆ คือ “ฉันอยู่ในพระคริสต์” สิ่งที่อธิบายมาทั้งหมดเมื่อตะกี้ เพราะว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ และใครทำให้ฉันอยู่ในพระคริสต์ได้ พระเจ้าเท่านั้น และฉันร่วมมือได้ด้วยวิธีใด? ยอม … ยอมรับสิ่งที่ดีๆ มันพูดแล้วมนุษย์เข้าใจลำบากนะ  เพราะยอมส่วนใหญ่ จะเป็นสิ่งที่ไม่ดี อันนี้ ยอมมาเป็นลูกพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทำ ยอมรับรางวัลของขวัญที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านอย่างมากมาย ยอมรับเถอะ พระเจ้ารักเรามากขนาดไหน? คิดดู สิ ขอร้องเราให้ยอมนะ  ยอมให้พ่อเข้าไปช่วย  ยอมให้พ่อให้ของขวัญ ยอมให้พ่อเป็นพระเจ้า จะช่วยเจ้าให้บังเกิดใหม่นะ

โคโลสี 1:15-20 ได้บอกว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ … พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระสิริของพระคริสต์ที่เราเข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพระเกียรติ พระสิริ ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ที่เราได้เข้าไปร่วมกับพระองค์นั้น มันใหญ่ขนาดไหน? ท่านอ่านตรงนี้ แล้วท่านจะรู้ว่าถ้าเผื่อเคล็ดลับตรงนี้ ถ้อยคำวลีตรงนี้ ฝังอยู่ในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ แล้วฉันรู้ว่าพระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เราคงแบบตะกี้นี้บอก มีสุข สุข สุข สุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม โคโลสี 1:15-20 …

โคโลสี 1:15-20 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต”

 

“และฉันอยู่ในพระคริสต์นี้แล้ว” พูดได้เฉพาะคนที่ยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์

ข้อ 15 บอกว่าพระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า พระบุตร ก็คือพระคริสต์ … พระคริสต์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ก็คือพระคริสต์ก็เป็นพระเจ้า ที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ทรงสร้าง ก็คือเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เป็นก่อนทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ หรือในโลกวิญญาณก็ตาม ถูกสร้างโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์มีมาก่อนตั้งแต่เริ่มต้น นี่กำลังพูดไปนี้ ให้นึกในใจว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ฉันบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ฉันเป็นกิ่งก้านที่มาต่อกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นด้วย ไม่ได้อ่านว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครอย่างเดียว แต่อ่านดูในขณะที่ก่อนหน้าที่เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อ 16 โดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ “เทพ” นี่คือวิญญาณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น เป็นวิญญาณที่มีสิทธิอำนาจครองบัลลังก์ วิญญาณที่ทรงเดชานุภาพ วิญญาณที่เป็นผู้ครอบครอง หรือวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ เพื่อพระองค์ สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? เป็นวิญญาณทูตสวรรค์แบบดีหรือแบบเลวก็ตาม ทั้งหมดใครเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา? พระเยซูคริสต์ พระคริสต์เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้สร้างยิ่งใหญ่กว่าเยอะเลย  และเราอยู่ในพระคริสต์ ใหญ่พอไหม? ไม่พอ ฟังต่ออีก

ข้อ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน อยู่ก่อนทุกอย่างเลย แล้วทุกอย่างถูกสร้าง โดยพระองค์ และโดยพระองค์เป็นผู้ให้ชีวิต ให้กำลังกับสิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ยกเว้นทูตสวรรค์ที่ดื้อ กบฏ ก็หลุดออกจากพระคริสต์ไปอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้นนั่นเอง ทูตสวรรค์ที่ดีๆ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ที่ดีๆ เขาอยู่ในการควบคุมของพระคริสต์ทั้งสิ้น พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ฉันก็ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉันอยู่ในพระองค์

