วารสาร Holy News ฉบับที่ 1373

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

โดย พาสเตอร์ นคร   เวชสุภาพร

 

เคยมีรายงานออกมาว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ เป็นโรคเดียวกันทั้งโลก เขาเรียกว่าโรคสมาธิสั้น อาการหลักๆ คือไม่มีสมาธิ ใจร้อน ทนไม่ได้นาน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ความอดทน ความพยายามลดลงกว่าสมัยก่อนนี้  อะไรที่ต้องใช้สมาธิ ต้องใช้เวลานาน จะทนไม่ค่อยได้ จริงไหม?

ข้อมูลข่าวสารบนโลกโซเซียวมีเดีย ก็เหมือนกัน ลองสังเกตดู อะไรที่ยาวๆ เกินไป ดูนานๆ จะไม่ค่อยมีใครสนใจหรอก เขาว่ากันว่าถ้าให้สนใจ ใช้เวลาแค่ 1 นาที … 1 นาทีต้องเอาให้อยู่นะ ไม่อย่างนั้นเขาเลยไปที่อื่นแล้ว ทุกวันนี้ แอปที่ดังที่สุด ก็คือแอป Tik Tok แล้วนิยมใช้กันมากขึ้นทุกวันๆ ก็เพราะสมาธิสั้นนี่แหละ เพราะคลิปที่จะลงใน Tik Tok นั้น จะเป็นคลิปที่สั้นๆ ดูง่ายๆ เขามีสถิติล่าสุด ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแอป Tik Tok อยู่ประมาณพันล้านคนทั่วโลก เฉพาะอเมริกามี 25% ของประชากร ส่วนบ้านเรา 14% ประมาน 10 ล้านคน แป๊บเดียว ดังมาก ดังเพราะมันสั้น สมาธิสั้น เข้ากันกับแอปสั้นๆ

แล้วทุกคนก็คิดว่า Tik Tok มันเกี่ยวอะไรกันกับข่าวประเสริฐ  ที่จะมาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ในวันนี้ เกี่ยวอะไรกับคำบรรยายในวันนี้บ้าง? สิ่งที่เรากำลังมาเรียนรู้กันในวันนี้ ก็คือเคล็ดลับสำหรับคริสเตียนในการอยู่บนโลกนี้ ด้วยความชื่นชมยินดี และมีสันติสุขที่แท้จริง ท่ามกลางความทุกข์ลำบากและทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงต้องให้มันสั้นๆ ใช่ไหม? เป็นเคล็ดลับ ให้เราจำได้ ก็ต้องเป็นเคล็ดลับสั้นๆ ที่ไม่เกิน 1 นาที คืออะไรล่ะ

เคล็ดลับสำหรับคริสเตียน ในการอยู่บนโลกใบนี้  ไม่เกิน 1 นาที  แต่สำคัญมากๆ เลย คริสเตียนทุกคนควรจะเข้าใจ และจำให้ได้  เคล็ดลับสั้นๆ นี้ ก็คือหัวข้อเรื่องในการบรรยายในวันนี้  ก็คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” จำเพลงนี้ได้ไหม?

“พระคริสต์อยู่ในใจฉัน       พระคริสต์อยู่ในใจเธอ

พระคริสต์อยู่ในใจฉัน         และในใจฉัน”

อยู่หรือสถิตก็เหมือนกันนั่นแหละ  สั้นมาก

ท่านลองไปคิดดูว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อนไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ ไม่มีโบสถ์ อย่างที่เรามารวมกันอย่างนี้  ไม่มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่มีสื่อสารต่างๆ ไม่มีพูดถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ไม่มียูทูป ไม่มีกูเกิล มือถือยังไม่มีเลย  ไม่มีการมาบันทึกคำเทศนาต่างๆ คำบรรยายของอาจารย์เปาโล แล้วมาฟังทีหลัง  ทุกคนต้องใช้การฟังและจำให้ได้  แต่คนสมัยก่อน ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น เพราะว่ามีเวลาที่จะคิดอะไรต่างๆ ไม่เหมือนคนในยุคปัจจุบัน พอฟังแล้วก็จำเอา แล้วมาเล่าสู่กันฟัง ก็มาหนุนใจซึ่งกันและกัน คริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ในสมัยก่อนน้อยคนมาก ที่มีการศึกษา เรียนรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องเป็นราว น้อยมากๆ เลย อ่านไม่ออกเลย มีเยอะกว่าอ่านออก แล้วที่อ่านออก ที่ไปศึกษาเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ยิ่งน้อยใหญ่ ส่วนใหญ่ ก็คือในครอบครัวเล่าให้ฟัง พ่อแม่เล่าให้ลูกฟัง เล่าให้เพื่อนฟัง  มานั่งกินข้าวกัน  มาเจอกันตามบ้าน แล้วก็เล่าเรื่องพระคริสต์ หัวใจคือกลับไปบ้าน จำอะไรได้ ไม่ได้ ไม่รู้ จำได้ที่เขาเล่ามาหมด รู้ไหม? ไม่รู้เท่าไร?

จำที่เปาโลพูดได้ไหม? ได้บ้างนิดหนึ่ง สรุปแล้วเดินออกมาจากบ้าน จากที่ประชุม จากการฟังมา จำได้อย่างเดียว คืออะไรไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่า …

“พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน”

เราอยู่ได้อย่างไร? ก็เรารู้ เพราะว่าพระคัมภีร์จะบอกไว้ว่านี่แหละ คือเคล็ดลับ และเป็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่กระทำสิ่งนี้ด้วย วันนี้เราจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปว่าตรงไหนที่พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คำว่า “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” มันคืออะไร?  ทำไมคนสมัยก่อนเขาจึงจำสิ่งเหล่านี้ได้  เขาเรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญของผู้ที่เป็นคริสเตียน เปาโลเคยพูดบอกว่าท่านสามารถพิสูจน์ตัวท่านเองว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่? โดยวิธีการที่ท่านทราบใช่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ถ้าท่านยังรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ท่านเป็นคริสเตียนแน่นอน  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น  แต่มาถึงปัจจุบัน เรามีแหล่งข้อมูลเยอะแยะมากมายที่จะเรียนรู้เรื่องข่าวประเสริฐเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นยูทูปหรือว่าหนังสือเต็มไปหมด จะฟังเมื่อไร ก็หยิบมือถือมากด จะหาอะไร ก็เต็มไปหมดเลย

หลายคนยิ่งศึกษา ยิ่งค้นคว้า ก็ยิ่งหลงทาง เพราะรู้มากเกินไป ชำนาญในเรื่องการทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก เพราะว่าเรียนไปเรื่อยๆ ไปเยอะ ไปใหญ่เลย ผิดๆ ถูกๆ ถูกๆ ผิดๆ เลยเละตุ้มเปะเลย รู้เยอะแยะ อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ศึกษาจากยูทูปทุกวัน รู้หมด ประวัติศาสตร์ เรื่องราวในพระคัมภีร์  ใครเป็นใครตอบได้หมด แต่พอมาถึงเวลาต้องเผชิญกับปัญหา  เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นึกไม่ออกว่าจะต้องคิดอย่างไร?  ต้องทำอย่างไร? คุ้นๆ ไหม? หนักๆ เข้าเวลาเจอปัญหาถาโถมเข้ามาในชีวิต เริ่มถามพระเจ้าว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหน? พระเจ้าหายไปไหน?  ทำไมเกิดสิ่งนี้กับฉัน?”

หนักกว่านั้นอีก … “ทำไมเกิดสิ่งนี้กับฉัน พระองค์ทำไมทำอย่างนี้กับฉัน พระองค์ทำไมโหดร้ายเช่นนี้ พระองค์ส่งโรคภัยไข้เจ็บนี้มาทำไม? พระองค์ส่งโควิดมาให้ฉันทำไม?  พระองค์ทรงให้ฉันล้มละลายทำไม?”

