วารสาร Holy News ฉบับที่ 1348

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มกราคม  2022

เรื่อง “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?”  ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้ผมใช้หัวข้อว่า “อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?” มันเป็นความจริง ที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ  แค่คิดแค่นี้  อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ก็คืออาณาจักรโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? เป็นอย่างไร?  เป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในทุกยุคทุกสมัยมาแล้ว ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปให้กับเรา หรือในยุคไหนก็ตาม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ แสวงหาทั้งหมดบนโลกใบนี้เลยทีเดียว คือการแสวงหาว่าในโลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร? ถูกไหม? แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์  มาสอนเรา มาอธิบายให้เราฟังว่าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?  แล้วจดบันทึกเอาไว้  ในพระคัมภีร์เรียกว่าพันธสัญญาใหม่  เราจึงมาเรียนรู้จักคำพูด คำอธิบายของพระเยซู พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ และพระองค์ ก็คือสวรรค์นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงมีหัวข้อนี้ อาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร? ใครๆ ก็อยากจะรู้

เราเชื่อในพระเยซูคริสต์  เราก็ไปเรียนรู้ได้ง่าย เพราะพระเยซูคริสต์พูดเสมอว่า …

“เราบอกความจริงให้กับท่านทั้งหลาย”

ก่อนจะพูด พระองค์ก็บอกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า”

ความจริงในที่ไหน?  ความจริงในโลกวิญญาณ  เราไม่ได้โกหกท่าน “เราบอกความจริง”

คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่ท่านมองไม่เห็น  แต่เรากำลังบอกความจริงว่าเรารู้จักโลกสวรรค์ โลกวิญญาณดี เพราะเราเป็นเจ้าของที่นั่น  เราคือสวรรค์นั้น

พระองค์พูดเสมอว่า “ความจริงจะทำให้เราเป็นไท” และเรากำลังพูดความจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์บอกว่าพระองค์นั้นแหละ คือความจริง เราคือความจริง  ก็คือเราคือสวรรค์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น เรากำลังเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าอาณาจักรวิญญาณ  ซึ่งเรารู้ตอนนี้แล้วว่าอาณาจักรวิญญาณ คืออาณาจักรสวรรค์ ที่มีผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม รู้จัก ทุกยุค ทุกสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ไม่ว่าจะมีความรู้ทางด้านสติปัญญามนุษย์มากน้อยเท่าใด ศิวิไลมากเท่าไรก็ตาม และมนุษย์ทุกคนรู้ดีในโลกวิญญาณ  มีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกวิญญาณ  และทุกคนก็บอกว่าผู้นั้น คือพระเจ้า

พระเจ้า คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสากลโลก เพียงแต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์กลุ่มนั้น ผู้นั้น ช่วงนั้น จะรู้จักโลกวิญญาณมากน้อยเพียงใด  มนุษย์แสวงหาตรงนี้อยู่แล้ว  เพราะรู้มีโลกวิญญาณอยู่ และโลกวิญญาณ มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ซึ่งถูกต้องตามความจริง ผู้นั้น คือพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถาน พระบิดาของพระเยซูคริสต์ และพระบิดาของเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกวิญญาณ

พระเยซูจึงเริ่มต้นอธิบายโลกวิญญาณ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ให้เราฟังว่า … “ให้เราแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงแก่ท่าน”

ก็หมายถึงโลกวัตถุ ที่เรากำลังหากัน จะกินจะอยู่อย่างไร? เอาไว้ก่อน มันไม่สำคัญมากนัก สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน จะตายเมื่อไร? ไม่รู้ จะเข้าไปสู่โลกวิญญาณเมื่อไร? ก็ไม่รู้ จะหมดลมหายใจเมื่อไรก็ไม่รู้ อันนี้สำคัญกว่า มันจะอยู่นิรันดร์ วิญญาณของท่าน เพราะฉะนั้น จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรทางโลกวิญญาณ อาณาจักรสวรรค์ ก่อนอื่นเลย มัทธิว 6:33 พระเยซูบอกไว้อย่างนี้ อย่าไปกังวลโลกใบนี้ โลกใบนี้มันอยู่ชั่วคราว มันกำลังจะสิ้นสุดไปแล้ว ไม่ต้องห่วง ห่วงอย่างเดียว ห่วงวิญญาณของเธอที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล หรืออยู่ในสวรรค์ที่ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล นั่นน่าห่วงมากกว่า ต้องเรียนรู้ตรงนี้

“จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์” ถามว่าเมื่อเรารู้ความจริง ตรงนี้แล้ว อาณาจักรสวรรค์ ก็คือตัวของพระองค์เอง จงแสวงหาว่าพระองค์ คือใคร? เราคือใคร? พระเยซูคริสต์ คือใคร? พระองค์กำลังมาบอกว่า …

“จงแสวงหา ให้รู้ว่าเรา เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์ทั้งหลายรอคอย  มาเป็นเวลาพันๆ ปีแล้วนั่นแหละ เราคือสวรรค์นั่นแหละ เราคือผู้ที่จะมาช่วยท่านให้เข้าสู่สวรรค์นั่นแหละ เราคือความชอบธรรม”

แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์

ความชอบธรรมของพระองค์ คือตัวของพระเยซูคริสต์เอง พระองค์เป็นความชอบธรรม

ความชอบธรรม คือความดีงาม บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ จงแสวงหาพระองค์นั่นแหละ

พอเราเรียนรู้จักโลกวิญญาณ เรียนรู้จักความจริงในถ้อยคำพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ที่อธิบายให้เราฟังถึงโลกวิญญาณ เราก็จะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอกมันสำคัญ

พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธว่ามีความจริงอยู่ในโลกวัตถุ พระองค์เป็นผู้สร้างวัตถุทุกอย่าง บนโลกใบนี้ มีกฎ มีเกณฑ์ เพราะฉะนั้น ความจริงจึงมีอยู่ในโลกวัตถุด้วย  และความจริง ก็มีอยู่ในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งสองอย่างเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ใครดำเนิน ตามกฎในความจริงนี้ ก็จะได้ประโยชน์ แต่โลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ที่เรียกว่าโลกใบนี้ กับโลกวิญญาณ ที่ตาเรามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเรามองไม่เห็น มันมีกฎ เป็นความจริงทั้งคู่ แต่มันแยกกันกระทำการงาน เอามาข้ามไปข้ามมาไม่ได้ ผู้ใดที่รู้ความจริงทั้งคู่ มีประโยชน์ทั้งคู่ ทั้งโลกนี้และโลกวิญญาณ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย  เพราะรู้แผนผังว่ากฎของบนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างไร? รู้ อะไรไม่ดีเลี่ยง อะไรดีทำ  กฎของโลกวิญญาณ ก็มีของเขา อะไรรู้ว่าเป็นประโยชน์ทำ อะไรรู้ว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ต้องทำ

เพราะฉะนั้น ความรู้ต้องมาก่อน ถูกไหม? พอรู้แล้ว ไม่มีเลือกผิดหรอก  รู้แล้ว เลือกถูกหมด เพราะรู้แล้วว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเรา ชัดๆ เลย  ก็ต้องเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์

การตั้งใจ พยายามทำตามกฎระเบียบ กฎหมายและศีลธรรมอันดีงาม ก็เป็นสิ่งที่ดี อย่างเช่นการพยายามลด ละ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังให้น้อยลง ดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ในทุกๆ ด้าน ที่เรียกว่าสันโดด ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นกฎของโลกใบนี้  เป็นสิ่งที่ดีมากด้วยซ้ำ และจำเป็นมาก สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อให้มีความสุขกาย สบายใจ ทุกข์น้อยลงได้ เรียกว่าได้รับพรบนโลกใบนี้  ได้รับพร สุขกาย สบายใจ เฉพาะบนโลกใบนี้ เพราะเหล่านี้เป็นกฎของโลกใบนี้ ถูกไหม? เรียกว่ากฎของการทำดีและทำชั่วนั่นเอง ถูกต้องเลยนะ ลดกิเลสได้มากเท่าไร? ก็มีสุขบนโลกมากเท่านั้น สุขกาย สบายใจมากขึ้นเท่านั้น นี่คือกฎ ใครทำตาม ก็ได้  ใครไม่ทำตาม ก็ไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เกิดผลใดๆ  การกระทำที่ว่ามาตะกี้นี้ทั้งหมด ไม่เกิดผลใดๆ กับทางโลกวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งโลกวิญญาณ พระเยซูบอกแล้ว มันสำคัญกว่ามากเลยทีเดียว