ข้อ 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ก็หมายถึงพระองค์เป็นพี่ชายคนโต พระองค์เป็นหัวหน้าครอบครัวของพระเจ้า ก็คือพวกเราทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นต้นกำเนิด เป็นหัวหน้าของเรา ที่เรียกว่าเป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์พันธุ์ใหม่ของการเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายทั่วๆ ไป เมื่อมาต่อติดกับพระองค์ มาอาศัยอยู่ในพระองค์ ก็จะได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน พระองค์ทรงเป็นผู้แรกของมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย ได้รับพระเกียรติสิริจากพระเจ้า มนุษย์ต่อๆ ไปที่วางใจ แล้วเข้ามาอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มาต่อติดกับพระองค์ ก็ตามพระองค์ไปด้วย ก็เกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ 2, คนที่ 3, คนที่ 4, คนที่ 5 เราจะเป็นคนที่กี่พันล้านก็ไม่รู้

การเป็นขึ้นจากความตายนี้ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง พอเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้าประทานพระสิริ พระเกียรติ ฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย มอบให้กับพระเยซูทั้งสิ้นเลย พระเยซูได้รับไปทันทีเลย แล้วใครรับไปด้วย เราอยู่ในพระองค์ เราก็รับไปด้วย ใหญ่พอไหม?

ไม่พอ เพิ่มเติมอีก ข้อ 19 พระเจ้าคงถามว่าพอไหม?  เปาโลคงบอกว่าไม่พอ พระเจ้าเพิ่มอีก ในข้อ 19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร เพราะว่าพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระบิดานั้น ยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น พระองค์พอใจที่จะให้สิทธิอำนาจทั้งหมดเลยที่มีอยู่ ไม่ว่าในโลกนี้ หรือในโลกหน้า มองเห็นหรือไม่เห็นนั้น มอบให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้สำเร็จราชการทุกอย่าง เอาทุกอย่างไปเลย เป็นผู้ตัดสินคดี เป็นผู้ดูแล เป็นผู้พิพากษา เป็นหมดทุกอย่างเลย แล้วเท่ากับมอบให้พระเยซูแล้ว มอบให้ใครด้วย? มอบให้กับน้องๆ ผู้ที่เข้าไปต่อติดกับพระเยซูด้วย เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็เลยได้รับไปด้วย ผมจึงตั้งชื่อว่า “เมื่อฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์” เป็น ไม่ใช่มี … มีมันอาจจะหายได้ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันจึงเป็นชีวิตนิรันดร์ คือวิญญาณฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ คือเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้กับพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย และฉันก็เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ตรงนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะชีวิตของพระเจ้านั่นเอง

พอหรือยัง? แถมอีกข้อหนึ่ง ข้อ 20  “และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลก และในสวรรค์กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต” กลายเป็นเรามีสิทธิอำนาจ เราได้ เป็นทูตของพระเจ้าที่จะนำพาผู้คนทั้งหลายที่ไม่รู้จักความจริงนั้น ได้สามารถกลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้นั่นเอง พอไหม?  ถ้าไม่พอ เติมนี่ให้ โคโลสี 2:9  บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:9 “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ในรูปลักษณ์ที่เป็นร่างกายมนุษย์”

 

เผื่อว่าคนที่ใช้ตามองเห็น อาจไม่เข้าใจ และยังไม่ยอมเปิดใจให้พระเจ้าเข้าไปผ่าตัด ตาฝ่ายวิญญาณยังไม่เปิดออก เขายังไม่เข้าใจ พระเยซูคริสต์เป็นมนุษย์อย่างนี้ แล้วจะไปเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าเลยพูดไว้ในหนังสือโคโลสี 2:9 ว่า “ด้วยว่าความเป็นพระเจ้าโดยบริบูรณ์ เป็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีแม้แต่นิดเดียวว่า 99% เป็นพระเจ้าจริงๆ ดำรงอยู่ในพระคริสต์

