วารสาร Holy News ฉบับที่ 1375

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  กรกฎาคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส”  ตอน 15

โดย พาสเตอร์ วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส 2:17 บอกว่า …

เอเฟซัส 2:17-18 “17 พระองค์เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ไกล และสันติสุขแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ 18 เพราะโดยพระองค์ เราทั้งสองพวก สามารถเข้าถึงพระบิดา โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

 

สองพวกที่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มีสันติสุข  ก็คืออยู่ด้วยกันอย่างสันติ โดยที่ไม่ทะเลาะกัน 2 พวกนี้ที่พูดถึง ก็คือชาวยิวกับชาวต่างชาติ  ซึ่งเป็นแผนการล้ำลึกที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าก็เตรียมพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่จะมาเกิดในหญิงพรหมจารี แผนการนี้ได้วางไว้เรียบร้อยแล้วว่าอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ พระเยซูคริสต์จะเป็นเผ่าพันธุ์ หรือเป็นพงศ์พันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย เมื่อก่อนจะเป็นยิวเฉยๆ ที่พระเจ้าบอกว่าเลือกยิวเอาไว้  แต่วันที่พระเยซูคริสต์ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จปุ๊บ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะถูกประกาศออกไปทั่วโลกนี้เลย ก็คือไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวต่างชาติ เป็นคนอเมริกา เป็นคนอังกฤษ คนไทย คนเขมร คนอะไรทั้งหมด มีสิทธิ์ ที่จะมารับเอาของขวัญนี้ ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราสำเร็จแล้ว

ดังนั้น การที่ทั้งสองพวกมาคืนดีกับพระเจ้า แล้วเกิดสันติสุข  เกิดการเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่วิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกัน เมื่อวิญญาณข้างในไม่เป็นศัตรูกันปุ๊บ ก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ และการที่เราจะสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ก็ไม่ใช่ด้วยการประพฤติของเรา ไม่ใช่เราพยายามที่จะทำความดี ประพฤติตามกฎบัญญัติ  เพื่อเราจะได้สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้  แต่ว่าแผนการนี้  พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วว่าพระองค์จะเป็นผู้กระทำเองทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น จนจบ  พระเจ้าเป็นผู้กระทำ มนุษย์ทำแค่อย่างเดียว คือได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า  ข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรเพื่อเรา เมื่อได้ยิน เก็บข้อมูล พินิจ พิจารณา ใคร่ครวญ แล้วมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีนะ เราทำมาเหนื่อยมาก เราพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเอง แต่ข้างในวิญญาณ เราไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นอิสระเลย เรายังรู้สึกว่าเราต้องชดใช้เวรกรรมอยู่ร่ำไป ความรู้สึกข้างใน มันจะไม่รู้สึกถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เมื่อเราใคร่ครวญเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ จนเสร็จบวกลบคูณหารแล้ว ชั่งน้ำหนักแล้วว่าอันไหนดีกว่ากัน  เรามาเชื่อพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์ทำ หรือว่าเรายังคงจะเชื่อตัวเอง  ทำเอง พอชั่งน้ำหนักเสร็จ ฝั่งของพระเยซูมีน้ำหนักมากกว่า เราไปทำทำไมให้เหนื่อย  ทำไปข้างในก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราถูกปลดปล่อย  หรือข้างในไม่ได้รู้สึกว่าเราหมดเวรหมดกรรมเลย เราก็ตัดสินใจ

พอตัดสินใจ เปิดใจ ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ก็คือเราต้องเปิดใจ  เพราะพระเจ้าไม่บังคับมนุษย์คนหนึ่งคนใด ธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา หรือสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้มา  เพื่อให้เขามีอิสระในการตัดสินใจ  พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มาเป็นหุ่นยนต์ กดรีโมท แล้วก็ทำตามพระเจ้าทุกอย่าง แต่พระเจ้าสร้างมนุษย์มาตามพระฉายของพระเจ้า ก็คือมีสิทธิ์ที่จะเลือก ตัดสินใจว่าจะเอาอะไร? จะทำอะไร? จะเชื่อใคร? จะวางความเชื่อวางใจลงไปที่ไหน? วางใจความเชื่อของตัวเองลงไปที่การกระทำของตัวเอง ที่การประพฤติดีทุกอย่าง หรือวางความเชื่อของตัวเอง ความไว้วางใจของตัวเองไปที่พระเยซูคริสต์ว่าเราทำเองไม่ไหว เราขอเชื่อพระเยซูคริสต์ดีกว่า พอเราตัดสินใจปุ๊บ วางความเชื่อวางใจของเราลงไปที่พระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้นทันที ในโลกวิญญาณ ซึ่งตรงนี้เราคุยกันบ่อยๆ  เพื่อเราจะได้รับรู้ขบวนการจริงๆ ว่า ณ เวลานี้ ที่พวกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง?

วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรา ก็คือมาฆ่าเราให้ตาย ฆ่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาป เป็นคำสาปแช่ง วิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า วิญญาณที่เดินเป็นเส้นขนานกับพระเจ้า  ไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้เลย ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะทำความดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถทำให้ได้มาตรฐานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เลยเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่ทะเลาะกับพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน ก็คือรับกันไม่ได้ พระเจ้าก็รับเราไม่ได้ เพราะเราเป็นคนบาป  เราก็รับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าบริสุทธิ์เกินไป  จนเราแตะไม่ถึง พอถึงวันที่เราตัดสินใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทำขบวนการเอาวิญญาณเก่าที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่เราได้ยินมาตลอดช่วงเวลานี้ คำว่า “บัพติศมา” ในโลกวิญญาณ ก็คือไปตรึงตายพร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ไปฝังพร้อมกับพระเยซูที่อุโมงค์ แล้ววิญญาณเก่านี้ตายไปเลย แล้ววิญญาณใหม่ที่เป็นใหม่เลย ที่พระเจ้าเปลี่ยนใหม่ให้เราเลย ได้เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่มันเกิดขึ้น ขบวนการนี้มันเกิดขึ้น แบบยิ่งใหญ่มหาศาลมาก ดังนั้น การบังเกิดใหม่ของมนุษยชาติ  ไม่สามารถทำด้วยกำลังของตัวเอง  แต่ว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำให้ เราทำแค่ครั้งเดียว  คือตัดสินใจยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง  แล้วต่อจากนั้น พระเจ้าก็จะทำขบวนการของพระองค์จนเสร็จ วิญญาณที่ ณ เวลานี้ ผู้เชื่อเป็นอยู่ ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ตามคำสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะให้วิญญาณใหม่กับเรา

ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้เห็นคำว่า  “จะ” ตลอด  …

–  พระองค์จะเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะเปลี่ยนจิตใจใหม่ให้กับเรา

–  พระองค์จะยกโทษความผิดบาปให้กับเรา

– พระองค์จะเรียกเราว่าเป็นประชากรของพระองค์ ซึ่งเมื่อก่อนไม่ได้เป็น เป็นไม่ได้ด้วย

จะหมดเลย ก็คือพระเจ้าเผยพระวจนะเอาไว้ บอกล่วงหน้าไว้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทำให้สำเร็จ แล้ววันที่ทำสำเร็จ คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน

ตอนที่พระเยซูมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี คำว่า “จะ” ยังอยู่ แผนการของพระองค์ ยังไม่สำเร็จ ก็คือยัง “จะ” อยู่ แต่วันที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน แล้วพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” คำว่า “จะ” ไม่มีแล้ว คือไม่จะแล้ว ตอนนี้ คือสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  พระเจ้าทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว การไถ่บาป ได้ถูกทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  การอภัยโทษบาปได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว การทำให้มนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า สามารถมาคืนดีกับพระเจ้าได้ทำเรียบร้อยแล้ว การทำให้มนุษย์ที่ระเห็ดออกจากครอบครัวของพระเจ้า ก็คือเมื่อวันที่มนุษย์ตัดสินใจจะพึ่งพาในตัวเอง อาดัมกับเอวาตัดสินใจปุ๊บ ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ต้องออกจากครอบครัวสวรรค์ของพระเจ้า วันนั้นแหละ เริ่มต้นที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้า ไม่มีชีวิต  แล้ววันที่พระเจ้าทำสำเร็จ  คือคำว่าจะ ไม่มีอีกแล้ว  ตอนนี้มนุษย์ทุกคนอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  มีชีวิตอยู่ในพระคุณของพระเจ้า  คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนไหนจะมาเชื่อพระเจ้าหรือยังไม่เชื่อก็ตาม ขบวนการนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เข้ามารับ ถ้าเขาไม่มารับ ก็เท่ากับเขาทิ้งของขวัญนี้ไปเฉยๆ ของขวัญนี้ยังอยู่  เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว

ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือประกาศความจริง เรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ให้กับผู้คนอีกมากมาย ที่เขายังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ หรืออีกหลายๆ คนที่เขามีความรู้สึกว่ามาเชื่อพระเจ้ายากจัง เราต้องทำอะไรบ้าง? ต้องๆ  เยอะแยะมากมาย  แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้องทำอะไร? ทำแค่อย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำงานในใจของเรา แค่นั้นเอง เมื่อเรายอมปุ๊บ  พระเจ้าทำให้เราหมดทุกอย่าง  หลังจากที่เราได้รับการบังเกิดใหม่  ด้วยชีวิตที่เป็นนิรันดร์แบบพระเจ้าปุ๊บ ในโลกวิญญาณ มันเป็นแล้วเป็นเลย คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลย อย่างที่อาจารย์นครพูดมา 2-3 อาทิตย์แล้ว …

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์”

เราจะอยู่ในพระคริสต์ได้อย่างไร? เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ได้อย่างไร? มีอยู่หนทางเดียว ก็คือยอมให้พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา แค่นั้นเอง วิธีอื่นไม่มี จะพยายามทำดี  ประพฤติดี ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ได้

ดังนั้น การเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เป็นขบวนการที่พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้กับมนุษยชาติ แค่มนุษย์คนนั้นยอมเท่านั้นเอง พอมนุษย์คนไหนที่ยอมจำนน ยอมเชื่อ  ยอมวางใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการผ่าตัดวิญญาณปุ๊บ ทันทีที่ขบวนการผ่าตัดวิญญาณเกิดขึ้น พระเจ้าประทานของประทานอันหนึ่งให้กับมนุษย์ ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ

ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า  เชื่อไม่ได้ เพราะว่าเป็นศัตรูกันไง พูดอย่างไร เราก็เชื่อไม่ได้  เราจำเมื่อก่อนได้ไหม?  ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า คนมาประกาศบอกว่า…

“พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้านะ มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ถ้าใครเชื่อ ก็จะได้ชีวิตนิรันดร์”

ทำอย่างไรเราก็เชื่อไม่ได้  โดยสติปัญญา โดยสมองของมนุษย์ที่ใช้ความคิดของเราเอง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้ จนวันหนึ่ง เมื่อเราได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่อยๆ ทำงานในวิญญาณของเรา  จนวันหนึ่ง เรามีความรู้สึกว่าเราอยากมาติดตามพระองค์ เราอยากรู้ เราอยากชิมว่าที่เขาว่ากันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร? เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราจะได้รับการยกโทษความผิดบาป มันเป็นอย่างไร? เราอยากจะรู้ เราเลยเข้ามาชิม  วันที่เราบอกพระเจ้าว่า …

“พระองค์ ลูกอยากได้”

ก็คือเราอยากชิม เหมือนคนเอาขนมชิ้นหนึ่งที่น่าทานมาก เอามาอวดเรา  แล้วบรรยายสรรพคุณอย่างดีเลยว่าขนมชิ้นนี้ สุดยอดเลยนะ มันอร่อยมาก ร้านนี้เป็นร้านที่คนต้องต่อคิวยาวเป็นวาเลย กว่าเราจะได้ซื้อขนมชิ้นนี้มา ใช้เวลาตั้ง 5-6 ชั่วโมงทีเดียวเชียว เราฟังเฉยๆ เขาว่าอร่อย เราก็โอเค อร่อยก็อร่อย  แต่เราไม่เคยยอมไปซื้อขนมชิ้นนี้ มาชิม เราก็จะไม่รู้รสชาติว่ามันอร่อย สมคำล่ำลือที่เขาคุย เม้าส์กันทั้งประเทศว่าขนมเจ้านี้อร่อย ร้านนี้ต้องไปเรียงคิว ถึงจะได้ซื้อ

จนวันหนึ่งเรา … “อะไรจะขนาดนั้น ทำไมถึงคิวยาวขนาดนั้น  แล้วคิวยาวมาเป็นร้อยปี พันปี หลายพันปี คิวยังมีอยู่เลย  สงสัยเราต้องไปลอง”

นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นที่เราไปลองขนมชิ้นนี้ ไปยอมเรียงคิว ไปยอมเสียเวลา  ที่จะต่อคิว จนถึงคิวของเรา  แล้วเราก็ไปซื้อขนมชิ้นนี้มา  แล้วเราก็ชิมขนมชิ้นนี้ โอ้โห! มันสุดยอดเลย อร่อยอะไรขนาดนั้น ถ้าเราไม่ชิม เสียดายแย่เลย อะไรประมาณนั้น

เรื่องของพระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าให้ผู้คนมาประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ประกาศทุกวันๆ ประกาศมาตั้งแต่โน้นปฐมกาล ที่พระเจ้าได้ให้ผู้เผยพระวจนะ เผยมาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับมนุษยชาติมาตายแทนเขา  มาช่วยเขาให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ พูดนานมาก เผยพระวจนะมาตลอด จนเราได้ยิน  แต่เราก็ไม่ได้คิดอยากจะลอง จนวันหนึ่งได้ยินหนาหูขึ้น  ขอลองสักหน่อยดีไหม? ก็เริ่มสนใจ เริ่มเข้ามาฟัง ตอนที่เราฟัง เรายังไม่เชื่อ  ไม่สามารถเชื่อหรอกนะ เราก็ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไป ฟังมา  เราเชื่อดีกว่า

พระเจ้าให้ลูกชายดิฉันมาประกาศเรื่องของพระเยซูให้ดิฉันฟัง พระเจ้ามีวิธีที่จะนำเรามาเชื่อพระเจ้า  พระองค์รู้จุดอ่อนจุดแข็งของเราอยู่ตรงไหน?  แล้วพระเจ้าก็ใช้ตรงนั้นแหละ ที่จะเปิดประตูใจของเรา ให้เราสามารถที่จะเข้ามารับรู้เรื่องราวความจริงของพระเจ้า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พูดได้คำเดียวว่าพระเจ้าดี  แล้วจากวันนั้น เราเริ่มรับรู้เรื่องราวของพระเจ้า เรายังไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างทุกวันนี้หรอก เราแค่รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า เรารอด  เราไม่ต้องตกนรก ตายไป เราได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน แต่เรายังไม่รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ จริงๆ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราในหนังสือเอเฟซัสว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า  แล้วพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา เราได้รับแล้ว ในโลกวิญญาณ  ณ เวลานี้ วิญญาณของเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องรอเราตาย

เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าต้องรอเราตาย เราถึงสามารถขึ้นไปนั่งกับพระเยซูคริสต์ได้ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณบอกเราว่าไม่ต้องรอ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณเราใหม่ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เราสามารถที่จะไปนั่งกับพระเจ้าที่สวรรคสถานทันที แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนความคิดจิตใจเราใหม่เลย ไม่ใช่ซ่อม ไม่ใช่แก้ แต่เปลี่ยนใหม่เลย ความคิดจิตใจเดิม ที่เราเคยชินกับการดำเนินชีวิต  โดยการพึ่งพาตัวเอง  พระเจ้าเอาไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีความคิดจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ทำบาปไม่เป็น โกรธใครไม่เป็น รักอย่างเดียว  มันเป็นลักษณะของชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร์  ที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น

ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงบอกว่าให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่าพระคริสต์ได้ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เรากลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าทันทีเลย  แล้วเราก็เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าอาศัยอยู่ พระเจ้าย้ายเราจากกิ่งที่ปักอยู่ที่ต้นของอาดัม มาปักไว้ที่ต้นของพระเยซูคริสต์  พอเรามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่ ร่างกายเราถูกชำระให้สะอาด บริสุทธิ์เลย  จนทำให้พระคริสต์สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้

นี่คือขบวนการ ถ้าเราไม่เข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ไม่สามารถเข้ามาอยู่ในเราได้ เพราะว่าเรายังสกปรกอยู่ แต่เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ  เราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เราสะอาดบริสุทธิ์  สะอาดทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย  จนทำให้พระเยซูคริสต์สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้  เราเคยคิดตรงนี้ไหม?

นั่นแหละ คือขบวนการที่พระเจ้าทำ แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือเริ่มจากแค่จุดนิดเดียว  ก็คือเริ่มจากที่เราเปิดใจยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำการงานในวิญญาณของเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา

นี่คือสิ่งที่ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้ ฉะนั้น ขบวนการตรงนี้ ได้สำเร็จเสร็จสิ้น เรียบร้อยไปแล้ว ในผู้เชื่อทุกคน เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราไม่ได้ต้องการที่จะทำบาปอีกเลย เพราะว่าธรรมชาติใหม่ของเราทำบาปไม่เป็น

จะมีคำถามอีกว่า … “แล้วทุกวันนี้ ที่เราทำบาป มันคืออะไร?”

พอเราเรียนรู้ความจริง เราจะอ๋อๆๆๆ อย่างนี้ และทุกวันนี้ ที่เราทำบาป เพราะ … ความคิดจิตใจเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้วใช่ไหม? แต่ว่าเรายังมีโปรแกรมเดิม ที่แอบอยู่ตรงส่วนในร่างกายของเรา เป็นความเคยชินเดิมๆ ที่ยังอยู่ สามารถรับสื่อของข้างนอก สื่อจากระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งเข้ามา ในตัวเรา แล้วถ้าเรารับสื่อจากตรงนี้ปุ๊บ เรามีโอกาสที่จะทำตามมัน ก็คือประพฤติเหมือนความเคยชินเดิม ตอนนี้เราไม่มีธรรมชาติเดิมแล้วนะ เราเป็นธรรมชาติใหม่ เป็นเลยนะ ฉะนั้น โอกาสมันมี

ถามว่าอันที่เราทำ ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำไหม? ไม่ใช่แน่นอน ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ ความคิดจิตใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำแน่นอน แต่ที่เราทำไป เพราะเราถูกหลอก โปรแกรมเดิม มันแอบแฝงอยู่ในตัวเรา

บางคนมีพยาธิอยู่ในตัว  เวลาคนกินเก่งๆ กินแล้วทำไมไม่อ้วน  เขาก็แซวกัน นี่พยาธิเต็มท้องแน่เลย กินแล้วพยาธิกินหมด อะไรแบบนี้

โปรแกรมเดิมหรือความเคยชินเดิม  แอบมาอยู่ข้างในเรา เหมือนเป็นพยาธิหรือเป็นไวรัส หรือเป็นอะไรก็ตามที่มันสามารถทำให้ร่างกายเรา ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ สามารถทำได้

ฉะนั้น เวลาที่ผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นอยู่ ตัวจริงๆ เราไม่ได้ทำ  แต่ตัวพยาธิมันส่งผล ทำให้เราเกิดอาการ ฉะนั้น ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะไม่ถูกหลอกว่าเราเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าจะรับเราได้ไหม? ให้เรารับรู้ความจริงเลยว่าไม่ว่าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องขนาดไหน? ตัวจริงๆ ของเรา คือวิญญาณข้างในเรา ไม่ได้เป็นผู้ทำ แต่ร่างกายเรายังคงสามารถ ถ้าเราปฏิเสธว่าร่างกายเราไม่ทำ เราก็โกหก คือร่างกายเราทำ เพราะเราต้านไม่ไหว เราต้านการยุยง หรือการส่งพลังอะไรต่างๆ เข้ามา จนเราต้านไม่ไหว  เราก็ทำออกไป

ตรงนี้แหละ คือจุดสำคัญ  สำหรับผู้เชื่อ   ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ตรงนี้  ไม่อย่างนั้น เราก็จะถูกหลอก มารก็จะมาหลอกเรา …

“เห็นไหมเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เชื่อพระเจ้า ทำไมยังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  แน่ๆ เลย พระเจ้าไม่รักเธอ เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอรีบไปสารภาพบาปเลย” อะไรประมาณนั้น

แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงในโลกวิญญาณบอกเราว่า ณ เวลานี้ ตัวจริงๆ ของเรา วิญญาณข้างในเรา ไม่มีบาปเลย เราไม่ต้องไปสารภาพบาปอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว  … ขออ่านพระคัมภีร์โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13  “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

 

คือพระเจ้าได้ย้ายเราแล้ว  ย้ายเราจากอาณาจักรของความมืด  คืออาณาจักรของความบาปและความตาย อาณาจักรในอาดัม ย้ายเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรใหม่  เข้ามาอยู่ในครอบครัวใหม่ คือครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ถ้าเราไม่สะอาดบริสุทธิ์  เราเข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าไม่ได้ ความสกปรกในตัวเดิมของเราเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เข้ามาเมื่อไร ตายเมื่อนั้น แต่ด้วยเหตุที่พระเจ้า เป็นผู้กระทำขบวนการ ทำให้เราบังเกิดใหม่ โดยการผ่าตัดวิญญาณ ที่เมื่อก่อนวิญญาณเราอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย เอาไปตายพร้อมกับพระเยซู ก็คือถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู ฝังพร้อมกับพระเยซู พอฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ฤทธิ์เดชเดียวกันนี้ ได้ทำให้เราได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ คือเปลี่ยนวิญญาณเรา พอย้ายเรามาปุ๊บ  ในข้อ 14 …

โคโลสี 1:4  “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ” (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาป)”

 

เราต้องได้รับการไถ่บาปจากพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิต แล้วในพระธรรมฮีบรูบอกว่าพระเยซูคริสต์ทรงหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ  ก็คือหลั่งครั้งเดียว ชำระหมดเลย  ไม่ว่าผู้เชื่อทำบาปเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูล้างทันที  ทำบาปปุ๊บ ล้างทันที เหมือนเราไปก่อหนี้ปุ๊บ พระเจ้าจ่ายหนี้ให้ทันที พระเจ้ามีทุนสำรองไว้ในธนาคาร ให้กับพวกเราทุกคน  แล้วพระเจ้าก็บอกว่าถ้าลูกของฉันคนนี้ไปติดหนี้สินใคร ธนาคารชำระให้เลยนะ ไม่ต้องรอให้เขามาขอ ไม่ต้องรอให้เขามาแจ้ง ก็คือให้ธนาคารจัดการทันที

ภาพเดียวกัน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งออกมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  พระเยซูบอกว่าหลั่งครั้งเดียว พระโลหิตจะชำระมนุษยชาติทั้งหมด  ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม พระเยซูคริสต์ได้ชำระเรียบร้อยไปแล้ว  ครั้งเดียวเป็นพอ  ไม่ว่าเขาจะทำผิดก่อนหน้านั้น  พระโลหิตชำระแล้ว  เขาจะทำผิด ณ ปัจจุบัน พระโลหิตก็ชำระให้  และเขาจะทำบาปในอนาคต  พระโลหิตก็ชำระให้เขาอีก ก็คือทำไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ผู้เชื่อ เรามีวิญญาณใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  จะมีบาปได้อย่างไร?  ถ้าเราเชื่อว่าเราได้รับวิญญาณใหม่ เราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเราจะมีบาปได้อย่างไร? ไม่มี เป็นไปไม่ได้  แล้วทำบาป ก็ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเราทำ  คือตัวพยาธิ ตัวปรสิต ตัวล่อลวงหลอกให้เราทำ แล้วร่างกายเราอ่อนแอ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย  เผลอได้ แต่เผลอเมื่อไร พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ทรงชำระเรา คือชำระ จบ ไม่ต้องขอ ถ้าเราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราหมดแล้ว จริงไหม? ถ้าเราเชื่อว่าพระเจ้าให้เราอยู่แล้ว  เราไม่ต้องขอ ของมีอยู่ในคลัง แต่ถ้าเมื่อไรที่เราขอ แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีให้เรา  เรายังต้องไปขออยู่

ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกเราชัดเจน  ก็คือทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับผู้เชื่อ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราเชื่ออย่างนั้น เราได้รับเลย  แต่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ พระเจ้าทำให้เสร็จแล้ว  แค่วันหนึ่งข้างหน้า ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ที่เขาตัดสินใจ ไม่เอาแล้ว  ทำเองเหนื่อย มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าดีกว่า เปิดใจปุ๊บ เขาก็ได้รับเหมือนเราเลย ทันที  เขาได้เข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในเขา เหมือนทุกวันนี้ ไม่ว่าเราทำอะไร? ไม่ว่าเราเดินไปไหน? เราระลึกอยู่เสมอว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ

เป็นความหวังอะไร? หวัง ทำไมคริสเตียนยังต้องหวัง ในเมื่อพระเจ้าบอกว่าพระพรนานัปการ พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้าแล้ว เรายังหวังอะไรอีก คริสเตียนหวังอย่างเดียว คือหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความหวังที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว แค่รอเราทิ้งร่างกายนี้เท่านั้นเอง

