วารสาร Holy News ฉบับที่ 1345

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มกราคม  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส จริงๆ ไม่ว่าเราเรียนหนังสือเล่มไหน ก็พุ่งเป้าไปที่เดิม ก็คือที่ความรอดในพระเยซูคริสต์ในข่าวประเสริฐที่พระองค์ทรงประทานให้กับพวกเรา เอเฟซัส 1:21 บอกไว้อย่างนี้ …

เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง  ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย”

 

“ในตำแหน่งนี้” คราวที่แล้ว ย้อนนิดหนึ่ง ข้อที่ 20 บอกว่า …

เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู  เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์  ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

สืบเนื่องมาจากตรงนี้  ก็คือตอนที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็คือยอมตาย เพื่อมนุษยชาติ  หลั่งพระโลหิต แล้วพระเยซูก็บอกว่าสำเร็จแล้ว ก็คือแผนการที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ได้กระทำสำเร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว มนุษย์บนโลกใบนี้ สามารถที่จะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว รอแต่ว่าคนๆ นั้นได้รับรู้ความจริง แล้วเข้ามาเปิดใจต้อนรับเอาของขวัญนี้เท่านั้น

แปลว่าตอนที่พระเจ้าทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ทำให้มนุษย์สามารถที่จะบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พลังอำนาจที่ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้มีอยู่ในตัวเราเลย แค่เรามารับรู้ความจริงเท่านั้นเองว่าข้างในเรามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้นะ เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ตอนนี้เราไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป  เราไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของระบบบนโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า มีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระเยซูเลย

แล้วตอนที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้ทำให้พระเยซูคริสต์ได้ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

คำว่า  “เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”  ก็คือตำแหน่งที่สูงสุด  ที่พระเจ้าประทานคืนให้กับพระเยซู ตอนที่พระเยซูตัดสินใจ  คือยอมจำนน เราจำได้ใช่ไหม ตอนที่พระเยซูไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนีถึง 3 ครั้ง แล้วพระเยซูก็อธิษฐานกับพระเจ้าว่า …

“ถ้วยนี้ขอให้เลื่อนไปได้ไหม?”

ทำไมพระเยซูถึงอธิษฐานแบบนั้น  เพราะว่าตอนที่พระเยซูอธิษฐาน พระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ  มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์เลย  มีความกลัวเหมือนมนุษย์เลย แล้วก็รู้ด้วยว่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ ที่พระเจ้าให้พระองค์มากระทำ มันหนักหนาสาหัสมาก จนพระเยซูคริสต์ต้องไปขอกำลังจากพระเจ้า อธิษฐานถึง 3 ครั้งว่าถ้าเป็นไปได้ ถ้าพระเจ้าอนุญาต ก็ให้ถ้วยนี้เลื่อนไป หมายความว่าพระเยซูไม่ต้องมาถูกตรึงที่ไม้กางเขนได้ไหม? พระเยซูไม่ต้องมาหลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปของมนุษยชาติได้ไหม? พระเยซูไม่ต้องมาถูกฝังในอุโมงค์ได้ไหม?  แต่พระเจ้าไม่ให้คำตอบ พอไม่ให้คำตอบ พระเยซูรู้เลยว่าไม่ได้

เหตุผลที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ มีเพียงเหตุผลเดียว เพื่อมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา  มีเนื้อหนังเหมือนพวกเรา มีเลือด มีเนื้อ เพื่อจะได้มาไถ่มนุษยชาติให้พ้นจากเงื้อมมือของผีมารซาตาน จากที่บรรพบุรุษของเราได้ขายเรามาเป็นทาส ทาสของความบาป ทาสของความตาย ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา แล้วก็มาชดใช้หนี้บาปนี้ ด้วยชีวิตของพระองค์เอง

ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์อธิษฐาน 3 ครั้ง แล้วพระเจ้าไม่ได้ให้คำตอบอะไร? ก็แปลว่าพระเจ้าบอกว่าจำเป็นที่พระเยซูต้องเดินไปตรงนี้ เพื่อจะได้ชดใช้บาปให้กับมนุษยชาติ แต่ถามว่าตอนที่พระเยซูไม่ได้คำตอบ พระเยซูจะสามารถขัดขืนและปฏิเสธไม่ยอมเดินไปที่แดนประหารได้ไหม? ได้ พระเจ้าให้สิทธิ์นะ เหมือนทุกวันนี้ พวกเราซึ่งเป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าก็ยังคงให้สิทธิ์นั้นกับเรา สิทธิ์ในการตัดสินใจ ดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า หรือเลือกจะเชื่อฟังตัวเอง ทำตามใจตัวเอง หรือเชื่อฟังการล่อลวงของสิ่งรอบข้าง เราเลือกได้ แต่ว่าทุกครั้งที่เราเลือก มันจะมีผลตามมา บนโลกใบนี้เท่านั้น ยังคงยืนยันตรงนี้ ฉะนั้น พระเจ้าก็ให้พระเยซูเลือก เมื่ออธิษฐานจนเสร็จ พระเยซูก็ยังคงเลือกขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถึงขนาดอธิษฐานจนเส้นโลหิตฝอยแตก ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเหงื่อออกมาเป็นเลือด แปลว่าต้องมีการต่อสู้อย่างสาหัสเลย ในช่วงที่พระเยซูขึ้นไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี เพราะว่าถ้าเป็นพวกเรา ก็คงไม่หนักหนาขนาดนั้น เพราะเราไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป แต่พระเยซูทรงรู้ทุกสิ่ง พระองค์เป็นพระเจ้า เป็นทั้งมนุษย์ด้วย แล้วพระองค์รู้ด้วยว่าต่อแต่นี้ไป หลังจากที่ออกจากสวนเกทเสมนีพระองค์จะต้องไปเจอกับอะไร? แล้วพระองค์ก็ยอม ยอมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะถ้าพระเยซูไม่ยอม พระเจ้าก็ไม่บังคับ แล้วถ้าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูเปลี่ยนใจว่าไม่เอาแล้ว ไม่มาตายแทนมนุษย์ กลับไปเป็นพระเจ้าเหมือนเดิมดีกว่า พวกเราทุกคนก็ยังคงอยู่ในบาป ไม่มีโอกาสกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เลย  เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูตัดสินใจว่าถึงอย่างไรก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

แล้วพระเยซูก็ถูกจับที่สวนเกทเสมนี ก่อนไปที่โกละโกธา ถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี โลหิตหลั่งออก ตอนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนเลือดหยดสุดท้ายที่หลั่งออกมาจากพระกายของพระองค์ พระเยซูก็ตะโกนว่า … “สำเร็จแล้ว”

สำเร็จแล้ว ก็คือภารกิจที่พระเจ้าได้มอบหมายให้กับพระเยซูคริสต์ ให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ให้มาตายแทนเราบนไม้กางเขน สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี งานที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำ ก็ยังมีผลอยู่ จนถึงทุกวันนี้ จนถึงอนาคตข้างหน้า จนถึงวันสุดท้ายที่พระเจ้าเห็นว่าผู้ที่พระองค์กำหนดไว้ มาครบจำนวน เราก็ยังคุยกันเหมือนเดิมว่าจำนวนที่พระองค์มีเป้าหมายไว้ หรือกำหนดไว้มีเท่าไร? อย่างไร?  แต่ความต้องการของพระเจ้าจริงๆ ก็คือทุกคนมาเชื่อพระเจ้าเลย แต่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จะมีผู้คนที่ฟังเรื่องราวของพระเจ้าแล้ว ก็ยังใจแข็งกระด้าง ก็ยังไม่ยอมมารับการช่วยเหลือจากพระเจ้า คนกลุ่มนั้น ถ้าถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจเขาออกจากร่าง เขายังไม่ตัดสินใจที่จะเปลี่ยน มาเชื่อวางใจในพระเจ้า เขาก็ยังคงอยู่ในบาป และเมื่อวันที่ไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ที่บัลลังก์สีขาว เขาก็จะถูกตัดสินลงโทษเด็ดขาดเลย ก็คือถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรก

