วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1445

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  ธันวาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองคทรงอยู่)”

ตอน 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” วันนี้ตอนที่ 5 “อิสระจากความกลัวความขัดสนยากจน”

            อันดับแรกเลย ถามว่า … “ความขัดสนยากจนนี้ มาจากไหน?”

            มนุษย์บนโลกใบนี้คิดอย่างไร?  เราคิดอย่างไร? ความขัดสนยากจน มาจากไหน?  ความจริงคืออะไร?  เรามาดูถ้อยคำพระเจ้ากัน  เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทราบสาเหตุของความยากจน  ความขัดสนบนโลกใบนี้อย่างแน่นอนเลยว่า เหตุอะไร จึงเกิดความยากจน เหตุใดการทำมาหากินของมนุษย์บนโลกใบนี้ ทำไมมันจึงลำบาก  มันยุ่งวุ่นวายถึงการทำมาหากิน ทุกยุคทุกสมัยเป็นอย่างนี้  มันมาจากไหน?  มาจากมนุษย์ขี้เกียจหรือ? เราก็ต้องไปที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเลย เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้สร้างสิ่งที่มองเห็น ก็คือโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของบนโลกที่เรามองเห็น และเป็นผู้สร้างสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ก็คือโลกวิญญาณ เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบาก ความยากจนนี้ ในวัตถุสิ่งของที่มองเห็นนี้ มันเกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าสร้างมาเป็นอย่างนี้หรือ? ให้ทุกข์ลำบากอย่างนี้หรือ?

            เปล่าเลย ในปฐมกาล พระเจ้าบอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างโลกใบนี้อย่างนี้และดีที่สุดเลย เป็นบ้านให้กับมนุษย์ได้อยู่อาศัย  แล้วทำไมบ้านที่ดี ถึงทุกข์ลำบากอย่างนี้ มีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความลำบากในการอยู่อาศัย  ก็เพราะว่ามีการผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้น ได้ทำอะไรบางอย่าง ก็คือได้กบฏต่อพระเจ้า  ตัดสินใจออกจากบ้านนี้  ตัดสินใจเป็นศัตรู ต่อต้านกับพระเจ้า ไม่อยู่กับพระเจ้าแล้ว  พูดง่ายๆ เชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป เมื่อเชิญพระเจ้าออกจากบ้านไป ก็คือพระเจ้าก็ออกไปจากบ้าน คือโลกใบนี้ รวมทั้งชีวิตของมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นวิญญาณ และเป็นร่างกาย เป็นวัตถุ รวมกัน ร่างกายสร้างมาจากธาตุทั้ง 4 ของโลกวัตถุนี้  ส่วนวิญญาณนั้น มาจากพระเจ้า  เต็มด้วยสง่าราศี  เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า

            ปรากฏว่าเมื่อมนุษย์ไม่ต้องการพระเจ้าแล้ว ตัดสินใจเดินออกมาจากพระเจ้า ไม่พึ่งพาพระเจ้าแล้ว จะพึ่งตัวเอง พระเจ้าก็จำเป็นต้องออกไป เพราะอะไร?  พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก ไม่เคยบังคับใคร? ไม่เคยให้ใครเป็นทาส ให้กำเนิดทุกสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ด้วย โดยให้อิสรภาพ  เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า มนุษย์มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ จะรับพระเจ้าหรือไม่รับก็ได้ ปรากฏว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือหัวหน้า บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง ออกจากบ้าน หรือไม่ก็คือให้พระเจ้าออกจากบ้านไป จะดูแลโลกใบนี้ และดูแลชีวิตด้วยตนเอง

            ด้วยตนเอง คือพึ่งพาตนเอง  “พึ่งพาตนเอง” ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าบาป  “บาป” ที่เราบอกว่าทำอันนั้นบาป  ทำอันนี้บาป ยิงนกตกปลาเป็นบาป บาปตัวนี้ แปลว่าการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า ที่พระประสงค์ของพระองค์สร้างเรามา ต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์ ต้องการให้เราอยู่กับพระองค์ ถึงจะได้มีความสุขดี ตามที่พระองค์ทรงสร้างเรามา แต่เราทำบาป ก็คือไม่กระทำตามพระประสงค์ หรือทำตามความต้องการของพ่อของเรา เราต้องการทำตามใจตัวเอง  หรือออกมาอยู่ด้วยตนเอง เรียกว่าบาปนั่นเอง ทำบาปครั้งใหญ่เลย  ครั้งใหญ่มาก ก็คือการสลัดทิ้งพระเจ้า  ออกมาอยู่ลำพัง เกิดอะไรขึ้น  พระเจ้าก็ออกไป  ความดีงามที่เรียกว่าพระสิริของพระเจ้า และตัวพระเจ้าเอง พระเจ้าแห่งความดี ก็ต้องออกไปจากชีวิตของมนุษย์ ทั้งวิญญาณและโลกวัตถุ  ทั้งหมดนี้ ออกไปหมดเลย

            ความดีงามออกไป เรียกว่าพระสิริ เป็นสง่าราศีของพระเจ้า หลุดออกไป จากทั้งวิญญาณของมนุษย์ และร่างกายของมนุษย์  รวมทั้งวัตถุสิ่งของ โลกใบนี้ที่บอกดีงามนั้น ความดีงาม หลุดออกไปหมดเลย  กลายเป็นอะไร? ตรงกันข้ามกับความดีงาม  ซึ่งพระเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกับความดีงาม คือความชั่ว  … ความชั่วมันก็ปรากฏออกมา ความชั่วจริงๆ ไม่มีนะ ความชั่ว คือความไม่ดี ความชั่ว คือปราศจากความดี

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นเหมือนกับแสงสว่าง  เมื่อแสงสว่างออกไป อะไรเข้ามาแทนที่ ความมืด … ความมืดไม่มีตัวตน  ความมืด คือการไม่ปรากฏตัวของแสงสว่างนั่นเอง  ความมืดไม่มีจริง  แต่แสงสว่างหายไปนั่นเอง  เพราะฉะนั้น โลกใบนี้ จึงไม่มีแสงสว่าง  ไม่มีความดีงาม  อะไรเกิดขึ้นมาแทน สิ่งตรงกันข้าม ความชั่วร้ายและความมืดเข้ามาแทนที่ ที่ไหน? ที่ทั้งวิญญาณของมนุษย์ ในโลกวิญญาณ  และที่โลกวัตถุใบนี้ รวมทั้งร่างกายของเราด้วย  สาเหตุเป็นอย่างนั้น  และจะพาท่านไปดูที่บันทึกเอาไว้ ในพระคัมภีร์ปฐมกาล เริ่มแรกเลยว่าพระเจ้าสร้างมาดีอย่างนี้นะ  อธิบายให้ฟังเมื่อสักครู่นี้  แล้วเกิดอย่างนี้ขึ้น  เพราะฉะนั้น มันเป็นไปตามธรรมชาติของกฎระเบียบ เมื่อพระเจ้าออกไป เมื่อแสงสว่างออกไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่ เรียกกันว่า “คำสาปแช่ง” กฎเหล่านี้ เรียกว่ากฎแห่งการสาปแช่ง

            กฎแห่งการสาปแช่ง คือกฎที่ทำให้เกิดความไม่ดีงาม  ไม่พอใจ เสียหาย  สำหรับมนุษย์นั่นเอง  และโลกใบนี้ มนุษย์ตกอยู่ใต้กฎนี้ เรียกว่ากฎแห่งคำสาปแช่ง อยู่ใต้ความชั่ว อยู่ใต้ความมืด  เรียกว่าอยู่ใต้กฎของความสาปแช่งนั่นเอง ดูนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ อ่านเองเลยว่าพระเจ้าพูดกับเราว่าอย่างไร? นี่คือความเป็นจริงของโลกที่เราอยู่อาศัยนี้  ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ มันเป็นอย่างนี้แหละ

            ปฐมกาล 3:17-19 เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่าความขัดสนยากจน มาจากไหน? ความลำบากลำบนในการทำมาหากินบนโลกใบนี้ มาจากไหน? อ่าน แล้วตั้งใจดูให้ดีๆ ว่ามาจากไหน? …

        ปฐมกาล 3:17-19 “17 พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า “เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต 18 ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง 19 เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม”

            คำสาปแช่งของกฎนี้ ก็คือ “แผ่นดินจึงต้องถูกสาปแช่ง เพราะเจ้า”

            “เจ้า” ก็คืออาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเรา เจ้าของโลกใบนี้ ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นเจ้าของด้วย เราเป็นลูกหลาน เป็นทายาท โลกใบนี้ ซึ่งเป็นบ้านของมนุษย์ ได้ตกลงไป อยู่ในคำสาปแช่ง  แผ่นดิน หมายถึงแผ่นดินโลกนี่แหละ จึงต้องถูกสาป เพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินโลกนี้ ด้วยความทุกข์ ลำบาก ตลอดชีวิต ทุกข์ลำบากตลอดไป เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า  จนกลับไปเป็นดิน เป๊ะไหม?

            “เจ้าจะต้องหากิน” ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย เจ้าและลูกหลาน เหลน โหลนของเจ้าที่อยู่ในบ้านหลังนี้  จะต้องอยู่บนโลกใบนี้ด้วย เหงื่ออาบหน้า  จนกลับไปถึงดิน เป๊ะเลย ไม่มีคนไหนที่เกิดขึ้นมา แล้วอยู่สบายๆ  ไม่มี มันรวมทั้งความเจ็บป่วย การดำเนินชีวิต  ไม่ว่าจะป่วยทางกาย หรือป่วยทางใจ ป่วยทางความคิด ทุกอย่างมันลำบากลำบนไปหมดเลย  มีอะไรที่ง่ายบ้าง?  ปากกัด ตีนถีบทุกคน บนโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น มันคือผลที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยบรรพบุรุษของเรา

            และใครมาแก้ไข? ในพระคัมภีร์ก็บอกแล้วว่าพระเยซูมาแก้ไข ให้มันกลับคืนสภาพปกติ และผลสำเร็จในพระเยซูที่มาแก้ไข ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ผลของความสำเร็จของพระเยซูนั้น  เราได้เรียนรู้แล้ว ในตอนก่อนๆ ว่ามีผลเกิดขึ้นทั้งในโลกวิญญาณ  ที่เรียกว่าในสวรรค์ และในโลกวัตถุในโลกนี้ อย่างที่อธิบายเมื่อสักครู่นี้  มีผลทั้ง 2 อันเลย  ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ ในวิญญาณของเรา  พระเยซูทำสำเร็จแล้ว  มีผลทันทีเลย ทั้งหมดเลย  เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้รับผลทางโลกวิญญาณทันที

            ตามที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  ตอนก่อนๆ  ส่วนในโลกวัตถุให้รอก่อน ในขณะที่รอ ก็รออยู่พร้อมๆ กับพระเยซูและพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของเรา ถูกไหม? นี่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว และพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในร่างกายของเรา ก็จะจูงมือเราเดิน ผ่านทางการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ยังคงอยู่ในคำสาปแช่งอยู่  คือเปรียบเสมือนหุบเขาเงามัจจุราช ก็คือต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ แม้ว่าวิญญาณของเราจะได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว  แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรายังอยู่ในคำสาปแช่ง เราอยู่ในหุบเขาเงามัจจุราช  เราอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อาบเหงื่อต่างน้ำ  เหมือนเดิมอยู่เลย  เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โลกใบนี้ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  รอให้วันหนึ่ง ให้โลกสิ้นสุด ไปเมื่อไร นั่นแหละ คือจบคำสาปแช่ง โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้นั้น ไม่มีคำสาปแช่งแล้ว แต่ให้รอก่อน

            ในยอห์น 16:33 พระเยซูจึงพูดความจริงกับเราตอนนี้ ตอนที่พระองค์ทรงเดินอยู่บนโลกใบนี้ มาประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องการช่วยกู้ของพระองค์ เรื่องการช่วยให้รอดของพระองค์ จากคำแช่งสาปนี้ ในไม่ช้านี้  พระองค์ได้ทรงประกาศความจริงนี้ เช่นเดียวกันว่า …

        ยอห์น 16:33 “พระเยซูตรัสว่าเราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”

            ความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอกความจริงให้กับเราเลย … “แม้ท่านจะเชื่อเรา วางใจในเรา  เป็นคริสเตีนแล้วก็ตาม แต่บอกความจริงเลยว่าขณะที่ท่านเป็นคริสเตียน วางใจในเรา เราเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้วก็จริง  แต่ตราบใดที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก อย่างแน่นอน” ก็คือคำสาปแช่งมันยังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องรอก่อน  แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกใบนี้แล้ว  ก็คือจงชื่นชมยินดีเถิด  เพราะวิญญาณเรามีพระเจ้าอยู่ในนั้นแล้ว  พระสิริของพระเจ้าเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเราแล้ว เราเพียงรอร่างกายใหม่เท่านั้นเอง  แต่ขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ในร่างกายเก่านั้น เรายังอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งเหมือนเดิมอยู่ นี่มันเป็นอย่างนี้ มันต้องเข้าใจอย่างนี้ วางใจในพระเจ้า ก็คือวางใจในความเป็นจริงที่พระองค์ทรงบอกเราด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วต้องยอมรับในความจริงเหล่านี้ ถ้าเราฝ่าฝืน เราอาจจะได้รับความรอดในทางวิญญาณ แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราอาจจะทุกข์มากขึ้น

            ใครที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระบิดาจะมาสร้างบ้านอยู่ในตัวเขา  เห็นไหม? พระองค์บอกว่าพระองค์กับพระเจ้าพระบิดาจะมาอยู่กับเขา  ก็คือจะดำเนินชีวิตไปกับเขาบนโลกใบนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์รู้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้นั้น เราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา  แต่พระองค์ต้องการเข้ามาช่วยเรา คือนำพาเรา ดำเนินชีวิตผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน แม้ว่ามันจะอีกไม่นานก็ตาม แต่พระองค์ต้องการเข้ามาดูแลเรา

            นี่แหละ คือความรักอันยิ่งใหญ่ ที่บอกว่ารักเราดังแก้วตาดวงใจ  แม้แต่อยู่บนโลกใบนี้อีกนิดเดียว  พระองค์ก็เข้ามาดูแลชีวิตของเรา คือดำเนินชีวิต ไปกับเรา พร้อมๆ กับเราในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

            วันนี้เราจะมาเรียนรู้ความจริง ในเรื่องเกี่ยวกับการกิน การอยู่ ความขัดสน ยากจน โดยเฉพาะจะเน้นในเรื่องนี้ว่าเรื่องจริงๆ มันคืออะไร? เกี่ยวกับความขัดสนยากจน บนโลกใบนี้  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ ยังอยู่ในความทุกข์ยากลำบากจริงๆ หรือ?  เราจะได้มาเรียนรู้ความจริงว่ามันจริงตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้นไหม? เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าจริงๆ มันไม่ได้แปลก แตกต่างกับคริสเตียนคนอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว จนมาถึงทุกวันนี้ พระเจ้าบอกล่วงหน้าถึงการไถ่มนุษย์ และโลกนี้มาตลอด ตั้งแต่ปฐมกาลมา เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้แล้วว่ามนุษย์ตกลงไปในความทุกข์ยากลำบาก ตกลงไปในคำสาปแช่ง แต่พระเจ้าจะช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกมา โดยการประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นผู้ช่วยรักษา  ให้มนุษย์กลับมาหาพระองค์ที่เดิมให้ได้  กลับมาให้หลุดพ้นจากคำสาปแช่งนั้น ให้ได้ พระเจ้าวางแผนนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว ตลอดเวลา  จนมาถึงหลายพันปี

            เรามาดูแผนการอันหนึ่งที่ผมยกมาให้ท่านเห็น นี่คือแผนการอันหนึ่งที่บอกล่วงหน้า โดยพระเจ้า ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมากระทำให้สำเร็จ บนไม้กางเขน 1,000 ปี จริงๆ บอกมาตลอดหลายพันปีเลย แต่นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือสมัยกษัตริย์ดาวิด  พระเจ้าบอกกษัตริย์ดาวิด โดยให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะให้เห็นนิมิตตรงนี้ นี่คือแผนการล่วงหน้าที่จะมาไถ่มนุษย์ อยู่ในหนังสือสดุดีบทที่ 22 และบทที่ 23

            บทที่ 22 พูดชัดเจนเลย พูดถึงตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 และเกิดอะไรขึ้น นี่คือบทที่ 22 ท่านไปอ่านเองนะ ผมจะพาท่านไปดูบทที่ 23 ว่าเมื่อพระเยซูคริสต์มาทำให้สำเร็จแล้ว อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  และบนโลกวัตถุนี้เกิดอะไรขึ้น  ตามที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ท่านฟัง ตั้งแต่สมัยปฐมกาลแล้วว่ามันเป็นจริงไปตามแผนการของพระองค์จริงๆ ว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ

            นึกถึงภาพว่านี่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น 1,000 ปี เป็นเงาของสิ่งที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ในอีกพันปีข้างหน้านี้  ก็คือมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย สดุดี 23:1-4 …

        สดุดี 23:1-4 “1 พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2 พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3 พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4 แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”

            นี่คือตัวอย่างของแผนการที่บอกล่วงหน้าว่าผลสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำที่ไม้กางเขนนั้น เกิดผบทางด้านโลกวิญญาณ และโลกวัตถุ

            ดูสิโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น … “พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ใครก็ตามที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้รับสิ่งนี้ คือพระยาห์เวห์เลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน

            คำว่า “จะไม่ขัดสน” แปลว่าความไม่ขัดสนทางโลกวิญญาณ  วิญญาณเขาจะไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  วิญญาณเขาจะไม่อยู่ในความมืดอีกต่อไป วิญญาณเขาจะไม่ถูกสาปแช่งให้ตาย อีกต่อไป  วิญญาณเขาจะกลับคืนเป็นลูกของพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเยซู ก็คือผลของการทำให้สำเร็จของพระเยซูคริสต์ในฝ่ายวิญญาณนั่นเอง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้นเลย

            ข้อ 2 ก็ใช่  “พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด  พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ  ทรงฟื้นคืนความสดชื่น แก่ชีวิตของข้าพเจ้า  พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในความชอบธรรม  เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            3 ข้อนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมทันที  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ริมน้ำแดนสงบแล้ว วิญญาณเราไม่ขัดสนแล้ว วิญญาณเราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว  เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในโลกวิญญาณ

            ถ้าเราไม่เข้าใจในสิ่งนี้ หลายคนก็เอาไปใช้ในโลกวัตถุว่าอยู่บนโลกใบนี้ มาเชื่อพระเยซูฉันจะไม่ขัดสน ฉันจะร่ำรวยมั่งมี ไม่ลำบากยากจนอีกแล้ว  ใช่หรือ? ไม่ใช่ ถูกหลอก เอาไปใช้ผิด

            ข้อ 4 คือผลที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เป็นผลที่เกิดขึ้นบนโลกวัตถุนี้ ทันทีเหมือนกัน ก็คือ “แม้ข้าพระองค์จะเดินผ่านหุบเขา เงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตอยู่กับข้าพเจ้า คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์”

            เห็นหรือยัง?  วิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม แต่แม้ว่าตอนนี้ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช  แต่ไม่กลัว เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณของพระองค์ พระคุณ ความรักของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา รักเราดังแก้วตาดวงใจ  เผชิญได้ทุกสิ่ง  แม้ความยากจนก็ตาม

            เราจะมาวิเคราะห์ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้นว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่งคั่ง ร่ำรวยหรือไม่? อย่างไร? โดยไปดูพระคัมภีร์ใหม่บ้าง? ดูสิว่าอัครสาวกตอนเริ่มต้น ประกาศข่าวดี เขาพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ร่ำรวย สำหรับคนที่เชื่อสำหรับคริสเตียนอย่างไรบ้าง?  เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจน  2 โครินธ์ 8:9 ดูอาจารย์เปาโลพูดอย่างไรถึงเรื่องนี้ …

        2 โครินธ์ 8:9 “เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์  องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่าแม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

            มีคริสเตียนหลายคน เอาไปใช้ว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อแล้ว เราต้องมั่งคั่ง ร่ำรวย  เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อเราทั้งหลาย คิดในใจว่าใช่หรือไม่? เปาโลกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่งนี้  เราอยากรู้ เราต้องไปดูที่ก่อนหน้านี้ ในบริบทเดียวกัน  ก็คือ 2 โครินธ์ 8:1-4 จะได้รู้ว่าพระเยซูยอมมาเกิดเป็นคนยากจน เพื่อเรามั่งมีนั้น มันหมายถึงพระเยซูเกิดมา อยู่ในรางหญ้า  เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่ในวังเจ้าหรือ? แปลว่าอย่างนั้นหรือ? พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่มีที่ซุกหัวนอน  เรามาเชื่อพระเยซู เราต้องอยู่ในคฤหาสน์หรือ? แปลว่าอย่างนั้นไหม? หลายคนเอาไปแปลว่าอย่างนั้น

            เรามาดูสิว่าคริสเตียนในยุคเริ่มต้น ที่หลายคนในนี้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ 2 โครินธ์ 8:1-4 …

        2 โครินธ์ 8:1-4 “1 และบัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้า ประทานแก่บรรดาคริสตจักร ในแคว้นมาซิโดเนีย 2 จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด ความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 3 เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วยความสมัครใจของเขาเอง 4 เขาได้คะยั้นคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมในการรับใช้นี้ เพื่อประชากรของพระเจ้า”

            “พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย”

            นึกภาพนะ ผู้เชื่ออยู่ในแคว้นมาซิโดเนีย  พระเจ้าประทานพระคุณ  พระคุณนี้คืออะไร? ดูสิว่าประทานอะไร?

            “จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด”  ทดลองความเชื่อของเขาว่าเป็นคริสเตียนจริงไหม?  “คือความชื่นชมยินดี อันล้นพ้น” คงจะมั่งมีมากนะ รวยมากเลย  เพราะว่าอยู่ในบริบทเดียวกันกับที่ตะกี้เราบอกว่าเราทั้งหลายมั่งคั่ง เพราะว่าพระเยซูยอมยากจน เพื่อให้เรามั่งคั่ง เราควรจะร่ำรวย เพราะฉะนั้น นี่กำลังพูดถึงความร่ำรวยมั้ง  และดูสิว่าใช่หรือไม่?

            “การทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด คือความชื่นชมยินดีอันล้นพ้น และความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น” บริบทเดียวกัน “ความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้น ก็เอ่อล้น เป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่”  ขนาดเขายากไร้ เป็นอย่างยิ่ง เขายังมีพลังความรักจากภายในเอ่อล้นออกมา  เป็นความอยากจะให้กับคนที่ด้อยกว่าเขา “เอ่อล้นเป็นความเอื้อเฟือเผื่อแผ่ เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้  และด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาได้คะยันคะยอ ขอรับสิทธิพิเศษที่จะเป็นส่วนร่วมในการรับใช้นี้  เพื่อประชากรของพระเจ้า”

            นี่คือความหมายของเมื่อตะกี้นี้ว่าแม้พระองค์ คือพระเยซูคริสต์ทรงมั่งคั่ง ก็ทรงยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้

            หมายถึงว่าในโลกวิญญาณ พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ยอมสละความเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ มาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อย  ยอมสละมาเป็นต่ำๆ เพื่อว่าการยอมสละนั้น จะมาช่วยเหลือเรามนุษย์ที่เป็นคนต่ำต้อยนั้น  ที่เป็นคนบาปนั้น จะได้กลับมา กลายเป็นผู้ชอบธรรม  พูดง่ายๆ สั้นๆ ก็คือพระเยซูผู้เป็นพระเจ้า ยอมลดตัวลงมา เกิดเป็นมนุษย์  เพื่อว่ามนุษย์ที่เชื่อในพระองค์จะได้มาเกิดเป็นลูกพระเจ้า นี่คือความหมาย มันต้องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            พระเยซูเป็นพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์ที่ตายอยู่จะได้เกิดใหม่เป็นเหมือนพระเยซู เข้าไปรับตำแหน่ง หมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุเลย แต่เราเอาไปใช้กันผิดๆ  เพราะอะไร? เดี๋ยวตามไป จะรู้ว่าเพราะอะไร? มาดูต่อไป นี่คือคริสเตียนยุคเริ่มต้นทั้งนั้นนะ ยุคเริ่มต้นที่ชัดในเรื่องข่าวดีมากๆ เลย กาลาเทีย 2:9-10 …

        กาลาเทีย 2:9-10 “9 เมื่อยากอบ เปโตร และยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้ เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว 10 เขาทั้งสาม ขอแต่เพียงให้เรา คิดถึงคนจนเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทำอยู่แล้ว”

            “เมื่อยากอบ เปโตร ยอห์น ก็คืออัครสาวกชาวยิวรุ่นแรก ก็คือ 12 อัครสาวก ที่พระเยซูเลือก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลัก เห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า  (หมายถึงเปาโล)  ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน”

            ร่วมงานกันทำอะไร? “เขาเหล่านั้นเห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ” ก็คือให้เปาโลไปประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ “ส่วนพวกเขา ก็คืออัครสาวก เปโตร ยอห์น ยากอบ พวกเขาไปหาคนยิว คือประกาศให้กับชาวยิว

            ข้อนี้สำคัญ “เขาทั้งสาม ได้ขอร้องเราเพียงแต่ว่า …” ทุกอย่างถูกต้องหมดแล้ว ตามข้อมูลข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เช็คความเชื่อ หลักข้อเชื่อของข่าวดีของเปาโลกับหลักข้อเชื่อของบรรดาอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม ชาวยิวนั้น ตรงกันแล้ว เรียบร้อยแล้ว “แต่เขาทั้ง 3 ขอเพียงแต่ว่าให้เรา (คือเปาโล) ที่จะไปหาคนต่างชาติ ให้เราคิดถึงคนจน ก็คือประชากรของพระเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือชาวยิว ผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ในยุคแรกนั้น ผู้เชื่อในข่าวดีกลุ่มแรกนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ยากจนถึงขนาดต้องขอความช่วยเหลือจากคนต่างชาติ ให้ช่วยกันบริจาค เพราะเปาโลจะเดินทางออกไปประกาศข่าวดีให้กับชนต่างชาติเยอะแยะ ที่ไม่ใช่ชาวยิว อย่าลืมนะเปาโล บอกคนต่างชาติด้วย ให้ช่วยเหลือพวกเราชาวยิวที่ยากจนด้วย

            เปาโลก็บอกว่า “ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำอยู่แล้ว”

            ความเชื่อของเปโตร ยอห์น ยากอบ อัครสาวกรุ่นแรก ที่ทำการอัศจรรย์ สั่งในนามพระเยซูให้คนง่อยลุกขึ้นเดิน  คนง่อยก็หายโรคอย่างอัศจรรย์ ความเชื่อไปไหน? เปโตรไม่เห็นสั่งการ ในนามพระเยซูให้ประชากรรุ่งเรืองเลย

            “ในนามพระเยซู ขอให้พวกท่านทั้งหลาย ชาวยิวทั้งหลายที่มาเชื่อพระเจ้าจงมั่งคั่ง จงร่ำรวย”

            ไม่เห็นเปโตรและอัครสาวกสอนผู้เชื่อเหล่านั้น ให้มีความเชื่อเยอะๆ จะได้เรียกเงินเข้ามาสู่คริสตจักรของพระเจ้า  จะได้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ยากจน เพราะพวกท่านอธิษฐานน้อย พวกท่านความเชื่อน้อย ใช่ไหม? ซึ่งผู้คนเหล่านั้น ที่ยากจน หลายคนเดินกับพระเยซูมาก่อน  เดินตามพระเยซู ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวดีบนโลกใบนี้  และหลายคนในนั้น เห็นพระเยซู หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในร่างกายใหม่แล้ว และหลายคนเห็นพระเยซูลอยเข้าไปสู่สวรรค์ แล้วความเชื่อไปไหน? ยังยากจนอยู่ สิ่งเหล่านี้ตอบโจทย์ท่านได้เลยว่าปัญหาของความยากจน ความขัดสน มาจากไหน? และพระเยซูแก้ไขได้ด้วยวิธีใด?

            ท่านก็อาจจะสงสัยว่าแล้วอย่างนี้มาเชื่อพระเจ้า  ไม่มีโอกาสร่ำรวย มั่งคั่งหรือ?  มี แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการของเรา  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตของเรา  แต่ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราว่าน้ำพระทัยของพระองค์ต้องการให้เราแต่ละคนเป็นอย่างไร?  เราเรียกกันว่าของประทาน

            บางคนพระเจ้าให้ของประทานในการทำมาหากิน  มั่งมีเงินทองมากมาย มี เดี๋ยวจะพาไปดู แต่ก็ให้ใช้ของประทานเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกายของพระคริสต์ ก็คือให้เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อประชากรของพระองค์ ให้เป็นประโยชน์ต่อการงานของพระองค์ นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ที่ต้องการในผู้เชื่อในแต่ละคน 2 โครินธ์ 8:14 …

        2 โครินธ์ 8:14 “คือที่พวกท่านมีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี้ ก็เพื่อช่วยเขาทั้งหลายที่ขัดสน และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน”

            ตะกี้เราพูดถึงคริสเตียนในมาซิโดเนีย ยากไร้เป็นอย่างยิ่ง  ตอนนี้มาพูดถึงคริสเตียนที่อยู่ในโครินธ์ ทั้งหมดนี้เป็นคริสเตียนต่างชาติทั้งนั้น  ที่คริสเตียนชาวยิว คือเปโตร หัวหน้า ได้ขอร้องเปาโลบอกให้คริสเตียนต่างชาติ อย่าลืมพวกเขานะ ให้ไปช่วยเหลือชาวยิวที่ยากจน เพราะฉะนั้น มีโอกาสมั่งมีเหมือนกันนะ

            “พวกท่านที่มีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี่ ก็เพื่อช่วยคนทั้งหลายที่ขัดสน” นี่กำลังพูดถึงชาวยิวที่ขัดสน  “และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น” ก็คือไม่แน่ในอนาคต ชาวยิวเหล่านั้น อาจจะมีอย่างเหลือล้น  “เขาจะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน” แล้วแต่พระเจ้า คนนี้ขาดอันนั้น พระเจ้าก็ให้อีกคนหนึ่งมาช่วย ก็คือคริสเตียนช่วยเหลือกันเองนั่นแหละ เห็นไหม? มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีความเชื่อมากหรือน้อย ท่านจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้มั่งมีเยอะๆ

            ชาวมาซิโดเนียยากจน ถูกไหม? แต่เปาโลบอกว่าเขาฝึกฝนในการให้ออกไป ตั้งแต่ยังไม่มี ก็คือเขายากจน ยากไร้ แต่เขาฝึกในการที่จะให้ออกไป  ฝึกความรักที่อยู่ภายในใจเขา ให้ออกไปด้วยใจ  และมันเกิดอะไรขึ้น  เกิดผลขึ้นง่ายๆ ก็คือเมื่อเขาฝึกอย่างนี้แล้ว มันเกิดขึ้นว่าเมื่อโอกาสที่พระเจ้าให้เขามี เขาก็จะไม่โลภ  เขามี ก็ยิ่งจะให้ใหญ่เลย ส่วนชาวโครินธ์มั่งมีอยู่แล้ว  ก็ให้ฝึกในการให้ ตอนที่มั่งมี เพราะมี ถ้าไม่ให้ออกไป ยิ่งมียิ่งโลภ ยิ่งโลภ ก็กลายเป็นยิ่งจน  มีแต่รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน  เหมือนกับคนรวย สบายเลย คนรวย แต่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้

            การมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันและกัน  ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้ แบ่งปันให้กับผู้อื่นนั้น  เป็นการฝึกฝน ลดความโลภ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้  พระคัมภีร์เตือนเอาไว้ นี่คือท่าทีของคริสเตียนที่มีต่อการเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ร่ำรวย การฝึกฝนในการให้ แบ่งปันนี้ สามารถฝึกได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีทรัพย์สินมากหรือน้อยก็ตาม  โดยให้แบ่งปันตามขนาดความสามารถของแต่ละคน  ด้วยความเต็มใจ  มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก  ตามขนาดความสามารถของทรัพย์สินของแต่ละคน  ที่มีอยู่ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ เรียกว่าฝึกฝนความรัก ที่อยู่ภายในใจ  ที่พระเจ้าทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง  ให้ด้วยใจนั่นเอง  ใน 1 ทิโมธี 6:17-19 ได้บันทึกไว้ถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ …

        1 ทิโมธี 6:17-19 “17 สำหรับคนเหล่านั้น ที่มั่งมีร่ำรวยฝ่ายโลก จงกำชับเขา อย่าให้มีมานะทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน แต่ให้ยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้พวกเรา (ลูกของพระองค์) เพื่อความสะดวกสบาย ชื่นชมยินดีของเรา (ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้) 18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้ร่ำรวยในการกระทำการดีให้มากๆ ให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ให้พร้อมที่จะให้ และแบ่งปันให้กับผู้อื่น 19 การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง (เผื่อวันเวลาข้างหน้าบนโลกนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน) เพื่อยึดมั่นในความเชื่อ และความหวังใจในชีวิตนิรันดร์  ซึ่งเป็นความร่ำรวยถาวรนิรันดร์ในสวรรค์ อันแท้จริง ที่ได้รับมาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

            ชัดมากเลย “สำหรับคนเหล่านั้นที่มั่งมี ร่ำรวยฝ่ายโลก อย่าให้มีมานะ ทิฐิ ทะนงตน เย่อหยิ่ง ดูถูกคนอื่น หรือยึดมั่น ตั้งความหวังไว้ในความร่ำรวยที่ไม่แน่นอน” บนโลกใบนี้  พระเจ้าให้ท่านได้ ก็เอาออกจากท่านได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  “แต่ให้ตั้งมั่นไว้ในความหวังในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งให้กับเราทั้งหลายนั่นเอง” เห็นไหม?

            แล้วก็บอกว่าอย่างไรอีก “การกระทำเช่นนี้ เป็นการวางรากฐานอันมั่นคง สำหรับตนเอง เพื่อวันข้างหน้าบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน” เมื่อเรารู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน  พระเจ้าเป็นผู้ประทานความมั่งคั่งให้  เราก็พร้อมที่จะทำตามที่พระเจ้าแนะนำหรือนำพาในการให้ออกไปเช่นเดียวกัน เพื่อยึดมั่นในความเชื่อและความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือโลกวิญญาณ เห็นไหม?

            ให้เรามีความหวังใจแน่นอน กอดเอาไว้แน่นๆ เลย  ก็คือผลของโลกวิญญาณ ที่เราได้รับนั้น คือเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ในฝ่ายโลกวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์กอดไว้ให้แน่นๆ  ส่วนความมั่งมี การมีทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นของชั่วคราว  เป็นของที่พระเจ้าใช้เราให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นความร่ำรวย ถาวรนิรันดร์ในสวรรค์อันแท้จริง ชีวิตนิรันดร์ที่ได้มา ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ได้เท่าๆ กันหมดทุกคนเลย

            แต่ความมั่งมี ร่ำรวยในโลกวัตถุ ไม่มีเท่ากันทุกๆ คน และมันเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่แน่นอน  เพราะฉะนั้น คริสเตียนที่ยากจนหรือมั่งมีก็ตาม ในโลกนี้ มีฐานะเท่ากัน คือพระเจ้าจูงมือเขาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช บนโลกนี้เหมือนกัน  เพียงแต่ว่าคนละแง่มุม คนที่ยากจน พระเจ้าก็จูงอีกแบบหนึ่ง สอนอีกแบบหนึ่ง คนที่มั่งมี พระเจ้าก็จูง สอนอีกแบบหนึ่งว่าอย่าโลภ ทั้งสองฝ่าย ก็อย่าโลภทั้งคู่ อะไรทำนองนี้

            ฮีบรู 13:5 จึงได้กำชับอย่างชัดเจนเลยว่าในโลกวัตถุนี้ ผลของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้เราสำเร็จแล้ว สัญญาอีกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ต้องกลัว จงอย่าโลภก็แล้วกัน ทำตามที่พระองค์ทรงบอก …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า)  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่านห่างไกลจากการรักเงินและความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้” พอใจในขณะนี้ สถานะเราเป็นอะไรในขณะนี้ จงพอใจ ทั้งในโลกวิญญาณ เราได้เท่ากันหมดเลย  เป็นลูกของพระเจ้า ได้รับมรดก เป็นทายาท ในโลกวัตถุ แล้วแต่พระองค์จะให้เราเป็นอะไรก็ว่าไป ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ไม่ทอดทิ้งเรา  และจะไม่ทำให้เราผิดหวังเด็ดขาดอย่างแน่นอน เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            นี่คือการพักผ่อน สบายใจของการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริง เราเห็นอยู่บ่อยๆ บนโลกใบนี้ แม้ตัวเราเอง  ก็เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาบ้าง ก็คือเราถูกล่อลวงด้วยความโลภ ให้ใช้พระนามพระเยซูคริสต์ที่จะประสบความสำเร็จ บนโลกใบนี้ ให้มั่งมี ร่ำรวย แข็งแรง ซึ่งเมื่อใช้พระนามพระเยซูคริสต์ไปอย่างนั้นแล้ว หลายๆ ครั้ง เริ่มต้นด้วยการประสบผลสำเร็จด้วยซ้ำ  ประสบผลสำเร็จจริงๆ ตามที่สั่ง หลายคนก็เคยผ่านประสบการณ์นี้ พอสั่งไปในนามพระเยซู ได้ ก็เลยติดใจ เหมือนยาเสพติด เราเจอวิธีการหลักใหญ่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องมั่งมี ร่ำรวยแน่นอน มาเป็นคริสเตียนดีกว่า ร่ำรวยแน่นอน  สุดท้ายก็ว่างเปล่า ถูกหลอก หมดตัว

            ในโลกนี้ มีอะไรหลายๆ อย่าง หลายๆ สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ที่ผมเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้ว ในตอนที่แล้ว  เช่น เรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์  คาถา  อาคม  สิ่งลี้ลับที่ทำให้เกิดอะไรบางอย่าง ที่เราไม่เข้าใจ  ซึ่งมันเหมือนกับการหายโรคอย่างอัศจรรย์  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  ความมั่งมี ร่ำรวยก็เช่นเดียวกัน  เหมือนกัน เช่น เราไม่สามารถอธิบายหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น  ดูเหมือนว่ามันจะทำให้เรามั่งมีได้ “เรา” ในที่นี้ หมายถึงใครก็ตาม  ไม่ใช่คริสเตียนก็มีเยอะแยะ เช่น พวกพลังจิต การพูดซ้ำๆ  พูดทางบวก ที่เราเรียกว่า “Positive Thinking” ฮิตกันใหญ่ หรือเรียกว่าขบวนการการล้างสมอง  ให้เชื่อตามนั้น  และบางครั้ง มันก็เกิดผลจริงๆ ซึ่งอธิบายไม่ได้ หลายคนก็แห่ไป  ถูกหลอกทั้งหมดแหละ  เพราะมันไม่จริง ไม่มีใครได้จริงๆ ตามนั้นหรอก  ถ้าได้จริง ทั้งโลกก็รวยกันหมดทุกคนแล้ว  เพราะมันง่ายจะตาย ตามที่เขาบอก 1, 2, 3, 4 ทำตามนี้ ได้เลย เอาไปท่องๆ  พูดๆ ทุกวัน มันได้ตามนี้ มันก็ได้หมดทุกคน

            มันเหมือนขบวนการที่เขาเอามาใช้ทางวิทยาศาสตร์ ในเรื่องการทดสอบยา หรือวิตามินอะไรต่างๆ วิธีการทดสอบ วิชาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เขาเรียกว่า “ยาหลอก” คือสมมติว่าจะทดสอบยาแก้โรคมะเร็ง ดูว่าสูตรนี้ใช้ได้ผลจริงไหม? เขาก็จะให้ … สมมติว่า 100 คน กินยานี้ แล้วอีก 100 คนกินยานี้ แต่เป็นยาปลอม แป้งธรรมดา แล้วเขาก็บอกว่ายานี้ จะทำให้มะเร็งหาย สมมติว่าภายใน 1 เดือน จะหาย วันละนิด วันละหน่อย  แล้วค่อยๆ หาย ยาหลอกก็เหมือนกัน  แต่เขาไม่บอกว่ายาหลอก  เขาก็แจกไป แล้วเขาก็ให้ไปกิน 1 เดือน สมมติ ผลปรากฏว่า … คนกินยาจริง ไม่ต้องไปพูดถึง  ก็ว่ากันไปตามจริง คนกินยาหลอก มีคนหายด้วยนะ ได้ผล 50% บ้าง 20% บ้าง  มันได้อย่างไร มันเป็นแป้งธรรมดา เป็นแป้งมัน นี่แหละ มันเกิดอะไรบางอย่าง  บอกเกิดความเชื่อก็ไม่ใช่ เขาจึงเรียกว่ายาหลอก อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งบอกไม่ได้ว่าคืออะไร? นี่คือสิ่งลี้ลับอะไรบางอย่าง  ซึ่งพระเจ้าบอกอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ถูกหลอก

            หรือแม้กระทั่งถูก ล๊อตเตอร์รี่ บางคนบอก … “เข้าฝัน พระเยซูมาบอกฉันเลยนะ เรื่องนี้” แล้วซื้อ ถูกด้วย ครั้งต่อไปซื้ออีก ถูกเหมือนกัน ถูกอะไร? ถูกกิน  ตอบได้ไหมวันที่ถูก ทำไมมันถึงถูก ตอบไม่ได้ เพราะฉันเห็นจริงๆ ฉันฝัน ฉันเห็นพระเยซูเดินมาจริงๆ กับตัวเลย แล้วจะฝันอีกได้ไหม? ไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

            พลังจิต ยิ่งชัดใหญ่ ให้ท่องไปมากๆ ยิ่งเห็นพระเยซูเดินมาเลย  อะไรต่างๆ  หรือแม้กระทั่งการบนบานศาลกล่าว ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ เหล่านี้ให้ได้รับผลสำเร็จ บางคนเขาไม่ได้ใช้นามพระเยซู เขายังสำเร็จ เพราะให้เขาเรียกชื่อตัวเองว่าลูกช้าง เขายังสำเร็จเลย เขาไปบนบานศาลกล่าวกับจอมปลวก เขายังสำเร็จเลย  แล้วบางทีเราไปใช้นามพระเยซูอย่างนี้ แล้วบอกสำเร็จ มันไม่ใช่เสมอไปว่าจะถูกต้องตามนั้นว่ามันเป็นมาจากพระเจ้าจริงๆ  แต่เราตอบไม่ได้ว่าที่เขาเจอความลี้ลับนั้น มันมาจากอะไร?