การลด  ละ  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ลด ละ กิเลส การทำชั่วบนโลกใบนี้ มันดีไหม? มันดีมาก ทุกคนควรจะพยายามฝึกฝน ทำให้ดีที่สุด มันจะได้ประโยชน์ เฉพาะการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับผลทางด้านโลกวิญญาณเลย โลกวิญญาณจะเกิดเป็นผล เรียกว่าผลทางโลกวิญญาณ มีอันเดียวที่พระเยซูบอก “ผล” ก็คือความรอด ในวิญญาณ ซึ่งมาโดยการรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณ และเชื่อตามความจริงนั้น และทำตามเท่านั้น

ทำตามกฎของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าวางไว้ในโลกวิญญาณมันมีจริง เหมือนกฎทางโลกวัตถุ ที่เราพูดถึง ลด ละ กิเลส ทำสิ่งที่ดีงาม พระเจ้าก็วางไว้ สำหรับกฎบนโลกวัตถุนี้ ใครทำถูกต้อง หว่านในสิ่งที่ดี ก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่ดี อันนี้เป็นกฎอยู่แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

เห็นไหมว่าเราถูกหลอก ให้ข้ามไป ข้ามมา ทำตามกฎของโลกวิญญาณ อยากให้มันเกิด ในโลกวัตถุ ได้ไหม? ไม่ได้  ทำในโลกวัตถุ แล้วก็อยากให้มันเกิดผลในโลกวิญญาณได้ไหม? ไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน พูดไป พูดมา มันง่ายมากเลย แต่ถ้าตาวิญญาณไม่ได้เปิดออกโดยพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน

ซึ่งการรับรู้ความจริง ทั้งของโลกนี้ และในโลกวิญญาณ มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทั้งคู่แน่นอน แต่พระเยซูตรัสไว้อย่างนี้ ใช่ไหมว่าอะไรสำคัญกว่า ยอห์น 6:63 พระวิญญาณประทานชีวิต พระเยซูตรัสว่าในโลกวิญญาณ ประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย เนื้อหนัง คือโลกวัตถุ เนื้อหนัง ไม่สำคัญอะไรมากนัก …

ยอห์น 6:63  “พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย  ถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่าน เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต”

 

สิ่งที่เราพูดให้กับท่าน คือกฎของวิญญาณและให้ชีวิต ให้เป็นประโยชน์ต่อท่าน ในโลกวิญญาณเท่านั้น เดี๋ยวเราฟังต่อไปว่าแล้วในโลกวัตถุ พระองค์ทรงช่วยเหลืออะไรเราบ้าง? ช่วยอยู่แล้ว แน่นอน ขนาดสิ่งสำคัญที่สุดในโลกวิญญาณ พระองค์ยังช่วยได้เลย ในโลกวัตถุช่วยได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น เรียนรู้ทั้ง 2 กฎ เชื่อและวางใจในพระเยซูด้วย เพื่อนำเราไปสู่โลกวิญญาณ  ผลที่เราจะได้รับ ก็คือไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า อยู่กับพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ว่าเราจะเข้าสวรรค์ผ่านทางพระองค์ ไม่พึ่งพาการกระทำดี บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นการกระทำตามกฎของโลกใบนี้ จะไปหวังอะไรในโลกวิญญาณไม่ได้  เพราะฉะนั้น เราควรจะเรียนรู้และพึ่งพาทั้ง 2 กฎ …

กฎแรก คือเรียนรู้และวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ในเรื่องโลกวิญญาณ ฉันไม่รู้ล่ะ ฉันพึ่งในพระเยซูคริสต์ และไปสวรรค์แน่นอน

กฎที่สอง คือเรียนรู้ที่จะทำตามกฎของโลกใบนี้ด้วย โดยการนำ การช่วยของพระเยซู ก็คือพยายามทำตามกฎของโลกนี้ โดยการช่วยเหลือของพระเยซู ที่บอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านอะไรก็ได้ตามนั้น

นี่คือกฎของโลกใบนี้ มันมีอยู่จริงๆ และเมื่อเราพึ่งในพระเยซู เราได้รับผลทางโลกวิญญาณ คือไปสวรรค์

การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ล่ะ พระเยซูก็จะช่วยเรา พยายามทำตามกฎระเบียบของโลกใบนี้ ก็คือทำตามศีลธรรมอันดีงาม เชื่อฟังต่อศีลธรรมอันดีงาม กฎหมาย บ้านเมือง ทำสิ่งที่ถูกต้อง เรียกว่าทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ ที่ดีที่สุดด้วย เพื่อความสงบสุข ทั้งกายและใจ ระหว่างที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

มันสำคัญทั้ง 2 กฎ เห็นไหม? ถามว่าพระเยซูช่วยเราอย่างไรบนโลกใบนี้ นี่ไง ก็ช่วยอย่างนี้แหละ เพราะว่าโลกใบนี้มันมีกฎของมันอยู่  เพราะฉะนั้น เมื่อโลกวิญญาณ ท่านได้รับความรอดไปสวรรค์แล้ว พระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน แล้วก็จะนำพาท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ใน 2 กฎเลย กฎของวิญญาณ ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว กฎบนโลกวัตถุ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็จะนำพาท่านด้วยสติปัญญาของพระองค์ ค่อยๆ สอนท่านให้เรียนรู้จักการดำเนินชีวิต ให้สอดคล้องกับกฎของโลกใบนี้ เพื่อท่านจะได้เก็บเกี่ยว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ชัดเจนเลย แยกกัน กฎใดเป็นกฎใด บางคนพึ่งพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วก็จริง ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อยู่ในกฎของมนุษย์ แต่เอากฎวิญญาณมาใช้

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉันมีชัยชนะ เหนือความชั่วร้ายทั้งหมดแล้ว”

เพราะฉะนั้น ขับรถ กฎหมายเขามีไว้ ไม่ให้เกิน 120  ขับเกิน 150 แล้วก็บอกพระเยซูช่วยด้วย

“พระเยซูอยู่ข้างๆ ฉัน อยู่ในตัวฉัน พระองค์ทรงช่วยเหลือฉันเสมอ ช่วยในวิญญาณไปแล้วด้วย  เพราะฉะนั้น ช่วยในโลกวัตถุนี้ด้วย ฉันจะละเมิดกฎของโลกใบนี้  คือขับรถเร็ว เขาให้ 120 ฉันเอาสัก 200”

พอเกิดอุบัติเหตุ ก็มาเรียกร้อง บอกว่าพระเยซูไม่เห็นช่วยเลย ถามใจท่านดูว่าพระองค์ทรงช่วยหรือยัง? ช่วย ช่วยทำอะไร? ไปสวรรค์ ไปตั้งแต่ท่านเชื่อแล้ว แต่มาช่วยทำอะไรตอนนั้น เตือนท่าน บอกท่าน ให้ลด ละ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้รู้จักกฎระเบียบ ถูกไหม? แล้วท่านเชื่อไหม? ท่านไม่เชื่อ ท่านก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น จากผลของการกระทำบนโลกใบนี้ทั้งหมด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หว่านสิ่งใด ได้สิ่งนั้น คริสเตียนโยนก้อนหินขึ้นไป หล่นลงมาไหม? หล่น คนไม่เป็นคริสเตียน โยนก้อนหินขึ้นไป หล่นลงมาไหม? หล่น คนเป็นคริสเตียนได้อยู่ในสวรรค์แล้วใช่ไหม? ใช่  แล้วโยนหินขึ้นไป ทำไมตกลงมา ก็เพราะว่ามันเป็นกฎของโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ เรียกว่ากฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จะทำดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม ถ้าทำถูกกฎของโลกใบนี้ มันก็ได้ตามกฎของโลกใบนี้นั่นแหละ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอีกกฎหนึ่ง

พระเยซูจึงประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ให้เชื่อและวางใจในพระองค์ เพราะพระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พระองค์ทรงทราบดีว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเขากระทำการอย่างไร? กฎของโลกสวรรค์เป็นอย่างไร? ไปถามใครเล่า? มนุษย์จะรู้ได้อย่างไร? หรือจะรู้ได้ดีมาก เท่ากับพระเยซูคริสต์เอง พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์  เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งโลกวิญญาณ และไม่ใช่โลกวิญญาณ คือทางโลกวัตถุนี้ พระองค์ทรงทราบ ไม่ใช่ทราบกฎอย่างเดียว พระองค์ทรงทราบ ทะลุเข้าไปถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ในวิญญาณ หรืออยู่บนโลกใบนี้ หรือจะแตะต้องมองเห็นได้ อะไรต่างๆ แม้กระทั่งกาลเวลา พระองค์ยังอยู่เหนือกาลเวลานั้นด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ไม่เชื่อพระองค์ แล้วจะไปเชื่อใคร?

พระเยซูจึงประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่คำแรกเริ่มต้นการงานของพระองค์บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ประกาศคำแรกเลย …

“กลับใจใหม่ซะ  อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว อาณาจักรสวรรค์มานี่แล้ว”

พระองค์นั่นแหละ คืออาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์เดินอยู่ท่ามกลางพวกท่านนั่นแหละ ท่านยังไม่รู้จักหรือ? นี่เรากำลังอธิบายอาณาจักรสวรรค์ให้กับท่าน ให้ท่านเชื่อและวางใจในเรา และจะได้รับความรอด ในโลกวิญญาณ คือรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายนั่นเอง

กำลังบอกว่า “เรามาเพื่ออธิบาย  เพื่อสำแดงสวรรค์ให้ทุกคนได้เห็นว่าในโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ และพวกท่านอยู่ในสภาวะตายในโลกวิญญาณถูกพิพากษา ต้องลงนรก  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไป ท่านกำลังถูกพิพากษาอยู่ และถูกพิพากษาตลอดไป ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือหรือการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตของท่าน หลังจากที่ท่านตายแล้ว ท่านก็จะอยู่ที่เดิมนั่นแหละ  อยู่ในความสาปแช่ง ในโลกวิญญาณ  ซึ่งท่านมองไม่เห็น”

ประกาศเรื่องเกี่ยวกับความจริงในโลกวิญญาณว่ามันเป็นอย่างไร? เหมือนครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ 2 ตอนไป เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

มันก็ต้องเรียนรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ในทุกแง่มุม เพื่อเราจะได้เข้าใจ และเห็นภาพโลกวิญญาณ หรือสวรรค์ของพระเจ้ามากขึ้น ชัดเจน และเราจะได้เป็นเครื่องมือของพระเจ้า เอาความจริงเหล่านั้น พูด อธิบายให้กับคนที่เขาไม่เข้าใจ ได้เข้าใจมากขึ้น พระเยซูก็จะพูดผ่านทางความรู้ที่เรามีอยู่ในตัวของเรานั่นแหละ

ในช่วงที่พระเยซูประกาศ ในตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปีนั้น ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์นี่แหละ ประกาศให้กับชาวยิว ตามแผนการที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ คือให้ชาวยิวเป็นหัวหอก เป็นกลุ่มแรกของมนุษย์ ชาวไม่ใช่ยิวทั้งหลาย ชนชาติทั้งหลาย รวมทั้งพวกเราคนไทยด้วย ประเทศอะไรก็ตาม เป็นกลุ่มที่ 2 ของมนุษย์ ที่จะรับรู้ในความจริง ในโลกวิญญาณ เรื่องนี้ เพื่อจะได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ เตรียมไว้ทั้งสองกลุ่มนั้นแหละ แต่เริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน ซึ่งแผนการนี้ เป็นแผนการที่เตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบแล้วว่ามนุษย์จะล้มลงไปในความบาป มวลมนุษยชาติจะตกลงไปในการล่อลวงของมาร ให้กบฏ ดื้อต่อพระเจ้า จะอยู่ด้วยตามลำพังของตนเอง  เชิญพระเจ้าออกไปจากชีวิต ทุกอย่างจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งทำไม่ได้ พระเจ้าทรงรู้แล้ว ก็เลยเตรียมไว้ นี่แหละก่อนสร้างโลก เตรียมการช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายที่ตกลงไปในความบาปเหล่านั้น ให้กลับคืนมาสู่อ้อมกอด มาสู่สวรรค์ของพระองค์ มาสู่พระสิริของพระองค์ เหมือนเดิม หลังจากที่บรรพบุรุษของเราได้กบฏต่อพระเจ้า ก็คือตกสวรรค์นั่นเอง หล่นออกนอกสวรรค์ คือไม่มีพระเจ้าแล้ว พระเยซู ก็คือผู้นั้น ผู้ที่พระเจ้าวางแผนการไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายนั่นเอง และแผนการนี้ เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าให้เริ่มต้น ประกาศให้ได้ทราบถึงข่าวดีนี้ ผ่านทางชาวยิวกลุ่มแรก และจากชาวยิวเสร็จปุ๊บ ก็มาประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิวต่อไป 2 พวก

เพราะฉะนั้น พระเยซูก็ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอเริ่มประกาศ 3 ปีนั้น ก็ประกาศให้พวกยิว เท่านั้น หลังจาก 3 ปี ทำงานเสร็จบนไม้กางเขน ไถ่บาปให้มนุษย์เสร็จเรียบร้อย  เกิดผลในโลกวิญญาณแล้ว พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปอยู่ในสวรรค์ และเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ทุกคน  ที่เชื่อในข่าวดีนี้ ต้อนรับพระองค์เข้าไปสถิตอยู่ปุ๊บ พระองค์ก็อธิบายต่อ สอนต่อ เหมือนเดิม เหมือนสอนชาวยิว แต่คราวนี้ ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียว  เอาไปสอนคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวด้วย ทั้งหมดเลย จนสิ้นยุค จนสิ้นโลก

เพราะฉะนั้น  ใครเป็นคนสอน ก็คือพระเยซูเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่พระเยซูทำผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกอัครทูตทั้งหลาย และทูตทั้งหลาย ก็คือผู้นำข่าวดีทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง มากหรือน้อย ก็แล้วแต่ แต่พระเยซูสถิตอยู่ในเขา แล้วประกาศอย่างนี้อีกต่อไป เหมือนกับผมนั่งอยู่นี่ พระเยซูก็กำลังประกาศเรื่องเดิมนั่นแหละ เรื่องสวรรค์เป็นเช่นไร? มาเชื่อเรา แล้วจะได้ไปสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างนี้จริงๆ เราจะอธิบายเรื่องสวรรค์ให้ท่านฟัง มันเป็นอย่างนั้น

นึกถึงภาพ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็สอน  กำลังสอนชาวยิว ซึ่งหลังจากนั้น 3 ปี จึงค่อยมาสอนพวกเรา ผู้ที่ไม่ใช่ยิว อย่างเช่นในยอห์น 3:16-18 พระเยซูก็มาประกาศว่าในสวรรค์เป็นอย่างไร? ในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? มนุษย์อยู่ในสภาวะอย่างไรในโลกวิญญาณ? ทำไมพระเจ้าทรงเตรียมพระบุตร สละชีวิตลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยพวกท่าน เพราะพวกท่านอยู่ ณ ตำแหน่งใดในโลกวิญญาณ  ในขณะนี้  มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาวะใดในขณะนี้ ถึงต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า  และเมื่อถึงเวลา พระเจ้าจึงส่งเราลงมา เพื่อช่วยท่านทั้งหลาย ก็แสดงว่าท่านต้องการความช่วยเหลืออย่างแน่นอน ถ้ามิฉะนั้น พระเจ้าคงไม่ส่งเรามา เราลองอ่านดู …

ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษ มนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

 

เวลาอ่าน ทำความเข้าใจ ตั้งสติไว้ที่ เบอร์ 1 คือกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ไม่รู้ล่ะ เกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ หรือเรียกว่าในสวรรค์ หรือเรียกว่าในวิญญาณ  อย่าใช้สติปัญญา ที่เราใช้กับกฎของโลกใบนี้ คือโลกวัตถุ มันใช้กันไม่ได้ นึกในใจว่ามันคือโลกวิญญาณ เป็นอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณก็จะนำท่านไป ถึงความจริงมากขึ้นนั่นเอง

และเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมอธิบายให้ฟังว่าพระเยซูประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ อธิบายเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ให้กับชาวยิวในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนใลกใบนี้ และให้กับชาวต่างชาติทั้งหลาย ทั้งหมด จนมาถึงทุกวันนี้ จนถึงสิ้นยุค ผ่านทางการสถิตอยู่ของพระองค์ในผู้เชื่อทั้งหลายนั้น เริ่มต้นจากอัครทูตทั้งหลาย  พระองค์พูดสิ่งเดียวกัน  และสิ่งเดียวกันที่พูดนี้ มีอยู่แค่ 4 ประเด็นเอง …

