วารสาร Holy News ฉบับที่ 1346

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มกราคม  2022

เรื่อง “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

วันนี้มาคุยรายละเอียดเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เรื่องความจริงของพระเจ้าแบบเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ ที่เรียกกันว่าคำเทศนา คำบรรยาย การประกาศต่างๆ เหล่านี้ เรื่องของข่าวดี หรือเรื่องของพระเยซูคริสต์ หรือเรื่องเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ หรือเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งนั้น ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ 99% แต่เป็น 100% เกินร้อยอีก เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ฉะนั้น อะไรที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกอย่าให้เราไปสนใจมาก อย่าไปฝากความหวังไว้มาก เหมือนบทเพลงเมื่อสักครู่นี้ เชื่อและวางใจในพระเยซู ให้พระองค์ทรงนำไป  ในทางโลก สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกให้เป็นอย่างนี้ แต่ในเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่เชื่อ และให้พระเยซูนำไป เพราะในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้เราสำเร็จแล้วนั้น มันต่างกันนะ

การเชื่อวางใจในพระเจ้า หมายถึงเชื่อและวางใจในชีวิตที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆ วางใจพระองค์ เพราะเราไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องเกิดขึ้นอย่างนั้น ทำไมต้องเกิดโควิดกับเรา เราก็อธิษฐานเยอะนะ เราก็เชื่อพระเจ้าจริงๆ เราก็ระมัดระวังแล้ว ทำไมเกิดขึ้นกับเรา ทำไมเป็นอย่างโน้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ยุคนี้จะล้างโลกด้วยโควิดอย่างนั้นหรือ? ใครเอาโควิดมา? วุ่นวายไปหมด พระเยซูบอกอย่าไปสนใจ เพราะมันเป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วบนโลกใบนี้ พระเยซูบอก ตั้งแต่โลกวิญญาณ ที่ล้มลงไปในความบาป ความชั่วร้าย คำสาปแช่ง บนโลกใบนี้ มันเกิดมาตลอดแหละ โควิดมันเกิดมาตั้งหลายพันปีแล้ว แต่เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นโรคภัยไข้เจ็บไปเรื่อยๆ

ภูเขาถล่มทลาย แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติทั้งหมด มันเกิดมาแล้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไร หนักกว่านี้ก็มี แล้วแต่บรรดามนุษย์จะไปค้นพบในอดีตว่ามันมีหลักฐาน มันเสียหายอย่างไร? เมืองทั้งเมืองจมลงไปในบาดาลก็มี โรคภัยไข้เจ็บที่รักษาไม่ได้เลย ฆาตชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้เกือบทั้งหมดก็มี โควิดก็เป็นอันหนึ่งเท่านั้นเอง ที่มันเกิดขึ้น จงรับรู้ความจริงเหล่านี้ ที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกว่าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อย่าหวังอะไรกับโลกใบนี้เลยว่ามันจะมีแต่ความสุข เพราะพระองค์บอกว่ามันมีแต่ความทุกข์ เป็นเรื่องธรรมดา พระองค์บอกแต่ว่าเราชนะโลกนี้แล้ว

“เรา” คือพระเยซูคริสต์ “พระเยซูคริสต์” คือพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา ตอนนี้ ที่เราเชื่อ แล้วชนะอย่างไรล่ะ? ก็วางใจในพระองค์ พระองค์นำพา เหมือนบทเพลงที่เราร้องกัน พระองค์ก็นำพาเราวันต่อวันว่ากันไป วันนี้ไปเจออันนั้น เจอโควิด วันหน้าเจอโคขวิด วันต่อไปปีหน้าโน้นเจอควายขวิด เจออันโน้นเจออันนี้ ก็ว่ากันไป พระเยซูสถิตอยู่ในเรา นี่แหละ คือความไว้วางใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะดี จะเลว ที่เกิดขึ้น พระเยซูบอกว่า …

“เราจะสอนให้เจ้าเดิน เดินไปกับเรา ไม่ต้องกลัว แล้วเจ้าจะเรียนรู้ความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ได้”

ฟีลิปปี 4:13 บันทึกเอาไว้อย่างนั้น  พระองค์จะเสริมกำลัง จะสอนเรา ให้เราได้เรียนรู้การเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก กับการเผชิญกับความสุขสบาย ความสุขสบายก็ต้องเผชิญนะ ไม่อย่างนั้น ไปหลงมันอีก ก็เป็นทุกข์ เพราะโลกใบนี้มันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราไม่มีทางจะเห็นเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันวิปริตไปแล้ว คนทำดีดูเหมือนน่าจะได้ดี แต่กลับได้ไม่ดีเยอะแยะไปหมด คนทำไม่ดี มันน่าจะไม่ได้ดี แต่ดูเหมือนเขาได้ดีบนโลกใบนี้เยอะแยะไปหมด แล้วเราจะว่าอย่างไร? ก็พระเยซูบอกแล้วอย่าไปมองตรงนั้น พระเยซูจะสอนเสมอว่าให้เรามองที่โลกวิญญาณ อย่ามองที่โลกวัตถุ อย่าแสวงหาสิ่งของที่เป็นโลกวัตถุ อย่าแสวงหาทรัพย์สมบัติที่เป็นสิ่งของที่มองเห็นได้ คือโลกวัตถุ

ทรัพย์สมบัติ คือสิ่งที่เราอยากได้ เราชอบ เราพอใจ เราเพ่งดู ก็คือสิ่งที่เราชอบ เพราะฉะนั้น อย่าชอบในสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะมันเปลี่ยนแปลงไป มันมีแต่ทุกข์ แต่ให้แสวงหาความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ โลกวิญญาณสำคัญกว่ามากเลย จงแสวงหาทรัพย์สมบัติในฝ่ายวิญญาณ จงแสวงหาทรัพย์สมบัติในสวรรค์

สวรรค์ คือโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง และสถานที่เดียว ที่มีอยู่ในโลกวิญญาณ คือสวรรค์

สวรรค์ หมายถึงสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง มีชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ ให้แสวงหาความจริงในนั้น และเราจะมาประกาศให้ท่าน คือจะมาชี้แจงให้ท่าน จะมาบอกท่าน ถึงความจริงในโลกวิญญาณว่าในสวรรค์มันเป็นอย่างไร? เราจะมาเปิดตาท่าน ให้ท่านได้รู้ พระเยซูต้องการมาสอนเราอย่างนี้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเยซูคริสต์แล้วหรือไม่ก็ตาม ปลีกเวลาสักนิดหนึ่ง สนใจเรื่องของโลกวิญญาณ แสวงหาโลกวิญญาณ เรามาจากไหน? เราจะไปที่ไหน? เขาว่าอะไรกันบ้าง? มีหลักการความเชื่อต่างๆ บนโลกใบนี้ อะไรบ้างที่พูดถึงโลกวิญญาณ มีใครบ้าง? มีหลักการในโลกวิญญาณ หรือความเชื่อตรงไหนบ้าง? ที่รับประกันว่าในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตบนโลกใบนี้สิ้นสุดเมื่อไร? โลกวิญญาณที่เราไปพบเจอหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร? การันตีว่ามันเป็นอย่างไร?  และเป็นสุข พ้นทุกข์นิรันดร์ได้ตามที่เขาการันตีหรือไม่? มีเหตุมีผลอย่างไร? เราควรจะเรียนรู้

นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศให้มนุษยชาติ พระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงรักมนุษย์มาก ต้องการมาช่วยมนุษย์ แต่สิ่งเดียวที่จะช่วยมนุษย์ได้ อันดับแรก คือต้องเปิดตาให้เขาได้รู้ก่อน เขาได้รู้ความจริงว่าที่เขามองไม่เห็นในโลกวิญญาณนั้น มันเป็นอยู่กันอย่างไร? มันมีอะไรบ้างเกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ ก็เดินสะเปะสะปะ เหมือนคนตาบอด คนตาบอดไม่พอ ไปสอนคนตาบอดด้วยกัน ก็ไปกันใหญ่เลย แต่พระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง มาเปิดตาให้คนตาบอด

