วารสาร Holy News ฉบับที่ 1347

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มกราคม  2022

เรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราเรียนเรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ถือว่าเป็นตอนที่ 1 ไปแล้วกัน ตอนแรกๆ ว่าจะตอนเดียวจบ มันไม่จบ มันยาว พูดไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็นำไปเรื่อยๆ ก็ว่ากันไปเรื่อยๆ วันนี้ก็เลยเป็น “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 2

ท่านลองพูดกับตัวท่านเอง ลองถามตัวท่านเองสิ “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว”

อุปโลกน์ว่าทุกคนรับเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่แล้วนะ ซึ่งเราเริ่มเรียนรู้จากโคโลสี 2:13-14 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราอ่านทวนกันครั้งหนึ่งก่อน …

โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  มีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัย ในการละเมิดกฎทั้งหลาย  ของพวกเรา 14 พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

ครั้งที่แล้วเราจบรายละเอียดในบทนี้ ในข้อที่ 13 อย่างค่อนข้างละเอียดแล้ว ซึ่งสรุปว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อตอนที่เราเริ่มต้นเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็บอกแล้วว่าก่อนเชื่อ เราตายอยู่ เราเป็นคนบาป เรายังไม่ได้รับความรอด ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้บัพติศมาเข้าส่วนในพระเยซูคริสต์ พอรับเชื่อแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้รับ 2 สิ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูด รับ 2 สิ่ง …

อันดับที่หนึ่ง คือเราได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อตอนเริ่มเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอเริ่มเชื่อ เราก็ได้บังเกิดใหม่

อันดับที่สอง คือเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณกับผู้ที่เชื่อนั้น ก็คือคนที่เชื่อนั้น ได้รับการอภัยในการละเมิดกฎ คือการทำบาปทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อรับเชื่อ

สองข้อนี้ เราเรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว ค่อยข้างชัดเจน

วันนี้มาเริ่มต้นในข้อ 14 …

โคโลสี 2:14 “พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

นี่คือสิ่งที่ 3 ที่บังเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อคนใดคนหนึ่งเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณจะเกิดขึ้นอย่างนี้

สิ่งที่หนึ่ง คือได้รับชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่

สิ่งที่สอง คือได้รับการอภัย การละเมิด การทำบาปทั้งสิ้น ทั้งหมด ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

สิ่งที่สาม ที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ จากถ้อยคำพระเจ้า ในโคโลสี 2:14 คือพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาป เวรกรรมออกไปจากเรา ครั้งที่แล้วเราหยุดอยู่ตรงนี้ แล้วเราก็ได้อ่านข้อพระคัมภีร์กำกับในหนังสือ 1 เปโตร 2:24 อ่านอีกสักครั้งหนึ่ง นี่คือหลักฐานว่าพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ด้วยวิธีใด …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน  (ยอมมอบชีวิตพระองค์เอง แด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) นั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป  (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)

 

“ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” ด้วยความทุกข์ทรมาน ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พวกท่าน คือมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ได้รับการรักษาให้หาย จากการเป็นคนบาป

ท่านได้รับการรักษา เอาบาปออกไปจากท่านเลย แล้วบาปนั้น เอาออกไปด้วยวิธีใด? โดยวิธีเอาไปใส่ไว้ที่พระเยซูคริสต์แทน บาปทั้งหลายทั้งปวง พระเยซูคริสต์ทรงแบกรับไว้ นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระเยซูบอกเสมอว่าโลกวิญญาณมันสำคัญกว่ามาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันจะอยู่ตลอดไป มันจะอยู่เป็นนิจนิรันดร์ แต่เหตุการณ์บนโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น หูได้ยิน จับต้องมองเห็นได้นั้น มันอยู่เพียงแค่ชั่วคราว มันกำลังไปสู่ความพินาศ มันกำลังไปสู่ความสูญสิ้น เขาเรียกว่าพินาศ

ลองมาอ่านสักนิดหนึ่ง ยอห์น 6:63 ว่าพระเยซูตรัสด้วยพระองค์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกนี้อย่างไรในข่าวประเสริฐ ข่าวดี ความจริงที่พระองค์ทรงประกาศให้กับมนุษยชาติ ผ่านทางกลุ่มแรก ก็คือกลุ่มชาวยิว ซึ่งเล็งไว้เลยว่ากลุ่มชาวยิวก่อน แล้วต่อไป ก็กลุ่มต่างชาติ คือพวกเราทั้งหลายที่ไม่ใช่ยิวนั่นเอง ลองอ่านดูนะ …

ยอห์น 6:63 “วิญญาณ​นั้น  ​เป็น​ที่​ให้​มี​ชีวิต  เนื้อ​หนัง​ไม่​สู้​เป็น​ประ​โยชน์​นัก  ถ้อยคำ​ความจริง ที่​เรา​ได้​กล่าว​แก่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​นั้น​  ก็​เป็น​วิญญาณ​และ​เป็น​ชีวิต”

 

“วิญญาณนั้น เป็นที่ให้มีชีวิต” โลกวิญญาณ คือโลกที่ให้มีชีวิต

“เนื้อหนัง ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก” ก็คือความรู้

เนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถจับต้องได้ “ใจ” หมายถึงความคิด … ความคิดของมนุษย์ สามารถมีตรรกะ มีสติปัญญา วัด เปรียบเทียบ อะไรต่างๆ ได้ อย่างเช่น ค้นคว้าหาความจริง ในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ยังเป็นอยู่ในระบบของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้มีอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่น …

น้ำ มีออกซิเจนกับไฮโดรเจน ผสมอยู่ด้วยกัน ไฮโดรเจน 2 ส่วน ออกซิเจน 1 ส่วน อย่างนี้เป็นสติปัญญา แบบเนื้อหนัง รู้แล้วมีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์ แต่มีประโยชน์ไม่มากนัก เพราะอีกไม่นาน มันก็จบสิ้นไปแล้ว  โลกใบนี้ ออกซิเจนก็หายไป ไฮโดรเจนก็จะหายไป

รู้ว่าโลกกลมดีไหม? ดี

รู้ว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกดีไหม? ดี รู้ว่ามีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จะได้ทำเครื่องบินได้ จะได้รู้ว่าปีนบันไดไป ตกลงมา เพราะอะไร?

เหล่านี้เรียกว่าสติปัญญาของเนื้อหนัง ไม่ค่อยเป็นประโยชน์อะไรมากนัก เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ แต่มันมีมากไหม? ไม่มาก เพราะมันอยู่ไม่นาน เมื่อโลกจบสิ้นลง ระบบของแรงดึงดูดของโลกก็หายไป พระองค์จึงบอกว่า “สำหรับเนื้อหนัง ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก”

ถ้อยคำความจริง ที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น ก็คือความจริงแห่งถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศจนถึงทุกวันนี้นั้น ก็เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต เห็นไหม? นั่นแหละเป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น ให้ท่านมาศึกษาถ้อยคำของพระองค์ ที่เป็นวิญญาณ เป็นชีวิต อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อะไรให้ชีวิตในโลกวิญญาณ นั่นแหละ จะให้ชีวิตนิรันดร์ หรือตายนิรันดร์ เสียชีวิตนิรันดร์ มันอยู่ที่โลกวิญญาณ ตรงนี้แหละ

เพราะฉะนั้น อย่าไปเสียเวลามากนัก ถามว่าทำไมถึงบอกว่าเสียเวลามากนัก เพราะมันเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ไม่ใช่มันไม่เป็นประโยชน์ อย่างเช่นออกกำลังกาย เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง มันก็เป็นประโยชน์ ศึกษาแล้วดีไหม? ดี ออกกำลังกายอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อยืดเส้นยืดสาย ดีไหม? ดี ไปโยคะ ไปวิ่ง ไปว่ายน้ำ  ไปยืดเส้นยืดสาย ศึกษาว่าวิ่งอย่างไรให้เหมาะสม อย่าทำหนักเกินไป แต่ให้ทำทุกวัน อะไรอย่างนี้

นี่คือสติปัญญาของโลกนี้ ถามว่ามีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์  แต่อย่าไปใส่ใจมันมากนัก ใส่ใจตรงนี้ดีกว่าว่า …

“ขณะนี้ เวลานี้ ฉันอยู่ที่ไหน? ฉันเป็นใคร? แล้วมีใครที่ไหน ที่บอกเรื่องโลกวิญญาณว่าวิญญาณที่ฉันมีอยู่ ที่เขาบอกว่าเกิดมาต้องชดใช้เวรกรรมนั้น มันเป็นอย่างไร? แล้วทำอย่างไร ถึงจะหลุดออกจากเวรกรรม หลุดได้ไหม? มีใครพูดอะไรเรื่องเหล่านี้ไหม?”

