วารสาร Holy News ฉบับที่ 1372

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 14

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:15 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:15 “โดยทรงล้มเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว ซึ่งประกอบด้วยข้อบังคับ และกฎระเบียบต่างๆ ด้วยพระกายของพระองค์ จุดประสงค์ของพระองค์ ก็เพื่อยุบสองฝ่าย และสร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวในพระองค์ เช่นนี้แหละ จึงทรงทำให้มีสันติสุข”

 

ในข้อ 14 สัปดาห์ที่แล้ว ที่เราคุยกัน ก็คือพระเจ้าทรงผูกพันเราให้เป็นหนึ่งเดียวกัน 2 พวก พูดถึง 2 พวกปุ๊บ เรานึกให้ชัดเจนเลย พวกแรก คือพวกยิว ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเป็นประชากรของพระเจ้า มีเพียงพวกยิวเท่านั้น ที่จะถูกเรียกว่าประชากรของพระเจ้า ในโลกวัตถุ ส่วนพวกเราผู้เชื่อ เป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ พระเจ้าทรงเลือกสรรกลุ่มคนยิว ให้มาเป็นแบบอย่าง เป็นจุดเริ่มต้นของการที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไป ผ่านทางชนชาติยิว

เอเฟซัส 2:14 “เพราะพระองค์เอง ทรงเป็นสันติสุขของเรา ผู้ทรงทำให้เราสองพวก ยิวและคนต่างชาติ ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นร่างกายเดียว และทรงทำลายสิ่งกีดขวาง คือกำแพงแห่งความเกลียดชังที่กีดกั้นลง”

 

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ข่าวประเสริฐของพระองค์ ก็จะถูกประกาศออกไปถึงคนต่างชาติ … คนต่างชาติ ก็คือพวกเราที่ไม่ใช่ยิว พวกเราเป็นประชากรของพระเจ้าในวิญญาณ เป็นผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์ เราเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์มา พระองค์ก็มายกเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว

ทำไมพระเยซูคริสต์ต้องมายกเลิกบทบัญญัติทั้งหมดของชาวยิว เหตุผล ก็คือมนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น บทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับชาวยิว เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่พระเจ้าบอกว่าให้บทบัญญัตินี้ เพื่อคนยิวจะได้ประพฤติ ปฏิบัติ แต่มันเป็นเงาของอนาคตข้างหน้า ตอนที่พระเยซูมา พระเยซูก็บอกกับชาวยิวว่าบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ มันดี

บทบัญญัติ ก็คือให้ทำสิ่งที่ดี ละสิ่งที่ชั่ว อะไรที่ควรทำ อะไรที่ไม่ควรทำ พระเยซูมาบอกความจริงในโลกวิญญาณว่ามนุษย์ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติได้ทุกจุดทุกขีด ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ ฉะนั้น มนุษย์จึงจำเป็นต้องมาพึ่งพระเยซูคริสต์ พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่เพียงแต่คนต่างชาติเท่านั้น แม้แต่คนยิวที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้า สามารถรักษากฎบัญญัติได้มากที่สุด เท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ว่าต่อให้มากแค่ไหน ก็ไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้า พอกฎใหม่มา ก็คือพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับมนุษยชาติ เริ่มต้นจากชาวยิวก่อน ที่พระเยซูมาประกาศกับชนชาติยิวว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้วนะ ให้ทุกคน มาทางเรา ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ มีทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากความผิดบาป สามารถให้มนุษยชาติคืนดีกับพระเจ้า พระบิดาได้ ทางเดียวเท่านั้น คือมาทางพระเยซูคริสต์ แล้วถ้าไม่มาทางพระเยซูคริสต์ จะไปตามทางของตัวเอง ก็คือรักษากฎบัญญัติ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีใครทำสำเร็จได้เลย แม้แต่คนเดียว บนโลกใบนี้ แม้ว่าคนยิวที่ถูกเรียกว่าเป็นประชากรของพระเจ้า ก็ทำไม่ได้ ต่อให้คนยิว สามารถทำได้ 99.99% เหลืออีก 0.01% ก็ยังคงเป็นคนบาป

ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าทำผิดแค่ครั้งเดียว ถือว่าเป็นคนบาป ฉะนั้น คนที่เป็นคนบาป อยู่ในธรรมชาติบาป ต่อให้ทำดีให้ตาย ก็ยังไม่สามารถที่จะสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าได้เลย คืนดีกับพระเจ้าไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องไปตาย แล้วก็เกิดใหม่ ที่พระเยซูบอกว่าท่านจำเป็นจะต้องไปตาย เพื่อที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วมีทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยเราให้ตายในโลกวิญญาณ ก็คือมาทางพระเยซูคริสต์

เมื่อคนหนึ่งคนใด บนโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นยิว หรือเป็นต่างชาติ เมื่อเปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เราเคยสงสัยไหมทำไมต้องรอให้มนุษย์เปิดใจ ในพระคัมภีร์บอกเราชัดเจนว่าพระเจ้าไม่เคยบังคับใคร นั่นคือบุคลิกลักษณะของพระเจ้า พระเจ้าให้สิทธิ เสรีภาพกับมนุษย์ ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงให้เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นพระฉายของพระองค์ มีวิญญาณนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจให้กับมนุษย์ ถ้าพระเจ้าไม่ให้สิทธิ์ ก็คือบังคับได้นะ พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด พระองค์จะบังคับมนุษย์ออกซ้าย ออกขวา พระองค์ทำได้หมด แต่พระเจ้าไม่ทำ เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์เหมือนลูก เป็นเหมือนพระองค์เลย  ฉะนั้น พระองค์ก็ให้สิทธิ์ในการเลือก พอให้สิทธิ์ในการเลือก พระองค์ก็จะบอกกับมนุษย์ว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้แค่นั้นเอง คือ …

