วารสาร Holy News ฉบับที่ 1376

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 16

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:19 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

 

อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนต่างชาติ เรื่องของข่าวประเสริฐของพระเจ้าในแผนการที่พระเจ้าวางไว้ว่าจะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป  ไม่เพียงเฉพาะคนยิวเท่านั้น  แต่พระองค์ทรงเลือกคนต่างชาติด้วย  ตามถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือพระเจ้าปรารถนาที่จะให้ความรอดนี้ ไปถึงมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้  พระเจ้าไม่ได้บังคับ แต่ให้ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจ  สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ คือทำเรียบร้อยไปแล้ว  ให้กับมนุษย์ทุกคน  แต่มนุษย์ทุกคนต้องเข้ามารับเอา ตัดสินใจ เต็มใจที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าจะไม่บีบบังคับใครว่าต้องมารับความช่วยเหลือจากพระองค์ ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องตัดสินใจว่าตกลงจะเลือกทางไหน? เลือกการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วก็รับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  หรือยังคงเลือก ที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง  ทำดีเยอะๆ  ด้วยกำลังของตัวเราเอง ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือจุดเปลี่ยนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

สำหรับเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้าที่จุดเปลี่ยนเรา ได้เปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว  เมื่อวันที่เราตัดสินใจว่าเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราเหนื่อยมาก เราไม่ไหวแล้ว เราทำดีเยอะขนาดไหน? ข้างในวิญญาณ เรายังไม่รู้สึกรับการปลดปล่อย

เราก็บอกพระเจ้า … “ตอนนี้ลูกไม่ไหวแล้ว ขอพึ่งพระองค์ดีกว่า”

พอพึ่งพระองค์ดีกว่า ปุ๊บ หมายความว่าเราเปิดประตูใจ  เรายอมรับการเชื้อเชิญจากพระเจ้าว่าเข้ามาหาพระองค์ พระเจ้าก็กระทำการงานเลย คือถ้าเราไม่ยินยอม พระเจ้าก็ไม่ทำอะไร เพราะพระเจ้าสุภาพ  ต้องรอให้เรายินยอม  พอเรายินยอมปุ๊บ พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการที่เราคุยกันว่าบัพติศมาในวิญญาณให้กับเราเลย  ก็คือวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาป  ได้ถูกฆ่าให้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้วิญญาณใหม่เอี่ยม ให้กับพวกเราเลย  แล้วก็ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา เปลี่ยนใหม่เลย

นี่คือเรื่องราวความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเป็นเรื่องในโลกวิญญาณด้วย ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจด้วยเหตุผลของเรา แต่ว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ความรู้ในเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในเรา  จะเปิดให้เราเห็น  ให้เรารับรู้ ให้เราสามารถเชื่อได้

ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังหนุนใจคนต่างชาติ  คือเมื่อก่อนคนต่างชาติ  รู้สึกตัวเองด้อยค่า ตรงที่ว่าไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า  ไม่ได้ถูกเลือกโดยพระเจ้า  อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากๆ แล้วไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสเข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า  เป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่คิดไม่ฝัน  แต่วันหนึ่ง เมื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้าถูกประกาศออกไป ผ่านทางอาจารย์เปาโล ที่พระเจ้าใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ  เรารู้กันแล้ว โลกใบนี้มีสองชนชาติ คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ชาวต่างชาติ คือใครก็ตาม ประเทศไหนก็ตามที่ไม่ใช่คนยิว แล้วความรอดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำไว้ สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่รับก็ตาม ของขวัญนี้ก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว รอเจ้าของแต่ละคนที่จะเดินเข้ามารับเท่านั้นเอง  แต่ถ้าใครไม่เข้ามารับ ก็เท่ากับไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาเป็นคนของพระเจ้า เรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า  ก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของคนๆ นั้น ซึ่งพระเจ้าไม่บังคับ

ฉะนั้น พอคนต่างชาติได้ยินการประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ มีส่วนหนึ่งที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศปุ๊บ เขาติดตาม เขาจดจ่อ เขาอยากได้ อยากจะชิมในข่าวประเสริฐนี้ แล้วเขาก็เปิดใจต้อนรับพระองค์ พอเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ อาจารย์เปาโลก็บอกเขาว่า …

“ณ เวลานี้ เธอกับคนยิวมีสถานะเดียวกันแล้วนะ เธอเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อย่ากลัว”

คนต่างชาติเมื่อก่อนอยู่คนละสถานะกับคนยิว แล้วตอนนี้บอกว่าเรามาเป็นพี่น้องกัน  เรามีสถานะเทียบเท่า เท่ากันเลย ยังเกร็งๆ อยู่ เหมือนกับบารมีของคนยิวมีเยอะ ตั้งแต่สมัยนั้น ที่ตัวเขาเองเป็นคนบาป อยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามาก ส่วนคนยิวเขาเป็นคนของพระเจ้านะ เขารักษาบทบัญญัติ เขาใกล้ชิดพระเจ้ามาก เราอยู่กันคนละชั้น แต่อาจารย์เปาโลกำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับคนต่างชาติได้รับรู้ว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ว่าเราจะเป็นชนชาติใดก็ตาม เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เราทุกคนถูกจับมาอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมด้วยกัน ฉะนั้น ให้กล้าๆ หน่อย นึกออกไหม? กล้าๆ หน่อยที่เข้ามารับพระคุณของพระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้วพระคุณพระเจ้าให้เขา เรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาเชื่อวางใจในพระเจ้า