เพราะฉะนั้น พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ท่านลองสังเกตดูง่ายๆ ไม่ได้สอนอะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น  โลกใบนี้จะเกิดอะไรขึ้นอย่างไร? สรุปจบที่ง่ายๆ ว่ามันมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว และบนโลกใบนี้มีแต่ความเสื่อมโทรม สูญสิ้นไป มีแน่นอน แต่พระองค์มาเล่าเรื่อง บอกเรื่อง ประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ คืออาณาจักรสวรรค์ คือโลกวิญญาณว่ามันเป็นเช่นไร? ดังนั้น ท่านจะสังเกตดูได้พระเยซูมาบนโลกใบนี้ ไม่เหมือนศาสดาของผู้ก่อตั้งหลักข้อเชื่อต่างๆ บนโลกใบนี้เลย  ที่มีหลักการที่ดี สอนให้คนทำดี สอนให้คนมีศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ศีลธรรม คือกฎหมายในการอยู่ร่วมกัน ในฐานะมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ไม่เบียดเบียนกัน เอื้ออำนวยผลให้กันและกัน แบ่งปันกัน ช่วยเหลือกัน รักกัน สามัคคีกัน นี่คือหลักการทั่วๆ ไป ซึ่งก็แล้วแต่หลักข้อเชื่อต่างๆ ในแต่ละบุคคลที่ได้ค้นพบ แล้วก็ตั้งเป็นหลักการขึ้นมา แล้วก็มีผู้ติดตามเชื่อถือมากมาย ก็คือกฎระเบียบในด้านศีลธรรมว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนั้นดี ทำอย่างโน้นดี อย่าทำอย่างนี้นะ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เยอะแยะ เขียนกันเป็นร้อยๆ ข้อ แล้วก็ใช้เวลาสอนกันเป็นแบบหลายสิบปีบนโลกใบนี้ ก่อนที่ผู้สอนผู้นั้นจะจากโลกนี้ไป แต่เราลองนึกถึงพระเยซูคริสต์สิ

พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า  ซึ่งมนุษย์เราปัจจุบันไม่รู้เรื่องโลกวิญญาณ ก็จะบอกว่าเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา หรือเป็นศาสดาของหลักข้อเชื่อหนึ่ง ที่เรียกว่าคริสเตียน เป็นศาสดา เป็นผู้สอนศาสนา ศาสนา คือกฎของศีลธรรม ลองคิดดู พระเยซูคริสต์มาสอนศีลธรรมหรือเปล่า?  มาสอนกฎแห่งศีลธรรมไหม?  ถ้าพระองค์มาสอนกฎแห่งศีลธรรม ไม่พอสอนหรอก 3 ปีเอง เดินอยู่บนโลกใบนี้ เฉพาะตอนสอน ตอนที่เป็นคนธรรมดา เรียนรู้จักการเป็นมนุษย์ 30 ปีไม่ได้ทำอะไร เป็นเหมือนคนธรรมดา แต่เริ่มประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และประกาศความจริงในเรื่องโลกวิญญาณว่าในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? 3 ปีเอง มีไม่กี่ข้อ แสดงว่าไม่ได้มาประกาศในเรื่องศีลธรรม ไม่ได้มาประกาศเหมือนกับผู้สอนคนอื่นๆ ที่ได้เคยประกาศศีลธรรมมาเยอะแยะแล้ว ซึ่งดีนะ ย้ำอีกทีหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดี จำเป็นสำหรับมนุษย์มาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าโลกนี้ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอะไรต่างๆ ป่านนี้พวกเราคงลำบากกว่านี้เยอะ

คราวนี้มาพูดถึงพระเยซูว่า 3 ปี พระองค์มาทำอะไร? ถ้าไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำความดี แล้วพระองค์สอนอะไร? พระเยซูสอนเราไหมว่าให้เราทำดีตรงนี้ อย่าทำตรงนี้ ควรทำตรงนี้ ตรงนี้ไม่ควรทำ สอนเราไหมว่าอย่าโลภนะ ถ้าโลภก็จะลำบาก สอนเราไหมว่าอย่าโกหกนะ สอนเราไหมว่าอย่าฆ่าคนนะ ท่านอาจจะคิดมีนะ แต่ผมอยากจะบอกท่านว่าไม่ใช่ ไม่ได้มาสอนท่านอย่าฆ่าคน เพราะท่านทราบอยู่แล้ว ท่านไม่ทำอยู่แล้ว ใครๆ ก็สอนอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ พระองค์ไม่จำเป็นต้องมาสอนแล้ว มันอยู่ในใจของท่านแล้ว ไม่ฆ่าคน ไม่ทำลายซึ่งกันและกัน มันอยู่ในใจของท่าน อยู่ในมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ท่านรู้ด้วยตัวท่านเอง ไม่มีใครมาสอน ท่านก็รู้ ผู้ที่สอนเรื่องศีลธรรม ก็คือสอนซ้ำในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้วนั่นเอง อย่ากินเหล้าเมายานะ ท่านรู้อยู่แล้ว กินเหล้าเมายามันไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก จริงไหม? พระเยซูจึงไม่มาสอนในสิ่งที่ท่านรู้อยู่แล้ว แล้วมาทำอะไร ไม่สอน มาประกาศบอกความจริงว่าในโลกวิญญาณมีอะไร? สรุป มีแค่ 4 อย่างเท่านั้นเอง ที่พระเยซูมาเกิดบนโลกใบนี้ และเดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี แต่เฉพาะ 3 ปีนี้ได้ประกาศถึงเรื่องความจริงบนโลกวิญญาณ ตั้งใจฟังให้ดีในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น พระเยซูมาถึงบอกเลยในโลกวิญญาณ คือ

(1) มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป มนุษย์ทุกคนถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า มนุษย์ทุกคนทำอย่างไรก็บาป เพราะว่าเกิดมาเป็นบาปเลย ต้นตอ ชีวิตของมนุษย์ คือวิญญาณนั้น เป็นบาป ทำอะไรก็บาป ไม่มีทางเป็นคนดีได้เลย

พระองค์กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ ตัวแกนชีวิตจริงๆ เป็นวิญญาณ และวิญญาณนั้นเป็นบาป

(2) เพราะฉะนั้น เธอเป็นบาป เธอทำดีให้ตาย ก็ยังเป็นบาปอยู่นั่นแหละ ฟังให้ดี เธอทำดีให้ตาย เธอก็ยังเป็นบาปอยู่ เธอจะรักษาบทบัญญัติ รักษากฎแห่งศีลธรรมอย่างดีมากมายอย่างไร? ก็ไม่มีวันได้ 100% หรอก เธอต้องพลาดทำบาปแน่นอน เพราะว่าข้างในมันเป็นบาปอยู่ ทำอย่างไรก็เป็นบาป เกิดมาเป็นบาป ทำอย่างไรก็เป็นบาป

(3) แล้วช่วยตัวเองให้พ้นจากบาปไม่ได้ คือช่วยไม่ได้ แล้วจะให้เราทำอะไรล่ะ มนุษย์ทั้งหลาย ก็คงถามในใจ ในเมื่อเราสร้างความดีงาม ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้ เพราะข้างในเป็นบาป และต้องทำอย่างไร?