คริสเตียนไม่ได้หวังว่าอยู่บนโลกใบนี้  เดี๋ยวพระเจ้าจะทำให้เรารวย ไม่ใช่ หรือไม่ได้หวังว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะทำให้ครอบครัวเราอยู่ดีมีสุข ไม่ใช่ อันนั้น  ไม่ใช่ความหวังที่แท้จริง  เป็นความหวังที่เป็นอยู่ในโลกใบนี้  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้เรา  แต่ว่าแล้วแต่บุคคลว่าพระเจ้าจะอวยพรหรือประทานอะไรให้กับแต่ละคน ซึ่งเราไม่ต้องไปวัดด้วยว่า …

“ทำไมคนนี้พระเจ้าอวยพรเยอะ ทำไมฉันพระเจ้าอวยพรน้อย” ไม่ต้องวัด

แต่สิ่งที่เรารับรู้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันในวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นทายาทของพระเยซูคริสต์ พระพรนานัปการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ความหวังที่เรารอคอย ณ เวลานี้ ผู้เชื่อจึงรอคอยแค่นี้แหละ  อยู่บนโลกใบนี้ ทุกข์ยากลำบาก  พระเจ้าบอกเราว่าแป๊บเดียวเองลูก กระพริบตา 2 พริบ ก็จบแล้วโลกนี้

ฉะนั้น ความหวังเราอยู่ตรงนี้  พอความหวังเราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนปุ๊บ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เราก็สามารถผ่านมันไปได้ เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก ความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ บนโลกใบนี้  ถ้าจะเปรียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเรา มันเปรียบไม่ได้เลย มันขี้ผง นิดเดียวเอง แค่หายใจเข้าหายใจออก เราก็จากโลกนี้ไปแล้ว ฉะนั้น เรามีกำลังซึ่งมาจากพระเจ้า คริสเตียนทุกคนพระเจ้าสัญญากับเราว่าพระองค์สถิตอยู่ในเรา  พระองค์จะทรงนำพาเรา จูงมือเราเดิน พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา นี่คือคำสัญญา ในระหว่างที่เราอยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าสัญญาอย่างนั้น แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าพระองค์จะอวยพรให้เราสุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต พระสัญญาตรงนี้ไม่มีนะ อย่าให้ใครหลอก  หรือสัญญาที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรให้คริสเตียนร่ำรวยๆ ก็อย่าไปให้ใครหลอก  พระเจ้าอวยพรให้เรารวยได้ไหม? แน่นอน พระเจ้าทำได้ ถ้าเป็นน้ำพระทัย แต่ถ้ารวยแล้ว เดี๋ยวลำบากนะ พระเจ้าบอกอย่ารวยเลย อยู่อย่างนี้ดีแล้ว พอมีพอกินไปทุกวัน พอแล้ว อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น เรื่องพวกนี้ อย่าให้ใครมาหลอกเราว่า … “มาเป็นคริสเตียนทำไมไม่รวยสักทีล่ะ แล้วพระเจ้าของเธออยู่ไหน?”

บอกเขาไปเลยว่า … “พระเจ้าของฉันอยู่ในนี้ พระเจ้าสถิตอยู่ในใจ พระเจ้าเป็นกำลังให้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะเจออะไร? ฉันก็สามารถผ่านได้ด้วยกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า”

นี่คือความจริง ที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ เพื่อเราจะได้ไม่โดนหลอก ดังนั้น ทุกวันนี้ โลกนี้พยายามหลอกผู้เชื่อ ให้ไปหลง จมปลักอยู่กับสิ่งที่โลกยื่นให้ แต่พระเจ้าบอกว่าอย่าไปรักโลก อย่าไปจมปลักกับการหลอกล่อทุกรูปแบบ ที่ส่งเข้ามา เพื่อให้เราหลงทาง

ถ้าคริสเตียนไปจดจ่อกับความร่ำรวยในทรัพย์สมบัติ เรามีสิทธิ์หลงทาง แล้วชีวิตเราก็ไม่สามารถสำแดงความจริงในตัวตนจริงๆ ของเรา ที่เราอยู่ในพระคริสต์ออกมาได้ ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเรา

ข้อ 14 ในพระคัมภีร์บอกว่าเราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ ก็คือเราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่มีเวร ไม่มีกรรมอีกต่อไป เวรกรรมจะไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณใหม่ของเราเลย เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของเวรกรรมอีกต่อไป  แต่เราผู้เชื่ออยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา

หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤดี หรือการอธิษฐานสารภาพ อันนี้บางคนคิดว่าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องทำดีนะ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเราหลุดจากพระเจ้า ถ้าเราทำผิด เราไม่สารภาพ เดี๋ยวหลุดนะ เมื่อก่อนดิฉันก็สอนแบบนี้  ถ้าเราทำผิด ให้สารภาพนะ  ถ้าเราไม่สารภาพ ดินพอกหางหมูนะ ยาวมากเลย จำโน่นไม่ได้ เดี๋ยวขึ้นไปอยู่บนสวรรค์พระเจ้าบอก …

“เธอยังผิดอยู่เลย เธอขึ้นมาสวรรค์ไม่ได้”

