วารสาร Holy News ฉบับที่ 1349

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  30  มกราคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?”  ตอน 2

“จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้เราก็ยังเรียนเรื่องอาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? วันนี้ตอนที่ 2 ซึ่งผมให้ชื่อเรื่องวันนี้ว่า “จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย” ตายแล้ว ก็หมดสิทธิ์ย้ายแล้วนะ เราได้เรียนรู้ไปตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเจ้า มีเรื่องเดียว เรื่องนี้แหละ คือเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ ในโลกวิญญาณ และในโลกที่มองเห็นนี้ มันมีกฎของมันอยู่ กฎของโลกที่มองเห็นนี้ มันไม่ยากนะ เราก็เรียนรู้กันเห็นชัด แตะต้องได้ จับได้ เห็นได้ แตะแล้วรู้สึกมันร้อน รู้เลยนะครับ เอาก้อนหินโยนขึ้นไป มันหล่นลงมา มีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก อะไรอย่างนี้ มันรู้ แต่กฎทางด้านวิญญาณมันไม่เห็น มันก็ต้องฟังและเชื่อเอาว่ามีใครบ้างที่อธิบาย ที่สำแดงถึงกฎในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่ากฎสวรรค์ให้เราได้รู้บ้าง? ก็คือพระเยซูคริสต์ ก็คือเจ้าของสวรรค์เอง คือพระเจ้าเอง อธิบายเรื่องกฎของวิญญาณให้เราฟัง

กฎทางความประพฤติด้านศีลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในโลกที่มองเห็นนี้ ก็มีระเบียบของมันอยู่ เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ซึ่งจะต้องพึ่งในการกระทำของตนเอง ความประพฤติของตนเอง นี่เรียกว่ากฎที่มองเห็น อย่างที่ตะกี้นี้บอก กฎนี้ไม่ยาก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นเลยนะ โกรธเขา ไม่สบายใจ ทำอะไรรุนแรง ถูกติดคุก ติดตะราง ถูกลงโทษ อย่างนี้มันเห็น

เช่นเดียวกันกับโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น  ก็มีกฎของมันอยู่ เรียกว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิต พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ จึงเรียกว่ากฎของวิญญาณ ซึ่งให้ชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าพระเยซูได้ สำแดงกฎนี้ บอกกฎนี้ ประกาศกฎนี้ให้เราได้รับรู้ความจริง เป็นกฎทางโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น ต้องใช้ความถ่อมใจและเชื่อในถ้อยคำนั้น พอถ่อมใจและเชื่อ คือการพิสูจน์แล้วว่ามันจริงไหม? และเมื่อพิสูจน์ทุกคนก็ยอมรับว่ามันจริง โดยใช้วิญญาณสัมผัสว่ามันจริงๆ เริ่มต้นจากความถ่อมใจ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นจริง อาจจะเป็นจริง มันเป็นไปได้หรือ? แบบถ่อมใจนะ

ถ่อมใจ แปลว่ายังสงสัยอยู่ ยังไม่เข้าใจอยู่ แต่รับฟัง นี่เขาเรียกว่าถ่อมใจ  ไม่ใช่ถ่อมใจ ต้องเชื่อไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่ม ถ่อมใจ คือตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีใครเชื่อหรอก พระเยซูต้องสำแดง ต้องพูด อีกไม่รู้กี่ครั้ง? กี่หนกว่าคนจะเริ่มต้นเชื่อจริงๆ มาจากอะไร? มาจากถ่อมใจรับรู้สิ่งที่พระเยซูพูด และยังไม่เข้าใจ ยังไม่รับ แต่เริ่มรับรู้ เรียนรู้ แล้วก็ถ่อมใจ ไม่ทิ้ง รับไปเรื่อยๆ มีวันหนึ่ง เกิดขึ้น ก็คือความถ่อมใจลงในวิญญาณ เกิดความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด เกิดใหม่ ตาวิญญาณ ก็เปิดออก ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าคราวนี้แหละ ก็เหมือนเราทั้งหลายที่นั่งที่นี่ เราก็จะว่า …

“ว๊าว! โอ้โห! มันเป็นจริงเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็สรรเสริญพระเจ้า”

จากนั้นต่อไป ตาวิญญาณก็จะเปิดออกเรื่อยๆ

ทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องกฎของวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ ที่มองเห็นความประพฤติต่างๆ บนโลกใบนี้ ทำไมเราต้องมาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เรียนรู้เฉพาะความดีและความชั่วเท่านั้นเพียงพอแล้ว ไม่ได้หรือ? เรียนรู้เฉพาะกฎของศีลธรรมบนโลกใบนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ได้หรือ? ทำไมพระเจ้าต้องให้เราเรียนรู้ และจำเป็นต้องให้เราได้เรียนรู้ และมาสำแดงให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เราเรียกว่าสวรรค์ด้วย ก็เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต คาบเกี่ยว 2 โลกเลย คือมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ ติดต่อกับโลกวิญญาณ และอาศัยอยู่ในร่างกาย นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงต้องมาประกาศโลกวิญญาณให้เราได้รู้ เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาเป็นวิญญาณและอาศัยอยู่ในร่างกาย

“ร่างกาย” คือโลกวัตถุ ติดต่อกับโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นได้ มีความรู้สึกด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด สมอง แต่วิญญาณที่อยู่ข้างใน มองไม่เห็น

นี่แหละ มนุษย์บางท่าน ทุกวันนี้ยังไม่เชื่อเลยว่าตัวเอง เป็นวิญญาณ มีเยอะแยะเลย เพราะพระเจ้าก็บอกแล้วว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ แต่วิญญาณนั้นถูกตัดขาดออกจากชีวิตของพระเจ้า ที่เรียกว่าตายจากพระเจ้า จึงเป็นเหมือนวิญญาณที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ หูบอดฝ่ายวิญญาณ ฟังเรื่องวิญญาณไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่เข้าเลย มองเรื่องโลกวิญญาณ ไม่เห็น ทั้งๆ ที่ตนเองมีชีวิตอยู่เป็นวิญญาณ ตรงนี้คือสาเหตุว่าทำไมเราจึงต้องจำเป็นมาเรียนรู้ทั้งสองกฎนี้ คือกฎของร่างกาย ที่จับต้องมองเห็นได้ และกฎของวิญญาณ

ถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าต้องมาสอนเรา 2 กฎนี้ เพื่ออะไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นให้เราเห็นถึง 2 กฎนี้ว่ากฎของร่างกายที่ตามองเห็น มันอยู่ชั่วคราวแป๊บเดียวเอง แต่เราไปให้ความสำคัญกับมันมากเหลือเกิน  แต่กฎของวิญญาณ มันสำคัญ มันจะอยู่นิรันดร์ เรากลับไม่เห็น และไม่ให้ความสำคัญเท่าไร? พระองค์จึงมาประกาศเรื่องกฎของวิญญาณมากที่สุดเลย ถามว่าทำไมพระเยซูจึงมาประกาศเรื่องโลกวิญญาณมากๆ ก็เพราะว่าน้ำพระทัยพระเจ้า ความประสงค์ของพระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ คนใดคนหนึ่งพินาศนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ คือต้องอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ถูกลงโทษจริงๆ ตลอดนิรันดร์

ถามว่า “จริงๆ” หมายถึงอะไร? จริงๆ หมายถึงถูกลงโทษทางวิญญาณ นี่เป็นนิรันดร์ พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง แม้แต่คนเดียว ต้องพินาศ พระองค์จึงพยายามเตือน บอก ให้มนุษย์ทุกคนพึงสังวรไว้ว่า …