กลายเป็นกล่าวหาพระเจ้า โทษพระเจ้าอีก แรกๆ เชื่อใหม่ๆ พระเจ้าดีงาม รัก เรียนรู้ไปมากๆ กลายเป็นอย่างนี้ คุ้นหรือยัง? เข้าข่ายสุภาษิตไทย “ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” รู้เยอะเกินไป คิดมาก คิดกลับไปกลับมา ในที่สุด พระเจ้าผู้แสนดี ตอนเริ่มต้นเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มาตอนนี้รู้เยอะ เลยกลายเป็นพระเจ้าผู้แสนโหดร้ายเหลือเกิน ทำร้ายฉันได้อย่างไร?  พระองค์อยู่ไหน? ตอนเรามาเชื่อใหม่ๆ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ยิ้มแย้มแจ่มใส  นอนไม่หลับหรือว่าหลับสนิท แต่พออยู่ๆ ไป เรียนรู้ไป พระเจ้าลงโทษฉัน พระเจ้ากลายเป็นอย่างนี้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะว่าศึกษาเยอะเกินไป มันตีกัน  เพราะว่าการศึกษา  ก็คือความคิดของมนุษย์ที่ใส่เข้าไป

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร?  นึกออกใช่ไหม? พระคัมภีร์จะบอกพระลักษณะของพระเจ้าเป็นเช่นไร?  แต่ความคิดของมนุษย์จะบอกว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? ฉันจะให้พระเจ้าเป็นอย่างไร? ตามที่ฉันคิด ตอนมาเชื่อใหม่ๆ บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย เชื่อง่ายๆ พอไปนานๆ พระวิญญาณหายไปไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้เป็นต้น

พอตอนเริ่มต้นเชื่อใหม่ๆ ทุกคนจะชื่นชมยินดีในข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์มาก  เพราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเยอะ แล้วลองสังเกตดูเรา เราเรียนรู้อะไรไปบ้าง? ที่มันสอดคล้องกับถ้อยคำของพระเจ้าจริงๆ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ วันนี้เราจะมาเช็คกันว่าเคล็ดลับที่เป็นแหล่งพลังมหาศาลของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว มันคืออะไร? มันคือตรงนี้แหละ พระคริสต์สถิตในฉัน พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นพลังมหาศาล เคล็ดลับนี้ จำให้แม่นๆ แค่นี้คือ “พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

เราเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้ โดยพระคริสต์ … พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือ 3 พระภาคของพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ซึ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยากลำบาก ใหญ่กว่าปัญหาต่างๆ ทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้แน่นอน เพราะฉะนั้น จึงเป็นวลีสั้นๆ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง  มีพลังมหาศาล จากความจริงของพระเจ้า จากถ้อยคำของพระเจ้า ที่สามารถทำให้เรามีความสุข มีสันติสุข ในการเผชิญกับความกลัวบนโลกใบนี้  และความวิตกกังวลบนโลกใบนี้ ในสถานการณ์ยุคปัจจุบันยิ่งชัดเจนใหญ่ มันมืดมน มันไม่มีทางไปเลย แล้วเราจะมีความหวังไว้ที่ไหน? ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นพลังมหาศาลที่จะชนะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนั่นเอง

“พระคริสต์สถิตในฉัน จึงเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

เรามาดูที่โคโลสี บทที่ 1 ที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนเลยว่านี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่มากๆ ที่พระเจ้าทำให้กับเรา มนุษยชาติบนโลกใบนี้  คือพระคริสต์สถิตในฉัน พระคริสต์สถิตในท่าน  เป็นความหวังแห่งพระสิริ โคโลสี 1:25-27 …

โคโลสี 1:25-27 “25 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร (ธรรมมิกชนผู้เชื่อ) ตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำ ในหมู่พวกท่าน (ชนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ชาวยิว) คือการให้พระวจนะของพระเจ้า (ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์) ประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึกซึ่งถูกปิดบังไว้ (จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์) ตลอดหลายยุค หลายชั่วอายุแต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว 27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้น คืออะไร? คือพระคริสต์ สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้ร่วมรับเกียรติสิริ)”

 

ในข้อ 25 เปาโลได้บอกว่า … “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร” เปาโลกำลังบอกว่าตัวเปาโลเอง พระเจ้าเรียกให้มาเป็นผู้รับใช้คริสตจักร

คริสตจักร คือใคร?  คือธรรมิกชนผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ  “พระเจ้าได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าทำในหมู่พวกท่าน”

หมู่พวกท่าน ก็คือคนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว

ภารกิจนี้ คือให้เปาโลประกาศถ้อยคำของพระเจ้า เกี่ยวกับข่าวดี เกี่ยวกับพระมาซีฮาห์ เกี่ยวกับพระคริสต์ เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดกับบรรดาชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง

คำว่า “การให้พระวจนะของพระเจ้าประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์” คือให้ประกาศพระวจนะ ถ้อยคำ ข่าวดีพระเมสิยาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็คือประกาศพระคริสต์นั่นเอง  ตามหน้าที่ของอาจารย์เปาโล

ข้อ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ … ข้อล้ำลึกที่ถูกซ่อน ที่ถูกปิดบังไว้ จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ ทูตสวรรค์ก็ไม่รู้ มวลมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าข้อล้ำลึกนี้มันเป็นเช่นไร? มันเป็นลักษณะอย่างไร? ปิดบังไว้ตลอดทุกยุคทุกสมัย หลายชั่วอายุ  แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว ก็คือสำแดงแก่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือสำแดงในคริสเตียนทั้งหลายนั่นเอง

คือตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มนุษย์ทุกคนมีสำนึกอยู่ในตัวเองว่าเป็นคนบาป เข้าหาพระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้พระเจ้าก็ไม่ได้ จึงพยายามที่จะทำสิ่งที่ดี และสิ่งที่คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ รักษาตัวเองดีๆ ให้บริสุทธิ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้  เพื่อจะเข้าหาพระเจ้า แต่ทำอย่างไร มันก็เข้าหาไม่ได้สักที เพราะรู้ว่ามันไม่หมดจดจริงๆ นั่นเอง

ถ้อยคำพระเจ้าบอกล่วงหน้า บอกว่า … “ไม่เป็นไร วันหนึ่ง เราจะเป็นผู้ทำให้เจ้าสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่จะเข้ามาหาเราได้ โดยที่เราเป็นคนทำนะ เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า ให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า ให้เจ้าได้บังเกิดใหม่ ให้เจ้าสะอาดหมดจด และเราจะไปอยู่กับเจ้า”

นี่แหละ คือข้อล้ำลึก แผนการที่บอกไว้ล่วงหน้ามาตั้งเป็นพันๆ ปี แต่ถูกปิดบังไว้ ไม่ได้ถูกเปิดเผยรายละเอียด  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ที่บอกล่วงหน้าถึงข่าวประเสริฐนี้ ตั้งแต่ในยุคหลายพันปีก่อน ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นเลย ว่ากันตามจริงแล้ว การเผยพระวจนะนี้ เริ่มตั้งแต่ยุคปฐมกาล ตั้งแต่ที่พระเจ้าเป็นผู้เผยเองเลย ปฐมกาล 3:15 บอกว่า …

“หน่อเชื้อของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” หมายถึงพระเยซูจะทำให้กฎของความบาปและความตายหมดอำนาจลง แล้วมาสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำคำเผยพระวจนะให้สำเร็จ ยอห์นบัพติศโตบอกว่าตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายของผู้เผยพระวจนะ หลังจากเขา ตัวจริงมาแล้ว พระมาซีฮาห์ตัวจริง พระคริสต์มาแล้ว  ก็คือพระเยซูคริสต์มาแล้ว เสร็จแล้ว พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ก็พูด คราวนี้ประกาศด้วยตัวเองแล้ว นี่ของจริงมาแล้ว นี่พูดไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นั่นแหละ  ตอนนี้มาแล้วจริงๆ เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อีกไม่กี่วันจะทำงานนี้ให้สำเร็จแล้ว คือทำให้มนุษย์เข้ามาอยู่กับพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้าไปอยู่กับมนุษย์ได้นั่นเอง