ดังนั้น บอกความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าเขาจะได้มีใจกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้าอย่างภาคภูมิใจว่า …

“ฉันก็เป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า สถานะของฉัน จากคนต่างชาติ  ที่ไม่เคยรู้จักพระเจ้า  แต่ตอนนี้ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ฉันได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว โดยมีพระเจ้าพระบิดา เป็นพ่อของฉัน มีพระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายคนโตของฉัน และฉันก็เป็นลูกๆๆๆๆๆ ของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เท่าไร? ก็ตาม แต่ฉันเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า”

นี่คือความจริง ดังนั้น คนต่างชาติพอเขารับรู้ความจริงนี้ ก็มีกำลังใจ …

“ตอนนี้สถานะเราอยู่อันเดียวกันกับคนยิวเลย เราไม่ต้องไปเหมือนก้มหน้าก้มตา งกๆ  ไม่แน่ใจว่าตัวเองตอนนี้ อยู่ในสถานะแบบไหน?”

อาจารย์เปาโลพยายามย้ำให้เขารู้ว่าตอนนี้เธอกับคนยิว อยู่ในที่เดียวกัน  ในโลกวิญญาณ คนยิวต้องเป็นคนยิวที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วยนะ ถ้าคนยิวทั่วไป ที่ยังถือกฎบัญญัติเก่าที่พระเจ้าตั้งไว้  พึ่งพาการกระทำของตนเอง เขาก็ไม่ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ คนบาปที่พยายามประพฤติตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้  ฉะนั้น สถานะมันจะต่างกันมากเลย แล้วอาจารย์เปาโลก็พยายามอธิบายให้คนต่างชาติเหล่านี้ ได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ พระเจ้าได้ย้ายวิญญาณของเขาเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ใหม่เอี่ยมอ่องเลย วิญญาณที่ไม่มีบาปอีกต่อไป  เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

แล้วพระพรตรงนี้ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์มากมายว่าคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้รับการเปลี่ยนใหม่ในวิญญาณ วิญญาณเขา ณ เวลานี้ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ  เราจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้  เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก  ขณะนี้ เวลานี้ กายเนื้อของเราอยู่บนโลกใบนี้  แต่วิญญาณของเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หมายความว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ ถูกสถาปนาลงไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อคนนั้นจะไปทำอะไรก็ตาม  ก็ไม่สามารถมีผลกับวิญญาณใหม่ที่เขาได้เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ลักษณะเหมือนกับพอเราคลอดออกมา เป็นลูกของบ้านนี้แล้ว  ต่อให้อนาคตข้างหน้า เมื่อเราโตขึ้นๆ เราจะดื้อกับพ่อแม่ หรือบางทีพ่อแม่พูดซ้าย เราไปขวา บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง หนังสือก็ไม่ยอมเรียน เอาแต่เล่นอย่างเดียว แต่คนๆ นั้น ก็ยังอยู่ในสถานะลูกของครอบครัวนี้อยู่ แค่ว่าเมื่อเขาประพฤติตัวเองไม่ดี  พ่อแม่ตัดขาดเขาไม่ได้  แต่พ่อแม่เสียใจ …

“ลูกเอ๋ย เมื่อไร ลูกจะเปลี่ยนแปลงสักทีหนึ่ง”

รอ รอเวลาให้ลูกเราเปลี่ยนแปลง นี่คือความจริงตามธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราเห็น  แล้วความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ขณะนี้ พวกเราผู้ที่เป็นคนต่างชาติ ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ เราเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในเรา

ที่เราคุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือเราต้องเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ก่อน โดยวิธีการเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า บัพติศมาในวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ปุ๊บ เราได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน จากนั้น พอวิญญาณเราสะอาดปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็เลยเข้ามาอยู่ในเรา ได้ถ้าเราไม่สะอาด พระเยซูเข้ามาไม่ได้นะ

แล้วทุกครั้งที่เราพูดถึงพระเยซูคริสต์ หรือพูดถึงพระวิญญาณ ให้พี่น้องรับรู้เลย คือ 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา บัดนี้ ผู้เชื่อ ร่างกายของเราได้ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  พอที่พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ถ้าร่างกายเราไม่บริสุทธิ์ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้  เราตายนะ ถ้าพระเจ้าเข้ามาในขณะที่เรายังบาปอยู่ เราตายลูกเดียว

ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ เปลี่ยนความคิดจิตใจของเราใหม่ พระเจ้าก็ชำระร่างกายเราให้สะอาดบริสุทธิ์ พร้อมที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระวิหารของพระเจ้า