“ของในสวนนี้ เจ้ากินได้หมด ยกเว้นต้นไม้ที่อยู่ตรงกลามสวน ต้นนี้อย่ากิน กินเมื่อไรตาย”

แค่นั้นเอง มนุษย์จำเป็นจะต้องเลือกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้า หรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า แล้วเราก็เชื่อว่ามนุษย์คู่แรก อาดัมกับเอวาก็คงเชื่อฟังพระเจ้ามาระยะยาวๆ ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่านานขนาดไหน? เพราะว่า ณ เวลานั้น ไม่มีการนับอายุ ไม่มีการนับวันเวลา เพราะมนุษย์อยู่ในนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย มีชีวิตนิรันดร์ มีคุณภาพชีวิตในวิญญาณเหมือนพระเจ้า ก็คือวิญญาณเขาเป็นชีวิต ชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น ไม่ต้องมีการนับเวลา

พอหลังจากที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกว่าตรงนี้อย่ากิน มนุษย์ไปกินไง ไม่เชื่อฟัง ผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า เพราะมนุษย์ต้องการอยากจะรู้ดี รู้ชั่ว  อยากจะทำดี ละชั่ว ด้วยกำลังของตัวเอง แล้วเราก็รับรู้ความจริงอันหนึ่ง คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่ง “เอเมน” ก็คือตามนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจแบบไหน? พระเจ้าก็บอก “เอเมน” ก็คือตามนั้น

เราอาจจะสงสัย … “อ้าว! ทำไมพระเจ้าเอเมนล่ะ ทำไมพระเจ้าไม่ห้ามมนุษย์คู่แรกว่า ‘เธออย่ากินๆ’”

พี่น้องว่าพระเจ้าห้ามไหม? พระเจ้าห้าม เชื่อสิ ห้ามตลอด พระเจ้าก็จะพูดในวิญญาณของเขาตลอด … “ลูกเอ๋ย อย่าไปกินนะ อย่าถูกหลอกนะ  อันนี้ถ้าเธอกินเมื่อไร? เธอตายเมื่อนั้นนะ” อะไรแบบนี้

แต่ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่มนุษย์หูดับ ฟังเสียงพระเจ้าไม่ได้ยิน ไปเชื่อฟังมาร แล้วก็ตัดสินใจ ด้วยตัวของเขาเองว่าอยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า ประมาณนั้นแหละ อยากจะทำดีได้เหมือนพระเจ้า อยากจะละชั่ว ก็เลยตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเอง เมื่อเลือกทางเดินของตัวเองปุ๊บ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น ทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ แล้วก็บังคับไม่ได้ด้วย เพราะว่าไม่ใช่ลักษณะของพระเจ้า พอพระเจ้าเอเมนตามนั้น ถามว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าไหม? ไม่แน่นอน ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่อยากให้มนุษย์ล้มลงในความบาป แต่เมื่อมนุษย์ตัดสินใจ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น พอเอเมนตามนั้น ในภาษาของมนุษย์ พวกเราก็จะพูดว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เหมือนกับเวลามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา คนก็จะพูดว่า …

“อ้าว! เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่เอาความชั่วร้ายเข้ามาอยู่ในตัวมนุษย์หรือ?”

ไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือก พอมนุษย์เลือกปุ๊บ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น เอเมน แต่ไม่ใช่พระประสงค์แน่นอน

ตรงนี้ ถ้าพี่น้องเข้าใจชัดเจนถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมนุษยชาติ เราก็จะรับรู้ความจริงว่าพระองค์ไม่เคยที่จะประสงค์ให้มนุษย์คนหนึ่งคนใดพินาศเลย

วันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  ทันทีทันใด พระเจ้าหาแผนการ เราพูดตามภาษาของมนุษย์ แต่ว่าความเป็นจริง คือในพระคัมภีร์บอกพระเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์รู้ดีแน่นอนว่าวันหนึ่ง มนุษย์จะต้องกบฏต่อพระเจ้า วันหนึ่งมนุษย์จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ก็วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น การวางแผนการของพระเจ้า ที่พระองค์ทำให้กับมนุษยชาติ ก็คือพระเจ้าได้เตรียมพระเยซูคริสต์เอาไว้ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจารี เพื่อที่จะสามารถเกิดมาเป็นเนื้อหนัง มีเลือด มีเนื้อเหมือนมนุษย์เลย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนมนุษย์ คือไม่มีธรรมชาติบาปเหมือนมนุษย์ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เกิดจากมนุษย์ แต่เกิดจากฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงเป็นมนุษย์ผู้เดียว บนโลกใบนี้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม

พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะสามารถมาตายแทนมนุษยชาติบนไม้กางเขน สามารถหลั่งพระโลหิตของพระองค์ได้ เพื่อชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ และสามารถตาย และเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อมนุษย์จะได้สามารถเป็นขึ้นมาใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในที่เดิม ที่มนุษย์เคยอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น