ฉะนั้น พวกเราผู้เชื่อทุกวันนี้  ที่เราประกาศเรื่องราวของพระเจ้า  ในโอกาสต่างๆ ที่พระเจ้าได้เปิดประตูให้กับพวกเรา  เราก็ยังคงคุยเรื่องนี้ตลอด จนกว่าจะสิ้นยุคนั่นแหละ จนกว่าเราจากโลกนี้ไป หรือจนกว่าพระเยซูเสด็จกลับมารับพวกเรา ก็ยังคงต้องคุยเรื่องนี้เหมือนเดิม คือเรื่องความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ประทาน ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้ามาถึงพวกเรา มนุษยชาติทั้งหลาย

และในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจนี้แหละ ที่พระเจ้าได้คืนทุกอย่างให้กับพระเยซู ตอนวันที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ได้คืนอำนาจสิทธิ์ขาดทั้งหมดให้กับพระเยซูคริสต์ ที่ในหนังสือฟิลิปปีบอกว่าให้ทุกหัวเข่าก้มลงกราบพระเยซูคริสต์ และทุกลิ้นยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเยซูได้ทำภารกิจนี้สำเร็จแล้ว อำนาจทุกอย่างได้กลับคืนมาสู่พระองค์เรียบร้อยแล้ว

ในข้อที่ 21 บอกว่าในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งที่พระเจ้าได้ให้คืนกับพระเยซูคริสต์ ในตำแหน่งของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ ในการตัดสินลงโทษมนุษยชาติ จนถึงวินาทีสุดท้าย วันที่พวกเราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อ พระเยซูก็จะกลายเป็นผู้ตัดสินลงโทษ แต่ ณ วันนี้ ที่พระเยซูมาในโลกใบนี้ คือมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรียกว่าจะมีสถานะต่างกัน การทำงานต่างกัน ทุกวันนี้ พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่ถ้าวันสุดท้ายของโลกใบนี้ ที่ในพระคัมภีร์บอกว่าโลกนี้จะสลายไป  จะสูญสิ้นไป  แล้วมนุษย์ทุกคนก็จะไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์การพิพากษา ณ วันนั้นแหละ พระเจ้าจะทรงแยกแกะกับแพะ  … แกะ ก็คือคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า แพะ คือคนที่เชื่อวางใจในตัวเอง

แล้วคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อยู่ฝั่งแกะ พระเจ้าก็จะบอกว่า … “ไป ไปร่วมสุขกับเรา” ก็คือร่วมสุขกับพระเจ้า ไปอยู่กับครอบครัวของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนคนที่อยู่ฝั่งซ้าย ที่เป็นแพะ พระเยซูก็จะบอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย” ไม่เคยรู้จักในลักษณะ ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่าหลายคนอาจจะคิดว่าเขาเชื่อพระเจ้า แต่ความเป็นจริง เขาอ้างชื่อพระเจ้า ข้างในวิญญาณ พระเจ้าจะรู้ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่คนของพระองค์

ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่พระเยซูยกตัวอย่างว่ามีคนเป็นอันมากมาหาพระเยซูคริสต์ แล้วก็บอกว่า …

“พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อธิษฐานในนามของพระองค์ วางมือในนามของพระองค์ ทำโน่นนี่นั่นในนามของพระองค์”

คนยิวสมัยก่อน เขาคิดว่าที่เขารับใช้พระเจ้า เขากำลังรับใช้ในนามพระองค์ คือในนามของพระเจ้า พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพราะว่าเขาเป็นชนชาติของพระองค์แล้ว แต่พระเยซูบอกว่าถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนพวกเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ตั้งแต่วินาทีนั้น คนยิวทุกคนไม่ได้เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยปริยาย ก็คือกฎหมายได้เปลี่ยนแล้ว หมายความว่ากฎใหม่ที่พระเจ้าให้บัญญัติใหม่มา ตอน ณ เวลานั้น ก็คือคนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ มาพึ่งพาในพระเยซู แทนที่จะพึ่งพากฎระเบียบ กฎบัญญัติที่เขานับถือมาตั้งแต่สมัยโมเสส ถ้าเขายังคงพึ่งพาอยู่ ทำทุกอย่างด้วยกำลังของตัวเองอยู่ เขาก็ไม่รอดเหมือนกัน แล้วถึงวันนั้น

เขาก็จะไปบอกพระเยซูว่า … “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อธิษฐานในนามของพระองค์ วางมือในนามของพระองค์ รักษาโรคในนามของพระองค์”

พระเยซูก็จะพูดว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”