เอเฟซัส 2:20 “ท่านได้รับการสร้างขึ้น บนฐานรากของเหล่าอัครทูต และผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก”

 

ในพระคัมภีร์จะเปรียบเทียบผู้เชื่อเป็นเหมือนตึกของพระเจ้า เป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้า  โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก  ก็คือเป็นฐานรากที่มั่นคง จากตรงนี้ จะพูดถึงในสมัยก่อน ที่เขาจะสร้างบ้าน เขาจะต้องมีศิลาหัวมุม ที่ตั้งไว้เป็นอันแรก จากนั้น เขาก็จะวัดจากศิลานี้ แล้วก็ค่อยๆ เอาอิฐแต่ละก้อนก่อขึ้นมา ฉะนั้น ศิลาก้อนแรกสำคัญมาก  ถ้าวางเบี้ยว ตึกนี้จะเบี้ยวหมดเลย แล้วก็พังในที่สุด

ฉะนั้น ศิลาก้อนแรก เป็นศิลาที่สำคัญ ที่ช่างเขาจะตั้งไว้ตรงหัวมุม  เป็นองศาที่ดีที่สุด จากนั้น เมื่อเอาอิฐก้อนไหนมาต่อๆ ขึ้นมา มันจะเป็นมุม แล้วบ้านหลังนี้จะตั้งมั่นคง  นี่เป็นการเปรียบเทียบ

ในพระคัมภีร์เปรียบเทียบพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก แล้วพวกเราทั้งหลายถูกก่อขึ้นมาเป็นอิฐ แต่ละก้อน ตรงนี้บอกว่าบนฐานรากของเหล่าอัครทูต

จริงๆ แล้วหลายคนคิดว่าอัครทูตน่าจะใหญ่กว่าเรา มีตำแหน่งไง มีตำแหน่งสูงกว่าเรา  รับใช้ก็เยอะกว่าเรา  แต่ในสายตาของพระเจ้า ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอัครทูต เป็นอาจารย์ เป็นครู เป็นศิษยาภิบาล หรือเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง ในสายตาของพระเจ้า ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเลย  เราเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละคนถูกเรียกใช้ในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วเมื่อพระเจ้าเรียกใช้ใครคนหนึ่งคนใด ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะเป็นผู้ให้ความสามารถให้กับคนๆ นั้น สามารถที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ให้เกิดผลสำเร็จ เราแค่มีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำภายในร่างกายของเรา ภายในจิตใจของเรา ภายในความคิดของเรา  เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราจะไม่ต้องไปนั่งคิดว่า  …

“โอ้โห! ผู้รับใช้พระเจ้าที่ยืนเทศน์อยู่บนนี้ ต้องได้รางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย รับใช้ตั้งเยอะ หรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ไปประกาศ  เอาคนมารับเชื่อเยอะแยะมากมาย ต้องมีรางวัลเยอะกว่าเราแน่ๆ เลย เราเป็นสมาชิกธรรมดาคนหนึ่ง บางทีบางวันก็ลืมอ่านพระคัมภีร์อีก บางวันลืมอธิษฐานอีก ไม่เคยไปเยี่ยมเยือน ไม่เคยไปประกาศข่าวประเสริฐ  แล้วตกลงเราจะอยู่ตรงไหน?”

พระเจ้าบอกอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ เพราะพระเจ้าให้ของประทานแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรียกใช้แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วย แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือเราเป็นลูกของพระเจ้า ผลเกิดจาก ไม่ใช่เราทำดี  ไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้าเยอะ หรือไม่ได้เกิดจากเรารับใช้พระเจ้า แล้วเกิดผลมากมาย  ไม่ได้เกิดจากตรงนั้นเลย  แต่เกิดจากเราเปิดใจต้อนรับ เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระองค์กระทำ โดยความเชื่อนี้ ทำให้เราได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนี้แหละ คือสำคัญ  เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็แล้วแต่ว่าพระเจ้าจะใช้แต่ละคนอะไร? อย่างไร?

พอพูดถึงบำเหน็จ สมัยก่อนดิฉันสอนแบบนั้นว่าถ้าเรารับใช้บนโลกใบนี้เยอะๆ  พอขึ้นไปบนสวรรค์ เราจะได้บำเหน็จเยอะกว่าคนอื่น คือเราจะได้บ้านหลังโตกว่าคนอื่น คนที่ไม่รับใช้พระเจ้า หรือเกเร วันๆ ทำไมถึงนิสัยแบบนี้  ไม่ได้ถวายเกียรติพระเจ้าเลย คนนั้นน่าจะได้กระท่อมแบบขาดๆ วิ่นๆ ประมาณนั้น เป็นความเชื่อสมัยก่อน ที่เราเชื่อกันอย่างนั้น แต่ปัจจุบัน เราขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่าความรอดเราทุกคนได้เท่ากัน  ไม่มีใครได้เยอะกว่ากัน ความรอดตรงนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำ แล้วเป็นผู้ให้กับเรา บำเหน็จรางวัลที่พระเยซูคริสต์ให้ ก็คือมรดกที่พระเจ้าให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มรดกเหล่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ การเป็นบุตรของพระเจ้า การเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ย้ายเราจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า นี่คือมรดกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว

ฉะนั้น คำว่า “มรดก” คือคนที่รับมรดกไม่ต้องทำอะไร? มรดกถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว  โดยบรรพบุรุษของเรา หรือคุณพ่อคุณแม่เขามีมรดกเยอะ ก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านก็เขียนมรดกไว้เลยว่าลูกคนนี้จะให้อะไร? เท่าไร? อย่างไร?  แล้วพอคุณพ่อคุณแม่เราจากไปปุ๊บ  เขาก็มาเปิดพินัยกรรมว่าลูกคนไหนได้อะไร? อย่างไร? แต่ว่าพินัยกรรมของพระเยซูคริสต์ มรดกทุกคนได้เท่ากัน คือได้ชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย ดังนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ตาย มรดกมันก็เกิดเป็นผล พินัยกรรมนี้ก็เกิดเป็นผล ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ คนนั้นได้มรดกเลย ได้ทุกอย่างที่พินัยกรรมได้ระบุเอาไว้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาเป็นลูกของพระเจ้า เขาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เขาได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้เลย ทันที ไม่ต้องรอให้เราตายนะพี่น้อง ก็คือตอนนี้ในโลกวิญญาณ เราได้เป็นอย่างนั้นแล้ว

พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ รับรู้ความจริงปุ๊บ เราก็ค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนา จริงๆ ความรอด หลายคนเข้าใจว่าเราต้องพยายามทำ เพื่อความรอดเราจะได้เพิ่มพูนขึ้น  แต่ความเป็นจริง คือไม่ใช่ ความรอดเราได้แล้วได้เลย การมาเชื่อวางใจในพระเยซูปุ๊บ เราเป็นลูกของพระเจ้าเลย ไม่ต้องฝึกฝนการเป็นลูก ไม่ต้อง คือเป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  แต่ฝึกฝนเพื่อให้ลักษณะ หรือบุคลิกที่เป็นเหมือนพระเจ้า ได้พัฒนาขึ้น

เหมือนเด็กคนหนึ่ง ถ้าคลอดเข้ามาในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง  เขาไม่ต้องพยายามทำตัวเองหรือฝึกตัวเองให้เป็นลูกของบ้านนี้ ไม่ต้องแล้วนะ คือเขาเป็นแล้ว เป็นลูกแล้ว เป็นคนแล้ว แต่เขาจะค่อยๆ ฝึกฝน พัฒนาการว่าเมื่อเกิดเป็นคนแล้ว ธรรมชาติของคนเป็นอย่างไร? เด็กโดยอัตโนมัติ สักพักหนึ่ง เขาจะเริ่มทำท่าจะพลิกตัว ไม่มีพ่อแม่ไปสั่งให้เขาพลิกตัวนะ คือธรรมชาติความเป็นคนของเขา จะสำแดงออกว่าพอเด็กอายุถึง 2-3 เดือน เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะพลิก พอเรียนรู้พลิกตัว พ่อแม่แค่ช่วยดันๆ นิดหนึ่ง  แต่ไม่ได้ไปทำอะไรเยอะกว่านั้น  แล้วพอพลิกตัว เขาก็จะเริ่มพัฒนาเป็นนั่ง จากนั้นพัฒนาเป็นคลาน พัฒนาเป็นตั้งไข่ เป็นยืน เป็นเดิน เป็นวิ่ง ความเป็นคน เขาเป็นอยู่แล้ว แต่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

เหมือนกัน การเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องพัฒนา  เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ใช่ แต่การพัฒนา ฝึกฝน เรียนรู้ถ้อยคำของพระเจ้า เพื่อเราจะได้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าพ่อของเรามีลักษณะเป็นแบบไหน?  แล้วเราก็เรียนรู้จักพระลักษณะของพระเจ้าที่ ณ เวลานี้ เราเป็นเหมือนเลย  แต่ค่อยๆ ฝึกฝนให้ธรรมชาติหรือบุคลิกลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้น ได้ถูกสำแดงออกไป มันจะต่างกันมากเลยนะ ถ้าคริสเตียนพยายามที่จะฝึกฝนตัวเอง เพื่อเราจะได้เป็นลูกของพระเจ้า  อันนั้นผิด  เราเป็นอยู่แล้ว  ต่อให้เราไม่ฝึกฝน เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แค่พัฒนาการช้านิดหนึ่ง  ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องราวความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า  เราก็พัฒนาการช้า แค่นั้นเอง  ไม่ได้มีผลอะไรเลยนะ เราจะเห็นเด็กบางคนพัฒนาการช้า บางคนพัฒนาการเร็ว คือเราเรียนรู้ เข้าใจความจริงว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์มากเท่าไร? ผลตรงนั้น มันจะสำแดงออกผ่านทางชีวิตของเราได้มากเท่านั้น แค่นั้นเอง