พระเยซูเลยบอกว่า … “เมื่อเธอช่วยตัวเองไม่ได้ เธอก็ต้องมาพึ่งเรา เราคือพระเจ้า”

พระเยซูกำลังมาบอกว่า … “เราช่วยเธอได้ เราคือพระเจ้าไง”

พระองค์ก็จะมาประกาศ และทำอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้านะ จึงทำสิ่งนี้ได้ ทำให้เธอจากการเป็นคนบาปในวิญญาณ ให้เป็นคนดีได้ ซึ่งเธอทำเองไม่ได้ แต่ถ้ามาพึ่งพระเยซู พระเยซูบอกอัศจรรย์เกิดขึ้นได้ เมื่อมากับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ พระเยซูบอกว่าสำหรับมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าสวรรค์ด้วยตัวของเขาเอง แต่สำหรับพระเจ้า อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ พระองค์หมายถึงตัวพระองค์เอง เป็นผู้นั้นแหละ ผู้ที่มนุษย์ทั้งหลายรอคอยมาตลอดว่าจะมาช่วยเรา ตามที่พระเจ้าได้เผยพระวจนะมาล่วงหน้า

พระเยซูมาประกาศ 3 ปีมาพูดอยู่แค่นี้ “มาพึ่งในเราสิ วางใจในเรา เราช่วยให้ท่านเกิดใหม่ได้”

(4) เล่าให้ฟังว่าเมื่อวางใจในเราแล้ว เราจะทำให้เจ้าเกิดใหม่ แล้วเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร? เกิดใหม่ ก็คือวิญญาณท่านจะบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริบูรณ์ครบถ้วน 100% อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์

จบ แค่นี้เอง พระเยซูมาบนโลกใบนี้ และประกาศบอกความจริงให้มนุษย์ได้ทราบ และบอกด้วยซ้ำไปว่าความจริงเหล่านี้ จะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงเหล่านี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นอิสระ ความจริงเหล่านี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ถูกหลอก ให้ไปวางใจ ไปยึดมั่น ไปถือมั่นในสิ่งที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นความดีหรือความชั่ว หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นก็ตาม ไปยึดติดมัน ก็ถูกหลอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตามพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ที่พูดนี้ ต้องการให้ท่านที่เชื่อแล้ว มองเห็นแล้ว ก็เอเมน มีความชื่นชมยินดี มีความหวังชัดเจน สำหรับคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็พูดเพื่อให้ท่านได้คิด ไตร่ตรอง อย่าคิดปฏิเสธ ส่วนคนที่ต่อต้าน ที่พูดว่า …

“อะไร พูดโง่ๆ ไม่มีเหตุมีผลเลย โลกวิญญาณอะไร? ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ไปสวรรค์หรือ?”

ก็พูดให้ท่านได้มีโอกาสสักวันหนึ่ง ความจริงเหล่านี้ จะหล่นลงไปในจิตใจของท่าน เพราะพระเยซูบอกแล้ว มาดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 3 ปีบอกเรียบร้อยเลยว่าในโลกวิญญาณ จะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ และก็บอกด้วยว่าจะมีคนต่อต้าน จะมีคนไม่เชื่อ บอกเลยว่ามนุษย์ทุกคนที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐนี้ ข่าวดีนี้ ที่พระเยซูพูด ซึ่งพระเยซูพูดมาถึงทุกวันนี้นะ เดี๋ยวจะบอกให้ว่าพูดอย่างไร? 3 ปี เดินบนโลกนี้ พูดอย่างนี้ใช่ไหม? 4 อย่างนี้ หลังจากที่พระเยซูเสด็จเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่  พระเยซูได้เข้ามาสถิตอยู่ในมนุษย์ทุกคน และนำพามนุษย์ทุกคนนั้น พูดในสิ่งที่พระเยซูต้องการ ก็พูดใน 4 อย่างนี้เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย พระเยซูสถิตอยู่ในเขา แล้วพูด 4 สิ่งนี้ ใครก็ตามที่เชื่อพระเยซู และพระเยซูสถิตอยู่ด้วย

พูดนอกเหนือจาก 4 สิ่งนี้ออกไป แปลว่าพระเยซูไม่ได้กำลังพูด ท่านพูดด้วยความคิดของท่านเอง ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าเนื้อหนัง “เนื้อหนัง” คือระบบความคิดเก่าๆ ก่อนที่ท่านจะเชื่อในพระเยซู

พระเยซูบอกเลยว่าเวลาประกาศข่าวดี ตั้งแต่ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวดี เจอการต่อต้าน เจอคนต่างๆ อย่างไร? เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย มันก็จะเป็นเหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก โดนเหมือนกัน แล้วพระองค์ก็สรุปให้ง่ายๆ ชัดเจนว่ามนุษย์ทั้งปวงที่ได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐมีอยู่ 4 ประเภทเท่านั้นเอง เราก็คิดในใจ ก็มองตามตามองเห็น ตามนุษย์ มีประเทศโน้นประเทศนี้ ความเชื่อโน้นความเชื่อนี้ คงจะมีคนคิดแตกต่างกัน แบบพันกว่าอย่าง คนนี้ก็คิดอย่างนั้น คนนี้ก็คิดแตกต่างอย่างนี้ พระเยซูไม่ได้มองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์มองไปที่วิญญาณว่ามี 4 ประเภทเท่านั้นเอง พอเราพูดความจริงนี้ออกไป อย่างวันนี้ พูดความจริง เรื่องโลกวิญญาณนี้ออกไป ในพระเยซูคริสต์ว่าอย่างไร? ก็จะมีผู้คนทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไป จนกระทั่งถึงอีกร้อยปีข้างหน้า ถ้าโลกยังอยู่ อีกสองร้อยปีข้างหน้า ก็จะเป็นอย่างนี้ จะไม่มีเปลี่ยนแปลง คือมี 4 ประเภท

ประเภทที่ 1 คือฟัง แล้วก็เห็นด้วย

ประเภทที่ 2 คือเห็นด้วย แต่ว่าถูกโลกใบนี้ต่อต้าน  ต้องเสียอะไรบางอย่างไป จะมีคำว่า “แต่”

ประเภทที่ 3 คือเห็นด้วย แต่ของเก่าที่เราเรียนรู้มา เรื่องกฎศีลธรรมอะไรต่างๆ บุญบารมี ที่เราสะสมมาตั้งเยอะแล้ว จะให้เราทิ้งไป  มาเชื่อพระเยซู มันเสียดาย ไม่เอา กลับมาที่เดิม เพราะเราสะสมบุญบารมีไว้เยอะแล้ว เราทำความดีไว้ตั้งเยอะแล้ว  ก็ไม่เอา

ประเภทที่ 4 คือไม่เอาเลย  ไม่เอาไม่พอ แถมยังข่มเหง ยังกล่าวด้วยความโกรธ ทำลายความจริงเหล่านี้เลย คือตอบโต้เลย    คนประเภทที่ 4 คือคนไม่เอาเลยตั้งแต่ต้น แล้วต่อต้าน ตอบโต้เลย

พระเยซูบอกมีแค่ 4 ประเภทเท่านั้นเอง แล้วพระองค์ก็เจอด้วยตัวพระองค์เอง ตอน 3 ปีที่ประกาศข่าวดี ประกาศเรื่องจริงของโลกวิญญาณนี้  เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้รอด เจออย่างนี้ แล้วพระองค์ก็มาบอกพวกเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ เป็นทูตของพระองค์ ที่พระองค์แต่งตั้งขึ้น ให้ไปประกาศข่าวดี จนมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว ก็จะเจออย่างนี้เหมือนกันแหละ เจอ 4 ประเภท ประเภทที่ 1 ก็ฟังๆ ไป เชื่อความจริง พอเชื่อความจริงในที่สุด ความจริงหล่นเข้าไปในวิญญาณ ตกเข้าไปในใจ เกิดเป็นผลความรอดบังเกิดใหม่ รายเดียวที่ได้รับ ประเภท 2, 3, 4 ก็ว่ากันไป  แล้วแต่เขาและโอกาสมีอยู่ ก็ค่อยๆ น้อยลงไปตามประเภท ประเภทที่ 2 ก็ยังมีโอกาสอยู่มากกว่าประเภทที่ 3 ประเภทที่ 3 ก็มีโอกาสน้อยลงไปเรื่อยๆ  ประเภทที่ 4 แทบจะไม่ได้ผุดได้เกิด  พระเยซูบอกว่าเขาไม่เอา ก็ไม่ต้องไปให้เขา บอกสาวก  ตอนนั้นยังเป็นสาวกนะ ตอนที่พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่ติดตามพระเยซูจริงๆ เชื่อจริงๆ เป็นอาจารย์อันดับหนึ่ง คล้ายๆ กับอัครสาวก 12 คนนั้น ตอนนั้นยังเป็นสาวกอยู่ เพราะว่าพระเยซูยังไม่ได้ไถ่มนุษย์สำเร็จบนไม้กางเขน ติดตามพระเยซูอยู่ แต่พอพระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว สาวกเหล่านั้นได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่สาวกแล้วนะ ไม่ต้องติดตามพระเยซูแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในใจเขาเลย เขาเกิดใหม่ เป็นน้องพระเยซู พระองค์บอกว่าเป็นพี่น้องกัน เราเรียกท่านว่าน้อง อยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์