ซึ่งไปค้นมาทั้งหมด  ก็มีอยู่ผู้เดียวที่พูด คือพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกแล้วว่า … “ถ้อยคำของเรานั้นเป็นวิญญาณ และเป็นชีวิต มีประโยชน์มาก มาให้ความสนใจกับถ้อยคำของฉัน ฉันกล่าวให้กับเธอ”

มีผู้เดียวที่กล่าวอย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเท่านั้น พระองค์จึงไม่เสียเวลามานั่งสอนเรื่องเกี่ยวกับเนื้อหนัง ที่ไม่สู้เป็นประโยชน์มากนัก เดี๋ยวปล่อยให้มนุษย์หากันเอง สติปัญญามนุษย์ไปถึงอยู่แล้ว ไปถึงขนาดไหน? ถึงขนาดลด ละ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังได้ด้วยวิธีใด อันนี้ก็เป็นสติปัญญาของมนุษย์นะ ก็เป็นสติปัญญาแบบเนื้อหนัง และถามว่ามีประโยชน์ไหม? มีสิ ทำไมไม่มี มนุษย์จะได้มีศีลธรรมที่ดี  รู้จักลด ละ กิเลส รู้ว่ากิเลสมันทำให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ตัวเราเองอย่างเดียว มันทุกข์ต่อผู้คนรอบข้างด้วย การทำชั่ว ทำให้เกิดทุกข์ ทุกข์ต่อตัวเราเอง และผู้คนรอบข้างด้วย และก็พยายามที่จะไม่ทำความชั่วเหล่านั้น ด้วยวิธีใดบ้าง?

สติปัญญาของมนุษย์ก็ค้นคว้าหาความจริงเหล่านี้ อย่างนี้เรียกว่าสติปัญญาในเนื้อหนังทั้งสิ้น เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ สอนให้เป็นคนดี ศึกษาว่ามันลด ละ กิเลสได้อย่างไร? ทำอย่างไรจึงลด ละ กิเลส ฝึกฝน ลด ละ กิเลสได้อย่างไร? ดีไหม? ดี แต่มันไม่มีประโยชน์มากนัก เมื่อเทียบกับความรู้ในโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอย่างไร? เราไม่มีทางรู้เลย นอกจากผู้ยิ่งใหญ่ในโลกวิญญาณ จะมาบอกเรา ด้วยความจริงของเขา ไม่โกหกเรา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าเองที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์และมาอธิบายถึงอาณาจักรของพระองค์ให้เราฟัง มนุษย์ทุกคนจงฟัง นี่เราเจ้าของอาณาจักรสวรรค์เอง เรามาบอกให้ท่านฟังว่าในสวรรค์นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร? พระองค์จึงมาบนโลกใบนี้ …

พระองค์ประกาศคำแรกแล้ว “สวรรค์มาอยู่ที่นี่แล้ว เรามา เพื่อแจ้งสวรรค์ให้กับท่านว่าเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? สวรรค์หน้าตาเป็นเช่นไร? เรียนรู้เรื่องอาณาจักรสวรรค์”

เพราะฉะนั้น คำพูดของพระองค์ทั้งหมด อุปมาทั้งสิ้น พระองค์ก็จะยกตัวอย่างว่า …

“อาณาจักรสวรรค์ เปรียบเหมือน …”

ใช่หรือไม่? ทั้งนั้นเลย ไปดูได้ แสดงว่าพระองค์มาทำอะไร? พระเยซูมาเปิดเผย  สำแดง อธิบายอย่างละเอียด ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์

สวรรค์ ก็คือโลกวิญญาณ  มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง

อะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ เมื่อเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในความจริงที่พระเยซูคริสต์ประกาศให้เรา บอกเรา …

(1) มีชีวิตบังเกิดใหม่

(2) อภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของเรา ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

และเรากำลังอยู่ใน อันดับที่ 3 …

(3) ยกเลิกกฎต่างๆ … คือยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามบทบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัตินั่นเอง

เรามาดูสิ ตรงนี้ ในโลกวิญญาณ หมายถึงอะไร? ยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ก็แสดงว่าก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการยกเลิกสำเร็จนั้น ตั้งแต่อดีตมา มนุษย์อยู่ในกฎอะไรบางอย่าง ที่พระเยซูกำลังมายกเลิก ถูกไหม?

“ยกเลิก” แสดงว่ามันมีอยู่ ยกเลิกกฎแห่งการกระทำ  แสดงว่ามนุษย์ก่อนหน้าที่พระเยซูจะเสด็จมาบนโลกใบนี้  มนุษย์อยู่ภายใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎแห่งการกระทำ มนุษย์อยู่ใต้กฎนี้ แล้วมันไม่ดีต่อมนุษย์ ถ้าดี พระเจ้าคงไม่มายกเลิก ถูกไหม? แสดงว่าพระองค์มายกเลิกกฎแห่งการกระทำ ตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ จำได้ไหมที่ผมบอกว่าพระองค์กำลังพูดกับชาวยิวก่อน เป็นกลุ่มแรก และเดี๋ยวก็จะพูดกับชาวอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง กลุ่มที่สอง แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ คือมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ เรียกว่า “มวลมนุษยชาติ” ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว อยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่จะช่วยให้รอด มารวมกันอยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่คือแผนการที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกอีกนะ

หนังสือธรรมบัญญัติ ที่พระเจ้าประทานให้กับชาวยิว สำหรับชาวยิวแล้ว ธรรมบัญญัตินี้ ก็คือที่เขียนถึงอะไรให้ทำ อะไรไม่ให้ทำ  อะไรที่ไม่ให้ทำ ถ้าไปทำ เรียกว่าทำบาป เขียนให้กับชาวยิว กลุ่มแรก ผ่านทางหัวหน้าชาวยิวในตอนนั้น ก็คือโมเสส สลักไว้ อยู่ในแผ่นหิน อยู่ในหนังสือม้วน และในขณะนั้น คนไม่ใช่ยิว ไม่ได้ถือกฎธรรมบัญญัติ  ที่โมเสสได้รับมาจากพระเจ้า ถูกไหม? เพราะไม่ใช่ยิว แล้วเขาไม่มีธรรมบัญญัติหรือ? พระคัมภีร์บอกมี หนังสือโรมบอกมี

“ธรรมบัญญัติ” สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ถูกเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของเขา  ในใจของมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ

ถ้ายิว ก็มีเป็นตัวหนังสือออกมาเลย 613 ข้อ

ถ้าไม่ใช่ยิว  ก็เขียนอยู่ในใจนั่นแหละ

นึกออกใช่ไหม? ธรรมบัญญัติอยู่ในใจ ก็คือรู้ว่าทำบาปแล้ว รู้ว่าไม่ดี

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ก็หมายถึงว่าพระเยซูมายกเลิก กฎที่มนุษย์ ถูกนำพาไปอยู่ใต้กฎเหล่านี้ ต้องทำตามกฎเหล่านี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำดี กระทำชั่ว ตามศีลธรรมที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติโมเสส หรือบันทึกไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ไม่มีกรณีพิเศษใดๆ ใครทำดี ได้ดีแน่นอน ใครทำชั่ว ได้ชั่วแน่นอน แล้วอยากถามว่ามนุษย์ที่อยู่ใต้กฎนี้ ตอนนั้น มีใครทำดีได้ครบหมด เรียบร้อย 100% เลยไหม? ไม่มี ไม่มีเลย มีใครทำถูกหมดเลย 100% ไหม? 613 ข้อของโมเสส ที่เขียนเอาไว้ ที่พระเจ้าให้ทำ รักษาได้หมดไหม? ไม่หมด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จำได้ไหม? ทำดีมาลบกับความชั่วไม่ได้นะ ชั่วคือได้ชั่วนะ เพราะฉะนั้น ไม่มีคนใดทำดีสักคนหนึ่ง ก็คือไม่มีคนใดไม่ได้ทำชั่วเลยสักคนหนึ่ง และในพระคัมภีร์บอกทำชั่วเพียงครั้งเดียว กฎนี้ ก็มีกฎว่าทำบาป เพียงครั้งเดียว เท่ากับบาปหมด

อาดัมทำบาปครั้งเดียว สูญสิ้นทุกอย่าง ก็คือได้รับโทษ แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อยกเลิกกฎเหล่านี้ ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยู่ใต้กฎนี้อยู่

กฎ ก็คือบอกว่าเราทำชั่ว เราเป็นคนชั่ว  เพราะอยู่ใต้กฎตรงนี้ ก็คือเป็นทาสของกฎนี้อยู่ พระเยซูมายกเลิกกฎ ถ้าท่านไม่เห็น ก็คือเราเป็นทาสกฎนี้อยู่ เราจึงบอกว่าเราเกิดมาใช้เวร ใช้กรรม  ถูกต้องเลย เกิดมาใช้เวรกรรม เกิดมา ก็เป็นทาสเวรกรรม เกิดมาก็เป็นคนชั่ว และก็กระทำชั่วตลอดไป ถูกต้อง เพราะว่าเกิดมามันเป็นเช่นนั้น  เราจึงอยู่ใต้กฎเหล่านี้  เพราะเราเป็นทาสของบาป เมื่อเป็นทาสของบาป เราก็อยู่ใต้กฎของธรรมบัญญัติ  และกฎธรรมบัญญัติ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ให้ธรรมบัญญัติเหล่านี้ เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป

กฎต่างๆ ที่พระเจ้าให้ไว้ ผ่านทางโมเสส หลักการจริงๆ คือต้องการให้มนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และเพื่อจะได้เป็นกฎที่มองเห็นอยู่ เพื่อจะประพฤติ ปฏิบัติตาม เพื่อจะได้ให้มีความทุกข์น้อย มีสันติสุข มีความสุขสบายกายสบายใจ  อยู่ร่วมกัน ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกันได้บ้างเท่านั้นเอง แต่เป้าหมายหลัก คือมนุษย์รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป เนื่องจากกฎเหล่านี้ ถ้าไม่มีกฎ ก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองบาป แต่กฎเหล่านี้มีอยู่ จึงรู้ว่าตัวเองเป็นบาป ทั้งคนยิวและไม่ใช่คนยิว  ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป เพราะว่าไม่สามารถรักษากฎระเบียบได้หมด จะพยายามเท่าไรๆ ก็รักษาไม่หมด  ที่ไม่หมด ก็เพราะว่าตัวแกนจริงๆ คือวิญญาณของเขา เกิดมาในบาป เกิดมาเป็นทาส ถูกบาปบังคับ เป็นทาส แปลว่าถูกบังคับเคี่ยวเข็ญ ในภาษาไทย เรียกว่าใครเป็นเจ้าเข้าครอง ต้องบังคับขับไสเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป  ตามวิสัยเชิงเช่น ผู้เป็นนาย

เกิดมา ก็เป็นทาสเขา  ทาสของความบาป ความบาป ซึ่งเริ่มต้นมาจากมาร เอาเชื้อบาปมาให้กับมนุษย์ มนุษย์ตกเป็นทาสของความบาป บาปมันจึงบังคับเคี่ยวเข็ญให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เรียกว่าความชั่ว เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะออกกฎกระทำดีอย่างไรให้ทำตามพระองค์ มันจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราอย่างไร? เราก็ทำไม่ได้หมดหรอก เดี๋ยวเราก็พลาด เดี๋ยวเราก็ผิด เดี๋ยวเราก็ทำชั่ว เพราะว่าเราเป็นทาส ข้างในวิญญาณ เรามีพลังอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าพลังบาป ผลักดันให้เราทำการเป็นศัตรู ต่อต้านกับพระเจ้า ทำบาป เดี๋ยวก็ทำๆ เราจะพยายามสู้กับมันเท่าไร? เราก็ทำ เพราะเราเป็นทาสมันอยู่ ไม่มีวันเป็นอิสระหรอก สู้กับมันมากเท่าไร? ก็อาจจะทำได้มากเท่านั้น แต่ไม่มีวันครบถ้วนบริบูรณ์ หลุดจากการเป็นทาสได้  พระเยซูจึงต้องมายกเลิก พระเจ้าจึงต้องมายกเลิกมาช่วยเรา คือพาเราหลุดจากการเป็นทาสเลย ประกาศการเลิกทาสเลย

คิดถึงรัชกาลที่ 5 ที่เลิกทาสในประเทศ และนึกถึงลินคอนส์ ที่เลิกทาสในสมัยยุคอเมริกาเริ่มต้น เลิกทาส เหมือนเลย แสดงว่าก่อนหน้านี้ มีระบบทาสอยู่  ถูกไหม? ไม่อย่างนั้น คงไม่ต้องมาเลิกทาส ทาสในประเทศไทย ร.5 ทาสในอเมริกา สมัยลินคอนส์ ทาสในอเมริกา คือคนผิวดำ จากแอฟาริกัน ถูกจับมา แล้วก็ขายเป็นทาส เยี่ยงสัตว์ ในเมืองไทย ในสมัย ร.5 ทาสก็คือเหมือนเยี่ยงสัตว์  เพราะไม่มีชีวิตอยู่

“อ้าว! เขายังเป็นอยู่”

เขายังเป็นอยู่ แต่ชีวิตไม่ใช่ของเขา ตามกฎหมายการเป็นทาส เขาเรียกว่าคนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ชีวิตของเขา เจ้านายเป็นเจ้าของ มีทะเบียนอยู่เลยว่าคนนี้เราเป็นเจ้าของ เราจะทำอะไร? เหมือนกับอำแดง อำแดงสมัยก่อน แปลว่าอะไร? สมมติ …

“เราจะทำอย่างไรกับอำแดงป้อม ก็ได้ อำแดงป้อมเป็นทาสของเรา บันทึกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อำแดงป้อมมีลูก หลาน เหลน โหลน ก็ตกเป็นทาสของเราหมด เหมือนเราเลี้ยงสัตว์ไว้ แล้วสัตว์ออกลูกมา ก็เป็นของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น อำแดงป้อมเขาเหมือนตายไปแล้ว เขาไม่มีชีวิตอยู่ ชีวิตเป็นของเรา เรากำชีวิตเขาอยู่ สั่งอะไร ก็ต้องทำทุกอย่างยี่ยงทาส”