แต่ว่าไม่ว่าเราจะออกผลมาเป็นแบบไหนก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณของผู้เชื่อเลย เพราะวิญญาณของผู้เชื่อ ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นี่คือความจริงที่เราต้องยึดไว้

ฉะนั้น พอพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกปุ๊บ เราก็ถูกก่อขึ้น ค่อยๆ ก่อขึ้น จากถ้อยคำแห่งความจริงในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เราเป็นใคร? พระเจ้าได้ทำอะไร เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว? นั่นคือความจริง

เอเฟซัส 2:21-22 “21 ในพระองค์ ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิท และประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” 22 “และในพระองค์ ท่านก็เช่นกัน กำลังรับการทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่ประทับของพระเจ้าในวิญญาณ”

 

อันนี้อธิบายไปแล้วนะ  ไม่ใช่ค่อยๆ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นแล้ว แต่เราค่อยๆ ถูกพัฒนามากขึ้นในเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ทำให้การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ได้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น ก็คือจะว่ากันตามตรง ฝึกฝนตัวเองให้ทำตัวสมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย แค่นั้นเอง  ก็คือ เราเป็นอยู่แล้ว  เป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว

1 โครินธ์ 3:10-11 บอกว่า “10 โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร? 11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์”

 

อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านได้วางรากฐานเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือนำผู้คนเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เขาอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตกับเขาเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนั้นก็จะมีคนมาก่อขึ้น เมื่อวางราก คลอดออกมาแล้ว มีพี่เลี้ยง พ่อแม่ดูแลลูกคนนี้ แล้วดูว่าพ่อแม่สอนลูกคนนี้อย่างไร?  แค่นั้นเอง

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าใครจะมาวางรากอื่นไม่ได้แล้ว คือเขาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย เกิดแล้วเกิดเลย แต่ต่อจากนั้น ขึ้นอยู่กับคนที่สอน มาสอนเรื่องราวของพระเจ้า เรื่องราวความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อคนนั้นว่าเขาจะสอนอย่างไร?

ใน 1 โครินธ์ 3:12 “ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น”

 

อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบวัสดุอยู่ 6 อย่าง ก็คือทองคำ  เงิน  เพชรพลอย  เหล่านี้เป็นของมีค่า  ซึ่งถูกหลอมแล้ว มันก็ยังคงเหมือนเดิม  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผิดกับไม้  หญ้าแห้ง  หรือฟาง  ถ้าไม้ หญ้าแห้ง หรือฟางเอามาก่อสร้างบ้าน วันหนึ่ง ถ้าพายุพัดมา บ้านหลังนี้ก็จะพังทลายลง

อย่างที่พระเยซูทรงยกตัวอย่างขึ้นมา แต่ตรงที่พระเยซูยกตัวอย่างมานั้น มันคนละเรื่องกับตรงนี้นะ แค่นึกถึงเท่านั้นเอง ที่พระเยซูยกตัวอย่าง คือใครที่สร้างบ้านบนศิลา ก็คือวางรากฐานอยู่ที่พระเยซูคริสต์ บ้านหลังนั้น จะมั่นคง แต่ใครที่สร้างอยู่บนดินทราย ก็คือไม่เอาพระเจ้า ไม่เชื่อวางใจในพระเจ้า ยังเชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง เมื่อเกิดพายุหนัก บ้านหลังนั้นจะพังทลายลง นั่นคือสิ่งที่พระเยซูยกตัวอย่าง

แต่ตรงนี้มันไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้เกี่ยวกับว่าคนๆ นั้น เป็นผู้เชื่อแล้ว  วางใจในพระเจ้าแล้ว ย้ายจากต้นของอาดัม มาที่ต้นของพระเยซูคริสต์แล้ว ย้ายจากการพึ่งการกระทำของตัวเอง มาพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ก็คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  แต่ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขายังต้องรับการเลี้ยงดู การปลูกฝัง ฉะนั้น จะมีพี่เลี้ยง ผู้รับใช้ของพระเจ้า มาดูแลคนๆ นั้น

แล้วอาจารย์เปาโลก็ยกตัวอย่างว่าพี่เลี้ยงคนนั้นจะเอาอะไรมาใส่ให้กับผู้เชื่อ ถ้าเขาใส่มาเป็นทองคำ เป็นเงิน เป็นเพชรพลอย ก็คือใส่ความจริงของเรื่องราวของข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ ลงมาที่ผู้เชื่อคนนั้น ผู้เชื่อคนนั้นก็จะเจริญเติบโตมั่นคง ไม่ถูกซัดไปซัดมา หันไปเหมาด้วยลมปากของใครไม่รู้ แต่ว่ามั่นคงในความจริงในเรื่องราวของพระเจ้า รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขามีธรรมชาติใหม่เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเขารับรู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เขาก็สามารถสำแดงความจริงตรงนี้ ออกมา ผ่านทางชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น

ถ้าพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้สอนเขาแบบนี้ วางรากดีๆ แล้วก็ก่อขึ้นดีๆ ผู้เชื่อคนนั้นจะมั่นคงในพระเจ้า จะสามารถสำแดงความจริงของพระเจ้าออกมาได้มากเท่าที่ความรู้ที่เขาได้รับมา ความรู้ในเรื่องความจริง