“มนุษย์เอ๋ย มีกฎทางวิญญาณจริงๆ เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ เราได้สร้างเจ้าด้วยวิญญาณของเราจริงๆ แต่วิญญาณของเจ้าตายอยู่”

และมันมีกฎของวิญญาณว่าเจ้าจะรอดได้อย่างไร? แต่เจ้าอย่าล้อเล่นกับกฎเหล่านี้ อย่าท้าทายกฎเหล่านี้ อย่าทำการดื้อดึง ไม่เชื่อกฎเหล่านี้ว่ามีอยู่จริง ที่เราได้เตือนไว้ คือพระเยซูคริสต์เตือนเอาไว้ เพราะฉะนั้น พระองค์เองจึงเสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้พ้นจากกฎของความตายทางโลกวิญญาณนี้ ก่อนที่จะช่วย พระองค์จึงมาเตือนอีก มาอธิบายอีก มาสำแดงความจริงในโลกวิญญาณ ในโลกสวรรค์ว่ามันเป็นอย่างไร? ให้กับมนุษย์อีก ทั้งๆ ที่ตอนสำแดง พระองค์ก็รู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ตาบอด ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก?  แต่สำแดงไว้ เพื่อว่าวันหนึ่ง เมื่อพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อย ในการไถ่บาป ช่วยเหลือมนุษย์ คือในวันที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อมนุษย์ได้มีโอกาสบังเกิดใหม่  ตาวิญญาณได้ถูกเปิดออก เขาจะทราบถึงสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ได้ประกาศ ได้อธิบายถึงสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร? ได้เข้าใจอีกทีหนึ่ง พระองค์ก็เลยมาเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี แล้วก็สำแดงสวรรค์ ให้กับมนุษย์ได้ทราบ เกี่ยวกับเรื่องกฎของโลกวิญญาณ เตือนมาตลอด จนกระทั่งสำเร็จ เสร็จสิ้นการงาน การไถ่บาปของพระองค์ ช่วยเหลือมนุษย์  ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และหลังจากนั้นเตือนต่อ ประกาศต่อ เตือนให้มนุษย์ทุกคนพึงสังวร อย่าท้าทาย อย่าเย่อหยิ่งว่าไม่จริงหรอก? ไม่ใช่หรอก? ตายไป ก็คือเป็นศูนย์ หรือตายไป ก็มาเกิดใหม่ ตายไป ก็มีโอกาสมาแก้ตัวใหม่ สั่งสมความดีต่อไป พระองค์มาเตือนบอกไม่มีๆ ตายแล้วตายเลย ถ้าไม่ได้เปลี่ยน ไม่ได้ย้ายข้าง ไม่ได้มา บังเกิดใหม่ วิญญาณยังคงตายอยู่ ก็จะตายนิรันดร์เลยนะ มนุษย์ตายครั้งเดียว  นี่คือคำเตือนของพระเยซูคริสต์ พระองค์คือพระเจ้า เจ้าของสวรรค์เอง มาเตือนด้วยตัวเอง และทุกวันนี้ ก็ยังเตือนอยู่

อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ก็คือมาสำแดงความจริงในอาณาจักรของโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่ ซึ่งพระเจ้าครอบครองอยู่ ซึ่งมีแห่งเดียวในโลกวิญญาณ ก็คือสวรรค์ พระเยซูมา ก็เพื่อสำแดงอาณาจักรสวรรค์ให้กับมนุษย์ได้รู้ว่าในสวรรค์เป็นอย่างไร? หน้าตาเป็นอย่างไร? พระเยซูกำลังบอกมนุษย์ทุกคนว่าจงย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ ก็คืออยู่ในตัวพระองค์ในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย

กฎการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรารู้กันอยู่แล้ว เมื่อมีความรู้ สติปัญญาแบบมนุษย์ ค้นคว้าแบบมนุษย์ บนโลกใบนี้ จนกระทั่งรู้ว่าร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีออกซิเจน นี่มนุษย์เรียนรู้เอง ถูกไหม? จากสติปัญญาพระเจ้า ในกฎที่พระเจ้าวางไว้ คือร่างกายเราจะมีชีวิตอยู่ได้ ต้องมีออกซิเจน กฎของการมีชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณ ก็มีเหมือนกัน ก็คือถ้าจะมีชีวิตอยู่ในวิญญาณ ต้องมีพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์เป็นแหล่งของชีวิตที่เดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับออกซิเจนเป็นแหล่งของสิ่งที่มีชีวิต  สำหรับร่างกายของมนุษย์  เป็นที่เดียวเท่านั้น ถ้าไม่มีออกซิเจนตาย วิญญาณจะมีชีวิตอยู่ด้วยวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ หรือชีวิตนิรันดร์

ชีวิตนิรันดร์คืออะไร? ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นวิญญาณ และวิญญาณของพระองค์ ก็คือแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ภาษามนุษย์แล้ว เรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ เป็นแหล่งเดียวที่มีชีวิต วิญญาณจะมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีวิญญาณชีวิตนิรันดร์ ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือพระคริสต์เท่านั้น  ท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตนิรันดร์ในวิญญาณของท่านได้ เหมือนกับอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายของท่านจะต้องอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนเท่านั้น ถ้าไม่มีออกซิเจน ท่านตายแน่ๆ ทั้ง 2 กฎขึ้นอยู่กับว่าท่านรู้หรือเปล่าว่ากฎมันเป็นเช่นนั้น

ไม่ใช่รู้อย่างเดียว ท่านเชื่อตามกฎที่ท่านได้รับรู้หรือไม่? ถูกไหมครับว่าท่านจะได้รับประโยชน์ หรือได้รับโทษ จากความเชื่อหรือไม่เชื่อ จากความรู้จริงหรือไม่จริงนั้น  ถ้าท่านรู้ว่าชีวิตในร่างกายนี้ จำเป็นต้องมีออกซิเจน ท่านก็ต้องรีบแสวงหาออกซิเจนอย่างเดียว เข้าไปในสถานที่ที่มีออกซิเจน มีออกซิเจนก็รอด ไม่มีออกซิเจนก็ตาย มีพระเยซูก็รอด ไม่มีพระเยซูก็ตาย ไม่ได้เกี่ยวกันกับความประพฤติ การกระทำ ทางด้านศีลธรรม ความดี ความชั่ว ทำดีมากขนาดไหน? ความชั่วมากขนาดไหนเลยใช่หรือไม่? ลองคิดตามดูก็ได้ มันอยู่ที่กฎ

คนลงไปในถ้ำลึกๆ ออกซิเจนเริ่มหมด หรือขึ้นไปบนเขาสูงๆ ออกซิเจนเริ่มหมด รู้ไหมว่าออกซิเจนเริ่มหมด ถ้าไม่รู้ ขึ้นไปสูงๆ เรื่อยๆ หรือลงไปลึกๆ เรื่อยๆ ไม่มีออกซิเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนชั่วหรือเป็นคนดี กระทำความดีมาก่อน หรือกระทำชั่วมาก่อน ตายไหม? ตอบในใจก็ได้ มันตายเหมือนกัน ขาดออกซิเจน ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ก็ตาย ในทำนองเดียวกันโลกวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวกับความดีหรือความชั่ว เกี่ยวกับท่านรู้ไหม? ท่านทำตามกฎนั้นไหม? ท่านมีพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? ถ้ามีพระเยซูคริสต์ตามกฎนี้ ก็คือท่านมีชีวิตในวิญญาณ ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ต่อให้ท่านเป็นคนดีมากมาย แต่รู้กฎนี้ หรือไม่เชื่อในกฎนี้ ท่านก็ได้รับในสิ่งที่ท่านเชื่อนั้น ทำตามนั้น ก็คือไม่มีพระเยซูคริสต์ ไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิตก็คือตาย คือพินาศ ในฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