แม้ว่าอยู่ในรูปลักษณะที่เป็นร่างกายมนุษย์ก็ตาม เดินอยู่บนโลกใบนี้  33 ปี เป็นขึ้นจากความตาย ก็ยังเป็นร่างกายมนุษย์อยู่อีก  ปรากฏให้เห็นอยู่ 40 วัน แล้วลอยขึ้นไปในขณะที่ยังเป็นร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว เป็นมนุษย์ที่เดินทะลุกำแพงเข้ามา  ไม่ต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว ไม่ต้องใช้บอลลูนแล้ว ลอยขึ้นไปบนสวรรค์ได้ เรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์หรือเปล่า? เป็นมนุษย์ แต่พระเจ้ากำลังจะบอกว่าที่เห็นนั้น คือพระเจ้าที่อยู่ในรูปลักษณะของมนุษย์ (พันธุ์ใหม่) คล้ายๆ กับพวกเรา  ต้องบอกว่าคล้ายๆ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แต่อยู่ในร่างกายเดิม  สวมเสื้อผ้าเดิมอยู่ เราจึงมีความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือวันที่ร่างกายหรือเสื้อผ้าเก่านี้ มันฉีกขาด มันทิ้งแล้ว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง พอออกจากร่างปุ๊บ โน้นเสื้อผ้าใหม่เตรียมไว้เรียบร้อย คือร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระเกียรติที่เรารออยู่ หวังอยู่ และสวมนั้นเข้าไป  เราก็เลยกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ 100% นี่มนุษย์พันธุ์ใหม่มันแปลว่าอย่างนี้ โคโลสี 2:10 ต่อมาอีกนิดหนึ่ง …

โคโลสี 2:10  “แล้วเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน พระคริสต์เป็นศีรษะเหนือกฎบัญญัติต่างๆ (ที่กล่าวหาเรา) เหนือพวกผู้ครอบครอง (ผู้นำทางศาสนา ที่ใช้กฎบัญญัติโจมตีกล่าวหาเรา) และเหนือพวกทูตสวรรค์ ที่มีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นในจักรวาล”

 

“ท่านก็เป็นชีวิตที่เต็มบริบูรณ์เหมือนกัน เหมือนพระคริสต์” หมายถึงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนที่ท่านเปิดใจยอมรับให้พระเจ้าเข้ามา ผ่าตัดวิญญาณ พอวิญญาณท่านย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็เป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย 1 ยอห์น 4:17 บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณและความคิดจิตใจของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นเหมือนแล้ว เหมือนอย่างไร? พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น พระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูคริสต์ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย เราก็ดีพร้อมไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และพระเกียรติของพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูคริสต์ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั่นแหละ และเพียงแต่รอให้เสื้อผ้าเก่าที่สวมอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ รอให้มันสิ้นสุด มันขาดยุ่ยก่อน แล้วเราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้

พอเราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์มันเกิดอะไรขึ้น นอกจากที่เราจะอยู่ในความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความดีพร้อม ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรมในวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราแล้ว  เราก็ดำเนินชีวิตอยู่ในกฎแห่งพระคุณ ในพระเยซูคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม? โรม บทที่ 8 ในพระเยซูคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีทำชั่วอะไรต่างๆ ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ปรับโทษเราไม่ได้อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็ตายไปพร้อมกับร่างกายนี้ แต่วิญญาณและความคิดจิตใจเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ รออย่างเดียว รอร่างกายใหม่ เอเฟซัส 2:4-6 จะบันทึกอย่างนี้ไว้ว่า …

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ  6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

“ทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว เป็นแล้วในพระคริสต์”

ข้อ 4 บอกว่าแต่เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาอันอุดม จึงทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต บังเกิดใหม่นั่นเอง อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป ตายแล้วอยู่ในอาดัม อยู่ในต้นไม้เดิมนั่นแหละ คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากการลงโทษ  จากคำสาปแช่ง  จากความพินาศในต้นไม้เดิม โดยการกระทำของพระเจ้า คือโดยพระคุณ คือท่านไม่ได้ทำเองเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านอยู่เฉยๆ ท่านเพียงแต่ยอมเท่านั้นเอง พระเจ้าทำหมด เรียกว่าพระคุณ

พระองค์ได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมา ก็คือบังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ ก็คือในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ตรงไหน? เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เป็นการเปรียบเทียบ  หมายถึงนั่งอยู่ที่ผู้สำเร็จราชการ สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดีได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์บอกว่าเรามาร่วมครอบครองด้วยกัน เอเมน

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่ตลอดไป ในวิญญาณ เป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้วบังเกิดใหม่แล้วจะถูกหลอกว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้อยู่แล้วจริงๆ

เหมือนพ่อให้เงินมา 100 บาท อยู่ในกระเป๋าไปโรงเรียนแล้ว ไม่รู้ว่ามีเงิน 100 บาท ไปโรงเรียน เห็นเขากินข้าวเที่ยง ก็ทำตาปริบๆ