คนเหล่านั้นพึ่งพาในตัวเอง ไม่ได้พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายมากๆ สำหรับมนุษย์ แต่เราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับผู้คนอีกมากมาย ที่เวลานี้ เรายังคงเชื่อมั่นอยู่ว่าเมื่อพระเยซูยังไม่เสด็จกลับมา  แปลว่ายังมีผู้คนหลงเหลืออีกมากมาย ที่เขาจะมีโอกาสกลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ได้มีเป้าหมายไว้ คือคาดหวังไว้อย่างนั้น

ฉะนั้น ตำแหน่งตรงนี้ พระเจ้าได้ให้คืนกับพระเยซูคริสต์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด แล้วสิทธิอำนาจนี้ จะเป็นสิทธิอำนาจที่อยู่เหนือวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ  คือเหนือศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพอาณาจักร เทพอะไรก็ตามที่ว่าใหญ่ยิ่งมโหฬาร ที่มนุษย์เชื่อว่ายิ่งใหญ่บนโลกใบนี้  พระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์จะมีสิทธิอำนาจเหนือกว่าเทพเหล่านี้ ฉะนั้น ในพระคัมภีร์จะบอกให้เรารู้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูใหญ่ขนาดไหน? แล้วมีอำนาจขนาดไหน?  ที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ แล้วอัศจรรย์และเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือเมื่อเราเชื่อพระเจ้า  เราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา  สิทธิอำนาจนี้ก็อยู่ในเราด้วย ยิ่งใหญ่สูงสุด  แล้วในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่เดียวกัน ในตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้อะไรกับพระเยซูคริสต์ พวกเราได้ด้วย ตำแหน่งนี้ สิทธิอำนาจนี้ เราทุกคนได้รับเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ

แล้วในพระคัมภีร์ตรงนี้บอก ไม่ใช่เฉพาะในยุคปัจจุบันเท่านั้น แต่ในยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย ก็คือตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย อำนาจนี้ได้อยู่ที่พระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วพระเยซูก็ได้แบ่งชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคน แล้วสิทธิอำนาจทั้งหมดของพวกเรา ก็เป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จนถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย จนกว่าเราจากโลกนี้ไป  ไปอยู่กับพระเจ้า หรือจนกว่าพระเยซูเสด็จกลับมารับเรา สิทธิอำนาจนี้ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวเรา

เอเฟซัส 1:22 “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณอยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้ง พระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้)”

 

พระเจ้าให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุ โลกวิญญาณ  … โลกวิญญาณที่มันมีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของเรา แต่ทั้งหมด บนโลกใบนี้  ที่อยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของพระเยซูคริสต์ รวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่ในโลกวัตถุด้วย  ที่เราจับต้องมองเห็นได้ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิงสาราสัตว์ ต้นไม้ ก้อนหิน อะไรทั้งหมด ก็อยู่ภายใต้อำนาจของพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน

อำนาจทั้งหมดพระเจ้าให้กับพระเยซูคริสต์ และในขณะเดียวกัน พระเจ้าได้ให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เป็นศีรษะอยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร ในพระคัมภีร์เปรียบเทียบพวกเรา  ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้า ก็คือผู้เชื่อทุกคน

ปกติเราพูดถึงคริสตจักร เราอาจจะคิดถึงตัวอาคาร แต่ในความเป็นจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงตัวอาคาร คริสตจักรของพระเจ้า หมายถึงตัวบุคคล คือพวกเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นคริสตจักรของพระเจ้า

ทำไมถึงเรียกว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้า  เพราะว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าพระบิดา ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ด้วย ฉะนั้น เราทุกคนถูกเรียกว่าคริสตจักร

พระเยซูจึงบอกว่าบนศิลานี้ พระองค์จะสร้างคริสตจักรของพระองค์ และพลังแห่งความตายจะมีชัยเหนือคริสตจักรไม่ได้ หมายความว่าพระเจ้าได้สร้างคริสตจักรของพระองค์ คือพวกเรา ตัวบุคคล แต่ละบุคคล เมื่อเชื่อวางใจในพระเจ้า จะไม่มีพลังแห่งความตาย สามารถดึงเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้เลย ฉะนั้น พอเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะดูแลเรา แล้วพระเจ้าจะคอยปกป้องคุ้มครองเรา