ประเด็นแรก คือพระองค์มาประกาศว่าสวรรค์เป็นเช่นไร? โลกวิญญาณนั้นเป็นเช่นไร? ถูกไหม? โลกวิญญาณ คือมนุษย์ตกสวรรค์อยู่ “ตกสวรรค์” ก็แปลว่าอยู่ในความบาป อยู่ในความพินาศ อะไรบางอย่างที่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ทั้งหมดนั้นแหละ มนุษย์อยู่ตรงนั้น จะเรียกว่าบึงไฟนรก จะเรียกว่าพินาศ จะเรียกว่าความตาย อะไรที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พระเจ้าดีงาม  มนุษย์ตกอยู่ในความชั่วร้าย พระเจ้าเป็นความสว่าง มนุษย์ตกอยู่ในความมืด พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ มนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์  ก็คือเป็นคนบาป

ประเด็นที่ 2 เมื่อมนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์ไม่สามารถพึ่งพาการกระทำของตนเอง ให้กลายเป็นคนดีได้ เป็นไปไม่ได้เลย เอาอูฐเข้ารูเข็มยังง่ายกว่า มนุษย์ต้องเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะทำได้ ถ้าทำด้วยตัวเอง มันเกิดได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้

ประเด็นที่ 3 คือเมื่อทำไม่ได้ แล้วจะพึ่งใคร? ก็นี่ไง พระเจ้าส่งเรามาช่วย เพราะเจ้าทำด้วยตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ทำให้ตัวเองเกิดใหม่ก็ไม่ได้ พระเจ้าจึงส่งเรามาช่วยไง จงมาวางใจในเรา เชื่อในเรา พระผู้ช่วยให้รอด หรือเรียกว่าพระมาซีฮาห์ หรือพระคริสต์นั่นแหละ ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ บอกตั้งแต่โน้นมาแล้ว เผยพระวจนะมาก่อนหน้านั้นแล้ว

ประเด็นที่ 4 คือเมื่อเชื่อแล้ว เมื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ เจ้าจะถูกย้ายออกมาจากที่เดิม มาอยู่ที่ใหม่ มาอาศัยอยู่ในเรา “เรา” คือสวรรค์ เจ้าจะถูกย้ายเข้ามา  อยู่ในสวรรค์ทันที

จบข่าวดี ฮาเลลูยา เชิญท่านเลือกเอา จะรับซื้อหรือไม่รับซื้อ จะรับหรือไม่รับ? ในที่นี้ต้องรับอยู่แล้ว แต่คนอื่นที่อยู่นอกโบสถ์ ก็ไม่รู้ ก็ต้องฟัง ก็ต้อง …

“เอ๊ะ! มันจริงหรือเปล่า?”

พระเยซูรู้ว่าเราคิดอย่างไร? มนุษย์ทุกคน … “มันจริงหรือไม่? มันจะจริงหรือ? คนเราถ้าไม่พึ่งพาตนเอง มันจะไปรอดหรือ?”

พระเยซูคริสต์รู้แล้ว เราจะคิดอะไร? พระองค์จึงบอกว่า … “เราบอกความจริงกับท่าน นี่คือความจริงๆ ไปอ่านดูได้ นี่มันจริงๆ เราคือความจริง และความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เป็นไท”

ลองมาดูเมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน ยอห์น 3:16-18 ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ เห็นไหมครับ?  ถ้าไม่เช่นนั้น ท่านก็จะอยู่ในความพินาศ ตายนิรันดร์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น นี่ข้อ 16 ท่านจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนกับพระองค์ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านเชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ มาช่วยเหลือท่าน ถ้าท่านไม่ได้รับความช่วยเหลือ ท่านตายนิรันดร์ ในโลกวิญญาณ

ข้อ 17 ตอนท้ายบอกว่า “แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ โดยทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์” นี่คือเหตุที่พระเจ้าส่งมนุษย์ผู้หนึ่ง ที่เรียกว่าพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นมนุษย์ผู้เดียว ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในหญิงพรหมจารี บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีบาป  ไม่มีเชื้อบาปเลย เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์

ถ้าบันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความช่วยเหลือนั่นเอง หมดหนทางแล้วไง ถูกไหม? แต่ก็ยังมีคนไม่รู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าบอกความจริงแล้วว่าไม่มีทาง เราจึงส่งคนมาช่วย เจ้าไม่มีทางที่จะพาตัวเองไปสวรรค์ได้ แต่มนุษย์คนนั้น ถูกหลอก เขายังคิดว่าโดยการพึ่งพาในการกระทำของตนเอง บนโลกใบนี้ คือจะให้เกิดผลในโลกวิญญาณ เพื่อได้รับความรอดในโลกวิญญาณให้ได้เลย ฝืนให้ได้  ถูกหลอก ถึงขนาด หลอกให้ทำทุกอย่าง อดทน ลด ละ กิเลสตัณหา ให้มากที่สุด รักษาศีลธรรมให้ดีที่สุด รักษาความดีให้มากที่สุด ทำชั่วให้น้อยที่สุด ซึ่งมีประโยชน์ มีสันติสุข มีความสุขกาย สบายใจบนโลกใบนี้ แน่นอน แต่เขาหวังว่ามันจะเกิดในโลกวิญญาณว่าเมื่อตายไปแล้ว หลังความตาย เขาจะได้ไปสวรรค์ และถ้าเขาไม่แน่ใจว่าได้ไปสวรรค์ เขาก็จะถูกหลอกต่อว่าและไปสวรรค์นั้น ยังไม่แน่ใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะตายไป เราก็จะมาเกิดใหม่ แล้วเราจะสร้างความดี ผสมประสานบวกความดีไปเรื่อยๆ ทุกๆ ชาติไป อันนี้ต้องขออภัยนะ ถ้าเกิดไปกระทบกับความเชื่อของท่านใด ที่เป็นคำกล่าว อธิบายของพระเยซู

ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ว่ามนุษย์พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่ได้เลย ผมก็พูดตามนั้น  เพื่อให้ท่านเลือก ที่จะรับเอากฎนี้ เข้าไปพิจารณาในชีวิตของท่านหรือไม่? สิ่งที่ท่านทำอยู่แล้ว มันดี มีประโยชน์มากๆ เลย คือการลด ละ กิเลส พระเยซูก็สอนให้เราลด ละ กิเลส ในพระคัมภีร์ก็สอน ให้พยายามควบคุมเนื้อหนัง ควบคุมเมื่อเราเชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว เราก็ต้องควบคุมเนื้อหนัง ควบคุมความประพฤติของเราให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ เกิดสันติสุขบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนก็ทราบดี และใครทำได้ ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง สรรเสริญ  เป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อยู่อย่างสันติสุข มนุษย์ทุกคนไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ บนโลกใบนี้แน่นอน แต่ในโลกวิญญาณที่สำคัญกว่า พระเยซูกำลังบอกอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เมื่อข่าวดีมาถึงท่าน มาอยู่ต่อหน้าท่าน อย่าเพิ่งไปลบ อย่าเพิ่งไปทิ้ง อย่าเพิ่งไปปฏิเสธ อย่าเพิ่งกล่าวหาว่าผู้ที่มาพูดความจริงนั้น กำลังตำหนิ ว่าท่าน มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

ในข้อ 18 ยิ่งชัดใหญ่เลย “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์  จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ” ก็คือถูกช่วยย้ายออกมาจากความพินาศ มาสู่สวรรค์นั่นเอง  ถูกย้ายออกมาจากความมืด มาอยู่อาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ “ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจในการช่วยให้รอดของพระเยซู ก็ถูกพิพากษาลงโทษในความผิดบาป ในความตายเหมือนเดิม อยู่แล้ว ก็คือพระเยซูไม่ได้มาซ้ำเติม ให้เขาโดนลงโทษมากกว่านั้น อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่แล้ว พูดง่ายๆ มนุษย์ทุกคนเหมือนเกิดมาอยู่ในนรกอยู่แล้ว ถ้าไม่รับความช่วยเหลือ ก็อยู่ที่เดิม

อยู่ที่เดิม เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่พระเยซูคริสต์ตรัสเอง พูดเอง นี่คือความจริง ก่อนจะพูด พระองค์ก็บอกแล้วว่านี่คือความจริง ความจริงเท่านั้น ที่เราพูดกับท่าน ความจริงๆ

พระเยซูกำลังประกาศ แสดงถึงอาณาจักรสวรรค์ว่ามันเป็นเช่นไร? ก็เหมือนชื่อเรื่องในวันนี้ อาณาจักรสวรรค์นั้น เป็นเช่นไร? นี่คือความจริงเกี่ยวกับเรื่องอาณาจักรสวรรค์ แล้วพระเยซูก็จะประกาศอย่างนี้ ไปตลอด จนกระทั่งสิ้นยุค ประกาศตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้เลย 3 ปี หลังจาก 3 ปีนั้น ประกาศผ่านทางผู้เชื่อทั้งหลาย ตั้งแต่อัครทูต จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ และจนกระทั่งถึงสิ้นสุดโลกใบนี้ พระองค์ก็จะพูด 4 ประเด็นนี้ คือประกาศให้รู้ถึงเรื่องอาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร?