พ่อบอก … “เงินร้อยบาทก็เอาไปซื้อสิ” … ไม่เชื่อว่าพ่อให้ร้อยบาท อะไรประมาณนั้น

โคโลสี 3:1-4 จึงแนะนำเราว่าเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปในวิญญาณ ในพระคริสต์แล้วจริงๆ เราควรจะดำเนินชีวิตด้วยวิธีอย่างไร? …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เห็นไหมมันเหมือนกันเลย  อยู่ในพระคริสต์หรือพระคริสต์อยู่ในเรา ลักษณะการดำเนินชีวิตเป็นพลังจากพระเจ้ามาเหมือนกันไม่มีผิดเลย คือให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ แล้วรอคอย อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง ที่เราจะได้ร่วมรับพระเกียรติพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานหลังความตาย

“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน คือความคิดจิตใจของท่านนั้น จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน”

เบื้องบน คือในโลกวิญญาณที่พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด นั่งอยู่ที่เบื้องขวา

ที่เราได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่นั่น วิญญาณเรานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเราจะเดินอยู่ประเทศไทย เดินอยู่ในอเมริกา เดินอยู่ในแอฟาริกา ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เรานั่งอยู่ที่เดียวกันกับพวกเขา

เรานั่งอยู่ที่เดียวกัน ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือตำแหน่งในโลกฝ่ายวิญญาณ เวลาเราปักหมุด นี่คือการปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณ เปิดมือถือมาปุ๊บ ปักหมุดในโลกฝ่ายวิญญาณปุ๊บ มองเห็นเลย บ้านเราอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรคสถานที่เบื้องขวาของพระเจ้า เรียกว่าให้จดจ่อไปตรงนี้ตลอดเวลา มองอะไรต่างๆ สถานการณ์อะไรบนโลกใบนี้ ก็ให้จดจ่อตรงโลกวิญญาณ มองในโลกวัตถุ มันเกิดเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ว่ากันไปตามเหตุการณ์ ตามเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น แต่ให้รู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แล้วในโลกวิญญาณนั้น เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เบื้องบน คือที่พระเยซูคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

ข้อ 2 บอกว่าจงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบนนี้ ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก ก็คือไม่ใช่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ ไม่ใช่กับความรู้สึกของเราบนโลกใบนี้ ความรู้สึกเราไม่เกี่ยวข้องเลย ความรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา ความรู้สึกว่าเราโดดเดี่ยว  แต่ในความเป็นจริง คือในโลกวิญญาณ เราก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นแหละ พระเจ้าก็โอบกอดเราอยู่ เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน แต่ในความรู้สึกของเรา มันรู้สึกเกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ สิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่าไปสนใจมันตรงนั้น  สนใจในโลกวิญญาณว่าพระองค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร? แล้วก็บอกว่าเราเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเอเมน  เรียกว่าสรรเสริญพระเจ้า เรียกว่าขอบคุณพระเจ้า  เรียกว่านมัสการพระองค์ ด้วยความเชื่อ ด้วยความไว้วางใจ

ข้อ 3 บอกว่าเพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านที่พระเจ้าได้ย้ายมาบังเกิดใหม่ ในพระคริสต์แล้วนั่นแหละ มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านถูกย้ายมาแล้ว ชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วนั้น  ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ นี่คือสิ่งลึกลับ ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า แล้วใครจะมาทำอันตรายเราได้ล่ะ มีใครที่ไหนจะมาทำอะไรเราได้ เราเองยังทำอะไรตัวเราเองไม่ได้เลย เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปกคลุมผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในนั้น อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ โรม บทที่ 8 จึงบอกว่าไม่มีใครที่ไหน? อำนาจใหญ่โตขนาดไหน ทูตสวรรค์หรืออะไรจากนี้ จะมาเอาเราออกไปจากตรงนี้ได้

ตรงนี้ คือความรักของพระเจ้าในพระคริสต์ ไม่สามารถเอาเราออกไปจากในพระคริสต์ได้เลย เราอยู่ในนี้แล้ว เราไม่ไปไหนแล้ว ต่อให้เราไม่เชื่อ ต่อให้เรารู้สึกท้อแท้ใจ ต่อให้เรารู้สึกล้มลงในความเชื่อ ถ้าเราอยู่ในนี้แล้ว เราก็ยังอยู่ในนี้ตลอดไป แม้เราล้มลง พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่เคยล้มเหลว เราล้มเหลวได้ แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว

เพราะฉะนั้น ให้เรารู้ว่าเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหนตอนนี้ พระเจ้าอยู่ที่สวรรค์ ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์นั่นเอง เพราะฉะนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยการรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว และสวรรค์ ก็คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรานั่นเอง

สวรรค์ คือพระคริสต์ที่อยู่ในเรา คือเคล็ดลับครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

เราอยู่ในพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่จากเชื้อที่เป็นอมตะนิรันดร์ พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนั้น ก็คือจากพระเจ้า  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงไม่มีวันตาย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้ว เกิดแล้วเกิดเลย นึกภาพนะ จงรับรู้เลยว่าการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ก็คือการบังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ ก็เกิดจากพระเจ้า  มันจึงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  และพระคริสต์ที่อยู่ในเราแล้ว  พระองค์สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งให้เราอยู่ลำพัง

นึกภาพนะ ใน Episode ครั้งที่แล้ว ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและพระสิริ พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ยืนยันด้วยถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราจะไม่ละเจ้า   เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอตลอดไป เจ้าหลับ เราก็ไม่หลับ เราจะอยู่ดูแลเจ้าตลอดเวลา ถูกไหม? นี่คือคำยืนยัน 1 อันที่ในพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ

วันนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ ฉันอยู่ในพระคริสต์ อะไรยืนยันถ้อยคำ ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันได้บังเกิดใหม่ บังเกิดด้วยหน่อเชื้อ หรือเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการตาย เพราะฉะนั้น ฉันก็จะอยู่ในพระคริสต์ บังเกิดใหม่  อยู่ในสวรรค์อย่างนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ทั้งสองอันไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย ไม่ว่า “ฉันอยู่ในพระคริสต์” หรือ “พระคริสต์อยู่ในฉัน” ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดชั่วนิรันดร์

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพียงแต่เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในเราได้เลย มันถูกผนึกตราอ๊อกเหล็กกล้า 40-50 ชั้น ไม่มีวันที่จะทะลวงไปถึงข้างในได้ เราถูกปกป้องไว้อย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้น เรากำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่เท่านั้น ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าอีกชั่วขณะเดียวเอง อีกแป๊บเดียวเท่านั้นเอง เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ เติมเต็มในชีวิตบริบูรณ์ได้ แล้วเราก็จะปรากฏออกมา ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ของท่านปรากฏ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏ ก็คือพูดง่ายๆ ว่าพระเยซูคริสต์ปรากฏ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้น เราที่ถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ถูกซ่อนอยู่ เพราะเราไม่มีร่างกายใหม่ ไม่มีร่างกายสวรรค์ที่จะเข้าสวรรค์ได้ แต่เมื่อเวลาเราออกจากร่างนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ทันทีทันใดนั้น ร่างกายสวรรค์นั้น ก็คือสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อพระเยซูคริสต์ปรากฏ เราที่ถูกซ่อนอยู่ ก็ออกมาปรากฏด้วย เป็นรูปเป็นร่าง เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เราเป็นพันธุ์ใหม่ แต่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะขาดร่างกายที่จะเข้าสวรรค์ได้ เปาโลบอกว่าร่างกายเรือนดินนี้ ร่างกายอันต่ำต้อย ภาชนะดินนี้ไม่สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ ต้องรอให้หมดร่างกายนี้ก่อน แล้วพระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ไว้ให้

ร่างกายสวรรค์ก็มี ร่างกายดินก็มี ร่างกายดินต้องตายไป สูญสิ้นไป ร่างกายสวรรค์ ก็เพื่อให้เราสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรโลกวิญญาณได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือความเป็นจริง หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าท่านจะทำอะไรดี หรือทำอะไรไม่ดีจากนี้ต่อไป  สมมตินะ ตรงนี้ในโลกวิญญาณไม่มีเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เราได้เรียนรู้ไปเยอะแยะแล้วว่าเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราบริสุทธิ์สะอาดแล้ว มีแต่ความคิดที่ดี มีแต่การกระทำที่ดี มีแต่หลั่งไหลความดีงามของพระเจ้า ที่อยู่ในตัวเราออกมา ไม่มีใครอยากจะไปทำบาปแล้ว เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่แพ้ความบาป  ทำบาปปุ๊บ เกิดผื่นขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย เราไม่ได้ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเราจะท้อแท้ใจหรืออย่างไร? หรือกลัวอย่างไร? หรือตกหล่นในความเชื่ออย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะมาเปลี่ยนแปลงความจริงตรงนี้ได้ เพราะว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในเรา ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน จำไว้แค่นี้