สิ่งเหล่านี้แหละ คือสาเหตุที่เป็นความจำเป็นของพระเจ้า พระเยซูเองเป็นพระเจ้า มาเดินบนโลกใบนี้ ก็พยายามเน้นเรื่องนี้อย่างเดียวเลย พูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ทุกทีก็จะพูดอย่างนี้ เน้นเรื่องโลกวิญญาณ เน้นเรื่องสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างนี้ อุปมาเรื่องสวรรค์เป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ตอนที่พระองค์เริ่มต้นประกาศ ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  ประกาศครั้งแรก พระองค์กล่าวคำว่า “จงกลับใจใหม่ สวรรค์มาอยู่ใกล้แล้ว เราคือสวรรค์ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วนั่นเอง”

จงกลับใจใหม่ แปลว่าจงรีบย้ายเข้ามาเร็วๆ หันหลังกลับเลย

จงย้ายเข้ามาในสวรรค์ คือในตัวพระองค์ เข้ามาหาพระองค์เร็วๆ ประโยคสุดท้าย คือบอกว่าเร็วๆ เพราะพระเจ้ามาช่วยแล้ว เร็วๆ เร็วขนาดไหน? เร็วมากที่สุดเลย ก่อนตาย เพราะก่อนตายปุ๊บ ก็คือเร็วที่สุดแล้ว เร่งเลย ก่อนตาย แปลว่ามาเมื่อไรไม่รู้ ก่อนตาย ไม่ได้หมายถึงอายุ 80 แล้วตาย ไม่ใช่  ตามกฎของโลกวัตถุ เราก็รู้กันอยู่แล้ว อยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตในร่างกาย มันไม่แน่นอน เมื่อไรจะตายจากโลกนี้ ก็ไม่รู้ จะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ จะเป็นวินาทีนี้ หรือนาทีหน้า หรือชั่วโมงหน้า ไม่รู้ พระเยซูจึงเร่งบอก …

“กลับใจใหม่เร็วๆ กลับมา รีบๆ มา”

เหมือนไฟกำลังไหม้บ้าน แล้วมีคนมาช่วย  … “รีบออกมาเร็วๆ อย่ามัวมานั่งถามอันโน้น อันนี้ จะเอาเข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจแล้ว ออกมาก่อนๆ เร็วๆ บ้านกำลังไหม้”

หล่นโครมๆ หล่นลงมา ตายเมื่อไรไม่รู้ คานไม้ที่ไหม้อยู่ข้างบน หล่นมาใส่หัวเมื่อไรไม่รู้

พระองค์จึงบอกว่า … “จงกลับใจใหม่ สวรรค์มาแล้ว เรามาช่วยแล้ว”

วันนี้เราจะมายกอุปมาหนึ่ง ในจำนวนหลายๆ อุปมา ที่พระเยซูอธิบาย สำแดงสวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคนได้รู้จักในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พูดเป็นอุปมา เล่าให้ฟัง นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ในหนังสือยอห์น 15:1-6 บอกถึงเกี่ยวกับเรื่องของโลกวิญญาณ ในสวรรค์ …

“รีบมาเลย รีบๆ ย้ายเข้ามาอยู่ในเรา เข้ามาๆ บ้านหลังนี้กำลังพัง บ้านหลังนี้กำลังถูกไฟไหม้ อย่าอยู่ที่นี่นะ หล่นลงมาได้ทุกเมื่อ รีบๆ เลย รีบก่อนที่มันจะหล่นลงมาทับหัวท่าน”

“หล่นมาเมื่อไร?”

“ไม่รู้ มันหล่นลงมาได้ทุกเมื่อนะ รีบๆ เลย ถึงไม่หล่นเดี๋ยวนี้ อย่างไรมันก็ต้องหล่น ท่านก็รู้อยู่แล้ว หล่นแน่ เพราะฉะนั้น รีบย้ายออกมาเร็วๆ”

ให้นึกถึงภาพนี้ไว้ แล้วเวลาอ่าน สิ่งที่พระองค์เล่าเป็นอุปมา ท่านจะได้สามารถเริ่มต้นเข้าใจ สิ่งที่พระองค์ทรงอธิบายได้ว่ามันหมายความว่าอะไร? มันง่ายขึ้นกว่าการที่จะไม่มีพื้นว่าพระองค์ทรงพูดถึงอะไร?

อุปมานี้พูดถึงอะไร เรารู้อยู่แล้ว พื้นฐาน พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้มนุษย์ทุกคนรีบย้ายออกมาอยู่กับพระองค์ อยู่ในสวรรค์ ก็คือตัวของพระองค์เอง รีบๆ เร็วๆ เลย …

ยอห์น 15:1-6 “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษา 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว  พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระ และได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

หัวข้อวันนี้ “อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร?” ตอน 2 “จงย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย ก่อนตาย” พระเยซูประกาศอย่างนั้น

ในข้อที่ 1 ที่ตะกี้เราอ่าน เราในที่นี้ ก็คือพระเยซู … “เราเป็นเถาองุ่นแท้ พระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษาสวน”

“เถาองุ่นแท้” คือแหล่งแห่งชีวิต คือสวรรค์ เป็นต้นกำเนิดของชีวิตนิรันดร์ พระเยซูนอกจากจะเป็นสวรรค์แล้ว พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นทางเข้าสวรรค์ คือต้องมาหาพระองค์ จึงเข้าสวรรค์ได้  คือเข้าไปอยู่ในพระองค์นั่นเอง พระองค์เป็นทางเข้าสวรรค์

และ “สวน” คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์ ซึ่งความหมายในที่นี้ ก็คือพระเจ้าพระบิดา เป็นผู้ดูแล กฎระเบียบต่างๆ ของโลกวิญญาณ ในสวรรค์นี้ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบของสวรรค์ ไม่มีการลำเอียง เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลนั่นเอง พระองค์ทรงดูแลสวรรค์ให้เป็นไปตาม พระประสงค์ของพระองค์  เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ เพราะมันมีกฎ มีเกณฑ์อยู่จริงๆ นั่นเอง นึกถึงภาพนะ

(ข้อ 1) พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ครอบครองอยู่เหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกนั่นแหละ ทั้งโลกวิญญาณ และโลกของวัตถุที่ตามองเห็น จับต้องได้  และกฎของโลกวัตถุ และกฎของโลกวิญญาณที่ตามองไม่เห็น ทั้งหมดอยู่ในการควบคุมดูแลรักษาของเจ้าของสวน  เจ้าของโลกวิญญาณ เจ้าของสวรรค์ ก็คือพระเจ้า พระบิดา

(ข้อ 2) พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ใครดูแลเอาใจใส่? เจ้าของสวน  พระบิดา  ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ตรงนี้ภาษาเดิมแปลว่าเอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา  (เราคือพระเยซู)  ที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล

กิ่งก้านในที่นี้  ก็คือมนุษย์ทุกคน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นต้นไม้ต้นเดียวกัน กิ่งธรรมดา ไปต่อกับเถาองุ่น ไปต่อกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตนิรันดร์ เป็นสวรรค์ พูดง่ายๆ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ ก็คือเข้าไปต่อกิ่ง