คำว่า “ปกป้องคุ้มครอง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า เราไม่ต้องเจอกับอะไรในโลกใบนี้  ไม่เจอปัญหา ไม่เจออุปสรรค ไม่ต้องเจ็บป่วย ฯลฯ มันไม่จริง ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ปัญหาเรายังเจออยู่ โรคภัยไข้เจ็บเราก็ยังเจออยู่ ถ้าอายุเราเยอะมาก โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหา เพราะว่าร่างกายของเราก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรมไป  ขณะที่วิญญาณเราใหม่ทุกวัน  แต่ร่างกายยังอยู่ในโลกของความบาปและความตายอยู่ มันจะค่อยๆ ตายไป  ค่อยๆ เสื่อมสูญไป ค่อยๆ ใช้การไม่ได้ไปเรื่อยๆ แล้วยิ่งอายุเยอะมากขึ้น มันก็เป็นโน่นเป็นนี่ จนกว่าถึงวาระกำหนดของแต่ละคน ที่พระเจ้าเห็นว่าโอเคงานของเราจบแล้วนะ กลับบ้านได้ วิญญาณเราก็ออกจากร่าง แล้วไปอยู่กับพระเจ้า

คือเวลาเรามาเชื่อพระเจ้า ความตายไม่ใช่เรื่องสาหัสสากัน สำหรับผู้เชื่อ  ความตาย คือเป็นความสุขของพวกเรา ที่เราได้กลับบ้าน  เราไม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยบนโลกใบนี้แล้ว เราได้พักผ่อน  ได้ไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล โดยที่ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ต้องมาต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคบนโลกใบนี้ นั่นคือความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า

ฉะนั้น เมื่อเราคุยถึงเรื่องความตาย ในระหว่างครอบครัวของพระเจ้า  มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคริสเตียน เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราตาย แค่เปลี่ยนมิติ เหมือนกับเราหลับไป ในพระคัมภีร์ไม่ใช้คำว่าตายกับผู้เชื่อ พระคัมภีร์จะใช้คำว่าล่วงหลับไป เหมือนเราหลับไป ตื่นขึ้นมาใหม่ อ้าว! ไปอยู่ที่แห่งใหม่แล้ว เปลี่ยนมิติ ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความหวังใจของคริสเตียนทุกคน  แล้วเราทุกคนก็จะมีความสุข แฮปปี้มาก เมื่อเราได้ถึงวาระนั้น แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่ว่าจากด้วยวิธีอะไรก็ตาม ด้วยเจ็บป่วยติดเตียง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่วิญญาณข้างในเรามีความหวัง และเรารับรู้ว่าวิญญาณเราถึงวาระ ถึงเวลาของแต่ละคน  เราได้ไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน  นี่คือความหวังใจ

เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้เรา ที่พระองค์ทรงสัญญาจะดูแล นำพาย่างเท้าของเรา  ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราจะเจอปัญหา  เราก็เจอมา 2 ปีแล้ว ปีนี้เราอาจจะเจอต่อ ก็ไม่เป็นไร ต่อให้เจออย่างไร พระเจ้าก็จะจูงมือเราเดิน แล้วพระเจ้าก็สัญญาว่าพระองค์จะพาเราผ่าน ผ่านด้วยวิธีอะไร เราไม่รู้ อาจจะผ่านด้วยวิธีหืดขึ้นคอเลย พระเจ้าก็พาเราผ่าน หรือผ่านจนพระเจ้าบอก …

“ไม่ไหวแล้ว  เธอคงไม่ไหว กลับบ้านๆ” อะไรอย่างนี้

นั่นคือวิธีของพระเจ้า ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้า เราก็ฝากทุกอย่างไว้กับพระองค์ เราทำส่วนของเราเต็มที่ ส่วนที่เหลือ เราก็ฝากไว้กับพระเจ้า ฉะนั้น การจากไปในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สำหรับ คริสเตียน

เอเฟซัส 1:23 “ที่เหมือนร่างกายของพระองค์   ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

 