เรียกว่าเขานมัสการเจ้านายเขาอยู่ นมัสการผู้เป็นนายเขาอยู่ เรียกว่าเป็นทาสเขา ยอมจำนนทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แม้ชีวิต ก็เป็นของเขา

ในทางโลกวิญญาณ ก็เป็นอย่างนี้ มนุษย์เกิดมา ก็เป็นเหมือนทาสสมัยลินคอนส์ เหมือนกับทาสสมัย ร.5 เหมือนกันเลย เกิดมาในตระกูลทาส  ก็เป็นทาสเขา  เกิดมาจากญาติพี่น้อง มาจากอำแดงป้อม ซึ่งเป็นทาส  ก็เป็นทาสเขาเลย เกิดมาปุ๊บ เขาเรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย ชาวแอฟาริกัน ที่เกิดในอเมริกา ในสมัยก่อนลินคอนส์ ก็คือเกิดมา ก็เป็นทาสเขา ทาสในเรือนเบี้ย ก็เหมือนกัน เพราะเจ้านายซื้อเขามา ให้เป็นทาส จนกระทั่งลินคอนส์ และ ร.5 ประกาศการเลิกทาส ดีใจมาก เลิกทาส คืออะไร? คือทาสเหล่านั้น เป็นอิสระเลยนะ หลุดจากกฎของการเป็นทาสเลย กฎของการเป็นทาส ต้องทำอันนี้ ต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย ต้องทำงานกี่โมง? ทำไม่ถูกต้อง ต้องถูกลงโทษ เฆี่ยน ออกไปจากสถานที่ที่บริเวณที่ทำงานไม่ได้เลย ออกไปเมื่อไร โดนเฆี่ยน หรือจะฆ่าให้ตาย ก็ได้ ตามความต้องการของเจ้านาย เพียงอย่างเดียวเลย นี่คือกฎของการเป็นทาส

ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนอยู่ในกฎของการเป็นทาส ทางฝ่ายวิญญาณ เรียกว่ากฎแห่งการกระทำดีและกระทำชั่ว  ค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ ตามกันนะ มันค่อนข้างต้องใช้วิญญาณ ในการฟัง ฟังไปบ่อยๆ เดี๋ยวท่านจะเข้าใจ พระเยซูมายกเลิกกฎทางวิญญาณตรงนี้

โคโลสี 2:14 “ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ  ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทานให้กับชาวยิว ผ่านทางโมเสส และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิวหนังสือธรรมบัญญัติ บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน) ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดเลย แม้จุดๆ เดียว กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ คือทำบาปต้องได้รับโทษ คือความพินาศในวิญญาณ (เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลยแม้แต่จุดเดียว) พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้ว บนไม้กางเขน (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์ ในการตายจากชีวิตเดิม ร่วมกับพระองค์ จากชีวิตเดิม ซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำตามบทธรรมบัญญัตินี้)

 

ในข้อ 14 ช่วงต้นๆ ระบุต่อมาว่าธรรมบัญญัติเหล่านี้ ที่บันทึกไว้ในหนังสือโมเสส และบันทึกไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ที่ไม่ใช่ชาวยิวด้วย ได้บันทึกตรงนี้ว่า …

“ซึ่งมีบันทึกระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อในหนังสือธรรมบัญญัติ สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดใดๆ เลย แม้แต่จุดๆ เดียว”

ก็คือทำผิดครั้งเดียว ก็เท่ากับผิด โดนลงโทษ ก็คือเป็นคนบาป  แล้วมีใครที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีข้อตำหนิเลย ไม่มี เพราะเกิดมาเป็นทาส เป็นบาปอยู่แล้ว อย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อทำไม่ได้ แต่มีบัญญัติอยู่  ก็คือบัญญัติเหล่านี้เป็นเหมือนศัตรูต่อต้าน คอยที่จะฟ้องชีวิตเรา  ด้วยกฎของมันเอง ต่อต้านเรา พอเราจะทำดีปุ๊บ ข้างในไม่อยากจะทำ

จริงๆ จิตใต้สำนึกของมนุษย์ มีความดีงามของพระเจ้าอยู่ทุกคน เพราะวิญญาณของเราที่ตายอยู่นั้น เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า มีความคิด จิตใจ มีจิตใต้สำนึกที่อยากจะกระทำดีเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แต่มันทำไม่ได้ เพราะเนื่องจากตัวหัวใจจริงๆ  คือวิญญาณของเรา เป็นบาปอยู่ เป็นทาสของความชั่วร้ายอยู่ มันผลักดันให้เรากระทำในสิ่งที่ความคิด จิตใต้สำนึกเราอยากทำ แต่เราทำไม่ได้ พยายามทำ ก็อาจจะทำได้บ้าง แต่ทำๆ ไป เดี๋ยวมันก็ไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าวิญญาณข้างใน มันต่อต้านอยู่ตลอดเวลา

ตรงนี้ ข้อ 14 พระคัมภีร์จึงบันทึกว่ากฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูกับเรา  “เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่  นี่กำลังพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูจึงต้องมายกเลิกกฎเหล่านี้ พระเจ้าจึงต้องมาช่วยมนุษย์ พามนุษย์เป็นอิสระจากการเป็นทาสของกฎเหล่านี้ เพราะกฎการกระทำดี กระทำชั่ว กฎบัญญัติเหล่านี้ เป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ทำบาป ต้องได้รับโทษ ก็คือความพินาศในวิญญาณ เราจึงบอกตัวเองเสมอว่าเราเป็นคนบาป ต้องชดใช้กรรม เมื่อไรหมด ก็ไม่รู้

บาปตั้งแต่เมื่อไร? ถาม เราก็ตอบได้ด้วย บาปตั้งแต่ปางก่อน “ปางก่อน” แปลว่าในอดีต มันถูกต้องหมดเลย เพราะจิตใต้สำนึกเรารู้ว่านี่คือความจริงอะไรบางอย่างที่พระเจ้าใส่ไว้ วิญญาณเราอยากจะเป็นอิสระ เรารู้ว่าเราเกิดมาเป็นบาป  เราต้องชดใช้เวรกรรม เรารู้ว่าเราเป็นผู้ที่สมควรได้รับโทษ และเรารู้ว่าเราอยู่ในกฎของการกระทำดี ทำชั่ว คือพยายามทำดีที่สุด เท่าที่ทำได้ แต่มันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างที่บอก เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลย แม้แต่จุดๆ เดียว จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่ามันต่อต้านชีวิตเรา

ตอนนี้มาร เข้ามามีบทบาทชัดเจน มารไม่ได้เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเราหรอก วิญญาณเราเป็นชั่วเป็นบาป ในพระคัมภีร์บอกมารมีหน้าที่เอามือชี้เรา และบอกต่อพระเจ้า แล้วก็บอกต่อเราว่า …

“แกเป็นคนบาป นี่เห็นไหมบาป แกทำดีอย่างไร ก็เป็นคนบาป”

คอยซ้ำเติม คอยกล่าวโทษ มารซาตานมีอีกชื่อหนึ่ง ในความหมายนี้ว่า “เป็นผู้กล่าวโทษ” ซาตาน แปลว่าผู้กล่าวโทษ …

“นี่ เธอบาปๆ”

มารเป็นผู้มีหน้าที่กล่าวโทษ ย้ำยืนยันว่าเราเป็นบาป เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ดีพร้อม ตามบัญญัติ ที่พระเจ้าได้เขียนเอาไว้ได้ โดยไม่ละเมิด แม้แต่จุดๆ เดียว เพราะเราเกิดมาเป็นคนบาป ในวิญญาณก็บาป มีธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่แล้ว