ขบวนการทั้งหมด พระเจ้าได้ทำไว้เรียบร้อยไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะมีขบวนการนี้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเกิดบนโลกใบนี้ พระเจ้าก็ให้กฎระเบียบ ให้กับคนยิว พอพระเยซูมา ในข้อ 15 ตรงนี้บอกว่าพระเยซูทรงยกเลิกบทบัญญัติ โดยผ่านทางพระกายของพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนปุ๊บ กฎบัญญัติที่บังคับมนุษย์อยู่ พระเยซูได้ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ก็คือพระเยซูมาตายแทนมนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว มารับเอาความผิดความบาปของมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เองเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าที่พระเจ้าลงโทษมนุษยชาติ เนื่องจากที่เขาล้มลงในความบาป อยู่ในความพินาศ จะต้องตายนิรันดร์กาล มนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเขาตายจากพระเจ้า ก็คือวิญญาณเขาไม่มีชีวิต เขาตายอยู่ แม้ว่าร่างกายของเขาดูเหมือนมีชีวิต แต่ว่าร่างกายของเขาก็เดินทางไปสู่ความตาย

ฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อมนุษย์ผู้นั้น เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ทันทีที่เปิดใจ เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการ การบังเกิดใหม่ หรือเราเรียกว่าขบวนการการบัพติศมาได้เกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ สัมผัสไม่ได้ แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น

เรายังไม่รู้สึกอะไรเลย … “ฉันรับเชื่อ ตัวตนฉันก็ยังเหมือนเดิม ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย อ้าว! ผู้รับใช้บอกว่าเธอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เธอเป็นคนใหม่แล้วนะ วิญญาณเธอได้รับการสร้างใหม่เลยนะ วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตายไปพร้อมกันแล้วนะ วิญญาณที่เธอเป็นอยู่ ณ เวลานี้ เป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นวิญญาณชอบธรรม วิญญาณที่มีชีวิต เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ แล้วพวกเราก็เชื่อตามที่ถ้อยคำบอก ฉะนั้น ทำไมพระเจ้าต้องบอกว่าผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็น ถ้าตามองเห็น เราเชื่อไม่ได้หรอก ถ้าเราพยายามที่จะเข้าใจตามที่สายตาเรามองเห็น ยังไงเราก็เชื่อไม่ได้ เพราะบอกว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ยังเหมือนเดิมเลย

“อ้าว! ฉันเป็นคริสเตียนเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่เหมือนเดิมเลย แล้วบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?”

แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าทันทีที่เราเชื่อ วิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรม เราเกิดมาเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม คืนดีกับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า อยู่แล้วอยู่เลย อยู่ในครอบครัวเดียวกับพระเจ้าปุ๊บ ต่อแต่นี้ไป พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะรักษาวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามในด้านของร่างกายในโลกใบนี้ ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรกับวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่ของเราเลย

อันนี้ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นพระคุณที่พระองค์ให้กับมนุษยชาติ ที่เราจำเป็นจะต้องพูดบ่อยๆ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอกว่า …

“ไม่จริงหรอก วิญญาณเธอไม่ได้รอดหรอก เห็นไหม? เธอยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่เลย ทุกวี่ทุกวัน อะไรแบบนี้ เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ด้วยความเชื่อเท่านั้น เชื่ออะไร? เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ณ เวลานี้ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จากเราเคยเป็นคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า จากเราเคยอยู่ในความมืดบอด เราเข้ามาอยู่ในความสว่างของพระเจ้า  จากเราเคยเป็นทาสของมารซาตาน หรือทาสของความบาป คำสาปแช่ง มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็คือเปลี่ยนจากการที่เราเคยอยู่ในพวกของอาดัม อยู่ในพวกของคนบาป อยู่ในกลุ่มคนที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า กลุ่มคนที่ไม่เชื่อฟัง กลุ่มคนที่ดื้อและกบฏกับพระเจ้า นี่พูดถึงเรื่องวิญญาณนะ มาเป็นวิญญาณที่เชื่อฟัง เป็นวิญญาณที่เป็นความรัก เป็นวิญญาณที่อยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

ทั้งหมดที่พูดมานี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พระเยซูคริสต์ถึงบอกเราบ่อยๆ ว่าให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ที่ชั่วร้าย ที่จำเป็นจะต้องสูญสิ้นไป หรือเราอยู่ในร่างกายนี้ ที่จำเป็นจะต้องสูญสิ้นไปเช่นเดียวกัน  ก็คือรอ เดินทางไปสู่ความตาย แต่จิตวิญญาณข้างในเราจะเดินทางไปสู่พระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ฉะนั้น พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ยังคงยืนยันถ้อยคำเดิม บทบัญญัติ ไม่สามารถช่วยมนุษย์ ให้รอดพ้นได้ บทบัญญัติไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้คืนดีกับพระเจ้าได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำตามบทบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ มนุษย์จึงเข้าไปสู่การพิพากษา  อยู่ในความสาปแช่ง ฉะนั้น พระเยซูมาทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็คือพระเยซูมารับเอาความผิดบาปของมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ ก็เลยไม่สามารถควบคุมคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ นึกภาพออกไหม? ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ในอาดัม อยู่ในกฎเดิม อยู่ในธรรมชาติเดิม ก็คือเรายังอยู่ภายใต้กฎบัญญัติที่ตั้งไว้ กฎบัญญัตินะ ที่เราจำเป็นจะต้องทำดี ละชั่ว ถ้าทำผิดครั้งเดียว  เราก็ได้รับการลงโทษ มนุษย์ทุกคนไม่สามารถที่จะทำดีได้ 100% ฉะนั้น มนุษย์ก็อยู่ในคำสาปแช่ง