ความสมบูรณ์แบบ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราทุกคน พวกเราทุกคนเป็นพระกายของพระคริสต์ โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของพวกเรา ณ วันนี้นะ ณ ปัจจุบัน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา แล้วพวกเราทุกคนในคริสตจักร ไม่ใช่เฉพาะในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน แต่เป็นทุกคริสตจักร  ผู้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อ  ทุกคนเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์

คำว่า “พระกาย” หมายถึงแต่ละคนจะถูกเลือกให้มีหน้าที่แตกต่างกัน ทำหน้าที่ในโลกใบนี้แตกต่างกัน บางคนถูกเลือกเป็นตา เป็นจมูก ถูกเลือกเป็นคิ้ว เป็นปาก เป็นแก้ม เป็นหน้าผาก เป็นหู เป็นอวัยวะในร่างกาย เป็นมือ เป็นตัว เป็นขา หรือเป็นนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วแม่โป้งอะไรก็แล้วแต่ หรือบางคนถูกเลือกให้เป็นตับ ไต ไส้ พุง หัวใจ อะไรทั้งหมด  ตับ ไต ไส้ พุง เรามองไม่เห็น แต่ว่าทุกอย่างจะทำงาน ดังนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่ออวัยวะทุกส่วนทำงานตามความเหมาะสม ร่างกายของพระเยซูคริสต์ ก็คือคริสตจักรจะจำเริญขึ้น

ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร่างกายปัจจุบันที่เราเป็น แต่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าเลือกพวกเราแต่ละคนในตำแหน่งต่างๆ ที่เหมาะสมตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เหมาะสมตามที่เราคิดว่าเราควรจะได้แบบนี้  แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ พระองค์เลือกไว้ว่าโอเคให้คนนี้เป็นตา ถ้าเป็นตา ก็ต้องใช้งานเยอะหน่อย  ก็คือเราเดินไปไหน เราต้องใช้ตามอง ตาทำงานพอๆ กับขา คือถ้าตา มอง ขาเดิน มันไปด้วยกัน คือจริงๆ ทุกส่วนสำคัญหมด เพียงแต่ว่าทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง

แล้วถ้าร่างกายแต่ละชิ้นส่วน อวัยวะแต่ละชิ้นส่วนยอมจำนนกับพระเจ้า หมายความว่ารับรู้ว่าพระเจ้าเรียกเรามาทำอะไร แล้วเราก็แฮปปี้ที่จะทำตามนั้น  อวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็ทำงานไปด้วยกัน แต่ถ้ามีส่วนไหนที่รวน มีความรู้สึกว่าพระเจ้าให้เราเป็นตับ มันอยู่ข้างใน คนมองไม่เห็น เราไม่โอเค เราไม่แฮปปี้ เราอยากจะโชว์ตัวเราเองว่า …

“ฉันเป็นตับ ฉันทำหน้าที่สำคัญนะ”

ตับขอวิ่งออกมาข้างนอกได้ไหม? วิ่งออกมาข้างนอก ก็อันตรายนะสำหรับร่างกาย มันไม่ได้ แต่ว่าตับมีความสำคัญ หัวใจมีความสำคัญ ปอดมีความสำคัญ ลำไส้มีความสำคัญ ทุกอย่างมีความสำคัญหมด แม้แต่ไส้ติ่งก็มีความสำคัญ ที่ทุกคนบอกว่าตัดมันทิ้ง ก็ไม่มีอะไร แต่มันมีความสำคัญ ฉะนั้น ทุกส่วนในร่างกายเรา ทำงานด้วยกัน ถ้าไม่มีส่วนไหนรวน ร่างกายเราก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณเนอะ ร่างกายเราจะแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ถ้าส่วนไหนที่เริ่มรวนว่าไม่เอาแล้ว เราไม่อยากทำตามที่พระเจ้าให้เราทำ เราไปทำอย่างอื่น  มันก็ทำให้รวนไปประมาณหนึ่ง แต่ว่าไม่ว่าเราจะรวนขนาดไหน? พระเจ้ามีวิธีที่จะควบคุม และมีวิธีที่จะจับเรากลับมาที่เดิมนั่นแหละ

จำเรื่องของโยนาห์ได้ไหม? โยนาห์อยู่ในท้องปลา นั่นเป็นพระคัมภีร์เดิม พระคัมภีร์เดิมก็เล็งถึงพระคัมภีร์ใหม่ที่พระเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ คือทุกอย่างในพระคัมภีร์เดิม ถูกเขียนไว้ ก็พุ่งเป้ามาที่พระเยซูคริสต์นั่นแหละ แต่ว่าพระเจ้าก็ให้บันทึกไว้ เพื่อให้เราเห็นภาพว่าพระองค์ทำงานอย่างไร?

โยนาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ที่พระเจ้าให้ไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ แล้วโยนาห์ก็รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา ถ้าใครที่กลับใจใหม่ พระเจ้าก็จะยกโทษให้ นั่นคือสมัยพระคัมภีร์เดิม พอพระเจ้าบอกโยนาห์ว่าไปประกาศที่เมืองนีนะเวห์ โยนาห์ไม่ยอม เพราะรู้ใจพระเจ้า รู้ว่า …

“ถ้าฉันไปประกาศ  แล้วถ้าคนเมืองนี้กลับใจใหม่  พระเจ้าก็จะยกโทษให้เขา พวกนี้เลวมากเลย  ไม่สมควรได้รับการยกโทษ ฉันไม่ยอม ฉันไม่ยอมให้พระเจ้าใช้  ฉันก็เลยหนีไง”

พอโยนาห์หนี หนีไม่พ้นมือพระเจ้า พระเจ้าก็มีวิธี ทำให้พายุมา เรือจะล่ม แล้วก็โยนโยนาห์ลงทะเล เข้าไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน พอ 3 วันได้คิด อธิษฐาน …

“พระองค์เจ้าข้าๆ ได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย  คายลูกออกมาจากปากของปลา แล้วลูกจะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์”

พระเจ้าก็คายเขาออกมาจริงๆ แล้วเขาก็ออกไปประกาศ พอประกาศจริงๆ ชาวเมืองนีนะเวห์ ได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า  กลับใจใหม่หมดทั้งเมืองเลย คือไปนุ่งผ้ากระสอบ สมัยก่อนวิธีแสดงการกลับใจใหม่ ก็คือนุ่งผ้ากระสอบ เอาขี้เถ้าซัดใส่หัว เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า …

“ฉันกลับใจใหม่จริงๆ”

แล้วพระเจ้าก็ยกโทษให้ทั้งเมืองเลย คือไม่ทำโทษ โยนาห์โกรธพระเจ้า …

“พระเจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร?  พวกนี้เลวมากเลย  พระเจ้าควรจะลงโทษเขา”

งอนพระเจ้าอีก แล้วในหนังสือเล่มนี้  พระเจ้าน่ารักมาก โยนาห์ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แล้วพระเจ้าก็ให้ต้นไม้โตขึ้นมาในค่ำคืนเดียว ให้ร่มเงา คิดว่าตอนนั้นน่าจะร้อนมาก โยนาห์ก็มีความสุข เย็นสบาย ข้ามวัน พระเจ้าให้ต้นไม้นี้เหี่ยวตายไปเลย พอเหี่ยวตายไป โกรธพระเจ้าอีก นี่มนุษย์นะ โกรธพระเจ้าอีก บ่นต่อว่า …

“พระเจ้า ต้นไม้นี้ให้ร่มเงาซะอย่างดี  พระเจ้าทำอย่างนั้นได้อย่างไร?  ให้มันตายไป ดูสิร้อนซะขนาดนั้น”

พระเจ้าก็ตรัสกับโยนาห์ว่า … “นี่ขนาดต้นไม้ที่เจ้าไม่ได้ปลูก แล้วมันเกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามคืน แล้วมันตาย เจ้ายังเสียดายมันเลย แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น ในเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ว่าเขาจะเลวทรามต่ำช้าขนาดไหน พระเจ้ารักเขา แล้วพระเจ้าปรารถนาที่จะช่วยเขา ให้เขาได้รับพระกรุณาจากพระเจ้า”

แค่นั้น โยนาห์ยอมจำนนเลย มันจริง พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ แล้วพระเจ้ารักพวกเราดังแก้วตาดวงใจ  รักมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  ปรารถนาให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ไม่ปรารถนาที่จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย แต่พระเจ้าก็ไม่บังคับเรา พระเจ้าให้เรามีอิสระ ให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะยอมให้พระเจ้าช่วย หรือไม่ยอม  ถ้าเรายอมให้พระเจ้าช่วย พระองค์ก็เข้ามาช่วย  ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย แค่บอก …