            ทั้งหมดนี้ เรียกว่าปาฎิหารย์ อัศจรรย์อันลี้ลับของมนุษย์ ซึ่งอยากจะรู้ อยากจะเห็น อยากจะได้  อยากจะเอามาใช้เป็นประโยชน์ ตั้งแต่ดึกบรรพ์แล้ว  และมันถูกหลอกกันหมดทุกคน ซึ่งมันไม่ใช่ของจริงที่มาจากพระเจ้า  เราก็อาจจะถูกหลอกให้ยึดติดและมัวเมา อยากได้ เพราะมันมาจากสิ่งเดียว ก็คือถูกหลอก เพราะความโลภ … ความโลภของใคร? พระคัมภีร์บอกอย่าไปโทษพระเจ้าว่าพระเจ้าทำอย่างโน้นทำอย่างนี้  เพราะความโลภ  ไม่ว่าจะโลภทรัพย์สินเงินทอง  หรือโลภวัตถุสิ่งของอื่นๆ  เช่นการหายโรคเป็นต้น ชื่อเสียงต่างๆ เหล่านี้ ใช้นามพระเยซูแล้ว  ก็ดูว่าผลบางทีมันเกิดขึ้น ก็เลยติดใจ อยากใช้ใหญ่ ซึ่งพอเราได้ตามนั้นจริง เราก็หลงเชื่อว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ต้องการให้เรามั่งมี ร่ำรวย ได้สิ่งเหล่านั้น ซึ่งเกี่ยวกับการหายโรค ที่มันหายโรคได้แปลกๆ  เราก็นึกว่าน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องการให้เราหายโรคแบบนั้น  ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้  1 ยอห์น 2:16 จึงได้บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ เตือนเราทั้งหลายว่า …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก”

            นี่คือความจริง ทุกสิ่งที่อยู่ในโลก และเราทั้งหลายก็ดำเนินชีวิตในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความทะนงในลาภ ยศ อิทธิพลของโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย การดำเนินของโลกใบนี้ที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้หมดเลย ให้เราอย่าไปจดจ่อกับมัน  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก ซึ่งถูกสาปแช่งไปแล้ว มันไปสู่สูญสิ้น มันหลอกเรา อย่าไปตามๆ อย่าไปเชื่อมัน มองไปที่เบื้องบน มองไปที่วิญญาณ มองไปที่สิ่งที่พระเจ้าทำให้กับเรา  มองไปตรงนั้น เราจะได้ไม่ถูกหลอก

            เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ความจริงว่าพระเจ้าสอนเรา ให้มีทัศนคติอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับความมั่งมี เกี่ยวกับความยากจน  เกี่ยวกับความมีหรือไม่มีทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ ฟีลิปปี 4:11-13 …

        ฟีลิปปี 4:11-13 “11 ข้าพเจ้าไม่ได้พูด เนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ 12 ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน และรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใด หรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้อง และความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์ และความขัดสนแล้ว 13 ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

            เปาโล อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ซึ่งเคยเข้าไปอยู่ในสวรรค์มาแล้ว ได้เห็นประสบการณ์ในสวรรค์จริงๆ พระเจ้าพาเข้าไปสู่สวรรค์จริงๆ เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ รุ่นแรก ให้กับชาวต่างชาติ ได้พูดอย่างนี้ชัดเจนเลย

            “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน” คือตะกี้นี้ พูดกับชาวต่างชาติต่างๆ ให้ถวาย ให้อะไรต่างๆ  เพราะว่าต้องการให้ไปช่วย ชาวยิวคนจน  ไม่ใช่ เพราะว่าตัวเปาโลเองขัดสน  เพราะอะไร? “เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในทุกสภาวะ เป็นอยู่แล้ว เพราะข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลน” เพราะเคยผ่านความขาดแคลนมาแล้ว รู้จักความอุดมสมบูรณ์  ไม่ว่ากรณีใดๆ  ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญกับความอิ่มท้อง และความอดอยาก เปาโลยังอดอยากเลย  ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสน ข้าพเจ้าเผชิญทุกอย่างได้ โดยพระองค์ผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเผชิญความยากจน  ความขัดสน ความลำบาก สิ่งของเหล่านี้ที่จำเป็นต้องใช้สอยได้ โดยกำลังจากพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน  นี่ชัดเจนเลย

            ฟีลิปปี 4:4-7 ได้บอกอย่างนี้ ให้เราทำหน้าที่ของเรา ในการเป็นคริสเตียนผู้เชื่อ ดำเนินชีวิตในโลก ในการดำเนินชีวิตนี้ มีท่าทีอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ …

        ฟีลิปปี 4:4-7 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านทั้งหลายประจักษ์แก่ทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว  6 อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”

            นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง นี่คือความจริงเกี่ยวกับความขัดสน ยากจน ในการทำมาหากิน  ในการดำรงชีวิตบนโลกนี้ ในฐานะ เป็นคริสเตียน นี่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับท่านทั้งหลาย ก็คือตามข้อพระคัมภีร์ฟีลิปปี 4:4-7  ก็คือ …

                        “3 อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ ฝากเอาไว้ให้พระองค์

                        อธิษฐาน วิงวอนทุกอย่าง ด้วยใจขอบพระคุณ”

                        4 พระเยซูจะทรงประทาน สันติสุขมากมาย

                        จะคอยคุ้มครองใจของข้า ทุกวันทุกเวลา”

            เอเมนไหม?  พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป

            2 โครินธ์ 5:10 …  “เพราะ​เรา​ทุกคน​ (วิญญาณตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ทุกคน) จะ​ต้อง​อยู่​ต่อหน้า​บัลลังก์​พิพากษา​ของ​พระคริสต์ (หลังความตาย) เพื่อ​แต่ละ​คน​จะ​ได้รับ​ผล​ตอบแทน​ ตาม​ความดี​หรือ​ความชั่ว​ (เลว) ที่​ทำ​มา​ตอนที่​ (วิญญาณ) ยัง​อยู่​ใน​ร่างกาย​นี้”

            ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์ ถ้าทำชั่วแม้นิดเดียวก็พินาศโดยพลัน

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้วเราจะสรุปว่าอย่างไร? พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย! เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิว และคนต่างชาติล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีสักคนที่ชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว” 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้ายอยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะ และทุกข์เข็ญไว้ ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1444

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.2 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 2

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”  ซีรี่ย์นี้  ตอนนี้ ตอนที่ 5  ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอนจบ หรือตอน 2 ก็ได้ มี 2 ตอนเท่านั้นเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ  จะทำให้เราเป็นไท  เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง  วันนี้ตอนที่ 5  อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย ตอนจบ เราได้เรียนรู้ในสัปดาห์ที่แล้วแล้วว่าความจริงในมหาจักรวาลนี้ มีกฎของโลกวิญญาณ และมีกฎของโลกวัตถุควบคู่กันไป  นี่คือความจริงอันดับแรกเลย ที่ต้องเรียนรู้ มาเชื่อในพระเจ้า หรือเริ่มต้นเรียนรู้จากพระเจ้า หรือเริ่มต้นสนใจเรื่องพระเยซูคริสต์ อันดับแรก ท่านต้องเปิดใจเชื่อเสียก่อน  แม้ว่ายังไม่เชื่อพระเยซูก็ตาม จะมาศึกษาก็ตาม เปิดใจไว้ก่อนเลยว่าท่านกำลังมาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ มีโลกวิญญาณจริงๆ  มนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  นี่เป็นอันดับแรกในการเรียนรู้

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่ามี 2 กฎควบคู่กันไปบนโลกใบนี้  คือในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ สำหรับในโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้นี้ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  เราต้องเรียนรู้ให้ได้ และยอมรับให้ได้ ยอมจำนนให้ได้ว่าความจริงในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าสอนเรา คือในโลกวัตถุที่เรามองเห็น จับต้องได้นี้ อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ วัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดที่มองเห็นได้ รวมทั้งร่างกายที่เราเห็น ต้องอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ซึ่งเราเรียกว่าอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย หรือเรียกว่าสูญสิ้นไป ทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นก้อนอิฐ เป็นดวงดาว  นี่พูดถึงในมหาจักรวาล โลกวัตถุไม่ได้หมายถึงโลกใบนี้เท่านั้น  คำว่า “โลก” หมายถึงอะไรที่มองเห็นทั้งหมด รวมทั้งบนฟ้า ดวงดาวที่เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่ตาเราไม่สามารถมองเห็น ท้องฟ้า ดวงดาวต่างๆ  เมฆ อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย

            เกิด แก่ เจ็บ ก็คือไปสู่การเสื่อมสูญทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะนานขนาดไหนก็ตาม ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน ร่างกายของมนุษย์จับต้องมองเห็นได้ ถึงวันเวลา ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิดมา เพื่อไปแก่ เพื่อไปโทรม เจ็บ และตาย  นี่คือความจริง อันดับแรกที่เราต้องเรียนรู้

            แต่ในทางโลกวิญญาณล่ะ ซึ่งโลกวิญญาณ พูดถึงวิญญาณของมนุษย์  เป็นตัวตนแท้ๆ ของเขาจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไปนิรันดร์ อาศัยอยู่ในร่างกายที่มองเห็นนี้ได้เท่านั้น  เราได้เรียนรู้ว่าในทางโลกวิญญาณนั้น คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว  ภายในร่างกายที่จะต้องตายได้ของเขา  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาได้รับความรอดจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยแล้ว วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เกิด แก่ เจ็บ วิญญาณไม่ตาย  แต่วิญญาณได้รับความรอด

            ความรอดนี้ ก็คือพระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่เป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งเรากำลังเรียนรู้อยู่ พระพรนี้ทำให้คนที่เป็นคริสเตียนได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน ในโลกวิญญาณ ขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เขาได้พรนี้เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดแล้ว

            พรเหล่านี้ สรุปสั้นๆ ก็คือเขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซู สะอาดหมดจดเลย เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ เขาเปลี่ยนที่อยู่ มาเป็นลูกของพระเจ้า  มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมทันที  ซึ่งเป็นพรที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว ไม่มีใครที่ไหนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เลย ยกเว้นพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น  พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งพระพรเหล่านี้ เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว

            “เราคริสเตียนได้รับพรทางโลกวิญญาณนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณนี้ ที่อยู่นิรันดร์นี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งข้อสำคัญที่สุด คือมันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราที่จะอยู่นิรันดร์ วิญญาณนี้ได้รับความรอด อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

            คราวนี้เราจะมาสรุปว่าครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องอะไร? เราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้ได้รับความรอด จากกฎของความบาปและความตาย  แล้วผลของการที่พระเยซูคริสต์มาทำให้เราสำเร็จ ได้รับความรอด ผลเกิดขึ้น 2 ทาง ก็คือผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณ  ถูกไหม?  และมีผลของความรอด ทางฝ่ายวัตถุ

            ผลของความรอดทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือเมื่อตะกี้ที่บอก เราได้รับพระพรทางโลกฝ่ายวิญญาณ ครบถ้วนบริบูรณ์ หมด เรียบร้อยแล้ว คือเราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า  เกิดกับพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือผลทางด้านวิญญาณ ซึ่งได้ยกข้อพระคัมภีร์ เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ซึ่งมันเป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราอาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงว่าพอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว สิ่งนี้มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในวิญญาณเราจริงๆ  เพราะฉะนั้น ความเชื่อของเรา ที่เป็นจริงในโลกวิญญาณ ในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณ  ความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ เราต้องเชื่อว่าเราได้ความรอดจากบาป เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้า และอยู่ใน สวรรค์กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ พระเยซูคริสต์ คือความมั่นคั่ง คือสุขภาพที่ดีเยี่ยม ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว  กำลังพูดถึงผลของความรอดในโลกวิญญาณ  เพื่อเราจะได้ไม่หลุดออกจากคอนเซปนี้ว่าเรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด  ไม่มีทางใด ไม่มีใคร ไม่มีอำนาจใด แม้กระทั่งมาร ที่จะสามารถเลียนแบบตรงนี้ได้เลย มารอาจจะเลียนแบบสิ่งต่างๆ  ผลอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นได้  แต่นี่โลกวิญญาณ ไม่มีใครทำได้ นอกจากพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าสวรรค์นั้น

            แล้วเราก็ได้เรียนรู้เรื่องผลของความรอด ในฝ่ายโลกวัตถุด้วย ซึ่งได้ยกตัวอย่างในหนังสือฮีบรู 13:5 …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”

            สรุป ก็คือว่าสำหรับในโลกฝ่ายวัตถุ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผลของการรับเชื่อ และผลที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว พรทางฝ่ายวัตถุ สำหรับคริสเตียน คือ … “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนเป็นลูกกำพร้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วอยู่กับเราตลอดเวลา  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่พระองค์ทรงนำพาเราไปบนโลกใบนี้ เอเมนไหม? นี่คือโลกวัตถุ เราอย่าไปสับสน เอาตรงนั้นมาใส่ตรงนี้ เอาตรงนี้ไปใส่ตรงนั้น มันจะยุ่งไปหมด

            ความจริง เรื่องของความเจ็บป่วย ที่เราได้เรียนรู้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเรียนรู้ เพื่อเราจะได้เผชิญกับความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นผลของความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย ที่ยังอยู่บนโลกวัตถุนี้อยู่ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ยังอยู่ เรามาเรียนรู้ความจริงตรงนี้ พระเจ้าต้องการให้เราเข้าไปเผชิญกับความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยนั่นเอง

            วันนี้เราจะมาฟังความจริง เรื่องความเจ็บป่วย เพื่อจะได้เป็นอิสระจากความกลัวความเจ็บป่วยมากขึ้น เราเรียนรู้แล้วว่ายิ่งเผชิญกับความจริงมากเท่าไร เราก็จะยิ่งกลัวน้อยลง ยิ่งกลัวอะไร ยิ่งต้องเข้าไปหามันเลย มันจะได้ไม่กลัว ยิ่งหนี ยิ่งกลัวใหญ่เลย ในเมื่อมันต้องเกิดขึ้น มันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ เข้าไปดูมันสิ มันเป็นอะไร? ยิ่งเข้าไปเท่าไร? แรกๆ อาจจะรู้สึกกลัว  ไปๆ ชักรู้ความจริง มันเป็นอย่างนั้นเอง วันนี้ลองฟังความจริง จากถ้อยคำพระเจ้า  ในเรื่องความเจ็บป่วย จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องเจ็บป่วย ไว้อย่างไร? ในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์กาย ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ความอ่อนแอนี้ อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์มากมาย ในการอัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย  เกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วย  อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจากการเชื่อในเรื่องพระเจ้า  ในเรื่องพระเยซูคริสต์ จากความเจ็บป่วยนะ เริ่มต้นจากยังไม่เชื่อ แล้วตาบอด  พูดสรุปสั้นๆ พระเจ้าทำการอัศจรรย์มากเลย ส่งคนของพระองค์ ชื่ออานาเนียมา แบบอัศจรรย์เลย มาตามหาเปาโลปุ๊บ วางมือให้เปาโลทันที เปาโลตาหายบอด ได้รับการรักษาให้หาย  แล้วก็กลับใจมาเชื่อพระเยซู นึกภาพออกใช่ไหม?

            แล้วอีกหลายครั้ง ที่เปาโลถูกหินขว้างจนตาย ได้รับการอธิษฐาน จากผู้คนของพระเจ้า ได้เป็นขึ้นจากความตาย ได้ฟื้นจากความตาย อาจารย์เปาโลเหมือนกัน มีประสบการณ์เยอะไหม? แล้วหลายครั้งที่ถูกเฆี่ยนจนปางตาย  ถูกโยนเข้าไปในคุกมืด คุกใต้ดิน ก็ได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์เหมือนกัน แล้วหลายครั้งที่อาจารย์เปาโลอธิษฐาน ให้กับคนป่วยคนอื่น คนป่วยคนอื่นหายโรคอย่างอัศจรรย์ ขนาดเอามือ วางไว้บนผ้าเช็ดหน้า แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าไปทางแกร๊บ ส่งเป็นพัสดุไป คนป่วยเอาผ้าเช็ดหน้าไปวางให้ตัวเอง หายโรคอย่างอัศจรรย์  เป็นที่ฮือฮามาก นี่คือประวัติของอาจารย์เปาโล

            เราลองมาดูทัศนคติของอาจารย์เปาโล เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ที่อาจารย์เปาโลมีประสบการณ์ เยอะแยะมากมาย ทั้งหายโรคอย่างอัศจรรย์ ทั้งรักษาคนอื่นให้หายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์ ที่พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางเปาโล แต่เราเรียกว่าเปาโลรักษาเขาให้หายโรค ถึงขนาดเด็กตกมาจากชั้น 2 สิ้นใจไป ลงมาอธิษฐานให้เด็กคนนั้น ฟื้นขึ้นมาใหม่ อาจารย์เปาโลทั้งนั้น  เราลองมาฟังประสบการณ์ของอาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูสิว่าเป็นอย่างไร? แล้วท่านจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย โดยเฉพาะเลยนะ จำได้ใช่ไหม? โลกวัตถุ ก็คือร่างกายของเรา  อยู่บนโลกใบนี้ อยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ต้องเจ็บแน่ แก่ ก็คือเจ็บแล้ว เกิด แก่ แล้วเจ็บ แล้วก็สูญสิ้น มันจริงไหม? มันมีอะไรมาช่วยได้ไหม? ความเจ็บป่วยนี้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้าหรือไม่? มาฟังอาจารย์เปาโล 2 โครินธ์ 12:8-10 เราจะเริ่มจากตรงนี้ …

        2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา จะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

            “ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง” วิงวอน แปลว่าอะไร?  แปลว่าทุกข์มาก ทุกข์มาก เพราะให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า “หนามนี้” ในบริบทนี้ พูดถึงหนามในเนื้อ รู้ไหมว่า “เนื้อ” แปลว่าอะไร?  “เนื้อ” ภาษาเดิม ก็คือร่างกายของเรา  หนามในร่างกายของเรา “หนาม” คือความทุกข์ ทรมาน ทุกข์ทรมานในร่างกายของเรา ของอาจารย์เปาโล ถึงสามครั้ง ก็คือขนาดเปาโล ซึ่งพระเจ้าเคยนำท่านเข้าไปอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าในสวรรค์จริงๆ ได้ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว มีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ในสวรรค์อย่างมากแล้ว ยังอธิษฐาน เรื่องนี้ถึง 3 ครั้ง  บอกพระเจ้าเอาหนามนี้ออกไป “หนาม” นี้คือความทุกข์ ในร่างกาย จากการถูกข่มเหงรังแก จากความเจ็บป่วยทางธรรมชาติ จากกฎของความบาปและความตาย

            “ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน” ความอ่อนแอ คืออะไร? คำศัพท์เดียวกัน  ความอ่อนแอของตน คือความอ่อนแอในร่างกาย อาจารย์เปาโลกำลังจะอวดว่าข้าพเจ้าจึงได้อวดความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความอ่อนแอในร่างกาย ความทุกข์ในร่างกาย

            “ด้วยเหตุนี้ เพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ” อวด แล้วยังแถมชื่นชมอีก ก็แสดงว่าพอใจ เมื่อพระเจ้าตอบว่าปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เพื่อพระคุณของเรา  พระคุณตรงนี้ หมายถึงฤทธิ์เดชอำนาจ การทรงสถิตของพระองค์ จะได้สำแดงออกในชีวิตของอาจารย์เปาโล ได้เห็นชัด เด่นขึ้น จากความอ่อนแอ จากความทุกข์กาย จากความเจ็บปวด เจ็บป่วยนั่นแหละ  พอพระเจ้าบอกอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความพอใจ ชื่นชมในความเจ็บป่วย ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า

            แล้วยกตัวอย่างให้เห็นว่าความเจ็บปวด เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน ในร่างกายนั้น มาจากอะไร? “ในการสบประมาท ในความยากลำบาก  ในการถูกกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยากต่างๆ” เพราะอะไร?  เพราะในขณะที่กำลังทุกข์ยากลำบากในร่างกาย ออกไปประกาศ ก็ถูกเขาขว้างหิน เจ็บปวด บวมไปหมด ออกไปตาก็ไม่ค่อยดี เป็นโรคตา ตาก็มองไม่ค่อยเห็น บางครั้ง ถึงขนาดเหมือนกับบอด เป็นโรค มีแต่ความอ่อนแอมากเลย แต่ข้าพเจ้ายินดี  เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง  เมื่อใดข้าพเจ้าหมดแรง เมื่อใดข้าพเจ้าทำไม่ได้แล้ว พระเจ้าก็จะมาปรากฏ พระเจ้าก็จะมาทำแทน แต่เมื่อใดที่ข้าพเจ้าเข้มแข็ง รู้สึกซ่าส์เหลือเกิน พระเจ้าก็เฉยๆ ปล่อยให้ซ่าส์ไปก่อน

            เปาโลโอ้อวดในความอ่อนแอ ในความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม ความทุกข์ทรมาน ในร่างกาย เห็นได้ชัดเลย จากข้อความพระคัมภีร์นี้  เพราะว่ายังต้องอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเขายังอยู่ที่นี่  ที่เปาโลไม่กลัวที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วย แต่ยังสามารถโอ้อวดได้  เพราะอาจารย์เปาโลยอมให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ยอมจำนนต่อความเจ็บป่วยนั้น และมอบให้กับพระเจ้า ฝากไว้ที่พระองค์ แล้วแต่พระองค์เถิด อธิษฐานไป 3 ครั้งแล้ว วิงวอนไป 3 ครั้งแล้ว

            เมื่อพระองค์บอกว่า … “พระคุณของเรา หรือฤทธิ์อำนาจของเราเพียงพอ สำหรับเจ้า”

            ก็ตอบว่า … “เอเมน” อดทนเอา

            นี่คือท่าที เราดูในฟีลิปปี 3:20-21 เพิ่มเติมให้เห็นชัดว่าเปาโลมีทัศนคติเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความอ่อนแอในร่างกายอย่างไร? เขาโอ้อวดอะไรในชีวิตของเขา โอ้อวด ความแข็งแรงในร่างกายของเขาด้วยความเชื่อหรือ? เขาโอ้อวดใช่ไหมว่า …

            “ฉันเปาโล เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า เต็มที่เลย ฉันเคยวางมือคนเจ็บคนป่วย รักษาโรคหาย ฉันวางมือบนผ้าเช็ดหน้า คนก็หายโรค พระเจ้ารักษาฉันอย่างอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีความเชื่อแบบฉัน คุณก็จะแข็งแรง” เขาอวดอย่างนี้หรือไม่?

            หรือเขาอวดอย่างที่เราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ ลองดูต่อไป ฟีลิปปี 3:20-21 …

        ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกาย อันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพ ที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เปาโลบอกว่าขณะที่เราอ่อนแอนั้น ร่างกายเราอ่อนแอ เปาโลกำลังบอกว่าในโลกวิญญาณ เห็นไหม? ตะกี้เราพูดถึงโลกวัตถุ ก็คือร่างกายตกอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย คราวนี้อาจารย์เปาโลพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ วิญญาณเราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จำได้ใช่ไหม? เราได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ แต่เรา ในโลกวิญญาณ ก็คือเป็นพลเมืองสวรรค์เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  “เราเฝ้ารอคอย” เรา คือวิญญาณของเรา พระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา

            พระองค์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา  กายที่กำลังอยู่นี้ มันต่ำต้อย “ต่ำต้อย” ภาษาเดิมใช้คำศัพท์ ความหมายเดียวกันกับคำว่า “อ่อนแอ” ข้าพเจ้าโอ้อวดความอ่อนแอ เหมือนกันคำว่าต่ำต้อย คือพระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันอ่อนแอของเรานั่นเอง เดี๋ยวทำอันนั้นก็เจ็บ ทำอันนี้ก็เจ็บ  มันอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  มันก็ต้องเจ็บ มันอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย มันก็ต้องเจ็บ มันต้องปวด ไม่เจ็บใจ ก็ความคิด เครียด ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เชื้อโรค ก็ความเสื่อมโทรมของร่างกาย ความแก่ ความตายนั่นเอง  ความเสื่อมโทรม มันต้องสูญสิ้นไปในที่สุด เพราะมันอยู่ใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บและตาย แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรารอวันที่พระเยซูคริสต์จะเปลี่ยนกายอันต่ำต้อย  อันอ่อนแอนี้ ให้เป็นเหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติของพระองค์ ให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือท่าทีกายอันต่ำต้อย ร่างกายที่อ่อนแอ เพราะอยู่ภายใต้กฎของการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ที่อยู่บนโลกใบนี้ มันเสื่อมโทรม มันไปสู่การสูญสิ้น  เปาโลจึงมีสติบอกว่าเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงพูดตรงๆ ว่ามีชีวิตอยู่ ก็จะอยู่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คน ให้พระเยซูใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าจากร่างกายนี้ไป ดีกว่าอยู่ตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ว่าตายดีกว่าอยู่ตั้งเยอะเลย

            แล้วเปาโลเขียนจดหมายเหล่านี้จากในคุก  บางครั้งจากคุกใต้ดินด้วย  เป็นความหวัง เต็มไปด้วยความเชื่อ ศรัทธา เฝ้ารอคอยวันที่จะพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  อย่างใจจด ใจจ่อ ตาไม่กระพริบเลย  ก็คือความหวังในโลกวิญญาณ  พระคัมภีร์พระเจ้า จึงบอกให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน คือในโลกวิญญาณ  ในสวรรคสถาน  ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่นั้น  ท่านอยู่กับพระองค์ที่นั่น  ไม่ใช่จดจ่ออยู่ที่ฝ่ายโลก อย่าไปสนใจฝ่ายโลกมากนัก อะไรอย่างนี้

            บนโลกใบนี้ พระเจ้าพระบิดากำลังฝึกฝน  กำลังจูงมือให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ให้สมกับที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ที่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราดังแก้วตาดวงใจ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกฝีก้าว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบและทรงเข้าใจตลอดเวลาเลย  และให้เราไว้ใจในพระองค์ เพื่อเมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่อเราพร้อม หรือเมื่อถึงวันเวลาของพระเจ้า  เราก็จะได้ออกจากร่างที่มัน ต้องทุกข์ทรมาน ทุกข์ใจ ทุกข์กาย ออกไปสู่ร่างกายใหม่  เข้าไปสู่โลกใหม่ โลกวิญญาณ  ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            นี่คือหนทางเดินของผู้เชื่อ คริสเตียนทั้งหลาย  และมันจะไปได้อย่างไร?  ได้รับร่างกายใหม่ได้อย่างไร?  โดยทั่วๆ ไป ก็คือมันต้องผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ  และล่วงหลับ  มันต้องมีการเจ็บ และล่วงหลับ  ก็คือเปลี่ยนร่างกายใหม่  ไปสู่ความรอดนิรันดร์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและรับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            เพราะฉะนั้น บนโลกนี้ เราได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าในโลกวิญญาณแล้ว ขาดแค่ยังอยู่ในร่างกายเดิม  และบนโลกเดิม ที่อยู่ภายใต้คำสาปแช่งของกฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ ซึ่งพระเจ้าได้สัญญาว่าได้เตรียมทั้งร่างกายใหม่ แบบสวรรค์ที่เหมือนพระเยซูให้  และได้เตรียมสร้างโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ บนโลกใหม่ ที่ดีกว่าเดิมอย่างมากมาย  หาที่เปรียบไม่ได้ ให้กับเรา ได้อยู่อาศัยนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้จากอาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลพอใจ ชื่นชมยินดี ในความอ่อนแอ ก็คือความเจ็บป่วย  ความทุกข์ทรมานในร่างกาย ไม่ใช่เป็นซาดิสต์ …

            “ฉันชอบ” ไม่ใช่

            อธิษฐานถึง 3 ครั้ง เรียกว่าหนามในเนื้อ ไม่ชอบแน่นอน  เราเจ็บป่วย เราไม่ชอบแน่นอน  แต่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น และเราจะทำอย่างไร?  เราวางใจในพระเจ้าดีกว่า  กาลาเทีย 4:13-15 …

        กาลาเทีย 4:13-15 “13 ท่านก็ทราบอยู่ ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น  ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า เป็นการทดลองสำหรับท่าน  ท่านก็ไม่ได้ดูถูก หรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย  กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้า เป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่าน หายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่าน ให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงประสบการณ์ของท่าน  ที่เดินทางไปกาลาเทีย กะว่าจะเดินทางผ่านเฉยๆ  ปรากฏว่าถึงกาลาเทียปุ๊บ ป่วย ป่วยหนักเลย  ไปต่อไม่ได้ ต้องอยู่ที่กาลาเทีย  ถามว่าป่วยเป็นอะไร? เป็นโรคตา เหมือนกับตาบอด มองไม่เห็น  เรารู้ได้อย่างไร? ในบรรทัดสุดท้ายบอกว่า …

            “ถ้าทำได้ ท่านคงควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            ก็หมายความว่าชาวกาลาเทียช่วยเหลือ ดูแลอาจารย์เปาโล เป็นดวงตาให้ตอนนั้น  เอาหยูกยามาให้ คอยจูงมือเข้าห้องน้ำ กินข้าว และอาจารย์เปาโลก็ใช้เวลานั้น ในการประกาศข่าวประเสริฐ ให้กับชาวกาลาเทีย จนชาวกาลาเทียเปิดใจรับเชื่อพระเจ้า อาจารย์เปาโลมารื้อฟื้นความหลังให้เขาได้เห็นว่า …

            “เห็นไหมตอนที่ข้าพเจ้าไปหาท่าน ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งไม่ได้ตั้งใจ ข้าพเจ้าป่วยอยู่ ป่วยหนักด้วย  ท่านไม่ได้สบประมาท ท่านไม่ได้ดูถูกข้าพเจ้าเลยว่า … “นักประกาศใหญ่ ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เลย ทำไมป่วยขนาดนี้ ไม่มีความเชื่อเลยหรือไง?”

            นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า  จากประวัติของอาจารย์เปาโลที่เราเรียนรู้ว่ามีอัศจรรย์มากมาย ที่ท่านได้ผ่านมาเยอะแยะ ถามว่าความเชื่อของเปาโลหายไปไหน? ตกลงไปหรือ! ถึงจะเขียนจดหมายอย่างนี้ ลืมไปแล้วหรือว่าวางมือบนผ้าเช็ดหน้า เอาผ้าเช็ดหน้าไปวางคนอื่น ยังหายโรค ลืมไปแล้วหรือ? อธิษฐานให้เด็กตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่? ลืมไปแล้วหรือ? จับงู แล้วตัวเองไม่เป็นอะไร? อะไรอย่างนี้ เปาโลความเชื่อหายไปไหน?

            1 ทิโมธี 5:23 ย้ำยืนยันอีก ชัดเจนว่าอาจารย์เปาโลมีทัศนคติเรียนรู้เรื่องการเจ็บป่วยนี้อย่างไร? ว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นกฎเป็นเกณฑ์ …

        1 ทิโมธี 5:23 “ตั้งแต่นี้ไป อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย เนื่องด้วยกระเพาะอาหารของท่าน และความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ”

            อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายไปหนุนใจทิโมธี ศิษย์เอก ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล ศิษย์เอก น่าจะเขียนไว้อย่างนี้นะ ความเชื่อท่านหายไปไหนทิโมธี  ทำไมท่านไม่อธิษฐานกับพระเจ้า แค่ป่วย แค่นี้เอง ท่านลืมไปแล้วหรือ? มีคนป่วยที่ไหน วางมือรักษาโรค ท่านลืมผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าแล้วหรือ? เอาผ้าเช็ดหน้าของข้าพเจ้าไปวางไว้ตรงท้องของเจ้า ท่านอธิษฐานไม่พอ  ท่านอธิษฐานน้อยไป  หรือทิโมธี ท่านไปทำบาปอะไรมาหรือเปล่า? เปล่าเลย ความเจ็บป่วยที่ท่านเป็นอยู่บ่อยๆ เรื้อรังนั้น ทิโมธีปวดท้องเรื้อรัง แล้วอาจารย์เปาโลใช้อะไรไปหนุนใจ ศิษย์เอกของเขาล่ะ

            “อย่าดื่มแต่น้ำ จงเจือเหล้าองุ่นเล็กน้อย”

            เปาโลใช้สติปัญญาจากโลกนี้  ตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้  กฎเกณฑ์ของโลกนี้คืออะไร? ด้วยสติปัญญาที่พระเจ้า เกี่ยวกับโลกใบนี้ ก็คือสาเหตุของการป่วยเป็นโรคอะไร แล้วก็หาต้นเหตุ ค่อยแก้ไขไป  นี่คือเหตุผล ตรรกแบบโลกวัตถุนี้ แก้ไขปัญหา ไม่ใช่ใช้วิญญาณตลอดไป ไม่ใช่ ทิโมธีอาจจะอธิษฐานมาตั้งเยอะแล้ว  เปาโลอาจจะอธิษฐานให้ทิโมธีมาตั้งเยอะแล้ว เปาโลก็ใช้วิธีบอกว่าเรียนรู้ปัญญาแบบโลกด้วย คือเจ็บป่วยพระเจ้าก็ทรงรักษา ผ่านทางกินยา หาหมอเหมือนกันนะ

            แล้วอาจารย์เปาโลได้เรียนรู้จากยูทูปด้วย ในยูทูปบอกว่าถ้าท้องไส้เป็นอย่างนี้ เรื่องโรคกระเพาะอย่างนี้ ให้กินน้ำผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง มันจะออกมาคล้ายๆ กับยาธาตุ หรืออาจจะผสมเหล้าองุ่นนิดหนึ่ง  ทำให้น้ำมันสะอาดขึ้น ทิโมธีอาจจะแพ้น้ำเปล่าๆ มันไม่มีการต้ม ทำให้สะอาดได้อย่างไร?  เขาก็มีเทคนิค ก็คือเอาไวน์หรือเหล้าองุ่น ซึ่งมีแอลกอฮอล์อยู่ไปผสมในน้ำ  เพื่อจะฆ่าเชื้อโรค เพื่อลำไส้จะได้สบายขึ้น อะไรอย่างนี้ ผมไม่รู้แล้วนะ อธิบายเทียบ เพื่อท่านจะได้เห็นภาพ อาจารย์เปาโลวันๆ อาจจะเปิดยูทูปดู ไม่อย่างนั้น อาจารย์เปาโลจะรู้ได้อย่างไร? เจ็บป่วย ก็กินยาหาหมอ เปาโลอาจจะคุยกับหมอแผนโบราณ หรือเปาโลอาจจะคุยกับหมอลูกาก็ได้ …

            “ลูกา ทิโมธีเขาป่วยอย่างนี้  อธิษฐานตั้งเยอะแล้ว ไม่หาย”

            ลูกาไปเปิดตำรา … “อันนี้เป็นโรคลำไส้อักเสบ ลองกินน้ำผสมไวน์ดูบ้าง”

            นี่กำลังจะบอกให้ท่านฟังว่าอะไรคือความจริงเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บป่วย ในร่างกายของเรา  ที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไม่กลัว มันเกิดแน่ เพราะฉะนั้น  พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราจะให้สติปัญญากับเรา ในการให้วิธีรักษา นอกเหนือจากการอธิษฐานวิงวอน  ฝากไว้ที่พระเจ้า อันนี้ต้องทำทุกคนอยู่แล้ว  แต่ไม่ใช่บังคับ แล้วต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น พระเจ้าต้องทำให้เราอย่างนี้  ไม่ใช่ มีอีกหลายวิธีที่พระเจ้าจะทำได้ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าได้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้อาจารย์เปาโลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพร่างกาย ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้อย่างไร? อย่างชัดเจนเลยว่าเมื่อเกิดความเจ็บป่วย พระเจ้าบอกให้มองตรงไหน? มองอย่างไร?  และพิจารณาอย่างไร?  2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18  “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรา กำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (ที่มีชีวิตนิรันดร์ของพระคริสต์สถิตอยู่) ของเรานั้นกำลังได้รับการเลี้ยงดูเสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา (ให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไปด้วยความยินดี เพื่อเข้าไปสู่โลกวิญญาณ เพื่อสวมร่างกายใหม่ ร่างกายอมตะ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์) เข้าร่วมในสง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ (ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลก) แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น (แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณที่พระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน) เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น (คือความทุกข์ในร่างกายบนโลกนี้) เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น (คือร่างกายใหม่และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายในผู้เป็นสง่าราศีและสิริของเรา) เป็นถาวรนิรันดร์”

            จำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท พระเยซูบอก แต่การเผชิญความจริงในตอนแรกๆ มันอาจจะทำให้เราตกใจ  ถ้าเราหนีมัน เราไม่มีทางเป็นอิสระเลย  เราต้องเผชิญกับมัน  ฟังซีรี่ย์นี้ ตอนนี้ อาจจะหวั่นๆ ว่าเราต้องเผชิญ มันหนีไม่พ้น มันต้องเจออยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราเตรียมเผชิญกับมันเลย มันจะดีกว่า และข้อสำคัญ ก็คือมันเป็นความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรามาดูสิว่าเราควรจะทำอย่างไร? เผชิญมันด้วยวิธีใด?

            ข้อ 16 บอกว่า “ฉะนั้น เราจึงไม่ท้อถอย”

            ไม่ท้อถอย คือไม่ผิดหวัง  ไม่เสียใจ ไม่กลัว แม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป  กำลังอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตายอยู่ มันไปสู่ความตายตลอด ทุกนาทีไปสู่ความเจ็บไข้ตลอด ไม่ว่าอาการจะออกมาแล้วหรือยัง? ไม่ว่าเราจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม มันเกิดขึ้น บางคนบอกมีความเชื่อมากเลย ฉันแข็งแรงในนามพระเยซู แต่จริงๆ แล้วมีทั้งปวดหัว เป็นหวัด ท้องเสีย ปวดเมื่อย สิ่งเหล่านี้ มันบ่งบอกว่าเรากำลังเจ็บ ไปสู่ความตาย เพียงแต่ว่าเราปฏิเสธมัน  ไปอยากได้อย่างอื่นแทน

            “แต่ตัวตนภายใน” ก็คือวิญญาณของเราที่ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว “ตัวตนภายในของเรานั้น กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่” กำลังเจริญเติบโตทุกวันเลย  จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเราภายใน เราไม่ต้องทำอะไรเลย  พระวิญญาณเป็นผู้ปกป้อง คุ้มครองดูแลวิญญาณเรา  และเรากำลังเจริญเติบโต “เรา” หมายถึงวิญญาณนะ  จำได้ใช่ไหมครับ?  พอบอกร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวเรา  เดี๋ยววันหนึ่ง ก็ต้องสูญสิ้นไป

            ข้อ 17 “เพราะความทุกข์ยากลำบาก  ที่เราได้รับอยู่ในร่างกายภายนอกที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” จริงๆ แล้วในนี้ เปาโลได้มีข้อความหนึ่งที่ไม่ได้ใส่อยู่ในนี้ ก็คือ … “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า …” ก็คือพระเจ้าเปิดตาอาจารย์เปาโลในวิญญาณได้เห็น “แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บป่วย การเสื่อมโทรมในร่างกายภายนอก ที่เห็นอยู่ในขณะนี้นั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว  ภาษาเดิมเรียกว่าแป๊บเดียว  ภาษาไทยเรียกว่าเพียงชั่วคราว อาจจะฟังได้ยาว  แต่จริงๆ แล้วในภาษาเดิม มันใช้คำว่า “แป๊บเดี๋ยว” ชั่วขณะเดียว  มันจึงเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้างล่อหลอม จัดเตรียมเรา มันจัดเตรียมเรา มันเสริมสร้างเราให้เราเข้มแข็ง ให้เราอดทน ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน และพร้อมเหมือนอาจารย์เปาโลพร้อมที่จะจากร่างกายนี้ไป รับร่างกายใหม่ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าในสวรรค์ ซึ่งดีกว่ามาก ถ้าเราไม่พร้อม ก็กลัวตาย  กลัวเจ็บ กลัวป่วย แต่ถ้าเราพร้อม เราก็กลัวเจ็บน้อยหน่อย  ไม่กลัวตาย  เพราะว่าตายของเรา ก็คือการเปลี่ยนร่างกายใหม่ สู่สวรรค์ สู่การพักผ่อนนิรันดร์

            “เป็นการจัดเตรียมเราให้พร้อมที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความยินดี  เพื่อเข้าไปสู่โลกฝ่ายวิญญาณ ที่สวมร่างกายใหม่ในร่างกายอย่างเป็นอมตะ  ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์” … ถ้ามองตรงนี้ได้ มันตื่นเต้นมาก ยิ่งป่วย ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งโทรม ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งจะจากไปเท่าไร? ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่าตายก็ดีกว่าอยู่ เพื่อร่วมในสง่าราศี พระสิริ อันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ของพระคริสต์ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย ห่างกันลิบลับเลย  ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บป่วย จากกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่งบนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ มันนิดเดียว เทียบกับสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ หลังจากนี้ จนถึงนิรันดร์ เทียบกันไม่ได้เลย

            เมื่อเราเห็นอย่างนี้แล้ว เปาโลเลยสรุปว่า … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดูสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือโลกวัตถุ  ไม่จดจ่ออยู่กับความทุกข์บนโลกใบนี้ ไม่จดจ่ออยู่กับความเจ็บป่วย ในร่างกาย ความอ่อนแอนี้ แต่จับตาดู สิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือโลกวิญญาณ  แต่จดจ่ออยู่กับฝ่ายวิญญาณ  ที่พระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา ไม่ใช่พระคริสต์อย่างเดียว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น ก็คือร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก  เจ็บป่วย เจ็บปวดนั้น  มันอยู่เพียงชั่วคราว อยู่แค่แป๊บเดียว มันเหมือนเงา ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว  ไม่ยั่งยืน  เงามันอยู่แป๊บเดียว  แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือร่างกายใหม่ ในโลกวิญญาณ  และพระคริสต์ที่สถิตอยู่ภายใน ผู้เป็นสง่าราศีของเรานั้น อยู่กับเรานิรันดร์  และเราจะได้รับร่างกายใหม่นั้น นิรันดร์

            นี่คือทัศนคติที่เห็นชัดเจนว่าเราควรจะมองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณ เหมือนดังพระคัมภีร์บอกแล้วว่าพระเจ้าพอใจมากเลย  ที่ผู้เชื่อ  คือลูกๆ ของพระองค์ จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น  สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน  คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือลูกๆ ของพระองค์ ในโลกนี้ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ เกินกว่าเหตุผลของมนุษย์ มีมากมาย  ที่ไม่ได้เป็นความจริงมาจากพระเจ้า  แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถที่จะอธิบายความจริงได้ว่ามันคืออะไร? อยู่ในปริศนาอยู่ อะไรที่เหนือธรรมชาติ อย่างเช่น วิทยาคม คาถาอาคม  ไสยศาสตร์ การสะกดจิต พลังจิต อะไรอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งเราเหมากันว่าเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันอาจจะไม่ใช่โลกวิญญาณจริงๆ พระคัมภีร์ พระเจ้าจึงเตือนเราว่าอย่าเข้าไปยุ่ง บางคนอยากได้การหายโรคมากๆ ก็หลุดเข้าสู่การถูกล่อลวง  ถูกหลอกลวง ให้เข้าไปสู่วิทยาคม  ไสยศาสตร์ สะกดจิต พลังจิตอะไรเยอะแยะมากมาย เพราะอยากจะได้การหายโรค ซึ่งถูกหลอก โดยใช้ชื่อพระเจ้า  พระเยซูคริสต์เข้ามาสวม บอกว่า …

            “นี่มาจากพระเจ้า มาจากพระเยซูคริสต์ พระเยซูต้องการให้ท่านหายโรค พระเยซูต้องการให้ท่านหายจากโรคนี้แน่นอน”

            ท่านกลับไปคิดเองก็แล้วกันว่ามันเป็นจริงไหม? ตามที่เราได้เรียนรู้ความจริง จากประวัติ จากประสบการณ์ของอาจารย์เปาโล ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้

            ในโลกนี้เราควรมีความพึงพอใจในพระเยซูคริสต์ ที่เป็นชีวิตของเรา  เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เป็นผู้ปลอบโยนจิตใจ เป็นสติปัญญาอันล้ำเลิศ  เป็นราชาจอมราชา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา  เดินอยู่กับเรา จูงมือเราเดิน ทุกเสี้ยววินาทีบนโลกใบนี้  กำลังนำพาเราไปสู่สวรรค์ที่พักอันถาวร นิรันดร์ ไปสู่โลกใหม่ที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ  เราควรจะยึดตรงนี้ไว้ อย่างแน่นอน ไม่ถูกหลอก  แล้วเราก็จะเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และล่วงหลับ หรือถ้าไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือตาย บนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นแน่นอน ด้วยสันติสุขในพระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ด้วยความเต็มใจ  ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม  ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? นี่แหละ คือมองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณอย่างชัดเจน แทนที่จะมาบีบบังคับพระเจ้า เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่เอาแต่ใจตัว เอาหัวโขกพื้น …

            “ฉันจะได้ ฉันต้องได้ๆ”

            ให้แม่ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ  เราหันกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ โดยการไว้วางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพ่อที่แสนดี  และสามารถให้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ ของพระองค์ทุกคน เกินกว่าที่ลูกจะคิด หรือสามารถขอจากพระองค์ได้ เราบอกอย่างนี้ดีแล้ว จะเอาอย่างนี้ๆ  แต่พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่านั้น เยอะแยะที่เราไม่เข้าใจ ฝากไว้ที่พระองค์ดีกว่าหรือไม่?  เพราะฉะนั้น จดจ่อไปที่พระพรทางฝ่ายวิญญาณ นานัปการที่ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว และดำเนินชีวิตด้วยความยินดี ในชัยชนะเหนือความตาย ด้วยความกล้าหาญ อดทน มั่นใจที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์  บางคนไม่กล้าพูดนะ …

            “ไม่อยากเจ็บ”