“ต่อต้านพระเจ้า” คือต่อต้านกับความดีงาม เป็นคนอธรรม คนชั่วอยู่แล้ว มันมีแนวโน้ม 100% ที่จะไปทำชั่วอยู่แล้ว พยายามฝืนมันเท่าไรได้ไหม? ได้ คนไหนฝืนมาก ก็ได้มาก แต่จะได้มากเท่าไร มันก็ฝืนไปไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะข้างในลึกๆ ตัวแกนมันบาป มีพลังต่อต้านอยู่ข้างใน

ในหนังสือกาลาเทีย 3:10-11 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่าถ้ายังอยู่ในกฎนี้อยู่ กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งความบาป การกระทำ ความประพฤติดีหรือชั่ว ถ้าเรายังอยู่ในกฎนี้อยู่ เราตายลูกเดียว เราถูกสาปแช่ง พระคัมภีร์จะบันทึกไว้อย่างนี้เลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

ย้ำอีกที “นี่คือความจริง ความรู้ในโลกวิญญาณ” ต้องคอยย้ำอยู่เรื่อยๆ

กาลาเทีย 3:10-11 “10 เพราะว่า​คน​ทั้ง​หลาย  ​ซึ่ง​พึ่ง​การ​ประพฤติ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​  ก็​ถูก​​สาปแช่ง เพราะ​พระ​คัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘ทุก​คน​ที่​ไม่ได้​ประพฤติ​ตาม​​ข้อความทุกข้อ ที่​เขียน​ไว้​ในหนังสือ​ธรรมบัญญัติ​ ก็​ถูก​สาป​แช่ง’ 11 เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า  ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ”

 

“ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ด้วยธรรมบัญญัติ”  ก็คือธรรมบัญญัติไม่มีทางทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ นอกจากความเชื่อเท่านั้น

“เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง’ ให้พินาศในบึงไฟนรก”

พินาศตั้งแต่ก่อนบึงไฟนรก ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และพินาศหลังความตาย ก็ไปอยู่ที่บึงไฟนรก เพราะว่าเขาอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำนี้อยู่

“เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง” ก็คือใครก็ตาม มนุษย์บนโลกใบนี้ ที่ดำเนินชีวิต โดยพึ่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ก็คือกฎของศีลธรรม ก็คือกฎแห่งการทำดีและทำชั่ว  ผมไม่ได้พูดด้วยตัวเอง  พูดจากถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เลย

มนุษย์ทั้งหลายที่พึ่งการกระทำดีและกระทำชั่ว สั่งสมความดี ละความชั่วทั้งหลาย ก็ถูกสาปแช่ง ไม่อยากพูดเลย ผมรู้ว่าหลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ แล้วก็นึกว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? ผมจึงย้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสติปัญญา เป็นเรื่องความรู้ทางโลกวิญญาณ

ไม่มีทางที่เราจะใช้สติปัญญา หรือความคิด หรือตรรกะแบบมนุษย์มาเข้าใจได้  ไม่มีทาง  มันต้องเริ่มต้นด้วย สนใจ เชื่อว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วค่อยๆ อธิษฐาน ค่อยๆ มองไป รับฟังไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจเองว่ามันคืออะไร? ตามที่ผมบอก ชัดเจนเลย

พระเยซูจึงต้องมายกเลิกกฎเหล่านี้ … กฎเหล่านี้ คือกฎแห่งการกระทำตามบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำตามความดี ความชั่ว ยกเลิกกฎเหล่านี้ เราดูในยากอบอีกข้อหนึ่ง  ก็ได้ระบุอย่างนี้เหมือนกันเลยว่ากฎเหล่านี้มันเป็นอันตรายกับเราอย่างไร? มันฆ่าเราโดยวิธีอะไร? ลองอ่านดู ยากอบ 2:10 …

ยากอบ 2:10 “เพราะว่าใครที่รักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด”

 

เห็นไหม? มนุษย์คนใดก็ตาม รักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียวเอง คนนั้นก็ทำผิด  ตามธรรมบัญญัติทั้งหมด ผิดข้อเดียว ก็สอบตก พูดง่ายๆ ผู้ใดจะเข้าสอบด้วยตนเอง ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติด้วยตนเอง  พึ่งพาการกระทำของตนเอง  ต้องสอบได้ครบ 100 คะแนน ผิดข้อเดียว ก็ถือว่าสอบตก ถูกหรือไม่ถูก? อ่านตาม แล้วฟังที่ผมอธิบายไปด้วย

ผู้ใดที่คิดว่ากฎศีลธรรมนั้นดี และจะทำให้เราไปสวรรค์ ลด ละ กิเลสได้เยอะ จนกระทั่งเราหมดกิเลสเลย ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณต้องทำได้ตามนั้นจริงๆ ครบหมดเลย แม้คิด ก็เป็นกิเลสอันหนึ่งแล้ว มันจะทันไหม? ที่หมดลมหายใจบนโลกใบนี้ เหลืออีกไม่กี่ปี ท่านจะสู้กับมันด้วยความดีงาม จนไม่มีผิดอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว มีไหมโอกาส ไม่มีเลย เมื่อไม่มี ก็อาจจะถูกหลอกว่า …

“เมื่อตายไปแล้ว ก็จะทำใหม่ต่อ เพิ่มพูน สะสมความดีต่อไป วันหนึ่ง ชาติหนึ่งข้างหน้า จะได้หมดบาปสักทีหนึ่ง ถูกหรือไม่ถูก? และพระเยซูว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่ามนุษย์มีโอกาสครั้งเดียวเอง ก็คือเมื่อวิญญาณออกร่าง ท่านพินาศ ท่านก็พินาศอยู่ที่เดิม เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ก็คือเมื่อตาย ถ้าท่านยังอยู่ในกฎแห่งการกระทำดี ทำชั่วอยู่ ยังรักษาความดีงาม พึ่งในการกระทำดีของตัวเองอยู่ ท่านอยู่ในความตายอยู่ เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ท่านก็อยู่ในความตายนั้น แล้วก็ไม่มีการมานั่งเกิดใหม่อีกแล้ว ไม่มี ไม่มีมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นอะไรต่างๆ ไม่มี

นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้ประกาศเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ผมพูดเองเลย อยากให้ท่านลองเอาไปศึกษาดู ถ้าท่านไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งแย้งว่าไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้พูดเองว่าเป็นความจริงในโลกวิญญาณ มนุษย์เอ๋ย จงฟัง ใครมีหู จงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด โลกวิญญาณมันเป็นเช่นนี้ แล้วท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณนั่นแหละ และโลกวิญญาณนี้จะอยู่ไปนิรันดร์

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตามความเป็นจริง ตามถ้อยคำพระเจ้าจึงไม่มีใครบาปกว่ากัน ถูกไหม? จากข้อความนี้ เราอ่านปุ๊บ เรารู้เลย ไม่มีใครบาปมากกว่ากัน บาป ก็คือสอบตก  ก็สอบตกหมด จะสอบได้ 99 คะแนน ตกไหม? ตก บางคนสอบได้แค่ 50 คะแนน ตกไหม? ก็ตกเหมือนกัน สำหรับพระเจ้า ถ้าไม่ได้ 100 ก็ตก พระเจ้าไม่ได้มานั่งมองว่าคนนี้น่าเห็นใจ ได้ตั้ง 98  ตก คนนี้สมน้ำหน้า ได้แค่ 1 คะแนนเอง ตก พระเจ้าไม่ได้มาคิดอย่างนั้น เกณฑ์ของพระเจ้าในการตัดสิน ก็คือตก จบแล้ว เกณฑ์วัด ครบ 100 ขึ้น ต่ำกว่าร้อยตก ไม่มีมาก มีน้อย แต่หลักการของโลกใบนี้ เห็นไหม? สติปัญญาของโลกนี้ มนุษย์ทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎของการกระทำดีและทำชั่วใช่ไหม?  กฎแห่งศีลธรรม ยิ่งทำดีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าเราทำดีมากกว่าคนอื่นเขา เราต้องได้ดี