เมื่อมนุษย์คนนั้นตาย วิญญาณเขาตายจากกฎบัญญัติ ก็คือบัญญัติเหล่านี้ไม่สามารถมีผลกับวิญญาณใหม่ของเขาได้เลย เพราะว่าตายจากบัญญัติเดิม เข้ามาสู่บัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์ และบัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์เป็นบัญญัติที่ง่ายมาก มีอยู่นิดเดียว พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่าน คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน ให้เจ้าทั้งหลายรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิด”

บัญญัตินี้ พระเจ้าทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คือทำเสร็จแล้ว เราไม่ต้องทำเองนะ เราไม่ต้องพยายามรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ เพราะว่าเราพยายามไม่ได้หรอก ทำอย่างไร? เราก็รักพระเจ้าสุดจิต สุดใจไม่ได้  แต่พระเจ้าทำให้วิญญาณเราเกิดมาเป็นเลย เป็นความรักที่เราสามารถรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด สามารถรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง มันเกิดมาเป็น ฉะนั้น วิญญาณเราเป็นแบบนี้แล้ว แต่ว่าในด้านของร่างกาย เราอาจจะไม่รักพระเจ้าก็ได้ บางวันเราไม่อยากรัก ก็ตามนั้น เพราะว่าเราอยู่ในร่างกายที่บาป หรือว่าบางวันเราไม่เห็นอยากจะรักพี่น้องเลย พี่น้องบางคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ทำอะไรที่ดูแล้วขวางหูขวางตา อึดอัดๆ ขัดใจๆ อะไรอย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกัน นั่นคือด้านของการประพฤติที่อยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะสามารถถูกล่อลวง ให้โปรแกรมเดิมที่มันค้างอยู่ในสมองของเรา ส่งผลออกมาได้ แต่ว่าความจริงในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นความรักแล้ว คือ “เป็น” เลย เรารักพี่น้องทุกคนเลย ในพระคริสต์ ไม่ว่าอยู่ในโบสถ์ของเรา หรืออยู่ในโบสถ์อื่น อยู่ทั่วโลกเลย วิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียกันกับทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เพราะว่าเราเข้ามาสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราก็เป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ ที่เราคุยกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็คือเราเป็นอวัยวะของร่างกายนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา

นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ อย่าให้เราโดนหลอกด้วยข้อมูลอะไรก็ตาม ที่ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  ถ้าข้อมูลไหนที่ขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องไม่เอเมนตาม เราต้องไม่ยอมรับมัน ถ้าข้อมูลบนโลกใบนี้บอกเราว่า …

“วันนี้เธอทำผิด พระเจ้าทิ้งเธอแล้ว เธอไม่รอดแน่”

เราต้องยืนยันความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า … “เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉันเป็นเหมือนพระเยซูแล้ว วิญญาณฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณใหม่ ที่อยู่ในธรรมชาติใหม่ วิญญาณฉันถูกเปลี่ยนใหม่ ถ้อยคำของพระองค์บอกฉันอย่างนั้น ถูกเปลี่ยนใหม่เลย วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของฉัน ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้ที่ฉันเป็น คือฉันเป็นลูกของพระเจ้า ที่มากกว่านั้น ก็คือในโลกวิญญาณ วิญญาณของฉันได้นั่งร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ หรือการกระทำใดๆ บนโลกใบนี้ ที่เราทำเอง หรือใครมาล่อลวงให้เราทำ ก็แล้วแต่ สามารถแยกฉันหรือตัดฉันออกจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้”

ฉะนั้น พระเยซูบอก … “แกะของเราจะฟังเสียงของเรา ไม่มีใครสามารถมาแย่งแกะออกไปจากมือของเราได้”

ใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม่มี พระเจ้าใหญ่สุดแล้ว เมื่อเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ก็ไม่มีใครสามารถทำให้เราเปลี่ยนแปลงจากการเป็นลูกของพระเจ้าไป กลายเป็นลูกมาร หรือกลับไปอยู่ที่อาดัมเหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า ให้เรามั่นใจเลยว่าถึงวันพิพากษา ที่เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราไม่ต้องถูกพิพากษาแล้ว เพราะว่าการพิพากษาได้กระทำสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราถูกตัดสินว่าเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวอะไร?

ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ทำให้กฎบัญญัติต่างๆ ที่คลุมเราอยู่ ไม่สามารถมีผลอะไรกับเราเลย เพราะว่าวิญญาณเราตายไปแล้ว ตายจากกฎเรียบร้อยไปแล้ว เข้ามาในกฎใหม่ ซึ่งเป็นกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต

ในพระธรรมโรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ  จากกฏแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์

พระเยซูได้ทำสำเร็จ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และโดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ในตรงนี้บอกว่าจุดประสงค์ของพระองค์ ก็คือเพื่อยุบ 2 ฝ่าย แล้วก็สร้างขึ้นใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เช่นนี่แหละ จึงทำให้มีสันติสุ

ยุบ 2 ฝ่าย ก็คือฝ่ายที่เรียกว่าประชากรของพระเจ้า คือคนยิว แล้วฝ่ายที่เรียกว่าคนต่างชาติ เมื่อก่อนคนยิวไม่คบหาคนต่างชาติ  ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือวิญญาณมันคนละวิญญาณกัน คนยิวถือว่าเป็นประชากรของพระเจ้า มีพระเจ้าพระบิดา เป็นพระเจ้าของเขา โดยผ่านทางกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งขึ้น คนยิวเขาก็ไปถวายเครื่องบูชาปีต่อปี โดยเลือดของแพะแกะ พระเจ้า ก็ยกโทษให้ไม่ต้องถูกลงโทษชั่วคราว นั่นคือเงาที่พระเจ้าตั้งเอาไว้

ฉะนั้น ข้างในของคนยิว ณ เวลานั้น คือเขามีพระเจ้าไง เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าของเขา พอเขาเป็นของพระเจ้าปุ๊บ เขาก็เป็นศัตรูกับโลกโดยปริยาย เข้ากันไม่ได้ คนยิวในยุคสมัยก่อน เขาก็ไม่คบหาสมาคมกับคนต่างชาติ

จริงๆ แล้ว คือในโลกวิญญาณเป็นศัตรูกัน  พอมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ เข้ามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เข้ามาสามัคคีธรรม เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน ไม่มีความเกลียดอีกแล้วตอนนี้ เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ เพราะว่าพระเจ้าให้คน 2 กลุ่มมาเป็นหนึ่งเดียวกัน พอมาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็ไม่ทะเลาะกัน

คำว่า “ไม่ทะเลาะกัน” มีสันติสุข ก็คือในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่ในโลกวัตถุ อาจจะยังทะเลาะกันอยู่ก็ได้ ไม่เกี่ยวกัน แต่ในโลกวิญญาณเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ทะเลาะกันแล้ว

เอเฟซัส 2:16 “และในกายเดียวนี้ ทั้งสองพวกจึงกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยไม้กางเขน ซึ่งพระองค์ทรงใช้ทำลายความเป็นศัตรูกันให้หมดสิ้นไป”

 

กายเดียวนี้  คือกายของพระเยซูคริสต์ ที่ยอมแตกหัก  ยอมถูกเฆี่ยนตี ถูกทุบตี ยอมหลั่งพระโลหิตมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ

การชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทำให้เขาสะอาดบริสุทธิ์  เขาจึงสามารถที่จะมาคืนดีกับพระเจ้าได้  แต่ถ้ามนุษย์คนไหน ไม่คิดที่จะย้ายจากอยู่ในอาดัม อยู่ในความบาป  อยู่ในความมืด อยู่ในคำสาปแช่ง เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่เปลี่ยนจากตรงนั้น มาสู่พระเยซูคริสต์ คือกลับใจใหม่ มายอมรับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงวันหนึ่งที่วิญญาณเขาออกจากร่าง ก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า เขามีโอกาสแค่ตอนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น ที่จะมีโอกาสในการตัดสินใจ แต่ถ้าหลุดจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว เป็นวิญญาณ วิญญาณไม่สามารถกลับใจใหม่ได้ ไม่สามารถตัดสินใจ ที่จะเลือกข้างได้แล้ว เขาอาจจะบอกว่า …

“ขอเวลานิดหนึ่ง ขอเวลากลับใจได้ไหม? เปลี่ยนมาเชื่อ วางใจในพระเจ้าได้ไหม?”

พระเยซูบอกมันสายไปแล้ว ไม่ทัน ก็คือวิญญาณเขา ตอนที่ออกจากร่าง อยู่ในสถานะไหน? จะอยู่ในสถานะนั้น ถ้าเขายังอยู่ในสถานะที่เชื่อวางใจในการกระทำดีของตัวเอง ละสิ่งที่ชั่วด้วยตัวเอง  ยังคงพึ่งพา การทำดีพึ่งพากฎบัญญัติไม่ยอมเข้ามาอยู่ในพระคุณของพระเจ้า มาขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง สถานะนั้นยังคงอยู่ ก็คือเขาจะต้องไปถูกพิพากษาหลังความตายเหมือนเดิม จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนถูกพิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว ก็คือเรียกว่ากำลังเดินทางไปสู่ความพินาศ

พระเจ้าให้โอกาสกับมนุษย์แล้ว ก็คือที่พระเยซูคริสต์มารับเอาความผิดบาปของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยแล้ว นี่คือข่าวดี แล้วถ้ามนุษย์คนนั้น ยังเย่อหยิ่งในความดีงามของตัวเอง …

“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ต้องพึ่งในพระเยซูหรอก ฉันทำดีเยอะแยะมากมาย ฉันไม่เคยทำสิ่งที่ชั่วร้ายเลย”

อะไรประมาณนั้น ก็เลยไม่เอา ไม่ตัดสินใจ ที่จะย้ายข้าง เป็นการตัดสินใจของเขาเอง พระเจ้าก็ปรารถนามาก พระเจ้าก็ลุ้นมาก …

“เธอ กลับใจเถอะ มาพึ่งฉันเถอะ”