            ไม่ได้ มันต้องเจ็บ เราต้องกล้าเผชิญกับมัน เผชิญความเจ็บป่วยพร้อมกับพระองค์ ไม่ใช่เผชิญคนเดียว แล้วเคารพในกฎเกณฑ์กติกาที่พระองค์ทรงวางไว้ พระองค์เป็นผู้ดูแล กฎเกณฑ์กติกาเหล่านั้น การเกิด แก่ เจ็บ และตายบนโลกใบนี้ ก็เป็นกฎที่พระองค์เป็นผู้ดูแล  มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเคารพในพ่อของเรา ต้องเคารพกฎทุกกฎ มันเป็นกฎอยู่อย่างนั้น  อย่าต้องให้พ่อเราละเมิดกฎ กฎกติกามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้เรามาเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระองค์แล้ว ก็ต้องอยู่ในกฎกติกาของพระองค์ พระองค์เปลี่ยนมาได้แค่ พอเรามาเป็นลูกของพระองค์ เปลี่ยนใจ เปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์ยังให้เราอยู่ในกฎ เรายังคงอยู่ภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ แล้วหลับ  เปลี่ยนร่างกายใหม่  ไม่ใช่เกิด แก่ แล้วไม่เจ็บ เปลี่ยนร่างกาย เป็นอย่างไร? ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พ่อบอกมันไม่ได้ มันเป็นกฎ ลูกเอ๋ย มันต้องทำอย่างนี้

            ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวการเจ็บป่วย  และเผชิญได้ด้วยสันติสุข และทุกข์น้อยลง ตอนที่ฟังอาจจะตื่นเต้น ตกใจ ไม่เคยได้ยินอย่างนี้มาก่อน ไหนบอกเชื่อพระเจ้าแล้ว มีความหวังว่าจะหายโรค วันนี้มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รู้ความจริงว่าไม่มีหายโรคหรอก ยังไงก็ไม่หาย กล้าฟันธงได้เลยว่าอย่างไรก็ไม่หาย  เพราะมันเป็นกฎที่พระเจ้าดูแลอยู่ แต่ถ้าท่านเผชิญกับกฎนี้ด้วยความจริง ความถูกต้อง ท่านจะสงบลงด้วยสันติสุขในพระเยซูคริสต์และทุกข์บนโลกใบนี้แน่ๆ แต่มันทุกข์น้อยลง หวังลมๆ แล้งๆ แต่ทุกข์หนักขึ้น

            เราไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเจ้าได้ด้วยสติปัญญา  ด้วยความคิดของเราเอง  เราต้องใช้ความเชื่อและความไว้วางใจในถ้อยคำพระองค์ที่บอก เช่น พระองค์บอกว่าทรงสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา  24 ชั่วโมง ไม่เคยทิ้งเราเลย อยู่ตลอดเวลา  เราไม่สามารถจะเห็น  รู้สึก หรือจับต้อง มีเซนต์ว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าพระเจ้าอยู่กับเราจริงๆ  และพระองค์ทรงยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเราจริงๆ พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นผู้รับผิดชอบ ปกป้อง คุ้มครองวิญญาณภายในของเรา  ที่ได้รับความรอด เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ตลอดนิรันดร์ ไม่มีใครที่ไหน อะไรมาทำร้าย ทำลายวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้เลย ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย  ไม่ต้องกลัว แต่เรายังมีอีกส่วน คือร่างกายที่เป็นวัตถุ สสารอยู่บนโลก ซึ่งเป็นเหมือนเสื้อของวิญญาณ เป็นร่างกายที่อยู่บนโลกนี้ เพียงชั่วคราว เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อดทนรอคอยการเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่างกายที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้าสู่สวรรค์ โลกวิญญาณจริงๆ นิรันดร์กาล

            นั่นคือท่าทีที่ถูกต้องของคริสเตียน อยู่บนโลกใบนี้เราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ หรือด้วยเหตุผลของมนุษย์ ด้วยอะไรก็ตามที่จับต้องมองเห็นได้ ด้วยความรอบรู้ของตนเอง ด้วยความเฉลียวฉลาดของตนเอง  ด้วยสติปัญญาของตนเอง  เราไว้ใจไม่ได้เลยสักอย่าง นอกจากวางใจในถ้อยคำพระเจ้า  เมื่อถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ดี มีเมตตา เป็นความรัก ไม่มีความเกลียดชัง  เป็นผู้ยุติธรรม  เป็นผู้ชอบธรรม รักเราดังแก้วตาดวงใจ ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา  เป็นพ่อที่คอยดูแลลูกเล็กๆ ของพระองค์ ด้วยความหวงและห่วงใยสูงสุดเลย  เราผู้ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ พระองค์พูดอย่างไรว่า …

            “เราจะอยู่กับเจ้าตลอด ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า”

            คำว่า “ไม่เคยทอดทิ้ง” ภาษาเดิม หมายถึงไม่เคย เหมือนเด็กทารก เด็กทารกเขาไม่เคยอยู่คนเดียว  ภาษาเดิมตรงนี้บอกว่า “ไม่เคยทอดทิ้งให้เจ้าอยู่เพียงลำพัง” แปลว่าอย่างนั้น เหมือนกับเราดูแลเด็กทารกคนหนึ่ง แล้วเราก็บอกเด็กทารกนั้นว่า …

            “ฉันไม่มีมีทางปล่อยให้เธออยู่ลำพัง”

            ปล่อยได้อย่างไร เด็กทารกอยู่ลำพังได้อย่างไร? คำนี้แปลอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปล่อยให้เราเจ็บป่วยอย่างนี้ ทำไมอย่างนั้น  ทุกข์ทรมานในร่างกาย เจ็บปวดอย่างนี้ ไม่มีทางเข้าใจหรอก แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าแต่ในขณะที่เราเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อธิษฐานไป 30 ครั้ง บางคนอธิษฐานไป 300 ครั้งแล้ว  ก็ยังไม่เห็นหายเลย นี่เปาโล 3 ครั้งเอง  พระเยซูก็ 3 ครั้งเอง  แต่พวกเราอาจจะ 300 ครั้ง  30 ครั้ง แต่ในขณะที่เรา 300 ครั้ง ให้รู้ดีว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างไร? มันเป็นอย่างนั้น พระองค์กำลังจูงมือเรา เดินผ่านอุปสรรคปัญหานั้น ด้วยกันกับพระองค์ตลอดเวลา ไม่ใช่พระองค์อย่างเดียว ทั้ง 3 พระภาคเลย ชีวิตเราซ่อนอยู่ในพระองค์ กับพระเยซู และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา

            แทนที่เราจะคิดหาเหตุผล หรือเข้าใจตามสติปัญญาของเราเอง เราตัดสินใจแล้ว  ที่จะเชื่อและวางใจ เราก็บอกกับพระองค์เลย ตัดสินใจแล้ว เชื่อและวางใจสุดๆ แล้ว บอกต่อพระองค์ ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บอกไว้ เมื่ออ่านถ้อยคำของพระองค์แล้ว มีหน้าที่พูดอย่างเดียวว่า “เอเมน” ไม่ว่ามันจะเจ็บ มันจะปวดขนาดไหน? มันจะไม่สบายอย่างไร?  พระเจ้าบอกเราอยู่กับเจ้า เราก็ตอบว่าเอเมน  ถึงจะตอบเบาๆ ก็ตาม “เอเมน” ก็คือขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของลูกเลย เหมือนพระเยซูคริสต์อธิษฐานเลย เหมือนเปาโลอธิษฐานเลย  เพราะว่าพระองค์พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่าที่ลูกคิดหรือเตรียมเอง  หรือขอเองอย่างมากมาย  พระองค์สามารถให้ลูกมากยิ่งกว่าสิ่งที่ลูกขอ และคิดเองด้วยซ้ำ  เพราะฉะนั้น ขอพระองค์ทรงจูงมือลูกไปเถิด ตอบพร้อมกันว่า “เอเมน” ตอนไหน? ตอนแข็งแรงดี หรือตอนเจ็บป่วย โอ้อวดอะไร? โอ้อวดตอนอ่อนแอสุดๆ ตอบคำเดียวว่า …

                        *3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                              จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        3. ข้าขอพระเจ้าทรงจูงมือไป   ไม่ว่าจะนำสู่ตำบลใด

                            จะเกิดความทุกข์หรือสุขก็ดี พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

                        2. บางคราวต้องผ่านความทุกข์มืดมัว

                            บางคราวโศกเศร้า บังเกิดความกลัว

                            บางคราวราบรื่น  ชื่นใจยินดี

                          พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที

                        ** พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงจูงมือข้า

                             เต็มใจเดินตาม ด้วยความเปรมปรีดิ์

                             พระหัตถ์พระองค์ทรงนำทุกที **

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้อิสระเราเลือกตัดสินใจ

                        1. จะเป็นเกลือในวิหาร

                                    หรือ …

                        2. เป็นเกลือบนถนน

            เราตอบ ……….?

            มัทธิว 5:13 … “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็มแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป มีแต่จะถูกสาดทิ้งให้คนเหยียบย่ำ”

            เกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเน่าบูด คริสเตียนเป็นเกลือของโลก รักษาความเน่าเฟะของโลกใบนี้ ก็คือเป็นเกลือท่ามกลางความบาปบนโลก

            พระเยซูยกคำอุปมานี้ ซึ่งชาวยิวเข้าใจดี คือในพระคัมภีร์ยิวเดิม ปุโรหิตในพระวิหารจะใช้เกลือทาเนื้อและอื่นๆ ที่จะถวายแด่พระเจ้า

            หนังสือเลวีนิติ 2:13 …  “เจ้​าจงปรุงบรรดาธัญญบู​ชาด้วยใส่​เกลือ เจ้​าอย่าให้​เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้​าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า”

            พระเจ้าสั่งให้เอาเกลือทา  เพื่อให้มันบริสุทธิ์ เพื่อถวายแด่พระเจ้า เกลือมีหน้าที่ที่จะชำระสิ่งต่างๆ ที่จะเน่า ไม่ให้มันเน่า พอพระเยซูยกเรื่องเกลือ ชาวยิวจะรู้ทันที

            “แต่ถ้าเกลือนั้นหมดความเค็ม” ไม่ได้ หมายถึงสูญเสียความเป็นเกลือไป แต่หมายถึงหมดคุณภาพ มันยังคงเป็นเกลืออยู่  แต่มันไม่ใช่เกลือที่มีความเค็ม 100%  ความเค็มลดลง

            ลักษณะคล้ายๆ กับเกลือหมดอายุ อาจจะเก็บไว้ไม่ดี เกิดความชื้น น้ำและความสกปรกจากพื้นดิน ทำให้เกลือที่อยู่ล่างๆ ติดพื้นดิน  สูญเสียคุณลักษณะความเค็มของมัน เขาจะใช้ความเค็มของเกลือเป็นประโยชน์  แต่เมื่อมันสูญเสียความเค็มแล้ว เขาก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ตามที่ควร ทำได้อย่างเดียว ก็ต้องเอาไปทิ้งบนถนน ถมถนนไม่ให้เฉอะแฉะ และยังช่วยกำจัดวัชพืช ไม่ให้ขึ้นตามถนนที่คนเดินผ่านไปผ่านมา คนก็จะเดินเหยียบย่ำบนเกลือนั้น

            ไม่สามารถทิ้งที่ผืนดิน ไร่นา หรือสวนได้ เพราะจะทำให้ดินเพาะปลูกเสียหาย จึงนำมาใช้ประโยชน์ในการถมถนน แทนที่จะใช้ประโยชน์ในวิหารของพระเจ้า

            พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านเป็นเกลือแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มาบังเกิดใหม่แล้ว ท่านก็ทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าหน่อย

            เมื่อท่านทำตัวให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ผู้คนก็จะเห็นพระเจ้าชัดเจน ท่านก็จะมีประโยชน์มากต่อโลกใบนี้

            แต่ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านทำตัวไม่สมกับการเป็นคริสเตียนเลย ไม่สำแดงชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้าออกมา

            ตรงนี้แหละ คือสูญเสียความเค็มไป เจ้าของเกลือก็จะเอาไปถมถนนให้คนเดิน แต่ท่านยังคงเป็นเกลืออยู่ เพียงแต่เจ้าของเอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร แทนที่จะไปอยู่ในวิหารได้รับเกียรติ  ใช้เป็นของถวายแด่พระเจ้า  แต่กลับมาอยู่บนพื้นดินให้คนเหยียบย่ำน่าเสียดาย

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1443

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 4.1 “อิสระจากความกลัวความเจ็บป่วย” ตอน 1

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            บางคนป่วยเป็นโรคกลัวนานๆ ไม่ได้รับการรักษา ก็กลายเป็นโรคซึมเศร้า … ซึมเศร้า เกิดจากความกลัวมาก่อน เริ่มต้นจากกลัว ในทางการแพทย์ การใช้การรักษาที่เรียกว่าพฤติกรรมบำบัด ซึ่งภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือการเรียบเรียงความคิดเสียใหม่ CBT คือการเรียบเรียงความคิดให้มันถูกต้อง พฤติกรรมบำบัด ก็คือวิธีที่มาปรับความคิดของคนที่กลัว โดยให้ผู้ป่วยเข้าหาและฝึกเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เพื่อให้คนที่กลัวหรือคนป่วยนั้น เกิดความเคยชิน และรู้ความจริง และกลัวน้อยลง  ตั้งใจฟังนะ

            ถ้าเกิดปรับความคิดไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่ทันการกับการดำเนินชีวิต ที่ทุกข์ลำบากขึ้น เกิดจากความกลัว เป็นซึมเศร้า อันตรายถึงชีวิตได้ มันไม่ทัน ทำอย่างไร? ขณะที่ปรับความคิดไป เขาก็ให้ยาแบบสารเคมีเข้าไปช่วย ให้ทุเลาอาการของความกลัวนั้น เรียกกันว่ายาจิตเวช นี่วิทยาศาสตร์ล้วนๆ นะ

            หลักการพฤติกรรมบำบัด หรือ CBT ก็คือการทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าความคิด เช่น กลัวความมืด ซึ่งมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ก็คือความสว่างที่มันค่อยๆ น้อยลงๆ  แล้วมันมืดสนิท ก็คือความสว่างมันหายไป  ความมืดไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป เขาก็เอาวิธีการนี้ไปใช้กับทุกอย่างที่กลัว ยกตัวอย่างเช่น กลัวแมลงสาป กลัวแมลงปอ กลัวแมลงวัน กลัวหนอน กลัวตุ๊กแก อย่างนี้เป็นต้น ใครกลัวตุ๊กแก ยกมือขึ้น? พยายามๆ ไปจับมันให้ได้นะ  แต่หมายถึงจับแบบปลอดภัยนะ  บางคนกลัวแมงมุม ต่างประเทศไม่ค่อยมีตุ๊กแก ก็พาไป ค่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย

            มีความกลัวอะไรต่างๆ มา เราต้องไปเรียนรู้หมดเลย แล้วเอาความจริงเหล่านั้น มาเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนสถานการณ์ได้ไหม? เปลี่ยนให้เรามีความสุขได้ไหม? ไม่ได้ เปลี่ยนให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราได้ไหม?  ตอบสิ ตามสติปัญญา ตามขบวนการเมื่อตะกี้เรารับรู้ความจริง เปลี่ยนได้ไหม? ไม่ได้

            คนป่วยคนนี้ จะพยายามเปลี่ยนได้ไหม จากที่หมอพยายามบอกเขา แล้วเขาเชื่อหมอ แต่ไม่เปลี่ยนความคิด ช่วยเขาไม่ได้  เขาอาจจะกินยาช่วยได้บ้าง แต่เขามาหยุดยา ก็กลัวอยู่เหมือนเดิม สิ่งที่เขาจะหายได้ เขาต้องยอมเผชิญกับมันทีละนิดทีละหน่อย  แล้วก็เปลี่ยนความคิดของเขาไปเรื่อยๆ ความจริงย่อมเป็นความจริง หนีไม่พ้น  ถ้าเราพยายามหนีความจริง เราก็กำลังฝืนความเป็นจริงเหล่านั้น  และเมื่อยิ่งฝืนไปเท่าไร ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น เพราะว่ายิ่งปฏิเสธความจริง ก็แสดงว่าเรายังกลัวการเผชิญความจริง ความกลัวและความวิตกกังวลลึก ในความคิดนี้ ที่ไม่เปลี่ยน จะก่อให้เกิดความทุกข์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่มากก็น้อย  ก็ต้องเกิดความทุกข์ขึ้น  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ที่เราได้เรียนมาตั้งเยอะแยะ หลายตอนแล้ว อิสระจากความกลัว ความตายอย่างนี้  บางคนบอกว่าพูดถึงความตาย ไปเคาะ มันไม่เกิดๆ แล้วได้ไหม? มันเกิดไหมล่ะ เห็นไหม?

            “อย่าพูดๆ ถึงเรื่องความตาย อัปมงคล ไม่ดีๆ”

            พยายามหนีมันใช่ไหม?  ถ้าเรียนรู้จักว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วจะเผชิญกับมันอย่างไร?  มันดีกว่า  หรือเราเรียนจากเรื่องอิสระจากความกลัว การพิพากษาหลังความตาย

            “ไม่อยากจะไปคิดมันเลย”

            ถึงจะไม่คิดอย่างไร? ความกลัวจากการพิพากษา หลังความตาย มันก็อยู่ในตัวเรา แล้วมันบั่นทอนชีวิตของเรา ขาดสันติสุข  เราเรียนรู้มันเลยดีไหมว่าหลังความตายเป็นอย่างไร? มาเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็จะพบแล้วว่ามีผู้เดียวที่พูดไว้หลังความตายว่าจะช่วยเหลือเราได้อย่างไร? เราจะรอดได้อย่างไร? มีพระเยซูผู้เดียวที่พูด …

            “นอกจากเรา ไม่มีทางอื่น ที่ท่านจะเข้าสวรรค์ ไปถึงพระบิดาได้”

            เพราะฉะนั้น การเผชิญความจริง  ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ ยอมรับความจริงเหล่านั้น ชีวิตทุกข์น้อยลง  เพราะถ้าเราคอยหนีความจริงตลอด แทนที่จะยอมรับรู้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญและตั้งรับความจริงเหล่านี้ ด้วยสติปัญญาและด้วยความคิดใหม่ สันติสุข อิสระจากความกลัว ก็เป็นของเรา ความกลัวก็จะสิ้นไป หมดไป หายไป ลดน้อยลง

            มายอมรับรู้ความจริงเริ่มต้นกัน  เรื่องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ความจริงที่เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าอันเก่าที่เราคิดอยู่ จะถูกหลอกมาอย่างไรก็ตาม  ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  เราควรจะยอมรับรู้ ไม่ว่าเราจะกลัวขนาดไหนก็ตาม ความจริง ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คืออะไร? เราถูกหลอกมาเยอะแยะ จนเรากลัวไปหมดแล้ว มาดูต้นเหตุของความเจ็บป่วยของมวลมนุษยชาติว่าพระเจ้าบอกไว้ว่าอย่างไร? ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ความคิดเดิม เราอาจจะบอกความเจ็บป่วยมาจากเวรกรรมของเราในอดีต ทำอะไรบาปไว้ จึงเกิดมะเร็งกับเรา  นี่คือความคิดเดิม ที่ทำให้เราเกิดความกลัว  พอเราเจ็บป่วยขึ้นมา เราก็คิดว่าไปทำกรรมอะไรไว้ อันโน้นอันนี้เยอะแยะไปหมด เรามาดูสิว่าพระเจ้าบอกความจริงเราอย่างไร?  แล้วเราควรจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราอย่างไร?

            ต้นเหตุของความเจ็บป่วย คือมวลมนุษย์ทั้งโลกตกลงไปในความบาป เป็นคนบาป ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ซึ่งพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ พ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดจากคำสาปแช่งนี้แล้ว สำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ซึ่งความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำ เกิดผลแล้ว สำเร็จแล้ว ในโลกวิญญาณก่อน  เราต้องแยกออกให้ชัดเจน  เราต้องรู้ อย่างที่บอกรู้ความจริงอันดับแรก ก็คือมนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย  เราไม่ยอมรับความจริงนี้ เราก็ไม่มีทางที่จะพบกับความรอดจากความกลัว อิสระจากความกลัวได้เลย

            ความจริงอันดับแรก อย่างที่บอกตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นซีรี่ย์ ก็บอกว่าเรากำลังมาเริ่มต้นเรียนรู้โลกวิญญาณ ต้องยอมรับก่อนเลยว่ามนุษย์เรา ตัวเราเป็นวิญญาณและอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าไม่ยอมรับตรงนี้ ก็ไม่ต้องเรียนแล้ว ไม่มีประโยชน์ เริ่มต้นกระดุมเม็ดแรก ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ยอมรับ รับแบบผิดๆ ไป ยิ่งเรียนต่อ มันยิ่งวุ่นวาย แต่ถ้ากระดุมเม็ดแรกถูก เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ถูกไปเรื่อยๆ มีโอกาสถูกเยอะ  เพราะว่าเริ่มต้นถูก เพราะฉะนั้น เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า …

            “ฉันเป็นวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของฉันเป็นวิญญาณ แต่ฉันอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ชั่วคราวเท่านั้น”

            เพราะฉะนั้น ผลของความรอดที่พระเจ้าได้กระทำสำเร็จแล้วในพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น มันเกิดผลในวิญญาณก่อน แล้วร่างกายวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ตามมาทีหลัง นี่คือความจริง เพราะฉะนั้น โลกใบนี้กำลังอยู่ในความพินาศ อยู่ในความสูญสิ้น กำลังจม โลกใบนี้ คือโลกวัตถุต่างๆ ที่มองเห็น  เหมือนเรือกำลังจม  พระเจ้ากู้เรือได้ไหม? กู้เรือ แต่ไม่ถึงเวลา กู้มนุษย์ไหม? กู้ กู้ทางวิญญาณก่อน แต่วัตถุรอเวลา

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าเรือกำลังแตกอยู่ กำลังจมอยู่ ก็คือทุกอย่างบนโลกใบนี้  ที่เรามองเห็นได้  ที่เป็นโลกวัตถุนี้ เหมือนเรือที่กำลังจม เป็นไปตามคำสาปแช่ง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้ยินยอมรับเข้ามาเอง โดยอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นผู้ยอมรับเอาคำสาปแช่งนี้ ทำให้คำสาปแช่งนี้เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนทำ ไม่ใช่พระเจ้าเป็นคนสาปแช่ง มนุษย์ทำเอง  เอาเข้ามาสู่ครอบครัวของตัวเอง สู่เผ่าพันธุ์ของตนเอง แล้วพระเจ้ามีหน้าที่อะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ควบคุม ดูแลให้เป็นไปตามกฎของคำสาปแช่งนี้ ด้วยตาปริบๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร? ก็ลูกเราเป็นคนเอาเข้ามาเอง เราเป็นผู้พิพากษา เราก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎ

            เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งในโลกที่เป็นวัตถุ อ่านพระคัมภีร์หรือฟังคำบรรยาย พอพูดถึงในโลก  จงนึกถึงภาพร่างกายของเรา วัตถุสิ่งของ จับต้องมองเห็นได้ เขาเรียกว่าโลก แต่ในวิญญาณ พระคัมภีร์ใช้คำว่าวิญญาณภายใน เบื้องบน  ก็คือสวรรค์ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ  ถ้าวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ จะเรียกว่าโลก ทางโลก ฝ่ายโลก ทุกสิ่งในโลกจึงอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เห็นภาพออกแล้วนะ  อยู่ในกฎเกณฑ์ ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า “กฎเกณฑ์ของความบาปและความตาย, กฎเกณฑ์แห่งการพึ่งพาตนเอง” ภาษาไทยเรียกว่า “กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หนีไม่พ้น” คุ้นๆ ไหม? กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ไม่มีใครหนีพ้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย

            คริสเตียนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้วิญญาณเขาจะได้รับความรอด ตามพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้แล้ว อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเขายังอยู่บนโลก ร่างกายของเขายังเป็นวัตถุสสาร จับต้องมองเห็นได้ ฉะนั้น อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  คือภายใต้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย  เพียงแต่ว่าคริสเตียนพิเศษกว่าชาวบ้านเขา คือคริสเตียนอยู่ภายใต้กฎของคำสาปแช่งนี้ แต่วิญญาณของเขา มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน ผ่านร่างเดิม อยู่บนโลกใบนี้  ภายใต้กฎแห่งความบาปและความตายบนโลกใบนี้  แต่วิญญาณเขาอยู่ในกฎแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ พอนึกภาพออกไหม?  พยายามอธิบายให้ละเอียด  เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเรื่องความเจ็บป่วย ซึ่งมนุษย์ถูกหลอกตรงนี้เยอะมาก คริสเตียนก็ถูกหลอกในเรื่องนี้ด้วย สับสนในเรื่องนี้ว่า …

            “ทำไมเป็นคริสเตียนยังเจ็บป่วยอยู่ ไม่เจ็บป่วยได้ไหม? น้ำพระทัยพระเจ้าเป็นอย่างไร? ให้ชัดเจนเลยนะ”

            สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ และตาย แต่เมื่อเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขารอดจากความตาย เขาจึงอยู่ภายใต้กฎของความเกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเปลี่ยนเป็นหลับไป  เพราะว่าไม่ตายแล้ว มันได้รับร่างกายใหม่มาแทนที่ร่างกายที่สูญสิ้นไปนั่นเอง เราจึงเรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ และหลับไป เปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ คือรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เข้ามาแทนที่ นี่คือชีวิตของคริสเตียน ในโลกใบนี้ ซึ่งแตกต่างกับชีวิตของมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังไม่เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  กฎของการเกิด แก่ เจ็บ และตายและตายในที่สุด  คือ 2 ตายเลย คือเกิด แก่ เจ็บ ร่างกายตาย ร่างกายไม่มีวิญญาณ วิญญาณก็ตาย ถูกพิพากษานิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ อยู่ในความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ นี่คือทางของคนที่ไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู

            เห็นชัดแล้ว โอเค เรามาดูผลของความรอดในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนว่าพระเจ้าพูดอย่างไรเกี่ยวกับผลของความรอดที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  เกิดผลในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ตรงไหน? ว่ามันเป็นอย่างไร? ผลที่เกิดขึ้น จากความรอดที่พระเยซูคริสต์กระทำ ทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราเกิดอะไรขึ้นแล้วตอนนี้ในโลกวิญญาณ  เราที่เป็นวิญญาณ ที่เป็นตัวตนแท้จริงของเรา เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันเป็นอย่างไร? กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีสถานะเป็นอย่างไรบ้าง? ใครจะรู้ได้ เราก็มองไม่เห็น พระเจ้าเท่านั้นที่มาบอกความจริงกับเรา ในถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในข้อนี้เลย  เอเฟซัส 1:3 …

        เอเฟซัส1:3  “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ได้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายแล้วในสวรรคสถาน”

            ในวิญญาณ เราได้รับพรนานัปการ หมายถึงพรทุกอย่างเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ (ได้รับเมื่อไร?) ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ในโลกวิญญาณ เราได้รับพระพร ได้รับการไถ่ในพระเยซูคริสต์ แบบครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว  ก็คือวิญญาณเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ตามถ้อยคำพระเจ้าเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกัน ในโลกวัตถุ ร่างกายของเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย สูญสิ้นไป นี่คือชีวิตของคริสเตียน ทางด้านวิญญาณ เราไม่ต้องไปแสวงหาอะไรแล้ว เราได้รับครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จบหมด เรียบร้อยแล้ว  ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ได้รับเมื่อไร? ทันที ไม่มีทางสูญเสียด้วย จบแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังต้องคอย ต้องรอ

            โคโลสี 3:1-2 พระเจ้าจึงต้องการให้เรามองไปที่ไหนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ควรจะมองไปที่ไหนลูกเอ๋ย เพื่อจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา เพื่อจะให้เรามีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีสันติสุขมากที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แนะนำ สอนเรา ให้เรามองไปที่ไหน? …

        โคโลสี 3:1-2 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว 2 ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก”

            “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” ก็คือบังเกิดใหม่ในวิญญาณ วิญญาณท่านเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่างที่ตะกี้ผมบอก เบื้องบน ก็คือโลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณ เดินไป มองไปเห็นแต่โลกวิญญาณ  จดจ่อ หมายถึงมีสมาธิ มีสติอยู่ตลอดเวลา มองไปที่โลกวิญญาณตลอดเวลา โลกวิญญาณที่ใครใหญ่? พระคริสต์ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับวิญญาณ หรือสิ่งที่อยู่เบื้องบนนี้ หรือเรียกว่าสวรรค์ ที่ท่านอยู่นี้ และอยู่ตลอดไป  ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เห็นไหมครับ? ไม่ได้มาจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บป่วย ในร่างกายนี้ นี่เราพูดถึงเฉพาะวันนี้นะ ไม่ได้มาจดจ่อกับความสุขบนโลกใบนี้  ไม่ได้มาจดจ่ออยู่กับอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่สำคัญหรอก วิญญาณฉันอยู่กับพระเจ้าแล้วในสวรรค์ พระพรในฝ่ายวิญญาณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามสัญญา พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขน

            ส่วนโลกวัตถุในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาว่าอย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่านในเอเฟซัส 1:3 นั่นคือสัญญาของพระเจ้า ที่ให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ คือพรทุกอย่าง เอาไปหมดเลย เรียบร้อยแล้ว เช่น เป็นลูกพระเจ้า มีมรดก รอคอยร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ นี่ก็ให้ไว้เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ หลังจากออกจากร่างนี้แล้ว ก็ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะได้ครอบครองโลกใหม่  สวรรค์ใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็ให้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว รอคอยเพียงอย่างเดียว คือร่างกายใหม่ และในร่างกายใหม่ที่รออยู่นี้ กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ได้สัญญาอะไรไว้กับเราบ้าง เราจะได้รู้ไงว่าพระองค์ทรงสัญญาอะไรไว้กับเรา ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เรามองไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ พระองค์จัดเตรียมไว้หมดแล้ว ยิ้มแย้มแจ่มใส

            ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระองค์สัญญาอะไรกับเรา  ฮีบรู 13:5 คราวนี้ มาดูผลในความรอด ที่พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ทางโลกวัตถุ คืออะไร? อยากรู้ไหม? เราจะได้รู้ เราจะได้ขอบคุณพระเจ้า นี่คือความจริง เราจะได้ดำเนินชีวิตบนโลกวัตถุนี้ เราได้สิ่งเหล่านี้แล้วเหมือนกัน ดูสิ มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง? มีการหายป่วย มีไหม? มีการอัศจรรย์ การหายโรคมีไหม? มีความมั่งคั่ง มีความร่ำรวยอยู่ในนั้นไหม? มีความสุขอยู่ในนั้นไหม? ลองดูสิว่าพระองค์สัญญาว่าอย่างไร? ข้อเดียวเท่านั้น อ่านดูก็รู้ทันที ผลของความรอดทางฝ่ายวัตถุ ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อมาเชื่อในพระองค์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกวัตถุ ท่านได้อันนี้แน่นอนเลย 100% ไม่อธิษฐานก็ได้ เหมือนในโลกวิญญาณ ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทางโลกวิญญาณท่านได้รับทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ ท่านก็ได้  คือท่านบังเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ได้รับความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในโลกวิญญาณแน่นอน 100% ได้ไปเลย เช่นเดียวกัน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ในโลกวัตถุ พระเจ้าก็สัญญาว่าอันนี้ฉันได้แน่  ได้ไปเลย อะไร? …

        ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า)  เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

            ได้ไปแล้ว 100% เลย ได้ทุกอย่างเลย อะไรล่ะ  พระเจ้าสัญญาว่าจะเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา พระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่กับเรา  เราอยู่กับพระเยซูคริสต์ และซ่อนอยู่ในพระเจ้า พระวิญญาณเข้ามาปกคลุมเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา เป็นพยานย้ำยืนยันกับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ คอยจูงมือเราเดิน ผ่านความสุข ไม่ใช่  ผ่านอุปสรรคปัญหาทุกๆ อย่าง เดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  ไปพร้อมๆ พระองค์ เอเมนไหม? นี่ไง ยอมรับไหม? กลัวไหมเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช  กลัว ทำไมจะไม่กลัวล่ะ  แต่พระองค์กำลังบอกความจริง  เหมือนไหม? เหมือน CBT เหมือนการรักษาพฤติกรรมความคิดของคนป่วย  ที่ตะกี้เราเริ่มต้น จากความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ มันจำเป็นต้องเป็นอย่างนี้  ต้องรับรู้ความจริง จะหนีมันได้อย่างไร?  ในที่สุด เราก็ต้องยอมรับความจริงว่านี่คือความจริง …

            “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่”

            จงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และมีอยู่ ก็คือจงพอใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้ความจริง คืออยู่ภายใต้คำสาปแช่ง อยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ แต่ไม่ตาย  ล่วงหลับไป แล้วเปลี่ยนร่างใหม่ ใช่ไหม? แต่มันผ่านขบวนการเกิด แก่ เจ็บ แก่ คือการเสื่อมโทรม  ให้เราพึงพอใจในทุกสถานการณ์เหล่านี้  พึงพอใจ เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า …

            “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนลูกกำพร้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า หรือปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพัง เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน” … เราหวังอะไร? เราได้หมดเลย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

            ความจริงในเรื่องความเจ็บป่วย  จากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ก็คือสิ่งที่มนุษย์ทุกๆ คนอยากได้  รวมทั้งคริสเตียนก็อยากได้ ก็คือสุขภาพแข็งแรง หายป่วย ใช่ไหม?  ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เราอยากจะหายป่วย ทุกคนก็อยากได้ ก็คืออยากจะแข็งแรง กลัวความเจ็บป่วย พยายามหนีความเจ็บป่วย  แล้วมันหนีได้ไหม? ไม่ได้  พอหนีไม่ได้ ก็พยายามแสวงหา พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  ก็เกิดความคิดว่าพระเจ้าให้ได้ทุกอย่าง ตอนนี้เรารู้ความจริงแล้ว ก็อยากถามว่าสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเลย หายป่วย  เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนหรือไม่?

            เอาใหม่อีกที คิดตามนะ เพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา อะไรที่ไม่ถูกจะได้เอามันออกไป เอาความคิดที่ถูกต้องตามหลักความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าเข้ามาใส่แทนที่  เพื่อเราจะได้ขจัดความกลัวออกไป

            ถามว่าสุขภาพแข็งแรง การหายจากการเจ็บป่วย เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขนหรือเปล่า? ไม่ใช่ บางคนบางความเชื่อสอนว่าพระเยซูได้แบกเอาความเจ็บป่วยของเราไปไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขนแล้ว อ้างจากข้อความพระคัมภีร์ 1 เปโตร2:24-25 ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์กัน ฉะนั้น ถ้าเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว  เป็นคริสเตียนแล้ว แล้วยังป่วยอยู่ ก็แสดงว่าความเชื่อไม่พอ ยิ่งเชื่อมาก ก็ยิ่งแข็งแรงมาก เขาเชื่ออย่างนั้น มันเป็นความจริงไหม? แล้วถ้าเราพยายามสร้างความเชื่อแล้ว  แต่ก็ยังป่วยอยู่อีก ก็เกิดการค้างคาใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าไม่รักษา ทำไมๆๆๆๆ นี่เชื่อเต็มที่แล้ว ยังไม่เกิดเลย  เราก็สงสัยพระเจ้าว่า …

            “เราก็ทำเต็มที่แล้ว พระเจ้าก็ยังไม่รักษา ยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีก”

            เราก็พยายามดิ้นรนๆ อ้อนวอนๆ พยายามฝืนๆ ฝืนความจริงว่ามันไม่ได้อยู่ในสัญญา  ที่พระเจ้าสัญญาไว้  พระองค์บอกดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สัญญาแล้วจะอยู่กับเราเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้สัญญา ในขณะที่บางครั้งบางคราวเราเห็นบางคน เกิดอัศจรรย์ หายโรคจริงๆ แต่เอ๊ะ ทำไมไม่เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดไป ตลอดเวลา  เราก็อยากได้ ยิ่งอยากได้มากเท่าไร?  เราก็ยิ่งพยายามเรียกร้องจากพระเจ้ามากๆ ถึงขนาด อดอาหารเยอะๆ อธิษฐานเยอะๆ เพื่อจะได้อัศจรรย์เหล่านั้น ให้พระเจ้าทำ พยายามเรียกคนมาเยอะๆ เรียกคนมาอธิษฐานจะได้สิ่งเหล่านั้น  พยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อจะได้สิ่งเหล่านั้นมา แล้วมันไม่ได้ เพราะมันฝืนความจริง  ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น เหมือนกับเด็กเล็กๆ ที่อยากได้ของจากพ่อแม่ แล้วเอาหัวไปโขกพื้น โขกๆ เพราะว่าเคยได้ เคยร้อง แล้วก็ให้ พ่อแม่ตามใจมากให้ คราวนี้อยากได้หมด ไม่มีวันหยุด  แล้วพ่อแม่ทำอย่างไร? ต้องให้หมดทุกอย่างไหม? ถ้าให้หมดทุกอย่าง วันหลัง เขาก็จะเอามีดมาจ่อคอเขา แล้วก็บอกว่า …

            “ถ้าไม่ให้ ฉันจะฆ่าตัวฉันเองให้ตาย”

            นึกภาพออกใช่ไหม? บ้านใครมีเด็กเล็กๆ จะชัด เรามาดูสิว่าในข้อพระคัมภีร์ที่บอก หมายถึงโลกวิญญาณ หรือผลในโลกวัตถุ ที่ตะกี้เราวิเคราะห์กันมาแล้ว 1 เปโตร 2:24-25 …

        1 เปโตร 2:24-25  “24 พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น  เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย 25 เพราะพวกท่านเป็นเหมือนแกะที่พลัดหลงไป แต่บัดนี้ ได้กลับมาหาพระผู้เลี้ยง และพระผู้ทรงดูแลวิญญาณจิตของท่านแล้ว”

            การไถ่บาปที่เราอ่านเมื่อตะกี้นี้ เป็นการไถ่บาปในโลกวิญญาณ ไม่ใช่ไถ่บาปในโลกวัตถุ นึกภาพนะ กำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไถ่วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นคนบาป  ไม่ได้ไถ่เราออกจากประพฤติบาป ฟังให้ดีๆ  ไม่ได้ไถ่เราออกจากการกระทำบาป  ถ้าไถ่เราออกจากการกระทำบาป  จากทางโลกวัตถุ เมื่อเราเชื่อพระเยซู เราต้องไม่ทำบาปเลย  ถ้าเป็นความจริง  ถูกไหม? แต่นี่ไม่ใช่ นี่ไถ่เราออกจากการเป็นคนบาป ก็คือเป็นวิญญาณของเรา  เพราะฉะนั้น การหายจากโรคตรงนี้ ก็คือหายจากโรคทางวิญญาณ  ก็คือโรคบาป ทางวิญญาณ  หายจากการเป็นคนบาป  หายจากการเป็นคนชั่ว  มาเป็นคนดี  เป็นนะ หายจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  “เป็นศัตรูกับพระเจ้า” คือเข้ากับพระเจ้าไม่ได้  วิญญาณเป็นบาป สกปรก เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้แล้ว  หายจากความพินาศในนรก มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายวิญญาณเบื้องบน ซึ่งพระคัมภีร์บอกว่าให้เราจดจ่ออยู่ตรงนี้ จดจ่อที่วิญญาณตรงนี้  ไม่ใช่ให้เรามาจดจ่อว่าหายจากโรคมะเร็ง หายจากโรคหัวใจ โรควัณโรค หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่เป็นฝ่ายโลก  พระเจ้าบอกว่าให้เราวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  ถ้าเป็นมะเร็ง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย จะรักษาให้เราหายอย่างไร? ก็แล้วแต่พระองค์ ตามน้ำพระทัย แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าจะรักษาเราหายจากมะเร็ง  หายจากเบาหวาน หายจากโรคหัวใจอย่างอัศจรรย์เปล่าเลย แต่พระองค์ทรงบอกว่าขณะที่เราป่วยอยู่นั้น ซึ่งป่วยเป็นธรรมดา ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  พระองค์อยู่กับเราด้วย เอเมน  ไม่ทิ้งเราไปไหนเลย เอเมนไหม?  บางคนไม่กล้าเอเมน กลัวว่าจะป่วย ถึงจะเอเมนหรือไม่เอเมน ก็ต้องป่วย  บางคนรีบเคาะใหญ่เลย  เคาะให้ตาย สักวันหนึ่งมันต้องล่วงหลับ ต่อให้ไม่ล่วงหลับจากการเจ็บไข้ได้ป่วย  บอกว่าเกิดอุบัติเหตุตายก็ได้  ก่อนเกิดอุบัติเหตุก็ป่วยอยู่แล้วล่ะ  แต่ป่วยแบบมีอาการรู้หรือไม่เท่านั้นเอง มันทนอยู่ได้หรือไม่เท่านั้นเอง มันป่วยตั้งแต่เริ่มต้นคลอดออกมา  ตั้งแต่อยูในครรภ์มารดา ก็ป่วยแล้ว  เพราะคำสาปแช่งมันอยู่ในนั้น  อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น การจะหายโรคอย่างอัศจรรย์หรือไม่ มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า  เพราะพระองค์ทรงสัญญาของความรอดทางวิญญาณ  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แต่ในฝ่ายวัตถุ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ต้องจำให้แม่นๆ เลย พระองค์ทรงสัญญาอย่างเดียวเท่านั้นเอง คือ 3 พระภาคจะไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราตลอดเวลา ให้เราจดจ่อไปตรงนี้ และทำการพึงพอใจในทุกสถานการณ์  ไม่ว่ามันจะหายจากมะเร็งหรือไม่หาย  มันจะหายอย่างอัศจรรย์หรือไม่หาย มันจะหายจากการไปหาหมอทำคีโมหรือไม่ มันจะหายไปนิดหนึ่ง หรือไม่หาย มันจะอยู่ไปอีกกี่ปี  ในที่สุด เราก็จะต้องสิ้นสุดชีวิตลง  และรับร่างกายใหม่ เตรียมไว้แล้วในสวรรคสถาน อยู่กับพระองค์นิรันดร์ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            ต้องยอมรับ ต้องกล้า ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าที่จะเผชิญ ไม่กล้าที่จะรู้ความจริง รู้ความจริง ทำให้ความหวังหมด ใครบอกเรา  ความหวังนั้นควรจะหมดไป เพราะเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ  เป็นความหวังที่ถูกหลอก  เคยเห็นคนถูกหลอกไหม?  ที่คนโทรศัพท์มา หลอกให้ลงทุน  มันของปลอม มันไม่ใช่ของจริง  ไม่ใช่พระเยซูโทรมา มันใช้เพจเจอร์ของพระเยซู ทำหน้าเหมือนเลย เสียงก็เหมือนด้วย แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นตัวปลอม แล้วมาเชื้อเชิญ ชักชวนเรา แล้วบอกว่าจะได้กำไรเยอะแยะ ให้เราลงทุน ค่อยๆ ผ่อนเดือนละหมื่น สิ้นปี คุณจะได้สิบล้าน มันหลอกเรา แล้วเราก็จ่ายไปๆ แล้วเราก็มีความหวัง สิ้นปีได้ 10 ล้าน มันหลอก พอถึงสิ้นปี มันทุกข์กว่าเก่าอีก  มันไม่ได้อะไรเลยสักนิดหนึ่ง  เช่นเดียวกันนั่นแหละ มันหลอกเราว่ามาเชื่อพระเจ้า บนโลกใบนี้ เราต้องได้อันนั้น อันนี้  ฟังดูดีไหม? ดี อยากได้ไหม? อยากได้  แต่มันหลอกเรา มันไม่จริง มันไม่แน่นอน บางคนอาจจะได้ บางคนอาจจะไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา แล้วก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร? ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงตัดสินเอง พระองค์ทรงรู้วิธีต่างๆ เหล่านั้นว่าสมควรเป็นเช่นไร? และพระองค์ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎด้วย  และกฎนั้น ก็คือกฎของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ดูแลเอง เรากินอาหารไม่ดีเอง เราทำอะไรไม่ดีเอง  เราขับรถเร็วเอง มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราจะไปอ้างใครล่ะ พระเจ้าต้องการให้เกิดหรือ? ไม่ใช่ แล้วใครต้องการให้เกิด เราต้องการให้เกิดหรือ? เราก็ไม่ใช่ แต่เราอยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย

            มันอาจจะเป็นความผิด ความรับผิดชอบของคนอื่น มือที่ 3 ยกตัวอย่างเช่น คนเขาเผาป่า แล้วเราป่วยเป็นภูมิแพ้ เราจะไปบอกพระเจ้าทำหรือ? ไม่ใช่ เราทำหรือ? ก็ไม่ใช่อีก แล้วใคร? ก็มือที่ 3 ทำ ใครก็ไม่รู้ ก็คนที่เขาเกิดความกลัว ความโลภ อยากไปหาเห็ด อยากไปทำไร่ไถนา แบบไม่ลงทุน หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น ไปเผา หรือคนที่เขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาอยู่ในความบาป  เหมือนกับเราอยู่ในโลกใบนี้  เหมือนกัน อยู่ในความวุ่นวาย คำสาปแช่งในโลกใบนี้ เขาก็ทำผิด ทำพลาด เกิดผลมาถึงเราด้วย ทำให้ชีวิตเราเกิดความป่วยไข้ขึ้นมา นึกออกไหม? แล้วจะไปอ้างว่าพระเจ้าทำ ไม่ใช่ พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราเสมอ อยากให้เราได้ดีที่สุด  แต่อยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ต้องดูแลกฎต่างๆ ให้มันเป็นไปตามกฎ แต่พระองค์บอกว่าพระองค์จะอยู่กับเรา ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา  เพราะว่าเราเป็นคนทำ หรือคนอื่นเป็นคนทำ  หรือโลกใบนี้ ธรรมชาติเป็นตัวทำเอง เพราะว่าธรรมชาติตกไปในคำสาปแช่งแล้วก็ตาม  พระเจ้าก็จะอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา ช่วยเราเสมอ ถ้าพระองค์ทรงทำได้ พระองค์ทรงทำ  อัศจรรย์พระองค์ก็ทำ เราไม่รู้ แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเรา ให้เราวางใจในพระองค์ นี่ชัดเจนเลย

            อันตราย ก็คือสิ่งที่เราเชื่อผิดๆ ความคิดที่ถูกหลอก หวังในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หวังในสิ่งที่ถูกหลอกเหล่านั้น  เป็นความหวังที่ลมๆ แล้งๆ มันอันตรายด้วย 2 ต่อ ยิ่งถูกทำลาย เมื่อถูกทำลาย เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ เสียชื่อพระเจ้าอีกต่างหาก อันตรายที่ผมเคยเห็น คือพอตั้งความหวังไว้ที่ผิดๆ ยิ่งทุกข์หนักขึ้น

            ยกตัวอย่างบางคน นี่ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาเห็นกับตา ผ่านมากับมือเลย บางคนเป็นโรคความดัน พอมาเชื่อพระเจ้า ทิ้งยาหมดเลย ไม่ดูแลสุขภาพของเขาเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่บอก ใช้ความเชื่อๆ ในที่สุด มันก็เลวร้ายกว่าที่เขากินยาอีก พระเจ้าก็รักษาผ่านทางหมอ ทางยา ทางอะไรต่างๆ มิได้หมายถึงว่าทุกคนต้องไปหาหมอ ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น  แต่กำลังยกตัวอย่าง 1 ราย

            หรืออีกรายหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน ก็ค่อยๆ งดกินยา  แล้วก็ใช้ความเชื่อ ให้เขาอธิษฐาน แรกๆ ก็ดูเหมือนดีขึ้น แล้วก็เริ่มปล่อยตัว เริ่มไม่ควบคุมอาหาร ตามที่หมอบอก  แล้วในที่สุด ก็ช็อค

            อะไรอย่างนี้ เราเคยได้ยินบ่อยๆ  สิ่งเหล่านี้ มันเกิดจากความหวัง จากควาคิดผิดในถ้อยคำ คำหลอกลวง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเกิดเป็นภัยต่อผู้เชื่อต่างๆ ความเชื่อของเราที่เป็นจริงในพระเยซูคริสต์ว่าเราได้รับความรอดแล้วทางฝ่ายวิญญาณ หมดเรียบร้อยแล้ว ทางโลกวัตถุให้เรารอก่อน รออะไร? รอร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ อันนี้หายโรค 100% เฉียบขาดเลย หายแบบเที่ยวเดียว เกลี้ยงเลย  ก็คือเปลี่ยนร่างให้เราใหม่ เป็นร่างกายที่สะอาด หมดจดบริสุทธิ์ พร้อมเหมือนพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศี  เหมือนพระเยซูคริสต์เลย …

            “รออีกนิดเดียวลูกเอ๋ย  รออีกหน่อยนึงนะ อดทนหน่อย ตอนนี้พ่อกำลังดูแลเจ้าอยู่ กำลังโอบกอดเจ้าอยู่ เดินไปด้วยกัน อีกนิดเดียวๆ ไปสู่ชัยชนะนิรันดร์  เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว เผชิญไปกับพ่อด้วย  พ่อจะจูงมือเจ้าเดินเอง เมื่อความเจ็บป่วยเข้ามา  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่”

            นึกถึงภาพว่าพระองค์กำลังสอนเรา กำลังรักษาเราให้หายจากพฤติกรรมความกลัว ความเจ็บป่วย เราไม่กลัวตายแล้วตอนนี้ เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว  เราเป็นอิสระแล้ว แต่ตอนนี้ เราจะเป็นอิสระจากความกลัวก่อนตาย ก่อนจะล่วงหลับ  คือกลัวความเจ็บป่วย ซึ่งต้องเผชิญ เดินเข้าไปหามัน  แล้วก็ไปกับพระเยซู ไปกับพระเจ้า อันนี้จะช่วยทุเลา ให้เรามีสันติสุขและดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างทุกข์น้อยลงมากกว่า พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนอาจถูกเข้าใจผิดว่าล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติเดิม ที่เคยยึดถือ

            แท้จริงเรายึดถือ เคารพให้ความสำคัญกับกฎบัญญัติในศาสนา กฎศีลธรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมาก ไม่เพิกเฉย ละเลยในการพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามทุกข้อ ทุกอย่าง แม้ข้อเล็กน้อยที่ศาสนาได้บอกว่าดี ให้ทำ และภายในจิตใจเราก็เห็นว่าดีด้วย

            แต่ด้วยพลังอำนาจของกิเลสตัณหา มันทำให้เราไม่สามารถที่จะทำดีได้ ตามที่ศาสนาต้องการ และจิตใจเราก็เห็นด้วย และอยากจะเชื่อฟังทำตาม

            ทุกครั้งที่เรากระทำชั่ว ผิดศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งเราไม่อยาก ไม่ต้องการที่จะกระทำแม้เป็นเพียงข้อเล็กน้อยก็ตาม เราก็รู้สึกทรมาน ทุกข์ใจ อยากจะแก้ไขให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

            แต่ยิ่งพยายามให้ความสำคัญมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าเราไม่มีความสามารถ ไม่มีทางที่จะรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม ที่ระบุไว้ในศาสนา และในใจของเราให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดเลยแม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม

            เราจึงรู้ว่าเราไม่มีทางที่จะไปสวรรค์   ตามที่หวังไว้หลังความตายได้เลย เพราะเราเชื่อถือเคารพอย่างมากในกฎศาสนาที่ได้ระบุไว้ และเราก็เห็นด้วยว่าเป็นจริง และเป็นจริงในสากลโลก คือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

            ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราได้ทำผิด ทำชั่ว ทำบาปไม่รู้กี่ครั้งในชีวิต เรายอมรับอย่างสุดใจเลยว่าเราต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมที่เราได้ทำ ไม่ว่ามากหรือน้อยนี้แน่นอน เราจึงสิ้นหวัง

            เราไม่เพิกเฉยละเลยต่อกฎหมายฝ่ายวิญญาณ คือกฎแห่งกรรมนี้ โดยอ้างว่าเราทำดีมากกว่าคนอื่นๆ ตั้งเยอะ ทำชั่วทำบาปแค่นิดหน่อยเท่านั้น

            แสดงว่าเราได้ให้ความเคารพศาสนา เคารพนับถือต่อกฎหมาย คือกฎแห่งกรรมนี้อย่างเคร่งครัด อย่างละเอียดมากใช่หรือไม่?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้พ้นจากบ่วงกรรมนี้ได้?

            ใครหนอสามารถช่วยเราให้เข้าสวรรค์ได้?

            มัทธิว 5:11 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ท่าน เมื่อคนทั้งหลายสบประมาท ข่มเหง และใส่ร้ายป้ายสีท่าน เพราะเรา”

            ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเวรกรรมนั้น ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระเยซูคริสต์  ก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระองค์ ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ

            พระเยซูบอกว่า “เขาข่มเหงเราอย่างไร เขาก็จะข่มเหงท่านอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านกับเราเป็นหนึ่งเดียวกันในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อท่านเข้าสู่สวรรค์”

            พระเยซูถูกกล่าวหา ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่ามาล้มเลิกศาสนา และบทบัญญัติในศาสนา แล้วท่านล่ะคริสเตียนทั้งหลาย! ถูกกล่าวหาว่าล้มเลิก ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติอันดีตามกฎศีลธรรมในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วหรือยัง?

            เช่นเขาจะกล่าวหาท่านว่า “เอะอะ อะไรๆ ก็อ้างพระคุณ รอดแล้วรอดเลย! ความประพฤติบนโลกใบนี้ไม่เกี่ยวกับผลของความรอดทางด้านวิญญาณ เพราะที่ท่านรอดก็รอดด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน” (เอเฟซัส 2:8-9)

            โรม 6:1-2 …  “1 เราจะว่าอย่างไรในเรื่องพระคุณพระเจ้านี้? เราจะยังคงทำบาปต่อไป เพราะรู้แล้วว่า พระคุณมากมาย สามารถปกคลุมไปถึงอย่างนั้นหรือ? 2 มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราได้ตายต่อบาปแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? (วิญญาณของเราไม่ได้ตายอยู่ในบาปในอาดัมแล้ว)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1442

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 3 “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ก็มาต่อซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)” หมายถึงพระคริสต์ทรงอยู่ วันนี้ ตอนที่ 3 ในซีรี่ย์นี้ ให้ชื่อเรื่องว่า “อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด”

            ปกติแล้ว ความกลัว สำหรับคนทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้ ซึ่งรวมทั้งคริสเตียนด้วย  หมายถึงคนทั้งโลก เขากลัวอะไรกัน ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ลองคิดสิ ท่านกลัวอะไรบ้าง? ที่เราเห็นกันบ่อยๆ หรือเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ เรารู้ว่าเรากำลังกลัวอะไร?  เช่น กลัวความเจ็บป่วย  กลัวความยากจน  กลัวการทำมาหากิน  กลัวความขาดแคลน กลัวอุบัติเหตุ อะไรที่เกิดขึ้นในอนาคตที่เราไม่รู้ ควบคุมไม่ได้  นี่เราก็กลัว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารัก  กลัวจะไม่มีคนยอมรับเรา อันนี้มันอยู่ข้างในใจของเราทุกคน  ความกลัวจะถูกปฏิเสธว่าเราเป็นอย่างนั้น คนนั้นชี้นิ้วอย่างนี้  อย่างนั้น กลัว ถึงขนาดบางคนก็กลัวในการพูดในที่สาธารณะ เพราะข้างในไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้า เรียกว่ากลัวนั่นเอง  กลัวการพูดต่อหน้าชุมชน กลัวไปหมด หนักกว่านั้น กลัวความวิตก กลัวว่าจะกังวล คือเขาเรียกว่ากังวล ซ่อนกังวล  นี่เป็นโรคชนิดหนึ่ง  มันอยู่บนโลกใบนี้แหละ อีกอันหนึ่ง ก็คือกลัวว่าจะกลัว มีด้วยนะ และสุดท้าย ก็คือกลัวว่าจะนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่หลับไหม? แต่ก็กลัวว่าจะนอนไม่หลับ  นี่ก็แปลก

            แต่ความกลัวที่กำลังจะพูดถึง ในวันนี้ ที่เป็นหัวข้อเรื่อง ที่จะเกิดกับ คริสเตียนผู้เชื่อ ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากเมื่อตะกี้นี้ ทั่วๆ ไป ก็กลัวขนาดนั้น คริสเตียนอยู่ในโลกใบนี้ ก็จะอยู่ท่ามกลางความกลัวแบบนั้น เหมือนกัน  แต่คริสเตียนได้รับความรอดแล้ว เพิ่มไปอีกอย่างหนึ่ง  ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว กลัวสูญเสียความรอด

            คิดในใจสิว่าใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ยังมีความกลัวตรงนี้อยู่ คิดดูนะว่าเขากำลังพูดถึงเราหรือเปล่า? คือหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับความรอดแล้ว แต่ลึกๆ ในใจ ก็ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะสูญเสียความรอดนี้ไปหรือไม่?  ก็เพราะว่ามีการเข้าใจผิดกันเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า เกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องความรอดนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ประทานให้ สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ ยังมีความเข้าใจผิดตรงนี้ แล้วก็สอนกันต่อๆ มาว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องอยู่ในทางพระเจ้านะ พอเปิดใจปุ๊บ ก็เริ่มต้นฟังถ้อยคำพระเจ้า ก็จะมีคนสอน  และส่วนใหญ่ ก็จะสอนอย่างนี้แหละ เชื่อแล้ว

            “ต้องรักษาความเชื่อนั้นให้ดีนะ”

            “ต้องอยู่ในทางของพระเจ้านะ”

            “ต้องระวังรักษาความประพฤติให้ดีนะ รักษาความรอดให้ดี อย่าให้สูญเสียความรอดไปนะ”

            คุ้นๆ นะ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เราได้ยินบ่อยๆ คำพูดเหล่านี้แหละ ที่ทำให้คริสเตียนเกิดความกลัวสะสม ตั้งแต่วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู กลัวว่าจะสูญเสียความรอดที่ได้รับมา ปิติยินดีแค่ไม่กี่วัน อ้าว! ดำเนินชีวิตเริ่มต้นคริสเตียน ด้วยความกลัวว่าพระเจ้ากำลังเริ่มต้น ถือไม้ เดินตามเรา คอยฟาด คอยตีเรา  เราต้องระมัดระวังตัวให้ดี  ประพฤติตัวให้ดี ไม่อย่างนั้น ถูกตี ต้องรักษาความเชื่อด้วยตัวเอง ที่ได้รับมาแล้วนั้น อย่างขะมักเขม่นและระมัดระวัง (เป็นพิเศษ) เราจะได้ยินอย่างนี้บ่อยๆ บนธรรมาส ในการบรรยาย ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะมีอย่างนี้แทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ว่า …

            “ท่านต้องระวังให้ดี ท่านต้องรับผิดชอบ”

            อาการเป็นอย่างไร? ลองดูสิว่าเป็นอย่างที่เราเคยเจอไหม? ใครที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดมานานๆ แล้ว ลองนึกย้อนไปถึงวันแรกๆ ท่านเริ่มต้นเชื่อ อาการตอนเริ่มต้นเชื่อเป็นอย่างไร? น้ำหูน้ำตาไหล วันนั้น วินาทีนั้น …

            “ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นคนบาป ได้รับความรอด พระเจ้าเป็นความรัก เป็นความยินดี”

            ดีใจมากเลย  ไม่มีความกลัวอะไรเลยสักนิดหนึ่ง  ได้เป็นลูกของพระเจ้าด้วย  ขอบคุณพระเจ้า นี่คืออาการเริ่มต้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยินดีมาก  แต่หลังจากนั้น 1 วันผ่านไป  2 วันผ่านไป  1 อาทิตย์ผ่านไป  2 อาทิตย์ผ่านไป  3 เดือนผ่านไป  4 เดือนผ่านไป 1 ปีผ่านไป  ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินได้ฟังผู้คนพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับคริสเตียน ได้ยินได้ฟังผู้คนสอนแนะนำให้เราทำอะไรบ้าง?  อาการหลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ที่ชื่นชมยินดีมากนั้น นับวัน มันยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลขึ้นมา จริงหรือไม่?  หายไปแล้ว กลายเป็นความวิตกกังวลแทน กลายเป็นว่าเอ๊ะ! เราทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า? เราจะสูญเสียความรอดไหม? กลัวว่าสุดท้ายแล้ว ล่วงหลับไป หรือเขาเรียกว่าตายไป ความรอดจะคงอยู่ เหลือเท่าไร? หรือเหลือไหม? พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า?  จะลดลงไปมากน้อยเท่าไร?  ยิ่งเชื่อมากเท่าไร? ยิ่งเดินทางกับพระเจ้ามากเท่าไร?  ยิ่งกลัวว่าวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป กลายเป็นกลัวพระเจ้า  กลัวอะไร? เรารู้ เราเป็นอิสระแล้ว  อาจจะเป็นอิสระแล้วในความคิด  จากความกลัวตาย จากความกลัวการพิพากษาหลังความตาย เราได้รับความรอด  เราเชื่อตรงนั้น แต่เรามีความกังวลว่าเราต้องอยู่ต่อหน้าการพิพากษา เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อ  แต่เราต้องถูกพิพากษาในฐานะผู้เชื่อ นึกให้ดีๆ จะต้องมีการพิพากษาคนที่เป็นคริสเตียนด้วย แล้วเราจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกพิพากษาขนาดไหน?  เราต้องรักษาขนาดไหน? เรายังทำไม่ถูกต้อง ยังทำไม่ดีงาม หลายเรื่อง หลายอย่างเลย  เราจะเหลือความรอดไปเจอพระเจ้าเท่าไร?

            บางคนหนักกว่านั้นอีก ไม่กล้าเจอพระเจ้าเลย ตัวสั่น คือคิดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้วว่าเมื่อล่วงหลับไป ไปเจอพระเจ้า แทนที่จะปิติยินดี  ดีใจตามถ้อยคำพระเจ้า แต่กลับกลัวว่าจะเจอพระเยซู พระเยซูจะคายเราทิ้งหรือเปล่า? หรือกำลังจะบอกว่า …

            “อ๋อ! มาแล้วหรือ? ไปๆ เข้าสวรรค์ไปเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปไกลๆ”             มีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆ

            เหมือนกับอะไรรู้ไหม? ผมนึกถึงภาพ  เหมือนเราเริ่มเชื่อในความรอด สมมติเหมือนน้ำในแก้ว  นี่คือความรอด ความรอดคืออะไร?  คือรอดจากการถูกพิพากษา เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า พระบิดา เดี๋ยวนี้และตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์ นี่พอสังเขป

            น้ำในแก้วนี้คือความรอด ที่เราได้รับมาจากพระเจ้า สมมติว่าน้ำเต็มแก้วเราได้รับมาตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสัญญาไว้แล้ว เปิดใจต้อนรับปุ๊บ เราได้รับความรอดมาแล้ว  เต็มแก้วแล้ว จากนี้ดำเนินชีวิตต่อไป จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง  เราจากโลกนี้ไป สู่อ้อมกอดพระเจ้า อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ต้องรักษาน้ำแก้วนี้ไว้ให้ดีๆ นึกภาพนะ? แล้วปรากฏว่าเราถูกสอนให้รับผิดชอบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการดูแลน้ำในแก้วนี้ อย่าให้มันหก หรือพร่องแม้แต่หยดเดียว ไม่ได้ เราก็รับมาวันแรก เริ่มต้นรับเชื่อ เดินไป  หกนี่ หกนั่น ระวัง อย่าให้หก เดี๋ยวก็หมดหรอก  โกหกบ้าง อิจฉาเขาบ้าง อธิษฐานก็น้อย มาโบสถ์ก็ไม่ค่อยได้มา ศึกษาถ้อยคำพระเจ้าก็ไม่เคยศึกษา หงุดหงิดก็หงุดหงิด อะไรหลายอย่างที่เขาชี้มา  ประกาศก็ไม่ประกาศ  ไม่เห็นได้เรื่องสักอย่าง ยิ่งดำเนินชีวิตเป็นปีๆ  เป็นคริสเตียนหลายๆ  ปี ยิ่งหนักใหญ่เลย อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี รู้สึกเราไม่ดีเลย ปรากฏน้ำในแก้ว ความคิดของเรานะ น้ำในแก้วมันลดลงไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดในใจว่าถึงวันที่เราล่วงหลับไป สุดท้าย มันจะเหลือน้ำในแก้วสักเท่าไรหนอ?  น้ำในแก้ว เล็งถึงความรอด

            แต่ในพระคัมภีร์บอกไว้ เมื่อเราได้รับน้ำในแก้วนี้มาแล้ว ใครเป็นผู้รับผิดชอบ  เราเป็นผู้รับผิดชอบหรือเปล่า? เราจะมาดูกันในวันนี้แหละ จะได้รู้ว่าน้ำในแก้วที่ได้รับมา ความรอดนี้ เราต้องดูแลรับผิดชอบเอง หรือใครมาดูแลให้เรา หรือศิษยาภิบาลดูแลให้เรา หรือนักอธิษฐานดูแลให้เรา หรือใครดูแลให้เรา ที่เราสามารถไว้ใจได้  หรือเราต้องดูแลด้วยตัวเราเองจริงๆ  วันนี้เราจะมาดูความจริง ในเรื่องนี้จากถ้อยคำของพระเจ้า อย่างที่บอก ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ซึ่งเป็นชื่อซีรี่ย์นี้  ผ่านมาแล้ว 2 ตอน …

            ตอนที่ 1 อิสระจากความกลัวตาย … เป็นอิสระไปแล้ว

            ตอนที่ 2 อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย … อันนี้ผ่านไปแล้ว อิสระแล้ว

            วันนี้ ตอนที่ 3 อิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด

            วันนี้จะเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียน้ำในแก้ว ที่เราถูกสอนมาตลอดว่าให้เราดูแลให้ดีๆ ดำเนินชีวิตให้ดีๆ  อย่าให้น้ำในแก้วนี้หกออกมาเด็ดขาด ซึ่งน้ำนี้มันเต็มแล้ว ไหวไหมที่เราจะรับผิดชอบ ดูสิว่าพระเจ้าเตรียมเราไหม? ให้เราเป็นผู้รับผิดชอบไหม?  พระเจ้าให้กำลังกับเรา ให้ความสามารถกับเราในการดูแลรับผิดชอบตรงนี้หรือเปล่า?

            ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ที่ผมคัดมาให้ท่าน พิสูจน์ให้ท่านได้เห็นว่าใครรับผิดชอบ ผมว่าน่าจะเพียงพอแล้ว  แต่จริงๆ แล้วทั้งเล่มของพระคัมภีร์เลย ได้กล่าวถึงตรงนี้ชัดเจนว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ แต่อย่างที่บอก มันเยอะมาก  เอามาจำนวนหนึ่งที่คิดว่าสำคัญ ที่เขาว่ามันเจ๋งจริงๆ เป๊ะๆ จริงๆ  อ่านแล้ว มันหนีไม่พ้นเลยว่าในนี้ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ ดูแลความรอดน้ำในแก้วนี้อย่าให้หกเลยแม้แต่หยดเดียว  ท่านคิดว่าใคร? ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้จะทำให้ท่านเป็นอิสระจากความกลัวการสูญเสียความรอด ที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือเรียกว่าเริ่มต้นต้อนรับพระเยซู เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน นาทีแรก วันแรกบนโลกใบนี้  ใครเป็นผู้รับผิดชอบความรอดที่ท่านได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น ท่านหรือใคร?  ยอห์น 10:28-29 แค่ข้อเดียว ท่านก็เห็นแล้วว่าท่านหรือใครเป็นคนรับผิดชอบนี้ …

        ยอห์น 10:28-29 “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่ตายเลย ไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่ เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง  ไม่มีผู้ใด แย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้”

            ผมเริ่มต้นด้วยคำพูดของพระเยซูเองเลยนะ พระเยซูพูดเอง ยืนยันด้วยตัวของพระองค์เองเลยว่าชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ให้กับแกะนั้น  แกะนั้น ก็คือผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือคริสเตียนนั่นเอง  ชีวิตนิรันดร์ คือน้ำในแก้ว อย่างที่ผมบอก

            “แกะนั้นจะไม่ตายเลย จะไม่มีผู้ใด ชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” ก็คือไม่มีใครที่จะมาเอาความรอด ออกไปจากมือของพระเจ้าได้ มือของพระเยซู

            “พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้น ให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” ยิ่งใหญ่มากเลย

            “ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้” 2 มือเลย มือหนึ่ง คือมือพระเยซูคริสต์ อีกมือหนึ่ง คือมือพระเจ้าพระบิดา ทั้งสองมือนี้กำลังอุ้มชูน้ำในแก้วนั้นตลอดเวลา อย่านะ ไม่มีใครมาทำให้สะเทือน  แม้แต่หยดเดียว

            ใครรับผิดชอบ? ตอบในใจได้ … พระเจ้า พระเยซู พระบิดารับผิดชอบ ซึ่งพระเจ้า 2 พระภาคนี้สถิตอยู่กับผู้เชื่อ สถิตกับเราทั้งหลาย คริสเตียน ตั้งแต่เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ และยังมีพี่เลี้ยง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ด้วย ใครมาแย่งชิงได้

            ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับน้ำแก้วนี้มาแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณของเขาก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  พระคัมภีร์เปรียบเป็นอุปมาให้เราเห็น ก็คือเป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว เปิดใจก็เรียบร้อยแล้ว  และครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นผู้เลี้ยงดู คอยดูแลปกป้อง คุ้มครอง เอาใจใส่จนถึงนิรันดร์  ไม่มีใครที่ไหน สามารถทำอันตรายผู้เชื่อ หรือแกะเหล่านี้ได้เลย เอเมนไหมครับ? ใครพูด พระเจ้าพูด พระเยซูพูดเอง  เพราะเมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ เขาเป็นแกะในทุ่งหญ้า ในคอกของพระเจ้า คือเขาได้เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            ท่านเป็นพลเมืองของสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นประชากรของพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ เอเมน  ท่านกำลังอาศัยอยู่กับพระเจ้าบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ เดี๋ยวนี้และขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เอเมน

            การเป็นพลเมืองสวรรค์นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่านเลย แม้แต่นิดเดียว สถานะเป็นลูกของพระเจ้า ที่พูดไว้นี้  การเป็นแกะนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของท่านว่าจะเป็นแกะดื้อหรือแกะดี เมื่อท่านเป็นแกะ ท่านก็เป็นแกะ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกเลย  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของท่าน แต่ถ้อยคำพระเจ้าเมื่อตะกี้นี้  พระเยซูบอก “แต่เพราะพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง” เอเมน

            การเป็นลูกของพระเจ้า ความรอด คือพระพรทั้งปวง ในโลกฝ่ายวิญญาณ ใครรับผิดชอบ  พระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ทั้งบนโลกนี้และโลกหน้า ทั้งในโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ไม่ต้องกลัว มาถึงโรม 8:31-34 …

        โรม 8:31-34 “31 “ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้น เพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว” 34 “ใคร​จะ​กล่าว​โทษ​เขา พระเยซู​หรือ! เป็น​ไป​ไม่​ได้ เพราะ​พระเยซู​คริสต์เป็น​ผู้​ที่​ตาย​และ​ฟื้น​ขึ้น​มา​ใหม่ และ​ตอนนี้​ พระองค์​ก็​นั่ง​อยู่​ทาง​ขวา​มือ​ของ​พระเจ้า ​อธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า​ (เป็นทนายแก้ต่าง ) แทน​เรา”

            “ถ้าเป็นอย่างนั้น” ก็คือถ้าเราได้รับความรอดแล้ว พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว  พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา

            “พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายฉัน คืออยู่ข้างฉัน เป็นพวกเดียวกับฉัน  ไม่ใช่คอยเอาไม้มาตีฉัน  มาชี้ฉัน เอาสิ่งไม่ดีมาให้กับฉัน ไม่ใช่  อยู่ข้างฉัน โลกนี้ต่างหากที่อยู่ตรงข้ามกับฉัน ระบบของโลกนี้ต่างหาก ที่ต่อต้านกับฉัน”

            พอนึกภาพออกใช่ไหม?  แต่โลกนี้มันหลอกลวงเรา ให้เราแทนที่จะมีโลกนี้ต่อต้านเรา เรายังแถมไปมีพระเจ้าต่อต้านเราอีก  ไปไหนก็กลัว 2 ต่อเลย กลัวทั้งโลกใบนี้ กลัวทั้งพระเจ้าตีหรือเปล่า? พระเจ้าไม่ตี สาปแช่งไหม? โดนทั้งสาปแช่ง โดนทั้งพระเจ้าตี มันจะไปอยู่มีความสุขได้อย่างไร? มันจะมีสันติสุขได้อย่างไร?    

            “ถ้าทำอย่างนี้พระเจ้าตีสอนนะ”

            อ้าว! ไปหา มองดูพระเจ้าตีอีก  เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา แทนที่พระเจ้าอยู่ข้างเรา พระเจ้าช่วยเราอยู่

            “ไม่รู้ล่ะ พระเจ้าอยู่ข้างฉัน ไม่ใช่พระเจ้าเป็นผู้กระทำฉัน เกิดสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้”

            แทนที่จะเป็นอย่างนี้ กลับกลายเป็น … “ฉันทำอะไรไม่ดีแน่ๆ ฉันสมควรได้รับ พระเจ้าตีฉันอยู่ โลกก็ต่อต้านฉัน แล้วฉันจะไปมีความสุขได้อย่างไร?”

            ในนี้เลยอธิบายบอกว่า … “ผู้ที่ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์” พูดให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราถึงขนาดไหน? ถึงขนาดยอมให้บุตรองค์เดียว ในนี้ความหมายแท้จริง  พระองค์ไม่หวง คือยอมให้พระเยซูคริสต์เป็นบุตรของพระองค์เพียงผู้เดียว พูดง่ายๆ ยอมสละบุตรคนนี้ ให้มาตายแทนพวกท่าน อย่างนี้พิสูจน์ได้ไหมว่าอยู่ข้างท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น

            ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ? ก็คือขนาดพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ยังยอมให้ท่าน มาตายอย่างทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน เพื่อท่าน แสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว  พระองค์ไม่หวงสิ่งสารพัด

            “สิ่งสารพัด” คือน้ำในแก้วนั้น  คือความรอดนั้น  ฐานะเป็นบุตร ความบริสุทธิ์ สะอาด ความเป็นผู้ชอบธรรม การอยู่ในสวรรคสถาน การเป็นลูกของพระองค์นั่นแหละ สิ่งสารพัดเหล่านั้น พระองค์จะไม่เต็มใจให้กับท่านหรือ? หมายถึงอย่างนั้น

            ข้อ 33 บอกว่า “ใครจะฟ้องคนเหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว”

            พระเจ้าทรงโปรดให้หมดบาป หมดเวรกรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว  ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  ใครจะมากล่าวโทษท่าน โลกนี้จะชี้หน้า กล่าวโทษท่านว่าท่านเป็นเป็นคนบาป เป็นคนชั่ว ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ท่านไม่พร้อมอย่างนั้น ท่านไม่พร้อมอย่างนี้หรือ! นี่หมายถึงอย่างนั้น

            ใครจะกล่าวโทษเขา ดูสิ ใครรับผิดชอบ พระเยซูหรือ? ก็คือหมายถึงพระเจ้าหรือ?  ถ้าท่านทำอะไรผิดพลาดไป บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะมากล่าวโทษท่านหรือว่าท่านทำชั่ว ท่านสมควรจะได้รับสิ่งชั่วร้าย ฉันจะตีเธอ ฉันจะลงโทษเธอ ฉันจะเป็นผู้สอนเธอ ด้วยการตีสอน  อย่างนั้นหรือ?  ในนี้บอกพระเยซูคริสต์หรือ?  เป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น มาบอกพระเจ้าตีสอน บอกไปเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ เพื่อท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน  ท่านทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ต่อติดกับร่างกายของพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้ พระองค์จะมาตีตัวเอง เพื่ออะไร? พระองค์มีแต่ทนุถนอม คอยรักษาเยียวยาให้ ถ้ามันสกปรก พระองค์ไปอาบน้ำให้ ท่านเกิดมือสกปรก ท่านตัดมือทิ้งไปไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น เราทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซูคริสต์ สมมติเราเป็นมือ มือเราทำสกปรก ตัดมือทิ้งเลย ไม่ใช่

            และตอนนี้ ขณะนี้ ที่กำลังพูดอยู่นี้ ตอนที่เรากำลังอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนที่อยู่บนโลกใบนี้ ฟังให้ดีๆ ขณะนี้ พระเยซูก็นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าในสวรรคสถาน กำลังอธิษฐานวิงวอนต่อพระเจ้า แทนเรา  ไม่ว่าท่านจะขัดสน ขาดแคลน หรือถูกล่อลวงให้ทำอะไรผิด อะไรต่างๆ พระเยซูแทนที่พระองค์จะบอกว่าพระองค์ตีสอนท่าน พระองค์กำลังเป็นห่วงท่าน  กำลังอธิษฐานให้ท่าน ท่านรู้ไหม? ไม่รู้ ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            และคำว่า “อธิษฐาน” ตรงนี้  ภาษาเดิมแปลว่า “วิงวอน เป็นทนายแก้ต่าง” ท่านทำอะไรผิดบาปไป ไม่ดีไป เผลอไปทำอะไรต่างๆ ถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ทำอะไรผิดพลาดไป  โลกนี้ มารชี้ว่าท่านชั่วแล้ว ท่านต้องได้รับโทษ พระเยซูบอกไม่? พระบิดาบอกไม่ใช่เลย  เขาเป็นแกะของลูกแล้ว โลหิตของลูกที่หลั่งที่ไม้กางเขน  ตอนสิ้นพระชนม์นั้น เป็นพยานยืนยันว่าเขาเป็นชนชาติของพระองค์ ไม่มีบาปอะไรเลย ไม่เกี่ยวกับเขา เขาได้รับการอภัยมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ลูกสิ้นพระชนม์ ลูกตายที่ไม้กางเขนและหลั่งพระโลหิต ครั้งเดียวเป็นพอ เขาได้รับการยกเว้น  เขาได้รับการชำระล้าง เขาได้รับการอภัยโทษ ในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เราต่างตอบว่า “เอเมน”

            แต่เราถูกหลอก ไม่ได้หรอก ทำบาป ต้องสารภาพบาป  พระเจ้าลูกบาปไปแล้ว บาป ขออภัยจากพระเจ้า ขออภัยอะไร ก็อภัยไปแล้ว  อย่างนี้ ก็ไม่เกิดวิตกกังวล และไม่กลัว ไม่รุกรี่รุกรน

            สรุปแล้ว  ใครดูแลรับผิดชอบความรอดของเรา? พระเยซูอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรค์ขณะนี้ กำลังอธิษฐานให้เรา กำลังเป็นตัวแทนให้เรา กำลังเป็นทนายให้กับเรา ทนายเราใหญ่ขนาดไหน? เรามีทนายประจำตัวของเราในโลกฝ่ายวิญญาณ คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้ชอบธรรม ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะๆ พระโลหิตของพระองค์ยังคงฤทธิ์อำนาจอยู่ในทุกวันนี้ เป็นพยานยืนยันความชอบธรรมของเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ มาดูเอเฟซัส 1:13-14 ยิ่งชัดใหญ่เลย อันนี้ว่าใครรับผิดชอบหนอ …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            “ท่านทั้งหลาย” ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นกัน  เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะความจริง ได้รับการประกาศข่าวประเสริฐบนโลกใบนี้แล้ว ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนั้น ท่านเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ท่านได้รับความรอดแล้วนะ  พอท่านได้รับความรอด ก็ทรงประทับตราท่านด้วยดวงตราบริสุทธิ์

            “ประทับตรา” หมายถึงผนึก ความรอดที่ท่านได้รับไป ถูกผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าผนึก ความรอดเหมือนตู้คอนเทนเนอร์ แล้วมัดด้วยห่อพัสดุอะไรต่างๆ หนาแน่นปึ๊กเลย ท่านอยู่ข้างในนั้น หรือถ้าพูดถึงน้ำที่อยู่ในแก้ว เมื่อตะกี้ จะหกหรือไม่หก ท่านลองคิดดู น้ำในแก้วนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ปกคลุมอยู่ตลอด ทั้งแก้ว  แล้วมันจะหยดออกมาสักหยดหนึ่งไหม?  ไม่ใช่ท่านต้องเป็นคนไปประคองมัน ท่านไปไม่รอดหรอก  ท่านถูกหลอกลวงโดยมารว่าท่านจะต้องประคองมัน ไม่ใช่ ท่านไม่ต้องประคอง ท่านอยู่เฉยๆ ท่านจะดิ้นไปดิ้นมา ก็ได้ แต่มันจะไม่มีวันหก เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ปิดอยู่ เอเมน  อย่างไรก็ไม่หก  ต่อให้ท่านไม่มาโบสถ์เลย ก็ไม่หก  ตราบใด ถ้าท่านได้รับน้ำในแก้วนี้ไปแล้ว  ไม่มีวันหกเด็ดขาด นี่คือถ้อยคำแห่งความจริงที่ทำให้เราเป็นอิสระ

            ข้อ 14 บอกว่าสิ่งเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำเพื่ออะไร? ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ค้ำประกัน คือไม่มีวันหกแน่นอน ไม่มีวันหยด แม้แต่หยดเดียวเลย เราเองไม่มีทางที่จะทำได้หรอก เดินนิดหนึ่งก็หยดแล้ว รับเชื่อมา วันรุ่งขึ้น เราก็เริ่มคิดแล้ว พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย เริ่มต้นมาอีกวัน เราก็โกหกแล้ว  แล้วมารมันก็บอก โกหก น้ำหกอีกแล้ว คริสเตียนเขาไม่โกหกแล้วนะ ฉันแย่จริงๆ อ้าว! ไปยอมรับ  มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นสิ่งที่โกหกเรา หลอกลวงเรา

            ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าน้ำไม่หก แม้แต่หยดเดียว  ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้า คือเราทั้งหลายจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์ หมายถึงว่าน้ำในแก้วจะไม่มีวันหกออกไปเลย เราจะได้รับสิทธิ์ของเรา จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่ง จบแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือยังไงๆ หลังจากเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว จนถึงวันที่จากโลกนี้ไป อยู่ในสวรรคสถาน น้ำในแก้วไม่มีวันหกเลย ท่านยังคงเป็นลูกที่มีกรรมสิทธิ์ครบถ้วนบริบูรณ์ ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า อย่างครบถ้วน ไม่มีหยดออกไป แม้แต่นิดเดียวเลย ไม่มีเสียสิทธิ์ไป แม้แต่นิดเดียวเลย เอเมน

            ถามว่าตอนนี้ใครรับผิดชอบ? พระเจ้า เห็นไหม?  ท่านตอบได้เองเลย ใครรับผิดชอบ ท่านเองหรือ? เปล่าเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ  พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์รับผิดชอบ ปิดแก้วนี้แล้ว ความรอดเข้ามาปุ๊บ ปิด ท่านจะดิ้นอย่างไร? มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ  ฮีบรู 6:18-20 …

        ฮีบรู 6:18-20  “18 ดังนั้น พระเจ้าได้ประทานให้เราทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก ด้วยเหตุนี้ พวกเราที่ได้หนีมาพึ่งในพระองค์จึงมีกำลัง และมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา 19 ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคงและติดแน่นในความคิดจิตใจและความหวังนี้  ได้นำพาเราเข้าไปสู่หลังม่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสวรรค์  คืออภิสุทธิสถาน ซึ่งเป็นสถานที่ทรงสถิตของพระเจ้า” 20 ที่ซึ่งพระเยซูผู้ได้เสด็จนำหน้าเราทรงเข้าไปก่อนแล้วเพื่อเรา  พระองค์จึงได้เป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบของเมลคีเซเดค”

            “พระเจ้าได้ประทานให้เรา” ทั้งจากคำสัญญาและคำสาบาน  ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย  เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะพูดโกหก พระเจ้าไม่พูดโกหกไม่พอ แต่ให้คำสัญญากับเราว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเตรียมขบวนการการบังเกิดใหม่  ได้รับความรอดครบถ้วนบริบูรณ์นี้ให้เรียบร้อยแล้ว  นี่คือคำสัญญา  แค่นั้นไม่พอ พระองค์บอกว่า …

            “ฉันสาบานด้วย ในนามของพระเจ้า”  ท่านเข้าใจไหมครับ?