ส่วนคนที่ก่อขึ้นมาด้วยหญ้า  ด้วยฟาง  ด้วยไม้  ก็คือผู้รับใช้พระเจ้าหรือพี่เลี้ยง ไม่ได้เอาความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐในโลกวิญญาณมาใส่เข้าไป มาปลูกฝังเข้าไป มาสอนเข้าไป  สอนแต่เรื่องของโลกวัตถุ ถ้าสอนว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เราต้องรวย ต้องรวยอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแน่นอน หรือเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องแข็งแรง  เราต้องไม่ป่วยสิ ถ้าป่วยต้องเสียชื่อพระเจ้าอีก พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ  เราจะป่วยได้อย่างไร?  หรือสอนอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ซึ่งเวลาเราฟังใหม่ๆ มันดีนะ ได้รับการหนุนใจมากเลย ผู้รับใช้คนนี้เขาสอนดี เขาบอกเรา ให้กำลังใจเราเลย พระเจ้าอยู่ในเรา พระเจ้าจะอวยพรเราให้ร่ำรวย พระเจ้าจะอวยพรเราให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ถามว่าความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้นไหม? ไม่ใช่ ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะประทานให้เรา  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา

พันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับผู้เชื่อ คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้ารับเราเป็นลูก วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษหลังความตาย นี่คือสัญญาที่เป็นจริงเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนบนโลกใบนี้ สิ่งที่พระเจ้าสัญญา คือพระเจ้าจะสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค แล้วพระองค์จะนำเรา เดินไปด้วยกันในโลกใบนี้  ไม่ว่าเราจะเจออะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา  ความทุกข์ ความสุขเจอแน่นอน  อยู่บนโลกใบนี้ อย่าคาดหวังตามที่ใครมาหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วต้องรวยอย่างเดียว แล้วคริสเตียนที่ไม่รวย เขาไม่รักพระเจ้าหรืออย่างไร? มันไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกันเลย หรือคริสเตียนที่เจ็บป่วย เขาไม่รักพระเจ้าหรือ?  ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เขารักพระเจ้า

แต่ด้วยโลกนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว แล้วร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เสียหายนี้อยู่ ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเกิดขึ้นกับเราแน่นอน มันมีผลกระทบ อย่างที่บอกเวลาเป็นโรคโควิด ถ้าเราไม่ระวังตัว เราก็ติด ต่อให้เราเป็นผู้เชื่อ  แล้วเราคิดว่าเราเชื่อมากๆ ด้วย ความเชื่อเราสุดโต่งเลย ความเชื่อเราสุดยอด  ในนามพระเยซู โควิดมาทำอะไรฉันไม่ได้ แล้วฉันก็เดินออกไปเลย ไปอยู่ในชุมชน เปิดหน้ากากด้วย ไปนั่งกินข้าว สวนเสเฮฮา สนุกสนาน ติดนะ ถ้าบังเอิญกลุ่มที่เราไปอยู่ด้วย มีคนเป็นโควิด  นั่นคือความจริงในโลกนี้กับความจริงในโลกวิญญาณ  ที่เราจำเป็นจะต้องแยกให้ชัดเจน  ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ชัดเจน  เราก็จะงง  แล้วเราก็จะเริ่มสงสัย …

“พระเจ้า พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคริสเตียน ทำไมลูกยังลำบากอยู่เลย”

ถามจริง ตอนนี้เศรษฐกิจทั่วโลกเป็นแบบนี้ คริสเตียนก็โดนกระทบ มีคริสเตียนที่ลำบากเยอะแยะในปัจจุบัน แล้วคริสเตียนที่ลำบากในอดีตก็มี พระคัมภีร์ก็เขียนไว้ มีเยอะแยะมากมาย  พระเจ้าไม่ช่วยเขาเหรือ? พระเจ้าช่วย  คือช่วยประคับประคองเขาให้สามารถอยู่ได้ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้  แล้วให้เราสามารถผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า  นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับผู้เชื่อ แล้วพระเจ้าก็จะรักษาวิญญาณจิตของพวกเรา ที่เราเชื่อแล้วไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง  เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า คืออยู่ที่เดิมนั่นแหละ ปัจจุบันเราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่แล้ว เปลี่ยนมิติ เราก็ไปนั่งอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  เพื่อว่าถ้าสมมติผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงก่อผิดท่า ผิดที่ ผู้เชื่อคนนั้นจะไม่โต กระท่อนกระแท่น ที่บอกว่าการงานที่ทำสูญเปล่า  ก็คือไม่ได้เห็นความเจริญเติบโตในโลกวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้น นึกภาพออกไหมคะ?