อุปมานี้ ยกตัวอย่างให้เห็นถึงการปลูกองุ่น ต่อกิ่งเข้าไป ผู้เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้เข้าไปต่อกับพระเยซู พอไปต่อกับพระเยซู ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูมาเป็นของตนเอง

คำว่า “อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์” ก็คือผู้เชื่อที่ยังใหม่ๆ ยังไม่รู้จักความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณมากนัก เพิ่งจะเชื่อ เริ่มต้นใหม่ๆ ยังไม่รู้ถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของตัวเองที่เป็นวิญญาณ ที่เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ยังไม่รู้จักมากมาย เรียกว่ายังอ่อนแออยู่

เตรียมพร้อมที่จะออกผล “ผล” ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณของผู้เชื่อคนนั้น ก็คือผลของความรัก ของวิญญาณแห่งความรักที่เราได้เกิดมาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์เลย คือผลของวิญญาณที่เหมือนพระเยซู ที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นความรัก เป็นธรรมชาติใหม่อันนี้ มันยังสำแดงออกมาไม่ได้มาก เพราะว่าไม่รู้เรื่อง ยังใหม่ๆ อยู่ เรียกว่ายังอ่อนแออยู่

ทำไมอ่อนแอ เพราะนึกถึงภาพ เราเป็นกิ่ง แล้วเจ้าของสวน คือพระเจ้า เอากิ่งของเราไปต่อกับลำต้น คือพระเยซู เพิ่งต่อใหม่ๆ ตอนพระเยซูเห็นภาพเลย ข้างๆ เป็นไร่องุ่นทั้งนั้น ในอิสราเอลปลูกแต่องุ่น เอากิ่งก้าน ก็คือมนุษย์ พอเชื่อปุ๊บ เอามาต่อในลำต้น คือพระเยซู ต่อใหม่ๆ มันยังไม่ติดสนิทแน่น มันเกิดแล้วจริง แต่มันยังไม่แน่น มันยังไม่แข็งแรงพอที่จะออกผล เพราะผลมันออกที่กิ่ง ถ้าเผื่อผลออกที่กิ่ง รอยต่อนั้น เพิ่งจะต่อใหม่ๆ ยังไม่แข็งแรงพอ มันมีสิทธิ์ที่จะหักลงมาได้ หล่นลงมาได้  เพราะฉะนั้น เจ้าของสวนรู้ ยังไม่ให้ออกผลหรอก นี่เรื่องจริงเลยนะ เอาไม้ค้ำไว้ เขาเรียกว่าค้ำยัน ไม่ให้มันล้ม จนกว่าที่ต่อไว้นั้น มันจะแข็งแรงดี กิ่งก้านแข็งแรงดี คราวนี้รับน้ำหนักได้ ก็ออกพวงองุ่นได้ ใหญ่เท่าไร ก็ออกพวงได้ แล้วแต่กิ่งจะแข็งแรงขนาดไหน? นั่นหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มาเชื่อใหม่ๆ ยังไม่รู้อะไรมากมาย พระเจ้าจะเข้าไปดูแลประคบประหงมอย่างพิเศษ ค้ำไว้ตลอดเวลา รอให้มันแข็งแรง และถึงจะออกผล  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เชื่อใหม่ๆ อาจจะทำอะไรตลกๆ แปลกๆ ยังเมาเหล้าอยู่เลย ยังเห็นแก่ตัว ยังโลภอยู่เลย ยังโมโห ฉุนเฉียวอยู่เลย ยังริษยาอยู่เลย ยังนินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย ยังโน่นยังนี่  เหมือนชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  แต่ข้างในมันเปลี่ยนแล้ว รู้ได้อย่างไร? คนอื่นไม่รู้หรอก คนๆ นั้นจะรู้เอง จากข้างในวิญญาณ

และส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว ก็คือกิ่งที่มันอยู่มานานแล้ว มันเจริญเติบโตแล้ว พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ คราวนี้ไม่ได้เอาไม้ค้ำแล้วนะ เอาไม้ค้ำออกแล้ว แข็งแรงแล้ว ลิดกิ่ง ไม่ได้ตัดทิ้ง ลิด แปลว่าแต่งให้มันสวย เพื่อมันจะได้ออกผลได้มากขึ้นอีก สำแดงความรักของพระเยซูได้มากขึ้น สำแดงชีวิตนิรันดร์ในตัวของตัวเองได้มากขึ้น ปฏิบัติภารกิจและประพฤติสมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บังเกิดใหม่ได้มากขึ้นนั่นเอง นี่มันเป็นอย่างนั้น

พระเยซูกำลังพูดถึงสภาวะว่าถ้ามาเชื่อพระเยซูแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ โดยเปรียบเทียบอุปมาเป็นสวนองุ่น เป็นต้นองุ่นกับกิ่งก้าน

(ข้อ 3) “ท่านทั้งหลายได้รับการชำระและได้รับการตกแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้”

ตอนที่พระเยซูประกาศอยู่ เหล่าสาวกที่ฟัง ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ต่อกิ่ง ยังไม่ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู ยังไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ข้อ 1, ข้อ 2 เพียงแต่บอกว่า … “ถ้าเผื่อต่อกับเรา แล้วมันจะเป็นอย่างนี้นะ”

ข้อที่ 3 กำลังจะบอกว่า … “ท่านพร้อมแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราประกาศให้กับท่านเรื่องสวรรค์”

ท่านพร้อมที่จะให้พระเจ้านำท่านไปต่อแล้ว ท่านยอมแล้ว รอก่อน รอวันเพ็นเตคอส รอวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา นั่นแหละ จะบัพติศมาท่าน จะผ่าตัดวิญญาณท่าน นำท่าน เอากิ่งที่พร้อมแล้ว ไปต่อกับลำต้น คือพระเยซู มันหมายถึงอย่างนั้น รอพระวิญญาณ พระบิดา ผู้เป็นเจ้าของสวน นำท่าน ซึ่งพร้อมแล้ว ก็คือได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ในความคิดจิตใจพร้อม ยอมแล้ว รออย่างเดียว คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถึงเวลาปุ๊บ เจ้าของสวนหยิบท่านออกไป เอาไม้ค้ำ เริ่มต้นดำเนินชีวิตในพระคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์

(ข้อ 4) กลับมาที่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณนะ ตะกี้พูดถึงวันหนึ่งข้างหน้า พระบิดา เตรียมพระวิญญาณบริสุทธิ์จะต่อกิ่งท่าน เข้าไปในเรา … “และถ้าท่านได้ถูกนำมาต่อกับเรา” ก็คือข้อ 4 บอกว่า … “ถ้าย้ายมาอาศัยอยู่ในเรา” แสดงว่าก่อนหน้านั้น กิ่งนี้มันต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เดี๋ยวตามไปนะ “ถ้าท่านย้ายมาอาศัยอยู่ในเรา” ท่านเป็นกิ่งใช่ไหม? ถ้าท่านเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับลำต้น คือเรานะ ท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเรา

เป็นส่วนหนึ่งของเถาองุ่นนี้ คือลำต้นองุ่นนี้ คือสวรรค์ ท่านก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเรา ผู้เป็นเจ้าของสวรรค์ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว และอันนี้สำคัญมาก และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน ก็หมายถึงว่าถ้าเกิดท่านยินยอมพร้อมใจ ให้พระเจ้าย้ายท่านเข้ามาต่อกับเรา เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา ทันทีทันใด เราก็จะอาศัยอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกัน รวมกันเป็นหนึ่ง มันหมายถึงอย่างนั้น

และบอกต่อไปว่ากิ่งก้าน ก็คือผู้เชื่อทั้งหลายจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่น