            มนุษย์เวลาพูดกับใครแล้ว คนเขาไม่เชื่อเรา เราก็บอกว่าในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่โบราณแล้วนะ  ตั้งแต่สมัยอิสราเอล รุ่นดึกดำบรรพ์ หลายพันปีก่อน  เขาก็จะอย่างนี้ เราพูดจริงๆ นะ ไม่เชื่อเราหรือ? เราสาบานในนามของพระเจ้า  ถ้าเขารู้จักพระเจ้านะ  ถ้าเขาไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็จะบอกเราสาบานต่อหน้าภูเขาไฟนี้ เราสาบานต่อหน้าดวงดาว เราสาบานต่อหน้าดวงอาทิตย์ ถ้าคนที่รู้จักพระเยซูคริสต์ ก็บอกว่าเราสาบานต่อหน้าพระเยโฮวาห์ ว่าเราพูดจริง  เราไม่ได้ฆ่าเขาตาย

            นี่พระเจ้ารู้ พระเจ้าบอกให้คำสัญญานี้ เรียบร้อยแล้วว่าพระเยซูจะมาทำอะไร?  แล้วพระองค์ก็บอกว่าทั้งหมดนี้ เป็นจริง ไม่เชื่อเราหรือ? เราพูดทั้งหมดนี้ เราให้คำสัญญาเหล่านี้ ในพระเยซูคริสต์นี้ เราสาบานในนามของเราเอง  เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่ามันต้องเชื่อ นี่ขนาดพระเจ้าให้คำสัญญา และสาบาน ยืนยันว่าพระองค์ทรงกระทำอย่างนั้นจริงๆ

            ด้วยเหตุนี้ ด้วยคำสัญญาและสาบานนี้ พวกเรา ก็คือพวกเราที่เชื่อแล้ว  ได้หนีมาพึ่งพระองค์ จึงมีกำลังและมีกำลังใจอย่างเข้มแข็งที่จะยึดมั่นในความหวังที่อยู่เบื้องหน้าเรา  พระเจ้าสาบานสัญญาว่า พอเราได้รับแล้ว ไม่ต้องกลัว สาบาน สัญญาว่าพระองค์จะเป็นผู้ดูแลเอง

            ความหวังและความมั่นใจของเรานี้ เป็นเหมือนสมอเรือที่มั่นคง และติดแน่นในความคิด จิตใจและความหวังนี้ ก็คือคำสาบาน คำสัญญาเหล่านี้ ควรจะเป็นสมอเรือ คือหลักยึดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าพระเจ้าสัญญาและสาบานแล้ว ความรอดนี้จะไม่มีหยด หกออกไปแม้แต่นิดเดียวเลย  พระองค์ทรงดูแลให้จริงๆ  คือมั่นใจในความหวังนี้ ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว คือการเข้าไปสู่หลังม่าน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือในสวรรคสถาน ตรงนี้เล็งถึงในสวรรค์ คือให้มีความมั่นใจว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว หลังจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ความรอดนี้อยู่ในเรา และจะไม่มีหกออกไปเลย สวรรค์นี้อยู่ในเราแล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว จะไม่มีวันออกจากสวรรค์นี้ไปได้เลย ให้เราหยั่งรากลึกตรงนี้ และถ้าเผื่อเราหยั่งรากลึก ในหลักการของความเป็นจริงในถ้อยคำนี้ คือสมอของความคิดจิตใจนี้ ลงไปในความหวังอันแท้จริง  ที่พระเจ้าสัญญาและสาบานด้วยตัวพระองค์เอง  ก็คือการอยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ การได้อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวนี้  และจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเป็นนิตย์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  และจะอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกัน  พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเราเลย นี่คือคำสัญญาและสาบานจากพระเจ้า

            เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดจิตใจของเรา ก็จะมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โครงเครง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากนานัปการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ก็ตาม เรามีหน้าที่แค่เชื่อเท่านั้น เชื่อและวางใจ มั่นใจในคำพูดของพ่อของเรา คือพระเจ้า บอกว่า …

            “ฉันสัญญาว่าน้ำในแก้วนั้น เป็นอย่างนั้น  ความรอดนั้น เป็นอย่างนี้ เป็นลูกแล้วเป็นเลย และสาบานด้วยตัวเราเอง ด้วยพระองค์เอง”

        ฮีบรู 7:25  “เหตุฉะนั้น พระองค์จึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์  เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ และพระองค์กำลังอธิษฐาน วิงวอน (เป็นเหมือนทนายแก้ต่าง) ต่อพระเจ้า ให้เขาทั้งหลายอยู่”

            “เหตุฉะนั้น พระองค์เองจึงสามารถช่วยปกป้องรักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อ และไว้วางใจในพระองค์ ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด”

            พระองค์เอง คือเจ้าของคอก ผู้เลี้ยงแกะ ก็คือพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์จึงสามารถช่วยปกป้อง รักษาบรรดาผู้ที่มาหาพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อในพระองค์ แกะของพระองค์นั่นเอง  ก็คือเราทั้งหลาย ชัดไหมว่าใครดูแลเรา  พระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์เอง เป็นผู้ดูแลเรา ดีที่สุด และสมบูรณ์ที่สุด และตลอดไปชั่วนิรันดร์ ดูแลและปกป้องเรา เพราะอะไร? …

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่       เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

            เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ คำว่า “พระองค์ทรงอยู่ชั่วนิรันดร์นี้” มิได้หมายถึงเฉพาะแค่พระองค์ทรงอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  ขณะนี้ เท่านั้น แต่หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ในเราทั้งหลาย ในร่างกายของเรา  ที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้  เรากำลังประสบปัญหาอยู่บนโลกใบนี้ เดินอยู่กับเราด้วย ตลอดเวลา คอยปกป้องดูแลน้ำในแก้ว ไม่ให้มันหกเลยแม้แต่นิดเดียว  พระองค์ทำได้ไหม? ทำได้ จนถึงนิรันดร์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์  และทุกวันนี้พระองค์กำลังอธิษฐาน  เป็นทนายแก้ต่างให้เรา เราเดือดร้อนอะไร พระองค์ทรงอธิษฐาน  เราอธิษฐานไม่ได้ พระองค์อธิษฐานให้เรา  ไม่มีใครอธิษฐานให้เรา   พระองค์อธิษฐานให้เรา ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่พระองค์ทรงอยู่กับเรา รู้เรื่องหมด  ไม่มีอะไรปิดบังสำหรับพระองค์ พระองค์ทรงทราบหมด พระองค์อธิษฐานให้เรา และพระองค์อธิษฐานชนิดที่เป็นแบบอยู่ข้างเรา ไม่ใช่อธิษฐานตำหนิเรา  อธิษฐานสาปแช่งเรา ไม่ใช่ อธิษฐานอยู่ข้างเรา เป็นห่วงเรา รักเรามากเลย  ตายเพื่อเราก็ได้  อะไรก็ให้กับเราได้เลย  อยู่ข้างเราตลอดเลย เมื่อเราเจ็บปวดอะไรต่างๆ ก็เท่ากับเราล้มลง พระองค์ทรงวิ่งไป นึกภาพ เหมือนเราเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน  ไม่เชื่อฟัง ล้มลง เข่าแตก พระองค์ทรงวิ่งไป ไม่ใช่วิ่งไปเอาไม้ไปตี  ไม่ใช่วิ่งไปเอานิ้วไปชี้ ด่าว่า แต่วิ่งไปเอาผ้าไปพันแผล เอายาไปใส่บาดแผลให้เรา

            สรุปแล้ว ใครรับผิดชอบ ชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์รับผิดชอบ ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์เลย

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่       เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

            อนาคต คือวันพรุ่งนี้ ใครรับผิดชอบ ผู้ที่กำอนาคตของเราอยู่ คือเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ อยู่ในมือของใคร? ภาษาอังกฤษใช้คำดี ในเพลงนี้

                        “Because He lives, I can face tomorrow;”

                        ใช่ I can face tomorrow ฉันสามารถเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        “Because He lives all fear is gone

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่   ความกลัวสิ้นไป

                        Because I know, I know He holds the future,

                        พระองค์ทรงถือ รับผิดชอบ อนาคตของฉัน”

            อีกสักครู่เดินออกไป ใช่อนาคตไหม? อีก 1 นาทีต่อไป อนาคตไหม?  ใช่หมด เพราะฉะนั้น ใครดูแลรับผิดชอบ เพราะพระองค์ทรงอยู่ และพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะพระองค์ทรงอยู่ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิจ อาเมน

            วานนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ใช่หมายถึงเมื่อวานนี้นะ  วานนี้ หมายถึงพระองค์ทรงอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีโลกนี้ ก่อนที่จะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น  ก่อนที่จะมีเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมีทูตสวรรค์ทั้งหลาย ก่อนที่จะมีโลกใบนี้  ก่อนจะมีดวงดาวทั้งหมด  พระองค์ทรงเป็นอยู่แล้ว เอเมน แล้วพระองค์ทรงตรัสอย่างนี้ว่าอนาคตของเรา พรุ่งนี้ของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงนำเราไป ไปไหนก็ไปเถอะ  เราไปด้วย โอเคไหม? เอเมน

        1 เปโตร 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู) พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            ข้อ 3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            พูดง่ายๆ คือพระองค์ได้ทรงให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เราตายด้วย  เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เราได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นแผนการของพระองค์ที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับเรา มนุษย์ทุกคน

            และเมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ข้อ 4 บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก”

            เข้าในมรดกได้ ก็ต้องเป็นทายาท  พระคัมภีร์บอกเราเป็นทายาท  เข้าในมรดกนี้ ก็คือความรอดในแก้วน้ำ ก็คือน้ำในแก้ว คือมรดก  เราเป็นทายาท เราเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เรียนมาแล้วนะว่าปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีวันหยดออกไปเลย  เพราะฉะนั้น มรดกที่เราได้รับ คือการเป็นทายาทนี้ ไม่มีวัน ที่จะสูญเสียไป แม้แต่หยดเดียวเลย

            สมมติว่ามรดก มีบ้านหลังนี้ทั้งหลัง  และทุกอย่างในบ้านด้วย เพราะฉะนั้น ตุ่มหน้าบ้าน ก็เป็นของเรา  ไม่มีใครมาเอาตุ่มนี้ไปได้  ไม่มีการกระเด็นออกไปจากการที่เราเป็นเจ้าของ

            ในนี้บอกว่า “และได้เป็นทายาท เข้าในมรดก คือร่วมมรดกกับพระเยซู อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรคสถานแล้ว เพื่อพวกท่านทั้งหลาย”

            สิ่งเหล่านี้ คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้ อย่างเช่น เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหล่านี้  และยังมีหลังจากความตาย ยังเตรียมอะไรไว้อีกหลายอย่าง ให้กับเรา

            การเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  เหมือนน้ำในแก้ว  ในนี้บอกว่าไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย เลือนหายไป  ถ้าผมยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ ก็คือน้ำในแก้ว ไม่มีวันเสื่อม เป็นน้ำเสีย  ไม่มีวันหยดหายไป แม้แต่หยดเดียว เอเมน ใครเป็นคนรับผิดชอบครับ? พระเยซู … พระเยซูรับผิดชอบ มันไม่เสื่อม รับรองได้

            ข้อ 5 อันนี้ก็ให้เห็นชัดเลยว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ “โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้  ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ปกป้องไว้ถึงเมื่อไร? จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            ซึ่งพระองค์ทรงทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนจากร่างนี้ไป  ได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล ครอบครองโลกใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดนั้น เสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว  แล้วใครดูแล รับผิดชอบ ให้มันเป็นไปตามนี้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจด้วยความเชื่อแล้ว  ก็คือตัวพระองค์เอง ซึ่งทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่

            ท่านสังเกตดูประโยคแรก “โดยความเชื่อในพระเยซู” อันนี้ใครรับผิดชอบ?  เฉพาะคำนี้  “โดยความเชื่อในพระเยซู” ใครเป็นคนทำ?  เราเป็นคนทำ  เราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เรารับผิดชอบตรงนี้  แล้วเราทำไปหรือยัง?  ทำไปแล้ว ก็จบแล้วสิ เราไม่ควรจะรับผิดชอบอะไรอีกแล้ว

            อ้าว! ดูสิ เราทำไปแล้ว แล้วพระเยซู พระเจ้ารับผิดชอบอะไร?  … “โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้” โดยความเชื่อในพระเยซู เราได้รับความรอด  เรารับผิดชอบ ทำสิ่งเดียว คือเชื่อและได้รับ จบ สำหรับพระเจ้าทำอะไร? พอจบปุ๊บ พระเจ้ารับต่อ ดูแลความรอดนั้น ให้กับเรา ปกป้องไว้ ชัดเจน  พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตของเรา ทันทีทันใด ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ วิญญาณของเราถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ เรารับผิดชอบเพียงสิ่งเดียว ก็คือตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แค่นั้นพอแล้ว  พอเราตัดสินใจปุ๊บ ทันทีทันใด ในโลกฝ่ายวิญญาณ วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่กับพระคริสต์ และพระคริสต์กับเรา เข้าไปอยู่ในพระเจ้าพระบิดา แล้วพระเจ้าพระบิดาได้มอบพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพี่เลี้ยงอยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเราไปไหนมาไหน?  เราก็อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไปไหนมาไหนบนโลกใบนี้ ทางฝ่ายวิญญาณ เรามี 3 พระภาคนี้ไปกับเราด้วย วิญญาณเราประกอบไปด้วย วิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ และวิญญาณของเราเอง ไปไหนด้วยกันตลอดเวลา  เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา  และในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก

                        “ผู้ซึ่งอยู่ในเรา           เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น ที่อยู่ในโลก

                        ผู้ซึ่งอยู่ในเรา             เป็นใหญ่กว่าผู้นั้น  ซึ่งอยู่ในโลก”

            นี่แหละ มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ 1 ยอห์น 4:4

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สถิตอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาคแล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โลกจึงไม่มีชัยชนะเหนือเรา เพราะฉะนั้น เราอย่าให้โลกนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ใช้ระบบของโลกนี้ คือความบาปและความตาย และสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นอยู่บนโลกนี้ มาโกหกหลอกลวง ข่มขู่เรา ให้เรากลัวได้ มันจะมาข่มขู่เราต่างๆ ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ บนโลกใบนี้  อย่าให้มันข่มขู่เราให้เกิดความกลัว

            เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ทำสิ่งเดียว คือเปิดใจแล้ว หน้าที่เราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มีทำอยู่แค่นี้เอง ก็คือในโรม 8:37-39 …

        โรม 8:37-39 “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            ฉะนั้น หน้าที่ของเรา ก็คือเชื่อมั่นในคำสัญญาแค่นั้นเอง ฟังจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้มา แค่มาเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระเจ้าว่ามันเป็นจริง สิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นเรื่องจริง เชื่อมั่นเท่านั้นเอง เมื่อท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ต้องเชื่อมั่นในคำสัญญาเหล่านี้  นี่คือคำสัญญาและคำสาบานของพระเจ้า เป็นผู้พูดกับเรา พระองค์รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นจริง ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วนิรันดร์ด้วย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น แม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ที่จะสามารถทำให้มันเปลี่ยนแปลงได้เลย พระเจ้าการันตี ยืนยัน ค้ำประกันด้วยพระองค์เอง  ไม่มีวันสูญเสียมรดกแห่งความรอดของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว  หรือไม่สูญเสียพระพรทางฝ่ายวิญญาณต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของท่านบนโลกใบนี้ มันไม่สามารถทำให้ท่านพร่องจากพระพรนี้แม้แต่นิดเดียว  ไม่สามารถเลย เพราะพระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลความรอดของท่าน เมื่อพระเจ้าได้ทำให้ท่านรอดแล้ว ก็รอดเลย เมื่อพระเจ้าทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ก็เกิดเลย เป็นลูกแล้ว ก็เป็นลูกเลย  ไม่มีการสูญเสีย หรือเสื่อมลง หรือลดน้อย ถอยลงแต่อย่างใด ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ น้ำเต็มแก้ว ไม่มีวันพร่องเลย แม้แต่หยดเดียว  มันเต็มพร้อมบริบูรณ์

            นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว การสูญเสียความรอด และดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการหายเหนื่อยและเป็นสุขในใจ สงบ นิ่ง อยู่กับพระเยซูคริสต์ของเรา ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็นชีวิตของเรา ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนถึงนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            รู้ได้อย่างไรว่า? เราเป็นคริสเตียน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้อยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้

            มัทธิว 5:12 …  “จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่นัก เพราะพวกเขาได้ข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน”

            พระเยซูพูดกับชาวยิวที่เป็นสาวกใกล้ชิด ซึ่งอนาคตอันใกล้นี้ จะได้เกิดใหม่เป็นคริสเตียน หลังจากที่พระเยซูทำภารกิจสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายพวกเขา และจะเป็นผู้นำพวกเขาประกาศโดยฤทธิ์เดชอำนาจเรื่องสวรรค์ เหมือนที่พระเยซูได้กำลังประกาศอยู่นี้ และพวกเขาจะถูกต่อต้าน ถูกข่มเหง ถูกใส่ร้าย ถึงขนาดถูกฆ่าให้ตาย โดยพวกผู้นำทางศาสนายิว คือพวกฟาริสี  สะดูสี และธรรมาจารย์ เหมือนกับที่พวกเขาได้ทำกับบรรดาผู้เผยพระวจนะก่อนหน้านี้ เช่น คนล่าสุด คือยอห์นบัพติศโต และพระองค์เองก็ถูกต่อต้านข่มเหงใส่ร้ายเช่นกัน

            ฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราได้เป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเยซูคริสต์แล้วจริงๆเป็นพวกเดียวกันกับพระองค์

            เพราะนี่เป็นความจริงมาตั้งนานแล้ว โลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณ ที่เป็นของพระเจ้า  อีกโลกหนึ่ง คือโลกวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย

            อดีตคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูถูกข่มเหงอย่างไร? ปัจจุบันคริสเตียนผู้เชื่อ ก็ถูกข่มเหงเช่นเดียวกัน เพียงแต่การข่มเหง อาจจะเป็นคนละรูปแบบเท่านั้นเอง

            ยอห์น 15:18-19 … “พระเยซูคริสต์ตรัสว่า … “18 ถ้าโลกนี้​เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็​รู้​ว่าโลกได้​เกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่​เพราะท่านไม่​ใช่​ของโลก แต่​เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุ​ฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1441

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  พฤศจิกายน  2023

เรื่อง “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง”

ตอน 2 “มนุษย์ถูกสร้างมา ให้เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ”

โดย  ธิดารัตน์  ร่มพระคุณ

            วันนี้เราจะมาต่อจากครั้งที่แล้ว “ยอมรับรู้พระเจ้าในทุกทาง” รับรู้ในวิถีทางอันชอบธรรมของพระเจ้า วันนี้ก็จะมาในตอน 2 “มนุษย์ถูกสร้างมา ให้เป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ” เราก็มักจะคิดว่าเราเป็นมนุษย์ที่มีวิญญาณ  แต่จริงๆ แล้ว เราคือวิญญาณที่มีกายภาพ มีกระบอกนี้เป็นที่อาศัย  เมื่อไรก็ตามที่เราเกิดความเข้าใจผิด หรือการมองประเด็นผิด เราก็จะโฟกัสผิด หลายครั้งพระเยซูคริสต์มาในโลกนี้ พระองค์ก็มักจะมาบอกว่าให้เรามองดูสิ่งที่ตามองไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่นึกไม่ถึง นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียม สำหรับคนที่รักพระองค์

            เวลาเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า  เราก็จะเข้าใจว่าพระองค์กำลังสอนเราว่าให้รักกัน อย่าทำร้ายกัน คือพระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม หรือมาสอนวิธีการดำเนินชีวิตว่าจะต้องเป็นคนดีอย่างไร?  ถึงจะได้ขึ้นสวรรค์ พระองค์ไม่ต้องสอนให้เราเป็นคนดี หรือเป็นคนชอบธรรม ดังนั้น ความชอบธรรมจึงเป็นบุคลิกภาพของเรา ไม่ต้องสอน เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในเรา  ให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงออกมาจากชีวิตของเรา  ได้อย่างธรรมชาติที่สุด  อย่างที่แบ่งปันไปในคราวที่แล้วว่าทำไมมันยังผุดๆ โผล่ๆ ล่ะ

            เรามาเริ่มต้นที่ปฐมกาล 1:26-27 …

        ปฐมกาล 1:26 THAKJV “และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา”

            สังเกตไหมว่าพระองค์ใช้คำว่า “พวกเรา” นั่นหมายความว่าพระองค์ไม่ได้สร้างเพียงผู้เดียว  มีสภาวะของความเป็นตรีเอกานุภาพอยู่ ในขณะที่พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้ ฉะนั้น ในหนังสือยอห์น บทที่ 1 จึงได้ทราบว่าพระวจนะได้อยู่กับพระเจ้า ณ เวลานั้น  และได้บอกถึงความเป็นตรีเอกานุภาพของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการทรงสร้างของพระเจ้า

            ดังนั้น เมื่อพูดถึงตรงนี้ในไทย คิงแจม จึงใช้คำว่า “พวกเรา” หรือในภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า “We” ซึ่งหมายถึงไม่ได้เอ่ยถึงพระบิดาเพียงผู้เดียว  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  และพระองค์บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:26-27 THAKJV “26 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก” 27 ดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง”

            เมื่อเราอ่านพระวจนะแบบนี้ปุ๊บ  เวลาที่เราคิด เราก็จะคิดแบบกายภาพ  เราก็จะคิดว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระเจ้า แสดงว่ารูปร่างของพระเจ้า ต้องเป็นแบบนี้ ถูกไหมค่ะ นั่นคือวิธีการคิดของเราในโลกนี้  เราก็จะเอาแบบโลกนี้ เป็นตัวยืนพื้น แท้ที่จริงแล้ว เรามาอ่านดู ย้อนกลับไป ในปฐมกาล 2:7 พระองค์ทรงตรัสอย่างนี้ว่า …

        ปฐมกาล 2:7 THAKJV “พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่”

            นึกถึงกระบอกๆ หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา สังเกตฉบับนี้ จึงเป็นวิญญาณที่มีชีวิต นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงสร้าง เรานึกถึงภาพความเป็นจริง

        ปฐมกาล 2:27 TH 1971 “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์”

            ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ ในไทยคิงแจม เราจะเห็นสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าพระองค์ทรงสร้างก้อนดินหนึ่งขึ้นมา แล้วพระองค์ก็ทรงระบายลมหายใจของพระองค์ลงไปในก้อนดินนี้ รากศัพท์เดิม ในภาษาฮีบรู คำว่า “ลมปราณ” คือวิญญาณของพระเจ้า คือการได้ระบายลมปราณของพระองค์ลงมาในมนุษย์

            คำว่า “ระบายลมปราณของพระเจ้า” ในภาษาจีน คำว่า “ลมปราณ” คือ “ชี่” ซึ่งเป็นตัว Qi มันคือสสารชนิดหนึ่ง  ที่กระทำให้เกิดการขับเคลื่อนของระบบบางสิ่งบางอย่าง ให้เกิดการมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งเราดูหนังจีน เราอาจจะได้ยินถึงเรื่องลมปราณ คือพลังบางสิ่งบางอย่างที่ถูกใส่เข้ามา แต่อยู่ในท้องของแม่ แล้วก็ถูกกระทำให้ขับเคลื่อน ผลิตความมีชีวิตขึ้นมา

            พระเจ้าทรงระบายลมปราณลงไปในมนุษย์  เป็นลมปราณที่มีชีวิตผสมอยู่ เป็นของพระเจ้า  ดังนั้น วิญญาณของพระเจ้าจึงถูกบรรจุในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ถูกสร้างมาสำหรับใช้ในโลกนี้  เพราะว่าหูเรา มีไว้ เพื่อได้ยิน จมูกมีไว้เอาระบบหายใจเข้าไป เพื่อให้ชีวิตขับเคลื่อน  ทุกอย่างถูกทำให้เกิดการมีชีวิตขึ้น

            สัตว์ก็มีลมปราณเหมือนกัน  แต่ว่าสัตว์ไม่ใช่ลมปราณแบบเดียวกันกับเรา เป็นลมปราณที่ไม่ได้เกิดจากลมปราณของพระเจ้า  เป็นลมปราณที่ถูกบรรจุลงมาในชีวิตของสัตว์  แต่ไม่มีวิญญาณของพระเจ้าในนั้น ร่างกายนี้จึงถูกสร้างมา เพื่อใช้ในโลกนี้ เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างนี้ เราจำเป็นต้องใช้ร่างนี้ไหม?  ไม่จำเป็น เพราะว่าในโลกวิญญาณ ไม่ต้องใช้ระบบต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมร่างใหม่ให้กับเรานั้น เป็นแบบไหน?  เราไม่สามารถจินตนาการได้เลย  เราจะคิดแบบมนุษย์ ก็คงจะทรงนี้แหละ เราก็ไม่รู้อีก  แต่ในพระคัมภีร์ยืนยันว่างดงามมาก  เราก็ไม่ต้องมากลุ้มอกกลุ้มใจกับการเหี่ยวย่น หรือการสูญสลายต่อไปอีกแล้ว  ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออีก 120 ปีข้างหน้า เราจึงจะจากโลกนี้ไป  หรือเราต้องทิ้งร่างนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่าง วิญญาณนี้จะอยู่นิรันดร์กาล

            วิญญาณที่เป็นนิรันดร์กาลนี้ ในหนังสือฉบับ 1971 จะพูดถึงลมปราณของสัตว์ด้วย  ในปฐมกาล 1:30 บอกว่า …

        ปฐมกาล 1:30 TH 1971 “ฝ่ายสัตว์ทั้งหลายบนแผ่นดิน นกทั้งปวงในอากาศและบรรดาสัตว์เลื้อยคลานบนแผ่นดินทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลมปราณนั้น เราให้พืชเขียวสดทั้งปวงเป็นอาหาร” ก็เป็นดังนั้น”

            ลมปราณตัวนี้เป็นคนละรากศัพท์กับคำว่าลมปราณ ที่ในหนังสือพระคัมภีร์บอกว่าเป็นลมหายใจของพระเจ้า อันนี้เป็นลมปราณที่กระทำให้เกิดชีวิต ให้เกิดพลังงาน การขับเคลื่อนที่จะต้องถูกหล่อเลี้ยงด้วย อาหาร อากาศ การพักผ่อน การเลี้ยงดูที่ดี สิ่งเหล่านี้จะถูกหมุนเวียนไปด้วยกับเลือดของเรา ในการที่จะทำให้ร่างกายนี้ยังดำรงชีวิตอยู่ได้

            ในพระคัมภีร์ฉบับอื่นๆ นอกจาก 1971 จะไม่พูดถึง จะไม่ใช้คำว่าลมปราณ แต่ฉบับ 1971 กลับใช้คำว่าลมปราณ ซึ่งฉบับอื่นจะใช้คำว่าสัตว์ทั้งปวงที่มีชีวิตเท่านั้นเอง ดังนั้น บางคนอ่านพระคัมภีร์บางฉบับ ก็จะเกิดความสับสน อ้าว! สัตว์มีลมปราณ บางคนก็จะเข้าใจผิด เวลาสัตว์ตาย ก็จะเอาไปทำพิธีทางศาสนาเหมือนกัน เพราะเข้าใจว่าวิญญาณเขาจะไปอยู่อย่างนั้น อย่างนี้

            แน่นอน ในโลกสวรรค์ใหม่ พระคัมภีร์ก็พูดถึงสัตว์ด้วยเหมือนกัน บอกว่าสัตว์ต่างๆ ทั้งปวง ก็จะอยู่กับเรา จะอยู่โดยไม่ทะเลาะกัน ไม่กัดกินกัน ไม่ทำลายกันอีกแล้ว ก็คงจะมีแหละ เพราะพระคัมภีร์บอกมี แต่ว่าต้องบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าเราเป็นวิญญาณ และวิญญาณของเราเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณที่เป็นนิรันดร์  ตอนที่พระเจ้าสร้างอาดัม พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระเจ้า

            คำว่า “พระฉายา” ตรงนี้ จึงไม่ใช่ร่างกายนี้ แต่เป็นวิญญาณนี้ วิญญาณเหมือนกันกับพระเจ้า เป็นพระฉายาเดียวกันกับพระเจ้า  หมายความว่าเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เกิดอะไรขึ้น อาดัมกับเอวาถูกสร้างมา ตามพระฉายของพระเจ้า เราฟังไม่รู้กี่รอบแล้ว ก็คืออาดัมกับเอวาก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้ ด้วยวิธีการของตัวเอง คือต้องการพึ่งพาตัวเอง โดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้าว่า …

            “อย่ากินผลไม้ต้นนี้ เพราะถ้าเจ้ากินเมื่อไร เจ้าจะตาย”

            วิญญาณตาย ร่างกายถูกครอบงำ ฟังให้ดี วิญญาณตาย ร่างกายจึงถูกครอบงำด้วยความบาป ความตาย ก็เข้ามาครอบงำชีวิต นี่คือความจริง  อันนี้ก็คือตามที่ปฐมกาล 2:15-17 บอกว่า …

        ปฐมกาล 2:15-17 TH 1971 “15 พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน 16 พระเจ้าจึงทรงบัญชาแก่มนุษย์นั้นว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด 17 เว้นแต่ต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่ว ผลของต้นไม้นั้นอย่ากิน เพราะในวันใดที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่”

            นั่นหมายความว่าวิญญาณได้ตาย … เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ในคนไทยมักจะบอกว่าในความคิด จิตใจ ในภาษาอังกฤษจะบอกว่า Soul ซึ่งมันรวมถึงความคิด จิตใจ และตัวเรา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นแต่ละคน ไม่ใช่ว่าหลอมรวมกัน ทุกคนมีความเป็นปัจเจกบุคคล ทุกคนจะเป็นตัวเอง เราจะรู้ว่าใครเป็นใคร? แม้ว่าจะหลุดออกจากร่างนี้ไปแล้ว  เพราะมีความเป็นตัวเราอยู่

            แต่เมื่อเราล้มลงในความบาปปุ๊บ วิญญาณเราก็ยังเป็นวิญญาณเราอยู่ แล้วก็มีวิญญาณที่เป็นนิรันดร์กาลอยู่ แต่เป็นนิรันดร์กาลที่ตายไปแล้ว  เมื่อวิญญาณนิรันดร์กาลที่ตายไปแล้วนั้น ได้อยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้จึงถูกขับเคลื่อนและถูกครอบงำด้วยความบาป พฤติกรรมทั้งปวงของมนุษย์จึงผลิตออกมาแต่ความบาป เนื่องจากมนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ในโคโลสี 1:21 บอกว่า …

        โคโลสี 1:21 TH 1971 “และพวกท่าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันกับพระเจ้า และเป็นศัตรูในใจด้วยการชั่วต่างๆ”

            เราถูกตัดขาดจากพระเจ้า ที่เราตาย ตรงนี้แหละ พระเจ้าจึงจำเป็นจะต้องมา เพื่อกอบกู้เรา โดยการบัพติศมา หรือการบังเกิดใหม่ มนุษย์จะต้องบังเกิดใหม่ เพื่อเอาความตายนี้ เปลี่ยนสภาพ กลายเป็นบังเกิดใหม่  ให้กลับสู่สภาพเดิม

            เมื่อมนุษย์เป็นวิญญาณ พระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ได้ทรงบังเกิดมาในโลกมนุษย์ใบนี้ พระองค์จึงไม่มาคุยเรื่องเนื้อหนัง พระองค์ไม่มาคุยถึงเรื่องกายภาพ  ทุกๆ เรื่องที่พระองค์พูดกับมนุษย์  พูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ

            เรามาเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อพระเยซูคริสต์อายุ 30 ปี พระองค์ได้เริ่มภารกิจของพระองค์ พระองค์ได้อดอาหาร ถ้าจะบอกสภาพของความเป็นจริงของร่างกายปกติ ในวัยที่ 30 ของมนุษย์ เป็นวัยที่กำลังแข็งแรงมากๆ คุณจะอดนอนกี่วันก็ได้ คุณจะไม่กินก็ได้  เพราะว่าร่างกายของคุณจะยังคงดำรงชีวิตอยู่อย่างแข็งแรง เพราะมันเป็นช่วงที่แข็งแรงที่สุด ถ้าหากเรากินอยู่ หลับนอน เป็นปกติดี หมายถึงว่าเราดูแลร่างกายนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต กินถูกสุขอนามัย กินอาหารครบ 5 หมู่ นอนถูกเวลา ออกกำลังกาย ทำทุกอย่างตรงเวลา ทำให้เมื่ออายุ 30 ปุ๊บ สภาวะร่างกายของมนุษย์ จะเป็นสภาวะที่แข็งแรงที่สุด

            ดังนั้น ในช่วงเวลานี้  คุณจะทำอะไรก็ตาม  ไม่ว่าจะอดนอน ดูหนังทั้งคืน วนไปเวียนมา  มันจะไม่เกิดสภาวะที่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เพราะว่ามันเป็นช่วงที่เราแข็งแรงที่สุด ฮอร์โมนในร่างกาย ก็ตีกันพลุ่งพล่าน แล้วก็แข็งแรงในการที่จะผลิตการกระทำที่รุนแรงออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สามารถที่จะสร้างการงานที่เจริญรุ่งเรืองได้ สามารถที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้ายอะไรก็ได้ ที่ค่อนข้างจะรุนแรงได้ทุกอย่าง ในช่วงอายุขนาดนี้  ดังนั้น สภาวะที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์นี้ พระองค์อยู่ในร่างกายที่เป็นกายภาพเนื้อหนังนี้ ฉะนั้น พระองค์ก็เหมือนมนุษย์ทุกคนที่มีฮอร์โมนปกติ  มีความปรารถนาทางด้านร่างกายปกติ เหมือนกับมนุษย์ทุกคน

            ดังนั้น พระองค์ก็เข้าสู่การอดอาหาร เพื่อให้สามารถที่จะมีสติ ในโลกวิญญาณดิฉันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงกระทำแบบไหน? เพราะอะไร? แต่ว่าถ้ามาคิดถึงเรื่องกายภาพแล้ว การอดอาหาร มันเป็นส่วนหนึ่งของการแยก ให้เราสามารถมีสติหยั่งรู้ถึงความต้องการของร่างกายกับสิ่งที่เราต้องการทำภายใน คือข้างในของเรา หัวใจของเรา หรือการขับเคลื่อนที่อยู่ข้างในของเรา ได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น พระเยซูคริสต์ในช่วงที่พระองค์ทรงอดอาหารนั้น สภาพของกายภาพของพระองค์ก็อ่อนแอมากๆ มารก็เข้ามาทดลองพระองค์ ไม่ให้พระองค์ทำกิจการงานสำเร็จได้ พอเริ่มจะมองออกแล้วว่าคนนี้แหละ เป็นพระมาซีฮาห์  เพราะแต่ก่อนนี้ มารซาตานก็เดา ลูกหัวปีออกมากี่คน ก็พยายามฆ่า ถ้าเราไปอ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะเห็น มันตามฆ่าลูกของคนอิสราเอลมาไม่รู้กี่ยุค กี่สมัย ยิ่งโดยเฉพาะลูกคนโต คนมีการเจิม มันก็ยิ่งจะตามเหมือนกับการให้เกิดการสูญเสีย ไม่สามารถดำเนินแผนการเหล่านั้นได้ แต่ปรากฏว่ามันก็ไม่เคยทำสำเร็จเลย เพราะว่าจริงๆ พระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมแผนการไว้  แผนการของพระองค์เข้มแข็งและแข็งแกร่งมาก ก็ยังดำเนินสู่แผนงานและนำไปสู่ความสำเร็จ จนกระทั่งพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขนได้ ไม่มีใครสามารถล้มงานของพระเจ้าได้

            และมันก็พยายามอีก มันก็มาบอกว่าถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า เสกก้อนหินให้เป็นอาหารสิ พระเยซูคริสต์ก็ตอบไปในแง่ของฝ่ายวิญญาณ บอกว่า …

        มัทธิว 4:4 TH 1971 “ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

            นั่นหมายความว่าวิญญาณของมนุษย์ ต้องการอาหาร แน่นอนเราต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณ เราสังเกตดูเองว่าเมื่อไรก็ตามที่เรามาฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วให้พระวจนะนั้นเข้าไปในวิญญาณ เราจะรู้สึกอิ่มและเต็ม เราเปิดให้ถ้อยคำของพระเจ้าผ่านบทเพลง  วิญญาณของเราจะอิ่มและเต็ม เราจะมีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า วิญญาณของเราจะแข็งแรงขึ้น ดิฉันไม่ได้จะมาบอกว่าท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ ท่านจึงจะแข็งแรง มันอยู่ที่ตัวท่านเอง ไม่มีใครที่ต่อให้มาบอกท่าน ท่านก็ไม่ทำหรอก  เรามาโบสถ์ เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณใช่ไหม? เรานมัสการ เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณถูกไหม? เราอยากจะฟังเรื่องราวของพระเจ้า เพราะเรากระหายฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่มีกฎบังคับเรา ให้เราทำสิ่งนั้น  เพราะว่าวิญญาณของเรากระหายหาพระเจ้า กระหายหาการได้เติมเต็ม

            พระเยซูคริสต์เป็นผู้บอกเอง พระองค์เป็นน้ำแห่งชีวิต พระองค์ทรงพูดกับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์บอกกับทุกคน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้า จึงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของเรา แต่เราต้องอ่านให้ถูก ถ้าเรากินเข้าไป แล้วเราพยายามตีความ นั้นก็อีกเรื่อง แต่ถ้าเราอ่านไปเฉยๆ  เราไม่รู้ว่าความหมายคืออะไร? แล้วก็เอามาคุยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกวันๆ มีการขับเคลื่อน มีการไหลเคลื่อนในชีวิตของเรา ที่พูดแบบนี้ เพื่อให้เห็นถึงตัวอย่าง พระเยซูคริสต์พูดถึงวิญญาณ แล้ววิญญาณนั้น ก็ต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณ

            พอตอนที่ 2 มารทำไม่สำเร็จ ตอนนี้พระเยซูคงจะอยู่ในที่สูง … “ท่านบอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า โดดลงไปสิ เพราะมีพระคัมภีร์” … มันก็ใช้พระคัมภีร์เหมือนกัน แต่มันชอบบิดเบือน บิดหน่อยๆ ตอนที่มันมาพูดกับเอวา มันก็บิดเหมือนกัน คำพูดของพระเจ้ามา แล้วมันก็บิด … ถ้าท่านเป็นลูกของพระเจ้า กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนว่าพระเจ้าจะประคองชูเท้าของท่าน ไม่ให้พลาดไม่ใช่หรือ?” พระเยซูก็บอกว่า …

        มัทธิว 4:7 TH 1971 “พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่าอย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”

            แล้วไม่พอ มันบอก … “ดูจักรวาลนี้ ถ้าท่านกราบนมัสการเรา เราจะยกทั้งหมดนี้ให้กับท่าน” เท่านั้นแหละ พระเยซูคริสต์บอกเลยว่า …

        มัทธิว 4:10 TH 1971 “พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่าจงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”

            นั่นหมายความว่าเนื้อหนัง ไม่สามารถครอบงำพระองค์ได้ พระองค์ยังทรงเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่อยู่เหนือร่างกายของพระองค์ เราเคยร้องเพลง

                        “เคยเดินที่เราเดิน     ได้ยืนที่เรายืน”

                        เคยรู้อย่างเราเป็น      พระองค์เข้าใจ”

            นั่นหมายความว่าพระองค์เป็นเหมือนเรา รู้สึกเหมือนเรานี่แหละ มีความอยาก มีความต้องการเหมือนกัน  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์ได้เข้าไปสู่การทำให้วิญญาณมีอำนาจเหนือกายภาพของพระองค์

            หลังจากนั้น พระองค์ก็ออกไปประกาศ พระองค์ประกาศแผ่นดินสวรรค์ การไถ่ถอนมนุษย์จากอำนาจของความบาปและความตาย การย้ายมนุษย์จากฝั่งของความตาย ไปสู่ชีวิต นำพามนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า นั่นคือวิถีทางเดียวที่พระองค์มาพูดในโลกนี้  ดังนั้น สิ่งที่พระองค์พูด ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระองค์มาเพื่อกู้วิญญาณของมนุษย์ และพูดลงไปในจิตวิญญาณของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบังเกิดใหม่ ซึ่งอยู่ในยอห์น 3:1-21 ซึ่งเป็นเรื่องที่พระองค์ทรงพูดกับนิโคเดมัส ถึงเรื่องของการบังเกิดใหม่ ถามว่านิโคเดมัสเข้าใจไหม?

            “โอ้! ท่าน คนแก่อย่างเราแล้ว จะเข้าไปในท้องแม่ แล้วเกิดใหม่ได้อย่างไร?”

            ถ้าหากเราใช้วิธีคิดแบบมนุษย์ เราไม่สามารถจะเข้าใจในเรื่องของสวรรค์ได้เลย  เราไม่สามารถจะเอาเรื่องของกายภาพไปบวกลบคูณหาร หรือคำนวณ หรือมาตีความให้มันออกมาเป็นชนิดเดียวกันได้เลย เพราะว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์พูดทุกอย่าง ในพระวจนะของพระองค์นั้น กำลังพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ เพื่อให้วิญญาณที่ตายแล้วของมนุษย์ได้ยิน เพราะตอนนั้น วิญญาณของมนุษย์ยังตายอยู่ ถึงแม้พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดบนโลกมนุษย์นี้แล้วก็ตาม วิญญาณของมนุษย์ยังตายอยู่ แม้ว่าสาวกของพระองค์อยู่กับพระองค์ 12 คน แล้วก็มีคนแห่มาฟังพระองค์มากมาย พวกเขาได้ยิน โอ้! คำพูดของพระองค์ไม่เหมือนใครเลย รู้สึกแช่มชื่นวิญญาณ มีบางอย่างที่มันไม่เหมือนเขา แม้ว่จะไม่เข้าใจก็ตาม มันไม่เหมือนกับคำสอนของรับบี  ของอารัก ของอาจารย์ ของปุโรหิต ของใครก็ตามที่พูดถึงเรื่องพระวจนะของพระเจ้ามาก่อน ไม่มีใครพูดแบบนี้ วิญญาณของเขารู้สึกเหมือนกับได้รับการเยียวยารักษา เหมือนกับได้รับการจูนลงไปในวิญญาณ

            มนุษย์ตอนนั้น ยังไม่ได้รับการชำระล้าง วิญญาณยังไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่ว่าพระองค์ไม่หยุดพูด ไม่ว่าพระองค์จะพูดกับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์พูดถึงกายภาพ …

            “ขอน้ำนั้นให้ฉันดื่มหน่อย”

            แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง พระองค์พูดยิงลงไปในวิญญาณเลย … “ถ้าท่านรู้ว่าเราเป็นใคร ท่านจะขอน้ำนั้นจากเรา”

            พระองค์พูดถึงโลกวิญญาณทันที ลงไปในจิตวิญญาณของหญิงนั้น จนกระทั่งหญิงนั้น ถูกเปิดตาฝ่ายวิญญาณออก รู้ว่าคนนี้คือพระเมสิยาห์ หญิงคนนั้นจึงลืมไปว่าตนเอง เป็นที่รังเกียจของสังคม วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วบอกว่า …

            “มาดูสิ คนที่อยู่ที่บ่อน้ำ เขาพูดสิ่งหนึ่ง มาดูกับตาสิว่าเขาคือพระมาซีฮาห์ ที่เรารอคอยอยู่หรือเปล่า?”

            คนเหล่านั้น ก็แห่มา แล้วก็ฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  สิ่งที่เป็นคำพูดของโลกวิญญาณ  เขาเหล่านั้น ก็ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วก็เชื่อวางใจ แล้วก็บอกว่า

            “ฉันเชื่อ ไม่ใช่เพราะเธอพูดนะ แต่เพราะฉันได้ยินกับหูฉันเอง ฉันได้ยินเอง”

            ไม่ว่าพระองค์จะพูดอะไรกับสาวกก็ตาม พระองค์จะพูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดในคำอุปมาอุปไมย ก็พูดเรื่องของโลกวิญญาณ ไม่ว่าพระองค์จะเดินเข้าไป ในวิหาร ไล่คนที่ขายของในวิหาร หลังจากนั้น ทุกคนก็ไม่เข้าใจการกระทำของพระองค์

            แล้วก็มีคนมาบอกว่า … “ท่านทำอย่างนี้ ด้วยสิทธิอำนาจใด”

            พระเยซูคริสต์บอกว่า … “วิหารนี้จะถูกทำลาย แล้ววันที่ 3 เราจะสร้างขึ้นมาใหม่”

             ทุกคนก็ยังไม่รู้จัก  ไม่เข้าใจ คนที่กำลังจะพินาศ ทุกวันนี้ก็ยังมืดบอดอยู่  ทำสงครามต่อสู้เยรูซาเล็ม  เพื่อจะแย่งชิงวิหารแห่งนี้ แท้ที่จริงวิหารแห่งนี้อยู่ที่ไหนแล้ว? พระเยซูคริสต์พูดกับหญิงสะมาเรียบอกว่า …

            “ต่อไปนี้ท่านจะไม่นมัสการเราที่เยรูซาเล็ม หรือภูเขาเกราซิมอีกแล้ว แต่ท่านจะนมัสการเรา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

            นั่นหมายความว่าท่านทั้งหลายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ท่านจะนมัสการตรงไหนก็ได้  ที่ไหนก็ได้  เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ในเรา และหล่อหลอมเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเป็นมนุษย์วิญญาณที่ดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละ มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า วิญญาณมืดบอด อ้าว! แล้วจะเข้าใจหรือ? พระองค์คิดอย่างไร? ในเมื่อ เดินอยู่บนโลกนี้ ก็พูดแต่เรื่องนี้ เรื่องแบบโลกวิญญาณๆ คนจะเข้าใจหรือ? อย่าว่าแต่คนตอนนั้นเลย คนตอนนั้น ที่พระเยซูคริสต์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขนใช่ไหม? ฉะนั้น มนุษย์จึงยังไม่สามารถบังเกิดใหม่ วิญญาณของพระเจ้ายังไม่สามารถหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขาได้ เขาไม่เข้าใจ ก็อย่าว่าพวกเขาเลย ขนาดเรา พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนแล้ว  พระเจ้าไถ่ถอนมนุษย์จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว พระเจ้าซื้อเราออกมา มนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนนะ พระองค์ทรงไถ่ถอนมนุษย์ทุกคน จากอำนาจของความบาปและความตายแล้ว แค่วางใจและรับเอา  ถ้าไม่วางใจและไม่รับเอา ก็ไม่ได้ แต่ไถ่ถอนแล้ว  เมื่อรับเอา จึงจะบังเกิดใหม่ ถ้าไม่รับเอา ก็ไม่บังเกิดใหม่ ขนาดบังเกิดใหม่แล้ว  อ่านแล้ว เรายังไม่เข้าใจเลย เพราะบางครั้งเราก็ไม่ได้ผสมกลมกลืนกับพระเจ้า เรายังไม่ยอมหลอมตัวเอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขับเคลื่อนไปด้วยกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วยังไม่ได้กลมกลืน เอาพระวจนะมาคิดใคร่ครวญ ตรึกตรองภาวนาวันยังค่ำ  เรายังไม่ตระหนักว่าเราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ ความคิดจิตใจเราจึงไปโฟกัสอยู่กับเรื่องของโลกนี้ เราไม่โฟกัสกับโลกวิญญาณ เพราะว่าเราให้ความสำคัญกับกายภาพมากกว่าเรื่องของวิญญาณ

            พระเจ้าบอกว่าไม่เป็นไร? ต่อให้ยังไม่ใช่เวลา พระองค์ก็จะพูด  พระเยซูคริสต์พูดอย่างหนึ่ง สาวกก็ถามเหมือนกันแหละ …

            “พระองค์เจ้าข้า พระองค์พูดแต่คำอุปมาอุปไมย”

            แม้แต่สาวกยังมาขอการแปลจากพระเยซู  แล้วสาวกก็บอกว่าอย่างนี้แล้วใครจะรู้เรื่องล่ะ แล้วใครจะเข้าใจล่ะ พระเยซูบอกว่าเดี๋ยวก็จะเข้าใจ …

        มาระโก 4:22 TH 1971 “เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย”

            พระองค์บอกว่ามันจะต้องพูดเปิดเผย ไม่ว่ามารซาตานพยายามปิดบังครอบงำขนาดไหน? ความตายจะปิดบังครอบงำขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครที่จะปิดบังมันได้ สิ่งนี้จะถูกเปิดเผยขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความสว่างเข้ามาในความมืด ความมืดหามีชัยเหนือความสว่างนั้นไม่ ในหนังสือยอห์น  ดังนั้น ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังซ่อนเร้นข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี หรือความจริงว่าเราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณและพระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขน เพื่อเราได้ ไม่มีใครจะปิดบังได้เลย แต่ถูกเผยแผ่ออกไปแน่นอน

            เอาเรื่องง่ายๆ คริสต์มาสเปิดเพลงอะไรค่ะ? เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็เปิดเพลงพระเยซูคริสต์บังเกิด ทั่วโลกเลย ทุกหนทุกแห่ง แต่ว่าคุณได้ยินหรือเปล่า? มีหู จงฟังเถิด ได้ยินไหม? เราได้ยิน แต่อาจจะไม่ได้ฟัง พระเยซูมักจะพูดคำหนึ่งว่า …

            “ใครมีหู จงฟังเถิด”

            พระองค์ไม่ได้บอกว่า … “ใครได้ยินคำพูดของเรา  แล้วฟัง ใครมีหูจงฟังเถิด”

            นั่นหมายความว่าได้ยินกับฟัง ไม่เหมือนกัน คนที่ฟังจะถูกเจาะเข้าไปในวิญญาณตลอดข้อในกระดูก และไขในกระดูก เป็นเครื่องวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในจิตใจ เพราะว่าเราเป็นวิญญาณ วิญญาณเราจะถูกดูดเข้าไป  แล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเราได้ และสามารถทำให้เรารอดได้ ดังนั้น เปาโลจึงบอกว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช  เพราะเมื่อใดก็ตามที่ถูกยิงเข้าไปปุ๊บ ถ้ามนุษย์คนนั้น เปิดหู แล้วฟัง วิญญาณนั้นจะได้รับความรอด ในยอห์น 14:25-26 … ตอนนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จมา หมายถึงว่ามาอยู่ในโลกนี้ …

        ยอห์น 14:25-26 TH 1971 “25 “เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่าน 26 แต่องค์ผู้ช่วย คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”

            นั่นหมายความว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ วิญญาณของเรา  ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนเดิม คือกลับคืนสู่สภาพเดิม คือวิญญาณของเราบังเกิดใหม่ สามารถที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราได้  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กระทำการงาน โดยการเปิดเผยสำแดง สิ่งที่เราอ่านนั้น ให้กับเราเข้าใจ

            ในพระวจนะของพระเจ้าในบางตอน เราจึงได้พบว่าจะไม่มีใครสอนเราเรื่องพระเจ้าอีกแล้ว เพราะว่าพระวิญญาณซึ่งอยู่ในท่าน จะทรงสำแดงพระเจ้าในท่านเอง  แล้วทำไมเรายังมาฟังอยู่ล่ะ? มาเถอะ เพราะบางคนก็รู้ตรงนั้น รู้ตรงนี้  บางคนก็สำแดงตรงนั้น บางคนได้รับการสำแดงตรงนี้ เอามารวมกัน เอามาหากัน เอามาจูนกัน เอามาแบ่งปันกัน เราก็ถูกเสริมสร้าง และเติบโตไปด้วยกันในพระเยซูคริสต์ นั่นก็คือเติบโตขึ้นไป จนกว่าจะสู่ความไพบูลย์ของพระเยซูคริสต์ด้วยกัน เราจะได้รับการเสริมสร้าง คนหนึ่งพรวนดิน คนหนึ่งรดน้ำ  แต่พระเจ้าเป็นผู้ให้การเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ

            ดังนั้น มนุษย์เป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ที่ต้องใช้ดำเนินชีวิตบนโลกนี้  และเป็นวิญญาณนิรันดร์  ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่บังเกิดใหม่  หรือวิญญาณที่ตายแล้วนิรันดร์ วิญญาณที่บังเกิดใหม่ คือวิญญาณที่เชื่อและวางใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า  ได้เข้าส่วนในพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เป็นขึ้นมาใหม่กับพระเจ้า วิญญาณอยู่กับพระเจ้า ได้จูนกับพระเจ้าแล้ว กับวิญญาณที่กำลังจะพินาศ คือปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง  โลกนี้เป็นโลกที่ถูกเตรียมไว้ แค่เป็นตัวกรองว่าเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และพระองค์ให้มนุษย์เลือกว่าจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล หรือจะไม่ต้องการพระองค์

            พระองค์สร้างทูตสวรรค์ พระองค์ไม่ต้องให้เลือก  ทูตสวรรค์ก็ยังเป็นทูตสวรรค์ที่ต้องทำทุกสิ่งตามปกติของเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ เพราะว่ายังไม่ได้ล่วงหลับไป  ก็เลยยังมองไม่เห็นว่าทูตสวรรค์ทำอะไรอย่างไรบ้าง? หรือแม้แต่พวกมารซาตานทำอะไร? อย่างไรบ้าง?  ดิฉันไม่สน ดิฉันสนอย่างเดียวว่าพระเจ้าทำอะไรในชีวิตของดิฉัน?