แล้วก็ให้น้องๆ เหล่านี้ไปประกาศ ประกาศเหมือนที่พระองค์ประกาศ พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในน้องๆ เหล่านี้ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็เผยพระวจนะ พูดตามที่พระเยซูต้องการพูด ก็มีอยู่ 4 อย่างแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้น เรื่องของข่าวดี ข่าวประเสริฐ เรื่องของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไร? ก็หวังอย่างยิ่งว่าท่านที่ได้ยินได้ฟัง คงเข้าใจที่ผมพยายามที่จะอธิบายให้ท่านฟัง ท่านอาจจะงงอยู่ในตอนนี้ แต่ให้ท่านเลือกเอา ท่านจะเป็นคนประเภทไหน?  4 ประเภท ยังไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร? ไม่มีใครเข้าใจหรอก แต่พระเยซูบอกว่าไม่เข้าใจ แต่เชื่อเอา เชื่อไปเรื่อยๆ ไม่เข้าใจ แต่มีความเชื่ออยู่บ้าง รับฟัง วันหนึ่ง การรับฟังของท่าน ความถ่อมใจของท่าน มันจะเกิดอัศจรรย์ใหญ่ขึ้น เพียงนิดเดียว ครั้งเดียวเองที่เราต้องการ ก็คือความเชื่อพระเยซูคริสต์หล่นลงไปในใจ เรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง  ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ พอบังเกิดใหม่ จบแล้ว

วันนี้จึงจะมาอธิบาย ในฐานะเป็นทูตของพระเยซู ตัวแทนของพระเยซูในการที่จะประกาศว่า เมื่อท่านได้บังเกิดใหม่ เป็น คริสเตียน ในวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกใบนี้เลย เมื่อท่านเป็นคริสเตียนแล้ว บนโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ไม่เกี่ยวเลย ไม่ต้องไปยุ่งกับตรงนั้นเลย ตรงนั้น มอบให้พระเจ้าไป วางใจในพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่แล้ว วางใจว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน และจะจูงมือท่านเดินบนโลกใบนี้ ไม่ต้องไปคิดอะไรเลยว่าทำไมเกิดขึ้นอย่างนั้น? ทำไมเกิดขึ้นอย่างนี้? ทุกอย่าง เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว

แต่สิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราได้รับรู้ ได้ชัดเจน ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ กระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาสอนให้มนุษย์ทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าทำสำเร็จแล้ว เฉพาะเรื่องเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ผลในโลกวิญญาณ ที่เราจะทำอะไร ตามประสาของมนุษย์ทำ เพื่อให้เกิดผลในโลกวิญญาณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง การกระทำอะไรก็ตาม บนโลกใบนี้ของเรา ซึ่งเราตั้งใจกระทำสิ่งนั้น ให้เกิดผลในโลกวิญญาณ ไม่ต้องกระทำแล้ว เพราะพระองค์ทำให้เสร็จ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่การกระทำบนโลกใบนี้ เราเน้นถึงการหว่านและเก็บเกี่ยว ให้เกิดผลบนโลกใบนี้เช่นเดียวกัน อย่างนี้ทำได้

ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราจะไม่โกรธใคร ไม่ได้ตั้งใจจะไม่โกรธใคร เพราะว่าพระเจ้าพอใจ เราจะได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่ นี่คือความหวัง ในเรื่องโลกวิญญาณว่าตายแล้ว เราจะได้ไปสวรรค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงรักเรา ไม่ใช่ เพราะทั้งรักเราและไปสวรรค์ มันจบแล้ว พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แต่ที่เราอภัยให้เขา ไม่โกรธเขา เพราะผลของมัน ผลของการที่จะเกิดขึ้นจากนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ ถ้าเราไปโกรธเขา เราก็นอนไม่หลับ ผลเสียก็เกิดขึ้น ความเครียดก็มา โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมา เกิดปัญหาวุ่นวาย เกิดใช้อารมณ์รุนแรงไปอีก  ทะเลาะเบาะแว้ง วิวาทกันใหญ่โตเสียหาย ทั้งคู่ ไม่ใช่เขาอย่างเดียว เราด้วย นี่คือผลของการกระทำบนโลกใบนี้ ซึ่งพระเยซูก็จะสอนเรา บอกเราว่า …

“ลูกทำอย่างนี้ไม่ดีนะ เพราะเจ้าจะได้รับผลไม่ดี  ไม่มีสันติสุข ไม่มีความสุขพอ เท่าที่ทำได้บนโลกใบนี้ เจ้าจะทุกข์มากขึ้น” ผลของโลกใบนี้

แต่ผลของวิญญาณไม่ใช่ ผลของพระวิญญาณมีที่เดียว คือพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงเรียนรู้ในสิ่งที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่มาเรียนรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง? ไม่ใช่ คือมาเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว คืออะไร? และมันเกิดผลในโลกวิญญาณแล้วจริงๆ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน ความจริงในโลกวิญญาณ จากข้อพระคัมภีร์นี้ ที่ผมเอามาเป็นตัวอย่าง เป็นความจริง ซึ่งทั้งหมด ในพระคัมภีร์จะพูดเรื่องนี้หมด อย่างที่บอกแล้วนะ เป็นพระคัมภีร์ตอนที่บันทึกถึงพระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ สอนด้วยตัวเอง  พระองค์ก็พูด 4 อย่างนี้ เป็นพระคัมภีร์ที่เหล่าอัครทูตได้เขียนจากการทรงนำของพระวิญญาณของพระเยซู ที่สถิตอยู่ในเขา เพื่อที่จะส่งความจริงเหล่านี้ต่อไปถึงผู้คนทุกยุคทุกสมัยต่อๆ ไปในพระคัมภีร์นั้น ก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นผู้พูด ผู้เดียวกัน ก็คือเป็นพระเยซูเหมือนกัน แต่พระเยซูที่เดินอยู่บนโลกนี้กับพระเยซูที่สถิตในอัครทูตเหล่านั้น พูดเหมือนกัน ผมก็มาพูดเหมือนกับพระคัมภีร์ ก็คือเหมือนกับอัครทูตเหล่านี้ ก็คือเหมือนกับที่พระเยซูพูดเหมือนกัน

นี่คือเหตุการณ์หนึ่ง ที่เปาโล อัครทูต 1 คน ได้ประกาศข่าวดีนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในสิ่งที่พระเยซูประกาศ วางใจในพระเยซู แล้วในโลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านไม่เชื่อ มันเกิดอะไรขึ้น วันนี้เอาโคโลสี 2:13-14 ซึ่งมันชัดดี จริงๆ มันก็ชัดทุกอัน เพราะว่ามีอยู่แค่นี้เอง แต่สำหรับมนุษย์ เรารู้สึกว่าอันนี้มันง่ายดี มันเน้นเฉพาะหนังสือนี้ บริบทนี้มันเน้นชัด  เรามาอ่านข้อพระคัมภีร์ด้วยกัน  โคโลสี 2:13-14 …

โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  มีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัย ในการละเมิดกฎทั้งหลาย  ของพวกเรา 14 พระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ทรงยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ยกเลิกกฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ  กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรู ต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ ต้องได้รับโทษ พระองค์ได้ทรงเอา หนังสือกฎธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน”

 