ผล คือชีวิตนิรันดร์ เห็นไหมครับ

กิ่งก้าน คือมนุษย์ผู้ใด ถ้าไม่เชื่อ ไม่มาต่อติดกับเถาองุ่นของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็จะไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็จะไม่มีชีวิต ก็ตายอยู่นั่นเอง

“ฉันใด  พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากเจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ พวกเจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์ด้วยตนเอง เป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมาอาศัยอยู่ในเรา ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์”

นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้ว่าเราขึ้นไปที่สูง หรือลงไปที่เหวลึกๆ ในถ้ำลึกๆ ไม่มีอากาศหายใจ  ออกซิเจนไม่มี ตายลูกเดียว พูดง่ายๆ คือเมื่อย้ายวิญญาณมาอาศัยอยู่ในเรา ซึ่งเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ ผลก็คือท่านก็จะมีชีวิตขึ้นมา

(ข้อ 5) “เราเป็นเถาองุ่น” คือเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ “ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น” ก็คือท่านก็ต่ออยู่กับเรา “ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในเรา และเราอาศัยอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย” คือไม่มีชีวิตนิรันดร์

พูดง่ายๆ ว่าท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ตาม สะสมความดีขนาดไหน? พึ่งพาตนเองขนาดไหน? ตั้งใจทำดีขนาดไหน? ก็ไม่มีประโยชน์ในการมีชีวิตเลย เพราะว่ากฎทางวิญญาณ บอกแล้วว่าชีวิตมาจากแหล่งเดียว คือพระเยซูคริสต์ ผู้มีชีวิตนิรันดร์ ผู้เป็นชีวิตนิรันดร์ ผู้เป็นสวรรค์เท่านั้น ท่านจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย คือท่านพึ่งตนเอง จะกระทำดีเท่าไรก็ไม่มีผลดีกับท่านในโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว มันหมายถึงอย่างนั้น

(ข้อ 6)  “ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา”   เมื่อตะกี้เราพูดถึงว่าผู้ใดที่อาศัยต่อติด   เป็นอย่างไร? ตอนนี้มาพูดถึงถ้าไม่อาศัยต่อติดล่ะ ถ้าไม่เชื่อล่ะ ถ้าไม่เชื่อเรื่องกฎวิญญาณ  ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ที่เรากำลังอธิบายให้ท่านฟัง ถ้าไม่เชื่อ ก็คือไม่ยอมย้าย  ไม่มาอาศัยต่อติดอยู่ในเรา ไม่มาอาศัยอยู่ในสวรรค์ ไม่มาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ แต่ยังคงอาศัยต่อติดอยู่กับลำต้นเดิมนั่นเอง มันมีการย้าย แสดงว่ามันมีที่หนึ่ง

ถามว่าลำต้นเดิม คืออะไร? คือลำต้นของความบาป ลำต้นของบรรพบุรุษอาดัมที่ทำบาปไว้ ธรรมชาติบาปที่อยู่ในตัวมนุษย์นั่นเอง เชื้อสายบาป ที่มาจากบรรพบุรุษ คืออาดัมนั่นเอง ถ้าไม่ยอมย้าย ยังอยู่ในที่เดิม คือต้นอาดัมก็ได้ ต้นตระกูลของความบาป ถ้ายังอยู่อย่างนั้นอยู่ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เขาก็เหมือนกิ่งก้าน (คือมนุษย์นะ) กิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง คือพินาศในบึงไฟนั่นเอง

นี่พระเยซูกำลังมาอธิบายเรื่องสวรรค์ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร? สภาวะมันเป็นอย่างไร? ไม่ได้มาสอนให้กระทำอะไร? สอนให้รู้ว่าในโลกวิญญาณจริงๆ มันเป็นอย่างไร? แล้วเราก็เลือกเอาแค่นั้นเอง ไม่มีสภาวะตรงกลาง คือต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง มีอยู่ 2 ข้างเอง เลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ? เลือกจะมาต่อติดกับพระเยซูคริสต์ หรือจะเลือกอยู่ที่เดิม ในอาดัม เลือกอยู่ในสวรรค์ หรือเลือกอยู่ในความพินาศ มันมี 2 ทางเท่านั้นเอง และพระองค์ก็ไม่ได้กำลังมาสอนให้เราพยายามอยู่อาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาสอนเราทำอะไรเลย มาประกาศบอกความจริงในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนี้ แล้วให้เราเลือกเอา คือเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อแค่นั้นเอง ไม่ใช่เลือกจะทำอันโน้น หรือทำอันนี้ บอกเลยว่าทำอะไรไม่เกี่ยวข้องเลย ต่อให้ทำดีเท่าไรก็ไม่ได้รับตามที่อยากได้หรอก ถ้าอยากได้ต้องเชื่อตรงนี้ จะเอาหรือไม่เชื่อ มี 2 อัน เอากลางๆ ได้ไหม? ไม่ได้ จะย้าย ก็ต้องย้ายเลย ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย ย้ายก็คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ยอมให้พระเจ้า ผ่าตัดเอากิ่งก้าน ตัวเรานั่นแหละ ออกจากต้นเดิม คือต้นของความบาป ต้นตระกูลของความบาป เรียกว่าต้นอาดัม ย้ายเรามาอยู่ต้นพระเยซูคริสต์ ในลำต้นพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้

พระเยซูยกตัวอย่างให้เป็นต้นไม้ เพื่อให้มนุษย์สามารถพอจะเห็นรางๆ ได้ว่าเป็นอย่างไร? และพระองค์ประกาศอย่างนี้ตลอด พระคัมภีร์ใหม่ก็ประกาศอย่างนี้แหละ

แต่ก่อนนี้  ผมก็ไม่เข้าใจ ผมก็นึกว่ามาเชื่อพระเยซูคริสต์ ต้องพยายามทำตัวเองให้ติดสนิทกับพระเจ้ามากๆ แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวเลย ผมจะทำดีมากเท่าไรในอดีต ผมจะอธิษฐานเยอะเท่าไรในอดีต ผมก็ติดสนิทกับพระเยซูคริสต์เท่าเดิมกับวันแรกที่พระองค์ดึงผมออกมาจากต้นไม้อาดัม ผมยอมและพระบิดาก็เอาผม ซึ่งเป็นกิ่งจากต้นอาดัม มาเสียบเข้ากับต้นของพระเยซูคริสต์ นั่นผมสนิทแล้วตั้งแต่นั้น แล้วก็ไม่สนิทกว่านั้น สนิทที่สุดเลย ผมเพียงต้องเรียนรู้ว่าผมสนิทกับพระเจ้า ผมกำลังอยู่ที่ไหน? ตำแหน่งใด? ผมไม่รู้ ผมเข้าใจผิด  นึกว่าพระเยซูกำลังสอนบอกว่า …

“พยายามติดสนิทกับเรานะ พยายามนะ พยายามมาโบสถ์นะ จะได้ติดสนิทกับพระเจ้า พยายามอธิษฐานจะได้ติดสนิทกับพระเจ้า พยายามอ่านพระคัมภีร์ จะได้ติดสนิทกับพระเจ้า”

ไม่ใช่พยายาม  การอธิษฐาน การมาโบสถ์เป็นประจำ การฟังถ้อยคำพระเจ้า การอ่านพระคัมภีร์มันดีทั้งหมด ดี เพื่อเรียนรู้ว่า … “ฉันติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว ที่สุดแล้ว ไม่มีสนิทกว่านี้แล้ว” เรียนรู้มันเป็นอย่างไร? ความเป็นจริงเป็นอย่างไร? แล้วพระเยซูก็มาสอนอยู่แค่นี้