            วิญญาณที่บังเกิดใหม่นี้ เมื่อหลุดจากร่างนี้ ก็จะต้องรอสวมร่างใหม่ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าเราไม่รู้หรอกว่าร่างใหม่เป็นอย่างไร? ร่างกายสวรรค์ ก็ต้องไม่ใช่ร่างกายแบบเดียวกันกับที่ต้องใช้ในโลกนี้ ถูกไหม? ไม่เป็นไร เพราะพระคัมภีร์บอกว่างามสง่า งดงาม ดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันจะไม่ขาสั้น ดิฉันก็จะไม่แก่ ดิฉันก็ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องกินอะไรและดื่มอะไร การใช้เวลาในการกิน มันเยอะจริงๆ นะ กินเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ แล้วก็ต้องทำ ต้องกิน ต้องนอนให้ถูก ต้องดูแลดีๆ ถ้าดูแลไม่ดี ก็กินผลของมัน  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสุขภาพร่างกายที่ไม่ดีในอนาคต คือต้องดูแล แต่ว่าร่างกายใหม่ ไม่ต้องดูแล เป็นร่างกายที่สมบูรณ์แน่นอน

            แล้ววิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในร่างของผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าล่ะ  ก็นิรันดร์เหมือนกัน แต่เป็นวิญญาณที่ตายแล้ว ก็ได้อยู่ในนรกนิรันดร์ ซึ่งไม่มีร่ายกาย

            ดังนั้น เราจำไว้ให้ดีว่าจริงๆ แล้วเราเป็นมนุษย์ที่มีร่างกาย ที่เอาไว้ใช้กับโลกนี้ ร่างกายของเราที่มีวิญญาณอยู่ในนี้  และวิญญาณในนี้แหละที่เป็นนิรันดร์กาล ดังนั้น เรามาคิดดูจริงๆ แล้วอะไรสำคัญกว่ากัน  เราอยู่ในโลกนี้ เรามักจะโฟกัสอยู่แค่ร่างกายนี้ แต่เราลืมไปว่าร่างกายนี้ มีอายุอยู่แค่ 80 ปี 90 ปี 100 ปี 110 ปี บางคนอายุยืนมาก  ดูแลร่างกายนี้ดี ก็อยู่ถึง 100 ปี 110 ปีได้ ไม่ผิดแปลกอะไร?  แต่บางคนเกิดมาก็จากไปแล้ว ดีไม่ดี ดิฉันเทศนาวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะจากไปก็ได้ เราไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร?  ในพระคัมภีร์บอกว่าสั้นเหมือนหญ้า สั้นมาก คือถ้าเป็นลมหายใจพระเจ้า พระองค์หายใจเข้าและหายใจออก มนุษย์ก็ล่วงหลับแล้ว  คือเป็นเวลาที่สั้นมาก  แต่วิญญาณของมนุษย์จริงๆ อยู่นิรันดร์กาล

            เมื่อวันก่อนไปงานไว้อาลัยให้กับคุณย่าของข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตก็ล่วงหลับไปอยู่กับพระเจ้า ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็อายุ 20 กว่าๆ แต่ว่าเรามั่นใจว่าโอ๊ต ร่างกายของเขา วิญญาณของเขาได้ไปอยู่กับพระเจ้า และเตรียมร่างกายใหม่ พร้อมๆ กับพวกเรา โอ๊ตอายุ 20 กว่าๆ ก็จากไปแล้ว ในขณะที่คุณย่าของโอ๊ต  90 ปี วันที่ท่านจะล่วงหลับไป ท่านนั่งคุยแบบสบายมาก คุยกับลูกหลานบอกว่า …

            “เดี๋ยวฉันก็จะไปเจอโอ๊ตแล้ว จะไปแล้วนะ” คือออนไลน์ แล้วบอกกับทุกคน แบบมีความมั่นใจในความรอด  มีความมั่นใจในความเป็นวิญญาณของตัวเองว่าเรากำลังจะถอดจากร่างที่สภาพ อายุ 90 สภาพก็ไม่ได้จะแข็งแรง เข่าก็ไปหมดแล้ว เวลาจะนั่งจะลุก ก็ลำบาก

            ดิฉันก็ 56 ตอนนี้หลังก็เริ่มไปแล้ว เพราะช่วงย้ายโบสถ์ ก็ยกของหนัก แล้วก็มาอยู่โบสถ์แล้วก็ยิ่งต้องยกของหนักอยู่ ก่อนหน้านั้น ไปตรวจสุขภาพ กระดูกก็เริ่มพรุนแล้ว ความกระดูกพรุนคงจะเป็นเพราะยกไปยกมา เดี๋ยวย้ายเดี๋ยวยก ถ้ารวมหมดก็คงประมาณ 2 ปี ทั้งๆ ที่รักษาทรงกระดูกไว้ตลอดเวลา พยายามมากๆ ที่จะไม่ยกของหนัก แต่มันก็ขาดคน ก็ต้องดูแลกันเอง  ก็ยกกันเอง ตอนนี้ก็อุ้มหลานด้วย มั่นใจว่าตอนนี้กระดูกคงทรุด ตอนนี้เจ็บมาก นั่งนานๆ อย่างนี้ พอขยับ หรือก้ม ก็จะเจ็บมาก

            คือร่างกายเรา มันจะไม่เที่ยงมากๆ เลย  เรามักจะคิดถึงแต่เรื่องของร่างกายนี้ แต่เราลืมไปว่าจริงๆ แล้ว ความเป็นนิรันดร์กาลนั้น อยู่ในเราเต็มขนาดมาก แล้วเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา  ตัวตนที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่ร่างกายนี้  แต่ทุกวันนี้ ในโลกนี้ เราโฟกัสแต่เรื่องร่างกายนี้ จะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรดื่ม เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ โฟกัสว่าเราจะมีชื่อเสียง เกียรติยศ  เงินทอง เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ ใครทำไม่ดีกับเรา ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทำแบบนี้  ทำไมไม่ขอโทษ ทำไมต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราโฟกัสแต่เรื่องนี้ แท้ที่จริงแล้ว เราเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ  พระเยซูจึงบอกเราไว้ในมัทธิว 6:33 ว่า …

        มัทธิว 6:33 TH 1971 “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”

            ตอนนั้น พระเยซูคริสต์ได้มาเทศนาบนภูเขา พระองค์ก็ได้อ้างถึงพระบัญญัติของพระเจ้าที่คนอิสราเอลนับถือ และยึดถืออยู่ พระองค์ก็จะบอกให้เห็นว่าบัญญัติพูดอย่างนี้  แต่เราบอกว่าต้องทำอย่างนี้ บัญญัติพูดอย่างนี้ แต่เราบอกความจริงว่า

            เช่น พระองค์จะบอกอย่างนี้ เอาอันที่จำได้ ง่ายๆ คือ “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียคนอื่น แต่เราบอกความจริงว่าแค่มอง แล้วเกิดความกำหนัด ท่านก็บาปแล้ว”

            ไม่ต้องลงมือทำ ท่านก็บาปเรียบร้อยแล้ว พระเยซูคริสต์กำลังจะบอกเราอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครที่จะทำตามพระบัญญัติได้ เพราะว่าเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้าสูงมาก เกณฑ์จะขึ้นสวรรค์สูงมาก บัญญัติมีไว้ เพื่อให้พวกคุณประพฤติหยุดยั้งบาปที่มันครอบงำคุณ บัญญัติ 600 กว่าข้อที่คุณชี้ออกมา ตอนแรกมี 10 ข้อ อยู่ไปอยู่มา ทำนั่นทำนี่ ก็เลยเพิ่มบัญญัติขึ้น เหมือนกฎหมาย เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่ามันทำไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีข้อบังคับไว้

            ฉะนั้น บัญญัติก็ถูกเขียนๆ ขึ้นมา จนของยิวมี 600 กว่าข้อ  พระบัญญัตินี้ต้องถือรักษาให้มั่น  ถึงจะสามารถรอดได้ แต่พระเยซูคริสต์มาพูดตอนเทศนาบนภูเขา เพื่อมาชี้ให้เห็นว่าคุณทำไม่ได้หรอก เพราะว่ามาตรฐานจริงๆ แล้วที่จะขึ้นสวรรค์ มันละเอียดขนาดไหน? แค่คิดในใจ ก็บาปได้  แต่จริงๆ แล้วให้ทำแบบไหน ถ้ามีใครขออะไรจากท่าน ให้ถอดเสื้อคลุมให้เขา เอาเสื้อในให้ด้วย แล้วเดินไปส่งเขาที่บ้านด้วย ใครทำอย่างนี้ได้บ้าง ถ้ามีใครมาเอ่ยปากขอนะ ต้องทำอย่างนี้ทุกครั้งนะ สมมติว่าเขาขอ 10 บาท คุณต้องให้พอที่เขาจะอยู่ได้ สร้างบ้านให้เขาได้ด้วย  มันเป็นอารมณ์นั้น  พระเยซูกำลังจะบอกถึงจุดที่ว่ามันต้องละเอียดและมาตรฐานสูงขนาดนั้น ถึงจะรอด แล้วใครจะทำได้ แล้วพระเยซูจึงบอกว่า …

            “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง”

            บอกว่า … “อูฐลอดรูเข็ม ก็ง่ายกว่านะ มันยากจริงๆ นะ ที่จะรอด ถ้าจะต้องพึ่งพระบัญญัติ”

            แต่พระเยซูก็บอกว่า … “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง”

            เพราะว่าความรอดนั้น ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายรอด ก็รอดโดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตัวของท่านทำเอง ฉะนั้น บัญญัติจึงหุบไว้ ไม่เกี่ยวแล้วตอนนี้ พระเยซูคริสต์มาทำให้ท่านชอบธรรม โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาบัญญัติแล้ว ท่านรอดแล้ว โดยพระคุณ เพราะความเชื่อ ไม่ต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง  เพื่อจะบอกว่าความรอดของท่านพึ่งพาพระเจ้า

            ดังนั้น เรื่องร่างกายนี้ล่ะ ไม่ต้องห่วง พระเยซูบอกว่าแสวงหาเรื่องของโลกวิญญาณก่อน แล้วเรื่องอื่น ไม่ต้องห่วง แม้นกในอากาศ พระองค์ก็เลี้ยงดูไม่ใช่หรือ?  ท่านประเสริฐกว่านกอีก แม้ว่าดอกไม้ที่ทุ่งหญ้า ก็สวยงามกว่าเครื่องทรงของกษัตริย์ซาโลมอนอีก พระเจ้าจะไม่ดูแลท่านขนาดนั้นหรือ? พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทรงประทานตามความจำเป็นของท่านทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเรื่องอะไร?  ยากดี มีจน ความทุกข์ เจ็บป่วย ทุกอย่าง พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของคุณ พระองค์จะอยู่กับคุณ และพระองค์อยู่ในคุณ พระองค์ช่วยคุณ พระองค์จะดูแลกายนี้ จนกว่าท่านจะล่วงหลับไปอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ไม่ต้องห่วง จงโฟกัสให้ดีว่าท่านนั้นเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ

            เหมือนดิฉันรู้จักพี่น้องก็หลายคน แต่ยกตัวอย่างให้คนหนึ่ง  เขาเป็นมะเร็ง เมื่อเขารู้แล้วว่าเขาเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ หมอก็บอกจะตัดอย่างนี้ เอาถุงใส่อย่างนี้ ทุกอย่างขับของเสียออกทางถุง เขาก็ต้องถือถุงนี้ไปทุกที่ทุกแห่งด้วย  เขาตัดสินใจเลย ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อยู่ก็ได้ ตายก็ได้  แต่ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น รักษา แล้วแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะพาไป เลือกอย่างนี้ พอมาถึงจุดหนึ่ง เราก็กล้าที่จะเลือก ถ้าเป็นสมัยก่อน ถ้าเราไม่รู้ว่ามนุษย์ คือวิญญาณ เราไปโฟกัสที่ร่างกาย เราก็ต้องพยายามที่จะรักษาร่างนี้ไว้ แต่เมื่อเรารู้แล้วว่าเราเป็นวิญญาณ ที่อยู่ในร่างกายนี้ ทำเท่ากำลังเราไหว เวลาเราเผชิญอะไรก็ตาม มันไม่ยากอีกต่อไป ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 …

        2 โครินธ์ 4:16-18 TH 1971 “16 เหตุฉะนั้น เราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ 18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์”

            อันนี้กำลังพูดถึงกายจริงๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย  พูดถึงกายที่มองเห็นกับกายที่มองไม่เห็น

            ดังนั้น ในเช้าวันนี้ดิฉันก็อยากจะหนุนใจพี่น้องว่าอย่ากลัวเลย พระเยซูตรัสว่า …

            “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า  เออ! เราจะช่วยเจ้า เออ! เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา”

            พระองค์กำลังพูดกับวิญญาณของเราว่าไม่ว่าร่างกายนี้จะต้องเผชิญกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้ พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ  เป็นฤทธิ์เดช  ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยแรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  จะขับเคลื่อนภายในท่าน

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัวทุกเรื่อง (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

            นี่คือความจริง เมื่อเรามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ข้างใน เราจะสังเกตตัวเราว่าทุกวันนี้ เราไม่ค่อยกลัวเรื่องความตาย ความตายเป็นแค่ประตูผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะตายในรูปแบบไหน? ตายสวย ตายไม่สวย ตายเร็ว ตายช้า แต่เรามีข่าวดีอย่างหนึ่งว่าท่านไม่ได้ตาย พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” นั่นหมายความว่ากายนี้ปิดสวิตซ์ เพื่อให้ตัวจริงๆ ของท่านออกไป ถ้าสวิตซ์ไม่ปิด ตัวจริงๆ ของท่านก็ออกไปไม่ได้

            ดังนั้น เมื่อร่างกายนี้ ปิดสวิตซ์ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม วิญญาณท่านก็กำลังถูกวางไว้ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ท่าน ดังนั้น เมื่อท่านรู้ความจริงนี้ว่าท่านเป็นวิญญาณที่อยู่ในร่างกายนี้ ไม่ใช่มนุษย์ที่มีวิญญาณ แต่เป็นวิญญาณที่อยู่ในเรา ต่างกันนะ เราเป็นมนุษย์วิญญาณ ที่อยู่ในร่างนี้ เราไม่ใช่มนุษย์ที่มีวิญญาณ เผอิญว่ามีวิญญาณ ไม่ใช่ เราเป็นวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้

            พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า … “ท่านทั้งหลายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่ภายในท่าน”

            พระเจ้าจึงได้บอกว่า … “มีบุตรชายคนหนึ่งจะบังเกิดขึ้น จงเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”

            พระวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเรา ถูกหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถูกแก้ไขจากความตาย มาสู่ชีวิตแล้ว แก้ไขจากวิญญาณที่มืดบอด  เป็นวิญญาณนิรันดร์ กลับคืนสู่สภาพเดิม วิญญาณนี้จะดำรงอยู่กับพระเจ้านิรันดร์กาล

            ดังนั้น ดิฉันขอจบคำเทศนาด้วยข้อพระคัมภีร์ 2 ทิโมธี 2:7 …

        2 ทิโมธี 2:7 TH 1971 “จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด ด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานความเข้าใจให้แก่ท่านในทุกสิ่ง”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพยานยืนยันในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้แบ่งปันในวันนี้ อาจจะมีความไม่สมบูรณ์ในความสวยงามของภาษา ก็เพราะบุคลิกแบบนี้แหละ แต่เชื่อว่าเนื้อความใดๆ ที่เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะบรรจุอยู่ในจิตวิญญาณของท่าน เพื่อให้ท่านรู้ว่าวิญญาณของท่านนั้น คือตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายนี้

        ฟีลิปปี 4:23 TH 1971 “ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสตเจ้า ดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด”

            พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าบอก … “มนุษย์เป็นวิญญาณ”

            พระเจ้าถาม  … “วิญญาณของเจ้าอยู่ที่ไหน?ในขณะนี้”

             มนุษย์ตอบ   … “…………….”

            (พิจารณาให้รอบคอบแล้ว เขียนคำตอบในช่องว่าง หรือในใจก็ได้)

            มัทธิว 5:10 … “ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะความชอบธรรม เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขาแล้ว”

            ผู้ที่กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพระเยซู แทนที่จะพึ่งการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์หลังความตาย ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป

            ก็ได้รับการบัพติศมาในวิญญาณ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาปนั้น ได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว

            ถูกฝังไว้อยู่ในอุโมงค์ และได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าสู่สวรรค์ทันที ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า

            ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นก็จะเป็นศัตรูกับโลกนี้ทันทีในฝ่ายวิญญาณ

            เพราะอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ที่ปกคลุมอยู่บนโลกนี้ พินาศอยู่ในนรก ปกคลุมไปด้วยความมืด ไม่มีพระเจ้าซึ่งเป็นความสว่าง จึงเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า และอยู่ภายใต้อำนาจของความบาปและความตาย

            แต่ผู้เชื่อ คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น ได้ถูกย้ายออกมา เป็นผู้ชอบธรรมในสวรรค์แล้ว

            เขากับโลกเข้ากันไม่ได้อีกต่อไป ความสว่างกับความมืดจะเข้ากันได้อย่างไร และท่านทั้งหลายเป็นความสว่างท่ามกลางความมืดของโลกนี้

            พระเยซูตรัสว่า “โลกจะเกลียดชังท่าน เพราะความจงรักภักดี ที่ท่านมีต่อเรา”

            แต่ขอบคุณพระเจ้าท่านชนะโลกนี้แล้ว

            1 ยอห์น 4:2-4 … “2 โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงของคนที่ยอมรับว่า พระเยซู​คริสต์​ (เป็นพระเจ้า) ได้​เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้​นก็มาจากพระเจ้า 3 และวิญญาณทั้งปวงที่​ไม่​ยอมรับว่าพระเยซู​คริสต์ ​(เป็นพระเจ้า) ได้​เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้​น  ก็ไม่ได้​มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิ​ปักษ์​ต่อพระคริสต์  ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิ​นว่าจะมา และบัดนี้​ก็​อยู่​ในโลกแล้ว 4 ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์​ผู้​สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่​ในโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1440 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

                        “เพราะพระองค์ทรงอยู่  เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่  ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะข้าแน่ใจ แน่ใจ  พระองค์ทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่า องค์พระคริสต์ทรงอยู่”

            และวันนี้ตอนที่ 2 “อิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย”

            “การพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” วันนี้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ต้องจำไว้นะว่าการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้าย หลังความตาย  พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมาแล้ว เมื่อถึงกำหนดตายจากโลกนี้แล้ว จะต้องเข้าสู่การพิพากษาหลังความตาย ครั้งเดียว ไม่ใช่ ตายแล้วมาเกิดใหม่ๆ แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียวหลังจากนั้น จะรับการพิพากษาลงโทษ

            –  มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง เหนือน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำอันมหึมา

            –  มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก  แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน

            นี่คือความจริงที่พระเจ้าบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูกำลังชี้ให้มนุษย์ทั้งปวงได้เห็นว่าในขณะที่มนุษย์จ้องมองอยู่กับโลกวัตถุ คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่มองเห็นอยู่ แต่พระเจ้ามองที่โลกวิญญาณ  คือความรอดในวิญญาณ หรือที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

            ภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ เล็งถึงโลกวิญญาณ ในเรื่องของความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะมนุษย์มองไม่เห็น แต่มันเป็นฐานของความวุ่นวายและความตายนิรันดร์ของมนุษยชาตินั่นเอง มนุษย์มัวแต่มองเอาสิ่งที่มองเห็นได้ บนโลกใบนี้ แล้วก็ตัดสินตามความคิดของตนเอง แต่ลืมคิดไปว่าความจริงที่เรามองไม่เห็นนั้น คือความจริงแท้ คือโลกฝ่ายวิญญาณ เพราะตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณ นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ และวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์บอกว่าเกิดมา มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณที่ได้ถูกพิพากษาตัดสิน ลงโทษ ให้เป็นคนบาป ตรงนี้มันสำคัญมาก ซึ่งมันเป็นผลเนื่องมาจากการถูกสาปแช่งตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ที่ล้มลงไปในความบาป วิญญาณของมนุษย์ทุกคน ที่เกิดมาหลังจากนั้น  จึงต้องถูกเข้าสู่การพิพากษาว่าเขาเป็นคนบาปหรือไม่? ซึ่งเขาเป็นคนบาปแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป การทำบาป เป็นผลจากการที่วิญญาณเป็นคนบาป ไม่ใช่เป็นคนบาป  เพราะว่าเกิดมา แล้วไปทำบาป แต่เป็นคนบาป ตั้งแต่ก่อนกำเนิด เพราะว่าติดเชื้อมาจากบรรพบุรุษ แล้วเชื้อนี้ทำให้เขาเป็นคนบาป เขาจึงทำบาป

            อาการแรกของการเป็นคนบาปของมนุษย์ คือความกลัว พระเจ้าถือว่าความกลัวเป็นความชั่วชนิดหนึ่งนะ  การกระทำชั่ว ไม่ใช่ไปยิงนก ตกปลา ฆ่าคนตาย  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่พระเจ้าถือว่าอะไรก็ตามที่เป็นความคิด หรืออะไรก็ตามที่เป็นอาการ ที่ปฏิบัติออกมา  ที่ตรงกันข้ามกับบุคลิก ธรรมชาติของพระเจ้า เรียกว่าความชั่วทั้งสิ้น หรือความบาปทั้งสิ้น บาป คืออะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระเจ้าไม่มีความกลัว  พระเจ้าเป็นความรัก  ความกลัวมาจากไหน?  ก็คือความบาป ความชั่วนั่นเอง  และความกลัวนี้เป็นต้นเหตุของการกระทำชั่วอื่นๆ ต่อไป เยอะแยะมากมาย จนกระทั่งถึงสุดท้าย คือความอิจฉา ริษยา ความไม่เชื่อฟัง ความอกตัญญูต่างๆ เหล่านี้ เป็นอาการเริ่มต้น มาจากความกลัวในใจ หรือในวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าได้บอกเราว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท และเป็นอิสระจริงๆ  เพราะฉะนั้น คำว่าเป็นไท เป็นอิสระจริงๆ นั้น ก็คือเป็นไทและเป็นอิสระจากความกลัว ในทุกสิ่งด้วย  ซึ่งเป็นชื่อของซีรี่ย์นี้  ก็คือเป็นอิสระจากความกลัวทั้งปวง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ พระเยซูบอกความจริง ที่พระองค์นำมาประกาศ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัว ก็คือพ้นจากความบาปนี้นั่นเอง

            และสิ่งที่จิตสำนึกของมนุษย์กลัวมากที่สุด คืออะไร? มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความบาป และอาการ คือความกลัว สิ่งแรกที่มนุษย์กลัวมากที่สุด คือกลัวเผชิญหน้าพระเจ้า  ไม่กล้าเจอหน้าพระเจ้า  เพราะว่าเข้ากันไม่ได้เลย  เมื่อกลัวพระเจ้า ก็คือกลัวความตายนั่นเอง    เกิดมาก็กลัวตาย  และมนุษย์เป็นวิญญาณ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เบอร์หนึ่ง กลัวตาย เบอร์สอง ก็เลยกลัวการถูกพิพากษา สำเร็จโทษ ลงโทษหลังความตายนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่า กลัวตาย ทั้งจากร่างกายนี้  และสองกลัวตายจากวิญญาณที่ต้องตาย ก็คือถูกลงโทษ นี่คือจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่กลัวที่สุด ความกลัวที่สุดตรงนี้ จึงทำให้เกิดอาการทำชั่วอื่นๆ อีกมากมาย เหตุจากความกลัวตรงนี้ เหมือนเราได้ยินบ่อยๆ โดยเฉพาะ พวกเราเองในแถบเอเชียจะได้ยินบ่อยๆ เพลงที่เราคุ้นๆ หูตั้งแต่เด็ก …

                        “พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาตดับชีวี               สุวรรณตรวจดูบัญชี ใครทำดีให้ไปสวรรค์

                        ทำชั่ว (พญายมว่าไง)                                    ส่งไปนรกโลกันต์นะสิ

                        ต้นงิ้วกระทะทองแดง                                  เอาหอกแหลมแทงทุกวัน ทุกวัน”

            ทำชั่วลงนรกโดยพลัน ติดปากเลย ไม่ใช่ติดปากอย่างเดียว มันติดใจด้วย และคนรุ่นใหม่ ไม่เอาเนื้อเพลงนี้แหละ แต่ความคิด เป็นลักษณะเนื้อเพลงนี้ อยู่ในใจตลอดเวลาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว อันนี้ติดปาก ติดใจ ติดอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย มองเห็นๆ อยู่ ทำชั่ว ต้องได้ชั่วสิ ทำดี ต้องได้ดีสิ  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าตรัสไว้ และอธิบายให้เราได้รู้ว่าความจริงนั่นเป็นเช่นไร?

            ครั้งที่แล้ว เราได้เริ่มต้นบรรยายซีรี่ย์ชุดนี้ ในตอน “อิสระจากความกลัวตาย” กลัวอันดับหนึ่ง ก็คือกลัวตาย วันนี้เราจะมาดูต่อในเรื่อง “อิสระจากความกลัวการถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย” พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครสักคนหนึ่งเลยในโลกใบนี้  ที่ทำดี ได้สมบูรณ์ครบถ้วน และเมื่อตะกี้เราบอกเรากลัว และอยู่ในจิตใจเราตลอดว่าเมื่อตายไปแล้ว เราจะได้รับการพิพากษาว่าทำดี ก็ได้ดี ทำชั่ว ก็ได้ชั่ว สุวรรณตรวจดูบัญชี ทูตสวรรค์ตรวจดูบัญชี ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วล่ะ ลงนรกโดยพลัน

            นี่ความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ทั้งปวง  พระองค์ทรงทราบดี  พระองค์บอกเรา ความจริงในโลกวิญญาณว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครทำดี สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีคนใดเป็นคนดีสักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป หลงเจิ่นไปตามทางของตน  ไม่มีใครดีเลยในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่มีคนใด ไม่เคยทำบาปเลย นี่เราจะหนีไม่พ้นเลยว่าทุกคนหลงเจิ่นไปตามทางของตน ก็คือหลงไปตามความคิดของตัวเอง พึ่งพาตนเองว่า …

            “ถ้าทำดี ฉันสมควรไปสวรรค์ เพราะตัดสินเอง”

            แต่พระเจ้าบอก … “เธอเป็นคนบาป อย่างไรเธอก็ไม่มีทางเป็นคนดีพร้อม ที่จะมาอยู่ในสวรรค์ได้หรอก  เพราะว่าเธอเป็นคนบาป จากกำเนิด ไม่ใช่จากการกระทำ” นี่คือความจริง

            ผมจะยกตัวอย่างให้ มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ ให้ตาย เหมือนถูกขังอยู่ในเรือนจำ นึกภาพนะ เป็นนักโทษที่คอยการประหารชีวิต ถูกควบคุมการประพฤติทุกอย่าง เหมือนเป็นทาสอยู่ในเรือนจำ รอวันสำเร็จโทษ ประหารชีวิต ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ในไม่ช้านี้

            นี่คือภาพของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้  แต่พระเจ้าประทานอภัยโทษให้กับมนุษย์เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยความรัก 2,000 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาเป็นผู้ไถ่บาป อภัยโทษให้กับมนุษย์ทั้งปวง ได้หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่านักโทษคนนั้น จะได้ยินประกาศเรื่องข่าวดีนี้หรือไม่? หรือได้ยินแล้ว เชื่อในข่าวดีนี้หรือไม่ว่ามีการอภัยโทษแล้ว ให้ไปลงชื่อรับสิทธิของตัวเองเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ นักโทษคนนั้นจะเชื่อ หรือยอมรับข่าวดีนี้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับตัวของนักโทษผู้นั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ประกาศ  คือพระเจ้า

            ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศนั้น จะทำให้ท่านที่ได้ยินได้ฟังเป็นอิสระ เป็นไท ถ้าท่านยอมรับ เป็นอิสระจากความกลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้  รวมทั้งมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ทรงทราบดีว่าความจริง เกี่ยวกับเรื่องมนุษย์นั้น เป็นเช่นไร? พระองค์ประกาศความจริงแก่มวลมนุษย์บนโลกนี้ ประกาศความจริงของพระองค์ มีทั้งเป็นข่าวดีและเป็นข่าวร้าย มาพร้อมๆ กัน เวลาเราคุยกันเล่นๆ บอก …

            “ฉันจะมีข่าวดีมาบอก  แต่ก็มีข่าวร้ายด้วย อยากจะฟังข่าวอะไรก่อน”

            พระเยซูบอกว่ามีทั้งข่าวดีมาบอก และมีทั้งข่าวร้าย สำหรับมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  พระองค์ประกาศให้ฟังเอาอะไรก่อนดี เอาข่าวร้ายก่อนแล้วกัน ข่าวร้ายจะได้ผ่านๆ ไปสักที

            ข่าวร้าย คือมวลมนุษย์ตกในความพินาศนิรันดร์ ความตายนิรันดร์ ตั้งแต่ก่อนจะเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป นี่คือข่าวร้าย ไม่มีใครช่วยได้เลย

            ข่าวดี คือแค่เชื่อและวางใจในเรา คือพระเยซูคริสต์พูดนะ ก็ได้รับการช่วยให้รอด  ได้หลุดพ้นจากความพินาศนิรันดร์นี้แล้ว แค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ดีไหม?

            พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณแก่มวลมนุษย์ ในยอห์น 3:16-18 มันชัดเจนมากเลยว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จริงๆ แล้วพระองค์ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านั้น  ก่อนหน้าที่จะทำให้สำเร็จ  ตอนที่จะอ่านนี้ คือตอนที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว  ก็คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ในยอห์น 3:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในบาป  เห็นไหม? มาช่วย เพราะว่ามนุษย์ตกอยู่ในความบาปนิรันดร์ แต่เมื่อเขาวางใจ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว  เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เกิดใหม่เลย เมื่อไร? ในนี้ไม่ได้บอกเลยว่าเมื่อไร? บอกว่าได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเขาวางใจ คือวางใจปุ๊บ ได้รับการบังเกิดใหม่เลยทันที เป็นลูกของพระเจ้า  มีชีวิตนิรันดร์  ที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้  เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ข้อ 17 ได้บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเยซูไม่ใช่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะมาพิพากษาลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ เพราะมนุษย์ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว แต่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น  ก็คือที่ถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เกิดนั้น พระเยซูมาเพื่อช่วยให้เราหลุดพ้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย  โดยผ่านทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ แค่เชื่อและวางใจในพระเยซูเท่านั้น ซึ่งเป็นข่าวดี ที่ตะกี้นี้เราอ่านกัน ข้อ 18 บันทึกไว้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ  ครั้งสุดท้าย หลังความตาย ให้พินาศ”

            คนที่เชื่อ ไม่ต้องถูกสำเร็จโทษหลังความตาย  เพราะเขาได้รับการอภัยโทษ จากการถูกพิพากษาลงโทษแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อพระเจ้า นั่งอยู่ที่นี่ขณะนี้ หรือนั่งอยู่ที่บ้าน  ที่ฟังอยู่ในขณะนี้ ที่เปิดใจต้อนรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้วนั่นเอง ยอห์น 5:24 …

        ยอห์น 5:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา (ครั้งสุดท้าย หลังความตาย) แต่ได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว”

            พระเยซูประกาศความจริงบอกว่า … “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” ทำไมพระองค์ต้องย้ำตรงนี้ “เราบอกความจริง” นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง … “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าถ้าใครฟังคำของเรา และวางใจผู้ทรงใช้เรามา ก็คือวางใจในพระเจ้า คนนั้น ก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย  แต่ได้ผ่านพ้นความตายสู่ชีวิตเรียบร้อยแล้ว  คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            คือใคร? คือผู้ที่วางใจในพระเจ้าพระบิดา  ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อช่วยเรา คนไหนวางใจในพระบิดา ก็จะวางใจในพระบุตรด้วย คนไหนวางใจในพระบุตร ก็เชื่อในพระบิดาด้วยเช่นเดียวกัน และคนที่วางใจในพระเจ้านั้น ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย  เพราะว่าได้ผ่านพ้นความตาย ไปสู่ชีวิตแล้ว หมายถึงว่าการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ได้ผ่านพ้นความตายไปแล้ว  ไม่ตายตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  อย่างที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์และวางใจในพระเจ้าแล้ว  เราได้รับความรอดแล้ว เราก็จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วก็หลับ แล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิต โดยร่างกายเปลี่ยนแปลงใหม่ รับร่างกายใหม่  เราไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เพราะเราไม่ต้องตายอีกแล้ว  เรามีชีวิตอยู่ตลอดไป เอเมน

            คือใครที่วางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืดและความตาย มาสู่อาณาจักรของความสว่าง และชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่ จนกระทั่งไปถึงนิรันดร์ หลังความตายเลย

            การได้รับการยกโทษบาป การได้รับอิสรภาพจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายนั้น ได้รับตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว คือความตาย หรือการถูกพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่เกิดนั้น ก็ถูกยกออกไป ตั้งแต่ตอนกำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักษากฎระเบียบของพระองค์ไว้อย่างเคร่งครัด แม้ลูกของพระองค์กระทำผิด  ก็ต้องรับผิดไปตามกฎหมาย และเป็นกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแก้ไขเลย  เพราะว่าผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น พูดคำไหน เป็นคำนั้น ไม่มีการเส้นสายทั้งสิ้น แม้ว่าจะรักดังแก้วตาดวงใจก็ตาม แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เป็นพ่อเรา และเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

            เพราะฉะนั้น พระองค์จำเป็นต้องรักษากฎเหล่านี้ไว้ แม้ว่าจะเป็นลูกของพระองค์ เป็นผู้กระทำ คือมนุษย์ก็ตาม อ่านดูใน 2 เปโตร 2:9  ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน …

        2 เปโตร 2:9 “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง จงมั่นใจเถิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรมให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ และพ้นจากการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้ายหลังความตาย (โดยผ่านทางการวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงประทานมาให้) และปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การถูกพิพากษาลงโทษให้ตาย (ทั้งร่างกายและวิญญาณ) ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้ จนถึงวันพิพากษาสำเร็จโทษครั้งสุดท้ายหลังความตายทางร่างกาย และให้วิญญาณตายนิรันดร์ด้วย”

            “บัดนี้ ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง” ก็หมายถึงว่าในข้อก่อนหน้านี้ ได้พูดถึงความยุติธรรมของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงดูแลกฎของพระองค์อย่างไร? ใครเชื่อฟังสิ่งที่พระองค์อธิบายให้ฟังและทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ไว้ พระองค์บอกว่าให้ทำอย่างนี้ๆ ถ้าทำตามก็จะได้รับความรอด  ถ้าไม่ทำตาม ก็ไม่ได้รับความรอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการมีเส้นมีสาย  รวมทั้งมนุษย์ด้วย

            ถ้าทั้งหมดเป็นจริงอย่างนี้ คือถ้าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมจริงๆ อย่างนี้  เราก็สามารถมั่นใจได้เลย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบวิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย ด้วยกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ ก็คือด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงส่งมาช่วย  และการเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สามของพระองค์

            นี่คือกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ แล้วพระองค์ทรงกระทำตามอย่างนี้แน่นอน  เรามั่นใจได้เลยว่ามันเป็นตามนี้ เพราะพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสามารถมาเปลี่ยนแปลงความจริงเหล่านี้ได้ พระองค์ทรงรู้วิธีช่วยคนชอบธรรม ให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตาย

            มนุษย์เกิดมา ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่งให้ตายอยู่ในวิญญาณ และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงวันกำหนดหลังความตายทางร่างกาย วิญญาณก็คงสภาพตาย แต่พระเจ้ารู้วิธีว่าจะทำอย่างไร? ถึงช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความตายและตายได้ ก็คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วย  เพื่อมนุษย์จะได้รอด ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ รอดจากความตายฝ่ายร่างกายและรอดจากความตายฝ่ายวิญญาณ เอเมน

            และข้อต่อมา สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ “และวิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ตาย” เห็นไหม?  ปล่อยคนอธรรม หมายถึงพระองค์ตั้งใจจะปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นหรือ? พระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดผู้หนึ่งพินาศ ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือยอห์น 3:16 ใช่ไหม? พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก มนุษย์ทั้งปวง ใครก็ตาม ผู้ใดก็ตามที่วางใจในพระบุตร ก็คือมนุษย์คนใด ที่วางใจในพระเยซู ที่พระบิดาทรงส่งมาช่วยนั้น ก็คือพระเจ้าทรงห่วงใยมนุษย์ทุกคนเลย แต่จำเป็นจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของกฎที่พระองค์ทรงวางไว้ คือประทานอภัยโทษให้ ประทานพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดให้  ประกาศให้ แต่มนุษย์จำเป็นต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยอมรับความช่วยเหลือนี้หรือไม่?