โคโลสีเป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลได้เขียน พอบอกได้เขียน  ก็คือเขียนตามที่พระเยซูบอก พระเยซูสถิตอยู่ด้วย แล้วก็ใช้เปาโลในการประกาศข่าวดีนี้ ประกาศความจริง ในเรื่องข่าวประเสริฐ ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ให้กับมนุษย์ทุกๆ คน ที่ไม่ใช่คนยิว อาจารย์เปาโลก็เริ่มประกาศไปถึงเมืองโคโลสี ก็มีคนเชื่อในข่าวดีนี้ แล้วก็ได้บังเกิดใหม่ ที่เราเรียกว่าผู้เชื่อในข่าวดีได้บังเกิดใหม่ ได้รับความรอด ได้รับผล จากข่าวดีนี้ เกิดผล เรียกว่าผู้เชื่อ อาจารย์เปาโลก็มีหน้าที่ย้ำยืนยันให้ผู้เชื่อได้รู้ความจริงเหล่านี้ เพราะพอชาวโคโลสีเชื่อในข่าวดีปุ๊บ พระเยซูเข้าไปสถิตอยู่ด้วย ก็เกิดการต่อต้าน  เพราะจะมีคนอยู่ประเภท 2, 3, 4 ที่ยังไม่เชื่อ ก็เริ่มมาหาผู้เชื่อเหล่านั้น เพื่อที่จะมาขโมยความเชื่อ เพื่อที่จะมาต่อต้าน จะต่อต้านน้อยหรือมาก ประเภท 2, 3, 4 ก็แล้วแต่ มาแน่นอน เปาโลมีหน้าที่ป้องกันผู้เชื่อเหล่านั้น จากการถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ถูกข่มเหง ถูกต่อต้านว่าที่เชื่อไปเมื่อกี้ ไม่ใช่หรอก ที่เชื่อไปไม่จริงหรอก  อะไรต่างๆ เหล่านั้น ด้วยวิธีต่างๆ นานา ด้วยการใช้เหตุผล ใช้อะไรต่างๆ เพื่อจะดึงเอา ผู้ที่เชื่อแล้ว ไขว้เขว

เพราะฉะนั้น เปาโลก็มีหน้าที่มาย้ำยืนยัน บอกให้ผู้เชื่อเหล่านั้น อย่าไปฟังเขานะ ในโลกวิญญาณ ตอนที่ท่านเชื่อจริงๆ มันเกิดขึ้น บังเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ อย่าไปเชื่อเขา ที่เขาพูด มันไม่ใช่ ท่านต้องมั่นใจนะ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขียนมาให้กับคนที่เชื่อแล้ว ที่เป็นคนต่างชาติ พระคัมภีร์บอกคนต่างชาติ หมายถึงต่างจากชาติของเปาโล ก็คือชาวยิว ต่างจากชาวยิว

ชาวยิว ก็คือชาวอิสราเอล ชนชาติที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ก่อนว่าจะเป็นพวกแรกที่จะเรียนรู้จักพระเจ้า เรียนรู้จักข่าวประเสริฐ และได้รับเอาความจริงจากข่าวประเสริฐ เพื่อที่จะได้รับความรอด จะได้บังเกิดใหม่ก่อนกลุ่มอื่น แล้วกลุ่มอื่นคือใคร? กลุ่มอื่นมีอยู่อีกกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่เรียกว่าพวกที่ไม่ใช่ยิว แล้วใครล่ะที่ไม่ใช่ยิว? ท่านลองคิดดู ชาวโคโลสีถูกหรือไม่ถูก? แล้วมีชาวอะไรบ้างที่ไม่ใช่ยิว ชาวไทย ชาวจีนก็มีอยู่ 2 กลุ่มแค่นี้ คือชาวยิวกับชาวไม่ใช่ยิว ท่านจะทราบแล้วนะว่ามันจะเป็นอย่างไร?

ชาวยิว คือมนุษย์กลุ่มแรก กลุ่มแรกไม่มีอะไรดีกว่ากัน เท่ากันหมด มนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นกลุ่มแรกที่พระเจ้าประกาศข่าวดี ให้ก่อน คนที่ไม่ใช่ยิว คือประกาศข่าวดี ให้ทีหลัง จบ ในโลกวิญญาณมีอยู่แค่นี้เอง ไม่ต้องไปนั่งคิดมากว่าศาสนาคริสต์ กำเนิดที่เมืองนั่น เมืองนี้ ไปยุโรปก่อน ไม่มีเลย มีอยู่ 2 กลุ่มเอง กลุ่มแรกกับกลุ่มที่สอง รวมความ คือข่าวประเสริฐมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ มนุษย์มีกี่กลุ่ม? มีกลุ่มเดียว กลุ่มนี้เรียกว่ามนุษย์ เรียกว่าคน เรียกว่ามวลมนุษยชาติ

มวลมนุษยชาติ แบ่งออกเป็น 2 พวก พวกแรกกับพวกที่ 2 พวกแรก ที่ได้รับข่าวประเสริฐ มีชื่อว่าอิสราเอลหรือยิว พวกที่ 2 คือพวกเราทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ยิวนั่นเอง อันนี้คือ Back ground

เปาโลก็มาพูดย้ำยืนยันในข่าวดี ที่ได้ประกาศให้พวกเขาไปแล้ว และได้ผลด้วย มีคนเชื่อเยอะแยะ ได้เกิดใหม่จากข่าวดี ที่ประกาศออกไป ฉะนั้น เปาโลก็เลยย้ำให้เขาได้เห็นอีกทีหนึ่งว่าเขาได้เกิดใหม่แล้วจริงๆ ในโลกวิญญาณ ท่านมองไม่เห็น แต่พระเยซูบอกแล้วว่าท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ในข้อ 13 ที่ผมยกมา

เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? เปาโลกำลังจะมาบอก ไม่ว่าจะเป็นเปาโลบอก เปโตรบอก ยอห์นบอก ท่านจงนึกให้ดีๆ ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ก็คือพระเยซูบอก เหมือนพระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ 3 ปี ตอนนี้ก็เดินอยู่บนโลกใบนี้เหมือนกัน  แต่อยู่ในลักษณะของการอยู่ในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย

และตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อรู้ความจริงแล้ว เขาก็จะพูดในนามพระเยซู แต่ถ้าเป็นผู้เชื่อ ที่ไม่รู้ความจริง เขาก็จะพูดในนามของไม่รู้ เขาไปฟังใครมา เขาก็พูดในนามของคนนั้นเล่ามา คนนี้เล่ามา แต่ไม่ใช่ในนามของพระเยซู ถ้าในนามของพระเยซูก็ต้องพูดเหมือนกับพระเยซูได้สอนเป็นแบบอย่างไว้ตอน 3 ปีนั้น เหมือนที่สรุปไว้ในตอนต้นว่ามีอยู่ 4 กลุ่มเท่านั้นเอง

มาดูสิว่าพระเยซูพูดผ่านเปาโล และเขียนเป็นจดหมายนี้ออกมาว่าเมื่อท่านเชื่อ ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น มันเป็นอย่างไร? หัวข้อเรื่องวันนี้ก็เลยบอกว่า “อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์”

“อะไรเกิดขึ้นในวิญญาณ เมื่อฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์”

มันน่ารู้ไหมล่ะ ไม่ต้องมาเรียนรู้แล้วนะว่าอะไรเกิดขึ้นกับฉัน บนโลกใบนี้ เมื่อฉันเชื่อพระเยซูคริสต์ ก็เห็นๆ อยู่ ฉันได้รับผลกระทบจากโควิด ต้องมาเรียนรู้ไหม? ไม่ต้องมาเรียนรู้ มันก็เห็นๆ อยู่ มันก็เกิดขึ้นจริงๆ แต่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันไม่เห็น แต่มันเป็นอยู่จริงๆ พระเยซูจึงบอกว่าพอเรารู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระ ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่รู้ความจริง ความโกหกจะทำให้เราเป็นทาส มือง่อย ตีนง่อยอยู่ตรงนั้น ในโลกวิญญาณ

เริ่มต้นข้อ 13 บอกว่า “และท่านทั้งหลาย” คราวนี้เรารู้แล้ว ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อ เป็นชาวโคโลสี  เป็นต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว  ท่านจะเห็นภาพแล้วนะ

และท่านทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อ ชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่ชาวยิว ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ก็คือมนุษย์คนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เชื่อ เป็นเช่นไร? ก่อนที่เราจะเชื่อ ก็เป็นอย่างนั้น อยากรู้ไหม เราเป็นอย่างไร?