ใน 1 เปโตร 1:10-12 ได้ยืนยันถึงเรื่องนี้ เรื่องความล้ำลึกของข่าวประเสริฐ ที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วยกับมนุษย์ ที่พูดกันมาตลอด  ได้ย้ำอีกทีว่าสิ่งนี้ถูกปิดบังจากผู้คนในสมัยนั้น  ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าใช้ เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็อยากจะรู้ มาอยู่อย่างไร?  ทำอย่างไร? ได้บันทึกไว้ในหนังสือ 1 เปโตร 1:10-12 อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 1:10-12 “10 บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงพระคุณ ที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุดเกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้ 11 พวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์บนพวกเขา ได้บอกบ่งชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา 12 พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง (ไม่ใช่ในยุคของพวกเขา) แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (องค์เดียวกัน) ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

 

“บรรดาผู้เผยพระวจนะ  ผู้ได้กล่าวล่วงหน้าถึงเหตุการณ์นี้ ถึงพระคุณนี้” ถามว่าผู้เผยพระวจนเหล่านี้คือใคร?  ก็คือผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมที่บันทึกไว้ ยกตัวอย่างเช่น อิสยาห์ เอเสเคียล ดาเนียล ผู้คนเหล่านี้ คือพระเจ้าใช้ ในการที่จะพูดเผยพระวจนะ คือบอกล่วงหน้าว่าพระองค์กำลังทำอะไร? พระเยซูคือใคร? พระมาซีฮาห์กำลังมา

และพวกผู้เผยพระวจนเหล่านี้ เผยพระวจนะแล้วทำอะไรต่อ? สนใจ อยากรู้ ในนี้บอกอยากรู้ตรงไหน? เขียนไว้  … “ได้ตั้งใจสืบเสาะ ค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุด เกี่ยวกับพระคุณความรอดนี้” พระคุณความรอดนี้ ก็คือความลี้ลับของพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิรินั่นเอง ก็จะสืบเสาะค้นคว้าว่าพระองค์จะทำอย่างไร?

ข้อ 11 บอกว่าพวกเขาพยายามพิเคราะห์หาดู เปิดพระคัมภีร์เดิม เปิดดูใหญ่เลยว่าพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าเผยพระวจนะอย่างนี้ หมายถึงอะไร? อิสยาห์บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้จะมาแบกเอาภาระความบาปของมวลมนุษยชาติออกไป ตายที่ไม้กางเขนอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันคืออะไร? เขาหาดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์บนพวกเขา พวกเขารู้ได้อย่างไร?  ก็พระเจ้ามาบอกพวกเขา  มาสำแดงให้พวกเขา แล้วให้พวกเขาได้ประกาศออกไปให้ประชากรได้รู้ว่าพระองค์กำลังจะทำอะไร? พระองค์ให้เขาได้รู้ด้วยวิธีใด?  โดยการประทานพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ข้างๆ เขา อยู่บนเขา ไม่ได้อยู่ในตัวเขานะ

ความลี้ลับ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในฉันใช่ไหม? แต่สมัยก่อนกำลังจะบอกว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์บนพวกเขา พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วยกับพวกเขา ไม่ใช่ในพวกเขา  แต่สำหรับพวกเรานี้ คริสเตียนนี้ สถิตในพวกเราเลย

พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์บนพวกเขา ได้บ่งบอกชี้ไว้นั้น จะเกิดขึ้นกับใคร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อพระองค์ได้บอกล่วงหน้า ถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา เขาอยากจะรู้ว่าการที่พระเยซูคริสต์ทนทุกข์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  ทำเพื่อใครในยุคไหน?  พระองค์จะมาเมื่อไร?

คำว่า “บรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา” หมายถึงการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนและการสิ้นพระชนม์ และพระเกียรติสิริที่ตามมา คือการเป็นขึ้นจากความตาย ที่จะตามมาในวันที่ 3 นั้น ทำเพื่อใคร?

พวกเขา ก็คือผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น  อย่างที่ตะกี้นี้บอก เอเสเคียล ดาเนียล อิสยาห์ พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้น  ที่ได้บอกล่วงหน้าแล้วนั้น  ไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ สำหรับคนในยุคนั้น  แต่เพื่อพวกท่าน ก็คือแต่เพื่อพวกผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว ประชาชาติทั่วโลก

“บัดนี้ บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้ว” สิ่งที่เปโตรพูด ก็คือบัดนี้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ก็คือในยุคพันธสัญญาใหม่แล้ว  บัดนี้ ก็คือตอนนั้น  ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คืออัครทูตต่างๆ เปาโล เปโตร ยอห์น และทีมงาน นักประกาศทั้งหลาย  ได้ประกาศข่าวดีนี้ ได้แจ้งแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ก็คือแจ้งแก่บรรดาพวกท่าน ท่านจึงรับเชื่อ ท่านจึงเกิดใหม่แล้ว ตอนนี้เป็นคริสเตียนแล้ว

และเขาเหล่านี้ คิดดูสิ เปาโล เปโตรและนักประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคพระเยซูคริสต์ เขาประกาศข่าวประเสริฐ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน ซึ่งส่งมาจากสวรรค์  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่มาสถิตอยู่ในผู้เชื่อหรือคริสเตียน  นั่นแหละ เป็นผู้ประกาศสิ่งนี้ เป็นผู้นำประกาศข่าวประเสริฐนี้ออกมา  แตกต่างกับเมื่อตะกี้นี้ไหม? ตะกี้นี้ ผู้เผยพระวจนะในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระวิญญาณมาอยู่ข้างนอกเขา อยู่บนเขา แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเขา ก็คืออยู่ในเราผู้เชื่อทั้งหลาย

บรรทัดสุดท้ายนี้สำคัญมาก จะเห็นคุณค่าของข่าวประเสริฐของพระเจ้า คุณค่าของคำว่า “พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” นี้ มันมีค่าเท่าไร? ประโยคสุดท้ายที่บันทึกเมื่อตะกี้บอกว่า … “แม้แต่เหล่าทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้เลย” แม้แต่ทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์เห็นอะไรต่างๆ ในโลกวิญญาณหมดเลย เห็นการงานของพระเจ้า เห็นวิธีการของพระเจ้า วางแผนไว้ สำหรับจะช่วยเหลือมนุษย์ รู้แผนการนี้ แต่ไม่รู้หมดว่ามันเป็นอย่างไร? รู้ระแคะระคาย พูดง่ายๆ เพราะมองไปในโลกวิญญาณเห็นมากกว่า ชัดกว่า ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ อยากจะเข้าใจว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก รักขนาดนั้นเลยเหรอ

ปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ก็คือความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่มากล้นของพระเจ้า  ที่มีต่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เกินกว่ามนุษย์จะคิดถึง และเกินกว่าทูตสวรรค์จะคิดถึง ถ้ามันเกินกว่ามนุษย์จะคิดถึง อย่างเราไม่ค่อยได้รู้เรื่องโลกวิญญาณมากมายเท่าไร? คือมนุษย์ทั้งหลายนะ  ก็ยังเกินกว่าความคิดของเรา แต่ทูตสวรรค์มองในโลกวิญญาณเห็น พระเจ้าทำการงานต่างๆ เห็นว่ามนุษย์บาปอยู่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ยังเกินความคิดของทูตสวรรค์เลยว่าพระเจ้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“ขนาดนี้” คืออะไร? คือยอมลงมาเองเลยเหรอ  พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์  คือพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์เองเลยเหรอ มาทำเองเลยเหรอ ทำถึงขนาดนี้ รักเขามากถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ?  นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