            ข้อความนี้จึงบอกว่าพระองค์ทรงรู้วิธีปล่อยคนอธรรมให้อยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษ จนถึงวันพิพากษาลงโทษสุดท้าย หลังความตาย ก็คือปฎิเสธความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ หลังความตาย ก็ไม่สามารถมีใครมาช่วยได้

            คนชอบธรรม ก็คือคนที่ยอมรับข่าวดี เป็นอิสระจากการพิพากษาลงโทษให้ตาย และการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายด้วย เป็นอิสระเดี๋ยวนี้เลยทันที ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ นี่คือคนชอบธรรม ก็คือผู้เชื่อในข่าวดีนั่นเอง

            และคนอธรรม ก็คือคนที่ปฏิเสธข่าวดี ยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษให้ตาย บนโลกใบนี้  และยังอยู่ในการพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้ายหลังความตายด้วย  ถูกพิพากษาเดี๋ยวนี้เลย และถูกพิพากษาหลังจากตายด้วย  เราจะเห็นได้เลยว่าจากถ้อยคำนี้ พระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย  พระองค์เป็นผู้วางแผนการ วิธีการต่างๆ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้รอด แล้วจากนั้น พระองค์ก็ไม่ทำอะไรเลย แค่เป็นผู้พิพากษา ดูแลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ คือส่งมาช่วยให้รอดแล้ว ทำตามกฎนี้ ได้รอดทุกคน  ถ้าไม่ทำ ไม่รอดนะ  ประกาศแล้วประกาศอีกมนุษย์มีหน้าที่ได้ยินได้ฟัง แล้วเคารพ ยำเกรงกฎเหล่านี้ มนุษย์จึงจำเป็นต้องรู้กฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ และเชื่อฟัง ยอมรับ เคารพ ยำเกรงกฎหมายทางโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งควรจะเคารพยำเกรง เชื่อฟังมากยิ่งกว่ากฎหมายทางโลกวัตถุด้วยซ้ำไป  ขนาดกฎหมายทางโลกวัตถุ คือกฎหมายการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังรู้เลย ระมัดระวัง กลัวกฎหมายเหล่านี้ เคารพยำเกรงกฎหมายเหล่านี้ แล้วกฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าวางไว้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าไร ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้เลย มันอยู่นิรันดร์ด้วย ทำไมเราจึงไม่เคารพ ยำเกรง

            เวลาพระคัมภีร์เขียนว่าจงเคารพ ยำเกรงพระเจ้าด้วยตัวสั่น มันแปลว่าอย่างนี้นะ มันไม่ได้แปลว่าเราไปยืนแล้วเรากลัว หมายถึงท่านขับรถเร็ว แล้วผมก็ไปบอกท่านบอกว่า …

            “ท่านควรจะเปลี่ยนแปลงนิสัยท่านใหม่ จงเคารพ ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง การฝ่าไฟแดงอะไรต่างๆ จนตัวสั่นเลยนะลูกเอ๋ย”

            คือให้เคารพ ยำเกรงต่อกฎหมายอย่างนี้เป็นต้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าคนชอบธรรม ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า คือผู้พิพากษา คือพระเจ้าที่ขวามือของพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่คริสตจักรขณะนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่บ้านขณะนี้ ท่านผู้เชื่อวางใจ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรมแล้ว คริสเตียนแล้ว ทางวิญญาณท่านนั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  นั่งถึงเมื่อไร? จนถึงหลังความตาย  เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมนี่แหละ  เพราะฉะนั้น หลังความตายเรายังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล และเป็นผู้พิพากษาหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน เห็นภาพแล้วนะ

            ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา เราผู้วางใจในพระเจ้าบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าผู้ชอบธรรม ที่เรียกว่าผู้เชื่อ คริสเตียนแล้วนั้น หลังความตายบนโลกใบนี้  ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้น เรายืนอยู่ที่ข้างๆ ผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าบัลลังก์รอรับการพิพากษาลงโทษ สำเร็จโทษ แต่เราอยู่ข้างๆ พระเยซู

            นึกถึงศาลในปัจจุบัน ศาลอยู่บนบัลลังก์ คนที่ได้รับโทษตัดสินอยู่ข้างหน้า เห็นภาพไหม? แต่เราผู้ที่เชื่อ เรายืนอยู่ข้างๆ พระเยซูข้างบนนี้ เห็นภาพชัดเจนขึ้น ข้างล่าง คือคนที่ไม่เชื่อ ถูกพิพากษา เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากความตาย  เพราะฉะนั้น การพิพากษาหลังความตาย จึงไม่ต้องกลัวเลย เพราะนี่คือถ้อยคำพระเจ้า ชัดเจนเลย บอกว่าตั้งแต่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนี้แล้ว  และบอกไว้ด้วยว่าหลังจากความตาย การพิพากษาครั้งสุดท้าย มันเป็นอย่างไร?  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวเลย

            พระเจ้าไม่ได้โกรธเคืองหรือเป็นศัตรูกับคนบาป คนอธรรมเลย ตรงกันข้าม พระองค์ทรงห่วง ทรงรักมนุษย์ทุกคนดั่งแก้วตาดวงใจ พระประสงค์ของพระองค์ คือต้องการให้ทุกคนได้รับความรอดเตือนแล้วเตือนอีก ประกาศข่าวดีแล้วประกาศข่าวดีอีก รอแล้วรอเล่า …

            “เมื่อไรหนอๆ เขาจะเชื่อสักที เมื่อไรหนอๆ เขาจะเปิดใจต้อนรับความจริงเหล่านี้สักที เขาจะได้กลับมาหาเราสักทีหนึ่ง” … นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า

            พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าบึงไฟนรก ที่เราแปลกันว่าที่อยู่ของวิญญาณที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ หลังความตาย บึงไฟนรก ไม่ใช่เป็นสถานที่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับซาตานและวิญญาณชั่วต่างหาก มนุษย์ผู้ใดที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ก็จะบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เป็นความรัก เป็นลูกที่เชื่อฟัง เหมือนพระคริสต์ทันทีทันใด ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และจะเป็นอย่างนี้ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย  พูดถึงใคร? พูดถึงฉัน เพราะฉันเชื่อแล้ว ฉันวางใจแล้ว ฉันเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นอย่างนี้ตั้งแต่บนโลกใบนี้แล้ว และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงนิรันดร์ 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกตรงนี้ไว้ …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์” เมื่อเราเปิดใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบพระเจ้า ก็เกิดขึ้นสมบูรณ์ในวิญญาณของเรา วิญญาณมีความคิดอยู่ในนั้นด้วย ความคิดและวิญญาณของเราก็สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ความคิดและวิญญาณในจิตใจของเรา เกิดความมั่นใจในวันพิพากษา

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจนี้เกิดขึ้นที่ไหน? ความมั่นใจนี้อยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังความตาย  ที่เรามีความมั่นใจในวันพิพากษาหลังความตาย  ก็เพราะว่าวิญญาณและใจใหม่ของเรา ที่ได้รับตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เหมือนพระเยซู ไม่มีไหวหวั่นอะไรเลย แล้วทำไมเราคิดกลัว นั่น ไม่ใช่ตัวเรา ก็คือมาจากภายนอก

            เพราะฉะนั้น เราจึงมีความหวัง ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในความชอบธรรมของเรา ที่เราได้พ้นจาการถูกพิพากษาลงโทษตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ จนถึงหลังความตาย เพราะความรอด ที่เราได้รับมาเรียบร้อยแล้วนั้น มีค่า หรือมีคุณภาพของความรอดที่เราได้รับมานั้น มีเท่าๆ กันกับพระเยซู เหมือนพระเยซูตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์  เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ

            คำว่า “ความชอบธรรม” หรือ “ผู้ชอบธรรม” คือการไม่มีใครมากล่าวหาเราได้แล้วว่าเราเป็นคนบาป คนชั่ว คนผิด คนเลว ไม่มีใครสามารถพูดได้เลย ไม่มีใครชี้เราได้เลย เพราะการชี้นิ้วกล่าวหาเรา ก็เท่ากับกำลังชี้นิ้วกล่าวหาพระเยซู เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซู ใครจะมาว่าหน้าของผม เขาก็ว่าทั้งตัวผมด้วยแหละ  เขาจะไม่บอกว่า …

            “เจ้าเป็นคนเลว เฉพาะใบหน้า  แต่ตัวโอเค”

            มีใครพูดอย่างนี้บ้าง? มีแต่บอกว่า … “แกมันเลว”

            เลว แปลว่าอะไร? ทั้งหมดทั้งตัวนั่นแหละ 1 ยอห์น 4:18 …

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด(ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

            เพราะว่าไม่มีความกลัวอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เพราะความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นตัวเราแท้ๆ ไม่มีความกลัวอยู่ในนั้นเลย แล้วมีอะไรอยู่ในนั้น ตรงกันข้าม มีพระเจ้า …

                        “พระเจ้าเป็นความรัก           พระเจ้าเป็นความรัก            พระเจ้าเป็นความรัก”

            เพราะฉะนั้น วิญญาณและจิตใจของเราที่เป็นเหมือนพระเยซู มันก็เลยเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นความรัก  จิตใจฉันก็เป็นความรัก ฉันเป็นความรัก ความรักในนั้น จึงไม่มีความกลัวอยู่เลย   เกิดขึ้นทันที หลังจากที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มันเป็นความรักออกมาเลย และความรักนั้น เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีกแล้ว  เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข  พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูนั่นเอง ใน 1 โครินธ์ 6:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาทูตสวรรค์? …”

            ไม่ใช่เรา ไม่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตายเท่านั้น แต่เรายืนอยู่ที่ข้างๆ พระเยซู ซึ่งเป็นผู้พิพากษา และพระเยซูนับเราว่าเป็นพวกเดียวกับพระองค์ พูดง่ายๆ พระองค์นับเราเป็นคณะผู้พิพากษา เข้าใจคำว่า “คณะ” ใช่ไหม? เราเป็นผู้พิพากษาร่วมกับพระองค์ในวันนั้น  ไม่ใช่เฉพาะว่าเราไม่ต้องเข้าสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายเท่านั้น  แต่เราจะเป็นผู้พิพากษาเขาเหล่านั้น  เขาเหล่านั้น ก็คือมารซาตานและใครก็ตามที่ตามกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าผู้ที่ไม่วางใจในพระเจ้าจะเป็นเช่นไร?

            เพราะฉะนั้น ถ้าเราซึ่งเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เรายังคงมีความคิด ความกังวล ความกลัวในเรื่องการถูกพิพากษา ลงโทษหลังความตายอยู่ มีใครคิดอย่างนี้อยู่ไหม? มี ยังมีคริสเตียนหลายคนยังคิดอย่างนั้นอยู่ ผมเองหลายปีก่อนโน้น ตอนเชื่อใหม่ๆ ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากพิจารณาตามถ้อยคำของพระเจ้าแล้ว ไม่มีเหตุผลเลย ถ้อยคำพระเจ้าพูดชัดเจน มากว่าเราไม่ต้องเข้าไปสู่การพิพากษาลงโทษ หลังความตายแล้ว ไม่มีแล้ว

            แต่ที่เป็นคริสเตียน แล้วยังกังวล กลัวการพิพากษาหลังความตายว่าตายไปแล้ว หรือว่าล่วงหลับไปแล้ว ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่ไหม? ยังต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังค์ของพระเจ้า พิพากษาว่าเป็นคริสเตียนอยู่ก็จริง  จะทำดีไหม? ถ้าทำดี ก็จะได้ไปอยู่คฤหาสน์ในสวรรค์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ นี่เป็นนักประกาศยอดเยี่ยม ทำดีมาก นี่อธิษฐานเยอะ  นี่เป็นนักถวายมาก  เพราะฉะนั้น ไปอยู่แมนชั่น ก็คือคฤหาสน์ อยู่ร่วมกับบิลลี่ แกรแฮม แต่คนนี้ไม่ค่อยประกาศ ไม่ค่อยอธิษฐานเลย เป็นแม่บ้านอยู่ เป็นชาวสวน ทำงาน ทำการทั้งวัน  ฉันคงแย่ ฉันขอแค่ไปสวรรค์ แล้วก็ขอนอนคอนโดเล็กๆ ก็พอแล้ว แค่อยู่ในสวรรค์ก็พอแล้ว มีคนคิดอย่างนี้จริงๆ นะ หรือท่านกำลังคิดอยู่ก็ตาม แต่ความจริง คือไม่มีการพิพากษาแล้ว ทุกคนได้รับเท่าๆ กัน ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว หลังความตายก็ได้รับเท่ากัน ไม่มีการมาพิพากษาอีกแล้ว จบแล้ว จากนี้ไป ก็มาพิพากษาคนนี้เชื่อแล้วก็จริง เป็นคริสเตียนแล้วก็จริง ทำดีเยอะไหม ตอนอยู่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์ ทำบาปไว้เยอะหรือเปล่า? ช่วยงานโบสถ์มากไหม? มาโบสถ์พอเพียงไหม? อธิษฐานพอเพียงไหม? กระทำดีหรือไม่ดี มามากขนาดไหน? ตัดสินกันได้รางวัลมาก ได้รางวัลน้อย คนนี้เอาไป 10 ไร่ในโลกสวรรค์ คนนี้เอาไปไร่เดียวพอ คนนี้เอาไปแค่ 2 วาพอ  ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้  แต่คนก็คิดไปได้เนอะ เพราะอย่างที่ผมบอกว่าโลกใบนี้มันยังคงอยู่ ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตาย ระบบของโลกนี้ยังอยู่

            เพราะฉะนั้น เมื่อตะกี้เราบอกว่าเมื่อเขาบังเกิดใหม่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณและใจใหม่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นความรักแล้ว หลุดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ หลังความตายแล้ว หลุดพ้นจากความกลัว ไม่มีความกลัวแล้ว แต่ทำไมเขายังกลัวอยู่ แล้วยังกังวลอยู่ ก็แสดงว่าความคิดและความกังวลนั้น มันไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเขา ก็คือไม่ได้มาจากในวิญญาณ ในใจของเขาที่เหมือนพระคริสต์อยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความมั่นใจในความรอดนิรันดร์

            ตามที่ตะกี้เราอ่านในหนังสือพระคัมภีร์ 1 ยอห์น 4:17-18 ถ้าเช่นนั้น ความคิดและความกังวลเหล่านี้ ของคริสเตียนเหล่านี้ มันมาจากไหน? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนยังรู้ว่ามาจากวิญญาณข้างใน ความคิดเขาคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่แล้ว เกิดใหม่แล้ว แล้วทำไมยังคิดอย่างนั้นอยู่

            คำตอบ ก็คือมันมาจากเนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำไปใช้ นำไปในทางเป็นศัตรูต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทั้งสิ้น ทั้งมวลเลย

            ทำไมผมใช้คำว่ามันมาจากเนื้อหนัง  เพราะผมต้องการเน้นให้ท่านเห็นชัดว่ามันไม่ใช่ตัวท่าน มันแสดงว่าอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในตัวท่าน มันไม่ใช่ตัวท่าน  แต่มันมีอิทธิพล อิทธิพลของเนื้อหนัง ระบบของโลก ที่เป็นศัตรูยังอยู่ และทำงานอยู่ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา บนโลกใบนี้  ต่อความคิดและร่างกายของเรา  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  โดยสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย เนื้อหนังเหล่านี้ กระทำงานผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรานั่นเอง มันส่งเข้ามา “มัน” คืออิทธิพลนี่แหละ

            โปรแกรมของความคิดเดิมๆ ของเรา  ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ก่อนที่จะเชื่อพระเยซู ก็ยังคงเหลืออยู่ในความคิด ในสมองของเรา สมอง ไม่ใช่วิญญาณ จิตใจนะ ในสมองของเรา  ซึ่งหากถูกกระตุ้นด้วยอิทธิพลของเนื้อหนังนี้  ก็อาจทำให้เกิดความกลัว ความกังวล เหมือนชีวิตเดิม ก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้าได้ ไม่ใช่กลัวเฉพาะการพิพากษาลงโทษอย่างเดียว  กลัวทั้งอย่างอื่นด้วย  ทั้งๆ ที่วิญญาณและจิตใจนั้น ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าตรงไหนรู้ไหม? แต่ความคิดและความกังวล และกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง หรือระบบของโลกนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริง ทางโลกฝ่ายวิญญาณได้  พูดง่ายๆ ความคิดกลัว ความคิดกังวลของเรา คิดไปเรื่อยเปื่อยต่างๆ ที่ไม่ตรงกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในทางโลกวิญญาณได้เลย  เพียงแต่ทำให้เกิดความทุกข์  ไม่มีสันติสุข ไม่ได้รับการพักผ่อน ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่าที่ควรเท่านั้นเอง

            พอจากไป เข้าสู่โลกวิญญาณ เข้าสวรรค์ปุ๊บ โอ้โห! รู้อย่างนี้ไม่กังวล ไม่ทุกข์ใจขนาดนั้นหรอก เป็นอย่างนี้เองหรือ? ไม่ต้องเข้าไปรับการพิพากษาลงโทษ โอ้! กลัวแทบตาย กลัวว่าจากโลกนี้ไป เจอหน้าพระเยซู อายพระเยซูมากเลย ทำอันนั้นผิด ทำอันนี้ผิดไป อายมากเลย แถมบางคนพูดอย่างนี้ ยิ่งน่ากลัวใหญ่เลย พอไปถึงหลังความตายปุ๊บ พอถึงตาพิพากษาคริสเตียน คริสเตียนออกมา นาย ก. ออกมาปุ๊บ พิพากษานาย ก. หน่อย เชื่อพระเจ้าแล้วทำอะไรบ้าง? อธิษฐานอย่างนั้นๆ นาย ก. อายมากเลย เพราะว่าเขาจะฉายหนังของนาย ก. ตอนที่เป็นมนุษย์ อยู่บนโลกนี้ ไปทำอะไรมาบ้างเยอะแยะไปหมด ผู้คนทั้งหลายในที่ประชุม ในห้องพิจารณาคดีได้เห็นหมด  อายเขาตายเลย  ไม่มี ไม่มีอย่างนั้นเลย มันหมดไปแล้ว  ใช่นั่นมันความคิดแบบโลก

            และความจริงที่สำคัญที่สุด ก็คือเรา ผู้เชื่อ หรือคริสเตียน เราไม่ได้เอาโปรแกรมความคิดสกปรก  บาป ต่อต้านพระเจ้า กิเลสตัณหา ความรู้สึกสงสัย ไม่เชื่อ ความวิตกกังวล ความกลัว ติดตามตัวเราไปด้วย ในวันที่เราเข้าสู่สวรรค์ เพราะมันอยู่ในร่างกายและความคิดในสมองของเรา ที่มันสูญสิ้น ที่มันทิ้งไปแล้ว  เราเข้าสวรรค์ด้วยวิญญาณ และใจใหม่เท่านั้น  แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ นี่คือความจริงที่เลิศประเสริฐศรีเลย  นี่คือถ้อยคำพระเจ้าอย่างชัดเจน  เราเข้าสู่สวรรค์ด้วยวิญญาณและจิตใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้น และได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนร่างกายพระเยซู เต็มไปด้วยพระสิริ สง่าราศีนิรันดร์ เอเมนไหม?

            นี่คือความหวังใจของเรา อย่างชัดเจน เพราะพระคริสต์ทรงอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราจึงไม่กลัวการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้าย หลังความตาย เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ ผู้เป็นศีรษะเรา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปนิรันดร์  แค่เพียงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตอนอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น  และเราก็ทำไปแล้ว  สำหรับคนที่ยังไม่ทำ  ทั้งหมดที่พูดมาวันนี้ ความจริงเหล่านั้น เป็นของท่านแล้ว  แค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน  มันก็เป็นของท่านจริงๆ  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            จะปฏิบัติต่อผู้อื่น ให้สมกับเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว … โดย …

                        1. ตาต่อตาฟันต่อฟัน

                                    หรือ …

                        2. ให้อภัย 70 × 7 ครั้ง

            มัทธิว 5:9 … “พระเยซูตรัสว่า … ความสุข (พระพรทางวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่สร้างสันติเพราะเขาจะได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า”

            ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณใหม่ที่เป็นความรัก ชนิดเดียวกับที่เป็นของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรงใส่เข้ามาในวิญญาณใหม่ของเรา

            ภายในเราก็จะเต็มล้นไปด้วยพระคุณความรัก  และสันติสุขในใจ

            แล้วจะดำเนินชีวิต ท่ามกลางความมืด และความเกลียดชังบนโลกนี้ ด้วยการเป็นคนที่สร้างความสงบ สันติ แม้จะถูกข่มเหงรังแก ถูกโกงเอาเปรียบละเมิดสิทธิ ก็อดทนนาน นิ่ง ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้มีด ไม่ใช้ความรุนแรง ความเกลียดชัง สนองตอบ

            แต่ฝึกฝนสำแดงความรักจากภายใน ไปที่ไหน อยู่ที่ไหนก็สร้างแต่ความสงบสุขเกิดขึ้น มีแต่สันติภาพเกิดขึ้น นี่คือลักษณะของคนที่บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1439

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ตุลาคม  2023

เรื่อง “อิสระจากความกลัวทั้งปวง (เพราะพระองค์ทรงอยู่)”

ตอน 1 “อิสระจากความกลัวตาย”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ในวันนี้ “อิสระจากความกลัวทั้งปวง” ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เรากลัวอะไรบ้าง?  กลัวเจ็บป่วย กลัวอดอยาก กลัวทุกข์ยากลำบาก กลัวตาย กลัวถูกพิพากษาหลังความตาย จะไปอยู่ไหนไม่รู้ กลัวอุบัติเหตุ กลัวความไม่แน่นอน คือความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้  เรากลัวไปหมดเลย เราจึงจะมาเรียนรู้จักจากถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูบอกว่าความจริง จะทำให้ท่านเป็นอิสระ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูอธิบายให้เราฟัง จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวทั้งหมดเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ มีสันติสุขและมีความหวัง อันมั่นคง แข็งแกร่ง สามารถเผชิญได้ทุกๆ สถานการณ์

            และหวังว่าความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจริงๆ ฉะนั้น ต้องตั้งใจฟังให้ดีๆ เริ่มวันนี้ตอนที่ 1 เลย “อิสระจากความกลัวตาย” ในที่นี้ พี่น้องที่อยู่ทางบ้านด้วย ถามจริงๆ เป็นคริสเตียนหรือยัง? เป็นแล้ว มีใครยังกลัวตายอยู่ไหม? ตอบในใจก็ได้ ตอบมีเสียงก็ได้ ลองคิดถึงตัวเราเองว่าเรากลัวตายไหม?  เราเป็นคริสเตียน  ถ้ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อเลย  อันนี้ไม่ต้องพูดถึง  เพราะพระคัมภีร์บอกความจริงว่าเพราะมนุษย์ทุกคนเกิดมา กลัวตาย เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของทุกคนอยู่แล้ว เพราะว่าตกอยู่ใต้ความบาปและคำสาปแช่งของความตายและความบาป ด้วยกันทุกคน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว  เกิดมา ก็ตกอยู่ใต้กฎของความบาปและคำสาปแช่งในวิญญาณ  เป็นบาปอยู่

            เพราะฉะนั้น มันจึงเกิดความกลัวอยู่ในใจลึกๆ  อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ กลัวตาย ส่วนจะแสดงออกเป็นการกลัวตายอย่างไรนั้น ก็แล้วแต่แต่ละคน แต่ละคนในใจลึกๆ กลัวตายทั้งสิ้น ซึ่งรวมทั้งผู้ที่เป็นคริสเตียนด้วยนะ ในลึกๆ มันยังคงค้างอยู่ คงเหลืออยู่ แต่เราอาจจะอย่างที่บอก เรามีความมั่นใจในความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า  เราไม่กลัวตาย  อันนั้นเป็นส่วนของความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า แต่ส่วนข้างในลึกๆ เรายังกลัวตายอยู่ เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความกลัวตาย  บนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม  ที่ทำให้กลัวตาย ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่ไปหาหมอ กินยาหรอก  อดทนเอา ตายก็ดี  ถ้าเราไม่กลัวตาย เราคงไม่พยายามที่จะหนี หรือหาอะไรปกปิด ร่างกายเราให้พ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง

            สิ่งเหล่านี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าลึกๆ เราก็ยังกลัวอยู่  แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเยซูบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระ

            ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงสอนเราในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ลทั้งสิ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเรารู้ความจริงเหล่านี้ เข้าไปลึกๆ อยู่ในสมองของเราแล้ว ความกลัวมันจะหายไปจากสมอง จากความคิดของเรา ความจริงเหล่านี้จะมาเป็นตัวลบ เอาความกลัวออกจากความคิดของเรา ถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ จะเป็นโล่ป้องกันความกลัวที่ส่งเข้ามาจากโลกนี้ ทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งความคิดเก่าๆ ของเราด้วย

            เพราะฉะนั้น ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ใส่เข้าไปในจิตใจของเรา  เข้าไปในสมอง ไปล้างของเก่า ล้างความกลัวออกไปจากสมองให้มันหมด มันอาจจะไม่หมดหรอก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้  เรายังได้รับอิทธิพลจากความบาปและความตาย  จากความกลัวบนโลกใบนี้อยู่ แต่อย่างน้อย มันน้อยลง  เท่าที่จะเป็นไปได้  เอเมนไหม? นี่คือความจริง

            ดังนั้น สามารถตอบเมื่อตะกี้นี้ได้ว่ายังกลัวไหม? ก็ต้องตอบไปตามธรรมชาติว่ามันก็ต้องกลัวแหละ  เพราะตามธรรมชาติอยู่บนโลกใบนี้ มันมีแต่ความกลัว ก็กลัวมาก กลัวน้อยเท่านั้นเอง

            ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูบอก  ที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวนี้ วันนี้จะยกมาแค่ไม่กี่ข้อความเท่านั้นเอง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดแล้ว จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวมากเลย ซึ่งมันมีถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้อีกเยอะแยะมากมาย ในหนังสือพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ได้พูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อจะเป็นอิสระจากความกลัว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และเป้าหมายของเราในการพุ่งตรงไปข้างหน้า ด้วยความเชื่อศรัทธา

            ความจริงอันดับแรกในถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ที่พระเยซูประกาศความจริงในโลกวิญญาณนี้ให้กับพวกเราได้รู้ ฟังดูแล้วจะรู้สึกเลยว่ามันเกิดความฮึกเหิม เกิดความมั่นใจ  ที่เราเรียกกันว่าความเชื่อ  เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของเราแล้ว  แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอกลับมาใคร่ครวญ ไต่ตรองถึงถ้อยคำความจริงเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ในเช้าวันนี้ จะทำให้เรารู้สึกเพิ่มพูนความมั่นใจ ความหวังใจอย่างชัดเจนขึ้นในชีวิตของเรา  ทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย อย่างน้อยก็ได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            เริ่มต้นที่ยอห์น 11:25-26 พระเยซูคริสต์ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้พูดความจริงตรงนี้อย่างชัดเจน บอกว่าเราจะบอกความจริงให้กับท่าน นี่คือความจริง …

        ยอห์น 11:25-26 “25 พระเยซูตรัสว่า “เรา คือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย และให้ชีวิตแก่เขา  ผู้ที่เชื่อในเรา จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาตายไป 26 และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา จะไม่ตายเลย  เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            มนุษย์เราเกิดมา ก็รู้ๆ กันอยู่ เราเกิดมา เผชิญกับความแก่ เจ็บ และตาย หนีไม่พ้น ทุกคน แล้วจู่ๆ พระเยซูมาประกาศความจริงในโลกวิญญาณว่าเราคือผู้ทำให้คนเป็นขึ้นจากตาย  และให้ชีวิตกับเขา ก็คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และก็เป็นขึ้นมาใหม่  โดยพระเยซูคริสต์บอก

            “ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่ แม้เขาตายไปแล้ว” พูดง่ายๆ ว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จะมีชีวิตอยู่ แม้ว่าสิ้นลมไป ตายของเราในที่นี้ ก็คือหมดลมหายใจ มนุษย์กลัวตาย ก็เพราะว่ากลัวหมดลมหายใจ แต่พระเยซูบอกหมดลมหายใจ แต่ไม่ตาย  เกิดอะไรขึ้น

            “และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่ และเชื่อในเรา” ก็คือขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  มีชีวิตอยู่ใช่ไหม? เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะไม่ตายเลย  ก็หมายถึงเขาจะแค่หมดลมหายใจ และเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปอยู่อีกลักษณะหนึ่ง  ก็คือยังมีชีวิตอยู่ ด้วยร่างกายใหม่  พระองค์ถามมนุษย์ทุกคนว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?”

            ตอบสิครับ ผมก็จะถามตามที่พระเยซูถามว่า “ท่านเชื่อตามที่พระเยซูบอกความจริงตรงนี้หรือไม่ว่าถ้าวางใจในพระองค์ ท่านเกิด แก่ เจ็บ และไม่ตาย”

            “อ้าว! แล้วสิ้นลมล่ะ”

            เดี๋ยวฟังต่อไปว่าไม่ตาย แล้วเกิดอะไรขึ้น  ยังมีชีวิตอยู่ต่อ แค่นี้ก็ตกใจแล้วนะ นี่คือคำพูดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงประกาศอย่างชัดเจนว่าพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์  ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว ถ้าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ ถ้อยคำของพระองค์พูดเหล่านี้ ไม่มีสาระ มันเป็นการโกหก น่าเกลียดที่สุดเลย เกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย มันไม่ควรเชื่อเลย แต่ 2,000 ปี พิสูจน์มาเห็นชัดเจนว่ามีผู้เชื่อในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่พูดไว้ตรงนี้มากขึ้นและมากขึ้น และมากขึ้นทุกวันๆ เอเมน

            ก็แสดงว่ามันต้องมีมูลเหตุแน่นอน  ที่คำเหล่านี้เป็นจริง ถ้าไม่จริง มันคงไม่เป็นเยอะขนาดนี้หรอก มนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ เป็นหลายๆ ล้านคนเหล่านี้ ใน 2,000 ปีนี้ มาเชื่อเรื่องโง่ๆ อย่างนี้หรือ? มาเชื่อเรื่องหลอกลวงแบบนี้หรือ? เป็นไปได้ไหม? พอคิดอย่างนี้แล้ว พอเราเป็น คริสเตียนที่เชื่อและวางใจในพระเยซูแล้ว เราสามารถตอบตรงนี้เลยว่า …

            “เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

            “เอเมน เชื่อครับ”

            ความคิด กลัวตายของเรามันจะลดลงทันทีเลย มันจะมั่นใจขึ้นทันทีเลย ที่พูดมาทั้งหมด ใช่หมดเลย ลืมคิดไป เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 20 ปี เชื่อพระเจ้ามาตั้ง 10 ปี เชื่อพระเจ้ามา 1 ปี เชื่อพระเจ้ามา 4-5 วัน ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปว่าเราไม่ควรกลัวเลย ใช่ไหม?

            มาข้อต่อไป 1 เธสะโลนิกา 4:13-14 พูดถึงเกี่ยวกับคนที่หมดลมหายใจไปว่าคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว เมื่อเกิด แก่ เจ็บ แล้วไม่ตาย แต่หมดลมหายใจไป เป็นอย่างไร? เขาเรียกกันว่าอะไร? แล้วเราควรจะมีท่าทีอย่างไร?  สำหรับลักษณะอาการอย่างนั้น ที่เขาสิ้นลมไป …

        1 เธสะโลนิกา 4:13-14 “13 แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่าน ไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14 เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว เช่นเดียวกัน บรรดาคนที่ล่วงหลับไปในพระเยซู (ก่อนหน้า) นั้น พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้น (ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเยซู) มากับพระองค์ (ในวันพิพากษาโลก) ด้วย”

            “แต่พี่น้องทั้งหลาย” ก็คือบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย หรือในกลุ่มของคริสเตียน  เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเรียกกันว่าเป็นพี่น้องกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่ในครอบครัวในพระเยซูคริสต์ “ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่ทราบถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไป” สังเกตเห็นไหมครับ? พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ล่วงหลับ” แทนคำว่า “ตาย” เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ล่วงหลับ เพราะฉะนั้น เป้าหมายของเรา  มองไปที่อนาคตของเรา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็คือเกิด แก่หรือยังตอนนี้ แก่อยู่ เจ็บมากเจ็บน้อย ก็เจ็บอยู่ เจ็บหนีไม่พ้น แต่เราพ้นความตายแล้ว เพราะเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเกิด แก่ เจ็บ แล้วเราก็หลับไป  เพราะสำหรับผู้เชื่อ คือเป็นคริสเตียนแล้ว จะไม่มีการใช้คำว่า “ตาย” อีกแล้ว นี่คือความจริง  เพราะความตาย คือโทษของความบาป เมื่อเรารอดจากโทษของความบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เราก็ไม่ต้องตาย ชัดเจนเลย

            คำว่า “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็แปลว่าอยากให้ท่านทราบนั่นเอง  เป็นสำนวนที่เน้นว่านี่คือความจริงที่อยากให้ท่านรู้ “ไม่อยากให้ท่านไม่ทราบ” ก็คืออยากมากเลย ให้ท่านทราบความจริงนี้ เรื่องเกี่ยวกับความจริงในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับความตาย มันคืออะไร? เราจะเรียนรู้ต่อไป อยากให้ทราบถึงความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ว่าคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว คือคนที่มนุษย์บนโลกใบนี้บอกว่าสิ้นลมแล้ว ตายแล้ว เขาได้ไปอยู่ในอ้อมกอดของพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่หลับไป วิญญาณออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่เลย  ไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านทราบสิ่งเหล่านี้  เพื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า พี่น้องที่เป็นคริสเตียนเอง เราก็จะหลับไปอย่างนี้เช่นเดียวกัน

            นั่นเกิดขึ้นกับเขา ไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจหรอก เพราะว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้เหมือนกัน  คือไม่ได้ตาย สิ้นลม หลับไปเท่านั้นเองแล้วเข้าไปอยู่ในสวรรค์ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้รับความจริงอย่างนี้แล้ว  รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะได้ไม่ต้องกลัวความตาย คือเป็นอิสระจากความกลัวตาย เพราะนี่คือความจริง  เมื่อเป็นอิสระจากคาวมกลัวตายแล้ว ท่านก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินเหตุ สำหรับคนที่เรารัก จากไปก่อน สิ้นลมไปก่อน  ล่วงหลับไปก่อน  เราก็จะไม่โศกเศร้าจนเกินกว่าเหตุ เหมือนกับคนอื่นๆ บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้จักเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ เขากลัวกัน เขาโศกเศร้าเสียใจ  ไม่เจอกันอีกแล้ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น  แต่เราจะไม่โศกเศร้าอย่างนั้น  เพราะเรามีความหวังที่ชัดเจน ในความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แต่เขาไม่มีความหวังแบบนี้ เหมือนเรา เพราะเขายังไม่ได้เชื่อในความจริง ในคำพูดของพระเยซูคริสต์

            และถ้าเราได้มีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์กลับมา สมมติว่าพรุ่งนี้ เรายังหายใจอยู่ ยังไม่สิ้นลม พระเยซูคริสต์กลับมาพิพากษาโลก คนเหล่านั้น ที่จากไปก่อนแล้ว  ล่วงหลับไปก่อนแล้ว  ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว จะกลับมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  กลับมาพิพากษาโลกพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

            เห็นภาพอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าโอ้โห! ไม่มีความตาย สำหรับผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเลย ไม่มีเลย ไม่มีการตายอีกแล้ว มีแต่การเปลี่ยนแปลงมิติ เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงร่างกาย

            ข่าวดีในเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเราได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราเริ่มต้นเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณของเรา  เรียกว่าได้รับบัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเยซู เข้าไปเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของพระเยซู เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของคนนั้น  ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเขา ชีวิตของฉันได้ถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ ติดอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ฟังถ้อยคำพระเจ้า ไม่ว่าอยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่นี่ก็ตาม ชีวิตของท่าน คือวิญญาณของท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์และท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเจ้า พระบิดา  และพระเจ้าพระบิดา ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้มาเป็นพี่เลี้ยงของท่าน อยู่กับท่านตลอด 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่ท่านนั่งอยู่นั้น ในวิญญาณของท่านมีตรีเอกานุภาพ  คือพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ ปกคลุมอยู่ในตัวของท่านตลอดเวลา จะตายได้อย่างไร? ท่านไปไหนมาไหน ก็มี 4 บุคคลไปกับท่านตลอด  ก็คือพระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในชีวิตของท่าน

            สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราถูกซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ รอวันออกจากที่ซ่อน วันไหนที่ออกจากที่ซ่อน  วันที่ท่านล่วงหลับนั่นแหละ  พอล่วงหลับปุ๊บ ท่านออกจากที่ซ่อนทันทีเลย ท่านจะปรากฏโฉม เต็มด้วยสิริ สง่าราศี  งดงามเหมือนพระเยซูคริสต์เลย รอวันนั้น วันที่ภาษาของมนุษย์บนโลกใบนี้ ต้องการให้เรากลัว ก็คือวันที่ตาย แต่ของเราไม่ใช่  เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว วันนั้น คือวันที่เราล่วงหลับ  หมดลมหายใจ  เราจะปรากฏตัวของเรา ตัวตนแท้จริงของเรา ด้วยการสวมร่างกายใหม่  ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู

            ข่าวดีในเรื่องพระเยซู คือพระเยซูหัวหน้ามนุษย์พันธุ์ใหม่ พันธุ์ที่ไม่มีตาย  พันธุ์ที่ไม่มีบาป ไม่มีคำสาปแช่ง พันธุ์ที่ชนะความตายแล้ว มนุษย์ที่อยู่เดิมนั้น  ก่อนพระเยซูและหลังพระเยซู ถ้าไม่ได้เชื่อพระเยซู เขายังเป็นมนุษย์พันธุ์เดิมอยู่ คือพันธุ์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย  ถ้าใครย้ายตัวเองมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาก็เกิด แก่ เจ็บ และไม่ต้องตาย  แต่ได้บังเกิดใหม่  เป็นไปตามที่ตะกี้นี้ ผมอธิบายให้ฟัง

            ข่าวดี คือพระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พระเยซูเป็นพระบุตร เป็นบุตรของมนุษย์ เป็นมนุษย์แท้ๆ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะมาเกิดเป็นมนุษย์ เข้าส่วนร่วมในร่างกายแบบเราอย่างนี้ เหมือนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย  เพราะฉะนั้น  พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งในนามของมนุษย์ ก็หมายถึงพระเยซูทรงกระทำอะไร ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของมนุษย์ด้วยทั้งสิ้น นี่คือข่าวดีของพระเยซู เพราะฉะนั้น พระเยซูได้รับอะไร ที่เป็นสิ่งดีๆ ที่เป็นพร มวลมนุษย์ก็จะได้รับไปด้วย  พระเยซูเป็นอะไร มนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน  เพราะพระองค์ทรงเป็นตัวแทน  พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย มวลมนุษย์ก็มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ เหนือความตาย เราก็เป็นผู้มีชัยชนะเหนือความตายด้วย ถ้าเราเชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า  และเป็นตัวแทนของฉัน พระองค์ได้อะไร ฉันก็ได้ด้วย พระองค์ทรงทำอะไร เราก็ทำสิ่งนั้น พระองค์ทรงกระทำแทนเรา 1 โครินธ์ 15:54-57 ยิ่งอ่านตรงนี้ ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย อ่านแล้วยิ่งชนะแบบหลุดลอยไปสู่อิสรภาพ …

        1 โครินธ์ 15:54-57 “54 เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้น   สวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ ก็จะเป็นจริง คือ “ความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป“  55 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ ชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กไนของเจ้า” 56 เหล็กในของความตาย คือบาป และอานุภาพของบาป คือบทบัญญัติ 57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์ประทานชัยชนะแก่เรา โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”

            “เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย” เสื่อมสลาย คือหมดไป สูญสิ้นไป เมื่อที่เสื่อมสลายนั้น หมายถึงเมื่อร่างกายของเรา ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และที่สุดก็เอาไปเผาไฟ หรือเอาไปฝัง และในที่สุด ก็กลายเป็นปุ๋ย กลายเป็นดินไป  หรือจะเอาไปทำอะไรก็ตาม ที่มันสูญสิ้นไป ร่างกายที่ท่านอยู่อาศัยตอนนี้ ร่างกายที่ท่านมองเห็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม ในวันหนึ่ง มันจะสูญสิ้นไป

            นี่คือความจริงที่มองเห็นอยู่ และมนุษย์ก็รู้อยู่ แต่ในโลกวิญญาณ ก็มีความจริงอีกอันหนึ่งเหมือนกัน ที่บอกถึงความจริงที่เป็นอยู่ ที่มนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มนุษย์จึงไม่เชื่อ โลกจึงไม่เชื่อ โลกจึงพยายามที่จะผลักดันเราไปเชื่อในสิ่งที่ต้องจับต้องได้ ถ้าจับต้องมองเห็นไม่ได้ อย่าเชื่อนะ นี่คือข้อมูลจากโลกนี้ แต่ข้อมูลจากพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์บอกว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน ที่จับต้องมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้นั้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง เอเมน

            เมื่อที่เสื่อมสลายได้นั้น ก็คือร่างกายที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็คือร่างกายที่ต้องตายนั้น มันสูญสิ้นไปก็ตาม แต่มันไม่สูญสิ้น เพราะว่าเมื่อมาเชื่อในพระเยซูแล้ว อย่างที่ตะกี้นี้บอก พอหมดลมหายใจทันทีปุ๊บ สวมที่ไม่เสื่อมสลาย ก็มีร่างกายใหม่ที่เป็นอมตะ ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์สวมเข้ามาทันที  เมื่อล่วงหลับ เมื่อลมหายใจออกจากร่างปุ๊บ สวมทันที สวมร่างกายที่เป็นอมตะ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี

            และในนี้อธิบายว่า … “และที่ตายได้นั้น สวมที่ไม่มีวันตาย” เห็นหรือยัง? ร่างกายที่ตายได้ สวมร่างกายใหม่ ที่ไม่มีวันตายอีกต่อไป  ไม่มีวันสิ้นลมอีกต่อไป ไม่มีวันสูญสิ้นอีกต่อไป

            “คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง” เป็นจริงตามถ้อยคำบันทึกไว้ โดยพระเจ้านั่นเอง คือความตายก็พ่ายแพ้ ถูกกลืนหายไป  เห็นไหม? ไม่เห็นมีความตายเลย ความตายอยู่ไหน?  เกิด แก่ เจ็บ แล้วเปลี่ยนร่าง พระเยซูมาทำให้มนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่เชื่อในพระองค์นั้น แทนที่จะเกิด แก่ เจ็บ แล้วตาย  กลายเป็นเกิด แก่ เจ็บ และก็เปลี่ยนร่าง เพราะฉะนั้น ก็คือความตายก็พ่ายแพ้  ถูกกลืนหายไป

            ข้อ 55 ดีมากเลย ขอบคุณพระเจ้า จำง่ายเลย 1 โครินธ์ 15:55 มี 5 กี่ตัว? 555 ห้าสามตัว ห้า สามตัวเขาเรียกว่า 555 ข้อ 55 เลยบอกว่า “555 ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า ความตายเอ๋ย ไหนล่ะ เหล็กในของเจ้า 555” ลองหัวเราะสิ

            เวลาที่เราเกิดความคิดกลัวตายขึ้นมา ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร? กลัวขึ้นมาแล้วแต่ ให้สมองเราคิด 1 โครินธ์ 15:55 ความตายเอ๋ย เจ้าพ่ายแพ้ไปแล้ว เหล็กในเจ้าอยู่ที่ไหน ก็คือฤทธิ์อำนาจ ที่ทำให้เราต้องกลัวเหล็กในของความตาย คือความบาป  เหล็กใน คือ Power คือฤทธิ์เดช คืออำนาจ อำนาจความตาย คือความบาป และอนุภาพของความบาป คือบทบัญญัติ

            ความบาป เกิดมาจากการกระทำผิดบาป ตามบทบัญญัติ  ตามกฎศีลธรรม  แต่เราได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากความบาปและการผิดศีลธรรมเหล่านี้แล้ว โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากความบาปนี้ เราจึงพ้นจากความบาปและอำนาจของความตาย  จึงไม่มีอำนาจอยู่เหนือเราอีกต่อไป เราจึงได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ข้อ 57 “แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงประทานชัยชนะแก่เรา” ชัยชนะเหนือความตาย  โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา เราจึงไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไปแล้ว เอเมน

            “โดยพระเยซูคริสต์ ฉันไม่กลัวตายอีกแล้ว” เอเมน

            จากการที่พระเยซูคริสต์เอาชนะความบาปและความตาย  และได้ทำลายล้างอำนาจ หรือเหล็กในของความบาปและความตาย ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตกเป็นทาสแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง จนหมดสิ้น  พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป และที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปเหล่านี้ ผลก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะด้วย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเพื่อเราทั้งหลาย พระองค์ทรงทำลายอำนาจของความบาป มีชัยชนะ เราจึงมีชัยชนะด้วย

            พระเยซูคริสต์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิต เอาชนะความบาปและความตาย  โดยพระองค์ได้ทรงเสียสละ ยอมเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ แบกรับเอาความบาป เอาคำสาปแช่ง ความทุกข์ทรมานไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขน และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แต่พวกเราบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ได้รับชัยชนะนี้มาด้วย  โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  พระคัมภีร์จึงเรียกพระเยซูว่าเป็นผู้พิชิตความตาย เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราได้มาฟรีๆ แค่เปิดใจรับสิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ฮีบรู 2:14-15 …

        ฮีบรู 2:14-15 “14 ในเมื่อบุตรทั้งหลายมีเลือดและเนื้อ พระองค์จึงทรงร่วมในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร 15 และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชั่วชีวิตตกเป็นทาส  เนื่องจากกลัวความตาย”

            “เพื่อว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ จะได้ทรงทำลายผู้กุมอำนาจแห่งความตาย คือมาร” เห็นไหมครับ? อำนาจของความตาย คือมาร ถูกทำลาย ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  และปลดปล่อยบรรดาผู้ซึ่งตลอดชีวิตตกเป็นทาส เนื่องจากกลัวความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดมาปุ๊บ ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือเกิดมา ก็ต้องอยู่ในกฎของโลกใบนี้ กฎแห่งกรรมบนโลกใบนี้ ก็คือเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่ และเจ็บ และตาย สูญสิ้นไป จึงตกเป็นทาส เนื่องจากความกลัวตาย  แต่พระเยซูคริสต์มาช่วยเราให้พ้นจากอำนาจนี้แล้ว  เป็นอิสระจากความกลัวตาย ความจริงตรงนี้ จะทำให้เราเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะมันเป็นเรื่องจริงๆ  ที่เกิดขึ้นจริงๆ อย่าให้โลกนี้ ระบบของโลกนี้ ซึ่งมารใช้หลอกลวงมนุษย์ มาหลอกเราอีกต่อไป ให้เรากลัวตาย  เพราะเราไม่ได้เป็นทาสของความตายอีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้เป็นของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว  เราเป็นอิสระจากโลกนี้แล้ว เราจึงเป็นอิสระจากความกลัวตาย  เพราะเราไม่ต้องตายแล้ว เอเมน