แต่ว่าคนนั้นก็ยังหยิ่งเกินไป ที่จะมาพึ่งในพระเจ้า ยังรักที่จะพึ่งพาตนเอง  พอถึงวันสุดท้ายของชีวิต วิญญาณออกจากร่างปุ๊บ เขาก็จะเข้าสู่ขบวนการการพิพากษาจริงๆ ตอนนี้พิพากษาจริงๆ คือพินาศจริงๆ ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราไปประกาศข่าวดี ข่าวดีของพระเยซูคริสต์มีไม่เยอะหรอก ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์มาแล้ว มาบนโลกใบนี้ ถูกส่งมาเรียบร้อยแล้ว ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่ปฐมกาล แล้วมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเรา คือทางนั้น  คือความจริงและคือชีวิต มีในพระเยซูคริสต์ ในพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณเท่านั้นที่มีชีวิต นอกเหนือจากพระองค์ทุกอย่างไม่มีชีวิตหมด อยู่ในความตายหมด

ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่สำคัญ ที่เราไปประกาศ แล้วเราก็ทำหน้าที่แค่นั้น เราไม่ต้องพยายามไปยื้อยุดฉุดกระชาก ลากถูก บีบคอให้คนที่เราไปประกาศ มารับเชื่อ ไม่ต้อง ให้เขาตัดสินใจเอง พระเจ้าก็ไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้ทุกคน มีสิทธิ์ตัดสินใจ ฉะนั้น เขาจะตัดสินใจว่าเขาเลือกข้างไหน? เขาก็จะรับผลตามนั้น  ดังนั้น มนุษย์ทุกคน  ที่ตัดสินใจ  รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว  เหนื่อยมากเลย ทำความดีมา ข้างในวิญญาณ ก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ ไม่มีความมั่นใจว่าหลังความตาย เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่สวรรคสถานหรือเปล่า? หาความมั่นใจไม่ได้เลย เมื่อหาความมั่นใจไม่ได้ ก็ถ่อมใจสิ มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่ต้องคอยเชิดคออยู่ …

“ไม่ได้ ฉันต้องพัฒนาตัวเองให้ทำดีให้ได้เลย ตามมาตรฐานของพระเจ้า”

ถ้อยคำพระเจ้า พระเยซูบอกแล้ว ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำตามมาตรฐานของพระเจ้า ได้ 100% เต็ม ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที ไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้ทำได้ ธรรมชาติเดิม ก็ยังคงอยู่ในบาปอยู่ ถ้าวิญญาณเขายังไม่บังเกิดใหม่ ถ้าเขาไม่ตาย เขาก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้

ขบวนการนี้  คือพระเจ้าทำให้เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว แค่ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้ แล้วก็เปิดใจต้อนรับเอาข่าวดีนี้ปุ๊บ ทุกอย่างพระเจ้าทำหมด มนุษย์ทำอย่างเดียว ก่อนเชื่อ เราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาจริงๆ มีคนไปประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เชื่อนะ

“โอเค พระเยซูคริสต์ก็ดีนะ”

โอเค นั่นคือเชื่อเฉยๆ ไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะส่งผลให้สามารถรับตามพระสัญญาของพระเจ้าได้  เชื่อเฉยๆ ก็ไม่มีประโยชน์ พอเราเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และยอมรับว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เราต้องการความช่วยเหลือปุ๊บ สิ่งเดียวที่มนุษย์ต้องทำ คือเปิดใจ รับเอาความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์แค่นั้นเอง ทำแค่นั้นเองจริงๆ ทันทีที่เราเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามา ทำการผ่าตัดวิญญาณ ขบวนการทั้งหมด เราไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราทำไม่ได้ พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ

พอขบวนการเสร็จปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า จากนั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลย พักผ่อน หายเหนื่อย เป็นสุข ต่อแต่นี้ พระเจ้าจะเป็นผู้นำเรา พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์จะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ขบวนการนี้ อธิบายซ้ำ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพี่น้องจะได้จำให้แม่นๆ หลังจากที่เราเปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขบวนการการบังเกิดใหม่ ก็เริ่มขึ้น เขาเรียกว่าผ่าตัดวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้นทันที พระวิญญาณเอาวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปของเรา ไปไว้ที่พระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เสร็จแล้วเราบังเกิดใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมนุษย์คนนั้นบังเกิดใหม่ อันดับแรกเลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณของเรา เปลี่ยนใหม่เลยนะ วิญญาณเก่าเราตายไปแล้ว วิญญาณเราถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่  สะอาด บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เป็นความรักเลย เป็นความชื่นชมยินดีเลย เป็นความดีงามเลย ดีพร้อมเลย แล้วความคิดจิตใจของเรา ก็ถูกเปลี่ยนใหม่เหมือนกัน เปลี่ยนเป็นของใหม่เลย ไม่มีเก่าผสม แต่เนื่องจากเราอยู่บนโลกใบนี้ เรายังมีโปรแกรมความคิดเดิม ที่ความเคยชิน ที่เราเคยทำอยู่ มันยังแอบ แอบอยู่ตรงช่องของความคิดจิตใจ ที่ถูกสร้างใหม่ พอมันแอบเอาไว้ โอกาสที่ระบบของโลกนี้ ส่งเข้ามาล่อลวงเรา ล่อลวงผู้เชื่อคนนี้ ให้ทำตามมัน โอกาสมี มันจะส่งเข้ามาทุกเวลา ส่งเข้ามา ตรงนี้ คือป้อมปราการที่เราจะต้องทำลายมัน ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเหตุผลจอมปลอมที่ยกตัวขึ้น ต่อต้านความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า ตรงนี้แหละ ที่เป็นการโกหกที่ส่งเข้ามาตลอดเวลา