การทำดี ได้ดี มันมีจริงๆ นะ แต่มันมีเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เท่านั้น อย่าถูกหลอก และโลกใบนี้ ที่บอกว่าทำดีได้ดี มันก็ไมค่อยชัดเจนเลย แต่แนวโน้มไปได้ดี มีเยอะ ชัดเจน คืออย่างน้อย อยู่สุขสบาย ไม่ทุกข์กาย ทุกข์ใจมากจนเกินไปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่โลกใบนี้อยู่ในการสาปแช่ง อยู่ในความเสียหายแล้ว มันก็ทุกข์ธรรมดา แต่ถ้ารู้จักการกระทำดีมากๆ ผลบนโลกใบนี้มีไหม? มี ดีไหม? ดี แต่อย่างที่พระเยซูบอก ดี มันมีประโยชน์บ้าง แต่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับประโยชน์ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านมาพึ่งในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในกฎใหม่ ในวิญญาณในชีวิตนั้น มันมีประโยชน์มากกว่าเยอะ

มนุษย์บอกว่าทำดีได้ดี แล้วก็หวังว่าการทำดีนั้น มันจะไปเกิดประโยชน์ในทางวิญญาณ จะได้ดีด้วย มันคนละเรื่องกัน เขาบอกมันเป็นคนละเรื่องกัน กฎของวิญญาณ ก็กฎของวิญญาณ  กฎของเนื้อหนัง ระบบของโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น ก็อีกอย่างหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น กฎของแรงดึงดูดของโลก ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎในโลกวิญญาณว่ามนุษย์เป็นคนบาป มันคนละเรื่องกัน วันหนึ่งข้างหน้า กฎของแรงดึงดูดของโลกจะหมดไปไหม? หมด เมื่อโลกจบไป อันนี้มันก็หมดไปด้วย

กฎของร่างกาย เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา มีระบบเผาผลาญในร่างกายมีไหม? มี ถ้าท่านไม่มีออกซิเจนท่านก็ตาย นี่มันคือละเมิดกฎ แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะโลกที่ตามองเห็น หรือเรียกว่าโลกเนื้อหนัง ที่จับต้องมองเห็นได้เท่านั้น ในโลกวิญญาณมันคนละเรื่องกันเลย ตายในระบบของโลก ในระบบเนื้อหนัง ก็อีกแบบหนึ่ง ตายในโลกวิญญาณ ก็อีกแบบหนึ่ง อย่าเอาการกระทำของบนโลกวัตถุนี้ ข้ามไปใช้ในโลกวิญญาณ  ซึ่งมันใช้ไม่ได้

และอะไรอยู่คงทนถาวรกว่า? โลกวิญญาณอยู่ถาวรกว่า เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็จะคิดอย่างนี้แหละ ถูกไหม? คิดตามโลกมนุษย์ ก็คือคนนี้ รักษากฎได้มาก ได้ 99 ได้รับการสรรเสริญ ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรต่างๆ พระเยซูบอกไม่? สอบตกเหมือนกัน  และคนที่ทำดี ได้ 99 ก็จะมองคนที่ทำดีได้ แค่ 10 คะแนน แบบดูถูกเหยียดหยาม

นี่คือท่าทีของชาวยิวในสมัยอดีต ที่มองพวกชาวต่างชาติ เป็นอย่างนี้แหละว่าเราชนต่างชาติ รู้จักพระเจ้าก็ไม่รู้จัก เป็นพวกป่าเถื่อน ศีลธรรมก็ไม่มี ปฏิบัติก็น้อย  “ปฏิบัติ” หมายถึงนมัสการพระเจ้า ด้วยพิธีกรรมต่างๆ ศีลธรรมก็น้อยกว่าเขา พวกนี้ เขาเรียกว่าโอกาสที่จะเจอพระเจ้า ได้รับความรอดแทบไม่มี อะไรอย่างนี้ แต่ของเขาสูงกว่าเยอะ แล้วตัวพวกเขาเอง ก็แบ่งพวกเอง คนทำได้เยอะๆ  พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกเคร่งศาสนาต่างๆ ก็มองคนเก็บภาษี หรือพวกหญิงโสเภณีว่าพวกนี้อยู่ห่างไกลสวรรค์มาก  เพราะทำบาปเยอะ  ส่วนพวกเราทำบาปน้อย ได้คะแนนเยอะ เพราะฉะนั้น เราอยู่ใกล้สวรรค์มากกว่า เราเป็นคนชอบธรรม พระเยซูบอกว่าพวกหน้าซื่อ ใจคด ไม่รู้เหรอว่าข้างในเป็นอย่างไร? ข้างในกับเขาเท่ากัน ไปบอกเขาเป็นหญิงโสเภณี ท่านข้างในยิ่งกว่าหญิงโสเภณีอีก เพราะเป็นหญิงโสเภณีที่ไม่รู้ตัว หญิงโสเภณีที่ท่านเห็นนั้น เขายังรู้ตัวว่าเขาเป็นหญิงโสเภณี เขาเป็นคนบาป แต่ท่านเป็นหญิงโสเภณี เป็นผู้หน้าซื่อใจคด และไม่รู้ตัวเองอีก แถมไปสอนคนอื่นอีกว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม มันบาปเท่ากันนั่นแหละ พระเยซูมาอธิบายให้ฟังอย่างนี้

เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าทั้งสองอันเป็นความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณ ก็เป็นความจริง ความจริงในโลกวัตถุก็เป็นความจริง ความจริงในโลกเนื้อหนังก็เป็นความจริง ถ้าเผื่อเอามาใช้ผิดที่ มันก็จะต่อต้านกัน

ข้อที่ 14 ตรงประโยคสุดท้าย  ที่บอกว่า “พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

ขอบคุณพระเจ้า ตรึงไว้บนกางเขน ตรึงอย่างไร? ก็เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน นึกถึงภาพของพระเยซู ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ 1 คน เหมือนเราทั้งหลายเลย เกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา คลอดจากครรภ์มารดา เหมือนเรา มีเลือด มีเนื้อเหมือนกัน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จะได้เป็นตัวแทนของเรา มนุษยชาติ ในการตายพร้อมกับพระองค์ ตายจากชีวิตเดิมที่เป็นทาสเขา ตายจากชีวิตเดิม ตายเมื่อไร? จะได้ตายพร้อมกับพระองค์เลย

ย้ำอีกที เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ตายพร้อมพระองค์ จากชีวิตเดิม ซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำตามบทบัญญัตินี้ ที่เราอธิบาย มาตอนต้น ที่ทำดีอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดออกจากมัน วิธีหลุดออกจากมัน คือต้องไปตายซะ มนุษย์เป็นคนชั่ว เป็นคนเลว เป็นคนบาป โดยกำเนิด ฟังให้ดีๆ ตั้งแต่แกนชีวิต  ตั้งแต่เกิด และว่ากันตามจริง ตั้งแต่ก่อนเกิดด้วยซ้ำ ตั้งแต่อยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษของเรา ซึ่งก็เปรียบเหมือนตัวแทนของเรา ถูกหรือไม่ถูก?