เราลองมาดูเรื่องนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่พระเยซูประกาศตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี ที่ประกาศเริ่มต้น  ในหนังสือมัทธิว 12:33-37 ก่อนอ่านอย่าลืมนะ คิดไปที่อะไรเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณในสวรรค์บ้าง? พื้นฐานอยู่ตรงนี้ แล้วพระองค์อธิบาย ประกาศให้เราเห็นถึงอาณาจักรสวรรค์ ใน 4 ประเด็นนี้แน่นอน

อ่าน จบแล้ว ผมจะถามว่าท่านคิดว่าอยู่ในประเด็นไหน? ตอนนี้ ที่พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว  รู้แล้วนะ พูดกับชาวยิวหมายถึงพูดกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ชาวยิวเป็นตุ๊กตาเท่านั้นเอง  คิดไว้ เดี๋ยวผมถามตอนจบ 4 ประเด็นจำได้ไหมมีอะไรบ้าง? …

ประเด็นที่ 1 คือมนุษย์เป็นคนบาป เกิดมาเป็นบาป ทำอะไรก็บาป ไม่มีทางเป็นคนดีได้เลย

มนุษย์ตอนนี้อยู่ที่ไหน? เป็นคนบาป ถูกสาปแช่งอยู่

ประเด็นที่ 2 คือมนุษย์ไม่สามารถช่วยตัวเองให้หายบาปได้  ต้องพึ่งพระเยซูเท่านั้น

มนุษย์เมื่อเป็นคนบาป ก็ช่วยตัวเองไม่ได้ ทำดีให้ตาย ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดใหม่ได้

ประเด็นที่ 3 คือพระเยซูทำให้ท่านได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์

มนุษย์จะเกิดใหม่จากการเป็นคนบาป ต้องกลายเป็นคนดี ต้องเกิดใหม่ เกิดใหม่ไม่ได้ ก็ต้องหาผู้ที่จะสามารถช่วยมนุษย์เกิดใหม่ได้ ก็คือพระองค์สำแดงว่าพระองค์นั่นแหละ ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ได้ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์

ประเด็นที่ 4 คือเมื่อท่านมาเชื่อเราแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น เราจะย้ายท่านมาอยู่ในสวรรค์

สี่ประเด็นนี้ ลองอ่าน มัทธิว 12:33-37 …

มัทธิว 12:33-37 “33 ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดีผลออกมาก็จะดี หรือทำต้นไม้ให้เลวติดเชื้อโรค ผลออกมาก็จะเลว เพราะว่าเราจะรู้จักและตัดสินต้นไม้ว่าดีหรือเลว ก็ด้วยผลของมัน (ถ้าวิญญาณภายในสมบูรณ์ดี ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูผู้เป็นความดี ถ้าวิญญาณภายในเลวติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู) 34 โอ พวกชนชาติงูร้าย ท่านทั้งหลายเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้น พูดสิ่งที่ล้นมาจากใจ (โอ้ มนุษย์ ซึ่งตกอยู่ในความบาปในตระกูลของอาดัม ท่านทั้งหลายติดเชื้อโรคบาปเป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณ จะพูดเป็นมิตรยอมรับเราได้อย่างไร เพราะที่ท่านพูดต่อต้านปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาปเป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเราผู้เป็นความชอบธรรมความดีของพระเจ้า) 35 คนดีก็นำสิ่งดีออกมาจากคลังแห่งความดีภายในตัวของเขา คนชั่วก็นำของชั่วออกมาจากคลังแห่งความชั่วภายในตัวของเขา (คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเขา) 36 ส่วนเราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษามนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นเป็นประโยชน์ต่อตนเอง (เป็นผลเลว) ในทุกคำที่พูดนั้น (ส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา ไม่เชื่อในตัวเรา เป็นศัตรู ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ เพราะท่านไม่ยอมรับผู้เดียวที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากโทษของความบาป) 37 เพราะว่าพวกท่านจะพ้นผิด เป็นผู้ชอบธรรมหรือเป็นคนบาป ถูกตัดสินลงโทษ ก็เพราะคำพูดของท่าน (ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปที่อยู่ในตัวท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธ หรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูหรือไม่)”

 

นึกถึงภาพพระเยซูคริสต์ ประกาศถึงความจริงในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่พระองค์เตรียมแผนการไว้ตั้งหลายพันปีก่อนสร้างโลก สละตัวเอง เพื่อมาช่วยมนุษย์ เพราะรัก เพราะฉะนั้น เวลาอ่าน และพระเยซูประกาศ พูดสิ่งเหล่านี้ บนพื้นฐานของความรักอย่างมากมาย สละสภาพพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายที่ไม้กางเขน ต้องคิดอย่างนั้น ว่าด้วยความรัก ภาษาเขียน บางครั้งอ่านออกมา รู้สึกมันไม่เข้าใจ เหมือนกับมันรุนแรง เหมือนด่าว่ากล่าวอะไรต่างๆ กระแทกกระทั้น แต่จำไว้ว่าทั้งหมด บนพื้นฐานแห่งความรักทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อ่านในมุมมองของความรู้ทางโลกวิญญาณด้วยว่าพระองค์มาช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความรัก ไม่ได้มาทับถม พระองค์บอกว่าไม้อ้ออ่อน พระองค์จะไม่หัก  ก็คือมนุษย์แย่อยู่แล้ว มาช่วยอย่างเดียว

มาดูสิเป็นอย่างไร? พระองค์เริ่มพูด ยกตัวอย่างสิ่งรอบข้างของคนยิว ที่เห็นอยู่แถวนั้น จะรู้ทันที ถ้าทำต้นไม้ให้สมบูรณ์ดี ผลออกมา ก็จะดี หมายถึงอะไร? ถ้าวิญญาณ ภายในมันสมบูรณ์ดีนะ ก็จะส่งผลดี คือเชื่อและเป็นมิตรกับพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความดี กำลังบอกว่าในวิญญาณกับข้างนอก มันสำคัญกว่ากันเยอะ  ถ้าวิญญาณภายในเลว ติดเชื้อโรคบาปชั่ว ก็จะส่งผลเลว คือต่อต้าน ปฏิเสธ เป็นศัตรูกับพระเยซู ก็คือกับพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าส่งพระเยซู พระเยซูเป็นพระบุตร พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ต่อต้านกับพระเจ้า คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ก็คือเป็นบาปอยู่ กำลังบอกว่ามนุษย์อยู่ในบาป ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำวิญญาณให้บังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในบาปแน่นอน

ต่อไปในข้อ 34 บอก “โอ้! พวกชนชาติงูร้าย” ก็หมายถึงโอ้! มนุษย์  ซึ่งตกอยู่ในความบาป  ในตระกูลของอาดัม บรรพบุรุษทั้งหลาย ที่ติดเชื้อโรคบาป  เป็นคนบาป คนชั่วในวิญญาณอยู่ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด ข้างในวิญญาณ ซึ่งสำคัญมาก เป็นตัวกำหนดชีวิตของท่าน เป็นตัวตนแท้ๆ ของท่าน จะพูดเป็นมิตร ยอมรับเราได้อย่างไร?  เพราะที่พูดต่อต้าน ปฏิเสธเรานั้น ก็เพราะในใจของท่านเป็นบาป  เป็นศัตรูกับเรา ต่อต้านปฏิเสธเรา ซึ่งเป็นความชอบธรรม เป็นความดีงามของพระเจ้า คือท่านปฏิเสธความชอบธรรม ก็คือท่านอยู่คนละขั้ว ท่านอยู่ในที่มืด ท่านยังไม่รู้จักแสงสว่าง เข้ากับแสงสว่างไม่ได้ เจอแสงสว่าง ความมืดก็จะสูญสิ้นหายไป ท่านเป็นคนบาป คนบาปนี้ แปลว่าเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า

คลังแห่งความดีในวิญญาณของเขา หรือคลังแห่งความชั่วในวิญญาณของเรา คลังแห่งวิญญาณ ก็คือวิญญาณดี สิ่งออกมาจากข้างในวิญญาณ มันก็ดี วิญญาณไม่ดี สิ่งออกมาจากข้างในใจ ก็ไม่ดี คำว่า “ดี” “ไม่ดี” นี้เกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น คือถ้าวิญญาณดี ส่งผลออกมาจากปาก ก็จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นสิ่งดีงาม  แต่ถ้าในใจชั่ว ก็จะปฏิเสธพระเยซู