            เราผู้เชื่อหรือคริสเตียนทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เลยทันที เรียบร้อยแล้ว  จบแล้ว ที่วิญญาณของเรา คือที่วิญญาณและจิตใจของเรา ที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าวิญญาณและจิตใจภายในของเรา  ได้เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรม  ได้บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เหมือนเลย เพียงแค่รอเราเปลี่ยนแปลงร่างกายที่ต้องสูญสิ้นไป หมดลมไปในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นร่างกายภายนอกที่เรามองเห็น เรียกว่าเสื้อเก่าก็ได้ เสื้อก็ได้ รอวันที่จะเปลี่ยนเสื้อใหม่ เสื้อนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ ตัวเราคือตัวเรา เสื้อคือเสื้อ วิญญาณของเรา และจิตใจของเรา คือตัวเราจริงๆ แท้ๆ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นชีวิตนิรันดร์  ได้บังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม สวมร่างกายเดิมนี้ ซึ่งร่างกายจะมีวันหนึ่งข้างหน้า จะล่วงหลับ และสูญสิ้นไป เราจะได้รับร่างกายใหม่เข้ามาแทนที่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ความตาย หรือที่เรียกกันว่าหลับ หรือที่เรียกกันว่าสูญสิ้น เมื่อถึงวันนั้น ที่โลกนี้เรียกว่าความตาย การเกิด แก่ เจ็บ ตายของคริสเตียนนั้น  ความตายจึงเป็นเพียงแค่ประตูสุดท้ายแห่งชัยชนะของเราบนโลกใบนี้  คือเป็นแค่ประตูแห่งการเปลี่ยนมิติ เข้าสู่โลกฝ่ายวิญญาณ อย่างเต็ม สมบูรณ์แบบของเรา ก็คือวิญญาณและใจ ที่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนนี้ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือได้สวมร่างกายที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ครบหมดเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ครบหมด เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ทันที เต็มด้วยสง่าราศีทั้งวิญญาณ และจิตใจที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยพระสิริ  เต็มไปด้วยความบรรเจิด เหมือนพระเยซูคริสต์ครบหมดเลย  และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ตาฝ่ายวิญญาณ เราก็จะมีความสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกสวรรค์ได้  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าได้ เห็นผู้คนที่อยู่ในสวรรค์ก่อนหน้าเรา หน้าต่อหน้าได้ และที่สำคัญที่สุด เห็นตัวตนแท้จริงของเราหน้าต่อหน้าได้ เหมือนเห็นในกระจก

            ทุกวันนี้ เราอยู่บนโลกใบนี้ เราอยู่ในวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซู จิตใจข้างในเรา เป็นเหมือนพระเยซู สะอาดบริสุทธิ์  แต่เรามองในกระจกในปัจจุบัน ท่านเห็นใครในกระจกเมื่อเช้านี้? ท่านเห็นวิญญาณของท่านไหม? ไม่เห็น  เห็นใจของท่านที่เหมือนพระเยซูไหม?  ไม่เห็น เห็นอะไร? เห็นร่างกายที่เป็นตัวเดิมของท่าน ที่แก่ลงไปทุกวัน เจ็บลงไปทุกวัน และกำลังไปสู่ความสูญสิ้น  ถูกไหม? เห็นตัวจริงๆ ของท่าน  ก็คือเห็นตามโลกใบนี้  เพราะตาท่านมีความสามารถแค่นั้น  แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเข้าไปอยู่ในสวรรค์ ได้รับร่างกายใหม่แล้ว  ท่านจะเห็นตัวท่านเอง ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเยซู ท่านจะเห็นชัดเจนเลยว่าตัวท่านเองเป็นอย่างนั้นแหละ เอเมน 2 ทิโมธี 1:9-10 …

        2 ทิโมธี 1:9-10 “9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆ ของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา 10 แต่บัดนี้ ทรงให้ประจักษ์แจ้ง โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงนำชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐ”

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว พระเยซูพาเปาโลไปทัวร์สวรรค์ ให้เห็นในสวรรค์ว่าเป็นอย่างไร?  แล้วก็ให้กลับมาบนโลกใบนี้  ประกาศข่าวดีให้กับชาวต่างชาติ พาไปสวรรค์ เพราะภาระของอาจารย์เปาโล มันหนักมาก พระเยซูจะใช้ให้เป็นอัครทูต ให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ คนแรก บุกเบิกให้กับชนชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว เรียกว่าทั่วโลกก็ได้ ไปใหญ่เลย แล้วต้องถูกข่มเหงรังแก ทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แสนสาหัส ต้องใช้ความเชื่อเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความจริงในโลกวิญญาณว่าในสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร? มากๆ เลยทีเดียว  ถูกไหม? ผมคิดเอาเองนะ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ  ไม่อย่างนั้นจะทนไม่ได้กับการทุกข์ทรมาน ที่คนต่อต้านข่าวประเสริฐ ตามล่า ข่มเหงอาจารย์เปาโลอย่างทารุณ

            เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว ใช้คำว่า “การสูญสิ้น” หรือ “การหลับไป” การเปลี่ยนร่างใหม่ เข้าสู่ร่างกายสวรรค์นั้น เป็นเหมือนกับการพักผ่อน อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาล คือก่อนจะเปลี่ยนร่าง ทำงานมาตลอด เพราะต้องทนทุกข์อยู่ในร่างกายเดิม ซึ่งมันมีแต่ความทุกข์บนโลกใบนี้  เกิด แก่ เจ็บ เห็นๆ อันนี้มันหนีไม่พ้น นี่อาจารย์เปาโลคิดอย่างนั้น แต่เราเอง เราก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นแหละ มันไม่มีความสุขแท้จริงบนโลกใบนี้หรอก  เพราะทุกคนหนีไม่พ้นการเกิด แล้วแก่  หรือใครแก่เฉยๆ สบายจังเลย แก่ สิ่งที่ตามความแก่มา ก็คือความเสื่อมโทรมของร่างกาย ซึ่งมัน คือความทุกข์ คือความเจ็บปวด คือความเจ็บป่วยนั่นเอง จะเจ็บป่วยมากหรือน้อย มันก็คือเจ็บป่วย มันคือความทุกข์ ความลำบาก

            นี่คือภาระ ความกลัวอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันคือภาระ มันคือเหนื่อย เพราะฉะนั้น การหมดลมหายใจ  การสิ้นลม การเปลี่ยนร่างเข้าสู่สวรรค์นั้น อาจารย์เปาโลจึงใช้คำว่าเราได้ไปพักผ่อน ได้พักผ่อนอยู่ในสวรรค์นิรันดร์เห็นไหม? ไม่ใช่ไปพักผ่อนในสวรรค์แค่ชั่วคราว เดี๋ยวกลับมาทำใหม่ ไม่มี เกษียณแล้วเกษียณเลย เกษียณจากโลกใบนี้ไปแล้ว ไม่เอาแล้ว

            เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนร่าง ช่วงเวลาแห่งการล่วงหลับ สิ้นสุด หรือภาษาของโลกใบนี้ คือช่วงเวลาแห่งการตาย จากร่างกายนี้ มันคือความสุข ความชื่นชมยินดีสุดๆ ไม่ใช่ความกลัวเลย แม้แต่น้อย แต่มีแต่ความยินดีมากๆ ต่างหาก

            อาจารย์เปาโลผู้เคยไปสวรรค์มาแล้ว อย่างที่บอกใช้คำว่า “ออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้” ร่างกายอันต่ำต้อยนี้ หมายถึงอะไร? ไม่ได้หมายถึงเกียรติ สง่าราศี แต่หมายถึงร่างกายอันอ่อนแอนี้ กระแทกทีหนึ่ง ก็เจ็บแล้ว เขาพูดมา ก็เศร้าใจแล้ว  เจอเรื่องร้ายๆ ก็เสียใจ ซึมเศร้า เจอเรื่องวุ่นวาย ก็เครียด กระเพาะอาหารก็ไม่ย่อย เจอโรคภัยไข้เจ็บ ก็ป่วยแล้ว เจอไวรัสนิดหนึ่ง ก็เป็นโควิดแทบตายแล้ว หรือเป็นโรคเยอะแยะไปหมด จากโรคนี้ก็ไปโรคนั้น จากโรคนั้นก็ไปโรคนี้ จากเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น มีแต่ปัญหาทั้งหมดเลยบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าออกจากร่างกายอันต่ำต้อยนี้ ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สมบูรณ์ด้วยสิริ เกียรติ และสง่าราศี ที่เป็นเหมือนพระองค์ ดีกว่าอยู่บนโลกที่ร่างกายอ่อนแอเป็นเรือนดินนี้ หมายถึงในที่สุด มันต้องกลับมาสู่ดิน ค่อยๆ หง่อมไปเรื่อยๆ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่ามันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่เรารอคอยอยู่ ก็คือวันที่เราจะจากโลกนี้ไป แล้วไปสู่การพักผ่อนนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์ สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ กับการอยู่บนโลกใบนี้ อีกไม่นาน แล้วต้องทนทุกข์ทรมาน  แต่อาจารย์เปาโลก็บอกว่าแล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า อยู่ที่แผนการของพระเจ้า แล้วแต่พระองค์ พระองค์จะให้อยู่บนโลกใบนี้ ทนทุกข์ทรมานต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์ในการประกาศข่าวดี ตามแผนการของพระองค์ ก็แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าให้ตัดสินใจนะ  สำหรับข้าพเจ้า อันนี้เปาโลบอกนะ ไปดีกว่าอยู่

            2 ทิโมธี 1:9-10 บอกว่าผู้ทรงช่วยเราให้รอด  และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำของเรา แต่เพราะพระประสงค์ และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา คือพระเจ้าเตรียมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือสวรรคสถานที่เราจะอยู่อาศัย หลังจากสิ้นลมแล้ว  เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า  ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกใบนี้อีก  พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น  พูดง่ายๆ ว่าแผนการของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขกับพระองค์ในสวรรค์นิรันดร์ อยู่แบบพักผ่อนนิรันดร์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์ผู้ช่วยให้รอดของเรา  ผู้ได้ทรงทำลายความตาย และทรงดำรงชีวิตกับความเป็นอมตะ มาสู่ความสว่าง โดยทางข่าวประเสริฐมาให้กับเรา พระเยซูคริสต์ผู้ทรงทำลายความตาย ไม่มีตายอีกต่อไปแล้ว

            ผมว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ แค่นี้น่าจะเพียงพอ สำหรับการที่จะทำให้เรา เป็นอิสระจากความกลัวตาย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นแสงสว่าง ที่เข้ามาในโลกนี้ คือมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย  อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด  ไม่มีใครหนีพ้นเลยสักคนหนึ่ง นี่คือความจริง ในโลกวัตถุ บนโลกนี้  แต่ข่าวดี คือพระเยซูชนะความตายเหล่านี้แล้ว ชนะกฎของความบาปและความตายแล้ว  และชัยชนะเหนือความตายนี้ เป็นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน  เพียงแค่มนุษย์คนนั้น ตัดสินใจ วางใจรับสิทธิของท่าน ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยการวางใจและเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  และวางใจในพระเยซูที่ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เรียบร้อยแล้ว  โดยความเชื่อในการกระทำงานของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ  และผลเกิดขึ้นในเรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มาแล้ว 2,000 ปี นี่คือข่าวดี และอยู่ที่ท่านตัดสินใจ ด้วยตัวท่านเองแล้ว พระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสว่า … “ไฉน ท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อน

ที่​อยู่​ในตาของท่านเอง”

            มัทธิว 5:7 … “พระเยซูประกาศว่า … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่เมตตากรุณา เพราะเขาจะได้รับความเมตตากรุณาตอบแทน”

            คนที่มีพื้นฐานท่าทีในจิตใจที่มีเมตตาเห็นอกเห็นใจมนุษย์ ที่เป็นคนบาปด้วยกัน

            เพราะรู้ว่าต่างคนต่างก็เกิดมาเป็นคนบาปที่อ่อนแอ ป่วยทางวิญญาณเหมือนกัน ไม่ยกตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมมากกว่า เพราะถือรักษากฎบัญญัติ ศีลธรรมทำดีได้มากกว่า

            จึงไม่ชี้นิ้ว เหยียดหยาม แบ่งชั้นวรรณะว่าคนอื่นที่ทำผิดว่าเป็นคนบาปชั่ว เพราะยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาปชั่วเหมือนๆ กัน

            ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะต่างก็อยู่ในต้นไม้เลว ต้นตระกูลบาป คืออาดัมบรรพบุรุษเดียวกัน

            คนที่มีท่าทีในใจแบบนี้ มีโอกาสมากกว่าที่จะได้เข้าสวรรค์ เมื่อสวรรค์มาตั้งอยู่ หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม

            พระเยซูชี้ให้เห็นในมัทธิว 7:1-5 ว่า … “1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ 2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น 3 เหตุ​ไฉนท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน แต่​ไม่​ยอมพิจารณา ไม้ทั้งท่อนที่​อยู่​ในตาของท่านเอง  4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่​พี่​น้องของท่านว่า ‘​ให้​เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่​ดู​เถิด ไม้​ทั้งท่อนก็​อยู่​ในตาของท่านเอง  5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้​ถนัด  จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1438

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ตุลาคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 31

โดย  วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็มาคุยเรื่องของพระเจ้าต่อ คราวที่แล้วเราอยู่ที่เอเฟซัส บทที่ 5 เราเรียนไป 2 ข้อ วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 5:3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ในหนังสือเอเฟซัส 5:1-2 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:1 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก”

            จากการที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้า  เพราะเราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพระเจ้าได้เตรียมพวกเราทุกๆ คน สำหรับความรอดเหล่านี้ เมื่อเราได้รับพระคุณจากพระเจ้า ให้มาเป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วนั้น ก็ให้เราเลียนแบบพ่อของเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึง

            เลียนแบบพ่อของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม  ให้เราเลียนแบบพระองค์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่ แล้ววิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้า พระบิดาเลย ก็คือพระเจ้าทำให้เราดีงาม ทำให้เราบริสุทธิ์  ทำให้เราสะอาด ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้นให้เราทำชีวิตของเราให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว  แค่นี้เอง  แต่แค่นี้เอง มันยากมากเลยนะ ยากมากสำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้เสริมกำลังเรา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ประกอบกิจอยู่ภายในเรา และให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  แปลว่าทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย คือมันไม่ใช่ความสามารถของเรา  หรือไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เป็นผู้ทำให้เราสามารถมีกำลัง ที่จะทำตาม น้ำพระทัยของพระเจ้าได้

            อันหนึ่งที่มันเกิดขึ้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง ก็คือวิญญาณเราเชื่อฟังพระเจ้าเลย แม้ว่าพฤติกรรมของเรา การประพฤติของเราบนโลกใบนี้ อาจจะบางครั้ง ไม่เชื่อฟังก็ได้  ไม่เกี่ยวกัน  เกิดมาเป็นคน เวลาออกไปไหน เขาก็ใช้ 2 ขาเดิน แต่บางครั้ง มีคนที่ชอบทำอะไรผิดปกติ จากการเป็นคน เดินออกไปข้างนอก ไม่ใช้ขาเดิน  ก็ใช้มือไต่ไป  หรือไม่อย่างนั้น ก็ใช้หัวเข่าคลานออกไป  ซึ่งมันผิดจากการที่เราเป็นคน  ใช่ไหม? เวลาเราคลาน  มันคือเด็ก  ตอนที่เขายังไม่ได้ฝึกฝน ที่จะตั้งไข่ ไม่ได้ฝึกฝนที่จะเดิน เขาก็ใช้คลานเอา มันเป็นธรรมชาติ แต่พอเด็กโตขึ้น เขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเดิน แต่บางครั้งเด็ก ก็นึกสนุก เรามีหลาน มีเหลน  เราเห็น เด็กๆ  บางทีเขานึกสนุก เขาเดินได้แล้ว เขาวิ่งได้แล้ว อารมณ์บางวัน เขาก็อยากจะคลานเล่นเฉยๆ แต่เขาคงไม่ได้คลานตลอดเวลา คือคลานเล่นสนุก พอแล้ว เขาก็ลุกมาเดิน นี่คือธรรมชาติ

            ดังนั้น ธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ก็คือเป็นธรรมชาติเดียวกันกับพระเจ้า  เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด  เป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม แล้วเป็นผู้ที่เชื่อฟังด้วย เกิดมาเป็น ไม่ใช่อาการที่แสดงออกถึงการเชื่อฟัง แต่มันเกิดมาเป็นเลย เป็นผู้ที่เชื่อฟัง

            ฉะนั้น พอเรามีธรรมชาติใหม่ตรงนี้แล้ว  พระเจ้าก็บอกเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้บอกเรา ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางอัครทูตทั้งหลาย ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ที่จะมาบอกเราว่าต่อแต่นี้ไป เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราควรจะทำอย่างไร? อันนี้ ใช้คำว่า “ควร” ไม่ใช่คำว่า “ต้อง” เมื่อมีคำว่าต้องเมื่อไร? คือบังคับ ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำ พระเจ้าจะตัดออกจากกองมรดก ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่มีตรงนี้นะ ต่อให้เราจะดื้อไม่ทำ พระเจ้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่ถูกตัดจากกองมรดกแน่นอน เพียงแต่ว่าพระเจ้าก็เสียใจ

            ในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งบอกว่า … “อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย”

            พระเจ้าเสียใจได้อย่างไร? เสียใจ เพราะว่าเราดื้อ แต่ว่าไม่ได้เสียใจ เพราะว่า …

            “ไม่น่าเลือกมาเป็นลูกเลย  ไม่เกี่ยวกันนะ พระเจ้าเลือกเรามาเป็นลูกแล้ว พระเจ้ารักเรามาก แต่เสียใจ เพราะไม่อยากให้เจ็บตัว ถ้าเราดื้อ เราก็จะเจ็บตัว หว่านอะไร เก็บเกี่ยวสิ่งนั้นบนโลกใบนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ส่วนในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็ตั้งกฎไว้เหมือนกัน ก็คือใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นถูกสร้างใหม่ เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย จะไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเรากับพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้น ไม่มีการลงโทษแน่นอน พระเจ้ามองเรา คือเป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูเลย พระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย  พระเยซูทำอะไร? เราทำด้วย  พระเยซูได้อะไร? เราได้ด้วย อันนี้คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนนี้ให้เราทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า เพราะพระเจ้าได้แยกเรา เป็นเครื่องบูชาที่สะอาด บริสุทธิ์ เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูแยกเราแล้ว ถวายเราให้เป็นกลิ่นหอมของพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ข้อ 3 …

            เอเฟซัส 5:3 “แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ   และความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสม สำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            แปลว่าถ้าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว  มีชีวิตใหม่แล้ว แล้วเราก็นั่งจับกลุ่มกัน คุยเรื่องพวกนี้ ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผิดศีลธรรมทางเพศ แล้วก็สนุกกับมัน ซึ่งพระเจ้าบอกว่าอันนี้มันไม่เหมาะสม สำหรับเรา เหมือนเราได้เสื้อใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แล้ว เป็นความดีงาม ความชอบธรรมทั้งหลาย แต่วันนี้ เราไม่อยากใส่เสื้อใหม่ เราก็ไปหยิบเสื้อเก่าที่ฟิตๆ วันนี้อยากสวย จะใส่กางเกงให้ฟิตเลย  แล้วก็หายใจไม่ออก พอตอนเที่ยง เราจะไปทานข้าว หายใจไม่ได้ หายใจเข้าไปมันปริ อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันไม่เหมาะสม มันไม่สวย ไม่งาม

            หรือบางคนจะใส่รองเท้าส้นสูง  สูงสัก 8 นิ้ว  คือสวยไง ใส่แล้วทำให้เราตัวระหงเชียว  ดูสูงไง แต่มันเจ็บ  คือมันไม่เหมาะกับเรา  ทำให้ขาหรือกล้ามเนื้อของเราต้องทำงานหนัก  ต้องแบกงานหนัก เอ็นขึ้นเลย แล้วพอยกสูงๆ มาก เอาแค่เรามาโบสถ์ 2 ชั่วโมง สวย 2 ชั่วโมง กลับไปเราไปนวดทั้งวัน ก็ไม่หายปวด  เพราะมันปวดมาก  ฉะนั้น มันเป็นความสวยงามที่เราคิดว่ามันพอดี  แต่พระเจ้าบอกไม่เหมาะกับเรา ใส่รองเท้าธรรมดานั่นแหละ ส้นแบนๆ  มันเหมาะกับเราแล้ว เราเดินสบาย  แล้วเราก็ไม่เจ็บ ไม่ถูกกัดด้วย อะไรอย่างนี้

            นี่คือลักษณะที่อาจารย์เปาโลกำลังบอกให้เห็นว่าถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่เหมาะสมหรอกกับสิ่งเหล่านี้ ที่พูดมาทั้งหมด ก็คือไปทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา  ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ต่อไปข้อที่ 4 …

        เอเฟซัส 5:4 “ทั้งอย่าพูดหยาบโลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า”

            นี่เป็นข้อแนะนำ อาจารย์เปาโลบอกอย่าไปทำอย่างนี้เลย มาขอบคุณพระเจ้าดีกว่า  เพราะว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำอย่างนี้ดีกว่า ให้มาสวมเสื้อใหม่ดีกว่า ให้มันเหมาะสม ดูแล้วมันสง่างาม ออกไป ทุกคนเห็น ทุกคนก็เอเมนเลย ใช่ๆ มันเป็นอย่างนั้น อะไรแบบนี้ ในข้อที่ 5 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:5 “ท่านแน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า”

            ในข้อที่ 5 นี้ไม่เกี่ยวกับเราเลย ไม่ได้เป็นผู้เชื่อ อาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบให้เห็น  เราจะสังเกตคำว่า “คน” คนที่ไม่บริสุทธิ์  แต่ตอนนี้เราเป็นผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว  เราไม่ได้เป็นคนโลภแล้ว  พระเจ้าเปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น คนที่เป็นแบบนี้ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เมื่อคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า  ก็คือเขายังไม่ได้กลับใจใหม่  เขายังไม่ได้บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขายังไม่ได้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ แปลว่าอยู่ข้างนอกใช่ไหม? เขายังไม่ได้เข้าวังเลย แต่พวกเราอยู่ในวังแล้ว

            พี่น้องเชื่อไหมในถ้อยคำของพระเจ้า  ในโลกวิญญาณ  พวกเราทุกคนตอนนี้  เราอยู่ในวังแล้ว วังที่พระเจ้าสร้างไว้ให้กับเรา อย่างสวยงาม คือสวรรคสถาน เราได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พระบิดา ในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว อย่างที่บอก เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย  พระเยซูอยู่ในสวรรค์ เราก็อยู่ด้วยในโลกวิญญาณ ในขณะที่ร่างกายเรายังนั่งอยู่ตรงนี้  ในโบสถ์โฮลี่ส์ ที่เดินทางมา ก็ยาก  แต่ขอบคุณพระเจ้า พี่น้องก็ตั้งอกตั้งใจ มานมัสการพระเจ้า  พระพรเป็นของท่าน

            ตรงนี้ มันคือโลกวัตถุ แต่ ณ โลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  และอาจารย์เปาโลกำลังแยกแยะให้ผู้เชื่อในเอเฟซัสได้รับรู้ความจริงว่าถ้าคนที่เป็นแบบนี้ เขาไม่มีส่วนเลย ในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเขายังไม่กลับใจใหม่ พระเจ้าจะช่วยเขา ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร?  เพราะเขาจำเป็นต้องตัดสินใจเองว่าเขาอยากจะให้พระเจ้าช่วยเขา  เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา  เขาอยากจะย้ายวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเขา อยู่ในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขายอมให้พระเยซู พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฆ่าวิญญาณเก่าให้ตายไปพร้อมกับพระเยซู เพื่อเขาจะได้บังเกิดใหม่ ในข้อที่ 6 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:6 “อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจาไร้สาระ   เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้น  พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

            พอบอกว่า “ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง” ไม่ใช่เราแน่นอน แล้วเราอาจจะสงสัย ไม่ใช่เราได้อย่างไร? บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งข้างในวิญญาณเรารู้เลย พระเจ้าบอกว่าให้ทำแบบนี้ แต่วันนี้ไม่เอา ไม่อยากทำ ขี้เกียจ อะไรอย่างนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเลยนะ ไม่เกี่ยวกับการที่เราเป็นคนเชื่อฟัง  เป็นผู้เชื่อฟังเรียบร้อยไปแล้ว แต่เกี่ยวกับ ณ เวลานั้น  เราไม่ยอมทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นเอง  ก็คือไม่ยอมทำตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น วันนี้เราอยากจะฉีกกฎออกไป ขอดื้อกับพระเจ้านิดหนึ่ง ก็แล้วกัน อะไรประมาณนั้น  แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับวิญญาณของเรา เราดื้อกับพระเจ้า อันดับแรก ก็คือพระเจ้าก็เสียใจ  พอเราดื้อปุ๊บ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของความดื้อของเรา แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลพูดถึงคนที่ไม่เชื่อฟัง ก็คือเหมือนเดิม คนที่ยังไม่เป็นลูกพระเจ้า คนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  พอคนที่ยังไม่บังเกิดใหม่  เขาก็จะมีพฤติกรรมแบบนั้น  แล้วที่บอกว่า …

            “แล้วพระพิโรธของพระเจ้า จึงมาถึงบรรดาผู้เหล่านี้”

            คือมันอัตโนมัติ  ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะโกรธเขาเป็นฟืน เป็นไฟ จะฆ่าให้ตาย ไม่ใช่ เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาดัมเอวาว่า …

            “ผลไม้ทั้งหมด ในสวนนี้เจ้ากินได้ ยกเว้นต้นนี้อย่ากินนะ”

            แล้วพระเจ้าบอกเหตุผลด้วย ไม่ใช่แค่บอก “อย่าไปกิน” แล้วก็จบ บางครั้ง พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ หรือเป็นพ่อแม่ เราชอบบอก “ห้าม” แล้วเราไม่บอกเหตุผลลูกว่าห้ามเพราะอะไร? ห้ามทำไม? มันมีผลอะไร?  ลูกก็เลยไม่ยอมเชื่อไง

            “อ้าว! ห้ามเฉยๆ ฉันก็อยากลอง”

            พูดถึงอยากลอง ก็มีเรื่องเล่า เล่ามาหลายรอบแล้ว  มีผู้ชายคนหนึ่ง  เขาทำงานหนัก เป็นคนรับจ้าง ในบ้านของเศรษฐี คือต้องทำงานสารพัดอย่าง ในบ้านนี้  แล้วเขาก็ทำไปบ่นไป  เพราะมันเหนื่อยไง บ่นถึงใคร? บ่นถึงอาดัม …

            “อาดัมเอ๋ย ทำไมถึงทำอย่างนี้  ไม่น่าจะไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เห็นไหม ทำให้ผลตกมาถึงฉัน ตอนนี้ฉันต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย”

            พระเจ้าบอกต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย อยู่ดีๆ ไม่ชอบ เขาก็บ่นๆ อยู่นั่นแหละ จนเจ้านายได้ยิน เจ้านายเลยบอก …

            “บ่นทำไม ถ้าเป็นเธอ เธอก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ” คือเป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็น  ก็ต้องแพ้การทดลองอยู่ดี  เขาก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ …

            “ไม่มีทางหรอกเจ้านาย ถ้าเป็นผมนะ ผมรับรอง ไม่ตกเข้าไปในการทดลองแน่นอน พระเจ้าสั่งอย่างไร? ผมจะทำอย่างนั้นเลย”

            เจ้านายเลยบอก “โอเค เดี๋ยวลองดู”

            มีวันหนึ่ง เจ้านายจะออกไปข้างนอก ก็บอก สมมติชื่อเอ  …

            “นายเอๆ ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอไปทำความสะอาดในบ้าน แล้วบนโต๊ะ ฉันมีฝาครอบของไว้ เธออย่าไปเปิดนะ ห้ามเปิดเด็ดขาดเลย เธอเช็ดไปเลยข้างๆ อย่าไปยุ่งกับตรงนี้”

            เขาก็ … “ครับๆ ไม่เปิดครับ”

            แล้วก็เข้าไปทำงาน มองไปมองมา เหมือนกับยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ถ้าเจ้านายไม่ห้าม เขาคงเช็คเสร็จก็ออกไปข้างนอกแล้ว  บังเอิญมาบอกว่าอันนี้อย่าเปิดนะ  เขาก็เช็ดไปเช็ดมา มอง มันน่าเปิดมาก อยากรู้ว่าเจ้านายซ่อนอะไรไว้ในนั้น ทำไมต้องห้ามเราไม่ให้เปิด จนที่สุด ทนไม่ไหว  ก็เลยไปเปิดฝาออกมา ปรากฏว่าเปิดฝาออกมาปุ๊บ มันไม่มีอะไร คือเจ้านายครอบของว่างเปล่าไว้  แต่ไม่รู้ว่าข้างในนั้น เจ้านายเขาใส่กลิ่นหอมของน้ำหอมเอาไว้  พอเปิดออกมาปุ๊บ กลิ่นมันโชยทั่วห้องเลย แต่เขาไม่รู้นะ  เขาก็รีบปิด ออกไปข้างนอก ทำเนียนเลย  ไม่ได้ทำผิดอะไร พอเจ้านายกลับมา เดินเข้าห้องรู้เลย พี่น้องนึกภาพออกไหม? เวลาเราอยู่ข้างในกับกลิ่นที่ปกติ เราจะไม่ได้รู้สึกว่ามันมีกลิ่น  แต่ถ้าเราเดินออกไปข้างนอก แล้วเดินเข้ามาอีกที กลิ่นมันแรงมากเลย เจ้านายเขาก็รู้ไง เดินเข้ามา กลิ่นน้ำหอมฟุ้งทั่วทั้งห้อง ก็เลยเรียกนายเอมา …

            “เธอขัดคำสั่งฉันแล้วใช่ไหม? ฉันบอกว่าอย่าไปเปิดฝาไง เธอเปิดทำไม?”

            เขาก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยนะ … “ไม่ได้เปิด เจ้านาย ไม่ได้เปิดเลย ทำตามคำสั่งเลย”

            เจ้านายบอก … “ไม่ได้เปิดได้อย่างไร? กลิ่นน้ำหอมมันฟุ้งไปหมดทั้งห้อง”

            แล้วเจ้านายก็เลยสอนเขา … “เราอย่าไปบ่นว่าคนอื่นเลย ถ้าวันนั้น เธอเป็นอาดัม แล้วก็ยินอยู่ตรงจุดนั้น เธอก็เหมือนกันแหละ เธอก็อยากรู้อยากเห็น  พระเจ้าบอกว่า “อย่า” เธอก็อยากลองสักนิด เผื่อฉันจะได้มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า มารมันหลอกไง”

            “มีสติปัญญาเหมือนพระเจ้า เผื่อฉันจะรู้ดีรู้ชั่ว ฉันจะได้ทำดี เพื่อทำให้พระเจ้ามีความสุข”

            แต่พระเจ้าบอกว่า “เธออยู่อย่างนี้ ฉันมีความสุขอยู่แล้ว เพราะฉันสร้างเธอมาดีหมดเลย” แค่นั้นเอง

            ฉะนั้น เราจะเห็นภาพที่พระเจ้าให้เราเห็น  ก็คือพระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อให้เขามีความสุข  แล้วให้มนุษย์เสวยสุข  มาจนถึงปัจจุบัน ที่พวกเราได้เชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าได้นำเอา สิ่งที่เริ่มต้นจากที่พระเจ้าสร้างอาดัมในสวนเอเดนกลับคืนมาใหม่ แล้วสร้างได้ดีกว่าเดิมด้วย พระเจ้าบอกว่าพวกเราทุกคนสะอาด หมดจด ดีพร้อม ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มมากกว่านี้แล้ว …

            “พวกเจ้าเป็นสุดที่รักของเรา พวกเจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเรา  พวกเจ้าดีพร้อมทุกอย่างเหมือนเรา บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด  เป็นลูกของเรา เป็นทายาทของเรา ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราทำให้กับเจ้าหมด เรียบร้อยแล้ว”

            วันไหน? … “วันที่เจ้าเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            บอกพระเจ้าว่า … “ลูกอยากติดตามพระองค์ ลูกเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้”

            ขอพระเจ้า พระเจ้าก็เข้ามาเลย พอเราขอ พระเจ้าเป็นพระเจ้าสุภาพใช่ไหม?  ไม่ขอ พระเจ้าไม่ล่วงล้ำ ถ้ายังไม่ยอม พระเจ้าก็ยืนมองคนนั้นตาปริบๆ …

            “ฉันทำให้เธอแล้ว เมื่อไรเธอจะยอมสักที”

            เหมือนในพระคัมภีร์บอก เราเคาะอยู่ที่ประตูใจ เคาะๆ เคาะทุกวัน เคาะจนคนนั้นได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้าทุกวี่ทุกวัน จนวันหนึ่ง เขาเปิดใจ ยอมให้พระเจ้าเข้ามาในใจของเขา นั่นแหละ คือวันที่พวกเราทุกคนอธิษฐาน บอกพระเจ้าว่า …

            “พระเจ้า ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของลูก ลูกอยากมีพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก”

            นั่นแหละ วันนั้นมันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน  ไม่ว่าคนนั้นจะเปิดใจ 30 ปีแล้ว 40 ปีแล้ว 60 ปีแล้ว หรือเพิ่งเปิดใจ  ก็เป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลย พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น

            ในโลกวิญญาณ เรามีสถานะเท่ากัน เราเป็นพี่น้องกัน  แล้วเราก็เป็นพี่น้องร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย พระเยซูคริสต์เป็นพี่ชายใหญ่ของเรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ที่ได้บังเกิดใหม่ คนแรก เป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย  เป็นพันธุ์ใหม่เลย และพวกเราก็เป็นน้องๆ ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่เหมือนกัน  เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป  ไม่มีความสกปรก ในวิญญาณของเราเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราก็จะไม่ถูกหลอก หลายครั้งเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หลายครั้งเราเผลอ วันนี้อยากสวย  จะใส่ส้นสูง 6 นิ้ว ก็ใส่ไปเถอะ เจ็บขาเท่านั้นเอง ก็ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ ไม่มีทาง เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงความจริง ให้ชาวเอเฟซัสได้รับรู้ว่าถ้าคนอย่างนี้ คนที่ไม่เชื่อฟัง พระพิโรธก็ไปถึงเขา ถึงเขาตรงที่ว่าเขาไม่รอดไง  เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  ถ้าเขาไม่ยอมเชื่อฟังกลับใจใหม่ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม  ที่เดิมตรงที่เดินทางไปสู่ความตาย ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย  อย่างพวกเราทุกวันนี้ วิญญาณเรารอดแล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว แต่ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  ก็ยังต้องเดินทางไปสู่ความตายอยู่ เห็นไหม? เราแก่ขึ้นไหม?  ไม่ใช่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่แก่เลย มาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ผมเราไม่หงอก  นี่ผมหงอกแล้ว  มันไม่ใช่  ก็ยังดำเนินไปตามปกติของโลกนี้อยู่ อายุมากขึ้น ตีนกาขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะ ทำไป เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เอาธรรมชาติที่พระเจ้าให้กับเรา พระเจ้าบอกสวยที่สุดแล้ว สุดยอดที่สุดแล้ว อะไรประมาณนั้น

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ฉะนั้น พอเรารู้ความจริง  เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่เป็นไร วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว ร่างกายนี้ บางทีก็เจ็บบ้าง ป่วยบ้าง  เป็นโน่นบ้าง เป็นนี่บ้าง  ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอบคุณพระเจ้า

            เราเห็นภาพหนึ่งที่พระเจ้าเมตตาเรามาก เมื่อพระเจ้าเรียกเราให้ทำอะไร?  พระเจ้าจะประทานกำลัง บางทีอยู่ข้างล่าง ใจเต้นตุ๊บตั๊บๆ พอขึ้นมาบนธรรมาสปุ๊บ  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  แล้วคนที่พูด จริงๆ ไม่ใช่เราหรอก พระวิญญาณให้พูด แล้วถ้อยคำของพระเจ้า คือฤทธิ์เดชจริงๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช เมื่อเรารู้ความจริงของข่าวประเสริฐ จะทำให้เราเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง เราต้องรับรู้ความจริงว่าตอนนี้ เราเป็นอย่างไร? ตอนนี้ เราสะอาดบริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้น เราจะเอาข้อที่ 6 มาเป็นของเรา  ก็คือเราเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมใช่ไหม?  แต่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงวิญญาณ ตัวตนแท้ๆ ของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เขามีธรรมชาติที่เป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ อันนี้ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราจริงไหม?  ในข้อที่ 7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 5:7 “ฉะนั้น อย่าเป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย”

            เมื่อก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็สวนเสเฮฮา เสวนากัน แต่พอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจารย์เปาโลก็แนะนำว่าอย่าไปผสมโรงกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์บอกเราว่าอะไร คือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  อะไรคือทำตามพระวิญญาณ อะไรคือทำตามเนื้อหนัง

            พี่น้องจำในหนังสือกาลาเทียได้ใช่ไหม? กาลาเทีย 5:16-21 เป็นการงานของเนื้อหนังทั้งหมด  ที่อาจารย์เปาโลเขียนออกมาให้เราเห็นชัดๆ ส่วนกาลาเทีย 5:22-25 เป็นการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือผลของพระวิญญาณ

            การงานของเนื้อหนัง กาลาเทีย 5:16-21 …

        กาลาเทีย 5:16-21 “16 ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป 17 เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ 18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ 19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ ความไม่บริสุทธิ์ และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่เป็นคนเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            การงานของพระวิญญาณ กาลาเทีย 5:22-25 …

        กาลาเทีย 5:22-25 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยนและการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาปไว้ที่กางเขนแล้ว 25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด”

            ผลของพระวิญญาณเหล่านี้ คือผลที่มันอยู่ในเราผู้เชื่อ เรียบร้อยไปแล้ว มันมีอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เทียบได้ ถ้าเรากำลังทำอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมาเป็น เหมือนในกาลาเทีย 5:16-21 แปลว่าตอนนี้เราหลุดขอบแล้ว เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง ที่เราเป็นอยู่ เรากำลังถูกหลอกให้ดำเนินชีวิตตามโลกนี้ไป  เราก็ถอยกลับไง ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่รู้ว่าไม่ใช่ ก็ถอยสิ  ไม่ใช่ ไม่เอา พอไม่ใช่ไม่เอาปุ๊บ โลกนี้ทำอะไรเราไม่ได้ บังคับเราก็ไม่ได้ด้วย แม้แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้อยู่ในเรา ก็ไม่บังคับเรา คือพระองค์ให้อิสระเรา ที่จะเลือก  แต่เราแยกให้เห็นชัดๆ เลยว่าตอนนี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ลักษณะใหม่ของเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าวันไหนเราโผล่หลุดจากลักษณะใหม่ตรงนี้ อันนี้แปลว่าไม่ใช่ พอไม่ใช่ปุ๊บ ทำไง? ก็ไม่เห็นต้องทำไง ก็ไม่เอา ฉันไม่เอาด้วย ฉันก็ถอยออกมา แค่นั้นเองง่ายๆ เอเฟซัส 5:8 …

        เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”

            ชัดเลย เมื่อก่อนเป็นความมืด อยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม อยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ ชาวเอเฟซัสและพวกเราทุกคน ที่นั่งอยู่ที่นี่ และที่ฟังอยู่ที่บ้าน เราเป็นลูกของความสว่างแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ดำเนินชีวิตให้เป็นเหมือนลูกของความสว่าง ก็แค่นั้น  แค่ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราทำงานเต็มที่ เรายอมนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทำเต็มที่ จดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ที่ที่พระคริสต์สถิตอยู่ ก็คือในลักษณะว่าเราเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ พอความคิดเราเก็บสะสม สิ่งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรามากเท่าไร? ความคิดนี้จะสั่งร่างกายของเราให้ทำสิ่งนั้นออกไป คือมันต้องเริ่มต้นจากความคิด  แต่ถ้าสมมติว่าความคิดของเรา ไปจดจ่อกับโลกใบนี้ เอาขยะอะไรไม่รู้เข้ามาสุมอยู่ที่ศีรษะเรา สุมเยอะๆ ในสมองเรา มีแต่สิ่งที่มันไม่ได้เป็นของพระเจ้า แต่เป็นของโลก สมองของเราก็จะสั่งให้ร่างกายเราทำตามออกไปเหมือนกัน

            เหมือนโลกนี้เขาบอกว่าอะไร? …

            “แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้เหยียบขาเราเจ็บ เราต้องไปเหยียบกลับสัก 10 ครั้ง ให้เจ็บยิ่งกว่า”

            นี่คือโลกนี้  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าอย่างไร? …

            “อภัยให้เขาเถอะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจ แล้วถ้าเขาขอโทษแล้ว  เราก็อภัยให้เขาเถอะ  ก็คือความรัก มันจะเกิด”

            แต่ถ้าในโลกนี้ มันก็จะสวนมาในความคิดของเราเหมือนกัน  … “ไม่ได้อภัยให้ได้อย่างไร? มันเจ็บนะ เขาขอโทษคำเดียว ฉันยังไม่หายเจ็บเลย มันต้องจัดการอะไรสักอย่าง ให้เขาเจ็บเท่าเรา ไม่อย่างนั้นก็เจ็บมากว่าเรา”

            นี่คือโลกนี้ เราแยกแยะออก เราอยู่ตรงกลาง ซึ่งพระเจ้าจะให้เราเป็นคนตัดสินใจ  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่วิญญาณข้างในเรา เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว เป็นวิญญาณแห่งความรัก มันง่ายขึ้นกว่าเดิม พี่น้องสังเกตตัวเองไหม? ง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม? เมื่อก่อนไม่ได้นะ เรื่องนี้มันต้องตายไปข้างหนึ่ง  แต่ปัจจุบัน เอาน่าๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วเราไม่ได้แกล้งทำด้วย มันออกมาเอง  มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราเห็นแล้วทึ่งๆ ทำได้อย่างไร?  แต่ทำไปแล้วไง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นี่คือผลของพระวิญญาณที่มันจะออกมา ชัดเจนมาก ข้อที่ 9 …

        เอเฟซัส 5:9 “(เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)”

            เห็นไหม ผลของความสว่าง ก็คือความดีทั้งปวง ความชอบธรมทั้งมวล และความจริงทั้งสิ้น  ความจริงตรงนี้ คือความจริง ในข่าวดีของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าตอนนี้ เราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น เวลาราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าออกไปข้างนอก เราต้องทำอย่างไร? ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย ใส่ชุดให้ดูดี ใส่ชุดแบบชุดความดีงาม ออกไปเลย เพราะมันอยู่ข้างในเราอยู่แล้ว ชุดของความเมตตา กรุณา ชุดที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราหมดแล้ว อยู่ข้างใน  ก็ออกไป ให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัส ข้อที่ 10-11 …

        เอเฟซัส 5:10-11 “10 จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 อย่าเข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า”

            ทั้งหมดทั้งมวลที่อาจารย์เปาโลกำลังสอน ก็คือให้เราสวมเสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่าทิ้ง แค่นั้นเอง ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  ก็แค่นั้นเอง  ตามที่ข้อ 1-2 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 5:1-2 “1 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เอง  เพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอม และเครื่องบูชาแด่พระเจ้า”

            ตอนนี้เราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำตัวเลียนแบบพระเจ้าของเรา และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย  พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว ใครทำก่อน? พระเจ้าทำก่อน พระเจ้าใส่ความรักมาให้เราก่อน พระองค์รักเราก่อน เราจึงสามารถมีความรักจากข้างใน ส่งไปให้กับคนอื่น ที่เราได้พบได้เห็น  ที่พระเจ้าพาไป เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูชี้ให้มนุษย์เห็น ท่านอยากจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรมหรือ? ท่านหิวกระหายความชอบธรรมหรือ?

            มัทธิว 5:6 … “ความสุข (พระพรทางฝ่ายวิญญาณ) มีแก่ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม เพราะเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์”

            ความชอบธรรม ก็คือไม่บาป

            ผู้ชอบธรรม ก็คือคนที่รอดพ้นจากการเป็นคนบาป

            กระหายความชอบธรรม ก็คืออยากจะหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม ก็คือผู้ที่ยอมรับความจริงว่าตนเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วยในทางวิญญาณ ต้องการหมอรักษาให้หาย

            พระพรทางฝ่ายวิญญาณ หรือความสุขในวิญญาณคือสวรรค์เป็นของผู้ที่แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า เพราะรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ ไม่สามารถรักษาตนให้หายจากการเป็นคนบาปได้ จึงมาหาผู้ที่สามารถช่วยเขาได้ และไม่สร้างความชอบธรรมของตนเองขึ้นมา โดยการทำตามกฎบัญญัติ กฎศีลธรรม ทำความดี เพราะนั่นก็คือการพยายามรักษาอาการป่วยด้วยตนเอง เพราะยอมรับรู้ความจริงว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่มีทางทำได้เลย จึงแสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า คือยอมให้พระเจ้ารักษาความป่วยในวิญญาณ นี่คือลักษณะท่าทีของผู้ที่จะมาวางใจในพระองค์ และเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ แพทย์ผู้ประเสริฐเข้ามาในชีวิต และจะได้รับการรักษาให้หายจากบาป โดยการบังเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป

            พระเจ้าอวยพรครับ