การเรียนรู้ในโลกวิญญาณ ไม่ใช่เรียนรู้เฉพาะหลังเชื่อแล้วเป็นอย่างไร? ต้องเรียนรู้ว่าก่อนเชื่อมันเป็นอย่างไร?  มันจะได้เห็นชัดเจน แจ่มใสเลย  ซึ่งก่อนเชื่อได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ วิญญาณมองไม่เห็น ก่อนเชื่อ เราก็ดำเนินชีวิตของเรา แล้วมาบอกเราตาย ก็เพราะตายในวิญญาณ วิญญาณมีอยู่จริงๆ วิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเราที่จะอยู่ตลอดไป ในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าวิญญาณที่ก่อนเชื่อพระเยซู มันอยู่ในสภาวะตายอยู่ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎต่างๆ ที่พระเจ้าวางไว้ กฎแห่งความดี คือการละเมิดคำสอน หรือความดีงามของพระเจ้า  พูดง่ายๆ คือต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า

กฎทั้งหลายของพระเจ้า คือความดีงามของพระเจ้านั่นเอง  คือพระเจ้าอยากให้ทำอะไร? ฉันต่อต้าน พระเจ้าให้ทำอะไร? ฉันดื้อ ฉันไม่ทำ การไม่ทำตรงนั้น เรียกว่าละเมิด “การละเมิด” นั้นเรียกว่าทำบาป  บาป คืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงข้ามกับพระประสงค์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้าต้องการให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม เหมือนพระองค์ แต่เราทำอะไรที่ตรงกันข้าม คือความชั่วนั่นเอง แล้วมันเกิดขึ้นที่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งพลังความบาป  การเป็นศัตรู เพราะฉะนั้น การเป็นศัตรูนี้ เกิดขึ้นที่วิญญาณของเรา ตอนที่เรายังไม่เชื่อ วิญญาณเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม

ในพระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เรายังไม่เชื่อ วิญญาณเราอยู่ในความตาย ร่วมกันกับอาดัม บรรพบุรุษของเรา ต้นกำเนิดของมนุษยชาติ เราสืบเชื้อสายมาจากอาดัม อยู่ในความบาป วิญญาณเกิดมาก็บาปแล้ว ว่ากันตามตรง บาปก่อนเกิดอีก ตั้งแต่อยู่ใน DNA ในเซลของอาดัมแล้ว ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลย ยังอยู่ในตัวของอาดัมอยู่ ก็อยู่ในบาป  เกิดในบาป คลอดออกมาก็เป็นบาป แล้วก็เป็นคนบาปมาตลอด เพราะวิญญาณเป็นบาป

แล้วเกิดอะไรขึ้น บรรทัดต่อไป เขียนอย่างนี้  “และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัต ในเนื้อหนังของท่าน” ท่านทราบไหมว่าคืออะไร? ท่านเป็นบาป  เพราะว่าวิญญาณท่านบาป และท่านยังเป็นบาปอยู่ เพราะท่านไม่เชื่อ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ประกาศมาถึงพวกท่าน ในนี้ใช้คำว่า “ไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน คือก่อนหน้านี้ 2, 3 ข้อในโคโลสี บทที่ 2 ได้อธิบายถึงว่าพวกท่านที่เชื่อ ได้เกิดผลอะไรจากข่าวประเสริฐ จากการบังเกิดใหม่อย่างไร? พระเยซูคริสต์ได้ทำพันธสัญญากับท่าน โดยการเข้าสุหนัตทางฝ่ายวิญญาณ

เมื่อ 2, 3 ข้อก่อนหน้านี้ พูดถึงการเชื่อของท่านทำให้พระเยซูคริสต์ เข้ามาทำการสุหนัตท่านทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ทำด้วยมือ วิญญาณเข้ามา เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างไร? ก็เลยมาบอกในนี้ว่าที่ท่านยังบาปอยู่ เพราะวิญญาณท่านบาป และท่านก็ไม่ยอมเชื่อในข่าวดีที่ประกาศให้กับท่าน ท่านไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของท่าน พระเยซูคริสต์ไม่ได้เข้ามาทำการสุหนัตในฝ่ายวิญญาณของท่าน

สุหนัตทางฝ่ายวิญญาณคืออะไร? คือการบัพติศมาในพระวิญญาณของพระเจ้า คือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ก็คือการผ่าตัดวิญญาณของท่าน เข้ามาสู่พันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ เพราะท่านไม่เชื่อ จึงไม่ได้เกิดสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ถ้าท่านไม่เชื่อข่าวดี พระเยซูจึงไม่ได้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของท่าน เข้ามาสู่พันธสัญญาใหม่ ท่านจึงไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ยังอยู่ที่เดิม

นี่พูดถึงก่อนเชื่อ เห็นภาพแล้วนะ นี่ก่อนเชื่อมันเป็นอย่างนั้น เพราะข่าวดีประกาศให้กับท่าน และท่านไม่เชื่อ เมื่อท่านยังไม่เชื่อ ท่านก็ไม่ได้ผ่าตัดฝ่ายวิญญาณ เข้าในพระคริสต์

ต่อไปบอกว่าอย่างไร? “แต่ตอนนี้ท่านได้รับเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์แล้ว” ท่านอยากรู้ไหม? พอรับเชื่อแล้วเกิดอะไรขึ้น?  ผู้ที่รับเชื่อ ก็หมายถึงเราทั้งหลายด้วย ที่เรารับเชื่อ เหมือนกัน เกิดอะไรขึ้น พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน  “พวกท่าน” ตามบริบทนี้ ก็คือพวกชาวโคโลสี ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิวนั่นแหละ ที่แต่ก่อนนี้ไม่เชื่อ พอมีประกาศข่าวประเสริฐไปเรียบร้อย เขาเชื่อแล้ว ตอนนี้ท่านได้รับเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่าน ผู้ที่เป็นชาวต่างชาติ ไม่ใช่ชาวยิวนั้น  มีชีวิต บังเกิดใหม่ ในพระคริสต์เช่นเดียวกันกับเรา เอาแค่นี้ก่อน

“มีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์” ที่ตะกี้นี้บอกก่อนเชื่อ วิญญาณเราตายอยู่ อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ อยู่ในความบาป แต่พอเราเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้ทำให้เราจากตาย กลายเป็นมีชีวิต บังเกิดใหม่ ย้ายออกจากอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์

ในนี้บอกว่า ได้บังเกิดใหม่จากความตายในวิญญาณ เช่นเดียวกันกับเรา “เรา” ในที่นี้หมายถึงชาวยิว ข่าวประเสริฐ ประกาศไปที่ชาวยิวก่อน แล้วก็มียิวที่เขาเชื่อ เปาโลก็เชื่อ เปโตรก็เชื่อ แล้วชาวยิวอีกมากมาย ก็เชื่อ ชาวโคโลสีที่ไม่ใช่ยิวเหล่านี้ ได้ยินข่าวประเสริฐทีหลัง เป็นกลุ่มที่ 2 พอได้ยินปุ๊บ ก็ได้เชื่อเหมือนกัน พอได้เชื่อ ก็ได้บังเกิดใหม่เหมือนกับชาวยิวเหมือนกันที่ได้เชื่อ

เพราะฉะนั้น “เช่นเดียวกันกับเรา” ก็คือท่านที่เป็นคนต่างชาติ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ เราที่เป็นชาวยิว เราได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ก่อนท่าน เราก็ได้บังเกิดใหม่เท่ากัน ไม่มีเลือกที่รัก มักที่ชัง ไม่มีชาวยิวกับชาวไม่ใช่ยิว รักชาวยิวมากกว่าคนที่ไม่ใช่ยิว  ไม่มี เพราะในสมัยอดีต เขาถือเป็นพวกโฮลี่ เป็นพวกที่เคร่งศาสนา เป็นกลุ่มคนที่ใครๆ ก็รู้ว่าพอพูดถึงชาวยิว โอ้โห! เป็นคนที่เคร่งศาสนามาก เป็นคนที่เจ้าระเบียบ มีศีลธรรมสูงกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ชาติอื่นๆ เยอะเลย อันนี้เป็นเอกฉันท์ที่เขารู้กันนะ คล้ายๆ เป็นชนชาติกลุ่มหนึ่งที่มีมาตรฐานในศีลธรรมสูง