พระเจ้าบอกล่วงหน้ามาตลอด  อย่างที่บอกตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงยุคสมัยปัจจุบันก็ยังบอกอยู่  บอกมาตั้งแต่ยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม ยุคพันธสัญญาเดิม  จนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์มาทำพันธสัญญาใหม่ ก็ประกาศเรื่องนี้ ข่าวดีนี้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน นี่คือประกาศมาจนถึงทุกวันนี้

ในอดีต คือประกาศว่ากำลังจะทำ ตลอดมาเลย ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป ในปฐมกาล กำลังจะช่วยให้รอด  กำลังจะมา กำลังจะสถิตอยู่ด้วย จะมาเป็นอิมมานูเอล พระเจ้าอยู่ในเธอเลย จะให้ใจใหม่ จะให้วิญญาณใหม่ ประกาศมาตลอด พอพระเยซูมา ทำสำเร็จแล้ว พระเยซูเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อัครสาวกและผู้เชื่อก็ประกาศต่อไปว่าข่าวดีที่ในอดีตนั้น สำเร็จแล้ว  มันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น มันจึงมี 2 อัน คือพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่  ถูกไหมครับ?

มีอันเดิม ก็คือยังไม่เสร็จ กำลังจะทำให้เสร็จ

อันใหม่ คือเสร็จแล้ว พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ บอกว่า “สำเร็จแล้ว”

เพราะฉะนั้น ความแตกต่างระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ในการที่พระเจ้าจะติดต่อกับมนุษย์ หรือมนุษย์จะติดต่อกับพระเจ้านั้น มันเป็นลักษณะนั้น คร่าวๆ จะชี้ให้ท่านเห็นนิดหนึ่ง จะได้ชัดๆ

พันธสัญญาเดิม –  เนื่องจากมนุษย์เป็นคนบาป ตายในความบาป ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าจึงติดต่อกับมนุษย์ โดยวิธีการเลือกบางคนเป็นพิเศษ (ไม่ใช่ทุกคน) คือเลือกบางคนที่พระองค์จะทรงใช้งาน  อย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด โมเสส ไม่ได้เลือกทุกคนนะ  ที่จะมาเป็นผู้รับใช้ … รับใช้พระองค์ เป็นตัวแทน เป็นทูตของพระองค์ ติดต่อกับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  แล้วแต่พระองค์จะทำอะไร?  ในการที่มนุษย์จะได้สามารถรู้จัก ติดต่อพระเจ้าได้บ้าง โดยทั่วๆ ไป มนุษย์ที่ไม่พิเศษนะ ต้องติดต่อกับพระเจ้าผ่านทางตัวแทน และผ่านทางการทรงสถิตของพระองค์  ที่อยู่ในวิหารที่ทำด้วยมือ  ที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน ที่ทำด้วยมือ  อยู่ในวิหาร เริ่มต้นจากเต็นท์ เป็นการแสดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น และการสถิตของพระเจ้า เป็นการสถิตที่มนุษย์สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้  ในลักษณะของผ่านทางคนพิเศษ ที่เรียกว่าปุโรหิต หรือผู้เผยพระวจนะ  และปุโรหิตหรือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าใช้ เป็นทูตเหล่านั้น พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่นอกตัวเขานะ สถิตอยู่บนตัวเขา  เพื่อจะใช้งานเขา ขณะนั้น นี่คือพันธสัญญาเดิม  ยังทำไม่เสร็จ

พันธสัญญาใหม่ – ที่พระเยซูคริสต์มาทำให้สำเร็จตามที่พระองค์ทรงเผยพระวจนะไว้ในพันธสัญญาเดิม ก็คือวิญญาณของมนุษย์ ที่ตายอยู่นั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ และชีวิตที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่อยู่ในความชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์  ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ ที่ตายอยู่ สกปรก ตอนนี้ชอบธรรม ไม่บาป สะอาด บริสุทธิ์  เพราะฉะนั้น พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในจิตใจ ร่างกายของมนุษย์นั่นแหละ และพระเจ้าเลือกที่จะมาสถิตอยู่ด้วยในทุกคน ไม่ได้เลือกพิเศษแล้ว พระเจ้าเลือกทุกคน มาสถิตอยู่ในทุกคน ทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าหมดเลย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ยอห์น 3:16 บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกหรือรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ ได้รับชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์ นั่นคือพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง มนุษย์ทุกคน

ในสมัยพันธสัญญาเดิม แค่ได้รับรู้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขาด้วย  นี่พันธสัญญาเดิมนะ มาสถิตอยู่ข้างๆ เขา อยู่ข้างนอกเขา เห็นสัญลักษณ์วิหารที่สร้างด้วยมือว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในอภิสุทธิสถาน ในวิหารนั้น ได้รับรู้แค่นั้น ชาวอิสราเอลสมัยนั้น  ก็ได้รับกำลังมหาศาล  พระคัมภีร์เดิม พลังนี้มาจากพระเจ้าที่อยู่ภายนอก  แม้อยู่ภายนอกนั้น พระเจ้าก็มีสิทธิ์ ที่จะต้องจากไป ละไป  ออกไปจากประชากรของพระเจ้า  ถ้าเผื่อเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่ากบฏ พูดง่ายๆ พระเจ้าก็ไปๆ มาๆ  ขนาดนั้น คนสมัยนั้น เขายังมีความเชื่อ มีพลัง มีกำลังมาหาศาลที่พระเจ้าทรงประทานให้ ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา มนุษย์ก็ได้รับกำลังมหาศาลอย่างนี้แหละ

ในสมัยพระคัมภีร์เดิม  ในขณะที่พระเจ้ามาๆ ไปๆ ตอนพระเจ้ามาอยู่อิสราเอลก็เข้มแข็ง เต็มไปด้วยชัยชนะ มีฤทธิ์เดชอำนาจ สามารถจัดการศัตรูได้  มีความกล้าหาญ พอทำอะไรไม่ถูกต้องพระเจ้าจำเป็นต้องไป เพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่เชื่อฟัง เกิดอะไรขึ้น ความกล้าหาญของเขาหมด รบก็แพ้  เพราะพระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย อยู่ด้วย ก็อย่างที่บอกนะ อยู่ด้านนอก

ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด สามารถฆ่าสิงโตด้วยมือเปล่า เพราะกษัตริย์ดาวิดเก่ง มีความเชี่ยวชาญในการเลี้ยงแกะ สามารถจัดการกับสิงสาราสัตว์ด้วยมือเปล่าได้? ไม่ใช่  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย (อยู่บน อยู่ข้างนอก อยู่ข้างๆ)  หรือกษัตริย์ดาวิดชนะโกไลแอทด้วยก้อนหินเพียงก้อนเดียว ด้วยกำลังหรือ? ไม่ใช่  โดยพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย กษัตริย์ดาวิดไปเจอ บอกว่า …

“เรามาในนามของพระเจ้า เรามาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”

ก็เพราะกษัตริย์ดาวิดมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ตอนรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ก็มีพลังมหาศาล ทำอะไรก็ได้ ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ตอนที่พระเจ้าไม่อยู่พลังก็หายไป มีแต่ความกลัว อ่อนแอ เพราะตอนที่มีกำลังนั้น พระเจ้าสถิตอยู่ แต่พอพระเจ้าไม่อยู่ เป็นตัวของตัวเอง มันไม่มีอะไรเลย สู้ไม่ได้ ไม่มีความกล้าหาญ ไม่มีพลัง

ดาวิดเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ว่าระหว่างพระเจ้าอยู่กับพระเจ้าไม่อยู่ แตกต่างกันมหาศาลอย่างไร? ผมจะยกตัวอย่างในหนังสือสดุดี ที่กษัตริย์ดาวิดพร่ำพรรณนาถึงเวลาพระเจ้าจากไป …