ฉะนั้น เรารับรู้ความจริง ในโลกวิญญาณมากเท่าไร? การโกหก มันก็จะอ่อนแรงลง มันโกหกเราได้น้อยลง  ดังนั้น ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความคิดจิตใจของเรา ถูกเปลี่ยนใหม่ปุ๊บ พระเจ้าก็จะส่งพลังแห่งความชอบธรรม เข้ามาตรงความคิดจิตใจของเรา ส่งพลังเข้ามา ให้กำลังเรา ให้เราเรียนรู้ รับรู้ความจริงมากเท่าไร พลังตรงนี้แหละ จะทำให้มันส่งผลของความชอบธรรมของพระเจ้าออกมาได้มากเท่านั้น

หมายความว่ามนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าเป็นผู้ทำ พอทำเสร็จ ความคิดจิตใจของเรา ได้รับพลังใหม่ของพระเจ้า คือพลังแห่งความชอบธรรมปุ๊บ รับรู้ความจริงว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าตอนนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ความจริง คือเราเป็นความรัก พอเรารับรู้ว่า  …

“ฉันเป็นความรัก ฉะนั้น ถ้าเมื่อไรที่ฉันประพฤติออกมาเป็นความเกลียดชัง แปลว่าฉันกำลังประพฤติไม่ตรงตามความจริงของธรรมชาติใหม่ของฉัน”

คือมันไม่ได้มีอะไรเลย ก็เป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่ว่าไม่ว่าเราจะประพฤติตามธรรมชาติใหม่ของเรามากน้อยแค่ไหน อยู่ที่การรับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่าธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างไร?  แล้วเมื่อเรารับรู้มากๆ เจริญเติบโตมากๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะเป็นผู้ผลักดัน จากข้างในเราออกไป มันจะส่งผลออกไป โดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ อันนี้ คือความจริง ในโลกวิญญาณ แต่เนื่องจากเราถูกสอนมาต้องทำๆ ต้องโน่น ต้องนี่ ต้องรักกัน ต้องหมดเลย กลายเป็นว่าที่บอกต้อง คือเราต้องพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งพระเยซูบอก …

“ไม่ใช่ ฉันเป็นผู้ทำ ฉันเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเจ้า เพื่อเจ้าจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า”

พระเจ้าเป็นผู้ทำ มันจะผลักดันออกมาเอง โดยอัตโนมัติ ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้าเมื่อไร ที่เราถูกบีบบังคับให้ต้องทำด้วยกำลังของเราเอง แปลว่าอันนั้น มันไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า เป็นมาจากการกระตุ้นของคนรอบข้าง หรือการกระตุ้นของระบบเดิม ก็คือต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เพราะว่าเขาตั้งใจ ที่จะทำด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งพระเจ้าบอกว่า …

“ไม่ต้อง  เธอแค่เชื่อฉันอย่างเดียว อยู่กับฉัน แล้วฉันทำให้หมด เธอแค่เสวยสุขอย่างเดียว”

นี่คือความจริงที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา ตอนที่พระเจ้าสร้างสวนเอเดน  พระเจ้าก็ไม่เคยบอกอาดัมว่า …

“อาดัมเธอต้องไปปลูกต้นไม้ใบหญ้า เธอต้องไปรดน้ำ เธอต้องไปลิดใบ เธอต้องไป ต้องๆๆๆ”

พระเจ้าไม่ได้สั่งอาดัมแบบนี้ พระเจ้าสั่งว่า …

“จงครอบครอง ให้ครอบครองทั้งหมดที่พระเจ้าให้มา แล้วก็เชยชมทุกอย่าง ที่พระเจ้าให้มา”

อยากกินผลไม้ต้นไหน? เดินไปหยิบ แล้วก็กิน แค่นั้น จบ พระเจ้าไม่เคยให้อาดัม เอวาต้องไปปลูก ต้องไปรดน้ำ ต้องไปพรวนดิน  ต้องไปพยายามประคบประหงม ลิดใบ ไปเอาอะไรห่อลูกเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวแมลงมากิน ตอนปฐมกาล ไม่มีเลย มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าสร้าง มันเป็นแบบนั้น แล้วพอถึงยุคของเรา ก็คือยุคที่เรากลับคืนดีกับพระเจ้าเข้ามาสู่สภาพเดียวกัน พระเจ้าก็ให้เราเหมือนกัน ก็คือขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว และเมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนคนไหนทำอะไร พระเจ้าจะทำงานข้างใน พระองค์จะเป็นผู้กระทำ ถึงเวลาที่สมควร พระองค์ก็จะให้เกิดผลออกมา ให้คนรอบข้างได้เห็น มันจะออกมาโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ถ้าเราทำด้วยกำลังของเราเอง เราจะท้อ ทำเมื่อไรมันจะพอ ก็ต้องทำเรื่อยๆ ตรงนี้มันไม่ได้ มันไม่พอ มันต้องอะไรอย่างนี้ แล้วเราก็จะท้อใจ

ฉะนั้น เมื่อเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่า …

“อยู่เฉยๆ ทำอย่างเดียว คือเปิดใจต้อนรับฉัน จากนั้น ฉันจะทำเอง”

แล้วแค่เราเงี่ยหูฟังว่า … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะให้เราทำอะไร?”