เพราะฉะนั้น คนต่างชาติ พอพูดถึงเรื่องไปสวรรค์ ทำดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็จะมีความรู้สึกว่าด้อยกว่าคนที่เป็นยิว และแม้กระทั่งตัวชาวยิวเอง ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าชนชาติอื่นๆ เขา เพราะว่าเรามีมาตรฐานศีลธรรมสูงกว่า ถ้าจะมีการไปสวรรค์ พระเจ้าต้องเลือกเราก่อนแล้วล่ะ คุ้นๆ นะ ความคิดอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีนะ ไม่ใช่ชาวยิวหรอก เป็นชาวเยอะแยะไปหมด มีความรู้สึกว่าชาวเราเป็นชาวที่สมควรไปสวรรค์มาก ในกลุ่มเรา แทนที่จะแบ่งเป็นประเทศ เหมือนสมัยก่อน  แบ่งเป็นกลุ่มนะ  กลุ่มที่ปฏิบัติอย่างเรา  มีโอกาสไปสวรรค์ ถ้าจะไปสวรรค์จริง เราควรจะไปก่อนแล้วล่ะ เพราะเรามีมาตรฐานศีลธรรมสูงกว่าเยอะ แต่นี่ไม่ใช่ ข่าวประเสริฐ คืออย่างที่บอกไป คือทุกคนเท่ากัน

อันนี้เป็นอันหนึ่ง อันแรก ที่เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ สิ่งแรก ก็คือมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ นี่คือสิ่งแรกที่เกิดขึ้น พระเจ้าทำให้กับเรา  พอเชื่อในพระเยซู สิ่งแรกที่บังเกิดขึ้น ก็คือมีชีวิตบังเกิดใหม่ จากตายแล้วมาเกิดใหม่  ก็คือได้รับการผ่าตัดวิญญาณ  เกิดใหม่ ด้วยวิธีผ่าตัดวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณคืออะไร? พูดให้มันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ โฮลี่หน่อย เคร่งศาสนาหน่อย เรียกว่า “ได้รับการบัพติศมา” บัพติศมา คือผ่าตัดวิญญาณ

ลองถามในใจ มาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนพอไหม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิญญาณ เป็นสิ่งเดียว ที่เกิดขึ้น เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำอะไรให้เราสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน

ผ่าตัดวิญญาณ คือการบัพติศมา การเข้าส่วนร่วม ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ทั้งหมดนี้ ตั้งแต่เรื่องการผ่าตัดวิญญาณ บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ การได้เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ท่านต้องพูดออกมาจากปากให้ชัดๆ “ในโลกวิญญาณ” จำไว้

บัพติศมา ก็แปลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เหตุการณ์ที่กระทำ มีผลเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการลงน้ำ การลงน้ำ ก็คือการเอาน้ำมาจุ่ม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเลย ต่อให้ท่านจุ่มลงไปกี่ครั้ง ท่านก็ไม่ได้บังเกิดใหม่หรอก ท่านก็จะเป็นคนบาปที่เปียกน้ำเหมือนเดิม เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ แต่เปียกน้ำ ไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าท่านเกิดใหม่ ท่านไม่ต้องลงน้ำ ก็ได้ แต่ท่านต้องเชื่อในข่าวดี พอเชื่อในข่าวดีจริงๆ ปุ๊บ มันลงมาในใจของท่านปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้าไปทำการบัพติศมา คือผ่าตัดวิญญาณท่าน ย้ายวิญญาณท่านออกจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ออกจากความตายมาอยู่ในชีวิตของพระคริสต์ บังเกิดใหม่ ตรงนี้เกิดขึ้นที่วิญญาณ

นี่เป็นสิ่งแรก อันที่หนึ่ง ที่พระเจ้ากระทำให้เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง มนุษย์คนใดคนหนึ่งเชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรียกว่าข่าวดีนั้น ได้รับชีวิตที่บังเกิดใหม่ ในพระคริสต์

สิ่งที่สอง อยู่ท้ายๆ ข้อ “และทรงได้ให้อภัยและยกโทษ” ในนี้บันทึกไว้ว่า “และทรงได้ให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเรา” จำได้ไหมที่ตะกี้บอก พอเราตายปุ๊บ เราก็ทำแต่สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ทำแน่นอน มากหรือน้อย  แต่ในนี้บอกว่าเราเชื่อปุ๊บ พระองค์ได้ทรงให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเรา

ทำไมต้องของพวกเรา “พวกเรา” หมายถึงพวกที่เป็นคนยิวกลุ่มแรกและพวกที่ไม่ใช่ยิว ในที่นี้ ก็คือมนุษย์ทุกคนนั่นเอง

ถ้าแปลตามที่เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ ก็คือ “และทรงได้ให้อภัยการละเมิดกฎ การทำบาปทั้งหลายของพวกเราทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวด้วย” ก็คือมนุษยชาติบนโลกใบนี้ อภัยหมดเลย ทำอะไรผิดมาต่างๆ ยกโทษหมด อภัยให้หมดเลย ไม่เหลือเลย อภัยให้เมื่อไร? เมื่อบัพติศมา เมื่อได้รับการผ่าตัดวิญญาณ เมื่อเปิดใจเชื่อในข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวดีนี้เข้าในชีวิต พระวิญญาณเข้ามาทันที เกิดเป็นการบังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ และอันที่สอง ได้ทรงอภัยให้เราเลย  อภัยในความบาปผิดของเรา

ถ้าเกิดให้เรามีชีวิตใหม่ แล้วไม่ให้อภัยเรา ตายเลยนะ เรายังคงทำอะไรผิดพลาดอยู่ เหมือนเดิม เราก็ยังต้องได้รับโทษอยู่ แต่นี่ไม่ใช่ ในนี้อภัยบาปผิดทั้งสิ้นของเรา อย่างที่ข้อพระคัมภีร์ในฮีบรู 10:17 ได้บันทึกยืนยันอย่างนี้เลยว่าได้อภัยให้จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจะเกิดอย่างนี้ขึ้น …

ฮีบรู 10:17  “บาปและการอธรรมของพวกเขา เราจะไม่จดจำอีกต่อไป”

 

และโรม 4:8 ก็บอกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 4:8 “ความสุขมีแก่ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ถือโทษบาปของเขาอีกต่อไป”

 

แล้วพระเจ้าก็ได้ตรัสในสดุดี 103:11-12 ว่า …

สดุดี 103:11-12 “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

 

พอรู้ความจริงนี้ มีความสุขไหม? อภัยในวิญญาณเราที่เป็นตัวตนจริงๆ ซึ่งจะอยู่ตลอดนิรันดร์กาล อภัยแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย โทษของความบาปต่างๆ เหล่านั้น ไม่มีวันได้เจอกับเราอีกเลย เพราะว่าเรายังไม่เคยเห็นตะวันออกกับตะวันตก มันจะมาบรรจบกันได้ ตะวันออกกับตะวันตกอยู่คนละฟาก

ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ทรงยกเอาการละเมิด คือความบาปของเราออกไปไกลเท่านั้น ไปไกลเลย ก็คือไม่มีวันที่จะเป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่มีวัน ตลอดนิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอันที่ 2 ที่พระเจ้าได้ทำให้ เมื่อเราเปิดใจเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

(1) มีชีวิตบังเกิดใหม่

(2) ได้รับการอภัย ในการทำผิดบาปทั้งหลาย ทั้งหมด

(3) คืออะไร? อยู่ใน โคโลสี 2:14 ที่ตะกี้เราอ่าน ในวรรค “พระองค์ได้ลบล้างหนี้บาป พระองค์ได้ชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของเรา” มันคืออะไร?  เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ใน 1 เปโตร 2:24 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 เปโตร 2:24 “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขน  (ยอมมอบชีวิตพระองค์เอง แด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) นั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป  (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

 