พอเราเกิดในอาดัมมาปั๊บ DNA ในอาดัม เราก็เป็นบาปทันทีเลย ต่อให้ทำดีอย่างไร ตัวก็เป็นบาป พระเจ้ามาช่วยมนุษย์ โดยวิธีการอะไร? มาสอนให้ทำดีมากๆ หรือเปล่าเลย พระเยซูมา เพื่อให้กำลังเราทำดีเยอะๆ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก มาทำอะไร? มีทางเดียวเท่านั้น  ที่จะช่วยเหลือมนุษย์เหล่านี้ได้ เพราะเขาเกิดมาบาป ก็ต้องให้เขาตาย ตัวบาปตายไปเลย ตายแล้วจะได้เกิดใหม่ได้ เกิดใหม่ไม่ได้ ถ้าเผื่อไม่ตายก่อน เป็นคนบาปอยู่ดีๆ แล้วไปเกิดใหม่ได้ไหม? ไม่ได้

การที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นการกระทำ เป็นหัวหน้าของมนุษยชาติ เพื่อแบกรับเอาความบาป ความชั่วร้ายทั้งหลายของมนุษย์ไว้ที่ตัวพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายต่อบาป  มนุษย์ทั้งหลายได้ตายจากบาป โดยว่ากันตามจริงแล้ว ตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน มนุษย์ทั้งหลาย ได้รับการฆ่าให้ตาย พร้อมกับพระองค์ ฆ่าให้ตายจากอะไร? จากชีวิตเดิมที่อยู่ในบาป ในอาดัมแล้ว แต่ว่ามันจะเกิดผลขึ้น ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้น ได้รับรู้ความจริงเรื่องนี้ แล้วยอมรับว่ามันเป็นจริง รับสิทธิของตนเองที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ที่ไม้กางเขน มันจึงจะเกิดผลไง

เพราะเหตุนี้ พระเยซูจึงต้องมาประกาศบอกก่อน และบอกจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ว่าพระองค์กระทำสิ่งนี้ ประกาศให้มนุษย์ได้รู้ข่าวดีนี้ ข่าวดีหรือข่าวร้าย มนุษย์สามารถเป็นอิสระหรือได้เป็นอิสระแล้ว จากกฎของการกระทำดี กระทำชั่ว กฎของการเป็นคนบาป  เป็นทาสเขา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย มีเจ้าหน้าที่ไปประกาศให้ชาวแอฟาริกันและชาวไทยในสมัย ร.5 และลินคอนส์ตอนนั้นว่าเขาประกาศเลิกทาสแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้ว ข่าวดีหรือข่าวร้าย? ข่าวดี นี่แหละสิ่งที่บอกว่าข่าวดีในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีในสมัย ร.5 ข่าวดีในสมัยลินคอนส์มาถึงแล้ว แต่ถ้าเขาไม่รับ ในข่าวดีนี้ เขาก็ยังยอมเป็นทาสอยู่เหมือนเดิม ก็ถูกเจ้านายหลอกใช้เขาเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เขาเป็นอิสระแล้ว แต่เขาไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ยอมใช้สิทธิของเขา พระเยซูมาทำสิ่งนี้

ตรงนี้เรียกว่ายกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ นี่เรียกว่าเป็นอิสระ จากการเป็นคนบาป ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเองอีกต่อไป ย้ายจากกฎของการพึ่งตนเอง มาสู่กฎใหม่ เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เรียกว่ากฎพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่พึ่งการกระทำของตนเองอีกแล้ว ต่อให้ทำได้ 0 คะแนน ก็ผ่าน นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ เป็นเรื่องจริงๆ เลย

ในหนังสือโรมสรุปว่าถ้าเรายังอยู่ในอาดัมเหมือนเดิม ในโลกวิญญาณ เราทำบาปครั้งเดียวก็ถูกลงโทษแล้ว แล้วมีใครบ้างไม่ทำ ก็ทำทุกคนแหละ ก็เลยเป็นคนบาป แต่พอมาอยู่กฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้เกิดในโลกวิญญาณ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จากอดีตอยู่ในอาดัม ทำบาปครั้งเดียว ก็เป็นคนบาป แต่พอถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทำบาปหลายๆ ครั้ง ก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

ถามว่าทำบาปหลายๆ ครั้ง แล้วยังเป็นคนไม่บาปอยู่ เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ได้อย่างไร? ก็มันเกิดใหม่มาเป็นผู้ชอบธรรมไง ในอดีต ทำบาปครั้งเดียวเป็นบาป ก็มันเกิดมาบาปไง แสดงว่ามันอยู่ที่วิญญาณข้างใน มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก นี่คือกฎ ที่พระเจ้าได้วางไว้ ท่านเลือกเอาก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้น พระเยซูมาเลิกกฎการเป็นทาสเหล่านี้แล้ว เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่ามันมีอยู่ 2 กฎเท่านั้น คือ … กฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ กฎแห่งศีลธรรม การทำดี ทำชั่ว

และกฎแห่งการเชื่อและวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์

ตอนนี้มี 2 อันให้เลือก  เพราะพระเยซูมาเลิกกฎ  แสดงว่ากฎเก่ามันยังอยู่ แต่พระองค์มาเลิกแล้ว    เมื่อเลิกแล้ว   ท่านจะเชื่อใคร?    เมื่อ ร.5 ยกเลิกกฎแห่งการเป็นทาสแล้ว   เมื่อ ลินคอนส์ยกเลิกการเป็นทาสแล้ว ท่านจะเชื่อใคร? ท่านจะเชื่อ ร.5 หรือเชื่อลินคอนส์ดี หรือจะเชื่อเจ้านายเดิม ที่บอกว่า …

“ไม่มีการเลิกจริง กฎนี้ ยังใช้อยู่”

ลักษณะเดียวกัน ท่านจะยอมอยู่ในกฎเดิม กฎแห่งเวรกรรม ต้องชดใช้ ก็คือกฎแห่งการทำดี ทำชั่ว ต้องชดใช้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ย้ำอีกที ที่พูดมาทั้งหมดนี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ผลในโลกวิญญาณ กฎเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านพึ่งพาตนเอง วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อท่านหมดลม ท่านก็จะพินาศ เพราะพึ่งตนเอง ไม่มีทางที่ท่านจะทำได้ทุกจุด ทุกขีดอยู่แล้ว ท่านเป็นทาสของความบาปอยู่แล้ว หรือท่านจะยอมเปลี่ยนมาอยู่ในกฎพึ่งพระเยซูคริสต์ ซึ่งในโลกวิญญาณ คือเมื่อพึ่งในพระเยซูคริสต์ ก็เกิดผลในโลกวิญญาณเหมือนกันนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบนโลกวัตถุ  เมื่อท่านเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ เมื่อวันที่วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านก็อยู่ที่เดิม  ท่านก็เป็นคนชอบธรรมเหมือนเดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิมกับพระเจ้า และจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์

นี่คือความจริง ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ ท่านเลือกเอา มี 2 กฎเท่านั้น จะเชื่อตัวเองต่อไป หรือจะเชื่อพระเยซู จะพึ่งในการกระทำดีของตนเองต่อไป หรือจะพึ่งในการกระทำดีของพระเยซู จะพยายามไขว่คว้าไปหาสวรรค์ด้วยตัวท่านเองว่าทำดี ได้ดี ฉันจะเอาความดีนี้ ไปส่งผลในสวรรค์ให้ได้ ให้มันเกิดขึ้นในสวรรค์ให้ได้ พยายาม ท่านก็จะพบว่าความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่นตลอดไป จนหมดลมหายใจ ท่านก็ยังจะพยายามอยู่ไปถึงชาติหน้า ชาติโน้น ชาตินี้ ก็ว่าไป ถ้าท่านไม่ละความพยายาม แต่ถ้าท่านละความพยายาม แล้วมาพึ่งพระเยซู ท่านจะได้พักและหายเหนื่อยตาม ที่พระเยซูบอก