“อะไรก็ได้พระเจ้า ขออย่างเดียว คืออย่าให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จากลูกไปเลย อยู่เหมือนเดิมเถอะ จะทำโทษ ทำอะไรก็ตาม ขอให้อยู่เถิด”

แต่อยู่ไม่ได้ เพราะกษัตริย์ดาวิดทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เหมือนกษัตริย์ซาอูลเช่นเดียวกัน  ในหนังสือสดุดี 51:11 กษัตริย์ดาวิดร้องทูล อ้อนวอนพระเจ้าว่า …

สดุดี 51:11 “ขออย่าทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ไปจากเบื้องพระพักตร์ หรืออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ไปจากข้าพระองค์”

 

“ขออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ไปจากข้าพระองค์” พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย อย่าไปเลย แสดงว่าไปหรือยัง? ไปแล้ว

นี่คือพันธสัญญาเดิม พระเจ้าเลือกกษัตริย์ดาวิดพิเศษ ไม่ได้เลือกคนอื่น ทุกคนไม่ได้เป็นเหมือนกษัตริย์ดาวิด เลือกมารับใช้พระองค์ ทำการงานให้พระองค์ ก็ต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่บนกษัตริย์ดาวิด เรียกว่าได้รับการเจิมตั้ง สัญลักษณ์ คือน้ำมัน … น้ำมันเล็งให้เห็นถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ … พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับกษัตริย์ดาวิด อยู่บนกษัตริย์ดาวิด อยู่ข้างๆ กษัตริย์ดาวิด … กษัตริย์ดาวิดเหมือนเป็นเพื่อนกับพระเจ้า  เดินข้างๆ กัน แต่พอกษัตริย์ดาวิดดื้อ ไม่เป็นไปตามกฎของวิญญาณ พระเจ้าอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่เชื่อฟัง พระเจ้าจำเป็นต้องออกไป ละจากกษัตริย์ดาวิด กษัตริย์ดาวิดมีความรู้สึกเหมือนเพื่อนหายไปอย่างนี้  แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคัมภีร์ใหม่

สำหรับพระคัมภีร์ใหม่ ตรงกันข้ามเลย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราเลย ไม่ไปไหนเลย และไม่ได้เป็นเพื่อนเราแล้ว ไม่ใช่เจ้านาย ในสมัยอดีต พระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่กับคนไหน? คนนั้นเขาจะเรียกพระเจ้าว่า “จอมเจ้านาย” เหมือนกษัตริย์ซาอูลเรียกเจ้านาย ถ้าสนิทมากๆ พิเศษเหมือนกษัตริย์ดาวิดหรือโมเสส เขาจะเรียกพระเจ้าว่า “เพื่อน หรือสหาย” พระเจ้าเรียกเขาว่าสหาย แต่ถ้าเป็นซาอูล พระเจ้าเรียกว่าผู้รับใช้ ซาอูลเรียกพระเจ้าว่าจอมเจ้านาย แต่คริสเตียน เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ข้างในเลย พระเจ้าเรียกเราว่า “ลูก”  พระเยซูเรียกเราว่า “พี่น้อง” ก็คือเป็นลูก เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเยซู สมมติว่าพระเยซูพูดผ่านท่าน  พี่น้อง ไม่ใช่เพื่อนแล้ว  และยังยกตัวอย่างเล็งให้เห็นถึงความสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ก็คือเราเป็นเจ้าสาว  พระคริสต์เป็นเจ้าบ่าว สนิทกันขนาดไหน?

กลับมาที่พระคัมภีร์เดิม … พระคัมภีร์เดิม คือพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแบบชั่วคราว บางครั้งมา บางครั้งไป ซึ่งมนุษย์รู้ดีว่าถ้าพระเจ้าไม่อยู่ด้วย ชีวิตจะลำบาก  ไม่มีสันติสุข ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว  ไม่มีความหวัง ไม่มีพลัง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนในสมัยนั้น ที่ติดต่อกับพระเจ้า รู้จักพระเจ้าบ้าง ต่างรอคอยวันที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วยตลอดไป ที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า …

“จะมาอยู่ด้วย  จะเอาความบาปของเจ้าออกไป จะเอาความสกปรกโสโครกออกไป และเราจะมาอยู่ด้วย”

มนุษย์ทั้งหลายจึงต่างรอคอยวันนั้น วันที่พระเจ้าจะมาอยู่ด้วย ก็คือวันแห่งพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ และพอมาถึงวันนั้นจริงๆ คือมาถึงพันธสัญญาใหม่ในยุคของพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้ว พระเจ้าก็เข้ามาอยู่ในมนุษย์แล้วจริงๆ  เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องมีการอ้อนวอนเหมือนกับกษัตริย์ดาวิดอีกแล้ว  ไม่ต้องมาอ้อนวอนว่า …

“พระองค์อย่าไปเลย”

ไม่ไปแล้ว อยู่ที่นี่เลย แล้วมนุษย์ไม่ต้องติดต่อกับพระเจ้าผ่านทางคนอื่นแล้ว  ไม่ต้องผ่านทางศิษยาภิบาล ไม่ต้องผ่านทางอาจารย์ ไม่ต้องผ่านทางอัครทูต ไม่ต้องผ่านใครทั้งสิ้นเลย เพราะพระเจ้ามาสถิตอยู่ข้างใน ทุกคนรู้จักติดต่อกับพระองค์ได้ในวิญญาณเลย นี่คือพันธสัญญาใหม่  ไม่ต้องมีตัวแทนอีกแล้ว ทุกคนได้เป็นผู้รับใช้หมดเลย ทุกคนเหมือนกษัตริย์ดาวิด ทุกคนเหมือนโมเสส ทุกคนเหมือนเอลียาห์ ทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าหมดเลย คือพระองค์มาสถิตอยู่ และจะใช้ท่านนั่นแหละ คือนำพาท่าน ทุกคนสามารถที่จะติดต่อกับพระเจ้าด้วยตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งใครเลย โดยผ่านทางพันธสัญญาใหม่ ผ่านทางสิ่งที่ลี้ลับตรงนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และนี่คือความหมายในข้อ 26 ที่ตะกี้นี้บอกว่า …

“พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้”

ข้อล้ำลึกนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การที่พระเจ้าจะเข้ามาอยู่กับเราในร่างกายเรา เพราะเราบังเกิดใหม่แล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว นี่แหละ คือความล้ำลึก นี่คือพลังมหาศาล  คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือความอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ อันล้ำลึกที่ทูตสวรรค์ และมวลมนุษย์ทั้งหลายอยากรู้ แต่ปิดซ่อนไว้  ไม่รู้ชัด แต่รู้ว่าจะทำอย่างไร? ถึงขนาดนั้นหรือ? เกิดขึ้นกับใครนะ? พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ด้วยเกิดขึ้นในยุคไหน? แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมิกชนของพระองค์แล้ว  ข้อล้ำลึก คือการบังเกิดใหม่ ได้สำแดงเกิดขึ้นในผู้เชื่อ ในยุคปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว ใครเชื่อในพระเยซูคริสต์ก็เข้าไปสู่ข้อล้ำลึกนี้ ก็คือเข้าไปสู่ขบวนการ การบังเกิดใหม่นั่นเอง ใครที่เชื่อพระเยซูคริสต์ ก็เข้าไปสู่อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ พลังกำลังที่ลี้ลับ ล้ำลึกอันนี้  ที่มนุษย์อดีตนั้นอยากจะรู้ บัดนี้เปิดเผยแล้ว คือใครเชื่อพระเยซูคริสต์ก็ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ การเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย

มาถึงข้อที่ 27 “พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่ง ยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั่นคืออะไร?”

พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขา “พวกเขา” ก็คือพวกผู้คนทั้งหลายที่ไม่ใช่ชาวยิว สมัยก่อนพวกเขาคิดว่าตัวเอง ห่างจากพระเจ้ามาก แค่ดูชาวยิว ก็รู้แล้วว่าชาวยิวนั้น เขาบริสุทธิ์ อยู่ใกล้พระเจ้ามาก เราอยู่ห่างมาก  โอกาสไม่มีเลย แต่พระเจ้าอยากให้เขา (พวกต่างชาติ) รู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริ ก็คือการบังเกิดใหม่ การเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับการชำระ จนสะอาดบริสุทธิ์ เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เตรียมไว้ให้กับคนทั้งโลกที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย และ ความล้ำลึก ความยิ่งใหญ่นี้ ขบวนการการบังเกิดใหม่นี้คืออะไร? วลีสั้นๆ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ซึ่งความหมายเดิมๆ ตรงนี้ คือเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ คือเป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ

เกียรติสิริ คือขบวนการการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พูดเหมือนวลีสั้นๆ ที่เริ่มต้นบรรยาย ที่ผมบอก Tik Tok ที่ต้องการสั้นๆ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ที่ “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริ (เหมือนพระเจ้า)” เดินไปไหนมาไหนสมัยนั้น สมัยที่เชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูคริสต์ คริสเตียนในยุคเริ่มต้น  เขาจำตรงนี้ได้หมด …

“มีความหวังอยู่ที่พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับพระเกียรติสิริเหมือนพระองค์” ชัดเจนเลย

เป็นสัญญาณ หรือเป็นเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ทรงบอกล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และมาสำเร็จในยุคพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ไม่ใช่สำหรับยิวอย่างเดียว  แต่สำหรับคนทั้งโลก ให้ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเรียกว่าแผนการอันลี้ลับ อันล้ำลึกของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือพระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

เพราะฉะนั้น พระประสงค์ของแผนการของพระเจ้าตรงนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนสร้างโลก ก็คือ …

“เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป สู่ความตาย ความพินาศแล้ว เราจะเข้าไปช่วยเหลือเขาให้รอด (ชัดเจนเลย) คือเราต้องการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศ และความตาย โดยการจัดเตรียมให้พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เพื่อว่าการบังเกิดใหม่ จะได้เกิดขึ้น ในมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดบนโลกใบนี้เลย เพื่อเมื่อบังเกิดใหม่แล้ว พระคริสต์จะได้สถิตอยู่ในเขาทั้งหลายเหล่านั้น เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระคริสต์ ซึ่งเป็นแผนการสำหรับมนุษย์แล้ว เหลือเชื่อเลย เหลือเชื่อว่าเป็นไปได้ สำหรับทูตสวรรค์ได้เห็นแล้ว เชื่อแล้ว แต่เกินกว่าที่จะเข้าใจว่ามนุษย์เป็นใครหนอที่พระองค์ทรงรักเขาอย่างนั้น  ไปเยี่ยมเยือนเขาอยู่บ่อยๆ  โรม 8:18-19 …

โรม 8:18-19  “18 และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ”

 

“ด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น” หมายถึงการที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว แต่เรายังอยู่ในร่างกายเก่า ร่างกายเดิมที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ร่างกายที่เจ็บปวด เจ็บป่วย อ่อนแอ เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวโน่น เดี๋ยวนี่ และกำลังเดินทางไปสู่ความเสื่อมโทรมและสู่ความตายในที่สุด หมายถึงตรงนี้ ความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริที่สำแดงในเรา มันไม่สามารถเปรียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ คือร่างกายใหม่ ที่เมื่อถึงเวลา ที่ร่างกายเดิมนี้  หมดสิ้น สูญสิ้น คือตาย วิญญาณออกจากร่าง จะได้ไปสวมร่างกายที่เต็มไปด้วยสิริ สง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย  เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ เป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  ย้อนกลับมาที่โคโลสี 1:27 พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ

ผมจะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง เพื่อท่านจะได้รู้ว่าในสมัยก่อนนั้น พอพูดตรงนี้ผู้เชื่อ คริสเตียนจะได้เข้าใจเลยว่าตรงนี้หมายถึงอะไร? “พระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ” เป็นความหวังที่จะได้ร่วมสง่าราศี ร่วมพระเกียรติ  ร่วมพระสิริ ร่วมความยิ่งใหญ่ ร่วมครองสรรพสิ่งทั้งหลายของพระเจ้าพระบิดา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ วิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แต่ร่างกายยังขวางอยู่ รอให้ร่างกายนี้หมดสิ้นไป เราจะได้รับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สง่าราศีทั้งหมด ก็จะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วก็จะได้ครอบครอง สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าบอกไว้ว่าได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์นั้น เราก็จะได้รับด้วย เรียกว่ามรดกนิรันดร์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และเราก็จะได้อาศัยอยู่ในโลกใหม่ ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ๆ ทุกอย่างที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น ธรรมชาติใหม่ๆ ทุกอย่างเลย ที่ไม่มีความบาป ไม่มีคำสาปแช่ง ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสูญเสียอีกต่อไป และเราจะอยู่อย่างนั้นกับพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ครอบครองร่วมกับพระองค์นิรันดร์

นี่แหละ คือความหวัง ที่ตะกี้บอกว่าตอนนี้เราได้รับมัดจำไปเรียบร้อย คือใครก็ตามที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในเขาแล้ว เขาก็จะมีความหวัง  ที่จะร่วมรับพระสิริ พระเกียรติ สง่าราศี ความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ อธิบายลำบาก

ถ้ายกตัวอย่าง ปัจจุบันต้องคิดถึงทุเรียน พอบอกความหวัง ทุกคน ก็เออๆ เดี๋ยวเกิดหวังแล้วไม่ได้ แล้วทำยังไง เหมือนกับมีคนส่งทุเรียนมาให้เราลูกหนึ่ง พอเราได้ทุเรียนมาอยู่ในมือเราแล้วนะ วางอยู่บนโต๊ะ  ฉีกดูเนื้อแล้ว โอโห้ สวยมาก แต่ปรากฏว่ายังแข็งอยู่  คนที่เอามาให้เขาบอกว่ารออีกสักวัน สองวัน แล้วถึงจะแกะกินได้ ถึงจะอร่อยมาก เราก็บอกคนข้างๆ หรือบอกใครก็ได้ว่าเรามีความหวัง ที่จะกินทุเรียนนี้ แล้วความหวังที่เราจะกินทุเรียนนี้ ทุเรียนมันมีอยู่ต่อหน้าหรือยัง มีอยู่แล้ว เพียงแต่รอแป๊บเดียว เดี๋ยวได้กินแน่นอน นี่มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ

พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน อยู่แล้วหรือยัง?  แน่ใจ  เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่แล้ว เป็นความหวังที่จะได้รับพระเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้หรือยัง?  อันนี้ยังต้องรอ

อย่างที่ตะกี้นี้บอก เอาใหม่ ทุเรียนมีอยู่หรือยังบนโต๊ะ ให้มาหรือยัง?  เรียบร้อยหมดหรือยัง? มีกลิ่นหรือยัง? มีกลิ่นนิดหนึ่ง  แต่ยังกินไม่ได้ มันยังแข็งอยู่ รออีกแป๊บเดียวใช่ไหม? หวังว่าจะกินไหม? หวัง แล้วได้กินหรือยัง? ยัง แต่มีอยู่แล้ว  มีโอกาสไม่ได้กินไหม? ไม่มี เพราะมันมีอยู่แล้ว เหมือนกันเลย

“พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน” คือไม่มีทางแล้ว ที่ฉันจะสูญเสียความรอดนี้ไปอีกเลย ไม่มีทางเลย  และฉันหวังว่าเมื่อตายจากร่างกายนี้ ฉันจะไปรับร่างกายใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี ความยิ่งใหญ่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่วมครองร่วมกับพระองค์ เป็นมรดกที่พระเจ้าสัญญาไว้ คำสัญญานี้ท่านต้องไม่แน่ใจไหม? ความหวังนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือ? เปล่าเลย เป็นความหวังที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เพราะมันวางอยู่ต่อหน้าแล้ว ในใจของฉัน ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์