ถ้าหว่านแค่ว่าเขาจะเจริญรุ่งเรือง วันหนึ่งที่เขาไม่เจริญรุ่งเรือง เขาก็คอตกแล้ว คอพับแล้ว ตกลงที่พระเจ้าสัญญามันจริงไหม? ตกลงมันคืออะไร? เกิดความสงสัยในพระเจ้าขึ้นมา  หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา สงสัยพระเจ้า ไหนพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ พี่เลี้ยงเราสอนมา เราเป็นคริสเตียน เราต้องแข็งแรง อ้าว! ตอนนี้ไม่แข็งแรง มันหมายความว่าอย่างไร? พระเจ้าไม่อยู่กับเราแล้วหรือ?

ความเป็นจริง คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา ไม่ว่าเราเจ็บป่วยอยู่  หรือไม่ว่าเราทุกข์ เราสุข  เรายากจน เรามั่งมี พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ในเรา นี่คือความจริง

1 โครินธ์ 3:13-16 “13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้นจะถูกทำให้สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น 16 ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน”

 

ตรงนี้ หลายคนจะเข้าใจผิด คิดว่า “การงาน” ตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง หมายถึงการงานที่ผู้เชื่อจะไปรับหลังความตาย  ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่  การงานนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ ปัจจุบัน ในโลกใบนี้  อย่างที่เมื่อกี้บอก ถ้าผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยงสอนความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้เชื่อ หยั่งรากให้มั่นคง ผู้เชื่อคนนั้น จะเป็นเหมือนบุคคลในอดีต  ผู้เชื่อในอดีต ไม่ว่าเขาจะเจอความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เขายังสามารถมีสันติสุข และความชื่นชมยินดีในใจได้ เพราะเขารู้ว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ เขารู้ว่าชีวิตของเขาถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เขารู้ว่าวิญญาณของเขาอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ความทุกข์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย แม้แต่นิดเดียว ความทุกข์ เขาก็มีกำลังที่จะสามารถผ่านไปได้  แล้วเมื่อผ่านความทุกข์ยากลำบาก  ผู้เชื่อคนนั้นจะเจริญเติบโตขึ้น เพราะเขาเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา  เขาเห็นการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเขา พระเจ้าช่วยเขา ให้เขาสามารถมีกำลังที่จะผ่านความทุกข์นั้นไปได้ นั่นคือพอพี่เลี้ยงหรือผู้รับใช้ได้เห็นความเจริญเติบโตของผู้เชื่อเหล่านี้ มีความสุข อันนั้นแหละ คือบำเหน็จของเรา

บำเหน็จของผู้รับใช้ ก็คือเห็นสมาชิกเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เชื่อ วางใจในพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าคนนั้นจะผ่านความทุกข์ยากมากขนาดไหน?  เขายังสามารถชื่นชมยินดีอยู่ นั่นคือบำเหน็จของผู้รับใช้  บำเหน็จผู้รับใช้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเห็นสมาชิกเจริญเติบโต ด้วยความร่ำรวย มั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง อันนั้น ใครๆ เขาก็อยากได้  นึกออกไหม? ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนหรอก ถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างดีหมด ใครๆ ก็ชื่นชมยินดี  แต่ในความเป็นจริง คือมันมีขึ้นกับมีลง บางคนพระเจ้าเลือกเขา คือให้เขาดีหมด โอเค ขอบคุณพระเจ้า เขาเป็นภาชนะที่พระเจ้าใช้เขาแบบนั้น เพื่อเขาจะเป็นพรให้กับคนอื่น แต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น การเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ความร่ำรวย ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่สุขภาพร่างกายคนนั้นแข็งแรง ความเจริญเติบโตไม่ได้วัดที่ครอบครัวนี้อยู่ดีมีสุข  แต่ความเจริญเติบโตวัดที่ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับปัญหา อุปสรรคใดๆ  ก็ตาม เขายังสามารถชื่นชมยินดีในพระเจ้า  นั่นแหละ คือบำเหน็จของผู้รับใช้ แล้วเราได้รับบนโลกใบนี้ด้วย ไม่ต้องรอเราตาย เห็นสมาชิกเจริญเติบโต เรามีความสุข

กับความสูญเสีย คือเมื่อผู้รับใช้หรือพี่เลี้ยง หว่านในสิ่งที่ไม่ได้เป็นทองแท้ของพระเจ้า อย่างที่บอก พยายามลุ้น พยายามโน้มน้าวจิตใจ  พยายามที่จะสร้างความหวังที่เป็นลมๆ แล้งๆ ให้กับสมาชิกว่าเขาจะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง เขาจะแข็งแรง  มาเชื่อพระเจ้าต้องอย่างนี้ๆ  ต้องทำอย่างนี้ๆ แล้วในที่สุด สมาชิกคนนั้น ก็ทนไม่ไหว เพราะว่ามันไม่ได้เป็นความจริง  ไม่ได้เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ แล้วสมาชิกคนนั้น ก็จะไม่เจริญเติบโต เพราะว่าเขาก็หันไปหันมา …