ข้อ 36 “เราบอกพวกท่านว่าในวันพิพากษา” นี่พูดถึงโลกวิญญาณแล้วนะ วันพิพากษา คือวันที่มนุษย์คนนั้นทิ้งร่างกายนี้  วิญญาณเขาออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกวิญญาณ  เข้าสู่มิติของสวรรค์ หรือวันที่มนุษย์ทั้งโลก ทั้งหมด รวมทั้งวัตถุทั้งหมดบนโลกใบนี้  สรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ทั้งดวงดาว ดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์สูญสิ้น หมดไป มี 2 วัน ในวันนั้น เราบอกความจริงว่าในวันพิพากษา มนุษย์จะต้องรับผิดชอบ ต่อถ้อยคำเหล่านั้น ที่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อต้าน เป็นผลเลวให้กับเขา

ก็คือส่วนเราบอกท่านว่าทุกคำที่เป็นผลเลว ซึ่งท่านพูดต่อต้านเรา คือไม่เชื่อเรานั้น เป็นศัตรู ปฏิเสธเรา ไม่บังเกิดใหม่ ไม่ยอมรับเรา คือท่านไม่ได้รอดจากบาป ท่านยังคงอยู่ในความพินาศ การกระทำของท่านด้วยคำพูด ที่ไม่ยอมรับเรา ผู้ช่วยให้รอดนั้น จะทำให้ท่านถูกพิพากษาลงโทษ ในวันพิพากษานั่นแหละ เพราะท่านไม่ได้ยอมรับผู้เดียว ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านให้รอด จากโทษของความบาป ก็คือตัวเรานั่นเอง ท่านยังคงไปพึ่งตนเองอยู่

ในข้อ 37 พระองค์ก็สรุปตรงนี้บอกว่า “ฉะนั้น ท่านจะรอดจากการพิพากษาลงโทษ เพราะคำพูดของท่าน ในวิญญาณของท่านหรือไม่?” ก็คือท่านจะรอดไปอยู่ในสวรรค์ ตอนที่ท่านตายหรือไม่?  ตอนที่ท่านตายจากโลกใบนี้  และเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณหรือไม่? หรือท่านจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตอนที่ท่านตายไปพร้อมๆ กับโลกใบนี้ ทุกคนบนโลกใบนี้ จบสิ้น บนโลกใบนี้ เข้าสู่โลกวิญญาณอย่างเดียวนั้นหรือเปล่า? ขึ้นอยู่กับท่านปฏิเสธหรือยอมรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมาช่วยท่านหรือไม่?  นี่ประกาศชัดเจน

ตอบสิว่าอยู่ในประเด็นไหน? ที่พระเยซูอธิบายบริบทตรงนี้ พระองค์ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ในโลกวิญญาณถึงประเด็นไหน? 4 ประเด็น นึกออกหรือยัง?

(1) มนุษย์อยู่ในความบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อยู่ในประเด็นที่ 1 ถูกไหม?

(2) ช่วยตัวเองไม่ได้

(3) ให้มาวางใจในพระองค์ซะ

ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นอันดับ 4  … อันดับ 4 เพียงบอกว่าผ่านทางพระองค์ แล้วจะได้รับความรอด แต่ยังไม่ได้บอกว่าความรอดเป็นเช่นไร? อธิบายทีหลัง ตอนที่พระคัมภีร์ใหม่เกิดขึ้น ตอนที่พระองค์เข้าไปสอนมนุษย์ผ่านทางอัครทูต และบอกว่าการบังเกิดใหม่ รอดแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ แล้วก็บอกรายละเอียดเรื่องโลกวิญญาณมากขึ้นต่อเนื่องจากนี้ แต่นี่คือสิ่งที่สำคัญ ที่พระเยซูประกาศตั้งแต่แรกเลย

พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล พระองค์ทรงยุติธรรมมาก บริสุทธิ์ ไม่ลำเอียง ดูแลกฎระเบียบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกฎของโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ หรือกฎทางด้านวิญญาณก็ตาม พระองค์ควบคุมโดยฤทธิ์เดชอำนาจ แห่งความกริ้ว ไม่ใช่นะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์ทรงดูแลกฎระเบียบ ความยุติธรรมทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความรัก ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ พระองค์ดูแล ให้ความยุติธรรมกับคนทั้งปวง ไม่ว่าในโลกที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ด้วยความรัก และความยุติธรรม

ยกตัวอย่าง เช่นเรื่องแรงดึงดูดของโลก ถ้าท่านไม่เชื่อเรื่องแรงดึงดูดของโลก แล้วขึ้นไปบนที่สูง ประมาท ท่านก็ตกลงมา ขอพระเจ้าช่วย แล้วไม่ตกไหม? มันก็ตกอยู่ดี นี่คือความยุติธรรม พระเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือคุณให้พ้นจากแรงดึงดูดของโลกได้ แต่พระองค์พยายามที่สุด ที่จะเตือนคุณก่อนหน้านั้นแล้ว อย่าล้อเล่นนะ อย่าท้าทายนะ อย่าดื้อนะ อย่าไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพต่อกฎที่มีอยู่นะ ให้เคารพกฎนี้นะ ในกรณีนี้ พูดถึงกฎของโลกวัตถุ เตือนไหม? เตือนสิ ก็คือย่าประมาทนะ บอกให้ใส่เซฟตี้ ก็ใส่นะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ถ้าคุณไม่เชื่อ คือคุณกำลังท้าทาย ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าเป็นจริงๆ อย่างนั้น คนที่ไม่เชื่อ ก็จะได้รับโทษ จากการละเมิดกฎเหล่านี้ ใช่หรือไม่? ถูกไหม? ไม่ว่าคนๆ นั้นจะทำดีหรือไม่ดี เป็นคนดีหรือคนเลวมากน้อยเท่าไรก็ตาม ไม่เกี่ยวกันเลย ต่างก็ได้รับผลของการกระทำ ตามกฎนี้ ซึ่งเป็นกฎของโลกวัตถุนี้ ใช่หรือไม่?

จะบอกว่า “ฉันทำดีมากมาย และเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ มีความเมตตามากเลย เพราะฉะนั้น เรือแตก ฉันไม่ควรจะจมน้ำ  แรงดึงดูดของโลกจะดูดฉันลงน้ำไม่ได้ ฉันไม่ควรโดนแรงดึงดูด ไม่เหมือนคนข้างๆ ฉัน  เป็นโจร เป็นคนเพิ่งออกจากคุกตาราง มา 4 – 5  ครั้งแล้ว เลวกว่าฉันเยอะเลย อย่างนั้นสมควรโดนดูด ให้ตายไปซะ”

ไม่เกี่ยวเลย ทั้งคู่กำลังอยู่ในกฎของแรงดึงดูดของโลก กฎของโลกวัตถุกนี้เท่าๆ กัน จริงหรือไม่?

“ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยโกหกใครเลย เพราะฉะนั้น ฟ้าไม่ควรผ่าฉันเลย ฟ้าผ่าเฉพาะคนที่โกหก หลอกลวง ฉันไม่เคยเลย ฉันเป็นคนดีบริสุทธิ์ ทำไมฉันถูกฟ้าผ่า”

“เพราะอะไร?”

“เพราะฉันถือมือถือ กำลังโทรศัพท์อยู่ตอนฝนตก” สมมตินะ

“เพราะฉันรู้ถึงกฎของวิญญาณว่าให้เป็นคนสัตย์ซื่อ ถึงจะมีความสุข มีสันติสุขในโลกใบนี้ ฉันได้จริงหรือเปล่า? ฉันได้จริง แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนฝนตก กฎเขาบอกว่าอย่าใช้โทรศัพท์ออกไป มันจะเป็นสื่อให้ฟ้าผ่าได้ มีโอกาสเป็นไปได้สูง ฉันไม่รู้”

แต่อีกคนหนึ่ง ที่ทำตัวไม่ดี ผิดศีลธรรม เขาได้ศึกษาเรื่องนี้ เขารู้ว่ากฎทางวิทยาศาสตร์บอกว่าอย่าถือโทรศัพท์ออกไปโทร เขาก็ไม่ถือออกไป เขาก็ไม่ได้รับโทษ มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าทำดีหรือไม่ดี ตามกฎของโลกวัตถุที่เรียกว่ากฎความประพฤติตามศีลธรรมอันดีงาม มันคนละเรื่องกัน ทำตามกฎของศีลธรรมความดี ความไม่ดี ศีลธรรมอันดีงามนั้น ก็ได้รับแล้วไง รับความชื่นใจ ความสุขทุกข์น้อยลง บนโลกใบนี้