เมื่อก่อนเราเข้าใจแบบนั้นจริงๆ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็นว่าคำที่พระเยซูพูดถึงในมัทธิว บทที่ 6 ที่พระเยซูสอนเรื่องคำอธิษฐานให้เราสารภาพบาป จำได้ไหม? ถ้าเรายกโทษให้ผู้อื่น พระเยซูคริสต์จะยกโทษให้เรา จำคำอธิษฐานนี้ได้ใช่ไหม? คำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังบอกชาวยิว ชาวอิสราเอล ที่เคร่งครัดในบทบัญญัติ กฎหมายที่พระเจ้าให้ว่าต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำ เธอไม่รอดแน่  พระเยซูพูดจนเสร็จ

พระเยซูบอกว่าพวกเธอทำไม่ได้หรอก ถ้าคนตบแก้มซ้ายของท่าน ให้หันแก้มขวาไปให้เขาตบด้วย ความเป็นจริง ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ พอเขาตบมา เราก็ตบกลับเลย นึกออกไหม? คิดดูดีๆ  ความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ที่พระเยซูพูด ก็คือ ณ เวลานั้น พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูยังทำการงานของพระองค์ไม่สำเร็จ มนุษย์ก็ต้องพึ่งพากฎ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกคนยิวว่า …

“กฎทั้งหลาย ที่เธอพยายามทำ แล้วข้างในวิญญาณเธอรับรู้เองว่าทำอย่างไรก็ไม่ได้”

กฎบอกว่าอย่าล่วงประเวณี พระเยซูคริสต์บอกหนักกว่านั้นอีก แค่เธอมองผู้หญิง แล้วข้างในคิดไม่ดี บาปแล้ว  แค่มองนะ ข้างในมีจินตนาการปุ๊บ บาปเลย แล้วใครจะรอด อย่าว่าแต่ผู้ชายมอง บางทีเราเป็นผู้หญิง เห็นคนสวยๆ เราก็มอง เราชอบของสวยของงามเหมือนกัน เราเห็นคนสวยๆ เดินมา แต่งตัวดีๆ เราก็มอง บางทีมองแบบหันหลังตามเลย อะไรอย่างนี้

ฉะนั้น กฎต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูพูดให้คนยิวและพวกเรา ผู้ที่ไม่ใช่ยิวในยุคปัจจุบันรับรู้ว่ากฎทั้งหมด ที่พระเจ้าตั้งมา 600 กว่าข้อ  ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์เลย ถ้าจะทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คือ 100% จุดและขีด ผิดพลาดไม่ได้ทุกเวลาด้วย ไม่มีใครทำได้

ฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “พวกเธอทำไม่ได้ ในเมื่อพวกเธอทำไม่ได้ ฉันจึงมาไง พระเจ้าพระบิดา จึงส่งฉันมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์  มาช่วยทำให้กฎระเบียบต่างๆ นี้ ครบถ้วนสมบูรณ์”

นี่คือข่าวดี ข่าวดีสำหรับมนุษยชาติ ข่าวดีนี้ พระเยซูบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำแค่นั้น หลังจากนั้น พระเจ้าทำเองหมดทุกอย่าง  เราไม่ต้องทำอะไร  แล้วการประพฤติหลังจากนั้น ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเราเลย ซึ่งมนุษย์รับไม่ได้ รับไม่ได้ตรงที่เรา ถูกสอนมาตลอด  เราต้องทำดีสิ เรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็จะสอนว่าเธอต้องอย่างนี้ เธอต้องอย่างนั้น ต้องๆ  ต้องจนเสร็จ เราก็ปวดหัว มันต้องตั้งนานแล้ว เชื่อมา 30 กว่าปี ก็ไม่สำเร็จเลย  เพราะทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ถ้าเรายังต้องทำโน่นทำนี่ เพื่อได้รับความรอด พระเยซูไม่ต้องมาตายแทนเรา ที่พระเยซูมาตายแทนเรา เพราะเราทำไม่ไหว แล้วถ้าเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังถูกสอนว่าต้องๆ แล้วเราเชื่อเพื่ออะไร? พระเยซูมาตายเพื่อเราไป มีประโยชน์อะไร?  ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้น พระเยซูตายแทนเราปุ๊บ  เพื่อให้เราหลุดจากกฎต่างๆ เหล่านี้  แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพูดอย่างนี้ พวกคริสเตียนทำชั่วได้สบาย ไม่ใช่ วิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่ เป็นวิญญาณแห่งความดีงาม เป็นวิญญาณแห่งความรัก เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิญญาณชอบธรรม เป็นวิญญาณที่ดีเลิศ  แล้ววิญญาณนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา แล้วพอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ คริสเตียนจะสำแดงความจริง ในตัวตนจริงๆ ของเราออกมาเอง โดยธรรมชาติ เมื่อเราเจริญเติบโตมากเท่าไร? คือรับรู้ความจริงมากเท่าไร? โตเท่าไร? การสำแดงก็จะออกมามากเท่านั้น