“ตกลงเป็นอย่างไร? ตกลงฉันยังอยู่ในพระเจ้าอยู่ไหม?” อะไรอย่างนี้

แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอก ก็คือเขาจะรอด  แต่รอด เหมือนรอดจากไฟ ก็คือมันไม่มีอะไรให้ชื่นชมยินดี  เขารอดไหม? เขารอดแน่นอน เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อย่างที่เราบอกเกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย  เป็นลูกของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้  แต่ว่าชีวิตของเขาที่อยู่บนโลกใบนี้ ขาดสันติสุขในพระเจ้า แล้วไม่สามารถสำแดงธรรมชาติที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเขาในพระเจ้าออกไปให้ผู้อื่นได้เห็น

แล้วในข้อที่ 16 อาจารย์เปาโลย้ำอีกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

“ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าควรจะรู้นะ ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคนควรจะรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าข้างในเราเป็นที่สถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา  ดำเนินชีวิตร่วมกับเรา คอยให้กำลังใจกับเรา ให้สติปัญญาเรา คอยโน้มนำจิตใจเราให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ขึ้นอยู่ตรงที่ว่าอย่างที่บอกเราเป็นตัวกลาง ที่พระเจ้าไม่เคยบังคับเรา แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว แม้พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เองแล้ว เราสมควรที่จะทำตามที่พระเจ้าบอกทุกประการ แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา พระเจ้าก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับเราอีก หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจว่าเราจะทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเรา หรือเรายังคงจะทำตามใจตัวเราเอง  หรือทำตามโลกนี้  ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาหลอกล่อเรา

ถ้าเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะสำแดง ส่งผลของความเป็นธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าออกมา ก็คือความดีงาม ความสว่าง ความรักของพระเจ้าออกมา  แต่ถ้าวันไหน เราเกิดอารมณ์ไหนก็ไม่รู้

“พระองค์เจ้าข้า ไม่เอาวันนี้ไม่ทำตามพระองค์แล้ว ขอแหกคอกนิดหนึ่งทำตามใจตัวเอง”

ก็สำแดงความเกลียดชังออกมา  หรือสำแดงอะไรที่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ในขณะที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว  แค่นี้เอง มันจะออกมาทุกวันทุกเวลา  เราเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าเราจะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เปลี่ยนใหม่แล้วออกมา  ส่องกระจกเข้ามาในความคิดจิตใจใหม่ของเรา แล้วให้กระจกนี้สะท้อนออกไป หรือเราจะส่องกระจกออกไปข้างนอก ที่โลกใบนี้  ที่ส่งเข้ามาในโปรแกรมเดิมๆ  ที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เป็นระบบที่พยายามที่จะต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า  ถ้าเราส่องออกไปข้างนอก  กระจกนี้ก็จะสะท้อนออกไปเหมือนกัน ก็คือแม้เราเป็นคริสเตียน เราเป็นผู้ทำ เราก็จะสำแดงความเกลียดชังออกไป สำแดงอะไรที่เป็นของโลกนี้ออกไป  เราจะเห็นว่าคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังนิสัยแบบนี้อีก นั่นแหละ คือความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้ความจริง เราก็จะเป็นไท เป็นอิสระ เราก็จะระวังตัว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือความรัก  ถ้าเมื่อไรมันมีความเกลียดชังออกมาจากชีวิตของเรา แปลว่าอันนี้ไม่ใช่แล้ว เราใส่เสื้อผิดตัว หรือเราใส่เสื้อขาวๆ ออกไปเจอโคลน เจอโคลนทำอย่างไร? กลับบ้าน เอาเสื้อไปซัก แล้วก็ใส่ใหม่  เพราะเสื้อใหม่ของเรา คือเหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

1 ยอห์น 4:17-18 “17 ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18  ไม่มีความกลัวในความรัก  (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา)  คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

 

ข้อ 17 อาจารย์ยอห์นบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้บังเกิดใหม่  บัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า   พระเจ้าพระบิดา   พระเจ้าพระบุตร  พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา   ความรักอากาเป้ แบบพระเจ้าก็อยู่ในเราด้วยอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  เมื่อเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว  เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว สะอาด  บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เราจึงมั่นใจได้ว่าเมื่อเราจากโลกนี้  เราไม่ต้องถูกพิพากษาอีกแล้ว ที่เรามั่นใจ เพราะชีวิตจิตวิญญาณของเราเป็นเหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์เลย ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้

 

ข้อ 18 เมื่อเราถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  วิญญาณของเราเป็นความรักแล้ว  เหมือนพระเยซูเลย  วิญญาณของเราก็ไม่มีความกลัวอีกแล้ว  ข้างนอกเราอาจจะถูกหลอกให้กลัวได้  แต่วิญญาณข้างในจริงๆ ของเราไม่มีความกลัวแล้ว   เมื่อเราเป็นความรักแล้ว เราจึงมั่นใจว่า …

  1. เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว
  2. เรามั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา

ธรรมชาติวิญญาณของมนุษย์ทุกคน  เป็นทาสของความกลัวความตาย  กลัวว่าจะต้องถูกพิพากษา  อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าในความรักไม่มีความกลัว ส่วนสำหรับผู้ที่ยังมีความกลัวอยู่   ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง  พระเจ้าอวยพรค่ะ