พักหายเหนื่อย หมายถึงวิญญาณท่านจะได้พักหายเหนื่อย และเป็นสุขทางวิญญาณ เพราะวิญญาณท่านจะรู้ว่าท่านอยู่ในความรอด จากการเป็นคนบาป  วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเหมือนเดิม ท่านต้องเลือกเอาว่าจะอยู่ในกฎไหน? กฎที่จะพึ่งพาตนเอง ในการไปสวรรค์ด้วยตนเอง พึ่งพาการกระทำดี สั่งสมการกระทำดี หรือจะพึ่งพระเยซูในการกระทำของพระเยซูอย่างเดียว ไม่พึ่งตนเอง จบเลย ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว บนโลกใบนี้ …

“ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันในใจในโลกวิญญาณว่าฉันเชื่อพระเยซู ฉันไปสวรรค์แน่ ในโลกใบนี้ ฉันจะทำดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะมันทำให้มีความสุข พระเจ้าก็มีความสุข ฉันก็มีความสุข ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเอง”

แต่ในโลกวิญญาณคนละเรื่องกัน ถ้าท่านไม่เอาตามนี้ ท่านยังคิดที่จะพยายามสั่งสมความดี พึ่งบารมีของตนเอง เดี๋ยวก็ผิด เดี๋ยวก็พลาด มันเหนื่อยนะ และพระเยซูบอกว่าอย่างไร? บอกท่านพยายามอย่างนี้ต่อไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น  อย่างผมยังบอกว่าไม่มีทางสำเร็จได้ พระเยซูตรัสหนักกว่านั้น ให้เห็นชัดเลยว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ถ้าท่านพยายามทำด้วยตนเอง และให้ดีบริบูรณ์ ครบถ้วน 100% เพราะว่าจะเปรียบเหมือน เอาอูฐเข้ารูเข็ม อย่าว่าแต่อูฐเลย เอาเม็ดแตงโมเข้ารูเข็ม ก็ไม่ไหวแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย เอาอูฐเข้ารูเข็ม พึ่งในความดี ความชอบธรรมของตัวเอง แล้วจะไปสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้เลย สาวกก็ถามว่าแล้วใครจะทำได้ล่ะ เข้าสวรรค์ ขนาดทำแบบฟาริสี  ทำตั้งเยอะ  เคร่งศาสนาตั้งมาก  ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเยอะเลย ยังไม่ได้ไปสวรรค์อย่างนี้ และใครจะทำได้ พระเยซูบอก สำหรับมนุษย์ ก็คือมนุษย์พยายามทำ อย่างไรก็ไม่ได้หรอก มันเหลือกำลัง เพราะว่าเป็นคนบาป แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ก็คือมาเชื่อในพระเยซู เป็นไปได้ ให้คุณบังเกิดใหม่ มาเชื่อพระเยซู แค่นั้น คุณก็ได้บังเกิดใหม่ มันง่ายนิดเดียว จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข

นี่คือสิ่งที่สำคัญ เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ก็คือมันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ เมื่อท่านรับสิทธิของท่าน เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่ามันจะเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด ไม่ใช่รอให้ตาย แล้วจึงจะเกิดขึ้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตัดสินใจเปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนกฎ ไม่เอาแล้ว ไม่พึ่งพาตนเอง  และมาพึ่งพระเยซูอย่างเดียว เชื่อและวางใจในพระเยซู ในโลกวิญญาณก็จะเกิดอย่างที่อธิบายมาทั้งหมดนี้ ทันที ท่านจะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ทันที กฎนี้มีชื่อว่ากฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์

กฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ท่านจะถูกย้ายออกจากกฎของความบาปและความตาย มาอยู่ในกฎของพระเยซูคริสต์ ท่านจะถูกย้ายออกจากอาณาจักรวิญญาณที่เรียกว่าความพินาศ เรียกว่าความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าทันที เกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ เห็นไหม? ในโลกวิญญาณ กำกับไว้ และโลกวิญญาณมันอยู่ตลอดไป เมื่อทิ้งร่างกายนี้ไป ท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณเหมือนเดิม ท่านก็อยู่ในที่เดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

เพราะฉะนั้น ท่านสามารถพิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ถึงพิสูจน์ เมื่อท่านรับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันจะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านทันที และท่านจะรับรู้ได้ โดยวิญญาณของท่านเองว่าใช่แล้ว ที่เคยทำอะไรมาในอดีต ที่พึ่งพาตนเอง เพื่อจะไปได้ผลในโลกวิญญาณ มันก็จะหยุดไปเลย มันก็จะเลิกทำ ท่านเชื่ออะไรก็ตาม ท่านทำอะไรก็ตาม ที่ท่านคิดว่ามันจะส่งผลในโลกวิญญาณ

ยกตัวอย่างว่าทำความดีอย่างนี้ไว้นะ ซื้อโลงศพเอาไว้ ให้กับคนอนาถา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ ท่านก็จะเลิกทำ แต่คำว่าเลิกทำ คือเลิกทำด้วยเหตุผลที่บอกว่าทำ เพื่อจะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านจะทำเหมือนกัน ซื้อเหมือนกัน แต่ซื้อ เพื่อเห็นแก่ความเมตตาต่อคนยากไร้ ที่ไม่สามารถมีกำลังจะซื้อโลงศพได้  พอเข้าใจไหม?

มันจะเกิดขึ้นในวิญญาณของท่านเอง ท่านจะเลิกปล่อยปลา ปล่อยเต่า เพื่อที่จะไปสวรรค์ พอเข้าใจใช่ไหม?  แต่ท่านจะมีเมตตาต่อสัตว์ตามปกติวิสัย เพราะคนจะมีเมตตามากขึ้น ท่านจะลด เลิก ละ กิเลส ไม่ใช่ท่านลด ละ เลิกกิเลส เพื่อจะไปสวรรค์ แต่ท่านเลิก ละ กิเลส เพราะท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว ท่านเลยเลิกนิสัยเก่า  เพราะว่านิสัยใหม่ของท่าน ตัวใหม่ของท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด นี่มันจะเป็นอย่างนี้

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่ผมพูดนี้ มันเกิดขึ้นทันทีที่ในโลกวิญญาณ และมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ ในขณะนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวิญญาณเราออกจากร่างนี้ เรียกว่าตาย ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป (เป็นไปทั้ง 2 อย่าง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในกฎไหน มันก็จะเป็นอย่างนั้น) เพราะฉะนั้น ท่านจะอยู่ในความพินาศตลอดไป  หรือจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับท่านตัดสินใจ ด้วยตัวท่านเองจริงๆ  ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรท่านได้แล้ว ผมก็ได้แค่ประกาศข่าวดีให้กับท่านเท่านั้นเอง  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*******************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

กฎฝ่ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน มนุษย์ลอยคอยู่ท่ามกลางทะเลความบาป ด้วยกฎศีลธรรมดีและชั่วที่ถูกเขียนอยู่ในจิตใต้สำนึก  ไม่ช้าไม่นานก็ถูกดูดจมลงในบาป  เมื่อหมดแรง แม้มองไม่เห็น เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม กฎของความบาปและความตาย กฎศีลธรรม กฎแห่งการกระทำดีหรือชั่ว กฎตาต่อตาฟันต่อฟันทำอะไรได้อย่างนั้น ก็ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อยู่จริงเกิดผลเสมอกับทุกคนบนโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นใครเชื้อชาติใดอยู่ที่ไหนดีหรือเลวเท่าเทียมกัน

 

โรม 5:12 “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตาย  จึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

โรม 5:15-19 “แต่ของประทานนั้น  ต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย  เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระคุณของพระเจ้า  และของประทาน  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น  ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก! และของประทานจากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว  และนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งและนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว  เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครอง  ผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  บรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณและของประทานแห่งความชอบธรรม  ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น  ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว  คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น  การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว  ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว  ก็ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้  นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว  ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”

พระเจ้าอวยพรครับ