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริ ที่จะร่วมรับกับพระเยซู เอเมน”

พระเจ้าอวยพรครับ

 

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 4

 

1โครินธ์ 3:9 (NTV.)  “เพราะ​เรา​เป็น​ผู้​ร่วม​งาน​ของ​พระ​เจ้า  ท่าน​เป็น​ไร่​นา​และ​เป็น​เรือน​ของ​พระ​เจ้า”

 

ตามที่เห็นในบริบทนี้  ผู้คนในคริสตจักรของพระเจ้า มีสองกลุ่ม …

กลุ่มที่ 1 …

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้รับใช้ที่มีของประทาน ในการเสริมสร้างคริสตจักร ตามหนังสือเอเฟซัส 4:11-16 ได้กล่าวไว้ว่าของประทานของพระองค์ ก็คือให้ …

บางคนเป็นอัครทูต

บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ

บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ

บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์

เพื่อเตรียมธรรมิกชน (ผู้เชื่อ)ให้เป็นคนที่จะรับใช้  เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์ เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมา  และหันไปเหมา  ด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง  และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์  ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง  แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก   เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ  คือพระคริสต์ คือเนื่องจากพระองค์นั้น   ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆ  ข้อต่อที่ทรงประทาน ได้จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก  เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว”

กลุ่มที่ 2 …

“ท่าน”  ในที่นี้ หมายถึงผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า

และหนังสือ เอเฟซัส 2:20-22 ได้กล่าวว่า “ท่าน (ผู้เชื่อชาวยิว) ได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูต  และพวกผู้เผยพระวจนะ   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก  ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท  และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในพระองค์นั้น และท่านด้วย (ผู้เชื่อชาวต่างชาติ) ก็กำลังจะถูกก่อขึ้น ให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย”

 

ไม่ว่าจะกลุ่มไหน   ต่างก็มีค่ามีความหมายกับพระเจ้าเท่ากัน   แค่มีหน้าที่   ที่ต้องทำในสังคมโลกที่แตกต่างกัน  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกๆ  คนต่างมีหน้าที่ของตน

ในฐานะตำแหน่งหน้าที่ การงานที่ได้รับมาจากพระเจ้าในโลกนี้   เช่นบทบาทในครอบครัวในที่ทำงานในสังคมเป็นต้น  ผู้รับใช้  (เป็นทั้งผู้เชื่อและเป็นทั้งผู้รับใช้) ก็มีหน้าที่

ในฐานะตำแหน่งที่เราได้รับของประทาน   มาจากพระเจ้าเพื่อเสริมสร้างพระกายพระคริสต์  (ผู้เชื่อทุกๆ คน) ในโลกนี้

และในฐานะตำแหน่งบทบาทในครอบครัวในสังคม  แต่ละหน้าที่ ต่างก็ต้องมีพระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญ  ทุกคนที่ทำหน้าที จะได้กินผลแห่งน้ำมือของตนในโลกนี้   รางวัลที่ได้รับ ก็รับในโลกนี้ ตามผลของการกระทำ  ไม่เกี่ยวกับโลกหน้าหลังความตาย   เราทุกคนต่างเป็นอวัยวะในร่างกายของพระคริสต์   พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเราเหมือนกันทุกคน  เราอยู่ในพระคริสต์ และเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์   ไม่ว่าจะเป็นผู้รับใช้ หรือผู้เชื่อในคริสตจักรของพระเจ้า  เราควรรัก เมตตา อดทน ช่วยเหลือ ปกป้อง หนุนใจ ฟังกันและกัน ถ่อมใจเข้าหากัน ให้เกียรติกันและกัน ภายใต้ความรักที่พระเจ้าได้รักเรา มาแล้วนั้น

พระเจ้าอวยพรค่ะ