เรามีหน้าที่ประกาศไปเรื่อยๆ มีหน้าที่หว่านความจริงไปเรื่อยๆ ถ้าภาษาไทยก็จะบอกว่าแล้วแต่บุญบารมีของแต่ละคนที่จะได้รับความจริงเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด จะเย่อหยิ่ง มั่นใจในความรู้ของตนเองอันเดิมมากน้อยเพียงใด จะไตร่ตรองและกลับไปคิดดูมากน้อยเพียงใด มันจะได้เกิดผลมากน้อยเพียงใด ก็แล้วแต่ ฝากวางใจในพระเจ้า พูดกี่ครั้งๆ ก็เหมือนเดิม  กี่ท่านที่ขึ้นมาพูดตรงนี้ ก็พูดเหมือนเดิม เรื่องข่าวประเสริฐที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

อธิบายตรงนี้ก่อน สิ่งที่ 3 คือพระองค์ได้ทรงลบล้างหนี้บาป ยกเลิกกฎแห่งการชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ที่มนุษย์ชอบพูดกัน เราเกิดมา เพื่อใช้เวรกรรม เราเป็นหนี้เวรกรรมต้องชดใช้ เป็นหนี้มาตั้งแต่เมื่อไร? เมื่อปางก่อน

ปางก่อน  ก็คือเมื่อตอนที่อาดัมบรรพบุรุษของเรา ทำบาป ติดเชื้อบาป และก็อยู่ในอาดัม เราก็ติดเชื้อไปด้วย นั่นแหละเป็นหนี้บาป  ที่เราต้องชดใช้

1 เปโตร 2:24 เมื่อตะกี้บอกว่าพระเยซูได้รับเอาบาปตรงนั้นแหละ เอาเชื้อบาปตรงนี้ของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายของพระองค์ บนไม้กางเขน ก็คือยอมมอบชีวิตของพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้กับมนุษยชาติ ด้วยเลือดอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ล้าง ลบ ไม่ใช่กลบนะ ไม่กลบบาปอยู่ใต้พรม ไม่ใช่ นี่ลบล้าง เอาออกไปหมดสิ้น ไม่ปิดไว้ ชั่วคราว เอาออกไปหมดเลย เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป เป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรม ตายต่อบาป ก็คือตายต่อการเป็นทาสบาป  ชีวิตเก่าตายไปเลย  เป็นอิสระจากการเป็นหนี้ เหมือนเราตายจากการเป็นหนี้ธนาคาร พระเยซูจ่ายเงินให้กับธนาคารหมดเลย กี่พันล้านไม่รู้ แล้วก็ไถ่เราออกมา อิสระเลย และเราจะได้สามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผลของพระองค์ ก็คือด้วยการตายที่ไม้กางเขน  อย่างทุกข์ทรมานของพระเยซู

พวกท่าน ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกท่านผู้ที่เชื่อ ได้รับการรักษาให้หาย คือมนุษย์ทุกคน มีสิทธิ์ได้รับตรงนี้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธไม่รับ เขาก็ไม่ได้รับการรักษา การรักษามีให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้แล้ว แต่ถ้าเขาปฏิเสธ เขาก็ไม่ได้รับ เหมือนกับยกตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือรัฐบาลให้วัคซีนกับคนไทยทุกคน สมมตินะ ให้ฟรีเลย ไปฉีดที่ไหนก็ได้ ฟรีหมด แต่ถ้าเขาไม่ฉีด ได้ไหม? ได้ ไม่ได้ห้าม อยู่ที่การตัดสินใจ เขาไม่ฉีด เขาก็ไม่ได้รับวัคซีน เมื่อเจอเชื้อ เขาก็ต้องติดเชื้อ นี่พูดแบบยกตัวอย่างง่ายๆ ไม่ใช่เชิงวิชาการ อะไรอย่างนั้นเป็นต้น

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มนุษย์เอ๋ย นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาประกาศ ตั้งแต่วันแรกของ 3 ปีที่ประกาศข่าวดี จนถึงกระทำเสร็จ สำเร็จเรียบร้อยที่ไม้กางเขน  และให้กับอัครทูต ทูตของพระองค์ทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์รุ่นต่อๆ มา ประกาศๆ จนมาถึงเราทุกวันนี้ ก็ประกาศความจริงเหล่านี้ ข่าวดีเหล่านี้ว่ามันเกิดผลในโลกวิญญาณอย่างนี้จริงๆ 3 สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆ

สรุปวันนี้ก่อนว่าใครที่ได้ยิน มนุษย์ผู้ใดที่ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ ซึ่งเป็นความจริง เป็นคำพูด เป็นข่าวสารที่พระเยซูบอกจริงๆ ท่านจะได้รับประโยชน์อย่างมากมาย อย่าไปทิ้ง ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังไม่เปิดใจ ไม่เป็นไร รับฟังไปเรื่อยๆ ด้วยความถ่อมใจ วันหนึ่งมันจะเกิดผล ตามที่พระเยซูบอกไว้  พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ก่อนอื่นขอขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับผู้ที่เขียนบทความนี้ เพื่อเป็นสติปัญญาให้เราเริ่มต้นค้นหาความจริงไปด้วยกัน

* ใครเป็นผู้คิดค้นกฎพื้นฐาน 3 ประการ  ในการป้องกันเราจากโควิด *

1 – การรักษาระยะห่าง

2 – การล้างมือให้สะอาด

3 – การสวมหน้ากาก

* คุณรู้หรือไม่ว่ากฎเหล่านี้  ได้ถูกกำหนดให้กับชนชาติอิสราเอลมาตั้งแต่ 3,500 ปีก่อนแล้ว?

มาลองค้นดูในพระคัมภีร์กัน! *

* 1 – อพยพ 30:18-21 : ล้างมือของท่าน เพื่อท่านจะไม่ตาย *

* 2 – เลวีนิติ 13:4, 5, 46 : ถ้าท่านมีอาการ  ให้เว้นระยะห่าง ปิดปาก และหลีกเลี่ยงการ

สัมผัส *

* 3 – เลวีนิติ 13:4, 5 :  ผู้ใดที่ติดเชื้อ  จะต้องถูกกักตัว 7 ถึง 14 วัน *

และยังมีผู้ที่สงสัยว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งปัญญาจริงหรือ!

ฉันชอบคำอุปมานี้ : …

เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “ปลา” พระองค์ตรัสสั่ง “ทะเล”

เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “ต้นไม้” พระองค์ตรัสสั่ง “พื้นดิน”

แต่เมื่อ “พระเจ้า” ต้องการสร้าง “มนุษย์” พระองค์หันมาที่พระองค์เอง  แล้ว “พระเจ้า”

ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของเรา”

ข้อสังเกต : …

หากท่านจับปลาขึ้นจากน้ำ ปลาจะตาย

หากท่านถอนต้นไม้ออกจากพื้นดิน ต้นไม้ก็ตายเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เมื่อมนุษย์ตัดสัมพันธ์กับ “พระเจ้า” มนุษย์ก็ตาย

“พระเจ้า” ทรงเป็นสภาพแวดล้อมธรรมชาติของเรา เราถูกสร้างเพื่อที่จะอยู่ เฉพาะพระพัตร์พระองค์ เราจะต้องสามัคคีธรรมกับพระองค์ เพราะการอยู่กับพระองค์เท่านั้น  คือการที่ทำให้มีชีวิตอยู่

ให้เราอยู่ใกล้ชิด “พระเจ้า”

ให้เราจำไว้ว่าน้ำ หากปราศจากปลา น้ำยังคงเป็นน้ำ

แต่ถ้าปลา ปราศจากน้ำ ก็ไม่เหลืออะไรเลย

พื้นดิน หากปราศจากต้นไม้ พื้นดินยังคงเป็นพื้นดิน

แต่ถ้าต้นไม้ ปราศจากพื้นดิน ก็ไม่เหลืออะไรเลย

พระเจ้า หากปราศจากมนุษย์ พระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้า

แต่มนุษย์ หากปราศจากพระเจ้า ก็ไม่เหลืออะไรเลย

แน่นอน หากข้อความนี้  ทำให้คุณได้ครุ่นคิดใคร่ครวญ  คุณอาจจะมีความชื่นชมยินดีในการแบ่งปัน  และส่งต่อข้อความนี้ออกไปให้ผู้อื่น ซึ่งนั่นเรียกว่า “การเป็นพยานเผยแพร่พระกิตติคุณ”

พระเจ้าอวยพรครับ