อย่าพยายามไปบีบคริสเตียนผู้เชื่อใหม่ให้เขาต้องๆ แล้วก็ต้อง ไม่ใช่ คริสเตียนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจใหม่ คือเขาเหมือนทารก พึ่งแรกเกิด เราดูภาพทารกจริงๆ นะ  ถ้าลูกหลานเราเพิ่งคลอดออกมา เราจะไปบีบบังคับเด็กทารก เขายังอุแว๊ๆ เดินๆ รีบเดิน คลานๆ รีบคลาน เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ทุกอย่างมีเวลา เมื่อเขาโตขึ้นระดับหนึ่ง เราเรียนรู้ที่จะทำ เด็กเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นนั่ง เด็กเรียนรู้ที่จะพลิกตัว เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะคลาน เมื่อถึงเวลา เด็กเรียนรู้ที่จะตั้งไข่ หรือยืน หรือเดิน หรือวิ่ง  เมื่อถึงเวลา เพราะเขาดูจากคุณพ่อคุณแม่

คุณพ่อคุณแม่จะบอกเขา … “ลูก ลูกเป็นคนนะ พอโตสักพักหนึ่ง เห็นไหม ลูกจะตั้งไข่”

แล้วเราเห็นเด็ก ลูกของเราตั้งไข่  เราดีใจมากเลย เราก็จะคอยช่วย เอามือให้เขาเกาะ แล้วเขาก็จะดุ๊กดิ๊กๆ เดินเผลอ ก็หัวทิ่ม นั่นแหละคือพัฒนาการ

ในโลกวิญญาณเหมือนกัน   ผู้เชื่อจะค่อยๆ   พัฒนาเรียนรู้ว่าตอนนี้  เขาเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเป็นอย่างไร? เขาเป็นอย่างนั้น คุณสมบัติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ผู้เชื่อทุกคนเป็นอย่างนั้น    พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร?    เราเป็นอย่างนั้น   เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

เรายังคงอยู่ในบริบทของพระกายพระคริสต์ฉบับย่อ  ตอน 5

 

1 โครินธ์ 3:10, 11 TH1971 “10 โดยพระคุณของพระเจ้า  ซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้ว  เหมือนนายช่างผู้ชำนาญ  และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว  นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์”

 

เปาโล ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงเมืองโครินธ์   ซึ่งเป็นเมืองที่เปาโลได้วางรากข่าวประเสริฐในพระคริสต์ไว้ในผู้คน  จนเกิดคริสตจักรขึ้นที่นั่น (เปาโลใช้เวลาอยู่ที่นี่ปีครึ่ง  ในการปลูกฝังพระวจนะของพระเจ้าลงในชีวิตผู้เชื่อ) เปาโลวางฐานที่มั่นคงไว้แล้ว  จึงเดินทางต่อไปเมืองอื่น ข้อ 11 เปาโล กล่าวเตือนเหล่าบรรดาอาจารย์   ศิษยาภิบาล   ผู้เผยพระวจนะที่มาทีหลังว่าให้ระวังสิ่งที่จะสานต่อจากสิ่งที่เปาโลได้วางรากไว้ รากฐานนั้นคือเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์

 

ตามที่เปาโลกล่าวไว้ใน 1 โครินธ์ 2:2 ดังนี้ว่า … “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย  เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์  และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”

นั่นหมายความว่าเปาโลเน้นสอนเรื่องเดียว  คือข่าวประเสริฐแท้ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  พระคริสต์ใช้ท่านมาในการนี้โดยเฉพาะ

ตามที่เขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 1:17  ว่า … “เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไป เพื่อให้เขารับบัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ และมิใช่ด้วยชั้นเชิงอันฉลาดในการพูด เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช”

ข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ซึ่งปัญญาของมนุษย์ทั่วไปเข้าใจไม่ได้  คนทั่วไปจึงถือว่าเรื่องของพระคริสต์เป็นเรื่องโง่ๆ  ความจริงแล้วข่าวประเสริฐเป็นความล้ำลึก  ที่ปิดบังซ่อนจากคนที่มีใจแข็งกระด้าง  ข่าวประเสริฐเป็นฤทธิ์เดช ในการกระชากคน  จากความมืดมาสู่ความสว่าง   จากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์   ย้ายจากความตายนิรันดร์ไปสู่ชีวิตนิรันดร์  นำพาผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เกินกว่ามนุษย์อย่างเราๆ จะเข้าถึงได้และสัมผัสได้   แล้วยังทำให้ร่างอันเป็นที่ต้องตายของเรา  กลายมาเป็นวิหารที่สถิตอยู่ของพระองค์   เรื่องราวแห่งข่าวประเสริฐนี้  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  และผู้มีวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายในเท่านั้น  จึงจะเข้าใจได้

 

อ่านเพิ่มเติม  คำอธิบายถึงความสำคัญในการสอนเน้นเรื่องข่าวประเสริฐได้จาก 1 โครินธ์ 1:18-31 … ดังนั้น คนที่มาสานต่องานของเปาโลในคริสตจักรของพระเจ้านั้น ไม่ควรเอาข่าวประเสริฐไปผสมปนเปกับเรื่องอื่น หรือเน้นย้ำเรื่องอื่นที่ไม่สำคัญเกินกว่าข่าวประเสริฐในพระคริสต์  เพราะทุกคำสอนของผู้รับใช้จะมีผลต่อชีวิตของผู้เชื่อ  และนั้นเป็นสิ่งที่ผู้รับใช้ต้องรับผิดชอบผลของคำสั่งสอน  และกินผลแห่งคำสอนของตนทุกคน​  พระเจ้าอวยพรค่ะ