ซึ่งสรุปใน 6 ข้อนี้ ก็คือเมื่อใครก็ตาม มนุษย์คนใดตัดสินใจเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือกำลังบอกว่า … “ฉันต้องการย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ คือในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ ฉันต้องการอย่างนี้” และนั่นคือสิ่งที่พระประสงค์ของพระเจ้ามีไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน คืออยากช่วย และมาช่วยแล้ว แค่รอให้มนุษย์คนนั้นตัดสินใจ ยอมให้พระองค์ช่วยเท่านั้นเอง

ฟังให้ดีๆ นะ ตัดสินใจยอมให้พระองค์ช่วย พระองค์มาช่วยแล้ว ยอมให้พระองค์ย้ายเขาออกมาจากอาณาจักรของความมืด หรือต้นไม้อาดัมนั่นเอง แค่เขายอมตัดสินใจ มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันทีในโลกวิญญาณ ทันทีเลยนะ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน  เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อตัดสินใจยอม และเปิดใจให้พระเจ้า พระบิดา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยอมเลย ย้ายเลย ฉันอยากจะย้ายแล้ว ทันทีทันใดนั้น ผู้นั้น ก็ได้อาศัยอยู่ ได้มีที่พำนัก สถานที่อยู่ในสวรรค์ ที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ทันที ต้องเน้นตรงนี้ “ทันที” ไม่ใช่ต้องรอตาย ทันที

ผมถึงบอกว่าเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าพิสูจน์ได้ เพราะมันเกิดขึ้นทันที เกิดขื้นในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณ อาจจะพิสูจน์ลำบาก แต่ในโลกวิญญาณ วิญญาณที่อยู่ในตัวท่าน ที่พระเจ้าได้มาสถิตอยู่ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ท่านจะรู้เองแหละ ตอนนี้ พิสูจน์ได้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น คนนั้น ก็จะอาศัยอยู่ที่นั่นแล้ว อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว ไม่ต้องพยายามอยู่ในสวรรค์ ไม่ต้องพยายามอยู่ในพระคริสต์ให้มันมากขึ้น มันอยู่แล้ว ก็อยู่เลย แล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว พระเยซูบอก … “ไม่มีใครมาเอาแกะออกไปจากคอกของเขาได้” ก็คือไม่มีใครมาเอาเราออกไปจากในพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ถ้าจะเอาเราออกไป พระเยซูก็ออกไปด้วย ไปได้ไหม? บางคนบอกทำบาปมากๆ หลุดออกจากสวรรค์ได้นะ  ถ้าเราหลุดออกจากสวรรค์ พระเยซูก็หลุดออกไปด้วยนะ เพราะพระเยซูกับเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้น เราเพียงแค่ พยายามรับรู้ เรียนรู้ว่าเราเป็นใคร? อยู่ในพระเยซูคริสต์สถานะเราเป็นเช่นไร? สภาพวิญญาณเราเป็นอย่างไร? พอรู้แล้ว มันก็ง่าย แล้วก็ประพฤติตามที่เรารู้นั้นว่าเราเป็นใคร? เราก็แค่ประพฤติตัวให้สม หรือสอดคล้องกับสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ คืออยู่ในสวรรค์ ในฝ่ายวิญญาณของเรา  คือเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว  ขณะนี้พลเมืองในสวรรค์เขาอยู่กันอย่างไร? เราก็อยู่อย่างนั้นแหละ เราจะอยู่ได้อย่างไร?  เราจะอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรู้ก่อนว่าเราอยู่ในสวรรค์จริงๆ ตอนนี้ ไม่ใช่เราแสวงหาที่จะอยู่ในสวรรค์ หาทางอยู่ในสวรรค์ ทั้งๆ ที่อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น ชาวเอสกิโม อยู่ขั้วโลกเหนือ สมมติย้ายมาประเทศไทย เป็นความฝันอันสูงสุดของเขาเลย ประเทศไทยอบอุ่น อุดมสมบูรณ์ มาอยู่ในประเทศไทย เหมือนอยู่ในสวรรค์เลย ใช่ไหม? แต่ปรากฏว่าย้ายมาอยู่ประเทศไทยปุ๊บ ยังไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลง คืนแรกตื่นขึ้นมา  ยังนึกว่าอยู่ที่ขั้วโลกเหนืออยู่ เสื้อหนังสัตว์ที่ใส่หนาๆ อยู่นั้น ก็ไม่เปลี่ยน กลัวหนาว ไม่กล้าออกไปไหน อยู่ในห้องอย่างเดียวเลย เพราะว่าเอสกิโม อยู่ในบ้านอิกกู เป็นเหมือนเต็นท์ทึบๆ กันลม กันความหนาว อย่างนี้เป็นต้น

เขาอยู่ในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยเขาอยู่สบายๆ ไม่ได้ต้องใส่หนังสัตว์ เพราะมันคุ้นเคย พระคัมภีร์จึงบอกให้เราสวมเสื้อผ้าในโลกวิญญาณ พอเรารู้แล้ว ให้เราสวมตัวตน ให้เหมือนกับวิญญาณที่เราเป็นอยู่ ให้เราถอดตัวเก่า เสื้อผ้านะ ไม่ใช่วิญญาณของเรา  ให้เราถอดเสื้อผ้า คือความประพฤติเก่าๆ ถอดมันออกไป แล้วก็สวมตัวใหม่  ตัวใหม่ที่มันเข้ากันกับวิญญาณใหม่ ที่เราเกิดใหม่แล้ว

เพราะฉะนั้น ก็คือเรียนรู้มากๆ เพื่อเราจะได้รู้ว่าฉันอยู่ในประเทศไทยแล้ว เอสกิโมคนนี้ จำเป็นต้องมีคนมาสอนเขา ไม่ใช่มาสอนเขาเรื่องวิธีการที่จะย้ายมาประเทศไทย เพราะเขาย้ายมาแล้ว ไม่ต้องบอกเขาว่า …

“คุณต้องโทรศัพท์ติดต่อสถานทูต คุณต้องขอวีซ่า เพื่อจะมาประเทศไทย  คุณต้องขอใบเกิดที่จะมาประเทศไทย คุณต้องทำอันนี้อันนั้น”

ไม่ต้อง เขาทำเสร็จหมดแล้ว เพราะตอนนี้เขาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ต้องสอนเขาว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร? เขาอยู่กันอย่างไร? เขาไม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ขนาดนี้ ใช่ไหม? เขาอยู่บ้านกัน 2 ชั้น ลมโกรกสบายๆ ไม่ต้องอยู่ในอิกกูต่อไปแล้วนะ  นี่คือสิ่งที่เขาควรจะเรียนรู้ว่ามันเป็นอย่างไร? เขาจะได้มีอิสระ อยู่ในประเทศไทย เดินออกไปจากบ้าน ใส่เสื้อม่อฮ่อมตัวเดียว  สบาย เย็น ไม่เคยมีอิสระอย่างนี้มาก่อนเลย ใส่เสื้อหนังหนักจะตาย ใช่ไหม? แล้วก็อยู่บ้านโปร่งๆ กล้าออกจากบ้านไปโน่นไปนี่ไปนั่น เรียนรู้จักเมืองไทยเยอะขึ้น  ไปจังหวัดนี้ก็ได้ ไปจังหวัดนั้นก็ได้ นึกว่าอยู่ในอิกกูอย่างเดียว ออกจากที่นั่นไม่ได้เลย เพราะไปไหนก็มีแต่หิมะทั้งสิ้น เปล่า มันเป็นอย่างนี้เองหรือ?