“พระเจ้าช่วยด้วย ลูกต้องการความช่วยเหลือ”

พระองค์มาทันทีเลย  ฉะนั้น พอเราไม่ยอมให้พระเจ้าช่วย พระองค์อยากช่วยนะ  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะพระองค์ไม่ละเมิดบุคลิกลักษณะของพระองค์เอง เป็นผู้ที่สุภาพ อ่อนโยน เป็นผู้ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจแล้ว พระองค์ก็ไม่ไปบีบคอเราว่า …

“เธอตัดสินใจอย่างนี้ผิด เธอต้องตัดสินใจแบบนี้ตามฉัน” … ไม่ใช่ พระเจ้าก็ให้สิทธิ์

ฉะนั้น พระเจ้าก็ยังขอร้อง จนถึงทุกวันนี้ ถ้อยคำของพระเจ้าทุกครั้งที่เราได้ยินได้ฟัง พระเจ้าก็ยังขอร้องผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้เขา …

“กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด เจ้าช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เราทำให้เจ้าเสร็จแล้ว กลับมาให้เราช่วยเจ้าเถิด”

นี่คือคำขอร้องของพระเจ้ามา 2,000 ปีแล้ว แล้วถ้าโลกนี้ยังไม่สลายไป คำขอร้องนี้ก็จะถูกประกาศออกไปทุกช่วงเวลา ทุกโอกาสที่พระเจ้าเปิดให้กับพวกเรา ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้า

และในปีใหม่นี้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา อวยพรผู้คนอีกมากมาย ที่เขายังไม่ได้รู้จักข่าวดีนี้ หรือผู้คนที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว ให้เขาได้ตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อเขาจะได้มีโอกาสเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จะจูงมือเขาเดินทุกวัน ขณะที่เขายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่

ขออวยพรพี่น้องทุกคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่ในคริสตจักรแห่งนี้เท่านั้น คริสตจักรทั่วโลกเลย ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ให้ทุกคนมีกำลัง ซึ่งมาจากพระเจ้า ให้ทุกคนสามารถที่จะรับรู้ความจริงแท้ๆ ของพระเจ้าว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าได้ประทานสิทธิอำนาจอะไรให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

*******************

 

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

กรุณาเลือกคำตอบ  …

สองทางที่ท่านสามารถเข้าสวรรค์เดี๋ยวนี้และถึงนิรันดร์ได้  คือ …

  1. พึ่งพาการกระทำดีของตนเอง (ต้องสอบได้ 100% ไม่ทำผิดบาปแม้แต่ครั้งเดียว)
  2. เชื่อในการกระทำของพระเยซูที่ตายบนกางเขนเพื่อท่าน   (ไม่ต้องเข้าสอบเลย)

 

ถ้าเราพึ่งพาในการสะสมคะแนนจากการกระทำความดีของเราเอง เราจะต้องได้คะแนนเต็ม 100% ใน เกณฑ์การตัดสินของพระเจ้าเราผิดไม่ได้เลย แม้จะได้คะแนน 99.99% ก็ไม่ผ่านถือเป็นสอบตก ท่านก็จะถามว่าแล้วจะมีใครหน้าไหนที่ทำได้เล่า? คำตอบ คือไม่มี มันเป็นไปได้ ต้องไปเกิดใหม่ การเกิดใหม่เป็นอัศจรรย์จริงๆ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน เพื่อท่านจะได้เข้าสวรรค์ได้ ยังไงล่ะ

 

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ  9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีในความรอดของตนได้”

 

โรม 5:6-10 “6 เมื่อเรายังไร้กำลัง  พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปในเวลาอันเหมาะ  7 น้อยนักที่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม  แม้ว่าอาจจะมีบางคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดีก็ได้  8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย  คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา 9 ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  โดยพระโลหิตของพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า (การถูกพิพากษาลงโทษ  เนื่องจากเป็นคนบาป) โดยพระองค์อย่างแน่นอน! 10 เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์  ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! (โดยการบังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่เหมือนพระเยซู)

พระเจ้าอวยพรครับ