เงี่ยหูฟัง แล้วพระเจ้าก็จะบอกเราในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวัน อะไรก็ตามที่เราทำแล้ว มันไม่ขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า เท่ากับเราทำตามพระวิญญาณ อะไรก็ตามที่เราทำ แล้วขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า นั่นแหละเรากำลังทำตามเนื้อหนัง มันจะออกมาอย่างนี้  แต่มันจะมีอะไรที่เส้นบางๆ ที่ดูเหมือนดี แต่มันไม่ใช่ เราใช้ภาษาว่าโฮลี่ เฟรช เป็นเนื้อหนังแบบโฮลี่  ดูแล้วมันดี แต่มันไม่ใช่ ไม่ได้มาจากพระเจ้า ถ้าเมื่อไรไม่ได้มาจากพระเจ้า  มาจากความคิดของเราเอง คิดว่าเราควรจะทำแบบนี้ ทำแล้วรู้สึกดี อันนั้นไม่ใช่แล้วล่ะ ไม่ใช่มาจากพระเจ้า เรารู้สึกดี พอเราไม่ทำปุ๊บ เรารู้สึกไม่ดี

อย่างสมมติว่าเราถูกสอนมาว่าเราต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน วันไหนเราขี้เกียจ เรารู้สึกไม่ดี  เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ เรารู้สึกแย่ อันนั้น โฮลี่ เฟรช เพราะว่าถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณ ไม่มีอะไรที่จะต้องทำให้เรารู้สึกไม่ดี เพราะพระเจ้าบอกทุกอย่างมันดี ถ้าวันนี้ สมมติเราทำๆ ลืมอ่านพระคัมภีร์ ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้อยคำของพระเจ้าอยู่ในเราแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ความจริงของพระเจ้าก็อยู่ในเรา

อ่านพระคัมภีร์ดีไหม? ดี แต่อย่าให้ความดีตรงนั้น ทำให้กลายเป็นกฎ กฎข้อบังคับที่ว่าต้อง ถ้าไม่ทำ เราจะรู้สึกผิด อันนั้น คือโฮลี่ เฟรช

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรา จะบอกเรา ในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบางครั้ง มันละเอียดอ่อน มันเส้นเล็กๆ บางๆ  แต่มีโอกาสที่พวกเราจะถูกหลอก มันเป็นความเคยชิน  ที่เรารู้สึกว่าเราต้องทำ ไม่ทำ แล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ ถ้าเราอยู่ในพระวิญญาณ พระเจ้าทรงนำเรา ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ  ก็ไม่สามารถทำให้เราไม่สบายใจ เพราะว่าเราเป็นอิสระจากกฎทั้งหมด ที่บังคับเราในอดีตแล้ว ไม่มีการบังคับใดๆ ทุกอย่างทำออกมาจากใจ จากข้างในวิญญาณของเรา  ทำออกไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า จบ แค่นั้นเอง พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ในพระกายของพระคริสต์

ใครสำคัญ สำหรับคุณ

ผู้รับใช้ หรือพระเจ้า

 

1 โครินธ์ 3:5-7 TNCV “5 อปอลโลเป็นใคร?  และเปาโลเป็นใครกัน?  ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่นำท่านมาเชื่อ  ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน  6 ข้าพเจ้าปลูก  อปอลโลรดน้ำ  แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต 7 ดังนั้น ไม่ว่าคนปลูกหรือคนรดน้ำก็ไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ”

 

อปอลโล   เปาโล   เป็นผู้มีของประทานจากพระเจ้า  ในการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์  อาจารย์เปาโล  กำลังชี้ให้เห็นว่าคนงานที่ทำงานต่างหน้าที่กัน  ในพระกายของพระคริสต์นั้น  ต่างทำหน้าที่ของตน   คนละอย่าง  เพื่อให้ต้นไม้  (ผู้เชื่อในพระกายของพระคริสต์) ได้รับการเลี้ยงดู  ได้รับการดูแล  แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงดู  ดูแลดีอย่างไร  แต่ถ้าขาดผู้ทำให้เติบโต  ต้นไม้ก็แคระ  ไม่เกิดผลและตายลงได้   ดังนั้น  ผู้ที่สำคัญที่สุด คือพระเจ้าผู้ทำให้เติบโต

 

เปาโลต้องการชี้ให้เห็นว่าเราอย่ายกย่อง  หรือสำคัญผิดในการยกคนขึ้น   แต่ผู้ที่เราควรยกขึ้น  คือพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าอ่านตาม Holy Words ของวันที่ 5 สิงหาคม 2021 เราจะพบว่าทั้งผู้เชื่อ  และคนงานของพระเจ้า  ที่พระเจ้าให้ของประทานมา  ในการสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์นั้น  มีคุณค่าเท่ากัน …

–  ได้เป็นลูกของพระเจ้าเท่ากัน

–  ได้เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน

–  ได้รับการอภัยโทษบาป ชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เท่ากัน

–  ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวามพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เท่ากัน

–  ได้รับพระพรนานาประการในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ทันทีเท่ากัน

–  ไม่มีใครได้มากว่าใคร

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