ต้องยกตัวอย่างทุเรียนเลยนะ ถึงจะได้ คราวนี้ใครมาบอกว่าคริสเตียนมีความหวัง รู้แล้วนะความหวัง คืออะไร?  ความหวังในพระคัมภีร์เดิม คือความหวังว่าพระเจ้าจะทำสิ่งนี้ให้ แต่พระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูคริสต์ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความหวังในคริสเตียน คือความหวังที่สำเร็จแล้ว แต่รออีกนิดหนึ่ง โคโลสี 2:6 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โคโลสี 2:6 “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็จงดำเนินชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในพระองค์ต่อไป”

 

พูดง่ายๆ ว่าเมื่อท่านบังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ในพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ก็จงมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ โดยการรับรู้ว่าวิญญาณข้างในเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดินไป ก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์เดินอยู่ด้วย ทำอะไรก็ให้รู้ว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน และจะไม่ไปไหนอีกเลย นี่คือหมายถึงอย่างนั้น

พระเจ้าจึงได้ย้ำยืนยันในเรื่องนี้เยอะแยะมากมายในพระคัมภีร์เดิม และย้ำซ้ำว่าสำเร็จแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ ในฮีบรู 13:5 ได้บอกไว้ …

ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่พระเจ้าสัญญาว่าจะอยู่กับเราด้วยตลอด”

 

ไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง จะดูแลเอาใจใส่ ประคับประคองใช่ไหม? ให้จงพอใจ “พอใจ” คือมีความสุข ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ทุกข์ยากลำบากต่างๆ  แต่ในใจเราสามารถมีความสุขได้ เพราะว่าทุเรียนวางอยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน พอใจแล้ว ฉันได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บหนึ่ง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ที่จะอดทนรอ รอคอยที่จะได้รับพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง ชัดเจนเลย

สรุป พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ก็คือเพราะว่าสาเหตุเกิดจากมนุษย์ตาย ในวิญญาณตายอยู่ พระเจ้าวางแผนมาชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย  เพื่อว่าเมื่อเป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้บริสุทธิ์  สะอาดเหมือนกับพระองค์ เมื่อบริสุทธิ์สะอาด พระองค์ทรงชำระร่างกายเรา จิตวิญญาณเราจนสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้วปุ๊บ ให้เหมือนกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็เลยย้ายข้าวของมาอยู่กับเรา ในวิญญาณ  เพื่อมาดูแลประคบประหงมวิญญาณที่เกิดใหม่ ด้วยความรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ ดูแล นำพาไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล จนกระทั่งเราได้รับสิริ เกียรติ สง่าราศี ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในร่างกายใหม่ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างเดิมนี้แล้ว ก็คือเราตายลง ดังนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยการตระหนัก และระลึกอยู่เสมอว่า …

“พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”

–  พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้

–  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่กลัว

–  พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดใดเลย

– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจได้อยู่เสมอเหมือนกับเพลงที่เราร้อง ….

“ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน  ในใจของฉัน ในใจของฉัน

ฉันมีความสุข สุข สุข สุข ในใจของฉัน ในใจของฉันวันนี้” ในใจของฉันมีความสุขได้เสมอ

และสำหรับท่านที่ไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในตัวของท่าน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ตรงนี้หมด พวกเราที่นั่งอยู่ในที่นี้ ส่วนใหญ่ก็ใช้สิทธิ์ของเราแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่ในท่านแล้ว แต่ยังมีอีกหลายท่าน ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ของเขา  เขาก็มีสิทธิ์ที่จะให้พระคริสต์สถิตอยู่ในเขาได้เช่นเดียวกัน

ท่านต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป แล้วท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เห็นไหม? พอต้อนรับพระคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่  ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และเมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระคริสต์ก็จะอยู่ในท่าน พูดง่ายๆ ว่าท่านจะอยู่ในพระคริสต์ก่อน แล้วพระคริสต์ถึงจะอยู่ในท่าน

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระคริสต์ก็จะอยู่ในฉัน”

ก็เพราะว่าฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์จึงสามารถอยู่ในฉันได้  เพราะฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันจึงบริสุทธิ์ สะอาด พระคริสต์จึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในฉันได้นั่นเอง

สมัยพระคัมภีร์เดิม ขนาดพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายนอก ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายนอก เขาเหล่านั้น ในอดีต ยังมีความกล้าหาญ ทำการอัศจรรย์ใหญ่โต ไม่เกรงกลัวความตายเลย  อย่างที่เราได้ยกตัวอย่างมาเมื่อตอนต้น  แล้วเราที่พระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ดีกว่าตั้งเยอะเลย เพราะว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ไม่มีการจากเราไปไหนอีกเลย อยู่กับเราตลอด เราควรจะมีความกล้าหาญ ทำการอัศจรรย์ใหญ่หลวงมากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ท่านลองคิดดู

นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูบอกสาวกว่าแล้วท่านทั้งหลายจะทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเห็นเราทำอีก

เพราะฉะนั้น ให้เราเผชิญกับทุกสถานการณ์ ด้วยพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา รับรู้อยู่เสมอว่าพระองค์อยู่ฝ่ายเรา และไม่เคยทอดทิ้งเราเลย อย่าไปเรียนรู้เยอะมากมาย จนกระทั่งในที่สุด ไม่แน่ใจว่าพระคริสต์อยู่ในเราหรือเปล่า? ไม่แน่ใจว่าป่านนี้พระองค์ยังอยู่ไหม?  เราไม่ค่อยได้อธิษฐาน ป่านนี้ยังอยู่ไหม? อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ เพราะพระองค์บอกแล้วว่าอยู่ ก็คืออยู่ พระองค์อยู่ฝ่ายเรา ไม่เคยทอดทิ้งเรา แม้ว่าหลายครั้งเราจะล้มลงในความบาป ไม่ซื่อตรงต่อพระองค์สักกี่ครั้งก็ตาม  พระองค์ก็ยังคงซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม  และทรงอภัยให้เราเสมอ อภัยให้ก่อนหน้าที่เราจะทำด้วยซ้ำไป เพราะพระคริสต์ได้หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน เพียงครั้งเดียวพอ ครั้งเดียวก็ครอบคลุมทุกอย่าง ความผิดบาปที่เราจะทำในอนาคตด้วย

และในพระคริสต์นี้ พระองค์จะทรงนำพาเราต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  จนกระทั่งถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์เจ้า วันที่เราจะได้เข้าไปรับตามที่เราหวังไว้ คือหวังว่าจะได้รับเกียรติและสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือหลังความตายนั่นเอง  ฉะนั้น เราจะสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  เหมือนกับที่กษัตริย์ดาวิดเผชิญกับโกไลแอท ในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  กษัตริย์ดาวิดบอก …

“เรามาในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” … สู้กับโกไลแอท

เราทั้งหลายก็มาในนามของพระคริสต์เหมือนกัน ส่วนเราผู้อยู่ในพันธสัญญาใหม่ในพระเยซูคริสต์ จะเผชิญกับโกไลแอท ยักษ์ใหญ่ฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ต่างๆ นานา วุ่นวายไปหมดบนโลกใบนี้ มันเสียหาย มันวิปริตไปแล้ว  เพราะความบาปและคำสาปแช่งมันลงมาตั้งแต่อาดัมและเอวา ไปนำเอาคำสาปแช่งนี้ลงมานั่นแหละ ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น  เพราะฉะนั้น เราจะเผชิญกับโกไลแอท ยักษ์ฝ่ายวิญญาณบนโลกใบนี้  ในนามของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในนามของพระคริสต์  ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา  เราจะเผชิญกับไม่ว่าอะไรก็ตามบนโลกใบนี้  ในนามของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา

พอพูดถึงพระคริสต์ปุ๊บ นึกถึง 3 พระภาค พอพูดถึงในนามของพระคริสต์ ก็คือในนามของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ สั้นๆ ก็คือเราเผชิญกับทุกสิ่งในนามของพระคริสต์  ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา

สมัยก่อนกษัตริย์ดาวิดเผชิญกับโกไลแอท หรือสิ่งที่ท้าทายมาก ในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ที่อยู่ข้างนอก ที่อยู่ข้างๆ เขา แต่เรากำลังบอกว่าเราเผชิญกับการท้าทายบนโลกใบนี้ โดยพระคริสต์ 3 พระภาคเลย ที่อยู่ในเรา เผชิญยักษ์ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ โกไลแอทคืออะไร?  ตัวใหญ่ที่สุด ก็คือความตาย  มนุษย์กลัวตาย ในพระคัมภีร์บอก มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะถูกกำหนดให้ตาย เพราะคำสาปแช่งลงมาบนมนุษย์แล้ว มนุษย์ต้องตาย กลัวตาย แล้วถูกพิพากษา แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราพ้นจากการพิพากษาลงโทษแล้ว เพราะฉะนั้น เราเผชิญกับโกไลแอท คือความตาย โดยพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เราจึงไม่กลัวตาย เพราะความตาย คือประตู ชัยชนะ ที่เราจะเข้าไปร่วมรับพระเกียรติและพระสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ในร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง และครอบครองมรดกนิรันดร์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ความตายจึงกลายเป็นประตูแห่งชัยชนะของเรา เห็นไหม? เราเข้าไปเผชิญกับความตาย  ในนามของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในฉัน

พอพูดถึงความตายชนะอย่างนี้แล้ว  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นแล้วนะ  พูดถึงโควิดสักหน่อยไหม? เราจะเผชิญกับโควิดด้วยท่าทีว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระสิริ เราเผชิญกับโควิด ไม่ใช่ว่าเผชิญกับโควิดอย่างนี้นะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน คือความหวังว่าจะไม่ติดโควิด  ไม่ใช่นะ ความหวังยังคงเดิม อย่าไปเปลี่ยน คนเรียนเยอะๆ แล้วชอบไปเปลี่ยนว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เพราะฉะนั้น เป็นความหวังที่ฉันจะได้รับรถใหม่ อันนี้ไม่ใช่นะ  ของทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญา “พันธสัญญา” คือความหวังแห่งพระสิริ ความหวังที่จะได้รับพระเกียรติสิริ เมื่อวันที่จากโลกนี้ไป  ต้องจำตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถเผชิญกับโควิด หรือความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาได้ เพราะเรารู้ว่าทนอีกแป๊บเดียวเท่านั้น เพราะเราหวังในการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเกียรติ พระสิริของพระเจ้า เมื่อวันที่เราออกจากร่างนี้ นั่นเอง ขอบคุณพระเจ้า ในนามพระเยซู

 

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของ พระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 3

 

เปาโลได้บอกให้คริสตจักรของพระเจ้า เห็นว่าในไร่นาแปลงหนึ่ง หรือการสร้างบ้านหลังหนึ่ง   มีองค์ประกอบ  คือผู้ทำงานกับเจ้าของงาน  และทั้งคนงานและเจ้าของงาน  มีหน้าที่ดูแลไร่นา  สวน  หรือบ้านเรือนให้เสร็จสมบูรณ์ดี  ตามเป้าหมายที่เจ้าของกำหนดไว้

 

คนงาน  ไม่ว่าจะเป็นผู้รดน้ำ  ผู้ปลูก  ผู้พรวนดิน  หรือผู้วางราก  ผู้ก่อ  ผู้ฉาบ  ผู้ทาสี  ผู้มุงหลังคา  เป็นคนงานเหมือนกัน  เพียงแต่หน้าที่ต่างกัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร   และจัดเป็นพวกเดียวกันเท่ากัน  คือเป็นคนงานของเจ้าของไร่นา  หรือเจ้าของบ้านนั้นๆ

1 โครินธ์ 3:8 TH1971 “คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน   แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้”

 

หลังจากทำงาน  เป็นธรรมดามากที่คนทำงานจะได้ค่าจ้าง  ในพระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “บำเหน็จ”

 

ดังนั้น  จึงมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าบำเหน็จหรือค่าจ้างนี้  จะได้หลังจากความตาย  หรือได้ในโลกหน้า

 

ตามบริบทนี้  ค่าจ้างและบำเหน็จนั้น  ผู้ทำงานจะได้ในโลกนี้ และค่าจ้างและบำเหน็จตามที่กล่าวมานี้  ก็ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทองของมีค่าในโลกนี้  แต่มีค่ามากกว่านั้น  ซึ่งเงินทองซื้อหามาไม่ได้   และผู้ทำงาน  … “จะได้รับตามการที่ตนได้กระทำไว้” … ในฐานะคนงานที่ทำงาน   ท่านทำงานของพระเจ้าแบบไหน?

  1. ตามแบบแปลน แบบแผนที่พระเจ้า เจ้าของสวน   เจ้าของบ้านได้วางไว้หรือกำหนดไว้ให้  คือบนรากฐานของพระเยซูคริสต์  ทำด้วยแรงจูงใจของความรักที่เหมือนพระเจ้าในวิญญาณ หรือ …
  2. ตามแบบแปลน แบบแผนที่ออกแบบเองและคิดเอง  เพราะคิดว่าดี  เพิ่มเติมเข้ามาเกินกว่าแบบแปลนเดิมที่พระเจ้ากำหนดไว้  คือบนรากฐานของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น   ทำด้วยแรงจูงใจของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง    ความกลัว  และอยากได้รางวัล  ตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นๆ เมื่อตอนที่จากโลกนี้ไปแล้ว

 

บำเหน็จหรือค่าจ้าง (ผลลัพธ์) แบบที่ 1 …

ได้รับความยินดี  ชูใจอย่างเต็มล้นที่ได้เห็นผู้เชื่อในพระกายของพระคริสต์  เติบโตเข้มแข็งขึ้นในพระคริสต์   สามารถอดทนต่อความทุกข์ยาก  ด้วยความเข้าใจและยังยินดีในพระเจ้า  แล้วยังเกิดผลในพระคริสต์ต่อไปอีก   เป็นบำเหน็จที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สิ่งของเงินทองซื้อหาไม่ได้

 

บำเหน็จหรือค่าจ้าง (ผลลัพธ์) แบบที่ 2  …

ได้รับความทุกข์ใจ   อย่างอธิบายลำบากที่เห็นพระกายของพระคริสต์  เกิดความสับสน  ไม่มีความชัดเจนในทุกด้าน  คริสตจักรไม่เติบโต  ดูเหมือนเกิดผลมาก   แต่อ่อนแอ   ถูกโจมตีและถูกทำลายให้แตกแยกได้ง่าย

ผลลัพธ์นี้   ทำให้ร่างกายและจิตใจของผู้ทำงาน   อ่อนโรย   สับสน   ท้อใจ  หมดกำลังใจ  ยิ่งพยายามยิ่งพัง  เหนื่อยอ่อน

 

จดจำไว้ให้ดีว่าในฐานะเป็นผู้ทำงานของพระเจ้า    เรากำลังดำเนินงานไปทิศทางไหน  เพราะเรา … “จะได้รับตามการที่ตนได้กระทำไว้” … เราจึงต้องพิจารณางานของตนเสมอ  มีสติ  มองแบบแปลน โดยต้องเป็นแปลนและก่อร่างสร้างต่อขึ้น บนรากฐานในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ไม่พึ่งพาสติปัญญาและรูปแบบของโลกนี้  ด้วยกำลังของตนเอง

 

พระเจ้าอวยพรค่ะ