เพราะฉะนั้น กฎทางความประพฤติ ด้วยศีลธรรมดี ก็มีระเบียบของมันอยู่ มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ไปขโมยของเขา มันก็ไม่สบายใจ กลัวตำรวจจับ ไปที่ไหน ก็ระแวง หรือถูกจับ คราวนี้ยิ่งแย่ใหญ่เลย มันก็ต้องได้รับโทษเป็นไปตามนั้น

เช่นเดียวกันกับสิ่งที่พระเยซูกำลังพูด กฎของโลกวัตถุ มนุษย์ไขว่คว้าด้วยสติปัญญาของตนเอง สามารถที่จะเข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎของตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้ใช่ไหม? มนุษย์สามารถเข้าใจได้ แต่ในโลกวิญญาณ มนุษย์ตาบอดอยู่ เป็นคนบาป ตายในโลกวิญญาณ  มันจะเห็นได้อย่างไร? พระเยซูจึงมาอธิบายแล้วอธิบายอีก นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ นี่คือกฎในโลกวิญญาณ ทำตามกฎในโลกวิญญาณ ที่จะได้ไม่ถูกฟ้าผ่า พูดง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบกับสักครู่นี้ กฎของโลกวัตถุ เรามาบอกความจริงให้ท่านได้รู้สิ่งเหล่านี้ โลกวิญญาณก็มีกฎระเบียบของเขา เพราะพระเยซูกำลังประกาศ และพระเยซูกำลังมาบอกพระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งถูกฟ้าผ่าเลยนะ พระเจ้าไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่งพินาศในโลกวิญญาณเลย ท่านเข้าใจไหม? แม้แต่คนเดียวก็ไม่ต้องการ รักทุกคน อยากให้ทุกคนรอด จากความพินาศในวิญญาณ

นี่คือการเริ่มต้นของพระเยซู ที่ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ว่ามันเป็นเช่นไร? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ถึงกฎเหล่านี้แล้ว ก็มาเชื่อวางใจในเราสิ เราจะทำให้ท่านบังเกิดใหม่ ตัดสินใจย้าย ถ้าท่านไม่ย้าย เมื่อหมดชีวิตบนโลกใบนี้ วิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกวิญญาณ มันทำไม่ได้แล้วนะ  นี่คือกฎทางโลกวิญญาณที่บอกไว้ ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็เหมือน ยังเอาโทรศัพท์ออกไปโทรกลางฝนอยู่ วันนี้รอดไปได้ นึกว่าตัวเองทำดี แต่ถ้าท่านทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งท่านถูกฟ้าผ่าแน่นอน เพราะเขาบอกอย่าๆ

เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าท่านอยู่ในบาป อยู่ในความสาปแช่ง ท่านต้องรีบย้าย ก่อนที่ท่านจะตายจากโลกใบนี้ วิธีย้าย ก็คือมาเชื่อในเราว่าเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าส่งมา แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ทำแค่นี้เอง ได้ไหม ได้ไม่ยาก ถ้าเริ่มต้นด้วยการอย่าทิ้งความจริงเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ มันต้องอาศัยการค่อยๆ ฟังเข้าไปเรื่อยๆ หัวใจของการได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ มันมาจากการได้ยิน แล้วก็ฟัง หลับๆ ตื่นๆ ไปวันหนึ่ง มันขึ้นมา มันก็ปิ๊งออกมาเป็นความเชื่อ เรียกว่าเป็นเมล็ดแห่งความอัศจรรย์เกิดขึ้น

พระเยซูยกตัวอย่างว่ามันนิดเดียวเอง เมล็ดความเชื่อตรงนี้ คือเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด คือมันเล็กมาก มันเกิดขึ้นเมื่อไร? ไม่รู้เกิดขึ้นจากอะไร? รู้จากการฟัง ถ้อยคำพระเจ้าฟังความจริงเหล่านี้ อย่าทิ้ง  อย่าให้ความเย่อหยิ่งในตัวของเรา ขโมยออกไป ซึ่งพระเยซูยกตัวอย่างว่านกกามาคาบเอาไปเลย  นกกา คือการเย่อหยิ่ง ทะนงตนว่า …

“ฉันรู้แล้ว ฉันมาถูกทางแล้ว ฉันจะกระทำดีต่อไป พึ่งพาตนเองต่อไป”

นั่นแหละ เคล็ดลับง่ายนิดเดียว ก็คือฟังไปเรื่อยๆ วันนี้ยังไม่เข้าใจไม่เป็นไร? อย่าปฏิเสธ ฟังไปเรื่อยๆ เหมือนกับชาวนาที่หว่านข้าวลงไป เขาไม่ได้ทำอะไรนะ เขาก็ไปดูๆ ดูนกกามาจิกหรือเปล่า? มาจิก เขาก็ไล่มันออกไป แล้วก็นอน ถามว่าต้นข้าวขึ้นหรือยัง? ยัง แล้วเขาไปกังวลไหม? เขานอนหลับๆ ตื่นๆ ทุกวัน

สมมติว่าอีก 15 วันมันจะงอกเป็นต้นมา เขากังวลไหม? พรุ่งนี้เช้า เขาต้องไปขุดดูไหมว่ารากงอกหรือยัง? เขาไม่ไปขุดเลย  เขาหว่านไปแล้ว เขาก็นั่งๆ นอนๆ เขาเพียงแต่ไล่กา ไล่นกจะมาจิกเอาเมล็ดนั้นไปเท่านั้นเอง หลับๆ ตื่นๆ วันไหนก็ไม่รู้ เขารู้แต่วันหนึ่ง เดินมา มีเขียวๆขึ้นมาครับ จากเมล็ดที่ตายแล้ว มันกลายเป็นเมล็ดเขียวๆ ขึ้นมา กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ฉันใดฉันนั้น การบังเกิดใหม่ก็เป็นเช่นนั้น

พระเยซูก็จะพูดแบบนี้แหละว่าโลกวิญญาณนั้น มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาวะตายอยู่ เป็นบาปอยู่ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ และการบังเกิดใหม่ ก็คือการบังเกิดเข้ามาอยู่ในสวรรค์นั่นเอง และผ่านได้ทางเดียว คือทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวที่เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นสวรรค์เลยสักคน มนุษย์ทุกคน เป็นคนบาปทั้งหมด พระเยซูเป็นผู้เดียว ที่มาจากสวรรค์ และเกิดเป็นมนุษย์ ที่อยู่ในสวรรค์ เพราะฉะนั้น ยอมรับพระเยซู ก็คือบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในพระองค์  ก็อยู่ในสวรรค์กับพระองค์เลย ถามว่าเมื่อไร? พระเยซูบอกเดี๋ยวนี้เลย พระองค์พูดไว้อยู่เสมอเลยว่าเมื่อมาเชื่อในพระองค์แล้ว มาอาศัยอยู่ในพระองค์เลยเดี๋ยวนี้ ยกตัวอย่างในหนังสือยอห์น 15:1-6 วันนี้ไม่มีเวลาจะเอารายละเอียด เอาแค่คร่าวๆ พอว่า …

ยอห์น 15:1-6 “1 เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราเป็นผู้ดูแลรักษา 2 พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เอาไม้ค้ำ ยกทุกกิ่งก้านที่เป็นส่วนหนึ่งของเราที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ ไม่พร้อมที่จะออกผล เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกผล ส่วนกิ่งที่ออกผลสม่ำเสมออยู่แล้ว  พระองค์ก็จะดูแลเอาใจใส่ ลิด เพื่อให้ออกผลสมบูรณ์ดีมากยิ่งขึ้น (ผลนี้ คือผลของพระวิญญาณ ผลของชีวิตนิรันดร์) 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระ และได้รับการตัดแต่งเสร็จแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้สอนท่านทั้งหลายไว้ 4 จงอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน) กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)”

 

พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าพระองค์เป็นเหมือนเถาองุ่น และพระบิดาเราเป็นผู้ดูแลสวน พระองค์เป็นเถาองุ่น คือเป็นแหล่งแห่งชีวิต คือชีวิต พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นชีวิต นอกเหนือจากพระเจ้า คือความตาย ชีวิตก็คือความสว่าง  ตรงกันข้ามกับชีวิต ก็คือความมืด  พระเยซูเป็นชีวิต ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ให้ชีวิต เป็นสวรรค์ ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ก็ต้องเข้ามาอยู่ในพระองค์นั่นเอง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ พระองค์ยกตัวอย่างเรื่องติดสนิทอยู่ในพระองค์ว่าให้เข้ามาอาศัยอยู่ในพระองค์ ให้มาต่อทาบกิ่ง ก็คือให้เอาวิญญาณมาต่อกับพระองค์ เอาวิญญาณบาปนั้น  มาบังเกิดใหม่ แล้วก็เข้าไปอยู่ในพระองค์ พูดง่ายๆ ให้ย้ายถิ่นฐาน ย้ายสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ แห่งความมืด โลกวิญญาณที่เรียกว่าพินาศ ความบาป  ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า มันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แม้จากโลกนี้ไปแล้ว ก็จะอยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย  ถ้าเผื่อไม่รีบเปลี่ยนเสียก่อน ที่จะจากโลกนี้ไป ก่อนที่จะเข้าในโลกวิญญาณ ยังมีโอกาส เปลี่ยนมาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อาศัยอยู่ในพระองค์ซะ  อาศัยอยู่ในพระองค์ ก็คืออาศัยอยู่ในสวรรค์

ถามว่าท่านใดที่มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ ท่านได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ อาศัยอยู่ในสวรรค์แล้วบ้าง ยกมือขึ้น? ขอบคุณพระเจ้า นี่คือในโลกวิญญาณ ที่ท่านยกมือขึ้น แสดงว่าท่านรู้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เราจะอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? เรายังนั่งอยู่ที่โบสถ์ กรุงเทพกรีฑาในเมืองไทยอยู่เลย  ไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? เพราะท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นวิญญาณ ท่านมองทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณ ท่านรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูสอนแล้ว ท่านได้ถูกย้ายมา ตั้งแต่ตอนที่ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูได้ย้ายท่านจากวิญญาณที่อยู่ในบาปนั้น ตายอยู่นั้น ให้ท่านบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ในพระเยซูได้เลย และใครจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น  ทำไมต้องบังเกิดใหม่ เพราะตัวเก่ามันเป็นบาป เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  ยังไงก็เข้าไม่ได้ ขัดอย่างไรก็ไม่ออก ถูอย่างไรก็ไม่ขึ้น รักษาความดีอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์พอ ไม่มีทางเข้าหรอก  มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องไปเกิดใหม่ซะ  หรือเรียกว่ามาเกิดใหม่ซะ

ถามว่าท่านเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ขั้นตอนนี้ ท่านอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง?  ท่านได้ต่อสนิท อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นวิญญาณชนิดเดียวกันกับพระองค์แล้วหรือยัง? ตอนนี้ ขณะที่นั่งอยู่นี้  ที่ท่านตอบไปแล้ว ยกมือแล้วว่านั่งอยู่แล้ว  ผมกำลังถามถึงคนทางบ้านด้วย ท่านมั่นใจไหมว่าตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้าท่านมั่นใจ ก็แล้วไป แต่ถ้าท่านยังไม่มั่นใจ  อย่างที่ผมบอก มันง่ายนิดเดียว อย่างเพิ่งทิ้งเรื่องนี้ ฟังต่อไป กลับไปฟังของอาทิตย์ที่แล้ว  ก่อนอาทิตย์ที่แล้วกับอาทิตย์โน้นอาทิตย์นี้ ฟังไปเรื่อยๆ อันไหนไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร ฟังต่อไป  อันไหนยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ฟังต่อไป จะมีวันหนึ่ง มันปิ๊งขึ้นมา อัศจรรย์ใหญ่เกิดขึ้นมา ความเชื่อของท่านจะเกิดขึ้นเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านจะบังเกิดใหม่  คราวนี้แหละ พอบังเกิดใหม่ ก็จะเข้ามาอาศัย อยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ทันทีเลย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และท่านก็พิสูจน์ได้ด้วย ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ค่อยพิสูจน์ได้

พิสูจน์ได้ว่าอย่างไร?  ก็ขณะที่ท่านปิ๊งปุ๊บ มาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีทันใด พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในตัวท่าน มาทำการดำเนินชีวิตในตัวท่าน นำพาชีวิตท่าน มาช่วยเหลือท่านให้มีกำลังในการลด ละ กิเลส และกระทำดีที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ บนโลกใบนี้  เพื่อความสุขและสันติสุข ทั้งกายและใจบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะโลกวิญญาณ ท่านได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าท่านจะทำดีหรือไม่ทำดียังไง มากน้อยเพียงใด ท่านก็อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่อย่างนั้น นิรันดร์กาล และพระองค์ก็จะทรงนำพาท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ในทุกสถานการณ์ ให้เรามีกำลัง ที่เราจะสามารถ มีสติปัญญา เผชิญได้กับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว  มีแต่ความไม่แน่นอน มีแต่ความวิปริตอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน? ในสถานการณ์เช่นไรก็ตาม ถ้าเราบังเกิดใหม่แล้ว  อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูก็อยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดินทุกวัน  จนกระทั่งถึงชีวิตหลังความตาย ชีวิตนิรันดร์ ด้วยชัยชนะ อันยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงกระทำไปแล้ว บนไม้กางเขนนั่นเอง พระองค์จะจูงมือเราปีต่อปี …

1 ปี = 12 เดือน  = 52 สัปดาห์  = 365 วัน  =  8,760 ชั่วโมง   =  525,600 นาที  = 31,536,000 วินาที

พระองค์จะจูงมือเราไปปีต่อปี,  จูงมือเราไปทุก 12 เดือน, จูงมือเราไปทุก 52 สัปดาห์, จูงมือเราไปทุก 365 วัน, จูงมือเราไปทุก 8,760 ชั่วโมง, จูงมือเราไปทุก 525,600 นาที, จูงมือเราไปทุก 31,536,000 วินาที

นี่เฉพาะบนโลกใบนี้ภายใน 1 ปีเท่านั้นนะ ทุกเสี้ยววินาที พระองค์ทรงอยู่กับเรา เสี้ยวของวินาที ยังไม่ทันหายใจเลย  อยู่กับเราแล้ว และพระองค์จะทรงนำพาเรา ในวิญญาณของเรา ในร่างกายของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ ก็คือพอหลังความตาย เราก็ได้รับร่างกายใหม่ ด้วยนะ  เปลี่ยนเสื้อใหม่ให้เรา แต่ก็ยังอยู่กับพระองค์ตลอดไป  แล้วท่านจะเลือกอะไรดี เลือกความจริงนี้ดีกว่าไหม?  พระเจ้าอวยพรครับ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 8:1-2 “1 ดังนั้น จึงไม่มีการลงโทษใดใดแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (คือผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระเยซู  เป็นผู้ช่วยให้รอดจากโทษของบาป) 2 เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ได้ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย”

เหมือนเรานั่งอยู่ในเครื่องบินที่กำลังอยู่ในกฎของการยกขึ้น  ซึ่งมีพลังอำนาจเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก  เราจึงไม่ถูกดูดตกลงมาบนพื้นดิน

พูดง่ายๆ ก็คือโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ให้ชีวิตกับท่านใหม่  ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเชื่อในข่าวดีนี้ ให้ท่านเป็นอิสระจากกฎเดิมที่ท่านอยู่สมัยอาดัม ก็คือกฎของความบาปและความตาย เมื่อทำบาป ก็ต้องตาย เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เมื่อโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา เมื่อทำบาป ก็ได้รับโทษของความบาป ทำครั้งหนึ่ง ก็ได้รับโทษของความบาป ทำ 100 ครั้ง ก็ได้รับโทษของความบาป   โยนของไป 100 ครั้ง  ก็ต้องหล่นลงมาแน่นอน เพราะแรงดึงดูดของโลกมันมีอยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น กฎของความบาปและความตายดั้งเดิม ที่มาตั้งแต่สมัยอาดัม ทุกวันนี้ ก็ยังอยู่ ทำบาปครั้งหนึ่ง ก็ต้องรับโทษเท่าๆ กับคนทำกี่ครั้งก็แล้วแต่   มันเป็นกฎอยู่   เห็นภาพไหมครับ?

และพระเยซูคริสต์มาทำให้เขาหรือเราที่เชื่อในพระองค์   เริ่มต้นกฎใหม่ให้กับมนุษยชาติแล้ว  กฎนั้นเรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต   คือกฎที่พระเจ้าได้ให้ชีวิตกับเรา บังเกิดใหม่เลย ไม่ตายอยู่ในบาปอีกแล้ว

2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป ที่เสียไป เนเจอร์หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาปนั้น ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้ บัดนี้ พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู   วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายกลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์  ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าและกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อเราเชื่อ

พระเจ้าอวยพรครับ