สิ่งเหล่านี้มาจากความจริง ที่เขาจะต้องเรียนรู้ ตอนที่เขามาอยู่ประเทศไทยแล้ว ก่อนเขามาอยู่ประเทศไทย เขาต้องเรียนรู้เรื่องวิธีเข้าประเทศไทยให้ได้  ทำอย่างไร?  แต่พอเขาเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ก็ไม่ต้องไปเรียนรู้เรื่องนั้นแล้ว  เรียนรู้ว่ามาอยู่แล้วตอนนี้ เขาอยู่กันอย่างไร? ถามใคร? ถามพ่อ คนที่ย้ายเรามาอยู่ อธิบายให้เราฟัง แล้วถามใครอีก? ถามพี่น้องเยอะแยะที่เขามาอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ข้างบ้าน อะไรต่างๆ เขาอยู่กันอย่างนี้ คือถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ด้วย

เราไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาทางที่จะไปอยู่ในสวรรค์อีกต่อไป แต่หาทางประพฤติตน ให้สมกับที่อยู่ในสวรรค์แล้ว พลเมืองสวรรค์เขาอยู่กันอย่างไรบนโลกใบนี้ ต่างหากที่สมควรจะเรียนรู้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถามว่าพวกเราที่ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว บอกว่าย้าย แสดงว่าเราต้องเคยอาศัยอยู่ที่ไหนที่หนึ่ง เหมือนเอสกิโม ที่ย้ายมาอยู่เมืองไทย แสดงว่าก่อนมาเมืองไทย เขาต้องย้ายมาจากที่ใดที่หนึ่ง ก่อนหน้านี้แน่ เรารู้ว่าเขาย้ายมาจากขั้วโลกเหนือ

และในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ เมื่อพระเยซูอธิบายให้เราฟังว่าเราต้องย้ายเข้ามาอยู่ในพระองค์ อาศัยอยู่ในพระองค์ ก็แสดงว่าแต่ก่อนนี้ เราอาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว ถึงจะเรียนรู้ว่าก่อนหน้านี้  เราอาศัยอยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความมืด ในอาดัม พินาศอยู่ แต่ตอนนี้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระองค์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว และมันเป็นความจริงในโลกวิญาณ มันเป็นความจริงว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องรักษาสถานะอยู่ในสวรรค์ เพราะมันอยู่ๆ แล้ว ไม่ต้องพยายามแสวงหาวิธีที่จะเข้าสวรรค์  เพราะอยู่ในสวรรค์แล้ว แสวงหาในการเรียนรู้ ให้มีความมั่นใจ รับรู้ว่า …

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วๆ ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็คือฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว”

ข้อสำคัญกว่านั้น ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ที่ตะกี้พระเยซูอธิบายให้ฟังแล้วว่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ไม่ใช่ฉันอยู่ในพระคริสต์ อาศัยอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น

“ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในฉัน”

เป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งมาก ต้องปฏิบัติอะไรให้มันได้ไหม? ต้องอธิษฐานเยอะๆ ไหม? สิ่งเหล่านี้มาจากอะไร?

“ฉันอาศัยอยู่ในพระเยซู เพราะฉันย้ายมาอยู่ในพระเยซู” ถูกไหม? “พระเยซูอยู่ในฉัน พระเยซูก็ย้ายมาอยู่ในฉัน เป็นหนึ่งเดียวกัน” ถูกไหม?

สิ่งเหล่านี้ … “เกิดจากฉันยอมเชื่อ  และให้พระเจ้าทำทุกอย่างหมดเลย ฉันแค่เปิดใจเชื่อในข่าวดีนี้  เชื่อในความจริง ในโลกวิญญาณที่พระเยซูประกาศให้ฉันฟัง แค่นั้นเองนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดนั้น การต่อกิ่งเข้าไปที่ลำต้นองุ่น การที่ฉันเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์อาศัยและสถิตอยู่ในฉัน เป็นสิ่งที่ฉันเชื่อและได้รับมา เป็นของขวัญ เป็นของประทานฟรีๆ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป ฉันก็อยู่ตรงนี้แหละ  มันเป็นความจริง”

“ฉันอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระคริสต์ก็อยู่ในฉันแล้ว ฉันอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อาศัยอยู่ในฉัน”

ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์ต้องพยายามไหมว่าจะอาศัยอยู่ในเรา? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าพระคริสต์ไม่ต้องพยายามอาศัยอยู่ในเรา เราก็ไม่ต้องพยายามอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะมันเป็นจริง มันเกิดแล้ว  พระเจ้าเป็นผู้ทำทั้งสิ้น  เอเมน

นี่คือความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ที่อุปมานี้ พูดถึงกิ่งก้านกับเถาองุ่น ซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่พระเยซูอธิษฐานขอในหนังสือยอห์น บทที่ 17 ด้วยเช่นเดียวกัน  ลองอ่านดูนะว่าความลึกซึ้งเป็นอย่างไร? ในยอห์น 17:20-23 คำว่า “พระคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์” นั้นเป็นอย่างไร? มันเป็นจริงอย่างไร? …

“ใครมีหูฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด ใครมีตาฝ่ายวิญญาณจงมองให้เห็นเถิด พระวิญญาณของพระเจ้าได้ประกาศให้ทราบ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ สวรรค์ของพระองค์อย่างนี้ว่า …”

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน  เพื่อพวกเขาเท่านั้น  แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อ บรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์  ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย  21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขา ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์  เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

พระเยซูได้อธิษฐานบอกว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น” หมายถึงพวกสาวกที่เดินอยู่กับพระองค์ในขณะนั้น สาวกทั้ง 12 คน แล้วผู้ใดที่เชื่อตามสาวกเหล่านี้ ในขณะที่พระองค์ยังไม่ได้ถูกตรึง ที่ไม้กางเขน

พระเยซูบอกว่า … “ข้าพระองค์อธิษฐาน  ไม่ใช่ให้กับพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้น แต่อธิษฐานเผื่อให้กับพวกบรรดาผู้เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขา ที่เขาประกาศข่าวดี”

ก็คือพวกเรานั่นแหละ พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ผู้เชื่อ อธิษฐานให้กับพวกเราผู้เชื่อว่าอย่างไร? ก็คืออธิษฐานให้กับพวกกิ่งก้าน ที่ยอมเชื่อพระเยซู ยอมเชื่อข่าวดี ยอมเชื่อกฎของพระวิญญาณ ยอมเชื่อสิ่งที่พระเยซูประกาศเรื่องสวรรค์ให้ฟัง

“เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงเป็นอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร? ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นแหละ”

เห็นหรือยังที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้ “เราอยู่ในพระเยซู พระเยซูอยู่ในเรา ตรงเป๊ะ พระเยซูอยู่ในพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ในพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูและก็อยู่ในพระเจ้า  และพระเจ้าพระเยซูก็อยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น”

“เกียรติสิริ” คือชีวิตของข้าพระองค์ คือชีวิตนิรันดร์  แสงสว่าง พระองค์บอกพระองค์เป็นแสงสว่าง พระองค์เป็นพระสิริ เกียรติสิริตรงนี้ คือชีวิตนิรันดร์นี้ ที่พระองค์ประทานให้กับข้าพระองค์ เมื่อตอนชุบข้าพระองค์ให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 เกียรติสิริอันนี้  ก็คือชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนกับตัวของพระเยซูเลย ที่เป็นขึ้นจากความตาย สภาพในวิญญาณของพระเยซู เป็นชีวิตนิรันดร์อย่างนี้ พระองค์บอกว่าอย่างไร? …

“ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว”

ใคร? คนที่ยอมเชื่อในข่าวดีนี้ และมาต่อติดกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็มอบชีวิตนิรันดร์นี้ให้กับเขาด้วย เขาก็เกิดใหม่กับข้าพระองค์ไปด้วยเลย พอมองเห็นไหมวิญญาณของเราเป็นสภาพเหมือนวิญญาณของพระเยซูเลย เรียกว่าเกียรติสิริ พระสิริ แสงสว่าง

“เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนข้าพระองค์กับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน”

“เป็นหนึ่งเดียวกัน” คือเป็นชนิดเดียวกัน  ไม่แตกต่างกันเลย เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนกัน

ข้อ 23 “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” ย้ำอีกทีหนึ่ง “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” พระเยซูบอกว่าพระเยซูอยู่ในพวกเขา อยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย “และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ พระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ อยู่ในพระเยซู ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์”

พระบิดาเอากิ่งก้านเหล่านั้น  ที่ยอมให้พระองค์ย้าย เอามาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับลูก และลูกเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เพราะฉะนั้น ท่านไปไหนก็ตาม ท่านอยู่ในสวรรค์ ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ ก็สถิตอยู่ในท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็อยู่ในท่าน 3 พระภาคนี้อยู่ในท่าน และท่านก็อยู่ใน 3 พระภาคนี้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

นี่เฉพาะสำหรับคนที่เชื่อแล้ว เป็นอย่างนี้ คือพระเยซูสถิตอยู่ด้วย ท่านเชื่อแล้ว ท่านไม่ต้องห่วงอะไรเลย นี่เป็นความเป็นจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บนโลกใบนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร? รู้สึกวันนี้พระเจ้าไม่อยู่ด้วย รู้สึกวันนี้หงุดหงิด รู้สึกวันนี้ทำไม่ดี รู้สึกอย่างนั้นไม่ดี แต่ถ้าวันใดที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจำวันนั้นได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ ท่านมอบชีวิตให้กับพระองค์แล้ว แค่นั้นเอง  ท่านได้ถูกย้ายเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกใดๆ ของท่านเลย บนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะรู้สึก พระองค์จะอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วยก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ด้วย พระเยซูสถิตอยู่ด้วย และคอยนำพาชีวิตท่านในทุกเสี้ยววินาที จะให้กำลังท่านในการที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ให้สติปัญญากับเราในการตัดสินใจ ในการเผชิญกับทุกๆ ปัญหา ในทุกๆ ครั้ง ให้สติปัญญากับเรา เป็นสติปัญญากับเรา ให้ความรัก เป็นความรักให้กับเรา ปลอบโยนจิตใจเราตลอดเวลา ยามเราทุกข์ยากลำบากตลอดเวลาเลยนะ ท่านจะสัมผัสได้หรือไม่ได้ ด้วยร่างกายก็แล้วแต่ แต่มันเป็นเช่นนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า และพระองค์จะเป็นสันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจให้กับท่าน เป็นความสงบ นำพาชีวิตท่านในทุกเสี้ยววินาที จากขณะนี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถึงแม้จะมีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ท่านจะมีกำลัง มีพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีกำลังที่จะปฏิเสธการทำบาป ทำชั่ว ทำไม่ดี ซึ่งเยอะแยะมากมายบนโลกใบนี้ ท่านจะกระทำดีได้มากขึ้นทุกวันๆ เพราะท่านได้รับกำลังและการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในท่าน และสิ่งที่ท่านทำนั้น มันจะออกมาจากใจแล้วคราวนี้ จากใจ จากวิญญาณท่าน ซึ่งเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี สมบูรณ์จากใจ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำท่านจากใจของท่าน ตามใจดีของท่านที่อยู่ในใจของท่าน ท่านก็จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ที่ท่านทำ ก็เป็นสิ่งที่ทุกๆ ความเชื่อ ทุกๆ ศาสนา ทุกๆ สังคมในโลกนี้อยากได้กัน ต้องการและพยายามทำด้วยตนเองกันอยู่ แต่ท่านสามารถทำได้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในท่านตลอดเวลา นำท่านให้ทำสิ่งเหล่านี้ จากใจ เป็นอิสรภาพ ทำจากใจ มีกำลังจะทำด้วย

นี่คือความหมายที่พระเยซูคริสต์บอก …

“ผู้ใดที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย พยายามทำดี พยายามด้วยตนเองมาหาเราเถิด เราเป็นแหล่งชีวิตนิรันดร์ที่จะให้ท่านทำดีด้วยใจ มีกำลังจากวิญญาณของท่านที่เกิดใหม่นั้น มาหาเราเถิด ท่านจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุขไปตลอดนิรันดร์”  เอเมน

พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

สำหรับข่าวสารที่พระเยซูประกาศไปถึงมนุษยชาติ บรรดาผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้ใช้สิทธินี้ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สิทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้ตัดสินใจ พระเยซูก็ส่งสารนี้ไปให้เขาหรือท่านว่า …

“โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดท้าย   โปรโมชั่นเที่ยวบินสุดพิเศษ  เที่ยวบินสายสวรรค์  บินสู่โลกใหม่ นักบินพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซู และผู้ดูแลบริการตลอดระยะทาง คือพระวิญญาณและเหล่าทูตสวรรค์ทั้งปวง จอดรับผู้โดยสารทุกสถานที่บนโลกนี้ และทุกเวลา ข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะค่าตั๋วเครื่องบินฟรี จ่ายเพียงความถ่อมตนเท่านั้น คือยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้หมดบาป พ้นบาปได้  จึงยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดจากบาป เต็มใจจ่ายความถ่อมตนนี้ แล้วขึ้นเครื่องได้ทันที ไม่จำกัดจำนวน หมดเขตโปรโมชั่นเมื่อมนุษย์คนนั้นตาย  วิญญาณออกจากร่าง หรือโลกนี้ดับสูญไป ตัดสินใจโดยด่วนนะครับ ก่อนหมดโปรฯ ลงชื่อ พระเยซูคริสต์ ผู้อำนวยการสายการบิน I am the way”

 

และสำหรับท่านที่ขึ้นเครื่องแล้วพระเยซู กล่าวต้อนรับท่านบนเครื่อง …

“ขอต้อนรับลูกๆ ทุกคนในพระคริสต์ เที่ยวบินสายสวรรค์สู่โลกใหม่ Rest in peace พักผ่อนวางใจในพระเจ้าพระบิดา หลับให้สบาย ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางให้สนุกสนาน อย่าเครียด อย่ากังวล บางครั้งอาจมีมืดมนบ้าง อากาศแปรปรวนบ้าง ตกหลุมอากาศบ้าง รัดเข็มขัดไว้ แล้วจงนิ่ง และรับรู้ว่านักบินผู้ควบคุมการบินอยู่ คือพระเจ้า พ่อผู้ให้กำเนิดท่านนั่นเอง”

 

นี่คือสารที่มาจากพี่ชายคนโตของเรา หัวหน้าครอบครัวใหญ่ของเรา คือพระเยซูคริสต์ กำลังบอกพวกเรา น้องๆ เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ เราอยู่ในหนทางสวรรค์แล้ว ย้ำอีกที เรากำลังอยู่ในหนทางที่ไปสู่โลกใหม่ รอจนกว่าโลกใบนี้มันจะดับสูญไปสิ้นสลายไป ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว เราจึง Rest in peace ได้แล้ว

 

พระเจ้าอวยพรครับ